ผู้แต่ง พนม บุญญ์ไพร
คาอธิบายรายวชิ า รหัสวชิ า 2001-2001 ช่ือวชิ า คอมพวิ เตอร์และสารสนเทศเพ่อื งานอาชีพ 1-2-2 จุดประสงค์รายวชิ า เพ่อื ให้ 1. เข้าใจหลักการและกระบวนการด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศเพื่องานอาชีพ การใช้โปรแกรมสาเร็จรูป การใช้อินเทอร์เน็ตและการ ส่ือสารข้อมลู สารสนเทศในงานอาชีพ 2. สามารถสืบค้ นและส่ือสารข้ อ มูลโดยใช้ อินเทอ ร์ เน็ต ใ ช้ ระบบปฏบิ ตั กิ ารคอมพิวเตอร์และโปรแกรมสาเร็จรูปตามลกั ษณะงานอาชีพ 3. มีคณุ ธรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้คอมพิวเตอร์กับ ระบบสารสนเทศ
สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกบั หลกั การและกระบวนการใช้คอมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศ ระบบปฏิบตั ิการโปรแกรมสาเร็จรูปและอนิ เทอร์เน็ตเพื่องานอาชีพ 2. ใช้ระบบปฏบิ ตั ิการในการจดั สภาพแวดล้อมและจดั สรรทรัพยากรตา่ ง ๆ บนเครื่อง คอมพวิ เตอร์ 3. ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปในงานอาชีพตามลกั ษณะงาน 4. สบื ค้นข้อมลู สารสนเทศในงานอาชีพโดยใช้อนิ เทอร์เนต็ 5. ส่ือสารข้อมลู สารสนเทศโดยใช้อนิ เทอร์เน็ต คาอธิบายรายวชิ า ศกึ ษาและปฏิบตั เิ ก่ียวกบั การใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศเพื่องานอาชีพ การใช้ ระบบปฏิบตั ิการ (Windows, Mac, Open source OS, ฯลฯ) การใช้โปรแกรมประมวลผลคาเพื่อ จดั ทาเอกสารในงานอาชีพ การใช้โปรแกรมตารางทา การเพื่อการคานวณในงานอาชีพ การใช้ โปรแกรมการนา เสนอผลงาน หรือการใช้โปรแกรมสาเร็จรูปอ่ืนๆ ตามลกั ษณะงานอาชีพ การใช้ อินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมลู เพ่ืองานอาชีพและการส่ือสารข้อมูลสารสนเทศ ผลกระทบของการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้คอมพิวเตอร์กบั ระบบสารสนเทศ และงานอาชีพ
คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มนุษย์ใช้ เป็ น เครื่องมือชว่ ยจดั การกบั ข้อมลู ท่ีอาจเป็นได้ทงั้ ตวั เลข ตวั อกั ษร หรือสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ แทนความหมายในสิ่งต่างๆ คอมพิวเตอร์สามารถกาหนดชดุ คาสงั่ หรือโปรแกรม ล่วงหน้าได้ ทางานได้หลายรูปแบบ และนาไปประยกุ ต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ทงั้ ด้านการแพทย์ การศกึ ษา อตุ สาหกรรม การค้า และความบนั เทิง การทางานของคอมพวิ เตอร์
หลักการทางานของคอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอร์เป็ นเคร่ืองอิเลก็ ทรอนิกส์แบบอตั โนมตั ิ ทาหน้าที่เสมือน สมองกล ใช้สาหรับแก้ปัญหาทัง้ ง่ายหรือซับซ้อนด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ ประกอบไปด้วยอปุ กรณ์ท่ีทางานตามหน้าท่ี 4 สว่ น คือ 1. หน่วยรับเข้า (Input unit) ทาหน้าที่รับข้อมลู จากหน่วยรับข้อมลู เชน่ คยี ์บอร์ด หรือเมาส์ 2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing unit) ทาหน้าที่ระมวล ผลกบั ข้อมลู เพอื่ แปลงให้อยใู่ นรูปอ่ืนตามที่ต้องการ 3. ส่วนแสดงผล (Output unit) ทาหน้าท่ีให้ผลลพั ธ์จากการประมวลผล ออกมายงั หนว่ ยแสดงผลลพั ธ์ เชน่ เคร่ืองพิมพ์ หรือจอภาพ 4. หน่วยความจา (Memory unit) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทาการเก็บ ผลลพั ธ์จากการประมวลผลไว้ในหนว่ ยเก็บข้อมลู เพ่ือนามาใช้ใหม่ได้ในอนาคต
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ ทาให้คอมพิวเตอร์ทางานได้ อยา่ งสมบรู ณ์ ประกอบด้วย 1. ฮาร์ ดแวร์ (Hardware) เป็ นอุปกรณ์ที่ประกอบขึน้ เป็ นเครื่อง คอมพวิ เตอร์ มีลกั ษณะเป็นโครงร่าง สามารถมองเหน็ ด้วยตาและสมั ผสั ได้ 2. ซอฟต์ แวร์ (Software) คือ เป็ นชุดคาสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้ ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง เ ค รื่ อ ง คอมพวิ เตอร์ 3.บุคลากร (Peopleware) ห ม า ย ถึ ง บุ ค ค ล ที่ เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ คอมพิวเตอร์ในด้านตา่ งๆ 4. ข้อมูล (Data) เป็ นส่ิงท่ี ต้องป้ อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้ อม กับโปรแกรมท่ีโปรแกรมเมอร์เขียนขึน้ เพื่อผลลพั ธ์ท่ีต้องการออกมา
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมลู ท่ีเป็ นประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ เกิดจาก การนาข้อมูลมาผ่านการประมวลผล คานวณ วิเคราะห์ และแปลความหมาย เป็ นข้อมลู ที่ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ข้อมูล เป็ นข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวท่ีเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่อย่ใู นรูปแบบท่ีเหมาะสมต่อการส่ือสาร การแปลความหมาย และการประมวลผล ข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูลเป็ นได้ทัง้ ข้อมูลตัวเลขหรือ สญั ลกั ษณ์ มีความเป็นจริง การประมวลผลข้อมูลให้เป็ นสารสนเทศ ประกอบด้วย การจดั แบ่งกล่มุ ข้อมลู การจดั เรียงข้อมลู ตามลาดบั ตวั เลขหรือตวั อกั ษร การสรุปผลหรือสร้างรายงานย่อ และการ คานวณข้อมลู ท่ีเป็นตวั เลขเพื่อหาผลลพั ธ์ได้
ความแตกต่างของระบบสารสนเทศท่ีใช้เทคโนโลยี กับแบบไม่ใช้เทคโนโลยี
การนาคอมพวิ เตอร์มาใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ 1. การนามาใช้ในสถานศึกษา ใช้ในการเรียนการสอน และการบริหารจดั การ ของสถานศึกษา เช่น การจัดทาประวัตินักเรียน ประวัติครู -อาจารย์ ลงทะเบียนเรียน ตรวจข้อสอบ รายงานผลการเรียน ใช้ในงานห้องสมดุ 2. การนามาใช้ในงานวิศวกรรม เช่น การออกแบบโครงสร้ างสถาปัตยกรรม ตา่ งๆการเขียนแบบ ตลอดจนการคานวณโครงสร้าง ชว่ ยในการวางแผนและควบคมุ 3. การนามาใช้ในงานวิทยาศาสตร์ ใช้ร่วมกบั เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เชน่ เคร่ืองมือวิเคราะห์สารเคมี เครื่องมือการทดลองต่างๆ แม้กระทง่ั การเดินทางของยาน อวกาศ การถ่ายภาพพืน้ ผวิ โลกบนดาวองั คาร 4. การนามาใช้ในงานธุรกิจ ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล และ นาเสนอข้อมลู 5. การนามาใช้ในงานธนาคาร ใช้ในกระบวนการทางานท่ีเกี่ยวข้องกบั ธุรกรรม 6. การนามาใช้ในธุรกิจขนาดเลก็ หรือร้านค้าปลกี เช่น การจดั ทารายการสนิ ค้า คงคลงั การจาหน่ายสนิ ค้าหน้าร้าน การใช้บริการชาระคา่ บริการตา่ งๆ
ระบบปฏบิ ัตกิ าร (Operating System: OS) เป็ นซอฟต์แวร์ท่ีทาหน้าที่ เป็ นตวั กลางระหวา่ งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยกุ ต์ การจดั สรรทรัพยากรในเครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น การส่งข้อมูลภาพไปแสดงผลท่ี จอภาพ การส่งข้อมูลไปเก็บหรืออ่านจากฮาร์ดดิสก์ การรับ-ส่งข้อมูลในระบบ เครือข่าย การส่งสญั ญาณเสียงไปออกลาโพง หรือจัดสรรพืน้ ที่ในหน่วยความจา ตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้ องขอ รวมถึงทาหน้ าที่จัดสรรเวลาการใช้ หน่วย ประมวลผลกลาง ระบบปฏิบตั กิ ารอาจเป็ นได้ทงั้ ระบบปฏิบตั ิการที่เป็ นโปรแกรม (Software OS) ระบบปฏิบตั ิการที่เป็ นฮาร์ดแวร์ (Hardware OS) ระบบปฏิบตั ิการที่เป็ น โปรแกรมท่ีเก็บไว้ในสว่ นหน่ึงของอปุ กรณ์และคอมพวิ เตอร์ ท่ีเรียกวา่ Firmware OS หรืออาจเป็ นระบบปฏิบตั ิการที่ทางานผสมผสานกนั ก็ได้ระบบปฏิบตั กิ ารในปัจจบุ นั ที่นิยมใช้แพร่หลายมีทงั้ ระบบปิ ดและระบบเปิ ด เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows ระบบปฏิบตั กิ าร Linux และระบบปฏบิ ตั กิ าร Mac
ระบบปฏิบัตกิ าร Windows 7 เป็ นระบบปฏิบตั ิการของบริษัท Microsoft ท่ีมีการจดั การและควบคมุ การทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ 1. ส่วนประกอบระบบปฏบิ ตั กิ าร Windows 7 ส่วนประกอบระบบปฏบิ ตั กิ าร Windows 7
2. การปรับแต่ง Windows 7 การตรวจสอบการลงไดรฟ์ เวอร์
3. การปรับลดขนาดของแถบ Taskbar การปรับระดบั ลดขนาดของแถบ Taskbar
4. การจดั การไฟล์และโฟลเดอร์ ลักษณะของ Directory และ Sub Directory
5. การตดิ ตงั้ โปรแกรมประยุกต์ หน้าเวบ็ ไซต์เพ่ือ Downloads โปรแกรม
6. การตดิ ตงั้ ฟอนต์ การตดิ ตงั้ ฟอนต์โดยการลากมาวางในโฟลเดอร์ การตดิ ตัง้ ฟอนต์จากการดู รายละเอียดรูปแบบฟอนต์
7. โปรแกรมช่วยงาน (Accessories) ส่วนประกอบของโปรแกรม WordPad ส่วนประกอบของโปรแกรม Paint เคร่ืองคานวณ
8. การตดิ ตัง้ เคร่ืองพมิ พ์ เมนูเพ่มิ เคร่ืองพมิ พ์ หรือ Add a printer
9. การเช่ือมต่อระบบเครือข่าย สถานะการเช่ือมต่อเครือข่าย หน้าต่างกาหนดค่าการเช่ือมต่อเครือข่าย
10. การดแู ล รักษา ตรวจสอบเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ตวั เลือก Drive เพ่ือการ Cleanup การประมวลผลเพ่ือการ Cleanup ตวั เลือกเพ่ือการลบไฟล์
โปรแกรม Microsoft Word 2010 ในชดุ Microsoft Office 2010 เป็ น โปรแกรมงานสานกั งานของบริษัท Microsoft ท่ีมีความสามารถในการจดั การ ตกแต่ง เอกสารที่หลากหลาย หลงั จากติดตงั้ โปรแกรมแล้ว เรียกใช้โปรแกรมได้จากคาสงั่ Start/ All Program/ Microsoft Office/ Microsoft Word 2010 จะปรากฏหน้าตา่ งโปรแกรมท่ี มีสว่ นประกอบตา่ งๆ ดงั นี ้ โปรแกรม Microsoft Word 2010
การปรับแตง่ และจดั รูปแบบเอกสาร เพื่อให้เอกสารท่ีได้ถกู ต้อง สวยงาม ตรงตามความต้องการได้แก่ 1. การจดั หน้าเอกสาร 2. การเลือกข้อความ 3. การปรับแตง่ ตวั อกั ษร 4. การใสล่ าดบั หวั ข้อ 5. การจดั ตาแหนง่ ข้อความ
การแทรกรูปภาพและกราฟิ กลงในเอกสารเป็ นการตกแต่งเอกสาร ให้สวยงาม น่าสนใจ อีกทงั้ ยงั ช่วยอธิบายความหมายส่ิงท่ีอย่ใู นเอกสารได้ดี โปรแกรม Microsoft Word 2010 สามารถแทรกภาพและกราฟิ กแบบตา่ งๆ ได้ เช่น การแทรกภาพที่อย่ใู นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ การแทรกภาพ Clip Art และการแทรกรูปทรง (Shapes) ได้แก่ 1. การแทรกรูปภาพ 2. การแทรก Clip Art 3. การแทรกวตั ถรุ ูปทรงตา่ ง ๆ (Shapes) 4. การปรับขนาดรูปภาพ 5. การจดั วางข้อความกบั รูปภาพ การแทรกภาพจากไฟล์ภาพ
การแทรกตารางเพื่อใช้แสดงข้อมลู ตามแถวและคอลมั น์4 ลงใน เอกสาร ภายในตารางเป็ นเซลล์ที่ใสข่ ้อความ ตวั เลข รูปภาพ หรือสตู ร ใช้ ตารางในการนาเสนอข้อมลู ที่ต้องการจดั เรียงแบบเป็ นแถว เป็ นคอลมั น์ ได้แก่ 1. การสร้างตาราง 2. การพมิ พ์ข้อมลู ลงตาราง 3. การปรับขนาดตาราง 4. การเพม่ิ เซลล์ แถวและคอลมั น์ 5. การลบเซลล์ แถว และคอลมั น์ คาส่ังแทรกตาราง 6. การผสานเซลล์ และแบง่ เซลล์
SmartArt หรือ Diagram เป็ นการแสดงข้อมลู ในรูปแบบของ รูปภาพหรือกราฟิ กท่ีมีลาดบั ขนั้ เป็ นการแสดงความสมั พนั ธ์ของข้อมลู ทา ให้เข้าใจได้งา่ ยยง่ิ ขนึ ้ และด้วยรูปแบบของ SmartArt ใน Microsoft Office 2010 ที่มีความแปลกใหม่ แตกต่างจากรุ่นก่อนมาก ทาให้สามารถสร้าง เอกสารหรือข้อมลู เพ่ือนาเสนอได้โดดเดน่ มากย่งิ ขนึ ้ ได้แก่ 1. การแทรก SmartArt 2. การเพิม่ รูปร่างใน SmartArt 3. การเปลย่ี นชดุ สี SmartArt 4. การแทรก Chart 5. การแก้ไขข้อมลู ใน Chart 6. การเปลย่ี นรูปแบบ Chart การแทรก SmartArt
การสร้างรายงาน หรือเอกสารรายงานอยา่ งเป็ นทางการ ได้แก่ 1. การใสห่ วั กระดาษ หรือท้ายกระดาษ 2. การใสเ่ ลขหน้าเอกสาร 3. การสร้างสารบญั 4. การสร้างปกรายงาน การใส่หัวกระดาษ หรือท้ายกระดาษ
โปรแกรม Microsoft Word 2010 มีขนั้ ตอนการพิมพ์เอกสาร โดยคลิกท่ีแท็บ File แล้วเลือกคาสง่ั Print จะปรากฏสว่ นคาสง่ั คมุ การ พมิ พ์และหน้าเอกสารท่ีจะพิมพ์ขนึ ้ ด้านขวามือ การพิมพ์งาน ได้แก่ 1. การกาหนดหน้ากระดาษ 2. การดตู วั อยา่ งก่อนพมิ พ์ 3. การสง่ั พิมพ์เอกสาร การส่ังพมิ พ์เอกสาร
Microsoft Excel 2010 เป็ นโปรแกรมตารางทาการ เป็ นโปรแกรมหน่งึ ที่อยู่ ในชดุ Microsoft Office ของบริษัท Microsoft มีความสามารถในการทางานเก่ียวกบั การคานวณข้อมลู การนาเสนอข้อมลู ในรูปตาราง การเรียกใช้โปรแกรม Microsoft Excel 2010 โดยการคลิกป่ มุ เมนเู ร่ิม Start/ All Programs/ Microsoft Office/ Microsoft Office Excel 2010 ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft Excel 2010
การสร้างตารางทาการในโปรแกรม Microsoft Excel 2010 มีดงั นี ้ 1. การสร้างตารางทาการใหม่ (New) 2. การกรอกข้อมลู ลงเซลล์ 3. การแก้ไขข้อมลู ในเซลล์ 4. การบนั ทกึ งาน (Save) 5. การปิ ดงาน (Close) 6. การเปิ ดงานเกา่ (Open) การสร้ างตารางทาการเปล่ า
การใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel 2010 หรือโปรแกรม ประเภทตารางทาการ การทางานต่างๆ จะต้องเกี่ยวข้องกบั เซลล์และ แผ่นงานแทบทงั้ สนิ ้ ตงั้ แตก่ ารใสข่ ้อมลู ลงเซลล์ การแก้ไข การอ้างองิ เพื่อนาคา่ ไปใช้ ได้แก่ 1. การจดั การเซลล์และตาราง 2. การคดั ลอก หรือย้ายข้อมลู 3. การจดั การเซลล์ การเลือกเซลล์
การจัดรูปแบบข้อมูล เป็นวิธีการเปลย่ี นรูปแบบตวั อกั ษร สี และ ขนาดตวั อกั ษร หรือการจดั วางตาแหนง่ ข้อมลู ในเซลล์ ได้แก่ 1. การจดั รูปแบบตวั อกั ษร 2. การจดั วางข้อมลู ในเซลล์ การจัดวางข้อมูลในเซลล์
การกาหนดรูปแบบตา่ ง ๆ ของตาราง ได้แก่ 1. การเตมิ สใี ห้กบั เซลล์ 2. การใช้ Table Style การเตมิ สีให้กับเซลล์ด้วย Cell Styles
1. วิธีป้ อนสูตรมี 3 วิธี คอื 1.1 Relative Reference เป็ นการอ้างอิงตาแหน่งเซลล์แบบ สมั พัทธ์ คือ เซลล์ท่ีถูกคัดลอกหรือย้ายตาแหน่งของเซลล์ปลายทางจะ เปล่ียนตาแหนง่ โดยอตั โนมตั ิ เช่น A2=B2+C2 เม่ือคดั ลอกสตู รจาก A2 ไป ท่ี A4 สตู รที่ A4 จะเป็ นดงั นี ้A4=B4+C4 เป็นต้น 1.2 Absolute Reference เป็ นการอ้างอิงเซลล์แบบสมั บรู ณ์ คือ เซลล์ที่ถกู คดั ลอกหรือย้าย ตาแหน่งของเซลล์ปลายทางจะคงตาแหน่ง เซลล์ต้นทางเดิมไว้ เช่น A2=$B$2+$C$2 เมื่อคดั ลอกสตู รจาก A2 ไปท่ี A4 สตู รที่ A4 จะเป็ นดงั นี ้A4= $B$2+$C$2 เช่นเดมิ ซง่ึ หากต้องการให้ แถวหรือคอลมั น์คงท่ีตาแหน่งเดมิ ไว้ เพียงใสเ่ คร่ืองหมาย $ ไว้หน้าแถวหรือ คอลมั น์นนั้ ๆ
1.3 Mixed Reference เป็ นการอ้างอิงแบบผสมทงั้ Relative Reference และ Absolute Reference เช่น เซลล์ท่ีถกู คดั ลอกหรือย้าย ตาแหน่ง ของเซลล์ปลายทางจะเปลี่ยนตาแหน่งโดยอัตโนมัติสาหรับการอ้ างอิงแบบ Relative Reference และจะคงตาแหน่งเซลล์ต้นทางเดิมไว้แบบ Absolute Reference เช่น A2=B2+$C$2 เมื่อคดั ลอกสตู รจาก A2 ไปที่ A4 สตู รท่ี A4 จะ เป็ นดงั นี ้A4= B4+$C$2 เป็ นต้น การพิมพ์สตู รจะต้องมเี คร่ืองหมายเท่ากบั (=) อย่ขู ้างหน้าเสมอ ในขณะ ที่ตาแหน่งพิมพ์อย่หู ลงั เคร่ืองหมายเท่ากบั นนั้ เม่ือนาเมาส์ไปคลิกท่ีเซลล์ใด จะ เป็ นการนาเอาชื่อเซลล์นนั้ มากรอก ใช้ในการคานวณและการพิมพ์สตู ร การพิมพ์ สตู รคานวณแบบสมการคณิตศาสตร์ด้วยการพิมพ์ชื่อเซลล์และเคร่ืองหมายเช่น =5*20% หรือ =A1/(2+3*A6) เป็นต้น
ฟังก์ชนั คือ สตู รการคานวณท่ีถกู สร้างไว้ล่วงหน้าเพื่อสนบั สนนุ การ ทางานประเภทต่างๆ ทงั้ เร่ืองการบวก ลบ คณู หาร และการจดั การข้อมลู อื่น ๆ เช่น การเปรียบเทียบข้อมลู การนบั จานวนข้อมลู การแสดงตวั เลข หรือการปัดเศษ เป็ นต้น ซงึ่ แตล่ ะฟังก์ชนั จะมีรูปแบบมาตรฐาน ดงั นี ้ เครื่องหมาย = เป็นสว่ นท่ีบอกให้ทราบถึงการคานวณ ไมใ่ ช่ข้อมลู หรือตวั เลข ชื่อฟังก์ชนั เป็นชื่อท่ีใช้เรียกฟังก์ชนั ท่ีแสดงลกั ษณะการทางานของฟังก์ชนั อาร์กิวเมนต์ เป็นสว่ นท่ีฟังก์ชนั จะนาไปใช้คานวณหรือประมวลผล อาร์กิวเมนต์ จะอยภู่ ายในวงเลบ็ และถกู แยกกนั ด้วยเคร่ืองหมายจลุ ภาค (,) เชน่ =MAX(F2:F8) เป็นฟังก์ชนั สาหรับหาคา่ สงู สดุ ของข้อมลู ท่ีอยู่ ในเซลล์ F2 ถงึ F8 หรือ =SUM (C2:E2,H2:J2) เป็นฟังก์ชนั สาหรับ หาผลรวมของข้อมลู ในเซลล์ C2 ถงึ E2 และข้อมลู ในเซลล์H2 ถงึ J2
การเรียกใช้สูตรฟังก์ชันท่ีแทบ็ Home
ฟังก์ชันพนื้ ฐาน ฟังก์ชันพนื้ ฐาน เพอ่ื การเรียกใช้งานท่ีถกู ต้องและรวดเร็ว มีดงั นี ้ ฟังก์ชัน SUM เป็ นฟังก์ชนั สาหรับหาผลรวม เชน่ =SUM(C2:C8) ฟังก์ชัน AVERAGE เป็ นฟังก์ชนั สาหรับหาคา่ เฉลยี่ เชน่ =AVERAGE(B2,D2,F2) ฟังก์ชัน COUNT เป็ นฟังก์ชนั สาหรับนบั จานวนข้อมลู ที่เป็ นตวั เลข เช่น =COUNT(F4:J4) ฟังก์ชัน MAX เป็ นฟังก์ชนั สาหรับหาคา่ สงู สดุ เช่น =MAX(D5:D15) ฟังก์ชัน MIN เป็ นฟังก์ชนั สาหรับหาคา่ ต่าสดุ เชน่ =MIN(D5:D15)
ฟังก์ชันประเภทต่างๆ เช่น Financial เป็นฟังก์ชนั เกี่ยวกบั การเงิน Logical เป็ นฟังก์ชนั การคานวณแบบมีเง่ือนไขตรรกะ ทางคณิตศาสตร์ Text เป็ นฟังก์ชนั เกี่ยวกบั ข้อมลู ประเภทตวั อกั ษร Date & Time เป็ นฟังก์ชนั เกี่ยวกบั วนั และเวลา Lookup & Reference เป็ นฟังก์ชนั เก่ียวกบั การค้นหาและอ้างองิ ข้อมลู ภายในตารางตามเงื่อนไขที่กาหนด Math & Trig เป็นฟังก์ชนั เก่ียวกบั การคานวณทางคณิตศาสตร์ More Function เป็ นฟังก์ชนั เกี่ยวกบั สตู รในสาขาอ่นื ๆ เช่น ทางสถิติ หรือวิศวกรรมศาสตร์ เป็ นต้น
Search