เอกสารประกอบการเรยี บเรียง นิรนาม. 2553. คำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลงและสัตว์ศัตรูพืชปี 2553. เอกสารวิชาการเกษตร กลมุ่ กฏี และสตั ววทิ ยา สำนกั วจิ ยั พฒั นาการอารกั ขาพชื กรมวชิ าการเกษตร กรงุ เทพฯ. 303 หนา้ . นุชจรินทร ์ บุญธรรม และไพฑูรย ์ เล็กสวัสด์ิ. 2536. ชีวประวัติของหนอนเจาะขั้วลำไย (Conopomorpha sp. : Gracillariidae) น. 207-214 ใน เอกสารการประชมุ วชิ าการอารกั ขา พชื แหง่ ชาติ ครง้ั ท่ี 1 20-22 ตลุ าคม 2536. ณ โรงแรมรามาการเ์ ดน้ ส์ กรงุ เทพฯ. พมิ ลพร นนั ทะ. 2534. การควบคมุ แมลงศตั รพู ชื โดยชวี วธิ .ี เอกสารวชิ าการ การควบคมุ แมลงศตั รพู ชื โดยชวี วธิ .ี กองกฏี และสตั ววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร กรงุ เทพฯ. น. 9-34. ยวุ ด ี เทวหสกลุ ทอง. 2537. ศกึ ษาฤดรู ะบาดของหนอนกาแฟสแี ดงในลนิ้ จ.ี่ น. 233-236. ใน รายงาน ผลการค้นคว้าและวิจัยปี 2537. กลุ่มงานแมลงศัตรูไม้ผลและพืชสวนอื่นๆ กองกีฏและ สตั ววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร กรงุ เทพฯ. ยวุ ด ี เทวหสกลุ ทอง ชลดิ า สงั ขท์ อง พนมกร เพม่ิ พนู มนตร ี จริ สรุ ตั น์ และชาญชยั บญุ ยงค.์ 2525. หนอนเจาะขว้ั ลนิ้ จ.ี่ ขา่ วกฏี . สตั ว. 4(4): 48-49. ยวุ ด ี เทวหสกลุ ทอง ชลดิ า สงั ขท์ อง มนตร ี จริ สรุ ตั น ์ พนมกร วรี ะวฒุ ิ และพงษกร พวงสายใจ. 2530. ศกึ ษาการทำลายของหนอนชอนใบลน้ิ จ.่ี น. 54-57. ใน รายงานผลการคน้ ควา้ และวจิ ยั ปี 2530. กลมุ่ งานแมลงศตั รไู มผ้ ลและพชื สวนอนื่ ๆ กองกฏี และสตั ววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร กรงุ เทพฯ. ยวุ ด ี เทวหสกลุ ทอง ชลดิ า อณุ หวฒุ ิ มนตร ี จริ สรุ ตั น ์ พนมกร วรี ะวฒุ ิ และพงษกร พวงสายใจ. 2531. ผลกระทบของหนอนชอนใบลนิ้ จต่ี อ่ ผลผลติ ลน้ิ จ.่ี น. 46-50. ใน รายงานผลการคน้ ควา้ และวจิ ยั ปี 2531. กลมุ่ งานแมลงศตั รไู มผ้ ลและพชื สวนอนื่ ๆ กองกฏี และสตั ววทิ ยา กรมวชิ า การเกษตร กรงุ เทพฯ. สพุ ตั รา ดลโสภณ นนั ทรตั น ์ ศภุ กำเนดิ และมนตร ี ทศานนท.์ 2539. การประเมนิ ความเสยี หายท่ี เกดิ จากหนอนเจาะผลลน้ิ จี่ Conopomorpha sinensis (Lepidoptera : Gracillariidae) และ บทบาทแตนเบยี นหนอนเจาะผล. น. 93-103. ใน รายงานผลการวจิ ยั ประจำปี 2539. ศนู ยว์ จิ ยั พชื สวนเชยี งราย สถาบนั วจิ ยั พชื สวน กรมวชิ าการเกษตร กรงุ เทพฯ. องนุ่ ลว่ิ วานชิ . 2529. ชอ่ื ใหมข่ องแมลงศตั รลู น้ิ จแี่ ละเงาะ. ขา่ วกฏี . สตั ว. 8(2): 84-87. Kuroko, H. and A. Lewvanich. 1983. Some Lepidopterous. Insect Pest Attacking Economically. Important Plants in Thailand. Bull. Univ. Osaka. Prof. (Ser. B) 35: 4. Kuroko, H. and A. Lewvanich. 1993. Lepidopterous. Pest of Tropical Fruit Trees in Thailand (with Thai text). Japan International Cooperation Agency. Tokyo. 132 pp. แมลงศัตรไู ม้ผล 48
แมลงศัตรูลำไยและลน้ิ จ่ ี กลุม่ ไข่และตวั ออ่ นมวนลำไย ตัวเตม็ วัยมวนลำไย หนอนเจาะขัว้ ผล ดกั แด้หนอนเจาะข้ัวซ่งึ พบมากที่ใบ ผเี สื้อหนอนเจาะขว้ั ผล ผลล้ินจี่ถูกหนอนเจาะขว้ั ทำลาย หนอนและผเี สอื้ หนอนคืบ Oxyodes scrobiculata (Fabricius) แมลงศัตรไู มผ้ ล 49
หนอนเจาะกงิ่ ผีเสอ้ื หนอนเจาะก่ิง ลักษณะการทำลายของหนอนเจาะกิ่ง การทำลายของหนอนชอนใบ หนอนชอนใบ ดกั แดห้ นอนชอนใบ ผเี สอื้ หนอนชอนใบ แมลงศตั รูไม้ผล 50
ระยะพฒั นาการของลิน้ จ่ี และระยะ การระบาดของแมลง ัศต ูร ืพช ระยะการ ัพฒนาของลิ้น ่จี ม.ค. ก.พ. ม.ี ค ระยะแตกยอดอ่อน ระยะออกดอก ระยะตดิ ผล ระยะผลแก่ แมลงศตั รูไมผ้ ล มวนลำไย 51 หนอนเจาะขั้วผล หนอนเจาะกิ่ง หนอนคืบกินใบ หนอนชอนใบ
ะการระบาดของแมลงศตั รูทีส่ ำคญั ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค.
แมลงศตั รู มะมว่ ง สราญจิต ไกรฤกษ์ สถานการณแ์ ละความสำคญั มะมว่ งเปน็ ไมผ้ ลเมอื งรอ้ นทม่ี พี น้ื ทปี่ ลกู กระจายอยตู่ ามสว่ นตา่ งๆ ของโลก สำหรบั ประเทศไทยมี การปลูกท่ัวไปแทบทุกจังหวัดเน่ืองจากเป็นพืชยืนต้นที่ปลูกง่าย ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เจริญ เติบโตเร็วแขง็ แรง ขน้ึ ไดใ้ นดนิ แทบทกุ ชนิด นยิ มปลกู เป็นสวนหลงั บา้ น จนถึงสวนขนาดใหญ่ และยัง ผลิตออกมาในรูปการบริโภคสดหรือแปรรูป ปัจจุบันมะม่วงเป็นพืชท่ีได้รับการสนับสนุน และส่งเสริม ให้เป็นผลไม้ส่งออกท่ีสำคัญชนิดหนึ่งและกำลังเป็นท่ีนิยมของตลาดต่างประเทศ จึงเป็นแรงจูงใจให้มี การปลูกมากข้ึน การผลิตให้มีคุณภาพจำเป็นต้องมีความรู้ทุกด้าน ต้ังแต่การเลือกพ้ืนท่ีปลูก ลักษณะ ดนิ การเลือกพนั ธุ์ การปฏบิ ัติดูแลรักษาและการเกบ็ เกยี่ ว รวมไปถงึ ตลาดอกี ดว้ ย สถานการณ์ศัตรพู ืช การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะเป็นการปลูกเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ปัญหามักพบอยู่เสมอๆ ก็คือ เรื่องแมลงศัตรูมะม่วง ความสำคัญของแมลงเหล่านี้ก็คือ สามารถทำให้ผลผลิตและคุณภาพของ มะม่วงลดลงได้ ขึ้นอยู่กับชนิดและช่วงระยะเวลาการเข้าทำลายของแมลง ดังนั้น การรู้จักชีววิทยา อุปนิสัยของแมลง และลักษณะการเข้าทำลาย จะเป็นแนวทางการป้องกันกำจัดศัตรูแต่ละชนิด มีประสิทธิภาพดยี ิ่งขนึ้ แมลงศัตรมู ะม่วงทสี่ ำคญั และพบเสมอมดี งั น้ี เพล้ียไฟพริก (chilli thrips) เป็นแมลงศัตรูสำคัญทำลายส่วนต่างๆ ของมะม่วง ต้ังแต่ ตา ใบ ยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน ปจั จบุ นั พบวา่ มเี พลยี้ ไฟหลายชนดิ ศริ ณิ ี (2533) ไดจ้ ำแนกไวว้ า่ พบเพลยี้ ไฟทพี่ บตามดอกมะมว่ ง ไดแ้ ก่ Trips coloratus Schmutz, Thrips hawaiiensis (Morgan), Haplothrips sp., Megalurothrips typicus Bagnall, Ernothrips lobatus Bhatti และท่ีใบ ได้แก่ Selenothrips rubrocinctus (Giard) ชนดิ ทพี่ บมากและสำคญั คือ เพล้ียไฟพรกิ ชือ่ วิทยาศาสตร์ Scirtothrips dorsalis Hood วงศ ์ Thripidae อนั ดับ Thysanoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ใช้ปากเจาะและดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืชบริเวณใบอ่อน ยอดอ่อน แมลงศตั รไู ม้ผล 52
ตุ่มตาใบ ตุ่มตาดอก ช่อดอกมะม่วง โดยเฉพาะฐานรองดอกและขั้วผลอ่อน ทำให้เซลล์บริเวณนั้นถูก ทำลายกรณีทรี่ ะบาดไมร่ นุ แรงจะปรากฏแผลชัดเจนเป็นวงใกลข้ ว้ั ผลมสี เี ทาเงินเกอื บดำหรอื ผลบิดเบ้ยี ว ถ้าทำลายรุนแรงผิวของผลมะม่วงจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ทำให้ผลผลิตมีราคาต่ำลง การทำลายใน ระยะตดิ ดอกจะทำใหช้ อ่ ดอกหงกิ งอ ดอกรว่ งไมต่ ดิ ผล หรอื ทำใหต้ ดิ ผลนอ้ ย สว่ นอาการทปี่ รากฏบนยอด ออ่ นจะทำใหใ้ บทแ่ี ตกใหม่ แคระแกร็น ขอบใบและปลายใบไหม้ ใบอาจร่วงต้งั แตย่ งั เลก็ ๆ สำหรับใบที่ ขนาดโตแลว้ เพลี้ยไฟมักลงทำลายตามขอบใบทำให้ใบมว้ นงอ และปลายใบไหม ้ ถ้าเปน็ การทำลายที่ ยอดจะรุนแรงทำใหย้ อดแห้งไมแ่ ทงช่อใบ หรือชอ่ ดอก การทำลายทต่ี า ช่อดอกบิดเบย้ี ว หงกิ งอ หรือ ติดผลนอ้ ย ผลเล็กๆ ทีถ่ ูกเพลยี้ ไฟทำลายอาจรว่ งหลน่ ได ้ รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวตั ิ เป็นแมลงขนาดเล็ก มีลำตัวแคบยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ตัวอ่อนมีสีเหลือง ตัวเต็มวัย สีน้ำตาลปนเหลือง ขอบปีกมีขนเป็นแผง เพล้ียไฟมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชอบหากินบริเวณฐานของ ดอกและขวั้ ผลออ่ น มกี ารขยายพนั ธท์ุ งั้ แบบมกี ารผสมพนั ธแ์ุ ละแบบไมต่ อ้ งมกี ารผสมพนั ธุ์ ตวั เมยี มอี ายุ ประมาณ 15 วนั และเมอ่ื ไดร้ บั การผสมพนั ธว์ุ างไขไ่ ดค้ รงั้ ละประมาณ 40 ฟอง สว่ นตวั เมยี ไมไ่ ดร้ บั การ ผสมวางไขไ่ ดค้ รง้ั ละประมาณ 30 ฟอง วงจรชวี ติ จากไขถ่ งึ ตวั เตม็ วยั ประมาณ 15 วนั ระยะไข่ 4-7 วัน ตวั ออ่ นวยั ทหี่ นง่ึ 2 วนั วยั ทส่ี อง 4 วนั วยั ทส่ี ามฟกั ตวั 3 วนั จงึ เปน็ ตวั เตม็ วยั สมบรู ณ์ (โกศล, 2533) พบเพล้ียไฟระบาดเม่ืออากาศร้อนและแห้งแล้ง มีวงจรชีวิตส้ันมากและจะระบาดรุนแรงโดย ทำลายมะม่วงระยะใบอ่อน ยอดอ่อน ช่อดอก และผลอ่อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เป็นระยะ เวลาการระบาดของเพล้ียไฟจะพบชว่ งเริ่มแทงชอ่ ดอก ในระยะเดอื ยไกแ่ ละปริมาณจะลดลงในระยะดอกตูม จากนนั้ จำนวนเพลยี้ ไฟจะเพ่มิ ข้ึนอกี คร้งั เมื่อดอกใกล้บานจนถึงดอกบานเต็มที่ จากนนั้ จะเริ่มลดลงเม่ือเรม่ิ ติด ผล และจะพบน้อยมากเม่ือผลแก่ ภายหลังฤดูกาลเก็บผลมะม่วง เม่ือมีการแตกยอดอ่อน (ประมาณเดือน พฤษภาคม-มถิ ุนายน) ถ้าอากาศรอ้ นและแหง้ แลง้ ตาและยอดอ่อนจะถกู ทำลาย เกดิ อาการใบไหมม้ ว้ นงอ พชื อาหาร มะมว่ ง ดอกมะลิ องนุ่ มะมว่ งหมิ พานต์ สม้ เขยี วหวาน พริก ศตั รูธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ไรตวั ห้ำ Amblyseius sp. (Phytoseiidae, Acarina) ด้วงเต่าตวั ห้ำ Stethorus sp. (Coccinellidae, Coleoptera) การป้องกันกำจดั 1. ถ้าพบไม่มากให้ตัดส่วนท่ีแมลงระบาดไปเผาทิ้ง เพราะเพล้ียไฟมักอยู่กันเป็นกลุ่มบริเวณ สว่ นยอดออ่ นของพืช แมลงศตั รูไมผ้ ล 53
2. การพน่ สารฆ่าแมลงควรพน่ ระยะติดดอกอยา่ งน้อย 2 คร้ัง คือ ระยะเรมิ่ แทงช่อดอกและ ระยะเรมิ่ ตดิ ผลขนาดมะเขอื พวง (ประมาณ 0.5-1.0 เซนตเิ มตร) ถา้ หากปใี ดมพี บเพลยี้ ไฟระบาดรนุ แรงก็ จำเปน็ ต้องพ่นซำ้ ในระยะกอ่ นดอกบาน 3. สารฆ่าแมลงท่ีแนะนำ คือ lambdacyhalothrin (Karate 2.5 EC 2.5% EC) อัตรา 10 มิลลลิ ติ ร หรือ fenpropathrin (Danitol 10% EC) อัตรา 30 มิลลิลิตรตอ่ น้ำ 20 ลิตร ในขณะทดี่ อกบานควร หลกี เลย่ี งการใชส้ ารดงั กลา่ ว เนอื่ งจากอาจเปน็ อนั ตรายตอ่ แมลงผสมเกสรได ้ เพลีย้ จักจน่ั มะมว่ ง (mango leafhopper) ชอื่ อืน่ แมงกะอ้า ชือ่ วทิ ยาศาสตร ์ 1. Idioscopus clypealis (Lethierry) 2. Idioscopus niveosparsus (Lethierry) วงศ ์ Cicadellidae อันดบั Hemiptera ความสำคัญและลกั ษณะการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายใบออ่ น ชอ่ ดอก กา้ นดอก และยอดอ่อน ระยะท่ที ำความเสยี หาย ใหม้ ากท่ีสดุ คือ ระยะทม่ี ะม่วงกำลังออกดอกโดยดูดน้ำเล้ียงจากชอ่ ดอก ทำใหแ้ หง้ และดอกรว่ ง ติดผล น้อยหรือไม่ติดเลย ระหว่างท่ีเพล้ียจักจั่นดูดกินน้ำเล้ียงจะถ่ายมูลมีลักษณะเป็นน้ำหวานเหนียวๆ ติดตามใบ ชอ่ ดอก ผล และรอบๆ ทรงพุ่ม ทำใหใ้ บมะม่วงเปียก ตอ่ มาจะเกดิ ราดำปกคลมุ ถา้ เกิดมรี า ดำปกคลุมมาก มีผลต่อการสังเคราะห์แสง ใบอ่อนที่ถูกกินน้ำเล้ียง (โดยเฉพาะระยะใบเพสลาด) จะบิดงอโค้งลงด้านใต้ใบจะมอี าการปลายใบแห้งให้สังเกตได ้ รปู รา่ งลักษณะและชวี ประวัต ิ เพลยี้ จกั จนั่ ทงั้ 2 ชนดิ มรี ปู รา่ งคลา้ ยกนั มาก คอื ตวั มสี เี ทาปนดำหรอื สนี ำ้ ตาลปนเทา สว่ นหวั โต และป้าน ลำตัวเรียวแหลมมาทางด้านหาง ทำให้เห็นส่วนท้องเรียวเล็กมองดูจากด้านบนคล้ายรูปล่ิม I. niveosparsus ตวั ใหญก่ วา่ ความยาวลำตวั 5.6-6.5 มลิ ลเิ มตร ทางดา้ นหลงั มจี ดุ สขี าวตอ่ กนั เปน็ รปู ตวั วี (V) สว่ น I. clypealis ตวั เล็กกวา่ ความยาวลำตวั 5.5 มลิ ลิเมตร หัวสีเหลอื งมจี ุดกลมดำประมาณ 2.6 จดุ (วาร,ี 2525ก) ตวั เตม็ วยั เคล่อื นทีร่ วดเร็ว เพราะมขี าคูห่ ลงั ทแ่ี ข็งแรงทำใหก้ ระโดดไดค้ อ่ นข้างไว ตัวอ่อนมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการ แต่มีการเคล่ือนท่ีน้อยกว่าตัวเต็มวัย ตัวอ่อนมักพบ แมลงศัตรูไมผ้ ล 54
อยเู่ ปน็ กลุ่มตามชอ่ ดอกและใบโดยเฉพาะบริเวณโคนของก้านช่อดอก และก้านใบ เนื่องจากบรเิ วณโคน จะมีเย่ือบางๆ สีน้ำตาลหุ้มไว้ เม่ือแดดร้อนจัดจะหลบซ่อนอยู่ตามหลังใบ ในต้นมะม่วงท่ีมีเพลี้ยจักจ่ัน มาก จะได้ยินเสียงเพล้ียจักจ่ันชัดเจน เน่ืองจากแมลงชนิดน้ีใช้ขาหลังกระโดดดีดตัวออกจากใบที่เกาะ อยู่ ทำใหเ้ กิดเสียงได้ ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ รูปร่างยาวรี สีเหลืองอ่อนตามแกนกลางใบอ่อนหรือ ก้านช่อดอกปรากฏเปน็ รอยแผลเลก็ ๆ คล้ายรอยมีดกรดี ภายหลงั จากการวางไขแ่ ลว้ ประมาณ 1-2 วัน จะเหน็ ยางสีขาวของมะมว่ งไหลหยดออกใหเ้ หน็ ระยะไข่ 7-10 วนั เมื่อไขฟ่ กั เปน็ ตัวอ่อนจะเริ่มดดู กิน น้ำเลีย้ งจากชอ่ ดอกและใบ ตัวอ่อนลอกคราบ 4 ครง้ั ระยะตัวอ่อน 17-19 วัน จำนวนเพล้ียจักจั่นท่ีเข้าทำลายช่อดอก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้ดอกร่วงและไม่ติด ผล ดงั นั้น เพล้ียจกั จัน่ ตง้ั แต่ 5 ตัวต่อช่อก็มีผลทำให้ดอกร่วงได้ และถา้ พบปรมิ าณเพลี้ยจักจ่ันเพ่มิ มาก ขึ้นในระยะดอกใกล้บานก็จะทำใหด้ อกร่วงไดเ้ ชน่ กัน (พนมกร และคณะ, 2531) แมลงชนดิ นพ้ี บระบาดอยทู่ วั่ ไปทกุ แหง่ ทป่ี ลกู มะมว่ งพบไดต้ ลอดทงั้ ปี แตป่ รมิ าณประชากรของ เพลี้ยจักจ่ันเพม่ิ ข้นึ อย่างรวดเรว็ ในช่วงออกดอก ระหวา่ งเดือนธันวาคมถงึ มกราคม ปริมาณแมลงจะสูง ข้ึนเรื่อยๆ จากระยะดอกตูมและมีปริมาณสูงสุด เมื่อดอกใกล้บานและลดลงเมื่อมะม่วงเร่ิมติดผลและ จะไมพ่ บแผลเม่ือมะม่วงมขี นาดเทา่ นวิ้ หวั แมม่ อื (ขนาด 1.5-2.0 เซนตเิ มตร หรือชว่ ง 40 วนั ) พชื อาหาร มะมว่ ง ศัตรูธรรมชาติท่ชี ว่ ยทำลายเพลยี้ จกั จัน่ มะมว่ ง ผเี สื้อตวั เบียน Epipyropid, Epipyrops fuliginosa (Tams) แมลงวันตาโต Pipunculid, Pipunculus annulifemur Brunetti แตนเบยี น Aphelinid, Centrodora idiocera Ferrieri การปอ้ งกันกำจัด 1. การตัดแตง่ ก่งิ ภายหลงั เก็บผลผลติ เปน็ วธิ ีควรกระทำอยา่ งยิ่ง เพราะช่วยลดท่หี ลบซ่อนของ เพลีย้ จกั จั่นลง ทำใหก้ ารพ่นสารฆา่ แมลงมีประสทิ ธภิ าพดีขึน้ 2. ถ้าหากไม่มีการป้องกันกำจัดแล้ว มะม่วงจะไม่ติดผลเลย จึงควรพ่นด้วยสารฆ่าแมลง lambdacyhalothrin (Karate 2.5 EC 2.5% EC) อตั รา 20 มิลลิลติ ร หรือ cabaryl (Sevin 85 WP 85% WP) อตั รา 60 กรมั หรือ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อัตรา 10 มลิ ลลิ ติ ร ตอ่ นำ้ 20 ลิตร กอ่ นมะมว่ งออกดอก 1 ครง้ั เมอ่ื ชอ่ ดอกบานแลว้ ไมค่ วรพน่ สารฆา่ แมลง เพราะอาจเปน็ อนั ตรายตอ่ แมลงผสมเกสร และหมน่ั ตรวจดตู ามชอ่ ดอกอยเู่ รอ่ื ยๆ แมลงศัตรไู มผ้ ล 55
3. การพ่นสารฆ่าแมลงให้มีประสิทธิภาพควรพ่นให้ทั่วถึงลำต้น มิเช่นน้ันตัวเต็มวัยจะเคล่ือน ยา้ ยหลบซอ่ นไปยงั บรเิ วณท่ีพน่ สารฆ่าแมลงไมถ่ งึ นอกจากน้ี ยงั ตอ้ งคำนึงการปรับหวั ฉดี ใหเ้ ป็นละออง ฝอยและระยะเวลาการฉีดพน่ 4. ใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกและใบ เพื่อช่วยแก้ปัญหาช่อดอกและใบดำจากโรคราได้บ้าง ถ้าแรง อัดฉีดของน้ำแรงพอก็ช่วยให้เพล้ียในระยะตัวอ่อนกระเด็นออกจากช่อดอกได ้ ต้องระมัดระวังอย่าให้ กระแทกดอกมะม่วงแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ดอกหรือผลทเ่ี ริ่มตดิ รว่ งได้ 5. ใช้กับดกั แสงไฟ ดกั ตวั เตม็ วยั ทบี่ ินมาเล่นไฟ เพลย้ี จักจ่ันฝอยมะม่วง (leafhopper) ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ Amrasca splendens Ghauri วงศ์ยอ่ ย Typhlocybinae วงศ ์ Cicadellidae อันดบั Hemiptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะเกาะอยู่ใต้ใบอ่อน ดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ขอบใบหงิกงอ ขอบใบแห้ง กรอบเป็นรอยไหม้ ไม่สามารถผลิช่อดอกได้ เพล้ียจักจั่นชนิดน้ีเม่ือดูดกินน้ำเล้ียง จะทำให้กลีบจำปา ร่วงหล่นมากมาย ซึ่งรุนแรงกว่าการทำลายของเพลี้ยจักจ่ันมะม่วงมาก ใบอ่อนที่ถูกทำลายจะมีอาการ โค้งงอทางด้านใต้ใบและปลายใบจะแหง้ หดสน้ั ใบออ่ นท่ยี ังไม่ถงึ ระยะเพสลาดจะร่วงหลน่ เสยี หายมาก อาการปลายใบจะคล้ายกับการทำลายของเพลี้ยไฟ แต่ปลายใบที่ถูกทำลายโดยเพลี้ยจักจั่นฝอยจะแห้ง และโคง้ งอลงมาทางดา้ นใตใ้ บ นอกจากนี้ ชอ่ ดอกท่ถี กู ทำลายจะหดสนั้ และดอกร่วงหล่นได้อีกดว้ ย รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวัติ ตัวเต็มวัยเป็นเพล้ียจักจ่ันสีเขียวขนาดเล็ก และบอบบางมากมีขนาด 2.5 มิลลิเมตร บริเวณ หัวสีแดงเขม้ มจี ุดสีดำ 2 จุด ระหวา่ งตา แผ่นหลังแดงเข้มมจี ดุ สีดำและขาวกระจายอย่ทู ่ัวไป ปีกใส สีเขียวอมเหลืองบริเวณใกล้ปลายปีกมีจุดสีแดงเข้ม (วารี, 2525ข) ตัวเต็มวัยจะวางไข่เป็นฟองเดี่ยวๆ สเี หลอื งใส บรเิ วณเสน้ กลางใบของดา้ นใตใ้ บออ่ นมะมว่ งไขม่ ลี ักษณะกลมรี เมอ่ื ใกล้ฟักจะมีสีเขียว อายุ ไข่ 4 วนั เมือ่ ฟกั เป็นตัวออ่ นจะมีอายุ 7-10 วัน พบการระบาดมากเมอื่ มะมว่ งแตกยอดออ่ น ในเขตภาคกลางจะพบระหวา่ งเดอื นพฤษภาคมถงึ กรกฎาคม แมลงศตั รไู มผ้ ล 56
พืชอาหาร มะม่วง ละหุ่ง การป้องกนั กำจดั ให้ใชว้ ิธเี ดียวกับเพล้ียจักจ่นั มะมว่ ง หนอนผเี สอ้ื เจาะผลมะมว่ ง (mango seed borer, seed boring caterpillar) ช่ืออนื่ หนอนเจาะเมล็ดและผลมะมว่ ง ชอ่ื วทิ ยาศาสตร ์ Noorda albizonalis Hampson วงศ์ Pyralidae อันดบั Lepidoptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย ตัวหนอนจะเจาะผลมะม่วงบริเวณก้นเข้าไปกัดกินอยู่ภายในและเจาะเข้าไปจนถึงเมล็ด อ่อนของมะม่วง ผลที่ถูกทำลายจะมีข้ีขุยออกมาบริเวณเปลือกของผล ภายในผลที่ถูกทำลายจะพบ หนอน 5-10 ตัวตอ่ ผล เม่ือผ่าผลมะม่วงดจู ะพบรอยทำลายเปน็ ทางยาวเข้าเมล็ด ทำใหผ้ ลเน่าเสียและ ร่วงหล่น อาจพบผลร่วงต้ังแต่ขณะยังเป็นผลเล็ก แต่ในบางครั้งจะไม่ร่วงเพราะระหว่างผลและก้นขั้ว ผลมใี ยถกั ยึดไว้ตง้ั แตเ่ มื่อหนอนเริม่ ฟกั ออกจากไข่ (สุนทร, 2526) พบการทำลายท้ังผลเล็กและเริม่ แก ่ รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ ตัวเต็มวัยจะวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ ท่ีขั้วผลเม่ือหนอนฟักเป็นตัวจะคลานเข้าไปทำลายบริเวณ ก้นผล อาศัยและกัดกินเน้ือผลอยู่ภายในและขับมูลออกทางรูที่เจาะเข้าไป หนอนมีสีแดงสลับขาวพาด ตามขวางของลำตัว ตวั เตม็ วยั เปน็ ผเี ส้อื สีน้ำตาลเข้ม ไมม่ ลี ายบนปกี ลำตัวยาวประมาณ 1.2 เซนตเิ มตร เมอ่ื กางปีก ปีกกวา้ งประมาณ 2.5 เซนติเมตร พบได้ท่ัวไปในสวนมะม่วง ส่วนใหญ่พบในภาคกลาง เช่น ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี ระยะที่ถกู ทำลาย คือ ช่วงมะม่วงติดผลและอาจพบระบาดเปน็ บางปี พชื อาหาร มะม่วง มะปราง แมลงศตั รูไม้ผล 57
การปอ้ งกันกำจัด 1. การป้องกันกำจัดจะให้ผลดีกว่าการกำจัดเพราะตัวหนอนกัดกินอยู่ภายใน ดังนั้น การพ่น สารฆา่ แมลงควรพน่ ขณะที่มะม่วงยงั ติดผลออ่ นอยู่ ซงึ่ จะเป็นวิธปี ้องกันผเี สื้อวางไข่ เชน่ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) หรือ lambdacyhalothrin (Karate 2.5 EC 2.5% EC) อตั รา 10 มิลลลิ ติ ร ต่อน้ำ 20 ลิตร 2. เกบ็ ผลมะม่วงทถ่ี ูกหนอนทำลายทต่ี ดิ อยบู่ นตน้ และทห่ี ลน่ มาเผาหรอื ฝังทำลาย 3. การหอ่ ผลมะม่วงตัง้ แตข่ นาดผลอ่อนจะช่วยป้องกนั ไมใ่ หผ้ เี สือ้ มาวางไข่ ดว้ งงวงกดั ใบมะมว่ ง (leaf mining grub, mango leaf cutter) ช่อื อ่ืน ด้วงงวงชอนใบมะม่วง ดว้ งงวงกรดี ใบมะมว่ ง ชื่อวทิ ยาศาสตร ์ Deporaus marginatus (Pascoe) ช่อื เหมอื น Eugnamptus marginatus Pascoe วงศ ์ Curculionidae อนั ดบั Coleoptera ลักษณะการทำลาย แมลงชนิดนี้ ตัวเต็มวัยจะกัดเฉพาะใบอ่อน ตัวเมียจะวางไข่บนใบอ่อนของมะม่วง บริเวณ ใกล้ๆ กับเสน้ กลางใบ เมือ่ วางไข่เสรจ็ จะกัดใบ หา่ งจากข้วั ใบประมาณ 1-2 เซนตเิ มตร เหลือแต่โคนใบ ทำให้ใบอ่อนส่วนที่มีไข่ติดอยู่ร่วงลงบนพ้ืนดิน ลักษณะรอยกัดจะกัดเป็นเส้นตรงเหมือนใช้กรรไกรตัด การทำลายรวดเร็วมาก ใชเ้ วลากดั เพยี ง 30-45 วินาทีเทา่ น้ัน นอกจากนี้ ตวั เตม็ วยั ทัง้ เพศผแู้ ละเพศเมียจะกัดกินเฉพาะผวิ ของใบออ่ น โดยเรม่ิ จากปลายใบ ขนึ้ มาและมกั ทงิ้ สว่ นทเี่ ปน็ เย่อื บางๆ เอาไว้ การทำลายทำให้ขอบใบมะมว่ งทั้งสองข้างมว้ นเขา้ หากนั ใน ที่สดุ บริเวณสว่ นปลายของใบจะแห้งและเปลี่ยนเป็นสดี ำหรอื น้ำตาล (แสน, 2531) ความสำคัญของแมลงชนิดนี้ คือ ในระยะที่มะม่วงแตกใบอ่อน ด้วงจะกัดใบอ่อนขาด เหลือ แต่โคนใบไว้บนต้น ภายในระยะเวลา 2-3 วัน จึงเรียกตามลักษณะการทำลายว่า “ด้วงงวงกัดใบ มะมว่ ง” รูปร่างลกั ษณะและชวี ประวัติ ตัวเต็มวัยเป็นด้วงงวงขนาดเล็ก ยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร กว้างประมาณ 1.2-1.5 มิลลิเมตร งวงยาวมาก เกือบเท่าครึ่งหนึ่งของลำตัว หัวและอกสีส้มตารวมใหญ่สีดำ ตัวเมียมีขนาด ใหญก่ ว่าตวั ผู้ ปีกแข็งสีน้ำตาลปนขาว ปลายทอ้ งสดี ำ (สมหมาย, 2534) กอ่ นการวางไข่ ตัวเมยี จะใช้ แมลงศัตรูไมผ้ ล 58
อวัยวะที่อยู่ปลายงวงเจาะท่ดี า้ นขา้ งของเสน้ กลางใบ จากนนั้ จะวางไขต่ ามแกนกลางใบออ่ น จำนวนไข่ ที่พบ มี 2-14 ฟองต่อใบเมื่อวางไข่เสร็จก็จะกัดใบร่วงลงดิน ทำให้ใบอ่อนที่มีไข่ติดอยู่ร่วงลงพื้นดิน ลกั ษณะไข่ยาวรี โปร่งแสง ระยะไขป่ ระมาณ 2-4 วนั เมือ่ ไขฟ่ กั เปน็ ตัวหนอนจะเจาะเส้นกลางใบและ แทรกตัวเข้าไปกัดกินเนื้อเย่ือใต้ผิวใบ เป็นทางคดเค้ียวไปมาจึงเรียกตามลักษณะการทำลายว่า “ด้วง งวงชอนใบมะม่วง” ระยะหนอนใช้เวลาประมาณ 7 วัน หนอนใช้เวลาท่ีเจริญเติบโตอยู่ภายในใบ มะม่วงท่ีหล่นลงสู่พ้ืนดิน ถ้าใบมะม่วงเป็นใบแก่หนอนจะเจริญเติบโตได้ระยะหน่ึงจากนั้นจะตาย เมื่อ หนอนโตเต็มที่จะมีสีเขียวหม่นยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร เข้าดักแด้ตามพ้ืนดินท่ีมีความช้ืนโดยใช้ดิน สร้างเป็นรังดักแด้ (แสน, 2531) ระยะดักแด้ประมาณ 9-12 วัน จึงออกเป็นตัวเต็มวัย วงจรชีวิต ท้ังหมดใช้เวลาประมาณ 22-25 วนั ดว้ งตวั เมยี ซง่ึ เปน็ ตวั ทก่ี ดั ทำลายใบออ่ นมะมว่ ง วางไขไ่ ดป้ ระมาณ 74-200 ฟอง ในปหี น่งึ ด้วงชนิดนีส้ ามารถขยายพันธ์ไุ ด้ถึง 3 ช่ัวอายขุ ัย แมลงชนิดนี้พบระบาดอยู่ทั่วไปบริเวณที่ปลูกมะม่วง ระยะเวลาการระบาดคือ ในระยะท่ี มะมว่ งกำลังแตกใบอ่อน พชื อาหาร มะม่วง มะปราง ละมดุ การปอ้ งกันกำจัด 1. เก็บใบออ่ นทถี่ ูกกดั รว่ งตามโคนตน้ เอาไปฝงั หรือเผาเสยี เพื่อทำลายไขแ่ ละตวั ออ่ น 2. ในระยะทีม่ ะมว่ งแตกใบออ่ นจะมแี มลงทำลายควรพน่ ดว้ ยสาร cabaryl (Sevin 85 WP 85% WP) อตั รา 60 กรมั ต่อน้ำ 20 ลิตร การใชส้ ารกำจัดควบคุมแมลงศัตรูมะมว่ งชนดิ อ่ืนๆ มสี ่วน ชว่ ยลดการทำลายดว้ งกัดใบด้วย 3. การไถดนิ จะชว่ ยลดความเสียหายลงได ้ แมลงวันผลไม้ (oriental fruit fly) ชอื่ อน่ื แมลงวันทอง ชอ่ื วิทยาศาสตร ์ Bactrocera dorsalis (Hendel) วงศ์ Tephritidae อันดับ Diptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย พบกระจายอยู่ทั่วไปทั้งประเทศในเขตอบอุ่นเขตร้อนและเขตหนาว โดยเหตุที่มีการแพร่ แมลงศัตรไู มผ้ ล 59
กระจายมากมายท่ัวโลกทำให้เกิดอุปสรรคต่อการค้าขายระหว่างประเทศ เพราะแต่ละประเทศก็จะมี กฎหมายขอ้ กำหนดระเบยี บในการนำเข้าพชื ผกั ผลไม้ทเี่ ป็นพืชอาศัย ของแมลงวันผลไม้ เพือ่ ป้องกนั ไม่ ให้แมลงชนิดน้ีแพร่ระบาดไปทำความเสียหายในประเทศน้ันๆ ทำให้การค้าขายผลไม้สดระหว่าง ประเทศเป็นไปได้ลำบากข้ึน จึงจำเป็นต้องมีการกำจัดหนอนด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนการส่งออกเป็นเหตุ ให้ต้นทนุ ราคาสนิ คา้ สงู ข้ึนด้วย ความเสียหายของแมลงวนั ผลไมม้ กั จะเกิดขน้ึ เมอ่ื เพศเมยี ใชอ้ วัยวะวางไข่ (ovipositor) แทง เข้าไปในผลไม้ ตวั หนอนที่ฟกั จากไขจ่ ะอาศัยและชอนไชอย่ภู ายใน ทำใหผ้ ลเน่าเสียและร่วงหล่นลงพืน้ ตัวหนอนจะออกมาเพื่อเข้าดักแด้ในดินแล้วจึงออกเป็นตัวเต็มวัย แมลงวันผลไม้วางไข่ในผลไม้สุกและ มีเปลือกบาง ในระยะเร่ิมแรกจะสังเกตได้ยาก อาจพบอาการช้ำบริเวณใต้ผิวเปลือกเมื่อหนอนโตข้ึน เร่ือยๆ จะทำให้ผลเน่าเละและมีน้ำไหลเย้ิมออกทางรูที่หนอนเจาะออกมาเพ่ือเข้าดักแด้ ผลไม้ท่ีถูก ทำลายนี้มักจะมีโรคและแมลงชนิดอ่นื ๆ เขา้ ทำลายซำ้ ดงั นั้น ความเสยี หายท่เี กิดกับผลผลิตโดยตรงนี้ จงึ มมี ูลคา่ มหาศาล กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาตอ่ เศรษฐกิจในระดับชาติเปน็ อันมาก รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ เป็นแมลงขนาดเล็ก ส่วนหัว อกและท้องมีสีน้ำตาลอ่อน ที่สันหลังอกมีแถบสีเหลืองทองเป็น แห่งๆ ส่วนอกกว้าง 3 มิลลิเมตร ปีกใส จากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังปลายปีกอีกข้างหน่ึงกว้าง 15 มิลลิเมตร หลังการผสมพันธุ์ ตัวเมียจะวางไข่โดยใช้อวัยวะวางไข่แทงลงใต้ผิวผลไม้ ไข่มีลักษณะ ยาวรี ระยะไข่ 2-4 วนั เมอ่ื ฟกั ออกจากไขใ่ หมๆ่ ตวั หนอนมสี ขี าวใส เมอ่ื โตเตม็ ทม่ี ขี นาด 8-10 มลิ ลเิ มตร ระยะหนอน 7-8 วัน เม่ือเข้าดักแด้เริ่มแรกมีสีนวลหรือเหลืองอ่อน และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ระยะ ดักแด้ 7-9 วัน แล้วจึงออกเปน็ ตัวเตม็ วยั เม่ือตัวเตม็ วัยอายุประมาณ 12-14 วนั จะเริม่ ผสมพันธ์ุและ วางไข่ (รุจินี, 2523) ตัวเมียมีการผสมพันธ์ุกับตัวผู้หลายคร้ัง ตัวเมียตัวหน่ึงๆ สามารถวางไข่ได้ ประมาณ 1,300 ฟอง วงจรชีวติ ใชเ้ วลา ประมาณ 3-4 สัปดาห ์ แมลงวันผลไม้ระบาดในทวีปอเมริกา ยุโรป เอเชีย หมู่เกาะแปซิฟิก ไต้หวัน ญ่ีปุ่น ปาปวั นวิ กนิ ี ฮาวาย ฯลฯ ในประเทศไทยพบการระบาดทว่ั ทกุ ภาค ทงั้ ในเขตปา่ และในบา้ น และสามารถ อยไู่ ดแ้ มม้ รี ะดบั ความสงู ถงึ 2,760 เมตร จากระดบั นำ้ ทะเล และยงั พบตลอดทง้ั ปี เนอ่ื งจากมพี ชื อาหาร มากมายแตจ่ ะมปี รมิ าณแมลงวนั ผลไมส้ งู สดุ ในชว่ งเดอื นทมี่ ผี ลไมส้ กุ คอื ในชว่ งเดอื นมนี าคมถงึ มถิ นุ ายน อณุ หภมู ทิ เี่ หมาะสมอยใู่ นชว่ ง 25-28 องศาเซลเซยี ส ความชนื้ สมั พทั ธป์ ระมาณ 70-80 เปอรเ์ ซน็ ต์ พชื อาหาร มมี ากกว่า 150 ชนิด ท่พี บมากในบา้ นเรา ได้แก่ มะมว่ ง มังคดุ ชมพู่ พุทรา กระท้อน กล้วย มะละกอ น้อยหน่า ส้มชนิดต่างๆ เงาะ ลำไย ล้ินจี่ ขนุนสาแหรก ลางสาด ลองกอง กาแฟ เปน็ ต้น แมลงศัตรูไม้ผล 60
ศัตรธู รรมชาต ิ มีแตนเบียนหนอนแมลงวันผลไม้วางไข่ตามรอยแผลบนผลไม้ตรงที่แมลงวันวางไข่ไว้ท่ีพบใน ประเทศไทย ได้แก ่ Biosteres arisanus (Sonan) Biosteres longicaudatus Ashmead Opius makii Sonan ตวั ห้ำแมลงวันผลไม้ ได้แก่ มดคนั (Pheidologeton diversus) การป้องกันกำจดั 1. การทำความสะอาดบรเิ วณแปลงเพาะปลกู แมลงวนั ผลไมส้ ามารถเพมิ่ จำนวนประชากรได้ อย่างรวดเร็วในขณะที่มีพืชอาศัยอยู่มาก ฉะนั้น การทำความสะอาดแปลงเพาะปลูกโดยการรวบรวม ทำลายผลไม้ที่เน่าเสีย อันเน่ืองมาจากถูกแมลงวันผลไม้เข้าทำลาย เป็นวิธีการหนึ่งท่ีสามารถหยุดย้ัง การเพ่ิมจำนวนของประชากรอยา่ งรวดเรว็ ของแมลงได ้ 2. การห่อผลไม้ เป็นการป้องกันการเข้าไปวางไข่ในผลไม้ที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง อีกท้ัง ยังเป็นวิธีการท่ีปลอดภัยจากการใช้สารฆ่าแมลง แต่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเร่ืองของแรงงาน และความ ยากลำบากในการห่อผลไมท้ ่ีอยู่ในทีส่ งู ๆ การหอ่ ผลไมน้ ค้ี วรจะหอ่ ใหม้ ดิ ชดิ ไมใ่ หม้ รี หู รอื รอยฉกี ขาดเกดิ ขน้ึ มฉิ ะนัน้ แมลงจะเขา้ ไปวางไข่ได ้ 3. แมลงวันผลไม้มีศัตรูธรรมชาติอยู่แล้ว มีอัตราการทำลายต้ังแต่ 15-53 เปอร์เซ็นต ์ จงึ น่าจะใชศ้ ตั รูธรรมชาติร่วมกบั วธิ อี น่ื ๆ ในการลดจำนวนประชากรในแปลง 4. การพน่ ด้วยสารฆา่ แมลง การใช้สารฆา่ แมลงน้ันเปน็ การลดปริมาณประชากรของแมลงวัน ผลไม้ในธรรมชาติได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลได้ชัด แต่ในขณะเดียวกันแมลงก็มีการเคล่ือนย้ายจาก แหล่งท่ีไม่ได้ฉีดพ่นสารฆ่าแมลงเข้าทำลายอีก และต้องพ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพ่ือป้องกันไม่ให้แมลงเข้า ทำลายซึ่งอาจกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาเรอ่ื งสารพิษตกคา้ งและการทำลายแมลงศตั รูธรรมชาต ิ 5. การใช้สารล่อ ก. การใชส้ ารลอ่ แมลงวันผลไมต้ วั ผู้ สารเคมีท่ีใช้เป็นสารล่อนี้จะสามารถดึงดูดได้เฉพาะแมลงวันผลไม้ตัวผู้เท่าน้ัน และการใช้สาร ล่อนั้นจะต้องคำนึงถึงแมลงท่ีต้องการให้เข้ามาในกับดักด้วย เพราะว่าแมลงวันผลไม้จะมีความเฉพาะ เจาะจงกับสารล่อแต่ละชนิด เช่น สารล่อ เมทธิล ยูจินอล ใช้ล่อแมลงวันผลไม้ชนิด Bactrocera dorsalis (Hendel) ซึง่ พบมากในสวนมะม่วง ข. การใช้เหย่อี โปรตีน จากการศึกษาถึงความต้องการอาหารของแมลงวันผลไม้ พบว่าแมลงดังกล่าวต้องการแหล่ง แมลงศตั รูไม้ผล 61
อาหารโปรตนี เพือ่ การผลิตไข่ จึงไดม้ ีการนำเอาโปรตีน ไฮโดรไลเซท (Protein Hydrolysate) ผสมกับ สารฆ่าแมลงมาเป็นเหย่ือล่อแมลงวันผลไม้ โดยใช้โปรตีนไฮโดรไลเซท 200 มิลลิลิตร ผสมสารฆ่า แมลง malathion 83% EC จำนวน 70 มลิ ลลิ ิตรตอ่ นำ้ 5 ลติ ร พน่ เปน็ จุดๆ เทา่ น้นั วิธกี ารนใ้ี ห้ผลท่ี ดีมาก นอกจากจะประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายในการใช้สารฆ่าแมลงและแรงงานแล้ว ยังเป็นพิษต่อสภาพ แวดล้อม แมลงผสมเกสร รวมท้ังตัวห้ำ ตัวเบียนน้อยลง ที่สำคัญ คือ สารนี้สามารถดึงดูดได้ทั้ง แมลงวันผลไม้ตวั ผู้และตัวเมยี ซ่ึงจะชว่ ยลดอตั ราการเขา้ ทำลายของแมลงผลไมไ้ ด้อยา่ งดี 6. การทำหมันแมลง จุดมุ่งหมายของวิธีการนี้ก็ คือ การกำจัดแมลงให้หมดไปจากพื้นที่ท่ี ต้องการซึ่งจะต้องมีการเลี้ยงแมลงวันผลไม้ให้มีปริมาณมาก แล้วทำหมันแมลงเหล่านี้โดยการฉายรังสี แกมมาจากนนั้ จงึ นำแมลงทเ่ี ปน็ หมนั นี้ไปปลอ่ ยในธรรมชาติ เพือ่ ลดปริมาณในธรรมชาตจิ นหมดไป แต่ การกระทำด้วยวิธีนจี้ ะสนิ้ เปลอื งค่าใชจ้ า่ ยสูงมากและกย็ ังมขี อ้ จำกัดอน่ื ๆ อกี ทจ่ี ะตอ้ งคำนงึ ถึง เช่น การ ปอ้ งกนั การแพรร่ ะบาดเขา้ มาใหมข่ องแมลงและการท่ีแมลงศตั รูชนดิ อืน่ ๆ จะเพม่ิ ความสำคัญข้นึ มา เพลี้ยหอย (scale insects) เพลี้ยหอยท่ีพบบนมะมว่ งมีเพลย้ี หอยเกราะอ่อน (Soft scale) โดยเกาะอยู่ตามใบ กง่ิ ลำตน้ และผล ความสำคญั ของเพลย้ี หอย คอื ตัวออ่ นวัยทีห่ นง่ึ สามารถเคล่ือนที่ได้ ต่อมาจะเกาะนง่ิ กบั ส่วน ของพืชและดูดกินน้ำเล้ียงจากพืช ความรุนแรงในการทำลายพืชเกิดข้ึนเนื่องจากเพลี้ยหอยจะสร้างไข มาปกคลมุ การแพร่กระจายของเพลยี้ หอยมักอาศยั ลม มด และคนเปน็ ตวั แพร่กระจาย เพลยี้ หอยเกราะออ่ นสีนำ้ ตาล (brown soft scale) ชื่อวิทยาศาสตร ์ Coccus hesperidum L. วงศ์ Coccidae อนั ดบั Hemiptera ความสำคัญและลกั ษณะการทำลาย เพลี้ยหอยดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้กิ่งและใบเห่ียวแห้งร่วงหล่นและอาจแห้งตายได้ มักอยู่รวมกัน เป็นกลุ่ม และจะปล่อยน้ำหวาน (honeydew) ออกมาทำให้เกิดราดำเจริญเติบโตปกคลุมบริเวณท่ีถูก เพล้ียหอยทำลาย ซ่ึงก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมาก ในการทำลายของเพล้ียหอยจะพบมดเป็น ตัวการสำคญั ในการชว่ ยเพิม่ การแพร่ระบาดมากขึน้ แมลงศตั รูไม้ผล 62
รูปร่างลกั ษณะและชวี ประวัติ รูปร่างท้ังตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเป็นรูปไข่ยาวรี ลำตัวค่อนข้างแบนโค้งนูนเล็กน้อย ลักษณะ เหมือนกระดองเตา่ ตัวเตม็ วัยมคี วามยาว 2.5-4.0 มิลลเิ มตร มีสีน้ำตาลปนเขยี ว ตวั ออ่ นทเ่ี พ่ิงออกมา จะเรม่ิ หาท่เี กาะอาศัยตามพืชอาหาร ส่วนมากพบบริเวณกง่ิ การเจรญิ เตบิ โต ผ่านการลอกคราบ 2 ครั้ง ระยะตวั ออ่ นประมาณ 60 วัน พบว่าอากาศแห้งจะทำให้วงจรชีวิตของเพลี้ยหอยสั้นลง แต่บริเวณท่ีมีความช้ืนสูงจะมีผลต่อ การเพ่ิมจำนวนเพล้ียหอยอย่างมาก ย่ิงในสภาพอากาศร้อนและอบอ้าว จะทำให้การแพร่กระจายเป็น ไปไดด้ ี โดยเฉพาะในเรอื นเพาะชำและแปลงอนบุ าล พืชอาหาร มะม่วง ส้ม ศัตรธู รรมชาติ แตนเบียน Aphycus spp., Encyrtus spp., Metaphycus sp. แมลงหำ้ หนอนกินเพลีย้ หอย (โกศล และสอุ าภา,2533) การปอ้ งกนั กำจดั 1. กำจัดมด ซ่ึงเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เพล้ียหอยแพร่ระบาดได้รวดเร็ว โดยใช้สารฆ่าแมลง cypermethrin (Ripcord 25% EC) อัตรา 5 มิลลลิ ิตรต่อนำ้ 20 ลติ ร 2. เมอื่ พบเพลย้ี ระบาดควรพน่ ดว้ ยสารฆา่ แมลง malathion (Malafez 83 83% EC) อตั รา 30 มิลลลิ ติ รต่อนำ้ 20 ลิตร หากจะใหม้ ปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขนึ้ ใหผ้ สมสารจบั ใบ Latron C-S7 อัตรา 3-5 มิลลิลติ รต่อนำ้ 20 ลิตร เพ่ือเพ่มิ การแพร่กระจายและการจบั ติด เพล้ยี หอยเกราะอ่อนขีผ้ งึ้ (wax scale) ชือ่ วิทยาศาสตร์ Ceroplastes sp. วงศ ์ Coccidae อันดับ Hemiptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย เพล้ียหอยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ กิ่ง มักพบบริเวณด้านหลังของใบโดยเฉพาะบริเวณเส้นแกน กลางใบ โดยจะรวมกันเป็นกล่มุ และจะพบหนาแนน่ จากเสน้ กลางใบ ออกไปยังแผน่ ใบ เพล้ยี หอยจะ แมลงศัตรไู ม้ผล 63
ปล่อยนำ้ หวานออกมาและมีราดำปกคลุม นอกจากนี้ ยังพบเพล้ียแป้งร่วมทำลายดว้ ย รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวตั ิ รูปร่างเปน็ รปู ไข่ยาวรี ลำตวั ปกคลมุ ดว้ ยไข มสี ีชมพูแดง บริเวณสว่ นกลางและขอบ มีลกั ษณะ เปน็ หนามแขง็ ๆ สขี าว มคี วามยาว 3 มลิ ลเิ มตร ลำตวั ทบึ แสงกวา่ ชนดิ แรก เพลย้ี หอยเมอ่ื ฟกั ออกจาก ไขจ่ ะเคลอื่ นทอ่ี ยบู่ รเิ วณขอบของเสน้ กลางใบ ดา้ นหลงั ใบ เมอื่ มปี รมิ าณมากจงึ เพม่ิ ขน้ึ ทว่ั ใบ และกงิ่ พชื อาหาร มะมว่ ง กล้วย ศตั รูธรรมชาติ พบแตนเบยี นในอตั ราสูงมากกว่า 50 % การป้องกนั กำจดั ใชว้ ิธเี ดยี วกับเพลย้ี หอยเกราะอ่อนสนี ำ้ ตาล เพล้ียแปง้ (mealybugs) เพลีย้ แปง้ ทพี่ บ และทำลายมะมว่ ง จำแนกได้ 4 ชนดิ ดงั น้ี คอื ชอื่ วิทยาศาสตร ์ 1. Dysmicoccus neobrevipes Beardsley 2. Ferrisia virgata (Cockerell) 3. Rastrococcus spinosus (Robinson) 4. Rastrococcus iceryoides (Green) วงศ์ Pseudococcidae อันดบั Hemiptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย เพลี้ยแป้งที่พบมีหลายชนิด ลำตัวของเพลี้ยแป้งปกคลุมไปด้วยสารที่เป็นไขสีขาว คล้ายผง บางครงั้ พบเปน็ เสน้ ยาว มลี ำตวั แตกตา่ งกนั ออกไป บางชนดิ อาจมคี วามยาวถงึ 4 มลิ ลเิ มตร เพลี้ยแป้งเพศเมียจะออกลูกเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนท่ีออกมาจะว่องไวและมีเส้นใยสีขาวคลุม ลำตวั เพศเมยี สามารถออกลูกไดว้ ันละประมาณ 15 ตัว ตวั ออ่ นระยะทีห่ นึ่งใชเ้ วลา ประมาณ 10-20 วัน การผสมพันธจุ์ ะเร่ิมเม่อื เขา้ สูต่ วั ออ่ นระยะที่สาม หลังจากน้ี 10-15 วัน จะเรม่ิ ออกลูกซงึ่ เปน็ ระยะ ท่ีเพศเมยี ลอกคราบคร้ังท่ี 3 แลว้ แมลงศัตรไู มผ้ ล 64
ปกติเพล้ียแป้งอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและมีราดำ (sooty mold) ข้ึนปกคลุมท่ัวบริเวณที่มีเพลี้ยแป้ง เหลา่ นอ้ี าศยั อยู่ พบการทำลายทวั่ ไป บรเิ วณ กงิ่ ใบ ผล โดยเฉพาะดา้ นหลงั ใบ มมี ดเปน็ ตวั การทน่ี ำเพลยี้ แปง้ ใหแ้ พรก่ ระจายไปยงั สว่ นตา่ งๆ ของลำตน้ รปู รา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ 1. Dysmicoccus neobrevipes Beardsley ตัวเต็มวัย เพศเมีย รูปร่างค่อนข้างกลม ลำตัวจะถูกปกคลุมด้วยสารสีขาว ลักษณะคล้ายแป้ง (mealy wax) คอ่ นขา้ งหนา รอบๆ ลำตวั มเี สน้ แปง้ (wax filament) สนั้ ๆ เสน้ แปง้ ดา้ นทา้ ยของลำตวั จะยาว กวา่ ดา้ นขา้ งเลก็ นอ้ ย 2. Ferrisia virgata (Cockerell) ตวั เตม็ วยั เพศเมยี รปู รา่ งรปู ไขค่ อ่ นขา้ งยาว สว่ นหวั มกั กวา้ งกวา่ สว่ นทา้ ย ลำตวั แมลงจะถกู ปกคลมุ บางๆ ดว้ ยสารสขี าวลกั ษณะคลา้ ยแปง้ ทบี่ รเิ วณเกอื บกง่ึ กลางลำตวั มแี ถบสดี ำ 1 คู่ ปลายดา้ นทา้ ยของลำตวั มีเส้นแป้งเล็กๆ สีขาวค่อนข้างยาว ความยาวประมาณครึ่งหน่ึงของความยาวลำตัว ด้านข้างของลำตัวไม่มี เสน้ แปง้ 3. Rastrococcus spinosus (Robinson) ตวั เตม็ วยั เพศเมยี รปู รา่ งคอ่ นขา้ งกวา้ ง ผนงั ลำตวั จะถกู ปกคลมุ ดว้ ยสารสขี าวคลา้ ยแปง้ รอบ ๆ ลำตวั ประกอบดว้ ยเสน้ แปง้ คอ่ นขา้ งยาว ซง่ึ มลี กั ษณะบอบบางและหกั งา่ ย เสน้ แปง้ ทอ่ี ยทู่ างดา้ นทา้ ยของลำตวั จะยาวกวา่ ดา้ นขา้ งมาก 4. Rastrococcus iceryoides (Green) ตัวเต็มวัย เพศเมีย รูปร่างไข่ค่อนข้างกว้าง ผนังลำตัวปกคลุมด้วยสารสีขาวคล้ายแป้ง มีเส้นแป้ง สนั้ ๆ ลกั ษณะบอบบางรอบๆ ดา้ นขา้ งของลำตวั พชื อาหาร มะม่วง นอ้ ยหนา่ ศัตรธู รรมชาต ิ Cryptolaemus montrouzieri (Mulsant) Acerophagus nubilipennis Doz ด้วงเต่าลาย Anagyrus nigricornis Timberlake แตนเบยี น Anarhopus sydneyensis Timberlake Coccophagus qurneyi Comp การป้องกนั กำจัด 1. เมื่อพบเพลี้ยระบาดควรฉีดพ่นด้วยสารฆ่าแมลง malathion (Malafez 83 83% EC) แมลงศตั รไู ม้ผล 65
อัตรา 30 มิลลิลิตร หรือ thiamethoxam (Actara 25 WG 25% WG) อัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หากจะให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึนให้ผสมสารจับใบ Latron C-S7 อัตรา 3-5 มลิ ลิลติ รตอ่ น้ำ 20 ลิตร เพ่ือเพมิ่ การแพรก่ ระจายและการจบั ติด 2. ใชน้ ้ำฉดี รว่ มดว้ ยจะช่วยลดจำนวนเพลีย้ แปง้ ลงได ้ เอกสารประกอบการเรยี บเรียง กลุ่มกีฏและสัตววิทยา. 2553. คำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลงและสัตว์ศัตรูพืชปี 2553. เอกสาร วชิ าการเกษตร สำนกั วจิ ยั พฒั นาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร. 303 หนา้ . พนมกร วรี ะวฒุ ิ ชาญชยั บญุ ยงค ์ ศวิ าพร จนิ ตนาวงศ ์ มนตร ี จริ สรุ ตั น์ และยวุ ด ี เทวหสกลุ ทอง. 2531. การปอ้ งกนั กำจดั เพลยี้ จกั จน่ั โดยสารฆา่ แมลง. แมลงและสตั วศ์ ตั รพู ชื 2531. น. 217-239. ใน เอกสารประกอบการประชุมทางวชิ าการ. คร้งั ท่ี 6, 21-24 มิถนุ ายน 2531. กองกฏี และ สัตววิทยา กรมวชิ าการเกษตร. กรงุ เทพฯ. รุจินี เล้ารตั นบรู พา. 2523. การปอ้ งกันกำจดั แมลงวันผลไม้ (Dacus dorsalis Hendel) ด้วยพชื ยา ฆา่ แมลงบางชนิด. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ. วาร ี หงษพ์ ฤกษ.์ 2525 ก. รายงานเรอื่ งการเปลยี่ นชอื่ วทิ ยาศาสตรเ์ พลยี้ จกั จน่ั และเพลยี้ กระโดดบางชนดิ . ขา่ ว.กีฏ.สัตว. 4(2): 25-26 วารี หงษ์พฤกษ.์ 2525 ข. เพลย้ี จกั จนั่ ฝอย ขา่ ว.กีฏ.สตั ว. 4(3): 26-30. วชั รา ชณุ หวงศ ์ อรนชุ กองกาญจนะ อรณุ ี วงษก์ อบรษั ฎ ์ มาล ี ชวนะพงศ์ เกรยี งไกร จำเรญิ มา และบุญสม เมฆสองสี. 2525. การศึกษาชีววิทยาและพืชอาศัยแมลงค่อมทอง. น. 34-38 ใน รายงานผลการคน้ คว้าทดลอง กองกฏี และสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร. ศริ ณิ ี พูนไชยศรี. 2533. เพลีย้ ไฟท่ีพบในประเทศไทย. ว.กฏี .สตั ว. 3(3): 49-52. สมหมาย ช่ืนราม. 2524. ดว้ งงวงกดั ใบออ่ นมะมว่ ง. ขา่ ว.กีฏ.สตั ว. 3(3): 49-52. สุนทร พพิ ธิ แสงจนั ทร์. 2526. แมลงศตั รูมะมว่ งท่สี ำคัญในบา้ นเรา. วารสารพชื สวน. 18(3): 53-64. แสน ติกวัฒนานนท์. 2531. ลักษณะทางชีววิทยาและนิเวศวิทยาของด้วงงวงกรีดใบมะม่วง (Deporaus marginatus Pascoe). แกน่ เกษตร 16(1): 51-62. Kulkarny H.L. 1955. Incidence of mango flower galls in Bombay Karnatak. J. Bombay Nat. Hist. Soc. 53(1): 147-148. แมลงศตั รูไม้ผล 66
แมลงศตั รมู ะมว่ ง ลักษณะการทำลายของเพลี้ยไฟพรกิ ทีใ่ บ และช่อดอกของมะมว่ ง เพลี้ยไฟพรกิ ลกั ษณะการทำลายของเพล้ยี ไฟที่ผลมะม่วง คราบราดำทเ่ี กดิ จากเพลย้ี จกั จ่ันมะมว่ ง คราบราดำท่เี กดิ จากเพลยี้ จกั จั่นมะมว่ ง เพลี้ยจกั จั่นมะม่วงเข้าทำลายท่ชี อ่ ดอก แมลงศตั รูไมผ้ ล 67
รอยวางไข่ของเพล้ียจักจั่นมะมว่ ง ลักษณะการวางไขข่ องเพล้ยี จกั จั่นมะม่วง เพล้ยี จักจน่ั มะม่วง Idioscopus clypealis เพล้ียจักจั่นมะมว่ ง Idioscopus niveosparsus ผลมะม่วงทีถ่ ูกหนอนเจาะผลทำลาย หนอนเจาะผลมะม่วง แมลงศตั รูไม้ผล 68
ใบอ่อนทีถ่ กู เพลี้ยจกั จนั่ ฝอยทำลาย เพลย้ี จักจัน่ ฝอย ใบอ่อนทถี่ ูกด้วงงวงกดั ใบทำลาย ดว้ งงวงกัดใบ หรอื ดว้ งกรดี ใบมะมว่ ง ตวั เตม็ วยั เพศเมยี วางไขท่ ผ่ี ลมะม่วงใกลส้ ุก หนอนแมลงวนั ผลไม ้ เพลี้ยแป้งทีพ่ บและทำลายมะม่วง แมลงศัตรูไม้ผล 69
แมลงศตั รูไม้ผล ระยะพัฒนาการของมะมว่ ง และระย 70 ม.ค. ก.พ. มี.ค การระบาดของแมลง ัศต ูร ืพช ระยะการ ัพฒนาของมะ ่มวง ระยะแตกใบออ่ น ระยะแทงช่อดอก ระยะดอกบาน ระยะติดผล ระยะผลแก ่ เพลย้ี ไฟพรกิ เพลย้ี จักจ่ันมะมว่ ง เพลี้ยจักจน่ั ฝอยมะมว่ ง ดว้ งงวงกัดใบมะมว่ ง หนอนผเี ส้อื เจาะผลมะมว่ ง แมลงวนั ผลไม้ เพลี้ยหอย เพลย้ี แป้ง
ยะการระบาดของแมลงศัตรทู ส่ี ำคญั ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค.
แมลงศัตรู สม้ เขียวหวาน ศรีจำนรรจ์ ศรจี ันทรา สถานการณ์และความสำคญั ส้มเขียวหวานเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญ และนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย นอกจากจะ จำหน่ายในรูปผลสดแล้ว ยังสามารถจำหน่ายในรูปของน้ำผลไม้ได้ด้วย ประเทศไทยมีสภาพภูมิ ประเทศและภมู อิ ากาศเหมาะสมต่อการปลูกสม้ เขียวหวาน จึงมีแหลง่ ปลกู ส้มเขยี วหวานกระจายไปทวั่ ทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีแหล่งปลูกท่ีสำคัญในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร เชยี งราย สุโขทยั และแพร่ เปน็ ต้น การเจริญเติบโตของส้มเขียวหวานเร่ิมต้นตั้งแต่ผลิตาอ่อนจนกระท่ังถึงใบแก่ใช้ระยะเวลา ประมาณ 55-60 วัน เร่ิมออกดอกถึงดอกบานประมาณ 1 เดือน และผลแก่เริ่มเก็บเก่ียวได้นับจาก ดอกบานประมาณ 8-10 เดือน การเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืชจะมีความสัมพันธ์กับระยะการ พฒั นาการของส้มเขยี วหวานตงั้ แต่ผลิใบจนถงึ ระยะผล นอกจากการทำส้มปีแล้ว โดยท่ัวไปนิยมทำรุ่นของส้ม คือ การบังคับให้ส้มมีการแตกยอด ออกดอก และมีการตดิ ผลในช่วงเวลาทตี่ อ้ งการ ดงั นน้ั การปลกู สม้ เขยี วหวานในประเทศไทยมกี ารเจรญิ เตบิ โตในสภาพทม่ี กี ารแตกยอดหรอื แตกใบออ่ นหลายครงั้ หรอื หลายรนุ่ ประกอบกบั ประเทศไทยมสี ภาพ อากาศรอ้ นชน้ื อณุ หภมู เิ ฉลยี่ คอ่ นขา้ งสงู ทำใหส้ ภาพการปลกู สม้ เขยี วหวานของไทยตอ้ งประสบปญั หาการ ระบาดของแมลงและไรศตั รพู ชื ตลอดทง้ั ปี และบางครง้ั เปน็ ปญั หารนุ แรง จนเกษตรกรไมส่ ามารถหลกี เลยี่ ง การใชส้ ารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ชื ได ้ สถานการณศ์ ตั รพู ชื แมลงศตั รสู ม้ เขยี วหวานมมี ากมายหลายชนดิ บางชนดิ ทำความเสยี หายโดยตรงแลว้ ยงั เปน็ พาหะ ถา่ ยทอดโรค เชน่ เพลย้ี ไกแ่ จส้ ม้ เปน็ พาหะถา่ ยทอดเชอื้ แบคทเี รยี ทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องโรคกรนี นงิ่ ซง่ึ เปน็ โรคที่ สำคญั ทสี่ ดุ ของสม้ เขยี วหวาน เพลย้ี ออ่ นเปน็ พาหะถา่ ยทอดเชอื้ Citrus Tristeza Virus (CTV) แมลงบาง ชนดิ เปน็ ตวั สนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การแพรก่ ระจายของโรคมากขนึ้ เชน่ หนอนชอนใบสม้ ทำใหก้ ารเกดิ โรคแคงเกอร์ มากขน้ึ นอกจากนี้ แมลงศตั รพู ชื แตล่ ะชนดิ มคี วามสำคญั แตกตา่ งกนั ไปขน้ึ อยกู่ บั แหลง่ ปลกู ดว้ ย เชน่ มวน เขยี วสม้ พบระบาดในแหลง่ ปลกู สม้ เขยี วหวานทางภาคเหนอื และภาคใต ้ สวนสม้ เขยี วหวานทอ่ี ยใู่ กลเ้ ชงิ เขามกั ถกู ผเี สอื้ มวนหวานดดู กนิ นำ้ หวานจากผลแกท่ ำใหผ้ ลรว่ ง แตก่ ารระบาดเกดิ เปน็ ครง้ั คราว สำหรบั แมลงศตั รทู สี่ ำคญั ทส่ี ดุ และมกั พบระบาดเปน็ ประจำและทำความเสยี หายใหก้ บั สม้ เขยี วหวานทกุ แหลง่ ปลกู และเปน็ ปญั หากบั สม้ ชนดิ อน่ื ดว้ ย คอื หนอนชอนใบสม้ เพลย้ี ไฟพรกิ และเพลย้ี ไกแ่ จส้ ม้ นอกจากนี้ ยงั พบ การทำลายเพลย้ี ออ่ น เพลยี้ หอย และหนอนแปะใบสม้ ดว้ ย แมลงศตั รูไมผ้ ล 71
หนอนชอนใบสม้ (citrus leafminer) ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Phyllocnistis citrella Stainton วงศ ์ Gracillariidae อนั ดับ Lepidoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย หนอนชอนใบส้มเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญท่ีทำความเสียหายในระยะแตกใบอ่อน ตัวเต็มวัย (ผีเสื้อ) จะวางไข่ใต้เน้ือเยื่อใบใกล้เส้นกลางใบส้ม เม่ือไข่ฟักเป็นตัวหนอนจะกัดกินและชอนไชอยู่ใน ระหว่างผิวใบ หนอนจะทำลายด้านใต้ใบมากกว่าบนใบ รอยทำลายสังเกตได้ง่ายตั้งแต่เร่ิมทำลายโดย เห็นเป็นเส้นทางสีขาวเรียวยาวในระยะเริ่มแรกและขยายใหญ่ข้ึนเป็นทางคดเคี้ยวไปมาคล้ายงูเลื้อย ใบมีลักษณะบิดงอลงทางด้านที่มีหนอนทำลาย นอกจากทำลายใบแล้ว ถ้ามีการระบาดมากหนอนจะ เข้าทำลายกงิ่ อ่อนและผลอ่อนด้วย มีผลทำใหส้ ม้ ตน้ เลก็ ชะงักการเจรญิ เติบโตได้ รอยทำลายทีเ่ กิดจาก การทำลายจะเป็นชอ่ งทางใหเ้ ช้อื แบคทเี รยี Xanthomonas axonopodis pv. citri Hassel Dye ซ่ึง ทำให้เกดิ โรคแคงเกอรร์ นุ แรงขนึ้ รูปรา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ ไข่ มีลักษณะรูปครึ่งวงกลมคล้ายหยดวุ้นใส พบท่ีใบอ่อนส้มด้านบนและหลังใบ ไข่มีขนาด กว้างประมาณ 0.3 มลิ ลเิ มตร และฟักเปน็ ตวั หนอนภายใน 3 วนั หนอน เม่ือฟักออกจากไข่จะเจาะเข้าไปใต้ผิวใบทันที ทำลายส้มโดยใช้ปากซึ่งมีเข้ียวท่ีมี ลักษณะคล้ายใบมีดตัดเน้ือเย่ือและกินน้ำเล้ียงไปเรื่อยๆ หนอนระยะแรกมีสีเหลืองอ่อน หนอนที่โต เตม็ ที่มสี เี หลอื งเข้ม หนอนมี 4 วัย โดยหนอนระยะที่ 4 เป็นระยะกอ่ นเข้าดักแดจ้ ะถกั ใยยดึ ริมขอบใบ พบั มาคลุมตัวแล้วเขา้ ดักแด้ภายในใบท่ีพับน้นั ระยะหนอนประมาณ 7-10 วัน ดักแด้ หนอนชอนใบเม่ือโตเต็มทจ่ี ะพบั ขอบใบสม้ และเข้าดักแดอ้ ยภู่ ายใน ดกั แดม้ สี ีเหลือง เขม้ จนถึงน้ำตาล มหี นามแหลมทีป่ ลายส่วนหัว ระยะดกั แด้ 5-10 วนั ตัวเต็มวัย เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็กประมาณ 2 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อกางปีกออก ท้งั สองข้างประมาณ 6-8 มลิ ลิเมตร ลำตวั สนี วล ปกี สีขาวเหลือบเงนิ ปีกหน้าเล็กเรียว ขอบปกี ใกล้ ปลายปีกมีขนเป็นครุยยาว มีจุดสีดำข้างละจุด ปลายปีกมีแถบขวางสีน้ำตาลเข้ม ปีกคู่หลังเล็กเรียว มีขนเป็นครุยยาวล้อมรอบ ท้องมีสีขาวเงิน หลังจากผสมพันธุ์ประมาณ 24 ช่ัวโมง เพศเมียวางไข่ เป็นฟองเดยี่ ว บริเวณใกลๆ้ เส้นกลางใบ สว่ นใหญ่จะพบดา้ นใต้ใบมากกวา่ ด้านบนใบ เพศเมีย 1 ตัว สามารถวางไข่ไดม้ ากถึง 64 ฟอง ตวั เต็มวัยจะพบบริเวณใต้ต้นสม้ และพงหญา้ รอเวลาท่ีจะวางไข่ บนยอดออ่ นต่อไป วงจรชวี ิต จากไขถ่ ึงตัวเต็มวยั ประมาณ 15-25 วนั แมลงศตั รูไม้ผล 72
หนอนชอนใบส้มพบระบาดทั่วไปตลอดปีทุกช่วงท่ีมีการแตกใบอ่อน โดยเฉพาะระบาดมากใน ช่วงฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม-กันยายน จากการสำรวจศัตรูส้มเขียวหวานพบหนอนชอนใบทุก ชว่ งทมี่ ีใบอ่อนพบมปี ริมาณมากระหว่างเดอื นกรกฎาคม-ตุลาคม พชื อาหาร พืชตระกลู ส้มทกุ ชนิด เช่น สม้ เขียวหวาน ส้มโอ ส้มตรา มะนาว มะกรูด ศตั รูธรรมชาต ิ รุจและพิมลพร (2539) รายงานว่าศัตรูธรรมชาตขิ องหนอนชอนใบส้ม มที ้ังตวั ห้ำ คอื แมลง ช้างปีกใส ตัวอ่อนของแมลงชนิดนี้จับตัวหนอนชอนใบส้มกินเป็นอาหาร มด และแมงมุมบางชนิด เช่น แมงมุมใยกลม และแตนเบียนซ่ึงในสวนส้มพบ 13 ชนิด เช่น Quadrastichus sp. Citrostichus phyllocnistoides (Narayanan), Teleopterous sp., Cirrospilus ingenuus Gahan เป็นตน้ การป้องกนั กำจัด 1. การบังคับยอดใหแ้ ตกพรอ้ มกนั สามารถควบคมุ ประชากรของหนอนชอนใบได้ดีข้ึน สะดวก ในการดูแลรักษา ช่วยลดจำนวนคร้ังการใช้สารเคมีในการแตกยอดแต่ละรุ่น และเป็นการอนุรักษ์ศัตรู ธรรมชาติทีพ่ บมากในสวนส้มอีกดว้ ย 2. เกบ็ ยอดหรือใบสม้ ท่ถี ูกหนอนชอนใบส้มมาทำลาย นำไปเผาทำลายเพอ่ื ลดปริมาณหนอนใน ส้มร่นุ ตอ่ ไป 3. สำรวจหนอนชอนใบสม้ ในช่วงแตกใบอ่อน โดยสมุ่ สำรวจต้นละ 5 ยอด ประมาณ 10-20 ตน้ ตอ่ สวน หากยอดออ่ นถกู ทำลายเกนิ กวา่ 50% ของยอดทสี่ มุ่ สำรวจทงั้ หมด ถอื วา่ หนอนชอนใบสม้ มปี รมิ าณสงู ถงึ ระดบั ทต่ี อ้ งทำการปอ้ งกนั กำจดั ใหพ้ น่ สารฆา่ แมลงทแี่ นะนำ เชน่ petroleum spray oil (SK Enspray 99 83.9% EC) อตั รา 40 มลิ ลลิ ติ ร, clothianidin (Dantosu 16% SG) อตั รา 5 กรมั , imidacloprid (Provado 70% WG) อตั รา 0.5 กรมั , thiamethoxam (Actara 25 WG 25% WG) อตั รา 5 กรมั หรอื imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อตั รา 8 มลิ ลลิ ติ รตอ่ นำ้ 20 ลติ ร พน่ ใหท้ วั่ ทง้ั หนา้ ใบและหลงั ใบ และถา้ สำรวจพบวา่ ยงั มกี ารระบาดของหนอนชอนใบสม้ ใหพ้ น่ ซำ้ สำหรบั การใชส้ าร petroleum spray oil ในการปอ้ งกนั กำจัดหนอนชอนใบส้มใหม้ ปี ระสิทธภิ าพดีน้ัน ต้อง ทำการพน่ สารโดยใชอ้ ตั รานำ้ มากกวา่ การพน่ สารฆา่ แมลงทว่ั ไป เพอื่ ใหส้ ารนำ้ มนั เคลอื บใบพชื เพลี้ยไฟพริก (chilli thrips, yellow tea thrips) ชือ่ วิทยาศาสตร ์ Scirtothrips dorsalis Hood วงศ ์ Thripidae อันดบั Thysanoptera แมลงศตั รูไม้ผล 73
ความสำคัญและลักษณะการทำลาย เพลี้ยไฟพริกเป็นแมลงปากดูดที่ทำความเสียหายให้กับส้มเขียวหวาน โดยเพลี้ยไฟพริกจะ ทำลายในระยะยอดออ่ นและผลออ่ น ตวั ออ่ นและตวั เตม็ วัยดดู กนิ นำ้ เลีย้ งจากใบอ่อน ดอกและผลอ่อน ทำให้ใบมีลักษณะผิดปกติ ใบแคบเรียวและกร้าน การทำลายจะรุนแรงในระยะผลอ่อน นับตัง้ แต่กลีบ ดอกร่วงจนถึงผลส้มเขียวหวานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนท่ีถูกทำลายจะ ปรากฏเป็นวงสีเทาเงินบริเวณขั้วผลและก้นผล หรือเป็นทางสีเทาเงินตามความยาวของผล สำหรับผล อ่อนที่ถูกเพลี้ยไฟพริกทำลายอย่างรุนแรงจะแคระแกร็น ผลผลิตที่ได้จึงด้อยคุณภาพ ไม่เป็นท่ีต้องการ ของตลาด รูปร่างลกั ษณะและชวี ประวตั ิ เพล้ียไฟพริกเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก และวงจรชีวิตสั้นมาก ศิริณี (2535) รายงานวา่ เพศเมยี มีวงจรชีวิต 22-29 วนั ส่วนเพศผู้ 10-18 วัน มีระยะการเจริญเตบิ โตและ รูปร่างลักษณะ ดงั น ้ี ไข่ มลี กั ษณะคลา้ ยเมลด็ ถว่ั สขี าวใส มขี นาดยาว 0.2-0.3 มลิ ลเิ มตร ไขจ่ ะฟกั เปน็ ตวั ออ่ นภายใน 2-3 วนั ตัวอ่อน ทฟี่ กั ออกมาใหม่ๆ มสี ขี าวใส หลังจากนน้ั จะเปลีย่ นเปน็ สีเหลืองใส ไม่มีปีก เคลือ่ นที่ ได้รวดเรว็ มาก ซอ่ นตวั อยภู่ ายใต้กลบี เลีย้ งของดอกและผล ระยะตวั อ่อนวยั 1 ประมาณ 1-2 วนั ตวั อ่อนวยั 2 ประมาณ 3-5 วนั ระยะก่อนเข้าดักแด้ เป็นระยะพักตัวจะไม่กินอาหาร ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ระยะนี้ใช้เวลา ประมาณ 1 วัน จึงเข้าสู่ระยะดักแด้ ดักแด้ มีสีเหลือง มีหนวดอยู่ทางด้านหลังของลำตัว ระยะดักแด้ประมาณ 2 วัน จึงเจริญ เติบโตเปน็ ตัวเตม็ วยั ตวั เต็มวัย เปน็ แมลงขนาดเล็กมาก มีลำตวั ยาวประมาณ 1 มิลลิลิตร สเี หลอื งอ่อน มีปกี 2 คู่ มีลักษณะแคบยาวประกอบด้วยขนเป็นแผง สว่ นท้องมีสเี หลอื งใส บริเวณกลางบนปล้องทอ้ งที่ 2-7 มี แถบสีดำชัดเจน เพศเมียมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้ หลังจากผสมพันธ์ุเพศเมียจะวางไข่ในเน้ือเย่ือบนใบ อ่อนใกล้เสน้ กลางใบ ยอดออ่ นและผลออ่ น เพลี้ยไฟพริกพบระบาดตลอดปี ช่วงการระบาดข้ึนอยู่กับการแตกยอดอ่อน และการติดผล ออ่ น โดยเฉพาะชว่ งที่มีอากาศรอ้ น และฝนทิง้ ช่วงเปน็ เวลานาน พืชอาหาร เพล้ียไฟพริกเป็นแมลงที่มีพืชอาหารมากทั้งพืชผัก และไม้ผล ได้แก่ พริก ส้มเขียวหวาน สม้ โอ สม้ ตรา มะนาว มะม่วง มงั คุด เงาะ ทุเรียน องุ่น มะลิ เป็นต้น แมลงศัตรไู มผ้ ล 74
ศตั รูธรรมชาต ิ ศัตรูธรรมชาติในสวนส้มเขียวหวาน ที่มีบทบาทในการควบคุมเพลี้ยไฟพริก คือ แมงมุม ซึง่ ไดแ้ ก่ แมงมมุ ใยกลม และแมงมุมตาหกเหล่ียม แต่ในสวนส้มเขียวหวานจะพบปริมาณแมงมมุ ค่อน ข้างน้อย เน่ืองจากมีการใช้สารฆ่าแมลงกันมากและบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถควบคุมเพลี้ยไฟพริกใน สวนสม้ เขยี วหวานได ้ การป้องกันกำจดั 1. การควบคุมการแตกยอด ออกดอกและติดผลให้อยู่ในระยะเดียวกันในแต่ละรุ่น โดยการ จัดการระบบการให้น้ำให้ดี จะทำให้สะดวกต่อการป้องกันกำจัดเพล้ียไฟ และช่วยลดจำนวนครั้งของ การพ่นสารเคมใี นแต่ละร่นุ 2. ผลอ่อนท่ีถูกเพล้ียไฟลงทำลายรุนแรงควรเก็บทิ้งทำลาย เพราะผลส้มเขียวหวานเหล่านั้น จะแคระแกรน็ ไมส่ ามารถเจริญเติบโตตอ่ ไปได้ และการเดด็ ผลทิ้งจะชว่ ยใหพ้ ชื ฟน้ื ตัวไดเ้ ร็วข้นึ 3. ควรหมัน่ สำรวจการระบาด ในระยะท่สี ้มแตกใบออ่ นและพัฒนาผลออ่ นโดยเฉพาะในช่วง ท่อี ากาศแห้งแล้ง ฝนท้งิ ช่วง โดยสมุ่ เคาะยอดออ่ นบนกระดาษขาว ต้นละ 5 ยอด จำนวน 10-20 ต้น ต่อสวน เมือ่ สำรวจพบเพล้ียไฟมากกวา่ 10 เปอร์เซ็นต์ของผลที่สำรวจ หรือ 50 เปอรเ์ ซ็นตข์ องใบออ่ น ท่ีสำรวจท้ังหมด จึงทำการพ่นสารฆ่าแมลง ได้แก่ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อตั รา 10 มิลลลิ ติ ร, clothianidin (Dantosu 16% SG) อัตรา 5 กรมั , dinotefuran (Starkle 10% WP) อัตรา 40 กรัม, acetamiprid (Molan 20% SP) อัตรา 5 กรัม และ carbosulfan (Posse 20% EC) อตั รา 40 มลิ ลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เพลี้ยไกแ่ จส้ ม้ (asian citrus psyllid) ชอื่ อืน่ ๆ เพล้ียไก่ฟา้ สม้ เพล้ียกระโดดสม้ ชอื่ วิทยาศาสตร์ Diaphorina citri Kuwayama วงศ ์ Psyllidae อนั ดบั Hemiptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย เพล้ียไก่แจ้ส้มเป็นศัตรูสำคัญของส้มเขียวหวาน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพล้ียไก่แจ้ส้มดูด กินน้ำเล้ียงจากตาและยอดอ่อนของต้นส้มเขียวหวาน สำหรับตัวอ่อนขณะดูดกินจะกล่ันสารสีขาวมี ลักษณะเป็นเส้นด้าย และชักนำให้เกิดราดำติดตามมา ยอดที่ถูกทำลายจะหงิกงอ และเหี่ยวแห้งได้ ถ้าการทำลายถึงขั้นรุนแรงทำให้ใบร่วงติดผลน้อยหรือไม่ติดผลเลย แมลงชนิดน้ี นอกจากทำลายกับต้น สม้ เขยี วหวานโดยตรงแลว้ ยงั เปน็ พาหะถ่ายทอดโรคใบเหลอื งต้นโทรมหรือกรีนน่ิง (greening disease) แมลงศัตรไู ม้ผล 75
ซ่ึงเป็นโรคที่สำคัญท่ีสุดของส้มเขียวหวาน ทำให้โรคส้มชนิดน้ีแพร่กระจายไปเกือบทุกแหล่งปลูกส้ม เปน็ สาเหตใุ ห้ตน้ ส้มเขียวหวานทรดุ โทรมและตายในทส่ี ดุ โรคน้ีถือเป็นอุปสรรคท่สี ำคัญต่อการทำสวน สม้ แนวทางการแกไ้ ขปัญหาโรคกรนี นิ่ง คือ ลดแหล่งของเชือ้ โรค เช่น กำจัดตน้ ส้มทเี่ ป็นโรคทงิ้ และ ใช้พันธส์ุ ้มปลอดโรคปลกู ทดแทนหรอื เม่อื ทำสวนใหม่ และลดแมลงพาหะ คือ เพล้ยี ไกแ่ จส้ ม้ รูปรา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ ไข่ มีลกั ษณะสเี หลืองเข้มคลา้ ยขนมทองหยอด ความยาวประมาณ 0.3 มิลลิเมตร ปลายขา้ ง หนงึ่ ของไขม่ ีกา้ นเลก็ ๆ ฝงั ติดยึดกบั เนอ้ื เยอ่ื พชื ระยะไขป่ ระมาณ 4-5 วัน ตัวอ่อน ที่ฟักออกจากไข่จะคลานจากบริเวณท่ีวางไข่ไปยังส่วนต่างๆ ของยอดอ่อน หลัง จากน้ันจะหยุดอยู่กับที่ดูดกินน้ำเล้ียงจากใบอ่อน ยอดอ่อน ตัวอ่อนมีสีเหลือง ลำตัวค่อนข้างกลม แบน มีตาสีแดง 1 คู่เห็นได้ชัดเจน ตวั อ่อนมี 5 วัย ระยะเวลาประมาณ 11-15 วนั จึงเจรญิ เติบโต เป็นตัวเต็มวยั ตัวเต็มวัย เป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ความยาวจากส่วนหัวถึงปลายปีก ประมาณ 3-4 มลิ ลเิ มตร ปีกมีสเี ทาปนนำ้ ตาล มีสีเข้มบริเวณขอบปีก ทอ้ งปกติมีสฟี ้าอ่อนแต่ท้องเพศ เมียเม่ือมีไข่จะขยายใหญ่มีสีเหลือง ขณะที่เกาะอยู่กับท่ีลำตัวของแมลงจะทำมุม 45 องศากับแนวที่ เกาะ หากได้รับการกระทบกระเทือนจะกระโดดหนี หลังจากผสมพันธ์ุเพศเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มหรือ เปน็ ฟองเด่ียวๆ ที่บรเิ วณตาหรือใบของยอดออ่ นทย่ี งั ไม่คลี่ หรอื ตามซอกระหวา่ งก้านใบอ่อน วงจรชวี ติ จากไข่ถงึ ตัวเต็มวยั ประมาณ 20-47 วัน แมลงชนิดน้ีพบระบาดทวั่ ไปในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ เอเซยี ใต้ และอเมรกิ าใต้ สำหรบั ประเทศไทยพบเพลี้ยไก่แจ้ส้มเร่ิมระบาดรุนแรงท่ีแหล่งปลูกส้มเขียวหวานทางภาคเหนือ และภาค ตะวันออก ต่อมาไดแ้ พร่กระจายส่แู หล่งปลกู ภาคกลางทจ่ี งั หวัดปทมุ ธานี มกั พบไข่และตัวออ่ นในระยะ ส้มเขียวหวานแตกยอดอ่อน โดยพบปริมาณมากช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และเดือนพฤษภาคม- กรกฎาคม พืชอาหาร พืชตระกูลส้มทุกชนิด เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ส้มตรา ส้มเกลี้ยง และมะนาว เป็นต้น นอกจากน้ีตน้ แก้ว, Murraya paniculata (Linneaus) เปน็ พชื อาหารที่สำคญั อกี ชนดิ หน่งึ ศตั รธู รรมชาต ิ รุจและพิมลพร (2539) พบว่าในสภาพธรรมชาติเพล้ียไก่แจ้ส้มถูกทำลายโดยศัตรูธรรมชาติ หลายชนิด ได้แก่ แตนเบียน Tamarixia radiate (Waterston), Diaphorencyrtus aligarhensis (Shaffee, Alam and Agawal) ตัวห้ำ ได้แก่ แมงมุมกระโดด แมงมุมตาหกเหลี่ยม ดว้ งเตา่ หกจดุ Menochilus sexmaculatus (Fabr.) เปน็ ตน้ แมลงศัตรูไม้ผล 76
การป้องกันกำจดั 1. เพล้ยี ไก่แจส้ ม้ เปน็ แมลงพาหะถ่ายทอดโรคกรนี นง่ิ ของสม้ การป้องกนั กำจดั อย่างถูกวธิ เี ป็น สิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มเขียวหวานที่อยู่ในแหล่งปลูกที่มีการระบาดของโรค ดังน้ันในระยะที่ส้มเขียวหวานแตกตาและยอดอ่อนควรหมั่นสำรวจเพล้ียไก่แจ้ส้ม โดยการสุ่ม 5 ยอด ตอ่ ตน้ จำนวน 10-20 ต้นต่อสวน และสำรวจปริมาณตวั เต็มวยั โดยแขวนกบั ดักกาวเหนยี วสีเหลืองบน ตน้ ส้มเขยี วหวาน จำนวน 5 กบั ดักต่อไร่ เม่อื พบเพลย้ี ไกแ่ จส้ ม้ บนกับดักต้องทำการปอ้ งกันกำจดั ทันที โดยการพ่นสารฆ่าแมลงที่แนะนำ ได้แก่ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อัตรา 8 มิลลิลิตร, dinotefuran (Starkle 10% WP) อัตรา 4 กรัม, clothianidin (Dantosu 16% SG) อัตรา 1 กรัม, lambdacyhalothrin (Karate Zeon 2.5 CS 2.5% CS) อัตรา 15 มิลลิลิตร, lambdacyhalothrin/thiamethoxam (Eforia 247 ZC 14.1%/10.6% ZC) อตั รา 4 มลิ ลลิ ิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือพ่นด้วยน้ำมันป้องกันกำจัดแมลง ได้แก่ petroleum spray oil (SK Enspray 99 83.9% EC) อตั รา 60 มิลลลิ ติ รตอ่ นำ้ 20 ลติ ร ในกรณที คี่ วามหนาแนน่ ของเพลย้ี ไกแ่ จส้ ม้ มปี ริมาณ ไม่มากนัก โดยพ่นให้เปียกโชกทง้ั ตน้ ในการใชส้ ารนำ้ มนั ปอ้ งกนั กำจดั แมลงใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและไมเ่ ปน็ อันตรายต่อต้นส้มเขียวหวาน และควรปฏิบัติตามวิธีการท่ีระบุไว้บนฉลากข้างภาชนะบรรจุอย่าง เคร่งครดั 2. สำรวจเพลย้ี ไก่แจ้สม้ บนยอดอ่อนพืชอาหารชนิดอ่ืน เช่น ตน้ แก้ว ท่อี ยู่ในบริเวณใกลเ้ คยี ง ถา้ พบตอ้ งทำการปอ้ งกันกำจดั โดยวิธีการตดั ยอดที่มไี ข่และตวั ออ่ นไปเผา หนอนเจาะสมอฝา้ ย (cotton bollworm) ชื่ออ่ืนๆ หนอนเจาะฝกั ข้าวโพด หนอ.น . เจาะผลมะเขอื เทศ ชอื่ วิทยาศาสตร ์ Helicoverpa armigera (Hubner) วงศ ์ Noctuidae อันดบั Lepidoptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย หนอนเจาะสมอฝ้ายเป็นแมลงศตั รทู ีท่ ำลายสม้ เขียวหวานในระยะดอกและผลอ่อน โดยหนอน วยั ท่ี 1 เมือ่ ฟักออกจากไข่แล้ว จะเจาะเข้าไปกดั กนิ ภายในดอกตูม เม่อื ดอกส้มบานหนอนจะอยูใ่ นวยั 2 อาศัยกดั กินชอ่ ดอกและใบ หนอนวัยท่ี 3 และ 4 กดั กนิ ผลออ่ นทำใหผ้ ลออ่ นรว่ ง หนอนขนาดโตเจาะ ผลส้มขนาดใหญท่ ่ีมีการตดิ ดอกในรุน่ ก่อนๆ ทำให้ผลเปน็ รู เนา่ และร่วงในทีส่ ุด ความเสยี หายเนอื่ งจาก การเขา้ ทำลายของหนอนเจาะสมอฝา้ ยทำให้ผลผลิตส้มลดลงมากกวา่ 50 เปอร์เซ็นต์ แมลงศตั รูไม้ผล 77
รปู ร่างลักษณะและชวี ประวัต ิ ตัวเต็มวัย เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดกลาง ความกว้างเมื่อกางปีกประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปีกหน้ามีลวดลายสีน้ำตาลเข้ม ปีกหลังบริเวณขอบปีกด้านข้างสีน้ำตาลเข้ม ผีเสื้อเพศผู้และผีเส้ือเพศ เมียแตกต่างกันชัดเจน โดยปีกคู่หน้าของเพศเมียมีสีน้ำตาลปนแดง ส่วนตัวผู้มีสีน้ำตาลปนเขียว เพศ เมยี วางไขบ่ รเิ วณดอกตูมหรือกา้ นดอก โดยวางไข่เป็นฟองเดยี่ ว เพศเมีย 1 ตัว วางไข่ได้ 600-2,000 ฟอง ระยะตัวเต็มวัย 7-12 วนั ไข่ มีลักษณะคลา้ ยฝาชี ไขท่ ีว่ างใหม่ๆ จะมีสีนวลเปน็ มัน มลี ายเป็นสีน้ำตาลหยักๆ รอบวงไข่ สีจะเข้มจนเกือบดำเมื่อไข่ใกลจ้ ะฟกั ระยะไข่ 3 วัน หนอน ท่ีฟักออกมาจะเจาะเขา้ ไปกินภายในดอกตูม หนอนระยะแรกมีสีนำ้ ตาลออ่ น เมอ่ื ดอก สม้ บาน หนอนจะอยใู่ นวยั 2 และกัดกินบนชอ่ ดอก หนอนโตขึ้นจะเปลีย่ นเปน็ สเี ขยี วอมนำ้ ตาล หนอน ขนาดโตเตม็ ที่ลำตวั ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ระยะหนอน 15-24 วัน กอ่ นเขา้ ดกั แดห้ นอนจะท้งิ ตวั จากตน้ ส้มลงสู่พน้ื ดนิ และเข้าดกั แดท้ ่บี ริเวณโคนต้น ดักแด้ มสี นี ำ้ ตาล ระยะดกั แด้ 10-14 วัน จากนั้นจงึ เจรญิ เติบโตเปน็ ตวั เต็มวัย หนอนเจาะสมอฝ้ายพบระบาดในประเทศไทยมาช้านานเน่ืองจากมีพืชอาศัยมากชนิด มีการ ระบาดรุนแรงในฤดแู ล้งระหว่างเดือนมกราคมถงึ เมษายน ช่วงเวลาทร่ี ะบาดแตกต่างและเหลื่อมลำ้ กัน ในแต่ละแหล่งปลูก และขึ้นอย่กู บั การออกดอกและติดผลของส้มเขียวหวาน พชื อาหาร หนอนเจาะสมอฝ้ายเป็นแมลงที่มีพืชอาหารกว้างทั้งพืชไร่ ผัก ไม้ดอกและไม้ผล เช่น ฝ้าย ข้าวโพด ข้าวฟา่ ง ถวั่ เหลือง ถัว่ เขียว ถ่วั ลสิ ง ถ่ัวฝักยาว ถว่ั ลันเตา กระเจ๊ยี บ มะเขอื เทศ หนอ่ ไม้ฝรงั่ พรกิ ทานตะวนั องุ่น ส้มโอ และส้มเขยี วหวาน ศตั รูธรรมชาต ิ จากการสำรวจศัตรูธรรมชาติของหนอนเจาะสมอฝ้ายในสวนส้มเขียวหวาน ยังไม่พบศัตรู ธรรมชาติที่มีประสิทธภิ าพ นอกจากแมงมมุ ปยู ักษ์, Olios fassiculatus Simon ทจี่ บั หนอนผเี สื้อต่างๆ กินเป็นอาหาร ส่วนแมลงตัวห้ำท่ีสามารถเล้ียงขยายเพื่อไปใช้ในการควบคุมหนอนเจาะสมอฝ้าย เช่น มวนพฆิ าต, Eocanthecona furcellata Wolff. และ แมลงช้างปกี ใส Chrysopa basalis Walker ซ่ึงเป็นแมลงห้ำทก่ี นิ ไข่หนอนผเี สือ้ ได ้ การป้องกนั กำจัด 1. ในระยะที่ส้มเขียวหวานออกดอกและติดผล เมื่อสำรวจพบหนอนเจาะสมอฝ้ายเริ่มระบาด พน่ ดว้ ยไวรัส NPV หนอนเจาะสมอฝ้ายอัตรา 200 มลิ ลลิ ิตรตอ่ ไร่ และผสมสารจับใบที่กำหนดบนฉลาก ข้างขวด ปรับอัตราการไหลของน้ำยาจากเครื่องพ่นเท่ากับ 200 ลิตรต่อไร่ ควรพ่น 2 คร้ัง ครั้งแรก แมลงศัตรไู มผ้ ล 78
พน่ เมอื่ ดอกส้มเริม่ บาน 50 เปอร์เซ็นต์ และพ่นซ้ำอกี ครง้ั หน่งึ หลังการพน่ สารคร้งั แรก 3 วนั 2. พน่ ดว้ ยแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis ชนดิ ผง อัตรา 60-80 กรมั ต่อนำ้ 20 ลติ ร เมือ่ สำรวจพบไข่และหนอนขนาดเลก็ พน่ ทกุ 3-5 วัน ในช่วงทีห่ นอนเจาะสมอฝ้ายระบาด 3. พ่นด้วยสารฆ่าแมลง chlorfluazuron (Atabron 5% EC) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลติ ร หลงั จากดอกส้มบาน พ่น 2 ครัง้ ห่างกนั 5 วนั เพลยี้ หอยสแี ดงแคลิฟอรเ์ นีย (California red scale) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Aonidiella aurantii (Maskell) วงศ ์ Diaspididae อนั ดบั Hemiptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย เพลี้ยหอยเป็นแมลงศัตรูขนาดเล็กมีรูปร่างลักษณะแตกต่างจากแมลงชนิดอื่นๆ โดยจะมี อวัยวะภายนอกแข็งห่อหุ้มลำตัวซ่ึงอ่อนนิ่มอยู่ภายใน มีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ มีท้ังเพศผู้และเพศ เมีย สามารถพบได้ท่ัวไปตามแหล่งปลูกส้มต่างๆ และเป็นแมลงศัตรูสำคัญของส้มในต่างประเทศ พบ ระบาดมากในประเทศสหรัฐอเมรกิ า แคนาดา ออสเตรเลยี กรีก อิสราเอล อาร์เจนตินา่ ชลิ ี ไซปรัส โมร็อคโค แอฟริกาใต้และตุรกี สำหรับประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียพบแมลงชนิดน้ีทั้งในส้ม เขียวหวานและส้มโอ ในช่วง 3-4 ปีท่ีผา่ นมา มแี นวโนม้ พบการระบาดรนุ แรงมากขน้ึ โดยเฉพาะกบั สม้ ทางภาคเหนอื การระบาดของเพลยี้ หอยชนดิ นพี้ บเกาะอยบู่ รเิ วณผล กง่ิ และใบ ทงั้ ตวั ออ่ นและตวั เตม็ วยั ดดู กนิ นำ้ เลยี้ งทำใหค้ ลอโรฟลิ ถกู ทำลายกลายเปน็ สเี หลอื งซดี ซง่ึ จะพบไดใ้ นบรเิ วณทเ่ี พลยี้ หอยเกาะอยู่ ทำให้ ผลออ่ นชะงกั การเจรญิ เตบิ โตแคระแกรน็ ถา้ พบในปรมิ าณมากอาจทำให้ผลและใบร่วงได้ พบระบาดมาก ในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะผลส้มเขียวหวานท่ีอยู่ภายในทรงพุ่ม การแพร่ระบาดของเพลี้ยหอยชนิดน้ี อาศัยลมและมนุษย์ช่วยในการแพร่ระบาด หรือติดตามชิ้นส่วนพืช โดยเฉพาะผลที่มีส่วนของเพล้ีย หอยเขา้ ทำลาย ถ้าไม่กำจดั จะเป็นแหลง่ สะสมและเปน็ ตัวกลางการแพร่ระบาดอยา่ งดี รูปรา่ งลักษณะและชวี ประวตั ิ แผ่นปกคลุมลำตัวของตวั เตม็ วัยเพศเมยี รปู รา่ งกลม แบน สีเหลอื งปนน้ำตาล โปรง่ แสง มอง เหน็ ตัวแมลงสแี ดงปนน้ำตาลอยใู่ ตแ้ ผ่นปกคลุมลำตัว ลำตัวยาว 0.7-1.2 มิลลิเมตร คราบของวยั ท่ี 1 และ 2 อย่กู ่งึ กลางของแผน่ ปกคลมุ ลำตัว แผน่ ปกคลมุ ลำตัวของเพศผู้ รปู ร่างยาวรี สีออ่ นกวา่ เพศเมีย สพุ ตั ราและมนตรี (2536) ไดท้ ำการศกึ ษาชวี ประวตั แิ ละลกั ษณะการทำลายของเพลย้ี หอย A. aurantii และรายงานวา่ เพลยี้ หอยระบาดและทำลายผล ทำใหผ้ ลทย่ี งั ไมแ่ กจ่ ดั ภายในแคระแกรน็ เนื้อในแข็งหยุดพัฒนาการเจริญเติบโต และร่วง ในระยะเวลาต่อมา นอกจากทำลายผลแล้ว แมลงศัตรไู ม้ผล 79
ยังเข้าทำลายก่ิง ก้าน ใบ และลำต้น และหลบซ่อนอยู่ตามส่วนต่างๆ ของพืช เพ่ืออยู่ข้ามฤดูไป ระบาดในฤดูต่อไป เพลย้ี หอยมกี ารสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศ มที ง้ั เพศผู้และเพศเมยี เพศเมยี จะผลิตตวั ออ่ น (crawler) มขี า 3 คู่ หนวด 1 คู่ และตา 1 คู่ เพศเมียมี 3 วัย ในขณะทเี่ พศผูจ้ ะมกี ารดำเนนิ ชวี ิต ทแ่ี ตกต่างจากเพศเมยี โดยส้ินเชงิ จะเหมอื นกนั เพยี งระยะตวั ออ่ นวัย 1 และ 2 เทา่ นั้น ระยะตวั อ่อนวยั ท่ี 1 หลงั จากตัวออ่ นออกจากไข่ได้ 1-2 ช่วั โมง มนั จะฝังตัวเองลงบนช้นิ ส่วนของพืชท่ีเหมาะสมกับการเจริญเติบโต เช่น ผล ใบ ก่ิง ก้าน หรือ ลำต้น ชอบบริเวณที่มีสี เขียวเข้มมากกว่าสีเหลืองหรือสีน้ำตาล หลังจากนั้น 2 วัน ตัวอ่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นลักษณะ กลมๆ ขาวๆ ซึ่งเรียกระยะนวี้ า่ white cap จากนัน้ ส่วนปกปดิ ลำตัวจะเปลีย่ นเป็นสนี ำ้ ตาลคล้าย ฝาปดิ หรอื เรยี กระยะนว้ี า่ nipple stage ขาทง้ั 3 คู่ ตาและหนวดหายไปเหลือเพียงลำตัวอ่อนนม่ิ สีครีมปกปิดด้วยแผ่นสีน้ำตาลแดง ภายในลำตัวจะมีอวัยวะคล้ายเส้นด้ายเช่ือมกับชิ้นส่วนของพืช และยงั ใชอ้ วัยวะชิ้นนีด้ ูดน้ำเลย้ี งจากพชื เม่ือใกลล้ อกคราบ ลำตัวและแผน่ ปกปิดลำตวั สีนำ้ ตาลจะ ติดแนน่ จนแยกไมอ่ อก ท้งั เพศผู้และเพศเมียในวยั นีม้ ขี นาดรูปรา่ งลักษณะไมแ่ ตกต่างกัน ระยะตวั อ่อนวยั ท่ี 2 หลงั จากลอกคราบครั้งแรก แผน่ ปกปดิ ลำตวั จะเพ่ิมขนาดข้ึน รูปรา่ ง ภายนอกของท้ังสองเพศ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในช่วงท้ายวัยท่ี 2 ลำตัวและแผ่น ปกคลุมลำตัวจะแยกจากกันโดยง่าย ในเพศเมียแผ่นปกคลุมลำตัวจะเห็นเส้นวงกลมคล้ายโล่ เน่ืองจากการลอกคราบในครั้งแรกปรากฏอยู่ ส่วนเพศผู้มีรูปร่างคล้ายหยดน้ำตา เม่ือเปิดส่วน ปกคลุมลำตวั พบวา่ เพศผ้มู ตี าสีมว่ งดำ 1 คู่ ปรากฏใหเ้ หน็ กอ่ นการลอกคราบครง้ั ท่ี 2 เพศเมีย ลำตัวและแผน่ ปกคลมุ ลำตัวจะติดแน่นอกี ครง้ั เหมอื นการลอกคราบคร้งั แรก ระยะตัวเต็มวัยเพศเมีย เมื่อเข้าสู่วัยท่ี 3 เพศเมียซ่ึงยังไม่ได้รับการผสมพันธุ์ ขอบแผ่น ปกคลุมลำตัวจะมีสีเทาน่ิม ขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งขนาดของลำตัวซึ่งเรียกระยะน้ีว่า gray margin stage หรือ virgin female เพศเมียที่ยังไม่ได้รับการผสมพันธ์ุ ลำตัวและแผ่นปกคลุม ลำตวั แยกจากกนั ไดโ้ ดยงา่ ย ลำตัวสามารถเคลือ่ นไหวได้ โดยจะเหน็ ส่วนปลายของอวัยวะสืบพนั ธ์ุ (pygidium) เขา้ มาชิดขอบแผน่ ปกคลุมลำตัว เพอ่ื รอรบั การผสมพนั ธจุ์ ากเพศผู้ ซึ่งเปน็ ระยะเดยี ว กับการเจรญิ เตบิ โตเปน็ ตัวเต็มวัยของเพศผู้ท่ีพร้อมจะเข้าผสมพันธุ์ หลงั จากเพศเมียไดร้ บั การผสม พันธุ์แล้ว ส่วนของลำตัวและแผ่นปกคลุมลำตัวจะยึดติดกันแน่นอีกที ซ่ึงเพศเมียจะเร่ิมตั้งท้อง (gravid female) ปกติแล้วเพลี้ยหอยจะผลิตสารคล้ายข้ีผ้ึงเป็นแผ่นปกคลุมลำตัว ดังน้ัน การลอกคราบ แต่ละคร้ังจะปรากฏเส้นรอบวงกลมบนแผ่นปกคลุมลำตัวเพศเมียซ่ึงมี 2 เส้น แสดงว่ามีการลอก คราบ 2 คร้งั เพศเมียท่ไี ดร้ บั การผสมพันธุ์แล้วจะหยุดผลติ สารคลา้ ยขี้ผึง้ เนื่องจากไม่มีการเพิ่ม ขนาดและลอกคราบต่อไปอีก นอกจากน้ันเพศเมียในวัยน้ีจะสร้างเน้ือเยื่อสีขาวหุ้มส่วนล่างของลำ ตัวติดกับช้ินส่วนของพืช เพื่อเป็นเกราะหุ้มตัวอีกช้ันหน่ึง ขนาดของเพศเมียจะแตกต่างกันออกไป แมลงศัตรูไมผ้ ล 80
ขนึ้ อยกู่ บั ชน้ิ ส่วนของพืชทเ่ี กาะอยู่ เชน่ ขนาดโตเมือ่ เกาะบนผวิ ของสม้ ซึ่งออ่ นนมุ่ อาหารอุดมสมบูรณ ์ ตัวอ่อนเพศเมียลอกคราบ 2 ครั้ง จึงเป็นตัวเต็มวัย ระยะตัวอ่อนถึงตัวเต็มวัยท่ีผลิตลูกได้ ประมาณ 45-60 วนั ตวั เต็มวัยออกลกู เป็นตัว ตวั เมีย 1 ตัว สามารถผลติ ลกู ไดป้ ระมาณ 10-15 ตวั ต่อวนั ช่วงผลติ ลกู ออ่ น 20-40 วนั ระยะตัวเต็มวัยเพศผู้ หลังจากลอกคราบครั้งท่ี 2 เพศผู้ก็เข้าสู่ระยะก่อนดักแด้ ระยะดักแด้ และตวั เต็มวยั ตามลำดับ ตัวเตม็ วยั เพศผจู้ ะบินหรอื เคล่อื นยา้ ยในช่วงระยะใกล้ๆ ลำตวั มีสีเหลืองอมส้ม มีปีกคู่หนา้ 1 คู่ สว่ นปีกคหู่ น้ายาวพบั แนบลำตัว ปีกค่หู ลังเปน็ ปุ่มเล็กๆ เรียกวา่ hooked halter อายุ ของเพศผู้ต้ังแต่เป็นตัวอ่อน จนกระท่ังถึงตัวเต็มวัย ใช้เวลาประมาณ 20-25 วัน ตัวเต็มวัยมีอายุ ประมาณ 1-5 วัน การเจรญิ เตบิ โตในระยะตา่ งๆ ของเพลยี้ หอยสีแดงแคลฟิ อร์เนีย (University of California, 1991) พชื อาหาร สม้ โอ สม้ เขียวหวาน ศตั รธู รรมชาติ พบแมลงเบยี นทที่ ำลาย คอื แตนเบยี น Comperiella bifasciata (Hymenoptera : Encyrtidae) และแตนเบียน Aphytis spp. (Hymenoptera : Aphelinidae) 3 ชนดิ (สพุ ตั ราและมนตรี, 2536) การปอ้ งกันกำจัด 1. ตดั ส่วนของพืชท่ีมเี พลี้ยหอยลงทำลาย นำไปเผาไฟ 2. หากพบการแพร่ระบาดมากใหพ้ น่ ดว้ ยสารฆ่าแมลงท่มี ีประสทิ ธิภาพ ดังนี้ - กลุ่มนิโอนโิ คตินอยด์ : sulfoxaflor 50% W/V WG อตั รา 10 กรัม หรือ dinotefuran 10% W/V SL อตั รา 20 มลิ ลลิ ิตรต่อนำ้ 20 ลิตร - สารน้ำมัน : white oil 67% W/V EC หรือ petroleum spray oil 83.9% W/V EC อัตรา แมลงศตั รูไมผ้ ล 81
60 กรมั ตอ่ นำ้ 20 ลติ ร - กลุ่มออรแ์ กนโนฟอสเฟต : chlorpyrifos 40% W/V EC อตั รา 50 มิลลิลติ ร หรอื malathion 57% EC อตั รา 60 มิลลลิ ติ รต่อนำ้ 20 ลิตร โดยต้องดำเนินการพน่ สาร 2 ครัง้ ติดต่อกนั ห่างกนั 7 วัน เพลยี้ ออ่ นดำ (oriental black citrus aphid or brown citrus aphid) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Toxoptera citricida (Kirkaldy) Toxoptera aurantii (Boyer de Fonscolombe) วงศ ์ Aphididae อนั ดบั Hemiptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย เพลยี้ อ่อนทพ่ี บในส้มมี 3 ชนดิ ได้แก่ เพลย้ี อ่อนดำ T. citricida (Kirkaldy) เพลีย้ ออ่ นดำส้ม T. aurantii (Boyer de Fonscolombe) และเพล้ียออ่ นส้มสีเหลอื ง Aphis citricola Van de Goot แต่เพลย้ี อ่อนชนิด T. citricida และ T. aurantii มีความสำคัญเนื่องจากเปน็ พาหะนำเชอื้ ไวรัส Citrus Tristeza Virus (CTV) เข้าสู่ตน้ สม้ ทำใหเ้ กดิ โรคทริสติซา (Tristeza) โรคอาจตดิ ไปกับกงิ่ ตอนจากตน้ ท่ี เป็นโรคได้ด้วย ใบจะแสดงอาการเหลืองซีดคล้ายขาดธาตุอาหาร เส้นใบแสดงอาการโปร่งใสเป็นขีด สั้นๆ ใบมีขนาดเล็กลง ก่ิงก้านลดน้อยลง มักแห้งตายจากปลายกิ่ง ต้นทรุดโทรม ระบบรากอ่อนแอ อาการมักเริ่มปรากฏใหเ้ ห็นในสม้ เขยี วหวานอายุ 2 ปขี ึน้ ไป ลักษณะทั่วไปของเพล้ียอ่อน ตัวเต็มวัยขนาดลำตัวยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ตัวเมียมีลูกได้ โดยไมต่ อ้ งมกี ารผสมพันธ์ุ ตวั เมียและตวั ผ้ทู มี่ กี ารสรา้ งปกี จะถกู สรา้ งขน้ึ ในภาวะแวดลอ้ ม ทไี่ มเ่ หมาะสม ต่อการดำรงชีวิต เชน่ ต้นพืชเหี่ยวแห้งทรดุ โทรม หรืออากาศไม่เหมาะสมเพ่อื การอพยพเปลย่ี นแหลง่ ที่ อยู่ ท้ังตัวอ่อนและตัวเต็มวัยชอบดูดกินน้ำเล้ียงจากยอดอ่อนและผลอ่อนส้ม โดยเฉพาะด้านใต้ใบหาก เกิดการระบาดมากมักทำให้ใบอ่อนม้วน หงิกงอ และทำให้เกิดราดำบนใบและยอดอ่อน เน่ืองจากน้ำ หวานที่เพลี้ยอ่อนขับออกมา วงจรชีวิต จากไข่ถึงตวั เตม็ วยั ขึ้นอยูก่ บั อณุ หภูมิ เช่น ทอี่ ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส ใชเ้ วลา เพียง 6 วัน หรือทีอ่ ณุ หภมู ิ 15 องศาเซลเซียส ใชเ้ วลาถึง 3 อาทิตย์ แมลงชนิดน้ีมักระบาดมากในช่วงท่ีมีการแตกใบอ่อนในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือน ตุลาคม พชื อาหาร สม้ โกโก้ แมลงศัตรไู ม้ผล 82
เอกสารประกอบการเรียบเรียง ชลิดา อุณหวุฒิ เสาวนิตย์ ไหมมาลา และอรุณี วงษ์กอบรัษฎ์. 2542. แมลงศัตรูส้มเขียวหวาน. น. 65-75. ใน แมลงศัตรูไม้ผล. กลุ่มงานวิจัยแมลงศัตรูไม้ผล สมุนไพร และเคร่ืองเทศ กองกีฏและสตั ววทิ ยา กรมวิชาการเกษตร. บุปผา เหล่าสินชัย และชลิดา อุณหวุฒิ. เพล้ียแป้งและเพลี้ยหอย ศัตรูพืชท่ีสำคัญ. กลุ่มงาน อนกุ รมวิธานแมลง กองกีฏและสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร. 70 หน้า. พสิ ุทธ์ิ เอกอำนวย. 2550. โรคและแมลงของพืชเศรษฐกิจท่สี ำคัญ. โรงพิมพ์อมรนิ ทร์พร้นิ ตงิ้ แอนด์ พับ ลชิ ชิง่ จำกดั (มหาชน). 379 หน้า. รุจ มรกต และพิมลพร นันทะ. 2539. แมลงห้ำแมลงเบียน เพื่อนแท้ผู้ปลูกส้ม. กลุ่มงานวิจัยการ ปราบศตั รพู ืชทางชีวภาพ กองกีฏและสตั ววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร. 97 หน้า. ศริ ณิ ี พูนไชยศร.ี 2535. ชีววทิ ยาของเพล้ยี ไฟศตั รมู ะม่วง Scirtothrips dorsalis Hood. น. 234-238. ใน รายงานผลการค้นคว้าวิจัยปี 2535. กลุ่มงานอนุกรมวิธานและวิจัยไร กองกีฏและ สตั ววิทยา กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ. ศรจี ำนรรจ์ ศรจี นั ทรา บษุ บง มนสั มน่ั คง และศรตุ สทุ ธอิ ารมณ.์ 2551. ทดสอบประสทิ ธภิ าพสารฆา่ แมลง และสารสกดั ธรรมชาตกิ บั แมลงศตั รทู ส่ี ำคญั ในสม้ เขยี วหวาน. น. 47-86 ใน รายงานผล งานวจิ ยั ประจำปี 2551. สำนกั วจิ ยั พฒั นาการอารกั ขาพชื กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตร และสหกรณ.์ สพุ ตั รา ดลโสภณ และมนตรี ทศานนท.์ 2536. เพล้ียหอยสม้ . กสิกร. 66(5): 441-444. อำไพวรรณ ภราดรน์ ุวัฒน์ นพิ นธ์ ทวชี ยั และ ปราณี ฮัมเมอล้ิงค์. 2542. เอกสารวิชาการ นานา สาระ... สม้ เขยี วหวาน. บรษิ ทั เจ ฟลิ ์ม โปรเซส จำกดั . 181 หนา้ . อทุ ัย เกตุนตุ ิ. 2534. การใช้เช้ือไวรัส เอ็น พี วี ควบคมุ หนอนเจาะสมอฝ้ายทที่ ำลายดอกและผล สม้ เขียวหวาน. กสิกร. 64(2): 143-146. Albert, B. 1989. Report on citriculture in Thailand. Feb. 16-23, 1989. 22 pp. (mimeographed) Smith, D., G.A.C. Beattie and R.Broadley. 1997. Citrus Pests and Their Natural Enemies. Mamager Publishing Services, Brisbane. 272 pp. University of California. 1991. Integrated Pest Management for Citrus (second edition). Division of Agriculture and Natural Resources University of California USA. 144 Williums, D.J. and G.W.Watson. 1988. The Scale Insects of Tropical South pacific Region. Part 1 : The Armoured Scales (Diaspididae). Cambrian News Ltd., Aberystwyth. 250. แมลงศตั รไู ม้ผล 83
แมลงศตั รสู ม้ เขยี วหวาน ลกั ษณะการทำลายของเพลีย้ ไฟพริกทย่ี อดออ่ น และผลออ่ นสม้ เขียวหวาน ตวั อ่อนเพลย้ี ไฟพรกิ ตวั เต็มวยั เพลยี้ ไฟพรกิ ไขค่ ลา้ ยหยดนำ้ มักอย่บู รเิ วณหลังใบ หนอนชอนใบจะชอนไชอยใู่ ตผ้ ิวใบ ดักแดอ้ ยู่ภายในรอยพบั ขอบใบสม้ ตวั เตม็ วัยของผเี สือ้ หนอนชอนใบ แมลงศตั รูไมผ้ ล 84
การทำลายของหนอนชอนใบทยี่ อดสม้ เขยี วหวาน โรคแคงเกอร์เขา้ ทำลายซำ้ ไขเ่ พล้ยี ไก่แจ้สม้ สเี หลืองเข้มคล้ายขนมทองหยอด ตวั ออ่ นเพล้ียไก่แจ้สม้ ตัวเตม็ วยั เพลย้ี ไก่แจ้ส้ม เพลีย้ ไกแ่ จ้ทำลายยอดออ่ น ทำให้ยอดหงิกงอ เพลี้ยไกแ่ จส้ ม้ ดดู กินน้ำเลี้ยงและกลัน่ สารสีขาว มีลกั ษณะเปน็ เส้นดา้ ย แมลงศตั รไู มผ้ ล 85
กลุม่ เพลี้ยหอยสีแดงแคลิฟอร์เนียลงทำลายผลส้ม เพลย้ี หอยสีแดงแคลิฟอร์เนียระยะ crawler หนอนแกว้ สม้ ผเี สอ้ื หนอนแก้วสม้ ลักษณะการทำลายของหนอนแปะใบ หนอนแปะใบ แมลงคอ่ มทอง การทำลายของหนอนเจาะสมอฝา้ ย แมลงศตั รไู มผ้ ล 86
ระยะพฒั นาการของสม้ เขยี วหวาน และร การระบาดของแมลง ัศตรู ืพช ระยะการ ัพฒนาของ ้สมเขียวหวาน ม.ค. ก.พ. มี.ค ระยะแตกใบ ระยะออกดอก ระยะผล ระยะเกบ็ เก่ียว แมลงศตั รูไมผ้ ล หนอนชอนใบส้ม 87 เพล้ียไฟพริก เพลีย้ ไกแ่ จส้ ้ม (ตัวเต็มวัย) หนอนเจาะสมอฝา้ ย เพลย้ี หอย
ระยะการระบาดของแมลงศัตรทู ี่สำคญั ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค.
แมลงศัตรู สม้ โอ บุษบง มนัสม่นั คง สถานการณแ์ ละความสำคัญ ส้มโอเป็นไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซ่ึงมีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันพื้นท่ ี ที่มีการปลูกมาก คือ จังหวัดสมุทรสงคราม พิจิตร ชุมพร นครศรีธรรมราช และกาญจนบุรี พันธุ์ท่ี นยิ มปลกู มีหลายพนั ธ์ุ ได้แก่ ทองดี ขาวน้ำผงึ้ ขาวใหญ่ ขาวแตงกวา ท่าข่อย เปน็ ตน้ ส้มโอเปน็ ไม้ผล ที่มีศักยภาพในการส่งออก เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษานาน เปลือกหนา อ่อนนุ่ม ทนทานต่อการ กระทบกระเทือนระหว่างขนส่งได้ในระยะทางไกล มีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ จะสั่งซ้ือในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ การส่งออกไปยังตลาดยุโรป เช่น ประเทศ เนเธอร์แลนด ์ สาธารณรัฐยูเครน สหราชอาณาจักร และประเทศแคนาดา ยังเป็นตลาดที่ไม่ค่อย แน่นอน เนอื่ งจากมขี ้อจำกดั ทางดา้ นการตลาดและสขุ อนามัยพืช สถานการณศ์ ัตรพู ชื การพัฒนาของส้มโอต้ังแต่แตกใบอ่อน ออกดอก ติดผล พัฒนาผลจนถึงระยะเก็บเกี่ยว พบการเข้าทำลายของแมลงศัตรูท่ีสำคัญทุกระยะ โดยระยะแตกใบอ่อน มีการเข้าทำลายของหนอน ชอนใบส้ม เพลี้ยไฟ และหนอนแก้วส้ม ระยะออกดอก ติดผลอ่อน มีการเข้าทำลายของเพล้ียไฟ ระยะผลพบการเข้าทำลายของแมลงศตั รูอย่างต่อเนือ่ ง เช่น หนอนฝดี าษส้ม พบตัง้ แตต่ ิดผลจนกระทัง่ ผลมีอายุ 4 เดือน นอกจากนัน้ ยงั พบการทำลายของหนอนเจาะผลสม้ และเพลี้ยหอยตง้ั แต่ระยะพฒั นา ผลออ่ นจนเกบ็ เก่ยี ว ในขณะทผี่ ีเสือ้ มวนหวานจะเข้าทำลายในชว่ งทผ่ี ลส้มโอแกใ่ กล้เก็บเกี่ยว แมลงศัตรูสำคัญของส้มโอท่ีพบทำความเสียหายในประเทศไทยมีหลายชนิด แต่ที่พบระบาด เป็นประจำในทกุ แหลง่ ปลกู คือ หนอนชอนใบสม้ Phyllocnistis citrella Stainton และเพล้ียไฟพริก Scirtothrips dorsalis Hood นอกจากน้ี แมลงศัตรูส้มโอบางชนิด เช่น หนอนเจาะผลส้มโอ Citripestis sagittiferella Moore หรอื หนอนฝดี าษสม้ Prays citri Milliere พบระบาดในแหล่ง ปลกู บางพื้นท่ ี หนอนชอนใบส้ม (citrus leafminer) ช่ือวทิ ยาศาสตร ์ Phyllocnistis citrella Stainton วงศ ์ Gracillariidae อนั ดบั Lepidoptera แมลงศัตรูไมผ้ ล 88
ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย หนอนชอนใบส้มทำความเสียหายในระยะส้มโอแตกใบอ่อน โดยที่ตัวหนอนกัดกินเนื้อเยื่อภาย ใต้ผิวของใบอ่อนและยอดอ่อนของส้ม รอยทำลายจะปรากฏเป็นทางคดเคี้ยวไปมาบนใบตามทางท่ี หนอนเดนิ เปน็ ผลให้ใบหงกิ งอ แหง้ ไม่สามารถสงั เคราะหแ์ สงได้ ใบอาจจะร่วงก่อนกำหนด รอยแผล จากการกัดกินยังเป็นช่องทางการเข้าทำลายของโรคสะเก็ดแห้ง (Canker) ซ่ึงเป็นโรคที่มีความสำคัญ ของส้มอีกด้วย นอกจากทำลายบนใบแล้ว พบว่าถ้ามีการระบาดมากจะเข้าทำลายบนผล และกิ่งด้วย หากลงทำลายมากในตน้ ส้มเลก็ ทำให้ชะงกั การเจริญเตบิ โต แมลงชนิดนี้พบได้ตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในระยะส้มแตกยอดอ่อนและใบอ่อน มีรายงานพบว่าในช่วงฤดูฝนการทำลายของหนอนชอนใบสูงถึง 90-100 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ พบยอดอ่อนถูกทำลายประมาณ 20 เปอรเ์ ซน็ ต ์ รูปรา่ งลกั ษณะและชีวประวัติ ตัวเต็มวยั เป็นผีเสอ้ื กลางคืนขนาดเลก็ เม่อื กางปีกกวา้ งประมาณ 8.0 มลิ ลิเมตร ลำตวั มสี ี น้ำตาลปนเทา ปีกมีสีเทาเงินแวววาว ขอบปีกมีขนเป็นครุยยาว มีจุดดำข้างละจุด พบหลบบริเวณใต้ ตน้ สม้ และพงหญ้ารอเวลาท่ีจะวางไขบ่ นยอดอ่อนต่อไป ไข่ หลังจากการผสมพันธ์ุแม่ผีเส้ือวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ ใกล้เส้นกลางใบ ส่วนใหญ่จะพบ ดา้ นใต้ใบมากกวา่ บนใบ ไข่มีลักษณะคลา้ ยหยดน้ำ ระยะไข่ 3-5 วัน หนอน เมื่อหนอนฟักออกจากไข่ จะเจาะเข้าไปใต้ผิวใบทนั ที แลว้ กัดกินชอนไชอย่รู ะหวา่ งผวิ ใบ หนอนในระยะแรกๆ มสี เี หลอื งอ่อน หนอนทโ่ี ตเตม็ ทม่ี สี ีเหลอื งเข้ม ระยะหนอน 7-10 วนั ดักแด้ เม่ือใกล้เขา้ ดักแด้ หนอนจะถักใยยดึ รมิ ขอบใบพบั เข้ามาคลมุ ตัวแล้วเข้าดกั แด้อยใู่ นใบ ทพี่ บน้นั ดักแดม้ ีสีเหลอื งเขม้ และสีนำ้ ตาล มหี นามแหลมที่ปลายส่วนหัว ระยะดักแด้ 5-10 วนั พชื อาหาร สม้ โอ สม้ เขยี วหวาน มะนาว และพืชตระกลู สม้ ทุกชนิด ศัตรูธรรมชาต ิ ในแปลงสม้ โอโดยทว่ั ไป พบศัตรธู รรมชาตขิ องหนอนชอนใบหลายชนดิ มีทง้ั ตวั ห้ำ คอื แมลง ช้างปีกใส แมงมุมใยกลมชนิด Zygiella calyptrate (Workman) ส่วนแมลงเบียนท่ีพบในแปลงส่วน ใหญ่เป็นจำพวกแตน (Hymenoptera) จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2535 พบประมาณ 10 ชนดิ ไดแ้ ก่ Quadrastichus sp., Citrostichus phyllocnistoides (Narayanan), Teleopterous sp., Cirrospilus ingenuus Gahan, Ageniaspis citricola Logvinovskaya, Sympiesis striatipes แมลงศตั รไู มผ้ ล 89
(Ashmead), Zaommomentedon brevipetiolatus Kamijo, Eurytoma sp., Kratoysma sp. และ Closterocerus trifasciatus Westwood ชนิดท่ีพบเสมอและมีปริมาณมาก คือ แตนเบียนระยะ หนอน Quadrastichus sp. สว่ น Cirrospilus ingenuus และ Ageniaspis citricola เปน็ แตนเบียน ระยะดักแด้ของหนอนชอนใบส้ม ซึ่งเป็นแตนเบียนที่มีบทบาทมากที่สุดในการลดประชากรหนอนชอน ใบส้ม จากการศึกษาการผันแปรของประชากรหนอนชอนใบส้ม และการตายโดยแตนเบียนในสวนส้ม โอพันธุ์ขาวแตงกวาในจังหวัดชัยนาทระหว่างปี พ.ศ. 2535-2536 พบเปอร์เซ็นต์การตายของหนอน ชอนใบเฉลยี่ ทัง้ ปี อยูร่ ะหวา่ ง 5.6-43.3 เปอร์เซน็ ต์ ในบางฤดูพบมากถงึ 90-100 เปอรเ์ ซน็ ต์ การปอ้ งกันกำจัด 1. การบังคับยอดใหแ้ ตกพร้อมกนั สามารถควบคมุ ประชากรของหนอนชอนใบได้ดขี น้ึ สะดวก ในการดูแลรักษา ช่วยลดจำนวนครัง้ การใชส้ ารเคมีในการแตกยอดแตล่ ะรนุ่ 2. ใบอ่อนส้มโอที่ถูกหนอนทำลายมาก ควรตดั เผาไฟเพ่อื ลดปริมาณหนอนในร่นุ ต่อไป 3. ในระยะท่ีส้มแตกใบออ่ น ทำการสำรวจ ถ้าพบการทำลายของหนอนชอนใบมากกว่า 50% ของยอดสำรวจ ทำการพน่ สารฆา่ แมลง เช่น petroleum spray oil (SK Enspray 99 83.9% EC) อัตรา 40 มิลลิลติ ร, clothianidin (Dantosu 16% SG) อัตรา 5 กรัม, imidacloprid (Provado 70% WG) อัตรา 0.5 กรมั , thiamethoxam (Actara 25 WG 25% WG) อตั รา 5 กรมั หรือ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อัตรา 8 มิลลิลติ รต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นใหท้ ัว่ ท้งั ต้น เพล้ียไฟ (thrips) ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ 1. Scirtothrips dorsalis Hood (เพลีย้ ไฟพริก) 2. Thrips hawaiiensis (Morgan) (เพลีย้ ไฟดอกไม้ฮาวาย) 3. Thrips parvispinus (Karny) (เพลีย้ ไฟมะละกอ) 4. Thrips coloratus Schmutz (เพล้ียไฟหลากส)ี วงศ ์ Thripidae อันดับ Thysanoptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย เพลี้ยไฟเปน็ ศตั รทู ีส่ ำคัญของสม้ โอและพชื ตระกลู ส้มอื่นๆ พบทำลายตา ใบออ่ น ดอกและผล ออ่ น จากการสำรวจพบ Thrips hawaiiensis, T. parvispinus และ T. coloratus ทดี่ อกสม้ โอ ส่วน บนยอดอ่อน และผลอ่อนพบเพล้ียไฟพริก Scirtothrips dorsalis ทำความเสียหายอย่างรุนแรงกับ แมลงศตั รูไม้ผล 90
ผลออ่ นสม้ โอ และพบระบาดเปน็ ประจำ โดยเพล้ียไฟชนิดนีท้ ง้ั ตัวออ่ นและตวั เตม็ วัยใช้ปากเขย่ี และดูด กินน้ำเล้ียงส่วนอ่อนตา่ งๆ ของส้มโอ การทำลายบนยอดหรือใบอ่อน จะทำให้ใบแคบเล็กกร้าน และบดิ งอ การทำลายบนผลจะเร่ิมเข้าทำลายตั้งแต่ติดผล ภายหลังกลีบดอกร่วงหมดแล้ว เกิดเป็นรอยแผล บนผิวของส้มโอเป็นทางสีเทาเงิน ผลแคระแกร็น บิดเบ้ียว คุณภาพไม่เป็นที่ต้องการของตลาด โดย เฉพาะอย่างย่ิงตลาดส่งออกที่มีมาตรฐานคัดคุณภาพค่อนข้างสูง เพล้ียไฟพบระบาดท่ัวทุกแหล่งปลูก สม้ โอตลอดปี ชว่ งการระบาดขึ้นอยู่กบั การแตกยอดออ่ น และการติดผลอ่อน โดยเฉพาะช่วงทม่ี อี ากาศ รอ้ น และฝนทิง้ ช่วงเป็นเวลานาน รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวัติ (เพลี้ยไฟพรกิ Scirtothrips dorsalis) ตวั เตม็ วยั เป็นแมลงขนาดเล็ก สีเหลอื ง มีลำตัวแคบ ยาวประมาณ 1 มิลลเิ มตร มปี กี 2 คู่ที่ แคบยาว ประกอบด้วยขนเป็นแผง ตัวเตม็ วัยเพศเมยี มอี ายปุ ระมาณ 15 วนั เมื่อไดร้ ับการผสมพนั ธจุ์ ะ ออกไขไ่ ดป้ ระมาณ 40 ฟอง วงจรชวี ิตประมาณ 15 วัน ไข่ ตวั เต็มวัยวางไขภ่ ายในเนอ้ื เยอื่ พชื โดยวางไขเ่ ป็นฟองเดย่ี วๆ บริเวณยอด ใบอ่อน และ ผลอ่อน ตัวอ่อน เม่ือฟักใหม่ๆ มีสีขาวใส จากน้ันเปล่ียนเป็นสีเหลือง ตัวอ่อนชอบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ กลบี เลยี้ งของดอกและผล ดักแด้ ระยะก่อนเข้าดักแด้มีสีเหลือง เป็นระยะพักตัวไม่ดูดกินอาหาร แต่สามารถเคลื่อนที่ เม่อื ถูกรบกวน หนวดจะพับอยูด่ ้านหลังของสว่ นหวั พชื อาหาร สม้ เขยี วหวาน สม้ ตรา ส้มโอ มงั คุด เงาะ ทเุ รยี น มะมว่ ง พลับ มะลิ พริก ศัตรูธรรมชาต ิ แมงมมุ ใยกลม ในวงศ์ Araneidae และแมงมมุ ตาหกเหล่ียม วงศ์ Oxyopidae เป็นแมงมุมที่ พบมากในสวนสม้ โอ และมีบทบาทในการควบคมุ เพลี้ยไฟ การปอ้ งกนั กำจดั 1. การควบคุมการแตกยอด ออกดอกและติดผลให้อยู่ในระยะเดียวกันในแต่ละรุ่น จะทำให้ สะดวกตอ่ การป้องกันกำจัดเพล้ียไฟ และชว่ ยลดจำนวนครง้ั ของการพ่นสารเคมีในแตล่ ะรนุ่ 2. ผลออ่ นส้มโอท่ถี ูกเพล้ียไฟลงทำลายรุนแรง ควรเกบ็ ท้ิงทำลาย เพราะผลสม้ โอเหลา่ นัน้ จะ แคระแกรน็ การเดด็ ผลทิง้ จะชว่ ยให้พืชฟืน้ ตัวได้เร็วขน้ึ 3. ควรหมั่นสำรวจระยะท่ีส้มโอแตกใบอ่อนและพัฒนาผลอ่อนโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศ แมลงศตั รไู ม้ผล 91
แห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง เมื่อสำรวจพบเพล้ียไฟมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ของผลท่ีสำรวจ หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ ของใบอ่อนท่ีสำรวจ ทำการพ่นสารฆ่าแมลง ได้แก่ imidacloprid (Confidor 100 SL 10% SL) อตั รา 10 มลิ ลิลติ ร, clothianidin (Dantosu 16% SG) อตั รา 5 กรัม, dinotefuran (Starkle 10% WP) อัตรา 40 กรัม, acetamiprid (Molan 20% SP) อัตรา 5 กรัม และ carbosulfan (Posse 20% EC) อตั รา 40 มลิ ลิลิตรต่อนำ้ 20 ลติ ร หนอนเจาะผลส้ม (citrus fruit borer) ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ Citripestis sagittiferella Moore วงศ ์ Pyralidae อนั ดบั Lepidoptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย หนอนเจาะผลสม้ โอพบระบาดในแหลง่ ปลกู สม้ โอบางแหลง่ เชน่ เชยี งราย นครนายก ปราจนี บรุ ี ตราด และตามแหลง่ ปลกู ในภาคใต้ เชน่ ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช หนอนจะเจาะกนิ เขา้ ภายในผลสม้ โอ รอยเจาะทำลายมมี ลู ของหนอนทถ่ี า่ ยออกมาและมยี างไหลเยมิ้ ผลเนา่ และรว่ งกอ่ นการ เกบ็ เกย่ี ว การระบาดของหนอนเจาะผลสม้ โอมกั พบไดต้ ลอดทงั้ ป ี รปู รา่ งลักษณะและชีวประวัติ ตัวเต็มวัย เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดกลาง เมื่อกางปีกกว้าง 2.0-2.5 เซนติเมตร ปีกคู่หน้ามีสี เทาปนนำ้ ตาล ปกี คูห่ ลังสีขาวนวล ไข่ ตัวเต็มวยั เพศเมยี วางไข่เปน็ ฟองเดี่ยวหรอื เป็นกลุ่ม 2-29 ฟอง บนผลส้มโออายปุ ระมาณ 2 สปั ดาหจ์ นถึงระยะเก็บเก่ยี ว ไขม่ ลี ักษณะกลมแบนสขี าวใสเป็นเงา เรยี งซ้อนทับกนั เปน็ กลมุ่ ระยะไข่ 4-7 วัน หนอน ตวั หนอนทฟ่ี กั ออกมาใหมๆ่ มลี ำตวั สเี หลอื งออ่ น หวั สนี ำ้ ตาล หนอนกดั กนิ เขา้ ไปในผลสม้ โอ เหน็ อาการยางไหลเยม้ิ ผสมมลู หนอนชดั เจนจากภายนอกผล เมอื่ หนอนโตเตม็ ที่ ลำตวั จะเปลย่ี นเปน็ สชี มพู แดง กอ่ นเขา้ ดกั แดส้ ลี ำตวั จะเปลยี่ นเปน็ แดงเขม้ อมสเี ขยี ว ระยะหนอน 14-17 วนั ดักแด้ หนอนโตเตม็ ทแี่ ล้วจะออกจากผลสม้ โอและเขา้ ดกั แด้ในดิน ระยะดกั แด้ 4-10 วนั พืชอาหาร สม้ โอ มะขาม คูน แมลงศตั รไู ม้ผล 92
ศัตรธู รรมชาต ิ ในสวนส้มโอ พบแตนเบียนไข่ Trichogramma sp. แตนเบียนหนอน Cotesia flavipes Camaron (Hymenoptera : Braconidae) แตนเบียนดักแด้ Clelonus sp. (Hymenoptera : Braconidae) แมงมมุ Zygiella calyptrate Workman (Arachinidae : Araneidae) การป้องกันกำจัด 1. ควรบงั คบั การตดิ ดอก และออกผลใหอ้ ย่ใู นระยะเดียวกันเปน็ รุน่ เพ่อื สะดวกในการปอ้ งกนั กำจดั และลดปริมาณหนอนเจาะผลสม้ โอ 2. เกบ็ ผลทถ่ี ูกทำลายไปเผาไฟ เพ่อื ป้องกันไมใ่ ห้เกิดการระบาดต่อไป 3. ในแหล่งท่ีมีการระบาดเป็นประจำ ควรทำการพ่นสารฆ่าแมลง เช่น cypermethrin/ phosalone (Parzon 6.25%/22.5% EC) อัตรา 30 มิลลิลติ ร, acephate (ACFA 75% SP) อัตรา 30 กรมั , emamectin benzoate (Proclaim 019 EC 1.92% EC) อัตรา 10 มิลลลิ ิตร, profenofos (Supercron 500 EC 50% EC) อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เม่ือผลส้มโออายุประมาณ 2 สัปดาห์ โดยพ่น 4 ครั้งทุก 7 วัน แล้วห่อผลส้มโอด้วยถุงกระดาษห่อผลสีขาวเม่ือผลส้มโออายุ 1 เดือนครึ่ง หนอนฝีดาษสม้ (citrus rind borer) ช่ือวทิ ยาศาสตร ์ Prays citri Milliere ช่อื อื่น หนอนปม หนอนสรา้ งปม วงศ์ Yponomeutidae อนั ดับ Lepidoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย เป็นศัตรูที่สำคัญในแหล่งปลูกส้มโอหลายพ้ืนที่ เช่น สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช นครนายก เป็นต้น หนอนเจาะเขา้ ไปกดั กินอยภู่ ายในบริเวณเปลอื กส้มโอ ทำใหเ้ กดิ ลกั ษณะเปน็ ป่มุ ปม ผิวเปลือกคล้ายโรคฝีดาษ (small pox) ถึงแม้การทำลายจะไม่ถึงเน้ือส้มโอ แต่ลักษณะผลไม่เป็นที่ ต้องการของตลาด หนอนฝดี าษสม้ เรมิ่ เขา้ ทำลาย เมอื่ สม้ โอติดผลออ่ นจนผลสม้ โอมีอายุ 4 เดือน รูปรา่ งลักษณะและชีวประวัติ ตวั เต็มวยั เป็นผเี สอื้ กลางคนื ขนาดเลก็ เมื่อกางปกี กวา้ ง 4.0-5.0 มลิ ลิเมตร ปีกมีสีน้ำตาล แมลงศตั รไู ม้ผล 93
ไข่ ผเี สื้อจะวางไข่เป็นฟองเดีย่ วๆ บรเิ วณผิวเปลอื กส้มโอ ระยะไข่ 2-3 วนั หนอน เม่ือฟักออกจากไข่ระยะแรกจะมีสีเขียว เมื่อโตเต็มท่ีจะมีสีเขียวเข้มและมีแถบสีแดง คาดขวางตลอดลำตัว หนอนขนาดลำตัวยาว 5.0-7.0 มลิ ลเิ มตร ระยะหนอน 18-23 วนั ดักแด้ หนอนอาศัยกดั กินอยู่ในปมจนโตเตม็ ท่ี จะเจาะปมออกมาสรา้ งใยห่อห้มุ แล้วเข้าดกั แด้ ภายนอกบรเิ วณผล ขอบใบ หรือกงิ่ สม้ ระยะดกั แด้ 5-6 วัน พืชอาหาร ส้มโอ มะนาว การปอ้ งกันกำจดั 1. ตรวจดูตามผลส้มโอ เก็บผลส้มท่ีถูกทำลายฝังหรือเผาไฟ เพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดการระบาด ตอ่ ไป 2. ในแหล่งท่ีมีประวัติการระบาดเป็นประจำ ควรทำการพ่นสาร cypermethrin/phosalone (Parzon 6.25%/22.5% EC) อัตรา 30 มิลลลิ ิตรต่อน้ำ 20 ลิตร สลบั กับสาร abamectin (Jacket 1.8% EC) อตั รา 10 มลิ ลลิ ติ รตอ่ นำ้ 20 ลิตร โดยพน่ ก่อนดอกบาน 1 ครั้ง และพ่นสารสลบั ทกุ 7 วัน จำนวน 4 คร้ัง และหอ่ ผลเมือ่ ผลมีอายุประมาณ 1 เดือน หนอนแก้วสม้ (leaf eating caterpillars) ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Papilio demoleus malayanus Wallace Papilio polytes romulus Cramer วงศ ์ Papilionidae อนั ดับ Lepidoptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย หนอนแก้วสม้ มีหลาย subspecies แตท่ พี่ บเห็นบอ่ ยๆ คอื P. demoleus malayanus และ P. polytes romulus พบไดท้ ั่วไปทกุ บรเิ วณที่มีการปลูกสม้ โอหรือพืชตระกลู ส้มอน่ื ๆ เมอ่ื มีการแตกใบ อ่อน ผีเส้ือชนิดน้ีจะวางไข่และเม่ือฟักออกมาเป็นหนอนจะกัดกินใบอ่อนและยอดอ่อน การทำลาย รวดเร็วมากขึ้นอยู่กับขนาดของหนอน หากระบาดรุนแรงหนอนจะกัดกินใบอ่อนหมด ต้นภายใน 2-3 วัน ส้มอาจตายได้ สว่ นใหญ่มักเปน็ ปญั หามากกบั ส้มโอปลูกใหม่ และต้นสม้ โอในเรือนเพาะชำ แมลงศตั รูไม้ผล 94
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161