เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 84 เบส คอื ปริมาณไฮดรอกไซด์ไอออน(OH-) ที่อยู่ในสารละลาย สารใดที่แตกตัวให้ ไฮดรอกไซด์ไอออน มากเราเรยี กว่าด่างแก่ ดงั สมการ สารใดท่ีแตกตวั ให้ ไฮดรอกไซดไ์ อออนได้น้อยเราเรยี กว่าด่างอ่อนดงั สมการ 7. ค่ำพีเอช (pH) ของดิน การวัดสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ประเมินได้จากความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน หรือ ไฮโดรเจนไอออนในสารละลายดิน (soil reaction) มีค่าเป็นสิบยกกาลังติดลบจานวนมาก ไม่สะดวกในการ ปฏิบัติ จึงระบุความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนใหม่ โดยใช้ค่าพีเอชแทน ซ่ึงสามารถ หาคา่ พีเอชและพีโอเอช ( pOH ) ดังสมการ ความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนหรือไฮโดรเนียมไอออนและความเข้มข้นข องไฮดรอกไซด์ ไอออนในสารละลายดิน ซึ่งมีหน่วยเป็น โมล/ลิตร ( ตารางที่ 5.2 ) ถ้าดินมีค่าพีเอชเท่ากับ 7.0 หมายความว่า ดินมีปฏิกิริยาเป็นกลาง กล่าวคือ ในสารละลายดินมีปริมาณไฮโดรเจนไอออนเท่ากับปริมาณไฮดรอกไซด์ ไอออน ถ้าดินมีค่าพีเอชสูงกว่า 7.0 ดินน้ันมีปฏิกิริยาเป็นด่าง คือ มีปริมาณไฮดรอกไซด์ไอออนมากกว่า ไฮโดรเจนไอออน ยิ่งมีค่าพีเอชสูงกว่า 7.0 มากข้ึนเพียงใดความเป็นด่างก็ยิ่งมากข้ึนเพียงนั้น เช่น ดินที่มีพีเอช เทา่ กับ 9.0 จะมคี า่ ความเปน็ ดา่ งมากกวา่ ดนิ ที่มคี ่าพเี อชเทา่ กบั 8.0 และถา้ ดินที่มีค่าพีเอชต่ากว่า 7.0 เรียกดิน นั้นว่า ดินกรด ย่ิงมีค่าพีเอชต่ากว่า 7.0 ลงมามากเพียงใด ดินนั้นก็ยิ่งมีปริมาณไฮโดรเจนไอออนหรือมีความ เป็นกรดมากข้ึนเพียงน้ัน เช่น ดินท่ีมีค่าพีเอชเท่ากับ 4.0 ก็จะมีความเป็นกรดมากกว่าดินท่ีมีค่าพีเอชเท่ากับ 5.0 ระดับความรุนแรงของความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งในดินขึ้นอยูก่ บั ค่าพเี อช ซึง่ กลา่ วไว้ในตารางท่ี 5.3
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 85 8. สำเหตขุ องกำรเกิดกรดในดิน ดินที่ใช้ในการเกษตรโดยท่ัวไปจะมีปฏิกิริยาเป็นกรด ชาวบ้านนิยมเรียกดินท่ีเป็นกรดว่า ดินเปร้ียว การที่ดินเปน็ ดินกรดหรอื ดนิ เปรี้ยวมีสาเหตมุ าจากหลาย ๆ ประการ ดงั นี้ 1. ในอากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบ ก๊าซดังกล่าวสามารถละลายลงไปในดินได้ เม่ือ ฝนตกนา้ กจ็ ะไปรวมกบั คารบ์ อนไดออกไซด์ ในดินกลายเปน็ กรดคาร์บอนิกดังสมการ ไฮโดรเจนไอออน ที่เกิดขึ้นก็จะไปไล่ที่ เบสิกแคตไอออน (basic cation) ได้แก่ ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม โปตัสเซียม และโซเดียม ที่ดูดยึดอยู่ท่ีผิวของอนุภาคดิน เม่ือเวลาผ่านไป นานทาให้ปริมาณไฮโดรเจนไอออนที่ดูดยึดอยู่ท่ีผิวของอนุภาคดินมากข้ึน ทาให้ดินมีปริมาณ ไฮโดรเจนไอออนมากข้นึ ทาให้ดนิ กลายเปน็ ดินกรดได้ ภาพท่ี 5.6 แสดงตัวเลขระหวา่ ง 1 – 14 เพ่ือบอกสภาพความเปน็ กรดเปน็ ด่าง
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 86 ตารางที่ 5.2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ไฮโดรเนียมไอออน(H3O+) ไฮดรอกไซด์ไอออน(OH–) พีเอช (pH) และ พโี อเอช (pOH) ตารางท่ี 5.3 ระดับความรนุ แรงของความเป็นกรดเป็นดา่ งในดิน คำ่ พีเอช ระดบั ควำมรนุ แรง 10.0, 9.5 และ 9.0 ด่างแก่ 8.5 และ 8.0 ด่างปานกลาง 7.5 7.0 ด่างอ่อน 6.5 เป็นกลาง 6.0 กรดเลก็ นอ้ ย 5.5 กรดอ่อน กรดปานกลาง 5.0, 4.5 และ 4.0 กรดจดั ที่มา (นงคราญ กาญจนประเสริฐและคนอน่ื ๆ, 2546, หน้า 205)
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 87 2. เกิดจากขบวนการผุพังเน่าเปื่อยของอินทรียวัตถุในดิน ทาให้เกิดกรดไนตริก( HNO3) และเกิดกรดซัลฟวิ ริก (H2SO4) และกรดอนิ ทรยี ์อนื่ ๆ อีกหลายชนิด 3. เกดิ จากตะกอนนา้ กรอ่ ย ซง่ึ มีปรมิ าณอนุมลู ซลั เฟต (SO42-) สะสมอยมู่ ากทาปฏิกิริยากับเหล็กจะอยู่ใน ดินในรูปของไพไรต์ (pyrite) อยู่ในสภาพขาดออกซิเจนมักจะพบในดินช้ันล่าง เมื่อไพไรต์ทาปฎิกิริยา กับออกซิเจนจะได้สารสีเหลืองฟางข้าวเรียกว่า จาโรไซต์ (jarosite) และกรดซัลฟิวริก ทาให้ดินเป็น กรดมากข้ึน บริเวณท่ีพบได้แก่ ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้ แถบจังหวัด นครนายก ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี และ ชลบรุ ี 9. ชนดิ ของกรดในดนิ ความเป็นกรดในดินมีอยู่ 2 ชนิด คือ ความเป็นกรดจริง (active acidity) และความเป็นกรดแฝง (potential acidity) ความเป็นกรดจริง หมายถึง ปริมาณไฮโดรเจนไอออนในสารละลายดิน ส่วนความเป็น กรดแฝง หมายถึง ปรมิ าณไฮโดรเจนไอออนทีถ่ กู ดดู ซบั ไวท้ ่ีผิวของอนุภาคดิน สารละลายดินจะเกิดสภาพสมดุล ระหว่างความเป็นกรดจริงและกรดแฝง เน่ืองจากดินมีคุณสมบัติเป็นบัฟเฟอร์ (buffer) เม่ือปริมาณไฮโดรเจน ไอออนในสารละลายดินหายไป อาจเนื่องมาจากการเตมิ ปนู ลงไป ไฮโดรเจนไอออนที่อยู่ในสภาพกรดแฝงจะถูก ปลดปลอ่ ยออกมาทดแทนในปริมาณท่ีไฮโดรเจนไอออนในสารละลายหายไป 10. กำรวดั พีเอช (pH) ของดนิ ในการวัดพีเอชของดิน เราจะวัดปริมาณไฮโดรเนียมไอออนหรือ ไฮโดรเจนไอออน ท่ีอยู่ในสารละลาย คือวัดความเป็นกรดจรงิ เท่าน้ัน ซ่งึ บอกใหเ้ ราทราบวา่ ดินมคี วามเป็นกรดมากนอ้ ยเพยี งใด เพ่ือปรับสภาพดินให้ เหมาะสมสาหรับการปลูกพืช ช่วงพีเอช ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 5.00 ถึง 6.00 ถ้าพีเอชตา่ กว่า 4 แสดงวา่ สารละลายมีฤทธเ์ิ ป็นกรดจัด ทาใหด้ นิ มแี คลเซียม แมกนีเซียม และโปตัสเซียม คอ่ นข้างตา่ เนอ่ื งจากธาตุทงั้ 3 ถกู ชะล้างออกจากดินได้ง่าย สาหรับธาตจุ ุลธาตุ (micronutrient element) ท่ี เป็นประโยชน์เม่ือดินเป็นกรด Al3+ และ Fe2+ จะละลายออกมามาก เมื่อใส่ปุ๋ยฟอสเฟตลงไปในดินกรด ฟอสเฟตในปยุ๋ จะไปเกิดปฏิกิริยากับ Fe2+ และ Al3+ ทาให้เกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อนพวกไอร์ออนฟอสเฟต (Fe3( PO4 )2) และ อลูมิเนียมฟอสเฟต (AlPO4) ซึ่งละลายน้าได้ยาก เกิดการตรึงฟอสเฟตขึ้นพืชไม่สามารถ นาเอาไปใช้ได้ ถ้าพีเอช สูงขึ้นกว่านี้ ฟอสเฟตก็จะไปรวมกับแมกนีเซียม แคลเซียม เกิดตะกอนทาให้พืชไม่ สามารถนาไปใช้ได้ซ่ึงจะเป็นอันตรายต่อรากพืช ถ้าสารละลายมีฤทธ์ิเป็นกรด ควรปรับพีเอชให้อยู่ในช่วงท่ี เหมาะสมด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ โปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนสารละลายมีฤทธิ์เป็นด่าง ควรปรับพีเอช
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 88 ด้วย กรดไฮโดรคลอริก กรดซัลฟิวริก กรดไนตริก หรือ กรดฟอสฟอริก ในการวัดว่าดินเป็นดินกรดมาก หรือ น้อย เราใช้ พเี อชมเิ ตอร์ (pH meter) หรอื พเี อชอนิ ดิเคเตอร์ (pH indicator) (ภาพท่ี 5.7) 11. อทิ ธิพลของปฏกิ ิริยำดินตอ่ กำรเจริญเติบโตของพืช ความเป็นกรดเป็นด่างของดินไม่มีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่จะมีผลทางอ้อมต่อการ เจริญเติบโตของพืช คือ เป็นตัวควบคุมปริมาณธาตุอาหารพืชท่ีละลายออกมาในสารละลายดิน ถ้าละลาย ออกมามากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อพืชได้ ถ้าละลายออกมาน้อยเกินไปก็ทาให้พืชขาดธาตุอาหารที่จาเป็น ได้ นอกจากความเป็นกรดเป็นด่างจะควบคุมการละลายของธาตุอาหารพืชแล้ว พีเอชยังมีอิทธิพลต่อการ เจริญเติบโตและการทางานของจุลนิ ทรยี ์ดนิ จลุ นิ ทรียพ์ วกแบคทีเรยี จะเจริญเติบโตในดินท่ีมีปฏิกิริยาดินใกล้ ๆ 7.0 สว่ นเชื้อราจะเจรญิ ไดด้ ใี นดินที่ค่อนข้างเปน็ กรด เคร่อื งพเี อชมิเตอร์ กระดาษพเี อช ภาพท่ี 5. 7 เคร่อื งมือวดั พเี อช ( pH ) ของดนิ ทม่ี า (The university of Minnesona, 2000) พืชแต่ละชนิดจะมีช่วงของพีเอชของดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตแตกต่างกันไป ข้ึนอยู่กับชนิด ของพืช และพันธุข์ องพชื ดงั แสดงไวใ้ นภาพท่ี 5.8
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 89 12. ปูนและกำรใช้ปนู (Lime and use) ดินที่เหมาะสมในการปลูกพืชทั่ว ๆ ไปจะมีพีเอชอยู่ในช่วง 5.5-6.5 ก่อนท่ีเราจะทาการปลูกพืช ควร นาดินมาวัดค่าพีเอชเสียก่อน ดินที่มีพีเอชต่ากว่า 4 แสดงว่าดินเป็นกรดจัดไม่เหมาะสมกับการปลูกพืช ถ้าเรา ต้องการใชท้ ีด่ นิ นท้ี าการเกษตรเพอ่ื ให้ได้ผลผลติ คมุ้ ค่าการลงทนุ มีวิธดี าเนนิ การ 2 แนวทางคือ 1. เลือกพืชท่ีสามารถทนความเป็นกรดของดินได้และต้องจัดการกับธาตุอาหารท่ีอาจจะขาดสาหรับ ดินกรด พชื ช่วงพเี อช 4.0 4.5 5.0 5.5 6.0 6.5 7.0 ขา้ วโพด ถัว่ เหลือง ขา้ วฟ่าง ท่งุ หญ้า ถ่วั ลสิ ง ยาสบู พรกิ ฟักทอง ฝ้าย หอม ผักกาดหวั ผักกาดขาว กะหลา่ ดอก มะเขอื แตงโม ภาพท่ี 5.8 ชว่ งพีเอชของดินที่เหมาะสมสาหรับพืชบางชนิด ทมี่ า (นงคราญ กาญจนประเสรฐิ และคนอน่ื ๆ, 2546, หนา้ 211) 2. ใช้ ปูนปรับดินที่เป็นกรด จึงจัดปูนเป็นพวกวัสดุปรับปรุงดิน (soil amendment) เม่ือเราเอา สารละลายที่เปน็ กรดซึง่ มี ไฮโดรเจนไอออนจานวนมาก มาทาปฏิกิริยากับด่าง (OH-) ผลิตภัณฑ์ที่ เกดิ ขน้ึ คือ เกลือ และน้า ดังสมการ HCI + NaOH NaCI + H2O กรด ดา่ ง เกลอื น้า จากสมการจะเห็นว่าถ้าเรามสี ารละลายทีม่ ฤี ทธเิ์ ปน็ กรด เราสามารถทาให้ความกรดลดลงโดยการเติม ด่าง หรอื ปูนลงไปเพอ่ื ใช้ในการปรบั ปรงุ ดินให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูก รปู ของปนู สามารถแบ่งได้ดังตอ่ ไปน้ี 2.1 พวกคำร์บอเนต ได้แก่ พวกหินปูน (CaCO3) หินโดโลไมต์ [Ca Mg (CO3)2] และ ปูนมาร์ล (marl)
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 90 2.2 พวกออกไซด์ (oxide) ของ แคลเซียม และ แมกนีเซียมซ่ึงได้มาจากการนาเอาหินปูน (CaCO3) หรือหินโดไลไมต์ [ CaMg (CO3)2] ไปเผา ดังสมการ แคลเซียมออกไซด์ (CaO) และ แมกนเี ซียมออกไซด์ (MgO) ที่ได้จากสมการเป็นสารประกอบ ท่ีมีสีขาวละเอียด สามารถดูดความช้ืนได้ดี มีความบริสุทธ์ิประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ซ่ึงมี สว่ นประกอบของเหล็ก ดิน และ หนิ อยปู่ ระมาณ 5 เปอร์เซน็ ต์ 2.3 พวกไฮดรอกไซด์ ปูนพวกนี้เตรียมได้จากการนาเอา แคลเซียมออกไซด์ หรือแมกนีเซียม ออกไซด์ ท่ีได้จากออกไซด์ของแคลเซียมและแมกนีเซียมนามาผสมรวมกับน้าจะได้ แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ (Ca (OH)2) และแมกนีเซยี มไฮดรอกไซด์ (Mg(OH)2) ดงั สมการ แคลเซียมไฮดรอกไซด์และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์เราเรียกปูนขาวมีลักษณะเป็นสี ขาว ความบริสุทธ์ิประมาณ 95 - 96 เปอร์เซ็นต์ มีฤทธ์ิเป็นด่างค่อนข้างสูง เมื่อถูกมือจะลื่น และกัดมอื ไม่คอ่ ยนิยมใช้ในการปรับปรงุ ดินกรดเนอื่ งจากราคาแพง 13. คำ่ กำรทำให้เปน็ กลำงของปูนในรปู ตำ่ งๆ ปูนทใ่ี ชใ้ นการปรับค่าความเป็นกรดมีอยู่ด้วยกันหลายรูป ซึ่งแต่ละรูปมีสูตรเคมี และน้าหนักโมเลกุลที่ แตกต่างกัน เพอื่ ใหเ้ ปน็ มาตรฐานเดียวกัน จึงได้ใช้หินปูนบริสุทธิ์ (CaCO3) เป็นเกณฑ์ โดยกาหนดค่าการทาให้ เปน็ กลางของหนิ ปูน (CaCO3) ซึ่งเรียกว่าการทาให้เป็นกลาง (neutralisation) 100 เปอร์เซนต์ เมื่อนาหินปูน บริสุทธ์ิ 100 กรมั ไปเผากจ็ ะได้ แคลเซยี มออกไซด์ (CaO) = 56 กรมั ดงั สมการ
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 91 เม่ือนาเอา แคลเซียมคารบ์ อเนต (CaCO3) ไปทาปฎกิ ริยากบั กรดไฮโดรคลอรกิ (HCI) จะได้สมการ ดงั นี้ จากสมการ เม่ือใช้ แคลเซียมคาร์บอเนต และ แคลเซียมออกไซด์ อย่างละ 1 โมลทา ปฎิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก ดังนั้น แคลเซียมออกไซด์ 56 กรัม เท่ากับแคลเซียมคาร์บอเนตเท่ากับ 100 กรมั CaO 100 g = (100 x 100)/ 56 = 178.6 g ในการเปรียบเทียบค่าการทาให้เป็นกลางต้องใช้ปูนให้มีน้าหนักเท่ากันเราจึงใช้ แคลเซียมออกไซด์ เทา่ กบั 100 กรมั ดงั นนั้ ค่าทาให้เป็นกลางของ แคลเซียมออกไซด์ 100 กรัม สามารถทาปฎิกิริยาให้เป็นกลาง ได้ เมื่อเทียบกับ แคลเซียมคาร์บอเนต หนัก 178.6 กรัม หรือ คิดเป็นร้อยละ 178.6 เปอร์เซ็นต์ ของ แคลเซียมคารบ์ อเนต 14. กำรกำหนดขนำดของปนู ท่ีมีผลตอ่ กำรเพำะปลูก ในการใช้ปูนในการปรับปรุงดินกรดให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูก นอกจากความบริสุทธิ์ขนาดของ อนุภาคของปูนท่ีใส่ลงไปในดิน มีผลต่อการเกิดปฎิกิริยาด้วย ถ้าอนุภาคของปูนมีขนาดเล็ก พื้นท่ีผิวก็จะมี มากกว่าอนุภาคปูนที่มีขนาดใหญ่ ทาให้เกิดปฎิกิริยาได้มากขึ้นในการกาหนดขนาดของปูน นิยมใช้หน่วยเป็น เมช (mesh) โดยผา่ นปนู ลงในตะแกรงร่อน ตัวอย่างเช่น 50 เมช ในพ้ืนที่ 1 ตารางน้ิว จะมีช่องอยู่ทั้งหมด 50 ชอ่ ง ในส่วนของการละลายนา้ ของปนู กจ็ ะมีผลต่อการนามาทาปฎิกิริยาของปูนด้วย ปูนที่ละลายได้ง่ายก็จะทา ปฎกิ ิริยากับกรดได้เร็วกบั ปนู ทีล่ ะลายได้ยาก เช่น โดโลไมต์ จะทาปฎิริยาไดย้ ากกว่า หินปูน เน่ืองจากโดโลไมต์ ละลายน้าได้ยากกว่า
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 92 15. ปฎกิ ิรยิ ำเคมที ีเ่ กดิ ข้นึ เม่ือเติมปูนลงในดนิ ในการใส่ปูนเพ่ือปรับสภาพดินที่เป็นกรดจัด (พีเอช < 4) เพ่ือให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูก จะเกิด ปฎิกิริยาทางเคมี ดงั ต่อไปนี้ 1. ปฏิกิริยาเคมีระหว่างปูนกับสารละลายดิน (soil solution) ที่อิ่มตัวด้วยก๊าช คาร์บอนไดออกไซด์ ผลิตภัณฑ์ ที่ได้คือ แคลเซียมไบคาร์บอเนต (Ca ( HCO3)2) ดัง สมการ แคลเซียมไอออน ท่ีเกิดข้ึนสามารถเข้าไปไล่ท่ีไฮโดรเจนไอออน ท่ีเกาะอยู่บริเวณผิว ของคอลลอยด์ของดินทาให้ไฮโดรเจนไอออนหลุดแล้วไปทาปฎิกิริยากับ ไฮโดรเจน คาร์บอเนตไอออน (HCO3- )ในสารละลายได้ ดงั สมการ เม่ือเวลาผ่านไปบริเวณผิวของคอลลอยด์ เดิมมีไฮโดรเจนไอออนดูดซับเป็นจานวน มาก ก็จะถูกแทนท่ีด้วยแคลเซียมไอออนมากข้ึน จานวนไฮโดรเจนไอออนท่ีถูกแทนที่ก็ จะทาปฎิกิริยา ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนมากขึ้นทาให้ปริมาณ สารละลายอ่ิมตัวของ ด่าง (base saturation) เพ่ิมข้ึนและจานวนไฮโดรเจนไอออนในสารละลายน้อยลง ความเป็นกรดลดลงโดยคา่ พเี อชเพม่ิ ข้นึ 2. เกิดปฎิกิริยากับคอลลอยด์ของดิน เม่ือมีการใส่ปูนในรูปของปูนขาว ปูน โดโลไมต์ ลงไปในดินที่เป็นกรด ปูนท้ังสองชนิด จะแตกตัวอยู่ในรูปของสารละลาย ดัง สมการ แคลเซียมไอออน และ แมกนีเซียมไอออน จากสมการจะไปไล่ที่ ไฮโดรเจนไอออนที่ ดดู ซบั อยทู่ ่ีคอลลอยด์ของดินดังสมการ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 93 16. วิธีกำรใสป่ ูน ในการใช้ปูนเพื่อการเพาะปลูก มีจดุ ประสงค์หลกั คอื เพื่อปรับ พีเอช ดินให้สูงข้ึน การใส่ปูนอย่างถูกวิธี จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของปฏิกิริยาในดินให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นในการใส่ปูนเพื่อปรับ พีเอชของ ดินต้องคานึงถึงสิง่ ตอ่ ไปนี้ 1. ปรมิ าณความต้องการของปูน ในดินแต่ละชนิดที่ใช้ในการปรับ พีเอชให้สูงขึ้นต้องการปริมาณปูนที่ใช้ ปรับ พีเอชไม่เท่ากัน ทั้งที่วัดพีเอชได้เท่ากัน เน่ืองจากมีศักย์ในสภาพกรดไม่เท่ากัน ถ้าดินประเภท ไหนท่ีมี ศักยใ์ นสภาพกรดมาก ก็จะต้องใชป้ ริมาณปนู มาก 2. การตอบสนองของพชื ที่มีผลต่อการใส่ปนู เพ่ือปรบั สภาพดิน 3. ชนดิ ของปูนที่ใช้ 4. ราคาของปนู 5. ความละเอยี ด วิธีใช้ปูนเพ่ือปรับสภาพดินให้เหมาะสมสาหรับการเพาะปลูก โดยวิธีการหว่านให้ท่ัวๆ แปลง และไถ หรือคราดกลบ ท้ิงไว้ซัก 2 – 4 สัปดาห์ จึงทาการปลูกได้ ในการใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีน้ันต้องคานึงถึงในเร่ืองการ ตรึงและสญู เสยี ปุ๋ย 17. สรปุ อนุภาคในกลุ่มของดินเหนียวท่ีมีขนาดเล็กกว่า 0.001 มิลลิเมตร จะอยู่ในดินในสภาพคอลลอยด์คือ จะแขวนลอยอยู่ในน้าในดิน เรียกสารประกอบที่อยู่ในสภาพคอลลอยด์น้ีว่า คอลลอยด์ดิน ( soil colloid ) สารคอลลอยด์ในดิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คอลลอยด์ที่เป็นสารอินทรีย์ ตัวอย่างได้แก่ ฮิวมัส (humus) และคอลลอยด์ท่ีเป็นสารอนินทรีย์ (inorganic colloid) ตัวอย่างได้แก่ ออกไซด์และไฮดรอกไซด์ ของเหลก็ และอลูมินัมและ ซลิ ิเกตเคลย์ หรอื อะลูมโิ นซิลเิ กต
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 94 ซลิ เิ กตเคลย์ หรืออลมู ิโนซิลเิ กต เป็นคอลลอยด์ท่ีมีอยู่ในดินมากที่สุดในโครงสร้างของแร่ดินเหนียว มี สมบัติที่สาคัญดังต่อไปน้ี มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ซ้อนกันอยู่เป็นจานวนมาก มีพื้นท่ีผิว มากท่ีสุดเม่ือ เปรยี บเทยี บกบั ทรงกลม และลูกบาศก์ มีความเหนียว และอ่อนตัว มีการขยายตัว และการหดตัว และมีประจุ ลบโครงสรา้ งผลกึ ของซิลเิ กตเคลยป์ ระกอบด้วย เคโอลิไนต์ มอนตม์ อริลโลไนต์ และอิลไลต์ ความเป็นกรดและด่าง หรือค่าพีเอชของดินมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช กรดหมายถึง ปรมิ าณไฮโดรเนยี มไอออน หรือ ปรมิ าณไฮโดรเจนไอออนทอ่ี ยใู่ นสารละลาย เบส หมายถึงปริมาณไฮดรอกไซด์ ไอออนท่อี ยู่ในสารละลาย สารใดที่แตกตวั ให้ไฮดรอกไซด์ไอออน ค่าพีเอชของดินแบ่งออกเป็น พีเอช 1 ถึง 6.9 เป็นกรด พีเอช 7 เป็นกลาง พีเอช 7.1 ถึง 14 เป็นด่าง ความเป็นกรดเป็นด่างของดินไม่มีผลโดยตรงต่อการ เจริญเติบโตของพืช แต่จะมีผลทางอ้อมต่อการเจริญเติบโตของพืช คือ เป็นตัวควบคุมปริมาณธาตุอาหารพืชท่ี ละลายออกมาในสารละลายดิน ถา้ ละลายออกมามากเกนิ ไปกอ็ าจเป็นอันตรายต่อพืชได้ ถ้าละลายออกมาน้อย เกินไปก็ทาใหพ้ ชื ขาดธาตุอาหารทจี่ าเป็นได้ เม่ือดินมีพีเอชต่ากว่า 4 แสดงว่าดินเป็นกรดจัดถ้าต้องการจะปลูก พชื ควรปรับปรุงด้วยปนู ปนู ที่นิยมใชไ้ ดแ้ ก่ปนู ขาว โดโลไมต์ และปูนมารล์ เพราะหาซอื้ งา่ ยราคาถกู คำถำมทบทวน 1. อธบิ ายสมบัตทิ ่สี าคญั ของซลิ ิเกตเคลย์ 2. อธบิ ายความหมายของคาต่อไปน้ี 2.1 หน่วยของซลิ ิกาเตตระฮีดรัล 2.2 หน่วยของอลมู ินาออกตาฮีดรลั 2.3 เคโอลิไนต์ 3. อธิบายความหมายของคาว่าค วามสามารถในการแลกเปล่ียนไอออนบวกพร้อมทั้ง บอก ประโยชนด์ ้วย 4. เปรียบเทียบความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชของซิลิเกตเคลย์ ระหว่างวันทูวันไทป์มินเนอรัล (1 : 1) กบั ทวู ทวู ันไทปม์ ินเนอรัล (2 : 1) ว่าเหมือนหรอื ต่างกันอยา่ งไรบ้าง 5. ค่าพเี อชของดนิ มีความสมั พนั ธอ์ ยา่ งไรตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช 6. อธบิ ายสาเหตุของการเกดิ ดนิ กรด 7. บอกอทิ ธิพลของปฏิกริ ิยาดนิ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช 8. อธิบายประเภทของปูนท่ีนยิ มใช้ในการเกษตร 9. อธิบายปฎกิ ริ ิยาเคมีทเี่ กดิ ขึ้นเมื่อเตมิ ปูนลงไปในดนิ 10. อธิบายวธิ กี ารใส่ปูนเพ่อื ใชใ้ นการปลูกพืช
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 95 เอกสำรอำ้ งองิ เกษมศรี ซับซอ้ น. (2541). ปฐพวี ิทยา(พมิ พ์คร้ังท่ี4). กรุงเทพมหานคร : นานาสิ่งพมิ พ์. คณาจารยภ์ าควชิ าปฐพวี ทิ ยา. ( 2541). ปฐพีวทิ ยาเบอ้ื งต้น (พิมพค์ ร้ังท่ี8). กรงุ เทพมหานคร : เรอื งธรรมการพมิ พ.์ ถวิล ครุฑกุล. ( 2527 ). ดินและปุย๋ เพ่อื การเพาะปลกู . กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. นงคราญ กาญจนประเสรฐิ , พิชยั สราญรมย์, สมั ฤทธ์ิ ภ่รู ่งุ เรืองและบุญแสน เตยี วนกุ ลู ธรรม. (2546). คูม่ อื ผเู้ รยี นวิชาปฐพวี ทิ ยา. นครสวรรค์ : สถาบนั ราชภัฎนครสวรรค์. นที ขลิบทอง. ( 2528 ). ดนิ น้า ปยุ๋ . กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. บญุ ชุม เปยี แดง. ( 2526 ). ปฐพวี ิทยา. ปทุมธานี : ศูนยฝ์ ึกอบรมวิศวกรรมเกษตร ปทุมธานี. ศนู ย์สารสนเทศการเกษตร. ( 2558 ). สถติ กิ ารเกษตรของประเทศไทยปีเพาะปลกู 2554/2558. กรงุ เทพมหานคร : ฟนั นี่ พับลสิ ซ่ิง. เอิบ เขยี วรืน่ รมย์. ( 2526 ). การสารวจดิน. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าปฐพวี ทิ ยา คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์ The University of Minnesota. ( 2000). Clay Minerals. .Available :http://www.Soils.agri umn.edu/academics/classes/soil2125/doc/s12chap.htm
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 96 บทท่ี 6 สมบตั ิทำงเคมขี องดนิ 2 แผนบรหิ ำรกำรสอนประจำบทที่ 6 เนื้อหำประจำบท 1. กระบวนการเกิดดนิ กรดจัดในประเทศไทย 2. การกระจายของดินกรดจัดในประเทศไทย 3. ผลกระทบของดินกรดจัดต่อการทาเกษตรกรรม 4. หลักการปรบั ปรงุ ดนิ กรดจัดเพ่ือใช้ในการปลูกพืช 5. ความหมายของดนิ ดา่ ง 6. การปลกู พชื ในดินด่าง 7. ดินเค็ม 8. สาเหตุการเกิดดนิ เค็ม 9. การกระจายของดนิ เค็มในประเทศไทย 10. ปัญหาของดินเคม็ ตอ่ การทาเกษตรกรรม 11. การปรบั ปรุงดินเค็มและดินโซดกิ เพ่ือการเกษตร วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. สามารถบอกลักษณะทสี่ าคัญของดนิ กรดจัดได้ 2. สามารถอธบิ ายกระบวนการเกดิ ดินกรดจัดได้ 3. สามารถจัดการปัญหาของดินกรดจัดในการทาเกษตรกรรมของประเทศไทยได้ 4. สามารถบอกความหมายของดินดา่ งและดนิ เคม็ ได้ 5. สามารถเปรยี บเทียบดนิ ดา่ งกับดินเค็มในแง่ของการนาไปปลกู พชื ได้ 6. สามารถจกั การดนิ เคม็ ในการปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูกได้ วิธสี อนและกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนประจำบท 1. ผ้สู อนอธบิ ายเน้ือหาเร่ือง การเกดิ ดินกรด ดนิ ดา่ ง และการเกดิ ดินเค็มและการปรบั ปรุง ดนิ ดังกลา่ วใหส้ ามารถนาเอาดนิ ไปปลกู พืชได้ 2. ผสู้ อนและนกั ศึกษาชว่ ยกันอภิปรายสรุปเนอื้ หา 3. ผู้สอนใหน้ ักศกึ ษาทาปฎบิ ตั กิ ารที่ 4 (ภาคผนวก) 4. ผสู้ อนให้นกั ศึกษาทาแบบฝึกหดั
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 97 สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. แผ่นภาพ และเคร่ืองฉายข้ามศีรษะ กำรวัดผลและกำรประเมินผล 1. สังเกตจากการตอบคาถามและอภิปรายของนักศึกษา 2. สังเกตจากการทากิจกรรมของนักศึกษา 3. สงั เกตจากการทาแบบฝึกหัดของนักศึกษา
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 98 บทที่ 6 สมบตั ทิ ำงเคมขี องดนิ 2 ดินกรดหรือดนิ เปร้ียว พบได้ทุกภูมิภาคและทุกสภาพพื้นท่ีทั้งท่ีดอนและที่ลุ่ม ในประเทศทางเขตร้อน ท้ังหมดซ่ึงมีประมาณ 93 ล้านไร่ จากรายงานของกรมพัฒนาที่ดิน พบว่าดินกรดจัดของประเทศไทยมีพื้นท่ี รวมกันประมาณ 8.2 ล้านไร่อยู่ในบริเวณภาคกลาง ประมาณ 4.9 ล้านไร่ ภาคใต้ประมาณ 2.4 ล้านไร่ ภาค ตะวันออกประมาณ 9 แสนไร่ จะเห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาเกี่ยวกับดินกรดจัดมากประเทศหน่ึง ดินกรดจัด หมายถงึ ดินทเ่ี คยมี กาลังมี หรืออาจมีกรดซลั ฟวิ ริก (H2SO4) อยู่ในช้ันหน้าตัดของดิน (soil profile) ซ่ึงมีความ เป็นกรดเป็นด่าง (pH) ต่ากว่า 4 และมักพบจุดประสีเหลืองฟางข้าว ท่ีเรียกว่า จาโรไซต์ อยู่บริเวณดินชั้นล่าง และมปี ริมาณซัลเฟตสงู จึงเปน็ อปุ สรรคต่อการทาเกษตรกรรม 1. กระบวนกำรเกิดดนิ กรดจดั ในประเทศไทย การกาเนิดของดนิ กรดจดั ประกอบไปดว้ ยขบวนการทีส่ าคัญคือขบวนการเกิดวัตถุต้นกาเนิดดินกรดจัด จะเกีย่ วขอ้ งกับการเกิดไพไรต์ (pyrite) หรอื การเกิดซัลไฟต์ และกระบวนการเกิดช้ันดินกรดจัดซึ่งเกี่ยวข้องกับ การออกซิไดส์สารไพไรต์เกิดเป็นกรดกามะถัน การเกิดดินกรดจัดในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กระบวนการ คือ 1. กระบวนกำรเกดิ วตั ถุตน้ กำเนดิ ดินกรดจัด (geogenetic process) กระบวนการนี้เกิดจากการสะสมตะกอนบริเวณปากแม่น้า ปากอ่าว ตะกอนส่วนใหญ่ถูกพัดมา ทางแม่น้า ลาน้า และน้าทะเล มีลักษณะเน้ือละเอียด ได้แก่ ทราย ทรายแป้ง ดินเหนียวรวมท้ัง อินทรียวัตถุด้วย อาจมีตะกอนของสารประกอบซัลไฟด์โดยเฉพาะไพไรต์รวมอยู่ด้วย ปกติมี ปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เม่ือเวลาผ่านไปช้ันของตะกอนจะมีความหนาเพ่ิมข้ึน บางบริเวณยังอยู่ ในสภาพน้าขัง บริเวณเหล่าน้ีมีพืชบางชนิดท่ีเจริญเติบโตได้ เช่น โกงกาง โปรง ลาแพน เสม็ด ลาพู และตะบูน เป็นต้น เมื่อพืชเหล่าน้ีตายจะเน่าเปื่อยทับถมกันและสลายเป็นอินทรียวัตถุ จุลินทรีย์ในดินพวก Desulfovibrio sp. และ Desulfotomaculum sp. สามารถย่อย อนิ ทรยี วัตถุไดใ้ นดินที่ขาดออกซิเจน และปลดปล่อยพลงั งานออกมา ซ่ึงทาให้สารประกอบซัลเฟต (SO42-) และเหล็ก (Fe2+) มีปริมาณมากในน้าทะเลแปรสภาพไปเปน็ สารไพไรต์ ดงั สมการ Fe2O3 (s) + 4 SO42- (aq) + 8CH2O(s) + ½ O2 (g) FeS2 (s) + 8 HCO3- (aq) + H2O (l)
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 99 2. กระบวนกำรเกิดดนิ กรดจัด (pedogenetic process) กระบวนการนี้เกิดขึ้นบริเวณท่ีน้าไม่แช่ขังอยู่ในดิน หรือเมื่อมีการระบายน้าทะเลออกจากบริเวณ ดังกล่าว ทาให้ดินมีลักษณะแข็ง ตะกอนท่ีมีการสะสมสารประกอบไพไรต์อยู่ในปริมาณมากและมี ถ่ายเทอากาศได้ดี ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และชีววิทยาของดิน แร่ไพไรต์จะ ถูกออกซิไดส์กลายเป็นเฟอริกซัลเฟตและกรดซัลฟิวริก หรือทาให้เกิดสารประกอบของจาโรไซต์ หรือจุดประ สีสนิมเหล็กหรือสีแดงเข้ม กรดซัลฟิวริกที่เกิดขึ้นบางส่วนจะถูกชะล้างออกไปสู่แม่น้า ลาคลอง บางส่วนจะถูกทาลายโดยการเกิดปฏิกิริยากับปูนท่ีละลายมากับน้าและแร่บางชนิดที่ สลายตัวได้ง่ายในดิน และอีกส่วนหนึ่งจะยังคงอยู่ในสภาพของกรดท่ีแลกเปลี่ยนได้ในดิน ซึ่งกรด ส่วนนค้ี อื ตัวการสาคญั ที่ทาให้ดนิ เปร้ยี ว 2. กำรกระจำยของดนิ กรดจัดในประเทศไทย พนื้ ทดี่ ินกรดจดั ในประเทศไทยท้ังหมดประมาณ 9.4 ล้านไร่ (ภาพที่ 6.1) ส่วนใหญ่แพร่กระจายอยู่ใน บรเิ วณท่ีราบลุ่มภาคกลางตอนใตม้ พี ืน้ ท่ีถึง 5.6 ลา้ นไร่ และในแถบพน้ื ทีช่ ายฝ่งั ทะเลภาคตะวนั ออกเฉียงใต้และ ชายฝั่งทะเลตะวันออกของภาคใต้อีกประมาณ 3.8 ล้านไร่ ดินกรดจัดบริเวณท่ีราบลุ่มภาคกลางตอนใต้เป็น พ้ืนที่กว้างใหญ่ โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพ้ืนท่ีของจังหวัดปทุมธานี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และบางสว่ นของจงั หวดั สระบรุ ี อยธุ ยา นครปฐม และสุพรรณบุรี พื้นท่ีดินบริเวณจังหวัดดังกล่าวเป็นท่ีราบลุ่ม น้าขังตลอดช่วงฤดูฝน เป็นดินเหนียวจัด จึงใช้เป็นแหล่งปลูกข้าว จากการสารวจดินในพ้ืนท่ีดังกล่าวพบว่า มากกว่า 80 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องพ้ืนทีท่ ้ังหมดเปน็ ดินกรดปานกลางถึงดินกรดรุนแรง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดินบริเวณนั้น มีความอดุ มสมบูรณ์ตา่ ถงึ แมว้ ่าสภาพภมู ปิ ระเทศโดยท่ัวไปจะเหมาะสมตอ่ การทานาแต่ผลผลิตท่ีได้รับยังอยู่ใน เกณฑ์ตา่ ถึงตา่ มาก (10 – 25 ถัง/ไร่) เมอื่ เปรยี บเทียบกบั พ้ืนท่ที ี่ไม่ใชด่ นิ กรดจัด ซ่ึงให้ผลผลิตเฉลี่ยมากกว่า 30 ถัง/ไร่ ตัวอย่างชุดดินท่ีเป็นกรดจัดได้แก่ชุดดินบางกอก (Bk) ชุดดินเสนา (Se) ชุดดินรังสิต (Rs) และชุดดิน รังสิตกรดจดั (RVAP) ซ่งึ มีพเี อช ตา่ กว่า 5 และเป็นดนิ ที่มคี วามอดุ มสมบรู ณต์ ่า แสดงไว้ในตารางที่ 6.1 ตารางท่ี 6.1 แสดงคา่ พเี อช เปอร์เซ็นต์ อนิ ทรียวัตถุ และ ผลรวมของไนโตรเจนของดินกรดจัด ชดุ ดิน พเี อช เปอร์เซน็ ต์ อนิ ทรียวัตถุ ผลรวมของไนโตรเจน บางกอก (Bk) 4.5 3.4 0.17 เสนา (Se) รังสิต (Rs) 4.5 3.7 0.198 รงั สติ กรดจดั (RVAP) 4.1 2.0 0.10 4.2 6.4 0.32 ท่ีมา (ทัศนยี ์ อตั ตะนทั ท,์ 2534; หนา้ 272)
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 100 ภาพที่ 6.1 แสดงพน้ื ท่ดี ินกรดจดั ของประเทศไทย ทม่ี า (พิสุทธ์ิ, 2536; หนา้ 8)
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ิทยาสง่ิ แวดล้อม 101 3. ผลกระทบของดินกรดจดั ตอ่ กำรทำเกษตรกรรม ดนิ กรดจดั มผี ลกระทบตอ่ การทาเกษตรกรรมอย่างมาก เน่ืองจากดนิ มปี ฏิกิริยาเป็นกรดรุนแรง ทาให้ สภาพทางกายภาพ เคมี และชีววิทยาเปล่ียนแปลงไป ทาให้ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืช เน่ืองจากปลูกพืชได้ น้อยชนิดและผลผลิตท่ีได้ต่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ปัญหาของดินกรดจัดต่อการทาเกษตรกรรมพอสรุปได้ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ควำมเปน็ พษิ ของธำตุบำงชนิด ในดินท่ีมีสภาพเป็นกรดจัด ธาตุอลูมินัม เหล็ก และ แมงกานีส จะละลายน้าออกมาได้มาก ไม่พบปัญหาการขาดธาตุ อลูมินัม เหล็ก แมงกานีส แต่มักพบอาการเป็นพิษธาตุอลูมินัม เหล็ก และ แมงกานีสแทน ตัวอย่างเช่น อาการของพืชที่รับธาตุอลูมินัมมากเกินไป จะไปยับย้ังการแบ่งตัวของ เซลล์ ยับยั้งการเกิดเอมไซม์ท่ีเกี่ยวข้องกับผนังเซลล์ ทาให้รากไม่เจริญเติบโต ในส่วนของธาตุ แมงกานีส จะทาให้ รากจะมีสีน้าตาล ใบแก่เป็นรอยด่าง ขอบใบมีสีขาวซีด (chlorosis) พืชบางชนิด อาจจะมีสีขาวระหว่างเส้นแขนงใบ ในดินกรดจัดสภาพน้าขังปริมาณความเข้มข้นของ ไฮโดรเจนซัลไฟด์มีมาก เนื่องจากมีปริมาณอินทรียวัตถุสูงและกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินบางชนิด เพิ่มขนึ้ ทาใหร้ ากพืชเนา่ หรอื ออ่ นแอเกิดโรคได้ 2. ควำมเปน็ ประโยชนข์ องธำตอุ ำหำรในดินลดนอ้ ยลง ในสภาพดินกรดจัดจะทาให้ธาตอุ าหารพชื ที่สาคัญเปลี่ยนแปลงไป จากรูปท่ีเป็นประโยชน์ต่อ พืชได้ง่ายไปอยู่ในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์หรือมีความเป็นประโยชน์น้อยลง ตัวอย่างเช่นธาตุไนโตรเจน ความเป็นกรดของดนิ ไมม่ ผี ลโดยตรงตอ่ ความเปน็ ประโยชน์ของธาตุไนโตรเจนต่อพืช แต่มีผลทางอ้อม คือ ในดินกรดจัดแบคทีเรียจะทางานได้ช้าลง ส่วนเชื้อราจะทางานได้ดีกว่าแบคทีเรีย โดยเฉพาะ แบคทเี รยี พวกท่ีเกี่ยวข้องกับขบวนการตรึงไนโตรเจนจากอากาศโดยตรง ทาให้ดินขาดธาตุไนโตรเจน ได้ จึงควรปรับสภาพปฏิกิริยาดินให้เป็นกลางหรือกรดอ่อน ๆ โดยการใส่ปูนเพื่อยกระดับพีเอชให้สูง เป็น 6.5 – 7.0 เสียก่อนจึงจะปลูกพืชได้ผล ในส่วนของธาตุฟอสฟอรัส ดินกรดจัดพีเอชต่ากว่า 5 จะ ทาให้เหล็กและอะลูมินัมละลายออกมามากข้ึน จะเป็นทาปฎิกิริยากับฟอสฟอรัสที่อยู่ในดินเกิดเป็น สารประกอบเชิงซ้อนของเหล็กและอะลูมินัม (Fe-P และ Al-P) ที่ละลายน้าได้ยาก พืชไม่สามารถ นาเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เรียกขบวนการนี้ว่า การตรึงฟอสฟอรัส (phosphorus fixation) ดังน้ัน การ ใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในดินกรดจัด จึงต้องปรับสภาพกรดในดินเสียก่อน และในส่วนของธาตุโปตัสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ในสภาพดินเป็นกรดจัดจะมีปริมาณโปตัสเซียมด้วยแคลเซียมและ แมกนเี ซียมค่อนขา้ งต่า
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 102 4. หลักกำรปรับปรุงดนิ กรดจัดเพอ่ื ใช้ในกำรปลกู พืช ดินกรดจัดท่ีมีพีเอชต่ากว่า 4 ถ้าต้องการปลูกพืชจะต้องมีการปรับปรุงดินให้ดินมีความเป็นกรดลดลง เพอ่ื ใหพ้ ชื สามารถใหผ้ ลผลติ คมุ้ ค่าตอ่ การลงทุน ซง่ึ มีวิธีการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. กำรรักษำระดับน้ำใต้ดิน ให้อยู่เหนือชั้นดินท่ีมีสารประกอบไพไรต์ หรือพยายามไม่ให้ สารประกอบไพไรต์ทาปฎกิ ิริยากบั ออกซิเจน เพือ่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ กรดซลั ฟวิ รกิ เพิ่มข้นึ 2. กำรใช้น้ำชะล้ำงควำมเป็นกรด เป็นวิธีท่ีง่ายแต่ต้องทาต่อเน่ือง ไม่ให้ดินแห้ง การใช้น้าชะ ล้างดินจะทาให้ค่าพีเอชเพ่ิมข้ึน ความเป็นกรดจะลดน้อยลงและลดความเป็นพิษของเหล็ก และ อลูมนิ มั ลง 3. กำรใส่ปูน เป็นวิธีการท่ีง่าย แต่ค่อนข้างยุ่งยากในเวลาปฎิบัติ เนื่องจากต้องใช้ปูน เป็นจานวนมาก และต้องใช้ควบคู่ไปกับการใช้น้าชะล้างและควบคุมน้าใต้ดินแต่วิธีน้ีใช้ได้ผล มากที่สุด 4. กำรปรับสภำพพื้นที่ พื้นที่ท่ีพบดินกรดจัดส่วนใหญ่อยู่ในท่ีราบลุ่มระบายน้า ค่อน ข้างยากต้องมกี ารปรบั สภาพพน้ื ทท่ี น่ี ยิ มมี 2 วธิ ี คอื ปรบั ระดับผวิ หนา้ ดนิ นิยมใช้กับการปลูก ขา้ ว โดยปรับระดับผิวหนา้ ดินให้ลาดเอียง เพื่อสามารถระบายน้าออกไปยังคลองชลประทาน ไดส้ ะดวก และการยกร่องปลูกพืช นิยมใช้กับการปลูกพืชไร่ พืชผัก ไม้ผล และไม้ยืนต้น ต้อง มกี ารชลประทานท่ดี ี เพ่อื ระบายนา้ ออกเม่อื นา้ ในรอ่ งเป็นกรดจดั 5. กำรเลือกชนิดของพืชท่ีปลูก กรมพัฒนาที่ดินได้ทาการศึกษาพืชที่เหมาะสมในดินกรดจัดได้ ดังตอ่ ไปน้ี คือ ข้าว พันธ์ุข้าวท่ีทนทานต่อสภาพดินกรดจัดได้ดี ได้แก่พันธ์ุ ลูกแดง ไข่มด รวง ยาว เปน็ ต้น ซึ่งใหผ้ ลผลติ 20 – 40 ถังต่อไร่ ในส่วนของพืชล้มลุก ไม่มีพืชชนิดใดสามารถขึ้น หรือให้ผลผลิตจนครบวงจร แต่ถ้าดินกรดจัดได้รับการแก้ไขก็สามารถปลูกพืชล้มลุกได้หลาย ชนิดเช่น พืชผัก ได้แก่ ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง และพริกชี้ฟ้าเป็นต้น ใน ส่วนของพืชไร่ ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วลิสง กล้วย ถ่ัวเหลือง และยาสูบ เป็นต้น ในส่วนของไม้ยืน ต้น ไม้ยืนต้นที่ข้ึนได้ดีในดินกรดจัดได้แก่ ไม้เสม็ด ต้นสาคู กระถินเทพา และยูคาลิบตัส เป็น ตน้
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 103 5. ควำมหมำยของดินด่ำง ดินด่างเกิดจากวัตถุต้นกาเนิดดินที่เป็นด่าง เช่น หินปูน ดินประเภทน้ีจะมีเบสิกแคตไอออนท่ี แลกเปล่ียนไดส้ งู นอกจากนัน้ ยังจะมีอนุภาคของแคลเซียมคาร์บอเนต หรือแมกนีเซียมคาร์บอเนตปะปนอยู่ใน ดนิ ด้วย หากดนิ มอี นุภาคปูนเทยี บเท่ากับแคลเซียมคาร์บอเนต 10 – 200 กรัมต่อดิน 1 กิโลกรัม เม่ือหยดกรด ไฮโดรคลอริกเจือจาง 0.1 โมลาร์ ลงไปจะปรากฏฟองให้เห็น ดินนั้นเรียกว่าดินเนื้อปูนหรือดินแคลคาเรียส (calcareous soils) ดินดา่ งเกดิ ขนึ้ จากหลายสาเหตุ ดังน้ี 1. เกิดจำกสภำพแห้งแล้ง ในบริเวณที่มีปริมาณฝนน้อย ไม่มากพอที่จะชะละลายเอาเกลือต่าง ๆ รวมทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียมคาร์บอเนต ทาให้ดินบริเวณนั้นมีการสะสมหินปูน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ดนิ ที่มวี ตั ถตุ ้นกาเนิดเปน็ พวกแคลเซยี มและแมกนีเซยี มคาร์บอเนต 2. เกิดจำกระดับน้ำใต้ดินสูง เมื่อน้าใต้ดินมีแคลเซียมไบคาร์บอเนตละลายอยู่ก็จะถูก เคลื่อนย้ายขึ้นมาสะสมอยู่บนดิน โดยมากับน้าที่ระเหยขึ้นมายังผิวดินและตกตะกอนเป็น แคลเซยี มคารบ์ อเนตในดินบนน้ัน 3. การสะสมเกลือแคลเซียม แมกนีเซียม หรอื โซเดยี มไบคาร์บอเนตในดิน ทาให้ดินมีพีเอชสูงข้ึน การท่ดี ินดา่ งมพี ีเอชสงู ขน้ึ กเ็ นือ่ งจากปฏกิ ิริยาไฮโดรไลซีสของแคตไอออนท่ีแลกเปล่ียนได้หรือ เกลือบางชนิดท่ีเป็นด่าง เช่นแคลเซียมคาร์บอเนต และแมกนีเซียมคาร์บอเนตในปูนหรือใน โซเดียมคาร์บอเนต ปฏิกิริยาการเพ่ิมพีเอชเนื่องจากแคตไอออนท่ีแลกเปลี่ยนได้เกิดปฏิกิริยา ไฮโดรไลซีส ซ่ึงแสดงด้วยสมการ ในปฏิกิริยานี้ไฮโดรเจนไอออนจะถูกดูดซับอยู่ท่ีผิวของคอลลอยด์ดิน ในสารละลายดินจึงมี โซเดียม ไอออน และไฮดรอกไซด์ไอออนเพ่ิมขึ้น พีเอชของดินจึงสูงข้ึน ดังนั้น ดินก็จะมีปฏิกิริยาดินเป็นด่าง โซเดียม ไอออน และ โปตัสเซียมไอออน ซ่ึงดูดซับอยู่ที่คอลลอยด์ดินด้วยแรงที่น้อยกว่า แคลเซียมไอออนและ แมกนีเซียมไอออน ก็จะถูกไฮโดรไลซ์ได้มากกว่า ก่อให้เกิดสภาพพีเอชที่สูงกว่า สารประกอบพวก แคลเซียม คาร์บอเนต แมกนีเซียมคาร์บอเนต หรอื โซเดยี มคารบ์ อเนต เม่ือเกิดไฮโดรไลซสี จะเกิดปฏกิ ิรยิ าดังสมการ CaCO3 + H2O Ca2+ + OH- + HCO3-
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 104 ไฮโดรเจนไอออนจากนา้ จะทาปฏิกิรยิ ากับคาร์บอเนตเกิดไฮโดรเจนคาร์บอเนต(HCO3- ) ส่วนไฮดรอก ไซด์ไอออน จะไม่ทาปฏิกิริยากับแคลเซียมไอออนดังน้ัน สารละลายก็จะเป็นด่าง ปฏิกิริยาไฮโดรไลซีสของ แคลเซียมคาร์บอเนตหรือแมกนีเซียมคาร์บอเนต มักถูกกาจัด เนื่องจากสมบัติที่ละลายน้าได้ยาก ดังนั้นจึงทา ใหด้ นิ มพี เี อชไมส่ ูงกว่า 8.0 – 8.2 ในกรณีของดนิ ทมี่ ีโซเดียมคาร์บอเนตมักมีพีเอชสูงกว่านี้คืออยู่ในช่วง 10.0 – 10.5 ซึ่งสัมพันธ์กับสมบัติการละลายของ โซเดียมคาร์บอเนต ที่ละลายได้มากกว่าแคลเซียมคาร์บอเนตหรือ แมกนีเซียมคารบ์ อเนต 6. กำรปลูกพืชในดินด่ำง ในประเทศไทยมีดนิ ดา่ งประมาณ 800,000 ไร่ ไดแ้ ก่ ชุดดินลพบุรี ชุดดินบ้านหมี่ ชุดดินโคกกระเทียม เป็นต้น โดยกระจายอยู่ในพ้ืนท่ีบริเวณจังหวัดลพบุรีและสระบุรี การปลูกพืชในดินประเภทนี้อาจมีปัญหาการ ขาดธาตุอาหารบางชนดิ เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก และแมงกานีส นอกจากน้ีดินยังมีสมบัติทางกายภาพของดินไม่ ค่อยเหมาะสม คอื ในสภาพแห้งดนิ จะแตกระแหงและระบายนา้ ไม่ดี ดังน้ันการปลูกพืชในดินด่างจึงจาเป็นต้อง เลือกพืชท่เี หมาะสมและใสป่ ุย๋ บางชนิดทีข่ าดแคลนดงั นี้ 1. เลือกปลูกพืชท่ีเหมำะสม พืชบางชนิดชอบสภาพดินเน้ือปูน เช่น ข้าวโพดและถั่วลิสง การ ปลูกพืชทั้งสองชนดิ จงึ กระจายอยู่ในบริเวณดินประเภทน้ีซึ่งเป็นแหล่งปลูกท่ีสาคัญแหล่งหน่ึง ของประเทศไทย นอกจากนนั้ ยงั ปลูกผลไมบ้ างชนิดได้ผลดี เช่น ขนุน น้อยหน่า และมะพร้าว ในบริเวณทลี่ มุ่ ใช้ทานาปลูกขา้ วไดเ้ ช่นกนั 2. กำรใสป่ ๋ยุ หากพืชทปี่ ลูกในดินประเภทน้ีแสดงอาการขาดธาตุเหล็กหรือสังกะสี อาจให้ปุ๋ยใน รูปสารละลายเกลือของธาตุดังกล่าว หรือให้ปุ๋ยทางใบซึ่งธาตุอาหารจะอยู่ในรูปสาร คเี ลต จะช่วยแก้ปัญหาการขาดจลุ ธาตุไดท้ นั ท่วงที 3. ปรับปรุงสมบัติทำงกำยภำพของดิน โดยการไถพรวนและใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วย ดนิ เคม็ ปัจจุบนั ประเทศไทยมีการแพร่กระจายของดินเค็มเพ่ิมขึ้นทุกๆปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณภูมิอากาศ แบบแห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้ง ตามชายฝ่ังทะเลดินมักจะมีการสะสมเกลือมากกว่าดินที่อยู่ห่างทะเล ส่วนดิน บรเิ วณภาคตะวันออกเฉียงเหนอื จะมดี ินเค็มสะสมอยู่บริเวณกว้าง เน่ืองจากอดีตบริเวณน้ันสันนิฐานว่าเคยเป็น ทะเลมาก่อนเมื่อเวลาผ่านไปหลายพันล้านปีเกิดการทับถมจนกลายเป็นพ้ืนดินขึ้นมาทาให้มีเกลือสะสมในดิน เป็นจานวนมาก จนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ท่ีดินเพื่อการเกษตร ดินเกลือ หมายถึงดินที่มีเกลือสะสม อยู่เป็นจานวนมากสามารถละลายน้าได้ดี จนทาให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี ดินเกลือแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญๆ่ ดังนี้
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 105 1. ดินเค็ม (saline soil) หมายถึง ดินท่ีมีปริมาณเกลืออยู่สูง และละลายน้าได้ง่าย หรือมี โซเดียมที่แลกเปล่ียนได้มีปริมาณสูง จนเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช ถ้าพิจารณา ในดา้ นการนาไฟฟ้า (electrical conductivity หรือ EC) ของสารละลายดินเค็มที่อ่ิมตัวด้วย น้า (soil saturation extract) มีค่ามากกว่า 4 mmho/cm และมีค่า SAR (sodium adsorption ratio) ตา่ กวา่ 15 และมีคา่ พเี อช ของดนิ ตา่ กวา่ 8.5 2. ดินโซดิก (sodic soil) หมายถึง ดินท่ีมีปริมาณเกลืออยู่สูง และละลายน้าได้ง่าย หรือมี โซเดียมท่ีแลกเปล่ียนได้มีปริมาณสูงมากจนเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช ถ้า พิจารณาในด้านการนาไฟฟ้า (electrical conductivity :EC) ของสารละลายดินเค็มที่อ่ิมตัว ดว้ ยนา้ (soil saturation extract) มคี ่าต่ากว่า 4 mmho/cm และมีค่าอัตราส่วนการดูดซับ โซเดยี ม ( sodium adsorption ratio : SAR) สูงกวา่ 15 และมีค่า พีเอชของดนิ สงู กว่า 8.5 3. ดินเค็มโซดิก (saline sodic soil) หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลืออยู่สูงมาก และละลายน้า ไดง้ า่ ย หรือมโี ซเดยี มท่ีแลกเปลยี่ นได้มีปริมาณสูงมากจนเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของ พืช ถ้าพิจารณาในด้านการนาไฟฟ้า (electrical conductivity หรือ EC) ของสารละลายดิน เค็มท่ีอ่ิมตัวด้วยน้า (soil saturation extract) มีค่ามากกว่า 4 mmho/cm และมีค่า อัตราส่วนการดูดซับโซเดียมสูงกว่า 15 และมีค่า พีเอช ของดินต่ากว่า 8.5 พืชโดยทว่ั ไปเจริญเติบโตไดน้ อ้ ยลงเม่อื ความเค็มของดินเพิ่มข้ึน เน่ืองจากดินมีการสะสมเกลือ มากหรือน้อยแตกต่างกัน จึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันด้วย การจาแนก ระดับความเคม็ ของดิน โดยพิจารณาจากผลกระทบต่อพืช แสดงไว้ในตารางที่ 6.2 ตารางท่ี 6.2 ระดบั ความเค็มของดินและอิทธพิ ลต่อการเจริญเตบิ โตของพืช กำรนำไฟฟำ้ (เดซซิ ีเม็น/ ระดบั ควำมเคม็ อิทธิพลต่อพืช เมตร) ไมเ่ ค็ม ไม่กระทบกระเทอื นต่อพชื 0–2 ไม่เค็ม พืชที่ไวต่อความเค็มมีการเจริญเตบิ โตลดลง 2–4 เคม็ จากดั การเจริญเติบโตของพืชหลายชนดิ 4 หรอื สูงกวา่ 4 เค็มปานกลาง 4–8 เค็มมาก พืชทนเค็มเท่านัน้ ทเ่ี จริญเตบิ โตไดด้ ี 8 – 16 เค็มมากที่สดุ พืชทนเคม็ บางชนดิ เทา่ นั้นทเ่ี จรญิ เติบโตได้ดี > 16 ทมี่ า (คณาจารยภ์ าควิชาปฐพวี ทิ ยา, 2541, หนา้ 201)
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 106 7. สำเหตุกำรเกิดดินเคม็ ดินเค็มเป็นดินท่ีไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืช ปัจจุบันดินเค็มได้กระจายเพิ่มข้ึนในประเทศไทยอย่าง ตอ่ เน่อื ง สาเหตุการเกิดดนิ เค็มทส่ี าคัญมีดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เกิดจากการสลายตัวหรือผุพังของหินและแร่ที่มีสารประกอบที่มีเกลือเป็นองค์ ประกอบ เนอื่ งจากขบวนการทางเคมีและกายภาพ เกลือเหล่าอาจจะละลายอยู่ในน้าใต้ดิน เม่ือน้า ระเหยโดย แสงแดดหรอื ถูกพืชนาขึ้นมาใช้ เกลอื ก็สามารถกลบั ข้นึ มาสะสมอย่บู นผิวดนิ ได้ 2. เกิดจากอิทธิพลของน้าทะเล เมื่อน้าทะเลไหลหรือซึมขึ้นมาถึงพื้นที่บางแห่ง เม่ือน้า ระเหยออกไป จะเหลือเกลือทบั ถมอยูใ่ นดิน พบไดบ้ ริเวณแถบชายฝัง่ ทะเล 3. เกิดจากใต้ดินมีชั้นของหินเกลือหรือเกลือที่อยู่ในระดับน้าใต้ดินท่ีอยู่ตื้นๆ เมื่อน้าซึม ขึ้นมาบนดินก็จะนาเกลือข้ึนมาด้วย หลังจากท่ีน้าระเหยแห้งไปแล้ว จะทาให้เกลือเหลือสะสมอยู่ บนดนิ ได้ 4. เกิดจากการใช้น้าชลประทาน น้าชลประทานจากแหล่งต่าง ๆ มักมีเกลือละลายอยู่จานวนหน่ึงไม่ มากก็น้อย เน่ืองจากกิจกรรมของมนุษย์บางอย่าง เช่น การระบายน้าเสียจากชุมชนหรือโรงงาน อตุ สาหกรรมลงสู่แมน่ า้ ลาคลอง เป็นตน้ 5. ลมทะเลอาจพดั พาเอาเกลือมาตกบนผืนแผน่ ดนิ และสะสมกนั นานเข้าจนมจี านวนมากในพนื้ ท่นี ้ัน 6. เกดิ จากการใสป่ ๋ยุ เคมีมากเกนิ ไป เชน่ ปุ๋ยไนโตรเจนชนิดต่าง ๆ 7. พื้นท่ีบางแห่งเป็นที่ต่า ทาให้น้าไหลมารวมกัน ซึ่งน้าอาจมีเกลือละลายอยู่ด้วย พอ นา้ ระเหยไปก็จะมเี กลอื สะสมอยู่ 8. กำรกระจำยของดินเคม็ ในประเทศไทย ดินเค็มในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ดินเค็มบก และดินเค็มชายทะเล ตัวอย่าง ดนิ เค็มบก ได้แก่ ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและดินเค็มภาคกลาง ดินเค็มชายทะเลได้รับอิทธิพลจาก การขึ้นลงของน้าทะเลโดยตรง ดินเค็มแต่ละประเภทมีสาเหตุการเกิด ชนิดของเกลือ การแพร่กระจายขยาย อาณาเขต และวธิ กี ารจัดการท่แี ตกต่างกนั 1. ดนิ เคม็ ภำคตะวันออกเฉยี งเหนือ ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดเน่ืองจากเกลือรูปโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) โดยมีแหล่ง จากหนิ เกลือใต้ดินและหรือน้าใตด้ นิ เคม็ และการสลายตวั ของหนิ ทราย หินดินดาน ดินเค็มในภูมิภาคนี้ มีประมาณ 17.8 ล้านไร่ กระจายอยู่ในพ้ืนที่จังหวัด นครราชสีมา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี สกลนคร หนองคาย อุดรธานีและนครพนม
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 107 (ตารางที่ 6.3) ลักษณะของดินเค็มท่ีสังเกตได้คือ จะเห็นคราบเกลือเกิดขึ้นตามผิวดิน และมักเป็นท่ี วา่ งเปล่าไม่มีการทาเกษตรกรรม สว่ นบรเิ วณท่ีไมป่ รากฏคราบเกลือจะเห็นวัชพืชทนเค็ม เช่น หนามปี และวชั พืชทชี่ อบเกลอื เช่น หนามแดง ขึ้นปัญหาโดยท่ัวไปของเกษตรกรในเขตดินเค็ม คือ ปลูกพืชไม่ ค่อยได้ ผลผลิตต่า พืชบางชนิดท่ีขึ้นได้ก็จะมีลักษณะบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใบหนาขึ้น มีสาร พวกไขเคลือบหนาข้ึน พืชส่วนมากที่ต้นแคระแกร็น ไม่แตกกอ ใบแสดงอาการซีดขาวแล้วไหม้ตายใน ที่สุด สาเหตุของการเกิดการแพร่กระจายดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาจากธรรมชาติเช่น หิน หรอื แร่สลายตัวหรือผพุ งั และเปลย่ี นคุณสมบตั ิอยกู่ ับการสลายตัวไปกับน้าแล้วซึมลงสู่ชั้นล่างแล้วกลับ ขึ้นมาสะสมอยู่บนดินชั้นบนอีกโดยน้าท่ีซึมขึ้นมาได้ระเหยแห้งไปโดยแสงแดดหรือถูกพืชนาไปใช้ ใน ส่วนของ น้าใต้ดินเค็มอยู่ระดับต้ืนใกล้ผิวดิน เม่ือน้าซึมข้ึนบนดินจะนาเกลือข้ึนมาด้วย หลังจากท่ีน้า ระเหยแห้งไปแล้วจะทาให้มีเกลือเหลือสะสมอยู่บนดินได้ บางแห่งเป็นที่ต่าเป็นเหตุให้น้าไหลมา รวมกัน น้าแหล่งนี้ส่วนมากจะมีเกลือละลายอยู่ด้วย เมื่อน้าระเหยไปจะมีเกลือสะสมอยู่พื้นที่แห่งนี้ อาจเปน็ หนองน้าหรือทะเลทรายมาก่อนก็ได้ ตารางที่ 6.3 พืน้ ท่ีและการกระจายของดนิ เคม็ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ดินประเภท พ้ืนที่ (ไร)่ จังหวัด พ้ืนที่เป็นดนิ เคม็ มาก 1,466,630 สุรนิ ทร์ ร้อยเอด็ พ้ืนทเี่ ปน็ ดินเค็มปานกลาง 3,690,250 สกลนคร อดุ รธานี บุรรี นั ย์ 12,645,740 ขอนแก่น นครพนม ชัยภูมิ พน้ื ท่ีเปน็ ดินเคม็ มาก นครราชสีมา หนองคาย ยโสธร กาฬสินธ์ุ อบุ ลราชสีมา ท่มี า (กรมพัฒนาท่ีดนิ , 2532 หน้า 48) สาเหตจุ ากการกระทาของมนุษย์ เชน่ การทานาเกลอื โดยการสูบน้าเค็มขึ้นมาตากหรือวิธีขูด คราบเกลือจากผิวดินมาต้ม เกลือที่อยู่ในน้าทิ้งจะมีปริมาณมากพอที่จะทาให้พื้นที่บริเวณใกล้เคียง กลายเปน็ พ้ืนท่ีดนิ เคม็ หรือแหล่งนา้ เค็มได้ การสร้างอ่างเก็บน้าบนดินเค็ม หรือมีน้าใต้ดินเค็ม จะทาให้ อ่างเก็บน้านั้นและพื้นท่ีบริเวณรอบ ๆ อ่างกลายเป็นน้าเค็มและดินเค็ม การตัดไม้ทาลายป่าหรือการ ปล่อยให้พื้นท่ีบริเวณที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายเกลือให้ว่างเปล่า ทาให้เกิดดินเค็มแพร่ไปยัง บริเวณเชิงเนิน ซงึ่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 108 2. ดินเค็มภำคกลำง เกดิ จากสาเหตุธรรมชาติ เชน่ ได้รบั อทิ ธิพลจากน้าข้ึนน้าลงของน้าในแม่น้า ซึ่งน้าทะเลหนุนทาให้เกิด น้ากรอ่ ย การทับถมของตะกอนน้ากรอ่ ยและตะกอนนา้ เคม็ เปน็ เวลานาน หรือเกิดจากน้าใต้ดินท่ีไหลผ่านแหล่ง เกลือแล้วไปโผล่ในท่ีดินไม่เค็มที่อยู่ต่ากว่าทาให้ดินบริเวณที่ต่ากว่ากลายเป็นดินเค็ม ส่วนสาเหตุที่เกิดจากการ กระทาของมนุษย์ เช่น การสูบน้าเค็มมาใช้ การขุดดินเพื่อยกร่องทาสวน การสร้างเข่ือนเก็บกักน้าเหนือพื้นที่ แหล่งเกลอื และการใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปล้วนเป็นสาเหตุให้ดินเค็มแพร่กระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม อ่างทอง สิงห์บุรี กาญจนบุรี ราชบุรี อยุธยา ลพบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี บางจงั หวัดอาจมปี ญั หาดินเคม็ ชายทะเลรว่ มดว้ ย 3. ดินเคม็ ชำยทะเล ดินเคม็ ชายทะเลกระจายอยู่ตามลุม่ นา้ และสันดอนปากแม่น้าตลอดชายฝั่งทะเลของประเทศไทย ซ่ึงมี พ้ืนท่ีรวบรวมโดยกองสารวจดิน กรมพัฒนาที่ดิน ประมาณ 2 ล้านไร่ สาเหตุของการเกิดดินเค็มประเภทน้ี เน่ืองจากการได้รับอิทธิพลจากการขึน้ ลงของน้าทะเลโดยตรง ดนิ ที่น้าทะเลท่วมถงึ และเป็นตะกอนของน้าทะเล หรอื นา้ กร่อยล้วนมีโอกาสเป็นดินเค็มทั้งสิน้ 9. ปญั หำของดินเคม็ ตอ่ กำรทำเกษตรกรรม โดยท่ัวไปการใช้พ้ืนที่ดินเค็มเพาะปลูกจะมีปัญหา ผลผลิตลดลงและมีคุณภาพต่า เพราะดินเค็มมี ปริมาณเกลือทีล่ ะลายน้าได้มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืช ความเค็มของดินมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของพชื พืชจะเกิดอาการขาดนา้ และได้รบั พิษจากธาตุทเ่ี ป็นสว่ นประกอบของเกลือท่ีละลายออกมา มาก เช่น โซเดียมและคลอไรด์ นอกจากน้ีความเค็มยังมีผลทาให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารบางชนิด เช่น โบรอน สังกะสี เป็นต้น ดินเค็มมีองค์ประกอบของเกลือท่ีเกิดจากการรวมตัวของไอออนของโซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม และคลอไรด์ ซัลเฟต ไบคาร์บอเนตและไนเตรต ความเค็มมีผลในการลดการเจริญเติบโตของพืชเน่ืองจากพืช ลดการดดู น้าและธาตอุ าหารและลดขบวนการเมแทบอลิซึมโดยตรง ส่วนผลโดยอ้อมจะทาให้โครงสร้างของดิน ไม่ดี น้าซึมช้า การถ่ายเทอากาศลดลง การใช้พ้ืนที่ดินเค็มปลูกข้าวพบว่าเกลือต่าง ๆ ท่ีเป็นองค์ประกอบของ ดนิ เคม็ เป็นพิษตอ่ การเจริญเตบิ โตของข้าว โดยมผี ลทาใหผ้ ลผลิตลดลง พืชท่ีมีระบบรากต้ืน เช่น ข้าว หญ้า จะ ไดร้ บั ผลกระทบมากกว่าพืชทมี่ ีระบบรากทลี่ ึกกว่า อาการของพืชที่ได้รับผลกระทบจากความเค็มของดิน ใบจะ มลี ักษณะสนี ้าเงินอมเขียว เนือ่ งจากมีวัตถุคล้ายข้ีผึ้งมาเคลือบให้หนาข้ึนและมองเห็นได้ง่ายกับพืชพวกผักกาด ถั่วและหญ้า พวกธัญพืชจะมีสีออกสีแดงท่ีใบ ไม้ยืนต้นจะพบขอบใบไหม้ การไหม้เกิดจากมีโซเดียมและ คลอไรดม์ าสะสมอย่ทู ่ใี บ
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 109 10. กำรปรับปรุงดินเค็มและดินโซดิกเพอื่ กำรเกษตร ดินเค็มและดินเค็มโซดิกเป็นดินท่ีมีปริมาณโซเดียมละลายออกมาเป็นจานวนมาก ทาให้เป็นอันตราย ต่อการเจริญเติบโตของพืช ถ้าต้องการใช้พ้ืนที่ดินเค็มและดินเค็มโซดิกทาการปลูกพืชจะต้องมีวิธีการปรับปรุง ดินเคม็ และดนิ โซดิก ได้หลายวธิ ีดงั ต่อไปน้ี 1. การใช้อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด แกลบ ใบไม้แห้ง ฟางข้าว ข้ีเล่ือย ร่วมกับการไถ พรวน 2. วางแผนปรับพื้นที่และคูระบายน้าโดยปรับพื้นท่ีแล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยทาคันดินรอบแปลงย่อยและ ทาครู ะบายน้าออกไปให้พ้นแปลงเพือ่ ลดระดบั นา้ ใตด้ นิ 3. จัดหาแหลง่ น้าท่ีมคี ุณภาพ เช่น นา้ ฝน น้าชลประทาน ให้เพียงพอตลอดฤดูปลูก 4. ปลูกพืชบารุงดิน เช่น โสนคางคก โสนอินเดีย หรือโสนนา เป็นปุ๋ยพืชสดก่อนการปลูกข้าว เพ่ือเพิ่ม อนิ ทรยี วัตถลุ งในดนิ 5. การใช้วัสดุคลุมดิน ภายหลังเกบ็ เกย่ี วผลผลติ แลว้ ไมค่ วรปลอ่ ยใหห้ น้าดนิ วา่ งเปลา่ เพราะจะเป็นการเร่ง การระเหยของน้าในดินซึ่งเท่ากับเป็นการเร่งการสะสมเกลือท่ีผิวดิน การคลุมดินอาจใช้เศษพืช เช่น ฟางขา้ ว ซึง่ เป็นวสั ดุต้นทุนต่า จะช่วยป้องกันไม่ให้แดดสอ่ งกระทบผวิ ดนิ โดยตรง จึงลดการระเหยของ นา้ จากดนิ ได้ 6. การวางแผนระบบปลกู พชื ภายหลังเก็บเกี่ยวพืชแล้วถ้าดินยังมีความช้ืนอยู่เพียงพอควรปลูกพืชที่สอง ตาม ซึ่งพชื ทีป่ ลกู ควรเป็นพืชทนเค็มและทนแล้ง เช่น มะเขือเทศ มันเทศ กระเจ๊ียบแดง คาฝอย และ อ่นื ๆ ตามความเหมาะสม 7. ใ ช้ ส า ร เ ค มี บ า ง ช นิ ด ช่ ว ย ใ น ก า ร ป รั บ ป รุ ง ดิ น เ ค็ ม เ ช่ น ยิ บ ซั่ ม โ ด ย แ ค ล เ ซี ย ม ไ อ อ อ น (Ca2+) จะเข้าไปแทนท่ี โซเดียมไอออน (Na+) ดังสมการ CaSO4 + NaCl CaCl2 + Na2SO4 ยิบซั่ม เกลอื 8. การเลอื กพืชทปี่ ลกู ให้เหมาะสมกับระดบั ความเคม็ ของดนิ แสดงไว้ในตารางท่ี 6.4
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 110 ตารางท่ี 6.4 ความทนเคม็ ของพชื เศรษฐกจิ บางชนดิ กำรนำไฟฟ้ำของดิน 2–4 4–8 8 – 12 12 – 16 (เดซซิ ีเม็น/เมตร) ถ่ัวฝกั ยาว บวบ ผักโขม หน่อไม้ฝรัง่ ผักกาด กะหลา่ ดอก ผกั กาดหัว คะน้า พรกิ ไทย กะหล่าปลี มะเขือเทศ กะเพรา แตงไทย ผักกาดหอม ผกั บงุ้ จีน แตงร้าน ข้าวโพดหวาน ถว่ั พ่มุ ชะอม ถ่วั เขยี ว ทานตะวนั ขา้ วทนเค็ม ฝ้าย ถั่วเหลือง ละมดุ ถว่ั ลิสง ปอแก้ว คาฝอย มะขาม ถว่ั แขก ข้าวโพด มันเทศ มะพรา้ ว กล้วย ขา้ วฟา่ ง มะยม ล้ินจี่ ชมพู่ สมอ มะขามเทศ มะนาว มะกอก ยูคาลปิ ตสั ทบั ทมิ ส้ม ปาลม์ น้ามัน มะมว่ ง ที่มา (ปรบั ปรุงมาจาก คณาจารย์ภาควชิ าปฐพวี ทิ ยา, 2535; หนา้ 670) 11. สรุป ดินกรดจัดหมายถึง ดนิ ท่ีเคยมี กาลงั มี หรอื อาจมกี รดซลั ฟิวริก (H2SO4) อยู่ในชั้นหน้าตัดของดิน (soil profile) ซ่ึงมีความเป็นกรดเป็นด่าง ต่ากว่า 4 และมักพบจุดประสีเหลืองฟางข้าว ที่เรียกว่า จาโรไซต์ อยู่ บรเิ วณดนิ ชนั้ ลา่ งและมปี ริมาณซลั เฟตสูง จึงเป็นอปุ สรรคต่อการทาเกษตรกรรม การเกิดดินกรดจัดในประเทศ ไทยแบ่งออกเป็น 2 กระบวนการคือ กระบวนการเกิดวัตถุต้นกาเนิดดินกรดจัด และ กระบวนการเกิดดินกรด จัด ดินกรดจัดมีผลกระทบต่อการทาเกษตรกรรมอย่างมากในด้าน ความเป็นพิษของธาตุบางธาตุ และ ความ เป็นประโยชน์ของธาตุอาหารในดนิ กรด ดินกรดจัดที่มีพีเอชต่ากว่า 4 ถ้าต้องการปลูกพืชจะต้องมีการปรับปรุง ดนิ ให้ดนิ มีความเปน็ กรดลดลง เพอื่ ให้พชื สามารถให้ผลผลติ คุ้มค่าต่อการลงทนุ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้ 1. การรักษาระดับน้าใตด้ ิน 2. การใช้น้าชะลา้ งความเปน็ กรด 3. การใส่ปูน 4. การปรับสภาพพืน้ ท่ีและการเลอื กชนดิ ของพืชที่ปลกู
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 111 ดินด่างเกิดจากวัตถุต้นกาเนิดดินท่ีเป็นด่าง เช่น หินปูน แคลเซียมคาร์บอเนต และ แมกนีเซียม คาร์บอเนต ทาให้ดนิ มีค่าพเี อชสงู กวา่ 7 ดินประเภทนี้จะมีเบสิกแคตไอออนท่ีแลกเปล่ียนได้สูง การเกิดดินด่าง เกิดจาก สภาพทีแ่ หง้ แลง้ ระดบั น้าใตด้ นิ สูง ดังน้ันการปลูกพืชในดินด่างจึงจาเป็นต้องเลือกพืชท่ีเหมาะสมและ ใสป่ ๋ยุ บางชนิดท่ีขาดแคลนดงั นค้ี อื เลอื กปลกู พชื ทเ่ี หมาะสม การใส่ปุ๋ย และปรบั ปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน และใส่ปุ๋ยอินทรยี ร์ ่วมดว้ ย ดินเค็มหมายถึงดินมีโซเดียมอยู่เป็นจานวนมาก ดินเกลือแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ ดิน เคม็ (saline soil) ดนิ โซดิก (sodic soil) และ ดินเค็มโซดกิ (saline sodic soil) การเกดิ ดินเค็มมีหลายสาเหตุ คือ เกิดจากการสลายตัวหรือผุพังของหินและแร่ท่ีมีสารประกอบที่มีเกลือเป็นองค์ประกอบ เกิดจากอิทธิพล ของน้าทะเล และเกดิ จากใตด้ นิ มชี ้นั ของหนิ เกลอื หรือเกลือท่อี ยใู่ นระดบั นา้ ใตด้ นิ เกิดจากการใช้น้าชลประทาน เกดิ จากลมทะเลอาจพดั พาเอาเกลอื มาตกบนผนื แผ่นดนิ และสะสมกันนานเข้าจนมีจานวนมากในพ้ืนท่ีน้ัน และ จากการใสป่ ยุ๋ เคมมี ากเกนิ ไป คำถำมทบทวน 1. ลกั ษณะที่สาคัญของดินกรดจดั เป็นอย่างไรบา้ งอธบิ าย 2. กระบวนการเกิดดนิ กรดจดั มีกี่กระบวนการอะไรบ้าง 3. ปจั จัยที่สาคญั ตอ่ การสะสมไพไรต์มีอะไรบ้างอธบิ าย 4. ปญั หาของดนิ กรดจดั ในการทาเกษตรกรรมของประเทศไทยมีอะไรบ้าง 5. เมื่อเกษตรกรมีปัญหาที่ทากินเป็นดินกรดจัดควรที่จะแนะนาปรับปรุงดินกรดจัดอย่างไรบ้างเพ่ือให้ เหมาะสมต่อการปลูกพืช 6. ดินด่างและดนิ เคม็ มีความหมายวา่ อยา่ งไรบ้าง 7. เปรยี บเทยี บดินด่างกับดินเคม็ ในแงข่ องการนาไปปลูกพชื วา่ เหมือนหรือต่างกันอยา่ งไรบ้าง 8. ถ้าต้องการใช้ดินด่างเพาะปลูกพืชให้ได้ ผลผลิตท่ีคุ้มค่าต่อการลงทุนจะมีวิธีการจัดการ อยา่ งไรบา้ ง 9. ปัจจุบันดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการกระจายของดินเค็มเพ่ิมมากข้ึนเนื่องมาจาก สาเหตุใดบ้าง 10. การปรบั ปรุงดนิ เค็มให้เหมาะสมตอ่ การเพาะปลกู จะมีการจัดการดนิ เค็มอย่างไรบ้าง เอกสำรอำ้ งอิง เกษมศรี ซับซ้อน. (2541). ปฐพีวทิ ยา(พิมพ์คร้ังท่ี4). กรงุ เทพมหานคร : นานาส่งิ พมิ พ์.
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 112 คณาจารยภ์ าควิชาปฐพวี ยิ า. ( 2535). ปฐพวี ทิ ยาเบ้อื งตน้ (พมิ พค์ ร้ังท่ี7). กรงุ เทพมหานคร : เรอื งธรรมการพิมพ์. คณาจารย์ภาควิชาปฐพวี ยิ า. ( 2541). ปฐพวี ิทยาเบอื้ งต้น (พิมพ์คร้งั ที่8). กรุงเทพมหานคร : เรอื งธรรมการพมิ พ.์ ถวิล ครฑุ กุล. ( 2527 ). ดนิ และปุ๋ยเพ่ือการเพาะปลกู . กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาปฐพวี ิทยา คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ นที ขลิบทอง. ( 2528 ). ดิน นา้ ปุย๋ . กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. ทศั นยี ์ อตั ตะนนั ทน.์ ( 2534). ดินทีใ่ ช้ปลูกขา้ ว. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าปฐพวี ิทยา คณะ เกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ บญุ ชมุ เปียแดง. ( 2526 ). ปฐพีวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร : ศูนยฝ์ ึกอบรมวิศวกรรมเกษตร ปทุมธานี. พสิ ทุ ธิ์ วิจารสรณ์ และคณะ. ( 2536). คู่มอื การปรบั ปรุงดินเปรี้ยวเพอื่ การเกษตร. กรงุ เทพมหานคร : โครงการศูนยก์ ารพฒั นาพกิ ลุ ทอง อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ. พฒั นาท่ดี นิ , กรม. ( 2525 ). โครงการพัฒนาดนิ เค็มดินเปร้ียวภาคใต้. คมู่ อื เจ้าหนา้ ที่ของรัฐ ตามแผนพฒั นาชนบทยากจน (2525- 2529) : กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ . ------------------. ( 2527). ความร้เู รื่องดนิ เคม็ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ --------------------. ( 2532 ). ดินทมี่ ปี ัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรของประเทศ ไทย. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ มานพ ตัณฑะเตมยี .์ ( 2534 ). ดินเคม็ ชายทะเลของประเทศไทยและการปรับปรงุ . กรุงเทพมหานคร : กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ สมศรี อรณุ ินท์. ( 2534 ). การปรบั ปรงุ ดนิ เค็มและดนิ โซดกิ . กรุงเทพมหานคร: กรมพฒั นาท่ดี ิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 113 บทที่ 7 กำรสำรวจและจำแนกดิน แผนบรหิ ำรกำรสอนประจำบทที่ 7 เนือ้ หำประจำบท 1. การเก็บตวั อย่างดิน 2. วธิ ีเก็บตวั อย่างดนิ 3. ชนดิ ของการสารวจ 4. การสารวจดินในประเทศไทย 5. การจาแนกดนิ 6. ระบบอนกุ รมวิธานดิน 7. หลักการจาแนกสมรรถนะทีด่ นิ 8. การจาแนกสมรรถนะที่ดนิ เพอ่ื การปลกู พชื 9. ศกั ยภาพของท่ีดนิ ในประเทศไทยในปัจจุบัน วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. สามารถบอกความหมายของคาว่าการสารวจดินได้ 2. สามารถอธิบายขัน้ ตอนของการเกบ็ ตัวอย่างดนิ ได้ 3. สามารถจาแนกดนิ ท่ใี ชใ้ นการปลกู พืชได้ 4. สามารถอธิบายระบบอนุกรมวิธานของดนิ พรอ้ มทงั้ ยกตัวอยา่ งประกอบได้ 5. สามารถบอกความหมายของคาว่าการจาแนกช้ันสมรรถนะของดนิ ท่ีใช้ในการเพาะปลกู ได้ 6. สามารถเปรยี บเทยี บการจาแนกสมรรถนะทีด่ ินทป่ี ลกู ข้าวกบั สมรรถนะทีด่ ินทปี่ ลูกพชื ไร่ได้ 7. สามารถอธบิ ายหลักเกณฑ์ทสี่ าคัญที่ใช้ในการพิจารณาการจาแนกสมรรถนะท่ดี นิ ได้ 8. สามารถนาความร้ทู างดา้ นการสารวจดนิ และการจาแนกดนิ ไปชว่ ยเพม่ิ ผลผลิตทางดา้ นการเกษตรได้ วิธสี อนและกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอนประจำบท 1. ผู้สอนอธบิ ายเนอ้ื หาเรื่องการสารวจดนิ และการจาแนกดินตามเอกสารประกอบการสอน 2. ผ้สู อนอธิบายเพ่มิ เติมโดยใช้แผน่ ภาพประกอบ 3. ผู้สอนและนกั ศึกษาช่วยกันอภปิ รายสรุปเนือ้ หา 4. ผ้สู อนให้นกั ศึกษาทากิจกรรม 5. ผู้สอนให้นักศึกษาทาแบบฝกึ หัด
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 114 สื่อกำรเรียนกำรสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. แผ่นภาพ และเครื่องฉายข้ามศีรษะ กำรวดั ผลและกำรประเมนิ ผล ประเมินผลจาก 1. สังเกตจากการตอบคาถามและอภปิ รายของนักศึกษา 2. สงั เกตจากการทากจิ กรรมของนักศึกษา
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 115 บทที่ 7 กำรสำรวจและจำแนกดนิ กำรสำรวจดิน (soil survey) หมายถึงการตรวจวัดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของดินชนิดต่างๆใน บ ริ เ ว ณ ใ ด บ ริ เ ว ณ ห นึ่ ง เ พ่ื อ ใ ห้ ท ร า บ ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง ดิ น ต ล อ ด จ น ปั จ จั ย ส่ิงแวดล้อมต่างๆ เช่นสภาพพนื้ ท่ี อุทกวิทยา ลักษณะภมู ิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ และพืชพรรณต่างๆ แล้ว นามาบันทกึ เปน็ แผนท่ีดินและรายงานการสารวจดนิ เพ่ือใช้เปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานทีจ่ ะนาไปใช้ประโยชน์ในการเพ่ิม ศกั ยภาพของดนิ แตล่ ะชนิด อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการสารวจดินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้คือ อุปกรณ์ที่ใช้ใน สานกั งาน ประกอบดว้ ย แผนท่ีภูมิประเทศ แผนท่ีภูมิอากาศ และภาพถ่ายทางอากาศ เป็นต้น และ เคร่ืองมือ ท่ีใช้ในภาคสนาม ประกอบด้วย สว่านเจาะดิน แว่นขยาย เข็มทิศ กล้องถ่ายรูป พล่ัว จอบ สมุดบันทึกข้อมูล มีดและค้อนธรณี ขวดฉีดน้า เทปวัดระยะทาง กระดาษทิชชู ชุดวัดปฏิกิริยา ถุงพลาสติกและเชือกผูกปากถุง สมุดเทียบสีดิน เครอ่ื งวดั ความลาดชนั 1. กำรเก็บตัวอยำ่ งดนิ ในการเกบ็ ตัวอย่างดินตอ้ งเกบ็ ตวั อย่างดนิ โดยใช้สวา่ นเจาะดิน เพอ่ื นาไปอธิบายหน้าตัดดิน และนาดิน มาวิเคราะห์ในหอ้ งปฏบิ ัติการทงั้ ทางด้านกายภาพและทางด้านเคมี ผลท่ีได้จากการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ สามารถนาไปจาแนกดิน และประเมินความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารในดินเพ่ือปรับปรุงดินให้มีศักยภาพใน การเพ่ิมผลผลิตทางการปลูกพืช ในการเก็บตัวอย่างดินเพื่อนามาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. การเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ เพอ่ื นาไปจาแนก โดยเกบ็ จากตัวอย่างดินจากหลุมที่ขดุ ในพื้นท่ีซึง่ เลือกเป็นตัวแทน ขนาดของหลุม กว้างxยาวxลึก = 1 x 2 x 1 ลูกบาศก์เมตร โดยเก็บตัวอย่างดินทุกชั้นแล้วนาไป วิเคราะหใ์ นหอ้ งปฏบิ ัติการตอ่ ไป 2. การเก็บตวั อย่างดนิ เพ่ือนาเอาไปวิเคราะห์ กองวเิ คราะห์ดิน กรมพัฒนาทดี่ ิน ได้มวี ิธีเก็บตัวตัวอย่างดิน ทดี่ เี พ่ือใช้ในการวเิ คราะหโ์ ดยคานงึ ถงึ สง่ิ ต่อไปน้ี 2.1 ชว่ งเวลาที่เก็บต้องเหมาะสม คือตอนปลายฤดูปลูก หรือหลังจากการเก็บเก่ียวพืชผลไปแล้ว เพื่อ ต้องการทดสอบธาตุอาหารพืชว่าเหลืออยู่เท่าใด และมีความเป็นกรดเป็นด่างเพิ่มข้ึนหรือลดลง เพือ่ ใชใ้ นการแกไ้ ขปรบั ปรุงดินและเปน็ ข้อมลู ในการปลกู พืชในฤดูถัดไป 2.2 ความช้ืนในดิน ไม่ควรเก็บดินในขณะที่ดินเปียกหรือมีน้าขังอยู่ความชื้นที่เหมาะสมแก่การเก็บ ตัวอย่างดินอาจสังเกตได้ดังน้ีคือเอาดินที่เก็บได้มาบีบหรือกาให้แน่น เม่ือแบมือออกดินจะไม่ติด มือ จับตวั เปน็ กอ้ น เมอ่ื บอิ อกจะรว่ น
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 116 2.3 สถานที่เก็บตัวอย่างดิน อย่าเก็บบริเวณคอกสัตว์เก่า บ้านเก่า บริเวณที่มีปุ๋ยตกค้าง บริเวณถนน และบริเวณข้างรั้ว เพราะจะเป็นตวั แทนทไี่ ม่ดพี อ 2.4 เครื่องมือที่ใช้เก็บตัวอย่าง ได้แก่ พล่ัว จอบ เสียม หรือเคร่ืองเก็บตัวอย่างเฉพาะเช่น สว่านเจาะ ดินหรอื กระบอกเจาะดนิ แลว้ แตค่ วามเหมาะสม 2.5 ภาชนะสาหรับเก็บรวบรวมตัวอย่างดิน ได้แก่ ถังพลาสติก หรือถุงพลาสติกหรือขวดพลาสติก ซึ่ง ตอ้ งสะอาด ไมม่ ีดิน ไม่มีปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยากาจดั วชั พืช หรอื สง่ิ สกปรกอ่นื ๆเจอื ปนอยู่ 2.6 พ้นื ทข่ี องแปลงทเ่ี กบ็ ตวั อย่างดนิ ดนิ 1 ตวั อย่างไมค่ วรเกนิ พน้ื ที่ 25 ไร่ โดยขึน้ อยกู่ บั ภมู ิประเทศ 2. วิธเี ก็บตัวอย่ำงดนิ การเก็บตัวอย่างดินเพื่อนาไปวิเคราะห์หาปริมาณธาตุอาหารพืชในดิน ดินท่ีเก็บได้ต้องจะต้องเป็นตัว แทนท่ีดพี อ ดงั นั้นการเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ ท่ีดีทาไดด้ ังต่อไปนี้ 1. ต้องถางหญา้ หรือกวาดเศษพืชใบไมค้ ลมุ ดนิ อยู่ออกให้หมดเสยี กอ่ น แล้วใช้จอบหรือเสียมหรือ พลั่วขุดหลุมให้เป็นรูปตัว V ลึกประมาณ 6 น้ิวฟุต จากผิวดินแซกด้านข้างของหลุมหนา ประมาณ ? - 1 นิ้วฟุต จากปากหลุมขนานลงไปตามหน้าดินที่ขุดไว้ลึกถึงก้นหลุมแล้วงัดขึ้น หนา้ ดินจะตดิ มาบนพลวั่ หรือจอบหรอื เสยี ม จากนั้นใช้มีดพับตัดดินบนพล่ัว จอบ เสียม ออก เสียเอาไว้แตด่ นิ ตรงกลางกวา้ งประมาณ 1 – 2 นิว้ ฟตุ แลว้ เกบ็ ไวใ้ นถังพลาสตกิ 2. ความลกึ ทีใ่ ชเ้ กบ็ ตัวอย่างดิน ถ้าดนิ ที่ใช้ทาไร่ทานา ควรใชค้ วามลกึ ประมาณ 6 นิ้วฟุต ถ้าดินท่ี ใช้สาหรับปลูกหญ้าอาหารสัตว์ควรใช้ความลึกประมาณ 3 นิ้วฟุต ส่วนดินที่ใช้ปลูกไม้ยืนต้น ควรเก็บดินท่ีความลึก 50 เซนติเมตร ถ้าดินล่างมีปัญหาอาจเก็บดินท่ีความลึก 1 เมตร เพมิ่ เติม 3. เม่ือเก็บดินตัวอย่างดินแล้ว คลุกดินที่เก็บได้ให้สม่าเสมอและให้เป็นก้อนเล็กๆ กองดินลงบน ผ้าพลาสติกคลุกเคล้าให้เข้ากันโดยยกมุมพลาสติกข้ึนที่ละมุมสลับกันทาหลายๆคร้ังแล้วกอง ดินเปน็ รูปฝาชที าเครอื่ งหมาย + บนยอดกองดินแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ชักออกมาหนึ่งส่วน เก็บ ใส่ถงุ พลาสติกเพื่อส่งห้องปฎบิ ัติการเพื่อทาการวเิ คราะหธ์ าตุอาหารตอ่ ไป 3. ชนิดของกำรสำรวจ นงคราญ กาญจนประเสรฐิ (2536) ไดแ้ บ่งชนดิ ของการสารวจออกเป็น 6 ชนดิ ใหญ่ได้ดังต่อไปนี้
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 117 1. การสารวจดินแบบกว้าง (generalize soil survey) เป็นการสารวจดินแบบหยาบมาก ส่วน ใหญ่ใชว้ ธิ ีแปลจากภาพถ่ายทางอากาศ แลว้ ตรวจสอบในสนามเพียงบางจุด โดยใช้แผนที่หรือ ภาพถา่ ยทางอากาศทม่ี มี าตราส่วนเล็ก คือ 1 : 100,000 - 1 : 250,000 แผนท่ีดินที่ผลิตได้ มี มาตราส่วนเล็ก คือ 1 : 250,000 - 1 : 1,000,000 ใช้แสดงลักษณะดินท่ัวประเทศอย่าง หยาบ ๆ เพ่อื ใช้เปน็ หลักในการวางแผนการสารวจดินทล่ี ะเอียดต่อไป 2. การสารวจดินแบบหยาบ ( reconnaissance soil survey) ใช้แผนที่หรือภาพถ่ายทาง อากาศ มาตรส่วน 1 : 75,000 – 1 : 200,000 เป็นหลัก ทาการตรวจสอบดินในสนาม ประมาณ 1 หลุมต่อ พื้นที่ 13 ตารางกิโลเมตร ผลิตแผนที่ดินออกมามีมาตราส่วน 1 : 100,000 - 1 : 500,000 ใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาในระดับชาติหรอื ระดบั ภาค 3. การสารวจดินค่อนข้างหยาบ (detailed reconnaissance soil survey) ใช้แผนที่หรือ ภาพถา่ ยทางอากาศ มาตราส่วน 1 : 40,000 - 1 : 100,000 เป็นหลัก ทาการเจาะสารวจดิน ภาคสนาม 1 หลุมต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ผลิตแผนที่ดินออกมา มาตราส่วน 1 : 50,000 - 1 : 100,000 การสารวจชนิดน้ีใช้ในการวางแผนพัฒนาการเกษตรของจังหวัดและของภาค การประเมินผล เพอื่ การใชร้ ะบบชลประทานขนาดใหญ่ ตลอดจนการวางแนวสร้างทางหลวง สนามบนิ หรอื สถานท่ที ่องเท่ียวพกั ผอ่ น 4. การสารวจดินค้อนข้างละเอียด (semi –detailed soil survey) ใช้แผนที่หรือภาพถ่ายทาง อากาศ มาตราส่วน 1 : 20,000 - 1 : 50,000 ทาการเจาะสารวจดิน 1 หลุมต่อเน้ือที่ 100 – 500 ไร่ ผลิตแผนที่ออกมามีมาตราส่วน 1 : 25,000 - 1 : 60,000 การสารวจดินชนิดนี้ใช้ สาหรับการวางแผนงานด้านเกษตรในพ้ืนที่เฉพาะแห่ง เช่น โครงการนิคมสร้างตนเอง การ วางแผนอนรุ กั ษด์ นิ และน้า 5. การสารวจแบบละเอียด (detailed soil survey) ใช้แผนท่ีหรือภาพถ่ายทางอากาศ มาตรา สว่ น 1 : 50,000 - 1 : 30,000 เป็นหลกั เจาะสารวจดิน 1 หลุมต่อพื้นท่ี 3 – 75 ไร่ หรือ แต่ ละหลุมห่างกัน 250 เมตร ผลิตแผนที่ดินออกมามีมาตราส่วน 1 : 10,000 - 1 : 30,000 การ สารวจดนิ ชนดิ นใี้ ช้สาหรับการวางแผนการจัดการในไร่นา และการชลประทานในพื้นท่ีขนาด เลก็ เช่น ไร่นาของเกษตรกรแต่ละราย 6. การสารวจแบบละเอียดมาก (very detailed soil survey) ใช้แผนที่หรือภาพถ่ายทาง อากาศ มาตราส่วน 1 : 10,000 หรือใหญ่กว่าน้ี การเจาะสารวจดินข้ึนอยู่กับความละเอียด ของงานท่ีนาไปใช้ เช่น เจาะทุกระยะ 100 เมตร หรือถี่กว่านี้ ผลิตแผนที่ดินออกมา มีมาตรา
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสง่ิ แวดล้อม 118 สว่ น 1 : 2,000 - 1 : 10,000 ใชป้ ระโยชน์ในการคน้ ควา้ วิจัย เช่น แปลงทดลอง หรือในไร่นา แบบประณตี แตไ่ ดข้ ้อมลู ของดินที่ละเอยี ดถกู ต้องมาก 4. กำรสำรวจดนิ ในประเทศไทย ดร. เพนเดนตัน เป็นนักสารวจชาวสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ ดร. สาโรจ มนตระกูล และ ดร. เร่ิม บูรณ ฤกษ์ ทาการสารวจดินประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2483 โดยใช้แนวทางและวิธีการสารวจและการ จาแนกดินตามแบบของสหรัฐอเมริกา โดยอาศัยแผนที่ป่าไม้ และแผนท่ีธรณีวิทยาเป็นหลัก ในการสารวจและ ทาแผนทีด่ ิน ในมาตราสว่ น 1 : 2,500,000 ในปี พ.ศ. 2508 แผนทีด่ นิ ของประเทศไทยได้รบั การปรับปรุงแก้ไข โดยเจ้าหน้าที่ของกรมสารวจดินกรมพัฒนาที่ดิน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ( FAO ) มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ และสถาบนั วิจยั วทิ ยาศาสตร์ประยกุ ตแ์ หง่ ประเทศไทย และได้จัดทาและพิมพ์แผน ทดี่ นิ มาตราส่วน 1 : 1,250,000 และ 1 : 2,500,000 ขึ้นในปี พ.ศ. 2511 โดยดร. สันทัด โรจนสุนทร พร้อมมี รายงานประกอบแผนที่ดิน ในปีพ.ศ. 2521 – 2522 กองสารวจดิน กรมพัฒนาที่ดินได้จัดทาแผนที่ดินโดย จาแนกดินตามระบบอนุกรมวิธานดินของสหรัฐอเมริกา ในระดับกลุ่มดิน (great group ) โดยแผนท่ีดินน้ีมี มาตราส่วน 1 : 1,000,000 กองสารวจดนิ กรมพัฒนาท่ีดินได้ทาการสารวจดินต่อเน่ืองกันมาและได้จัดทาแผน ทด่ี นิ ระดับที่ละเอียดขนึ้ ในมาตราสว่ น 1 : 500,000 ปัจจุบันน้ีประเทศไทยได้จัดทาแผนท่ีดินรายจังหวัดขึ้นมาโดยใช้มาตราส่วน 1 : 100,000 และ 1 : 50,000 เรียบร้อยแล้ว และได้มีการสารวจและกาลังจัดพิมพ์แผนท่ีดินระดับอาเภอขึ้นในมาตราส่วน 1 : 25,000 – 1 : 50,000 ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการเป็นแนวทางในการวางแผนการจัดการที่ดินให้มี ประสิทธภิ าพมากยิง่ ขนึ้ นงคราญ กาญจนประเสริฐ (2536) ได้กล่าวถึงรายงานการสารวจดินว่าเป็นแหล่งที่ให้ ขอ้ มลู ท่เี กี่ยวกบั ดนิ และสภาพแวดล้อมทีม่ ีความสัมพนั ธก์ ับการใช้ประโยชนท์ ่ดี นิ ดงั ต่อไปน้ี 1. ข้อมูลเก่ียวกับสภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ท่ีดิน ได้แก่ ลักษณะพื้นท่ี โดยทั่วไป สภาพทางธรณีวิทยา วัตถุต้นกาเนิดดิน สภาพทางอุทกวิทยา รวมท้ัง ระดับน้าใต้ ดนิ สภาพภมู ิอากาศ การใชป้ ระโยชน์ทดี่ นิ การคมนาคม และการตลาด เป็นต้น 2. ข้อมูลเก่ียวกับดิน มีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะดินชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง ความอุดมสมบูรณ์ ของดิน วิธีการที่จะบารุงรักษา รายละเอียดท่ีสาคัญ เช่น เน้ือที่ สภาพพ้ืนท่ีเกิดดิน การ ระบายน้าของดิน เน้ือดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติ การใช้ประโยชน์และ ขอ้ จากัดในการใชป้ ระโยชน์ วธิ กี ารบารงุ รักษา เป็นต้น 3. การวินิจฉัยตัวเลขผลการวิเคราะห์ดิน เช่น ปริมาณอนุภาคขนาดของดิน ความเป็นกรดด่าง ของดิน ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณธาตุไนโตรเจน ปริมาณธาตุท่ีเป็นด่าง ซ่ึงอยู่ในรูปท่ี
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสงิ่ แวดล้อม 119 สามารถแลกเปล่ยี นได้ ปรมิ าณเกลือในดิน ค่าความจุในการแลกเปลี่ยนประจุบวก ค่าร้อยละ ความอ่ิมตัวของธาตุที่เป็นด่าง ปริมาณธาตุฟอสฟอรัสท่ีเป็นประโยชน์ และปริมาณธาตุ โปตสั เซียมทีเ่ ปน็ ประโยชน์ 4. การวินิจฉัยลักษณะและสมบัติของดินเพ่ือวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น เพื่อการจาแนกดินเข้า ระบบ การจาแนกสมรรถนะที่ดิน การจาแนกความเหมาะสมของท่ีดินสาหรับพืชเศรษฐกิจ เชน่ การปลูกข้าว พชื ไร่ ไมผ้ ล ทงุ่ หญ้าเลย้ี งสัตว์ การชลประทาน ปา่ ไม้ และวศิ วกรรม 5. การคาดคะเนความอุดมสมบรู ณ์ของดิน พิจารณาจากสมบัติทางเคมีสาคัญ เช่น ค่าความจุใน การแลกเปลี่ยนประจุบวก ค่าร้อยละความอ่ิมตัวของธาตุท่ีเป็นด่าง ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณธาตุฟอสฟอรสั ท่เี ป็นประโยชน์ และปริมาณธาตุโปตสั เซยี มท่เี ปน็ ประโยชน์ 5. กำรจำแนกดิน เปา้ หมายในการจาแนกดิน เพ่อื คน้ ควา้ หาความรตู้ ลอดจนรวบรวมสมบัติต่างๆของดิน ที่คล้ายคลึงกัน เข้าเป็นหมวดหมู่ เพ่ือให้ง่ายต่อการเข้าใจและจดจา เพ่ือนาไปใช้ในการศึกษาเก่ียวกับการกาเนิดดิน เพื่อ นาไปใช้ในการทาการเกษตร นงคราญ กาญจนประเสริฐ (2536) ได้ให้วัตถุประสงค์ในการจาแนกดินไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เพื่อจัดหมวดหมู่ชนิดของดินท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกัน รวบรวมไว้ในหมู่หรือ กลุม่ เดียวกันให้เป็นระบบ 2. เพอ่ื ใหง้ ่ายและสะดวกต่อการจดจาหรอื ศึกษาหาความรไู้ ด้อย่างถูกต้องแทจ้ รงิ 3. เพ่ือหาความสัมพันธ์และชี้ให้เห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างดินแต่ละหน่วยท่ีได้จัดระบบ ไว้เป็นหมวดหมู่ 4. เพื่อศึกษาความสมั พันธใ์ หม่ ๆ เรียนร้หู ลกั การใหม่ ๆ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการจาแนก 5. เพ่ือจัดกลุ่มหรือหมวดหมู่ใหม่ เพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ หรือการนาไปใช้ได้ สะดวก และเกดิ ประโยชน์อย่างแทจ้ รงิ 6. เพอ่ื รวบรวมความรู้ต่าง ๆ เกยี่ วกับดนิ ให้มีความถกู ตอ้ งละเอียดลกึ ซึง้ เพมิ่ มากขึน้ 7. เพื่อประโยชน์ในการนาไปใช้ในด้านต่าง ๆ ประเมินความสามารถเชิงการผลิตวิธีการใช้ที่ดิน ให้เหมาะสม แจกแจงปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาสาหรับการใช้ท่ีดินการจาแนกดินใน ประเทศไทยนิยมจาแนกตามกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาโดยจาแนกดินด้วยระบบ
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 120 อนุกรมวิธานดิน (soil taxomony) ซึ่งมีการพัฒนาปรับปรุงหลายคร้ังจนถึงฉบับท่ีใช้ใน ปจั จุบันคอื ฉบับ ค.ศ.1999 6. ระบบอนกุ รมวธิ ำนดนิ จาแนกออกเป็น 6 ขนั้ (categories) เป็นขัน้ สงู 4 ขนั้ ได้แก่ อันดับ (orders) อันดับย่อย (suborders) กลุ่มดินใหญ่ (great group) และกลุ่มดินย่อย (sub group) สาหรับขั้นต่า แบ่งออกเป็น 2 ข้ัน ได้แก่ วงศ์ (families ) และชุดดนิ (series) ลักษณะทใี่ ชใ้ นการจาแนกดนิ เข้าข้นั ต่าง ๆ ตามระบบอนกุ รมวธิ านดิน คอื 1. อันดับ ในการจาแนกดินในระดับอนั ดับดิน (order) โดยถือเอาลักษณะทางสัณฐานวิทยาของ ดินโดยการวินิจฉัยจากขบวนการเกิดดิน ท่ีมีความสัมพันธ์กับอายุของดินโดยมีรากศัพท์มา จากภาษากรีก ลาตินและเยอรมัน โดยลงท้ายพยางค์ด้วยคาว่า “ sol “ การจาแนกดินใน ระดับอันดับดนิ (order) แบง่ ออกเปน็ 10 อนั ดับดิน (order) ดังต่อไปน้ี 1.1 แอลฟซิ อลล์ (Alfisols) ดนิ ชัน้ ล่างมกี ารสะสมของ ดนิ เหนยี วหรือเกลือต่างๆ ซง่ึ ถูกเคล่อื นยา้ ยมาจากดินชั้นบนมีเปอร์เซ็นต์การอ่ิมตัว (Base saturation percentage) สูงกว่า 3.5 เป็นดินท่ีมีอายุน้อย ผ่านกระบวนการชะล้างไม่ มากนัก ทาให้ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียมยังสะสมอยู่ในดินไม่ ลึกจนเกินไป ส่วนใหญ่พบบริเวณสภาพอากาศช้ืน พบทุกภาคของประเทศ ไทย 1.2 แอรดิ ิซอลล์ (Aridisol) เป็นดนิ ทพ่ี บบรเิ วณแห้งแล้งหรือค่อนข้างแห้งแล้ง มี อินทรียวัตถุสะสมอยู่น้อยและดินชั้นล่างมีการสะสมปูน เกลือต่างๆ และ ยิบซ่ัม จานวนมาก ทาให้ดนิ บนมีสีจางและบางไมพ่ บในประเทศไทย 1.3 เอนตโิ ซลล์ (Entisols) เปน็ ดนิ เกิดใหม่ ลกั ษณะของชั้นดนิ ไมค่ รบทุกชั้นส่วน ใหญ่พบช้ันA และ C ไม่พบชั้น B บริเวณท่ีพบ พบได้ทุกสภาพภูมิประเทศ เช่นบริเวณ แม่น้าลาธารหรือบริเวณที่มีความลาดชันสูง พบทุกภาคของ ประเทศไทย 1.4 ฮิสโทซอลล์ (Histosols) เป็นดินท่ีมอี ินทรยี วตั ถสุ ะสมอย่มู ากในช้ันดินบน มี ความหนาประมาณ 40 เซนตเิ มตร พบบรเิ วณภาคใตข้ องประเทศไทย
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสง่ิ แวดล้อม 121 1.5 อินเซบทิซอลล์ (Inceptisols) เป็นดินที่เร่ิมมีช้ันB เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี ดินช้ันบนจะมีสีชัดเจนข้ึนเน่ืองมาจากความชื้นในดิน พบบรเิ วณร้อนช้นื พบบรเิ วณจงั หวัด ปทุมธานี อยุธยา และนครนายก 1.6 มอลลิซอลล์ (Mollisols) ดินช้ันบนจะมีสีดาหรือสีคล้า มีอินทรียวัตถุเป็น องค์ประกอบหนาประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ และมี เปอร์เซ็นต์การอ่ิมตัวด้วย ดา่ งสงู กว่า 50 ดินมลี กั ษณะรว่ นซุย เวลาจับร้สู กึ น่ิมมอื พบบริเวณภูมิอากาศ ช้ืน ถึงค่อนข้างแห้งแล้ง พบได้บริเวณที่ราบสูงของประเทศ เช่นจังหวัด เพชรบรู ณ์ ลพบุรี ภาคกลางเชน่ จงั หวัด ราชบรุ แี ละนครปฐม 1.7 ออกซิซอลล์ (Oxisols) วัตถุต้นกาเนิดของดินประเภทน้ีจะสลายตัวทางเคมี อย่างรุนแรง เป็นพวก ออกไซด์อิสระบนแร่ดินเหนียว และ เคโอลิไนต์ ซ่ึง เป็นแร่ดินเหนียว มีการสะสมของ เซลควิออกไซด์สูง และมีการแลกเปล่ียน ประจุบวกต่า พบบริเวณแถบร้อนชื้น และค่อนข้างร้อนชื้น พบบริเวณ ภาคใต้ ภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย 1.8 สปอโดซอลล์ (spodosols) ดินส่วนใหญ่จะเป็นดินเน้ือหยาบ มีสีขาวและสี เทา ดินช้ันล่างมีการสะสมฮิวมัสหรือเหล็กสูงซ่ึงถูกชะล้างมาจากดินชั้นบน และมี เซลควิออกไซด์ ค่อนข้างสูง พบบริเวณภาคใต้ ภาคตะวันออกและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 1.9 อัลทิซอลล์ (Ultisols) เป็นดินเก่าท่ีมีการพัฒนา มีชั้นของ A B และ C มีค่า เปอร์เซ็นต์การอิ่มตัว ต่ากว่า 35 เปอร์เซ็นต์มีการชะล้างสูง ดินชั้นล่างเป็น กรดจัด เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า พบได้บริเวณแถบอบอุ่น จนถึง บรเิ วณร้อนช้ืน ไดแ้ ก่ชดุ ดิน ลพบรุ ี ตาคลี และโคกกระเทียม เป็นตน้ 1.10 เวอร์ทิซอลล์ (Vertisols) ดินจะมีสีคล้าหรือสีดา บริเวณหน้าดินจะ แตกระแหงมีการยืดหดตัวสูง มีวัตถุต้นกาเนิดมาจากหินปูน มีการสะสม หนิ ปูนคอ่ นข้างสูง ทาให้ ดินมีความเป็นด่างค่อนข้างสูง ในฤดูฝนดินจะมียืด ตัวและขยายตัว หรือพองตัวค่อนข้างสูง แต่ในฤดูแล้งบริเวณหน้าดินจะ แตกระแหงอย่างชัดเจน พบบริเวณจังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และสระบุรี ฯลฯ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 122 2. อันดับย่อย ใช้การกาเนิดดินเป็นหลักสาคัญ เป็นส่วนย่อยของอันดับ แสดงถึงความพบ หรือไม่พบสมบัติของดินที่เก่ียวกับความเปียกช้ืน วัตถุต้นกาเนิดดิน พืชพรรณ และการ สลายตัวของอนิ ทรยี วัตถุ (ขัน้ ฮิสโทซอลล)์ 3. กลุ่มดินใหญ่ เป็นส่วนย่อยของอันดับย่อย เน้นความคล้ายคลึงกันของชนิดดิน การจัด เรียงตัว และลักษณะพิเศษที่ชัดเจนของชั้นดิน โดยเฉพาะช้ันดินบน อุณหภูมิดิน และ ความช้ืนของดิน อาจพบหรือไม่พบในชั้นดินวินิจฉัย เช่น ช้ันศิลาแลงอ่อน (plinthite) ชั้น ดานเปราะ (fragipan) ชน้ั ดานแข็ง (duripan) 4. กลมุ่ ดินยอ่ ยเป็นส่วนยอ่ ยของกล่มุ ดินใหญ่ เพ่อื แสดงให้เหน็ สมบัติของดิน ที่ตรงตามนิยามท่ี แท้จริงของกลุ่มดิน อันดับย่อย และอันดับ หรือสมบัติที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปจากสมบัติที่ แท้จรงิ ของกลมุ่ ดิน อันดับย่อย และอันดับนั้น 5. วงศ์ดินเป็นส่วนย่อยของกลุ่มดินย่อย เน้นการบอกสมบัติดินกว้าง ๆ เกี่ยวกับชั้นของแร่ ธาตุ ช้ันของอุณหภูมดิ นิ (ซ่ึงจะใช้อณุ หภมู ิทร่ี ะดับความลึก 50 เซนติเมตร) 6. ชุดดนิ เป็นชนิดและกำรจัดเรียงตัวของช้ันดิน โดยพิจารณาจากสีดิน เน้ือดิน โครงสร้างของ ดนิ การยดึ ตัวของดนิ และปฏิกริ ยิ าดิน รวมท้งั สมบตั ทิ างเคมีและแร่ธาตุในการจาแนกดินแต่ ละชั้น 7. หลกั กำรจำแนกสมรรถนะท่ดี ิน การจาแนกชั้นสมรรถนะที่ดิน (land capability classification) หมายถึงการจาแนกท่ีดินออกเป็น ชน้ั ต่างๆตามความเหมาะสม และขอ้ จากัดในการใช้ประโยชน์ โดยอาศัยลักษณะของดินและสภาพแวดล้อมใน การเกิดดนิ เป็นหลักในการจาแนกดิน นงคราญ กาญจนประเสร็ฐ (2536) ได้จาแนกสมรรถนะทดี่ ินไว้ดังต่อไปน้ี 1. พิจารณาลักษณะและสมบัติของดินท่ีถาวร ไม่เปล่ียนแปลงง่าย เช่น เนื้อดิน ความลึก ความสามารถในการซาบซึมนา้ ความลาดชัน 2. จาแนกตามความรุนแรงหรือข้อจากัด หรืออัตราเส่ียงต่อความเสียหาย ถ้านาดินนั้นมาใช้ เพาะปลูกพชื 3. การจาแนกมไิ ด้คาดคะเน หรือระบุผลผลิตพืชในท่ีดินนั้น เพราะมีปัจจัยอ่ืน ส่งผลต่อการผลิต พืชดว้ ย 4. การจดั สมรรถนะที่ดิน พิจารณาในช่วงฤดฝู นวา่ มีนา้ หรอื ความช้ืนในดนิ เหมาะสมหรอื ไม่
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 123 5. ช้ันสมรรถนะท่ีดินอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เมื่อปรับปรุงหรือ เปล่ียนแปลงแลว้ อย่างถาวร เช่น การสรา้ งเขือ่ น ทาฝาย 6. ข้อจากัดอาจเปล่ียนแปลงได้เมื่อมีข้อมูลหรือการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เช่น การใช้เคร่ืองยนต์ การเปลย่ี นความลาดชัน 7. การจาแนกสมรรถนะที่ดิน ต้องพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งดินและพืช เช่น ไม่เหมาะสมในการ ทานา แต่อาจเหมาะสมในการทาไร่ ไมผ้ ล 8. ไม่ไดน้ าสภาพภมู ิอากาศมาพจิ ารณา แตอ่ าจนามาเลอื กชนิดพชื ทป่ี ลูก เช่น ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9. ไม่ได้ใช้สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และกา รคมนาคมขนส่ง มาพิจารณาในการ จัดชัน้ 8. กำรจำแนกสมรรถนะท่ดี ินเพอื่ กำรปลกู พืช การจาแนกสมรรถนะท่ีดินของประเทศไทย โดยใช้ระบบ USDA โดยพิจารณาตามสภาพภูมิ ประเทศ การชะล้างพังทลายของดิน และการระบายน้า เป็นต้น การจาแนกสมรรถนะท่ีดิน สามารถแบ่งออก ได้ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การจาแนกสมรรถนะที่ดินสาหรับปลูกพืชไร่ (U = upland crops) สามารถจาแนกออกเป็น 8 ขัน้ ดังนี้ 1.1 ช้นั U – I เปน็ ชน้ั ดนิ ท่มี ีความเหมาะสมตอ่ การปลกู พชื ไร่ ทุกชนิด 1.2 ช้ัน U – II เป็นช้ันดินที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืชไร่ แต่มีข้อจากัด เล็กน้อย เช่นเน้ือดิน ความลาดเอียงของพ้ืนท่ี และความเป็นกรดเป็นด่างเป็น ตน้ 1.3 ชน้ั U – III เปน็ ช้ันดินทม่ี คี วามเหมาะสมต่อการปลูกพืชไร่ปานกลาง มีข้อจากัด เลก็ น้อย สามารถปรับปรงุ ใหเ้ หมาะสมต่อการเพาะปลกู พชื ได้ 1.4 ชั้น U – IV เป็นชั้นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชไร่ มีข้อจากัดสูง ต้องมีการ แก้ไขปรบั ปรงุ ดินกอ่ นจึงสามารถทาการปลูกพชื ได้ 1.5 ชัน้ U – V เป็นชั้นดินท่ีไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชไร่ มีข้อจากัดสูง เช่นดินเค็ม และดินกรดจัด ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงดินเป็นพิเศษก่อนจึงสามารถทาการ ปลูกพืชได้
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสง่ิ แวดล้อม 124 1.6 ชน้ั U – VI เป็นชน้ั ดินที่ไมเ่ หมาะสมตอ่ การปลูกพืชไร่ มีข้อจากัดสูงมาก อาจใช้ ทาเป็นทุ่งหญา้ เล้ียงสตั วห์ รือแหล่งต้นน้าลาธารและปา่ ไม้ 1.7 ชั้น U – VII เป็นชั้นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชไร่ มีข้อจากัดท่ีรุนแรงมาก ไมส่ ามารถแก้ไขได้ เชน่ มีความลาดชันสูง ดินต้ืน มหี นิ โผลเ่ ป็นต้น 1.8 ช้ัน U – VIII เป็นช้ันดินท่ีไม่ควรใช้เป็นพื้นท่ีปลูกพืช มีข้อจากัดที่รุนแรงมาก เชน่ มคี วามลาดชนั สูง มหี นิ โผล่ หรือเป็นภูเขาหนิ ปนู สงู ชนั เปน็ ต้น 2. การจาแนกสมรรถนะท่ีดนิ สาหรับปลกู ขา้ ว (R = rice) สามารถจาแนกไดต้ ่อไปนี้ 2.1 ชั้น R – I เป็นช้ันดินท่ีมีความเหมาะสมในการปลูกข้าวมากท่ีสุดไม่มีข้อจากัด ใดๆ 2.2 ช้ัน R – II เป็นชั้นดินที่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว มีข้อจากัดเล็กน้อย แกไ้ ขได้ง่าย 2.3 ชั้น R – III เป็นชั้นดินที่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าวปานกลาง มีข้อจากัด มากขน้ึ แกไ้ ขไดย้ าก ตอ้ งใช้เงนิ ลงทนุ สงู 2.4 ชั้น R – IV เป็นช้ันดินที่ไม่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว มีข้อจากัดท่ีรุนแรง เช่นมคี วามเปน็ กรดจัดมาก มีปริมาณธาตุอาหารตา่ 2.5 ชั้น R – V เป็นชั้นดินท่ีไม่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว มีข้อจากัดท่ีรุนแรง แก้ไขไม่ได้ เชน่ พบในท่สี ูง และดนิ ไม่สามารถกกั เก็บนา้ ได้ 9. ศักยภำพของทด่ี ินในประเทศไทยในปจั จุบนั จากผลการสารวจและจาแนกดิน ของกรมพัฒนาท่ีดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ดินที่ เหมาะสมในการเพาะปลกู มีหลายลกั ษณะดงั น้ี คอื 1. ดินท่ีเหมาะสมมากในการปลูกพืชไร่ และไม้ผล มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 6.11 ของเน้ือท่ีท้ัง ประเทศ 2. ดินท่เี หมาะสมมากในการปลกู ข้าว มเี น้อื ทีป่ ระมาณร้อยละ 11.75 ของเนอ้ื ท่ีทง้ั ประเทศ 3. ดินที่เหมาะสมมากในการปลูกไม้ยืนต้นต่าง ๆ มีเน้ือที่ประมาณร้อยละ 1.29 ของเนื้อท่ีท้ัง ประเทศ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 125 10. สรุป การสารวจดินหมายถงึ การตรวจวดั ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของดินชนิดต่างๆในบริเวณใดบริเวณหน่ึง เพื่อให้ทราบถึงลักษณะและคุณสมบัติของดิน ตลอดจนปัจจัยส่ิงแวดล้อมต่างๆ เช่นสภาพพ้ืนที่ อุทกวิทยา ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ และพืชพรรณต่างๆ แล้วนามาบันทึกเป็นแผนท่ีดินและรายงานการ สารวจดิน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะนาไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพของดินแต่ละชนิด อุปกรณ์ที่ใช้ ในการสารวจดินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังน้ีคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในสานักงาน และเคร่ืองมือท่ีใช้ใน ภาคสนาม การเก็บตัวอย่างดิน เพ่ือนาไปอธิบายหน้าตัดดิน และนาดินมาวิเคราะห์ในห้องปฎิบัติการท้ังทางด้าน กายภาพและทางด้านเคมี เพื่อนาไปจาแนกดิน และประเมินความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารในดินเพ่ือ ปรับปรงุ ดนิ ใหม้ ีศกั ยภาพในการเพมิ่ ผลผลิตทางการปลกู พืช การจาแนกดินในประเทศไทยนยิ มจาแนกตามกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมรกิ า จาแนกตามอนุกรมวิธาน ดินโดยแบ่งออกเป็น 6 ข้ันได้แก่ อันดับ อันดับย่อย กลุ่มดินใหญ่ กลุ่มดินย่อย วงศ์ดิน และชุดดิน ซี่งสามารถ จาแนกสมรรถนะทด่ี ินได้ท้ังดนิ ทป่ี ลกู พชื ไร่และดินท่ใี ช้ปลกู ขา้ ว คำถำมทบทวน 1. อธิบายความหมายของคาว่าการสารวจดนิ 2. บอกประโยชนข์ องการสารวจดิน พร้อมท้ังบอกอปุ กรณส์ าคัญทจี่ าเปน็ ต้องใชม้ า 5 ชนดิ 3. บอกขน้ั ตอนของการเกบ็ ตัวอย่างดนิ เพ่ือนาไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ 4. การสารวจดนิ แบ่งออกเป็นกชี่ นดิ อะไรบ้างอธิบาย 5. การจาแนกดนิ เพื่อใชใ้ นการทาการเกษตรมีหลักในการจาแนกอย่างไรบ้างอธิบาย 6. อธบิ ายระบบอนุกรมวิธานของดินพรอ้ มทั้งยกตวั อยา่ งประกอบ 7. อธบิ ายความหมายของคาว่าการจาแนกชนั้ สมรรถนะของดินทีใ่ ช้ในการเกษตร 8. อธิบายหลักเกณฑท์ ี่สาคัญท่ใี ช้ในการพจิ ารณาการจาแนกสมรรถนะทดี่ ิน 9. เกษตรกรได้ใช้ศักยภาพของท่ีดนิ ในการเพาะปลกู มากหรือนอ้ ยถา้ น้อยจะมีวิธกี ารใดที่ จะชว่ ยให้เกษตรกรได้ใชม้ ากข้ึน 10. เกษตรกรไทยสามารถนาความรูท้ างดา้ นการสารวจดนิ และการจาแนกดนิ ไปชว่ ยเพม่ิ ผลผลิตทางด้านการเกษตรได้อย่างไรบ้าง
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสง่ิ แวดล้อม 126 เอกสำรอำ้ งอิง เกษมศรี ซบั ซ้อน. (2541). ปฐพีวทิ ยา(พิมพ์ครั้งท่ี4). กรงุ เทพมหานคร : นานาสง่ิ พมิ พ.์ คณาจารย์ภาควชิ าปฐพีวิทยา. ( 2541 ). ปฐพีวทิ ยาเบอ้ื งตน้ (พิมพค์ ร้ังที่8). กรงุ เทพมหานคร : เรืองธรรมการพิมพ.์ -------. (2455). คูม่ ือปฎบิ ัตกิ ารปฐพวี ิทยาเบอ้ื งต้นและวทิ ยาศาสตรท์ างดนิ . กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ นงคราญ กาญจนประเสรฐิ . (2536). ปฐพเี บ้ืองต้น. พิษณุโลก : สถาบนั ราชภฏั พิบลู สงคราม. -------. (2540). ความอุดมสมบรู ณข์ องดิน. พษิ ณุโลก : สถาบนั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม. พัฒนาท่ดี ิน, กรม. (2544). วิธวี เิ คราะห์ดินทางเคม.ี กรุงเทพมหานคร : กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ . เอบิ เขียวร่ืนรมณ์. (2542). การสารวจของดนิ . กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. Foth, H.D. (1984). Fundamentals of Soil Sience. New York : John Wiley Sons. Tam, K.H. (1994). Environmental Soil science. New York : Marcel Dekker, Inc.
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 127 บทที่ 8 ควำมอดุ มสมบูรณข์ องดิน แผนบริหำรกำรสอนประจำบทท่ี 8 เนอื้ หำประจำบท 1. ธาตุไนโตรเจน 2. ธรรมชาตแิ ละคุณสมบัติของธาตไุ นโตรเจนในดิน 3. การจดั การเก่ยี วกับธาตไุ นโตรเจนในดนิ ที่ใช้ปลูกพชื 4. ธาตุฟอสฟอรสั ในพืช 5. การตรึงฟอสฟอรัสในดนิ 6. การจดั การเกย่ี วกบั ธาตุฟอสฟอรัสในดนิ ท่ีใช้ปลกู พืช 7. ธาตโุ ปตัสเซียม 8. คณุ สมบัตขิ องธาตุโปตัสเซียมในดิน 9. การตรงึ โปตัสเซียมในดนิ 10. การจดั การเกี่ยวกบั ธาตโุ ปตสั เซียมในดนิ ที่ใช้ปลูกพืช 11. ธาตอุ าหารรอง 12. ธาตแุ คลเซียมในดิน 13. ปัจจัยทีค่ วบคมุ ความเปน็ ประโยชนต์ ่อพืชของแคลเซียม 14. อาการทพ่ี ชื ขาดธาตแุ คลเซียม 15. การจดั การเกยี่ วกบั ธาตแุ คลเซยี มในดนิ 16. ธาตุแมกนีเซยี มในดิน 17. ปัจจยั ท่คี วบคุมความเปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื ของแมกนเี ซียมในดิน 18. อาการของพืชที่ขาดธาตุแมกนเี ซียม 19. ธาตุกามะถนั ในดิน 20. อาการขาดธาตกุ ามะถัน 21. จุลธาตุ 22. กลมุ่ ไอออนของจุลธาตุ 23. กล่มุ ไอออนของจลุ ธาตุท่ีมปี ระจบุ วก 24. รายละเอียดของจลุ ธาตุกลมุ่ ไอออนประจบุ วก 25. จุลธาตกุ ลมุ่ ไอออนประจุลบ 26. รายละเอียดของจลุ ธาตุกลุ่มไอออนประจลุ บ 27. สาเหตทุ ท่ี าให้ดินขาดจุลธาตุ
เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 128 วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. สามารถบอกความสาคัญของธาตุอาหารหลกั ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุได้ 2. สามารถบอกแหลง่ ท่มี าของธาตไุ นโตรเจนในดนิ และรปู ของไนโตรเจนท่ีเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ 3. สามารถเปรยี บเทียบรูปของธาตไุ นโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปตสั เซียมในดนิ ท่พี ชื สามารถนาไปใช้ประโยชน์ 4. สามารถปรบั ปรงุ ดนิ ที่ขาดธาตุอาหารรองและจุลธาตุให้สามารถเพ่ิมผลผลติ ได้ วิธสี อนและกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอนประจำบท 1. ผูส้ อนอธิบายเนอื้ หาเรื่อง ธาตอุ าหารหลกั ธาตุอาหารรอง และจลุ ธาตุได้ 2. ผู้สอนและนกั ศึกษาช่วยกันอภปิ รายสรปุ เน้ือหา 3. ผู้สอนให้นกั ศกึ ษาทาปฏิบัติการที่ 5 (ภาคผนวก) 4. ผสู้ อนใหน้ กั ศึกษาทาแบบฝกึ หดั ส่ือกำรเรียนกำรสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. แผน่ ภาพ และเครื่องฉายข้ามศีรษะ กำรวดั ผลและกำรประเมนิ ผล 1. สงั เกตจากการตอบคาถามและอภปิ รายของนักศึกษา 2. สังเกตจากการทากจิ กรรมของนักศึกษา 3. สงั เกตจากการทาแบบฝึกหัดของนักศึกษา
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 129 บทท่ี 8 ควำมอุดมสมบูรณ์ของดิน สงิ่ มีชีวิตท้ังพชื และสัตวต์ ้องการอาหารสาหรับการเจริญเติบโตและดารงชีวิตอยู่ได้ตลอดไปจนครบชีพ จกั ร (life cycle) ธาตตุ า่ ง ๆ ในโลกน้ี ทุกธาตุไม่ได้เป็นอาหารของพืช จะมีเพียงบางธาตุเท่าน้ันที่ถูกจัดให้เป็น ธาตอุ าหารทจี่ าเป็นต่อการเจริญเตบิ โตของพืช (essential elements) โดยอาศัยหลักการดังต่อไปน้ีคือ ถ้าพืช ได้รับธาตุน้ันในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือพืชขาดธาตุนั้นๆจะมีผลทาให้พืชเจริญเติบโตหรือดารงชีวิตอยู่ได้ไม่ ครบชีพจักร โดยเร่ิมต้ังแต่การงอกของเมล็ดจนถึงการออกดอกออกผล ปัจจุบันน้ีจึงมีเพียง 16 ธาตุเท่านั้นที่ จัดเป็นธาตุอาหารท่ีสาคัญของพืช ได้แก่ คาร์บอน (C ) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โปตัสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กามะถัน (S) เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) สงั กะสี (Zn) ทองแดง (Cu) โบรอน (B) โมลบิ ดินัม (Mo) และคลอรนี (Cl) 1. ธำตุไนโตรเจน ไนโตรเจนจัดเป็นธาตุอาหารท่ีพืชต้องการปริมาณมาก (macronutrient elements) บางทีเรียกธาตุ อาหารกลุ่มนีว้ ่า มหธาตุ หรือ ธาตอุ าหารหลัก ไนโตรเจนเปน็ องค์ประกอบที่สาคัญของสารประกอบหลายชนิด ในพืช เชน่ โปรตนี คลอโรฟิลล์ กรดนิวคลอิ กิ และวติ ามนิ เปน็ ตน้ เมื่อพืชไดร้ บั ธาตนุ ีเ้ ปน็ ปริมาณท่ีพอเพียงแล้ว พืชสามารถเจริญเตบิ โตได้ดี มีความแข็งแรง โดยเฉพาะที่ใบจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีสีเขียวเข้ม ไนโตรเจนเป็น ธาตุที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชให้ต้ังตัวได้เร็วในระยะแรก นอกจากนั้นยังช่วยทาให้ผลผลิตของพืชมี คุณภาพด้วย เช่น พืชผักสวนครัว ที่ใช้ใบลาต้นและหัวเป็นอาหาร พืชให้น้าตาล พืชให้เส้นใย จะเห็นว่า ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารท่ีมีความสาคัญต่อผลผลิตและคุณภาพของพืช ซึ่งพืชต้องการธาตุนี้ในปริมาณมาก รองลงมาจาก คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน อาการผิดปกติของพืชเม่ือขาดธาตุไนโตรเจน เนื่องจาก ไนโตรเจนเป็นธาตุท่ีสามารถเคลื่อนย้ายได้ภายในพืช อาการผิดปกติเม่ือพืชขาดจะแสดงออกท่ีใบแก่ก่อน กล่าวคอื ใบจะสญู เสยี สเี ขียวโดยเปลย่ี นเป็นสีเหลอื งหรือสเี หลืองอมส้ม หรือสีเขียวอ่อน หรือสีขาว ซ่ึงลักษณะ อาการดังกล่าวนเ้ี รยี กว่าคลอโรซีส (chlorosis) นอกจากน้ีทป่ี ลายใบและขอบใบจะค่อย ๆ แห้งและลุกลามเข้า มาเรื่อยๆ จนในที่สุดใบท่ีแสดงอาการผิดปกติจะร่วงหล่นจากลาต้นก่อนเวลาอันสมควร นอกจากอาการ ผดิ ปกตจิ ะเกิดข้ึนทใี่ บแล้ว ที่ส่วนอน่ื ๆ เชน่ ลาต้นยงั อาจมีสีเหลือง บางครั้งก็มีสีชมพูเจือปน ลาต้นผอมสูง กิ่ง กา้ นลบี เลก็ และมจี านวนนอ้ ยกวา่ ปกติ พืชเจริญเติบโตช้ามาก 1.1 ธรรมชำตแิ ละคณุ สมบัติของธำตไุ นโตรเจนในดิน แหล่งท่ีสาคัญของไนโตรเจนในดินตามธรรมชาติ คือ อินทรียวัตถุ ซ่ึงอินทรียวัตถุจะถูกย่อย สลายโดยจุลินทรีย์ดินชนิดต่าง ๆ จะทาให้ไนโตรเจนท่ีอยู่ในรูปอินทรีย์ไนโตรเจนถูกเปลี่ยนไปอยู่ใน รปู อนนิ ทรยี ไนโตรเจน รูปของไนโตรเจนในดินแบ่งออกเปน็ 2 รปู ใหญ่ๆคอื อนิ ทรียไนโตรเจน พบว่ามี อยู่ประมาณร้อยละ 97 – 98 ของไนโตรเจนทั้งหมดในดิน ได้แก่ โปรตีน กรดอะมิโน และกรด
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวิทยาสง่ิ แวดล้อม 130 นิวคลิอิก แต่ไนโตรเจนรูปท่ีกล่าวถึงนี้ พืชไม่อาจนาไปใช้ได้โดยตรง จะต้องถูกเปล่ียนไปอยู่ในรูปอนิ นทรีย์ไนโตรเจนเสียก่อน และ รูปอนินทรียไนโตรเจน พบว่ามีประมาณร้อยละ 2 – 3 ของไนโตรเจน ท้ังหมดในดิน ได้แก่ แอมโมเนียมไอออน (NH4+) ไนเตรตไอออน (NO3- ) และไนไตรต์ไอออน (NO2-) รูปของก๊าซต่าง ๆ ประกอบด้วย ไนโตรเจนออกไซด์ (NO) ไดไนโตรเจนออกไซด์ (N2O) และก๊าช ไนโตรเจน (N2) ซึ่งรปู ของไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ต่อพืชโดยตรงคือ แอมโมเนียมไอออน (NH4+) ไน เตรตไอออน (NO3-) และไนไตรต์ไอออน (NO2-) ไนโตรเจนในดินได้มาจากกระบวนการตรึงไนโตรเจน โดยจุลินทรีย์ดินและสิ่งมีชีวิตและได้มากับน้าฝน ซ่ึงเกิดข้ึนจากการที่ก๊าซไนโตรเจนในอากาศถูก ออกซไิ ดส์ให้เปล่ยี นรปู เป็นไนตรัสออกไซด์ (NO) และไนตริกออกไซด์ (NO2) ไนโตรเจนท้ังสองรูปน้ีจะ ละลายในน้าฝนท่ีตกลงมาสู่พื้นดิน มีการประมาณไว้ว่าปีหนึ่ง ๆ ไนโตรเจนในดินท่ีได้รับโดย กระบวนการน้ี ถ้าอยู่ในเขตอบอุ่นประมาณ 0.4 กิโลกรัม/ไร่ และถ้าอยู่ในเขตร้อนช้ืนจะได้รับ ประมาณ 1.6 กโิ ลกรัม/ไร่ 1.2 กำรจดั กำรเกีย่ วกับธำตุไนโตรเจนในดนิ ทใ่ี ชป้ ลูกพชื การปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานานรวมทั้งการจัดการดินหลังการเก็บเกี่ยวท่ีไม่ถูกต้องและ เหมาะสม เช่น การเผาตอซัง หรือ เคลื่อนย้ายตอซังออกไปจากพ้ืนที่เพาะปลูก จะมีผลทาให้ดิน สูญเสยี ธาตไุ นโตรเจน และอาจทาใหด้ ินมีปริมาณธาตุไนโตรเจนไมเ่ พียงพอกับความต้องการของพืชใน การปลูกคร้ังต่อไป ถึงแม้ว่าธาตุไนโตรเจนในดินจะได้รับเพิ่มเติมจากการที่ไนโตรเจนละลายมากับ นา้ ฝน และ การตรึงของจุลินทรีย์และส่ิงมีชีวิตในดิน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช การ เพม่ิ เติมโดยการใส่ป๋ยุ เคมจี ึงมคี วามจาเปน็ การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนลงในดินจึงต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการเลือกชนิดของปุ๋ยไนโตรเจน ปริมาณท่ีต้องการใส่ จานวนคร้ังในการแบ่งใส่ ตลอดจน ชว่ งเวลาทเี่ หมาะสมในการใส่ ทง้ั นตี้ อ้ งคานึงถึงชนดิ ของพืชและชนดิ ของดินด้วย 2. ธำตุฟอสฟอรสั ในดนิ ฟ อ ส ฟ อ รั ส เ ป็ น ธ า ตุ อ า ห า ร ที่ จั ด อ ยู่ ใ น ก ลุ่ ม ธ า ตุ อ า ห า ร ห ลั ก เ ช่ น เ ดี ย ว กั บ ไ น โ ต ร เ จ น แ ล ะ โปตัสเซียม แต่ปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมดในดินมีน้อยกว่าไนโตรเจนและโปตัสเซียม โดยมีอยู่ในช่วง 0.02 – 0.15 เปอร์เซ็นต์ (ชัยฤกษ์ สุวรรณรัตน์, 2536) แต่พืชมีความต้องการฟอสฟอรัส 0.3 – 0.5 เปอร์เซ็นต์โดย น้าหนักแห้ง เพื่อให้การเจริญเติบโตเป็นไปตามปกติ หากพืชขาดธาตุฟอสฟอรัสการเจริญเติบโตจะหยุดชะงัก ใบมีสีแดงแซม เน่ืองจากพืชมีการสังเคราะห์รงค์วัตถุแอนโทไซยานินเพ่ิมข้ึน จึงทาให้สีของใบกลายเป็นสีม่วง เขม้ โดยเฉพาะเกดิ ท่ีใบแก่ อยา่ งไรก็ตามในช่วงแรกของการขาดธาตุนี้อาจพบว่าใบมีสีเขียวเข้มเกิดข้ึนก่อน เนื่องจากผลด้านการ ลดการเจริญของพื้นท่ีผิวใบมีมากกว่าการลดอัตราการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ทาให้ขณะน้ันความเข้มข้นของ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม 131 คลอโรฟิลล์ต่อหน่วยพื้นท่ีผิวใบเพ่ิมขึ้นเล็กน้อย นอกจากฟอสฟอรัสจะมีบทบาทในการควบคุมการสังเคราะห์ ดว้ ยแสงและเมแทบอลิซึมของคารโ์ บไฮเดรตแล้ว ยังมีบทบาทตอ่ สมดุลของฮอรโ์ มนพืชด้วย เนื่องจากพืชที่ขาด ฟอสฟอรสั มกั ออกดอกช้าและจานวนดอกน้อยกว่าปกติ ฟอสฟอรัสในพืชสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปใหญ่ๆคือ อินทรียฟอสฟอรัส (organic phosphorus) ได้แก่สารประกอบอินทรีย์ พวกกรดนิวคลีอิก (nucleic acid) ฟอสฟอลิปิด ( phospholipids) และ ไพติน (phytin) พืชสามารถเอาสารประกอบเหล่าน้ีไปใช้ได้ต้องเปลี่ยน ใหอ้ ยูใ่ นรปู ของ ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (H2PO4-) และไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) เสียก่อนและ อนินทรียฟอสฟอรัส (inorganic phosphorus) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือแคลเซียมฟอสเฟต อลูมินัม ฟอสเฟต และ เหล็กฟอสเฟต การละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืช แคลเซียมฟอสเฟตจะละลายออกมาได้ ง่ายกว่าอลูมินัมฟอสเฟตและเหล็กฟอสเฟต ในสภาพดินด่าง แคลเซียมฟอสเฟตจะละลายออกมาได้ง่ายกว่า อลูมินัมฟอสเฟตและเหล็กฟอสเฟต ในสภาพดินกรด อลูมินัมฟอสเฟตจะละลายออกมาได้ง่ายกว่าแคลเซียม และเหลก็ ฟอสเฟต 2.1 กำรตรึงฟอสฟอรัสในดิน การตรึงฟอสฟอรัสในดินหมายถึง ฟอสเฟตที่ถูกเปลี่ยนรูปจากรูปที่ละลายน้าได้ (soluble form) ไปอยู่ในรูปท่ีไม่ละลายน้า (insoluble form) ขบวนการตรึงฟอสฟอรัสในดินขึ้นอยู่ กับขบวนการทีส่ าคัญ 3 ขบวนการคือ 1. กำรตกตะกอนเชิงเคมี (Chemical precipitation) เป็นปฎิกิริยาระหว่างแคตไอออน (cation) พวก เหลก็ อลูมินัม แคลเซียมและแมกนีเซียมกับ ฟอสเฟตไอออนที่ไม่ละลายน้า สา มารถแบ่งปฎิกิริยาออกเป็น 2 ก ลุ่ ม ดั ง น้ี 1.1 ในสภาพของดินกรดเหล็กและอลูมินัมทาปฎิกิริยากับฟอสเฟตไอออนเกิดเป็น สารประกอบฟอสเฟตที่ไม่ละลายนา้ ดังสมการ ในสภาพของดินด่าง แคลเซียมและแมกนีเซียมทาปฎิกิริยากับฟอสเฟตไอออนเกิดเป็น สารประกอบฟอสเฟตท่ีไมล่ ะลายน้า ดังสมการ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ิทยาสงิ่ แวดล้อม 132 2. ปรำกฏกำรณ์กำรดดู ซบั (adsorption phenomena) ประจุลบของฟอสเฟตไอออนจะถูกดูดยึดอยู่กับไอออนบวกบริเวณผิวของ แร่ดินเหนียว (clay mineral) ด้วยแรงยึดเหน่ียวทางด้านไฟฟ้า (electrostatic bonding) คือ ประจุลบของ ฟอสเฟตไอออนจะดูดยึดอย่กู บั ประจุบวกของแรด่ ินเหนยี ว 3. ปฏิกริ ิยำกำรแลกเปลย่ี นแอนไอออน (anion exchange reaction) เป็นการแลกเปล่ียนระหว่างไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) กับฟอสเฟตไอออนในสารละลายดิน เม่ือฟอสเฟตเขา้ ไปแทนท่ี สามารถเกิดพันธะเคมีกับโครงสร้างของแร่ดินเหนียวได้ฟอสเฟตชนิดน้ียาก ท่จี ะถูกปลดปล่อยออกมาทาให้เกดิ เป็นสารประกอบฟอสเฟตท่ีไม่ละลายนา้ 2.2 กำรจดั กำรเก่ยี วกบั ธำตุฟอสฟอรสั ในดินที่ใชป้ ลูกพชื การจัดการเก่ียวกับธาตุฟอสฟอรัสในดินเพ่ือให้พืชได้ใช้ประโยชน์มากท่ีสุดท้ังจากส่วนของ ฟอสฟอรสั ทมี่ ีอยูเ่ ดมิ และส่วนที่ใส่เพ่ิมเติมในรูปของปุ๋ยนับว่ามีความสาคัญ ท้ังนี้เพราะ ดินโดยท่ัวไป มีความจุในการดดู ตรงึ ฟอสฟอรัสไวไ้ ด้มาก จึงจาเป็นต้องควบคุมปัจจัยบางประการเพื่อลดการดูดตรึง ฟอสฟอรสั ของดิน และช่วยสง่ เสรมิ การใช้ประโยชน์ของธาตุฟอสฟอรสั ซ่งึ มกี าร จัดการได้ดังน้ี 1. รักษาระดับพเี อช หรือ ปรับระดบั พีเอชของดินให้อย่ใู นช่วง 6 – 7 2. รักษาระดบั อินทรยี วัตถุในดินให้สูงอยูเ่ สมอ 3. การใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในรูปปุ๋ยเคมีให้ลดพื้นท่ีการสัมผัสระหว่างปุ๋ยกับดินโดยวิธีโรยเป็นแถว ขนานกับแถวของพืช และควรใชป้ ุย๋ ในรปู ปยุ๋ เมด็ มากกวา่ 3. ธำตุโปตสั เซยี ม ธ าตุ โ ป ตัส เซี ยม เป็ นธ าตุ ท่ีส าคั ญร อง มา จาก ไน โ ต รเ จน แ ละ ฟอ สฟ อรั ส ดิน มัก ขา ด โปตัสเซยี มมากที่สดุ เนอ่ื งจาก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปตัสเซียม มีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช มาก โปตัสเซียมที่พืชดูดกินขึ้นมาจากดินจะเคลื่อนย้ายจากส่วนที่แก่ไปยังส่วนท่ีอ่อน ดังนั้น อาการขาดธาตุ โปตัสเซียมจะปรากฎในใบแก่ก่อน ในพืชใบเลี้ยงคู่ใบจะเกิดอาการคลอโรซีส (chlorosis) ซ่ึงมีอาการสีเหลือง ซีดตอ่ มาจะกลายเป็นจุดแหง้ ตาย (necrotic lesion) ในพืชใบเล้ียงเด่ียว เช่น ธัญพืช เซลล์ท่ีปลายใบและขอบ ใบจะตายก่อน และจุดแห้งตายจะเกิดข้ึนจากปลายใบไปหาโคนใบซึ่งเป็นเนื้อเย่ือที่อ่อนกว่าข้าวโพดท่ีขาด โปตสั เซยี มจะมีก้านท่ีอ่อนแอและรากมักถูกทาลายได้ง่ายโดยจุลินทรีย์ท่ีก่อให้เกิดรากเน่า โปตัสเซียมเป็นธาตุ ที่กระตุ้นการทางานของเอนไซม์หลายชนิดที่จาเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงและการหายใจ รวมท้ังกระตุ้น
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ปฐพวี ทิ ยาสง่ิ แวดล้อม 133 เอนไซม์ท่ีจาเป็นต่อการสร้างแป้งและโปรตีนนอกจากนั้นยังทาหน้าที่เป็นไอออนท่ีสาคัญท่ีก่อให้เกิดออสโมติก โพเทนเชียลแก่เซลลท์ าให้เซลล์เตง่ ขนึ้ 3.1 คุณสมบัตขิ องธำตโุ ปตสั เซียมในดิน ในดินโดยท่ัวไปจะมีธาตุโปตัสเซียมเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณท่ีมากกว่าธาตุไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เน่ืองจากหินและแร่หลายชนิดเป็นวัตถุต้นกาเนิดดินจะมีโปตัสเซียมเป็นองค์ประกอบ อยูด่ ว้ ย ดินประเภทต่าง ๆ จะมีโปตสั เซียมเปน็ องค์ประกอบอยู่ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ปจั จัยหลาย ๆ ประการ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ วัตถุต้นกาเนิดดิน กล่าวคือ ถ้าวัตถุต้นกาเนิดดินมีสัดส่วน และปริมาณของแร่เฟลด์สปาร์และไมกาอยู่จานวนมาก จะทาให้ดินมีปริมาณโปตัสเซียมเป็น องค์ประกอบอยู่มากด้วย ท้ังนี้เพรา ะแร่ท้ังสองชนิดนี้เมื่อสลายตัวกลายเป็นดินจะให้ โปตัสเซยี มตกคา้ งอยู่ในดินในส่วนท่ีเรียกว่า ดินเหนียว หรือ แร่ดินเหนียว จึงมักพบอยู่เสมอว่าดินท่ีมี เน้ือละเอียดหรือมีอนุภาคดินกลุ่มขนาดดินเหนียวเป็นองค์ประกอบอยู่มากจะมีโปตัสเซียมในปริมาณ มากกว่าดินทม่ี เี น้อื ดนิ หยาบกวา่ โปตัสเซียมท่ีเป็นองค์ประกอบในดินเนื้อหยาบ หรือ ดินทราย ปริมาณส่วนใหญ่จะอยู่ในรูป ของเศษแรท่ อ่ี ยใู่ นลักษณะกาลังผุพังสลายตัวอยู่ หรือ ยังมีสภาพเป็นเศษแร่ก้อนเล็ก ๆ ท่ียังไม่ได้ผุพัง ส่วนในดินเน้ือละเอียด หรอื ดนิ เหนยี ว โปตัสเซียมปริมาณส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่เป็นองค์ประกอบอยู่ ร่วมกับอนุภาคขนาดดินเหนียว ท้ังน้ีส่วนหนึ่งจะเป็นองค์ประกอบอยู่ในโครงสร้างของแร่ดินเหนียว และโปตัสเซียมบางส่วนจะอยู่ในสภาพไอออนบวก (K+) ดูดยึดอยู่กับผิวของคอลลอยด์ตรงส่วนที่มี ประจุไฟฟ้าลบ ซึ่งไอออนส่วนนี้ถือว่าอยู่ในสภาพที่แลกเปลี่ยนได้ และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในสภาพท่ีถูก ตรงึ อยูใ่ นดินอาจกล่าวได้ว่า แหล่งของโปตสั เซียมทสี่ าคัญคือ หินและแร่ชนิดต่างๆ ท่ีมีโปตัสเซียมเป็น องคป์ ระกอบ และเป็นวตั ถุต้นกาเนดิ ดินน่นั เอง โปตัสเซียมทม่ี ีอยู่ในดินแบ่งออกเปน็ 3 รปู ทสี่ าคัญคือ 1. รูปที่ละลายน้าได้ (water soluble forms) โปตัสเซียมรูปน้ีจะอยู่ในสภาพ ของไอออนท่ีมีประจุไฟฟ้าบวกละลายอยู่ในสารละลายดิน พืชสามารถใช้ ประโยชน์ของโปตัสเซียมรูปน้ีได้ทันที โดยดูดกินเข้าไปทางราก แต่ โปตสั เซียมรปู น้ีกม็ ปี ริมาณน้อยทส่ี ุดเมือ่ เปรียบเทียบกับรปู อ่นื ๆ 2. รูปไอออนที่แลกเปลี่ยนได้ (exchangeable forms) โปตัสเซียมรูปนี้จะดูด ยึดอยู่กับผิวของคอลลอยด์ดินโดยเฉพาะแร่ดินเหนียว และบางส่วนจะถูก ปลดปล่อยออกมาอยู่ในสภาพไอออนในสารละลายดินและเป็นประโยชน์ต่อ พชื
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224