นสี่ มาธกิ เ็ ปน็ สมาธอิ ยอู่ ยา่ งนน้ั เมอื่ ไมน่ ำ� มา ประกอบให้เป็นสติปัญญามันก็หนุนอะไรไม่ได้ มนั ตอ้ งพจิ ารณาตามทา่ นอาจารยใ์ หญท่ า่ นเขก พอทา่ นเขกเทา่ นน้ั มนั กอ็ อก พอออกมนั กร็ เู้ รอื่ ง รู้ราวฆ่ากิเลสตัวน้ันได้ ตัดกิเลสตัวนี้ได้โดย ล�ำดบั ๆ๓๑ ตอนเห็นกายที่หนองผอื ขอ้ สังเกตที่ ๑ : เหตุการณต์ อนน้หี ลายทา่ นมีความเขา้ ใจวา่ หลวงตาพระมหาบวั บรรลุอนาคามี แตเ่ มอ่ื อา่ น หนังสือประวัตทิ ่านพระอาจารย์ม่นั ภรู ิทตั ตเถระใหล้ ะเอยี ด พบวา่ - หนา้ ๒๐-๒๑ แยกแยะสว่ นต่างๆ ของธาตขุ ันธ์ออกพจิ ารณาด้วยปัญญาไม่ลดละ คือยกทั้งส่วนรูปกายทง้ั สว่ นเวทนา...จติ รวมลงถงึ ทใ่ี นขณะน้ัน ขณะน้ันโรคกด็ ับ ทุกข์กด็ บั ความฟุง้ ซ่านของใจกด็ ับ พอจิตรวมสงบลงถึงที่แล้ว ถอนออกมาขั้นอุปจารสมาธิแล้วจิตสวา่ งออกไปนอกกายปรากฏเหน็ บุรษุ ผู้หนึ่งมีร่างใหญ่ดำ� และสูงมากราว ๑๐ เมตร ถอื ตะบองเหล็กใหญ่เท่าขา...ฯลฯ... - หน้า ๒๗ คนื วนั หนงึ่ ทา่ นเกิดความสลดสังเวชใจอย่างมากจนน้ำ� ตาร่วงออกมาจรงิ ๆ คอื เวลานง่ั สมาธจิ ิต รวมลงอย่างเต็มท่ีเพราะการพิจารณากายเป็นเหตุ ปรากฏวา่ จิตว่างและปล่อยวางอะไรๆ หมด...ฯลฯ... - หน้า ๓๓ ธรรมเปน็ ท่ีแน่ใจได้ปรากฏขน้ึ แก่ท่านในถำ้� น้ัน ธรรมน้นั คือพระอนาคามีผล...ฯลฯ... เหตุการณ์ทถ่ี ำ้� สารกิ า หลวงปมู่ นั่ จิตรวมใหญ่ ๒ หน คือ หน้า ๒๐-๒๑ และหน้า ๒๗ สว่ นหน้า ๓๓ เปน็ การ สรุปขั้นท่ีได้สูงสดุ ณ ถ�้ำสาริกา หลวงตาฯ เลา่ ว่า “ท่านอยู่ถ�ำ้ สาริกา ทนี ม้ี นั มาเข้ากนั กับของเราตอนเราอยู่หนองผอื ผิดกันตง้ั แต่ไมม่ ีผีมาแบกตะบองมาจะตีเท่าน้นั เอง” ฉะนน้ั ตอนเหน็ กายทีห่ นองผือของหลวงตาพระมหาบวั เหมือนจติ รวมใหญข่ องหลวงปมู่ นั่ หน้า ๒๐-๒๑ ขอ้ สังเกตท่ี ๒ : กัณฑเ์ ทศน์เร่ืองธรรมทายาท เมื่อองค์ทา่ นจะพดู ขา้ มตอนเหน็ กายที่หนองผอื จงึ พดู ย่อๆวา่ “พอทา่ นเขกเท่านน้ั มนั ก็ออก พอออกมนั กร็ ูเ้ รอ่ื งรู้ราวฆา่ กิเลสตัวนนั้ ได้ ตัดกเิ ลสตัวนไี้ ดโ้ ดยลำ� ดบั ๆ” ท้งั ๆ ทเี่ พิ่งออก ใชป้ ญั ญาแต่ทำ� ไมจึงตดั กเิ ลสได้ ขอให้ผู้สนใจการปฏบิ ัตพิ งึ สังเกต 22 ๓๑ เทศนอ์ บรมพระ ณ วัดปา่ บา้ นตาด วันท่ี ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท.
ออกใช้ปญั ญาพิจารณาอสภุ ะ เกดิ ความตนื่ เนอื้ ตนื่ ตวั ขนึ้ มา “โธ!่ เราอยใู่ นสมาธเิ รานอนตายมากปี่ กี เ่ี ดอื นแลว้ ไมเ่ หน็ ไดเ้ รอ่ื ง ไดร้ าวอะไร” คราวน้กี ็เรง่ ทางปญั ญา แต่มนั เป็นจิตใจโลดโผน ผมน่ะถา้ ไปแงไ่ หนมนั ไปแงเ่ ดียว... พอมนั เดนิ ทางดา้ นปญั ญาแลว้ มนั กม็ าตำ� หนสิ มาธวิ า่ นอนตายอยเู่ ปลา่ ๆ วะ่ ความจรงิ สมาธกิ เ็ ปน็ เคร่อื งพักจติ ถ้าพอดีจริงๆ ก็เป็นอยา่ งนน้ั น่ีมนั กลับมาต�ำหนวิ ่าสมาธิมานอนตายอยเู่ ปล่าๆ มากปี่ ี ไม่เหน็ เกิดปญั ญา๓๒ กลางคนื ไมไ่ ด้นอนบางคนื ๒ คนื ๓ คืนมนั ไม่ยอมนอน กลางวนั ยังไม่ยอมนอนอกี “เอ้า! กนู ่ี จะตายละนะ” ว่าเจา้ ของ “กนู ม่ี นั จะตายละนะ มนั ยังไงน่ี เออ เวลานอนอยใู่ นสมาธมิ นั กอ็ ยูอ่ ย่างนั้น ที่น้เี วลาออกก็ออกอย่างน้ี ท�ำไงนี่!” แลว้ กข็ นึ้ ไปหาทา่ นอกี “นพี่ อ่ แมค่ รอู าจารยว์ า่ ใหอ้ อกทางดา้ นปญั ญา เวลานมี้ นั ออกแลว้ นะ 23 ถงึ ขนาดท่วี า่ ไมไ่ ดน้ อนสองสามคืนแลว้ นนี่ ะ กลางวันกไ็ มไ่ ด้นอน”... “นน่ั ละ มนั หลงสังขาร” “ถา้ ไมไ่ ดค้ ิดไมไ่ ดพ้ ิจารณามันกไ็ ม่เกิดปัญญา” “น่นั ละบา้ สงั ขาร บ้าหลงสังขาร แลว้ กเ็ อาใหญเ่ ลย” ๓๒ เทศนอ์ บรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด วันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท.
พอคราวน้หี มอบเลยนะ งเู หา่ ค่อยหมอบลง ทนี มี้ นั อาจจะถกู อยา่ งทท่ี า่ นวา่ นนั่ แหละเรานกึ ในใจนะ ทนี ก้ี น็ ง่ิ พอออกไปกถ็ งึ อยา่ งนนั้ กต็ ามเถอะ มันก็หมุนติ้วๆ ของมันเหมือนกัน แต่บทเวลา จะตายแลว้ กเ็ ขา้ สมาธไิ ดด้ ว้ ยบงั คบั นะ ถา้ ธรรมดา แล้วมันจะไม่ยอมเข้าเพราะเห็นว่าสมาธิน่ี นอนตายอยเู่ ฉยๆ ไมเ่ หน็ ไดผ้ ลไดป้ ระโยชนอ์ ะไร นอนตายอยเู่ ฉยๆ สมาธิ ปญั ญาตา่ งหากไดผ้ ลวา่ งนั้ ทนี ก้ี จ็ ะเอาปญั ญาแบบไมห่ ยดุ อกี แหละ วา่ การ ทำ� งานไดง้ าน การพกั ไมไ่ ดง้ านกไ็ มพ่ กั จะทำ� แตง่ าน กต็ ายอกี เหมอื นกนั ทนี เี้ วลามนั เตม็ ทเี่ ตม็ ฐานแลว้ จะไปไมร่ อดเพราะมันอ่อนไปหมดสกนธก์ าย การท�ำงานด้วยปัญญาการคิดด้วย ปญั ญาเปน็ อตั โนมตั กิ ต็ าม แตก่ เ็ ปน็ งานของจติ ควรท่ีจะได้พักแล้วก็บังคับ เห็นว่ามันหนักเกิน ไปแลว้ กบ็ งั คบั ถงึ ขนาดทไี่ ดบ้ รกิ รรมนะ พทุ โธๆ ถ่ียบิ ไม่ยอมให้ออก คือออกจะท�ำงานไมใ่ ชอ่ อก ฟุ้งซ่านร�ำคาญไปท่ีไหนนะ ออกจะออกไปหา งานที่ยังท�ำไม่เสร็จ บังคับไว้ๆ จนกระทั่งถึง สุดท้ายจิตก็ลงแน่ว เงียบเลย และปรากฏว่า ก�ำลงั วังชาน้ี โอ้โห! เพม่ิ ข้ึนมา ทีนีเ้ ลยพูดไมถ่ กู นะ พอใจมีก�ำลังในการพักสมาธิแล้ว พอถอน เท่านัน้ ละโดดผงึ ไปเลย ทนี ี้มันเหมือนยงั กับวา่ เราได้พักผ่อนนอนหลับแล้วนี่พูดถึงการท�ำงาน นะ หรอื ไดร้ บั ประทานอาหารมกี ำ� ลงั วังชาแล้ว ท�ำงาน การงานช้ินน้ันแหละ แต่มันเสร็จได้ อย่างรวดเรว็ นกี้ เ็ หมือนกนั ๓๓ 24 ๓๓เทศน์อบรมพระ ณ วัดปา่ บา้ นตาด วันท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๓๐ ความลึกลบั ซบั ซอ้ นของจิตวญิ ญาณ.
ทดสอบด้วยวิธีต่างๆ ตอนอสุภะนี่ส�ำคญั อยู่มากนะ ส�ำคญั มากจรงิ ๆ พิจารณาอสภุ ะนม่ี นั คล่องแคลว่ แกลว้ กล้า มองดอู ะไรทะลไุ ปหมดไม่ว่าจะหญิงจะชายจะหนุ่มจะสาวขนาดไหน เอ้า! พดู ใหเ้ ต็มตามความจริง ที่จติ มนั กล้าหาญนะ่ ไมต่ อ้ งใหม้ ีผู้หญงิ เฒ่าๆ แกๆ่ ละ่ ใหม้ ีแต่หญงิ สาวๆ เต็มอยู่ในชมุ นุมนัน้ นะ่ เราสามารถจะเดนิ บกุ เขา้ ไปในทนี่ น่ั โดยไมม่ รี าคะตณั หาอนั ใดแสดงขนึ้ มาไดเ้ ลย นน่ั ความอาจหาญ ของจิตเพราะอสภุ ะ มองดคู นมแี ตห่ นงั หอ่ กระดกู มแี ตเ่ นอ้ื แตห่ นงั แดงโรไ่ ปหมดนะ่ ไมเ่ หน็ ความสวยความงาม ที่ไหนเพราะอ�ำนาจของอสุภะมันแรง มองดูรูปไหนมันก็เป็นแบบนั้นหมดแล้วมันจะเอาความ สวยงามมาจากไหนพอใหก้ ำ� หนดั ยนิ ดี เพราะฉะนนั้ มนั จงึ กลา้ เดนิ บกุ เอา้ ! ผหู้ ญงิ สาวๆ สวยๆ นน้ั แหละ ไปไดอ้ ย่างสบายเลย คราวมันกลา้ หมายถงึ มนั กลา้ ความกลา้ นก่ี ็ถกู ทาง แตก่ ็เมือ่ มนั ผ่านไปแลว้ มันกเ็ รียกว่า ความกล้านี่มนั กบ็ ้าอนั หนง่ึ เหมอื นกัน แต่ตอนเดินด�ำเนนิ ทางน้กี ็เรียกว่าถกู การพจิ ารณาอสภุ ะอสภุ งั พจิ ารณาไปจนกระทงั่ ราคะนไี้ มป่ รากฏเลย คอ่ ยหมดไปๆ และ หมดไปเอาเฉยๆ ไมไ่ ด้บอกเหตบุ อกผล บอกกาลบอกเวลา บอกสถานที่เลยว่า ราคะความก�ำหนดั ยนิ ดใี นรปู หญงิ รปู ชายนไี้ ดห้ มดไปแลว้ ตง้ั แตข่ ณะนนั้ เวลานน้ั สถานทน่ี นั้ ไมบ่ อก จงึ ตอ้ งมาวนิ จิ ฉยั กันอีก ความหมดไปๆ เฉยๆ น่ีไมเ่ อาคือจิตไม่ยอมรับ ถา้ หมดตรงไหนกต็ ้องบอกว่าหมดสิ ใหร้ ชู้ ดั วา่ หมดเพราะเหตนุ ัน้ หมดเพราะขณะนั้น หมดในสถานท่นี น้ั ตอ้ งบอกเปน็ ขณะใหร้ ู้... พลกิ ใหม่ คราวนเ้ี อาสภุ ะเขา้ มาบงั คบั แกอ้ นั ทว่ี า่ อสภุ ะทมี่ แี ตร่ า่ งกระดกู นน้ั ออก เอาหนงั หมุ้ หอ่ ใหส้ วยใหง้ ามบงั คบั นะ ไมง่ น้ั มนั ทะลทุ นั ทนี ะ เพราะมนั ชำ� นาญน่ี บงั คบั หนงั หมุ้ กระดกู ใหส้ วยใหง้ าม ใหต้ ดิ แนบกบั ตวั เองนว่ี ธิ กี ารพจิ ารณาของเรา เดนิ จงกรมกใ็ หค้ วามสวยความงามอนั นนั้ นะ่ รปู อนั นนั้ นะ่ ตดิ แนบกบั ตัว ติดกับตวั ไปอยา่ งนั้น เอา้ มันจะนานสักเทา่ ไร หากมนั มีอยู่มันจะต้องแสดงขนึ้ มา ถ้ามนั ไมม่ กี ็ให้รู้วา่ ไมม่ ี เอาวิธกี ารน้มี าปฏบิ ตั ไิ ด้ ๔ วันเตม็ ๆ นั่ะ ทม่ี นั ไมแ่ สดงความก�ำหนัดข้ึนมาเลย ทัง้ ๆ ทร่ี ปู นส้ี วยงามท่ีสุด น่ารกั ใคร่ชอบใจทีส่ ดุ มันก็ไม่แสดง มนั คอยแต่จะหยง่ั เข้ากระดูกหนัง หอ่ กระดกู บงั คบั ไวอ้ ยู่กบั ผวิ หนังนี่ 25
พอถงึ คืนที่ ๔ น�้ำตารว่ งออกมาบอกว่า ยอมแลว้ ไมเ่ อาคอื ไมย่ นิ ดนี ะ มนั บอกมนั ยอมแลว้ ยอมอะไร? ถา้ ยอมวา่ สน้ิ กใ็ หร้ วู้ า่ สนิ้ ซิ ยอมอยา่ งนี้ ไม่เอา ยอมนี้ยอมมีเล่ห์เหลี่ยม เราไม่เอา! กำ� หนดไปกำ� หนด กำ� หนดทกุ แงท่ กุ มมุ นะแงไ่ หน มุมใดที่มันจะเกิดความก�ำหนัดเพ่ือจะรู้ว่ามัน ขน้ึ ขณะไหน ความกำ� หนดั นเี่ ราจะจบั เอาตวั นนั้ ตัวแสดงออกมานั้น พอดึกเข้าไปดึกเข้าไป ก�ำหนดเข้าไปไม่พิจารณาอสุภะนะตอนนั้น พิจารณาแตส่ ภุ ะอยา่ งเดยี วเทา่ นนั้ ๔ วันเตม็ ๆ คอื เราจะหาอุบายทดสอบมนั พอสัก ๓-๔ ทุ่มล่วงไปแล้วในคืนท่ี ๔ มนั กม็ ยี บุ ยบั เปน็ ลกั ษณะเหมอื นจะกำ� หนดั ในรปู ทสี่ วยๆ งามๆ ทเ่ี รากำ� หนดมาตดิ แนบกบั ตวั เรา เนี่ยมันยุบยับ หือ ชอบกล! แน่ะ! มันทันนะ เพราะมันสติมันมีอยู่ตลอดเวลา นี่จะก�ำหนด เสริมข้ึนเร่ือยๆ เอ้า ก�ำหนดเสริมข้ึน มันก็มี ลกั ษณะยบุ ยับๆ นน่ั เห็นไหม นัน่ ! จับเจ้าของ ไดแ้ ลว้ นะ เหน็ ไหม มนั สนิ้ ไดย้ งั ไง ถา้ สน้ิ ทำ� ไม จึงตอ้ งเปน็ อยา่ งน้ี ทน่ี ย้ี งั ไมห่ มดแลว้ จะปฏบิ ตั ยิ งั ไง กต็ อ้ ง ปฏบิ ตั สิ บั เปลย่ี นกนั พอเรากำ� หนดไปทางอสภุ ะน้ี มนั พรบึ เดยี วเลยนะ มนั เรว็ ทสี่ ดุ เพราะมนั ความ ช�ำนาญ พอก�ำหนดเรื่องอสุภะนี่มันเป็นกอง กระดูกไปหมดทันที แล้วก�ำหนดสุภะความ สวยงามขึ้นมาแทนท่ี เอ้า เอาอยา่ งน้นั นกี่ เ็ ป็น เวลานานเพราะทางเราไมเ่ คยเดนิ เราไม่เข้าใจ 26 ก็ต้องได้ทดสอบด้วยวิธตี ่างๆ...
ทีนี้วาระสุดท้ายนะเวลามันจะได้ความ ก็นั่งก�ำหนดอสุภะไว้ตรงน้ี จิตก�ำหนดไว้ให้มัน ตัง้ อยู่อย่างงัน้ นะ่ อสุภะตั้งอยตู่ รงนั้น ตอนนน้ั ไม่เป็นสภุ ะนะ ตั้งเปน็ อสภุ ะแตไ่ มใ่ ห้มนั ทำ� ลาย คอื ต้ังให้มัน... คงท่ีของมันอยู่น้ันล่ะ มันจะเป็นหนังห่อกระดูกหรือหนังออกหมดเหลือแต่กระดูก กองกระดูกก็ใหม้ ัน รอู้ ยู่ตรงนั้นแลว้ จิตเพง่ ดู บทเวลามันจะไดค้ วามนะ ดเู อามนั จะไปไหนมาไหน กองอสภุ ะกองนจ้ี ะไปไหนมาไหน เอา้ ๆ ดเู พง่ คอื เพง่ ยงั ไงมนั กอ็ ยอู่ ยา่ งนน้ั แหละเพราะความชำ� นาญ ของจิตไม่ใหท้ ำ� ลายมนั ก็ไมท่ ำ� ... พอกำ� หนดตรงนั้นกำ� หนดเข้าไปๆ ปรากฏวา่ อสุภะทตี่ ั้งอยเู่ นย่ี มันถูกจิตกลืนเข้ามาๆ อมเข้ามาๆๆ ตรงนี้ เลยเป็นจิตเสียเองเป็นตัวอสุภะน้ันน่ะ จิตตัวไป กำ� หนดทว่ี า่ อสภุ ะเนย่ี มนั กลนื เขา้ มาๆ เลยมาเปน็ ตวั จติ เสยี เองเปน็ อสภุ ะ มนั กป็ ลอ่ ยพวั ะทนั ทปี ลอ่ ย ข้างนอก มนั ต้องอยา่ งนีม้ นั เข้าใจแล้วท่ีนี่มันขาดน่ะ มนั ต้องอยา่ งนีซ้ ิ มันเปน็ เรอ่ื งของจติ ตา่ ง หากไปหลอกต่างหาก อันน้ันเขาไม่ใช่ราคะ อันน้ันไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ตัวจิตผู้นี้ต่างหากเป็นตัว ราคะ๓๔ จิตวา่ ง (กันยายน พ.ศ.๒๔๙๒) ทีนีพ้ อจติ รเู้ รือ่ งของนชี้ ดั เจนแล้วจติ ก็ถอนจากอนั น้ันมาอยภู่ ายใน... จติ แย็บออกไปมันก็รูต้ วั น้ี ออกไปแสดงตา่ งหาก ทีน้ีภาพอสุภะนนั้ มันกเ็ ลยมาปรากฏอย่ภู ายใน พอปรากฏอยูภ่ ายในกำ� หนด มนั อยภู่ ายใน ทนี ม้ี นั ไมเ่ ปน็ ความกำ� หนดั อยา่ งนนั้ นะ่ ซิ มนั ผดิ กนั แลว้ ความกำ� หนดั เรอ่ื งเหมอื นแบบโลกๆ มนั หมดไปแลว้ ทนี่ ่ี มนั เขา้ ใจชดั วา่ ตอ้ งอยา่ งนนี้ ค่ี อื มนั ตดั สนิ กนั แลว้ เขา้ ใจกนั แลว้ ทนี มี้ นั กม็ าเปน็ ภาพ ปรากฏอยภู่ ายในกำ� หนดอยภู่ ายในนนั้ พอกำ� หนดภายในนม้ี นั กท็ ราบชดั อยแู่ ลว้ วา่ ภาพภายในนกี้ ค็ อื เกิดจากจติ นะ่ มันดับมนั ก็ดับไปท่นี ี่ มันไมด่ ับไปไหน แลว้ พอกำ� หนดป๊ปั ดับไปพอก�ำหนดไม่นานมนั ดบั ไป ต่อไปมนั ก็เหมือนกับเหลก็ ไฟจนี หรอื ฟ้าแลบนน่ั เอง พอก�ำหนดพบั ขนึ้ มาเปน็ ภาพก็ดับไป พรอ้ มดบั ไปพรอ้ ม เลยจะขยายใหเ้ ปน็ สภุ ะ-อสภุ ะอะไรไมไ่ ดเ้ พราะความรวดเรว็ ของอนั นนั้ ... ตอ่ แตน่ นั้ จิตกก็ ลายเปน็ จิตว่างไปเลย... กำ� หนดดูอะไรว่างหมด... จติ นม้ี นั ทะลไุ ปหมด วา่ งไปหมด แม้แต่ มองดรู ่างกายมันกเ็ หน็ พอเปน็ เงาๆ ส่วนจติ แทม้ นั ทะลุไปหมดว่างไปหมด โอโ้ ฮ! จติ น้ีว่างขนาดน้ี เชียวนา วา่ งตลอดเวลาไม่มอี ะไรเข้าผ่านในจิตเลย ถงึ มันจะวา่ งมนั กป็ รงุ ภาพเป็นเคร่ืองฝึกซ้อม เหมือนกันนะ เราจะปรุงภาพใดกแ็ ล้วแต่เถอะ เปน็ เครอ่ื งฝึกซ้อมจิตใจใหม้ คี วามวา่ งช่ำ� ชองเข้าไป จนกระทง่ั แยบ็ เดยี วว่าง แย็บเดยี วว่าง พอปรงุ ขึน้ แยบ็ เทา่ นน้ั มันกว็ า่ งพรอ้ มวา่ งพรอ้ มไปหมด๓๕ ๓๔ 27 ๓๕ เทศนอ์ บรมพระ ณ วดั ป่าบ้านตาด วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท. เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท.
28 (๑) เมอื่ ถงึ ขน้ั นแี้ ลว้ จติ วา่ งจรงิ ๆ แมก้ าย จะปรากฏตัวอยู่ก็สักแต่ความรู้สึกว่ากายมีอยู่ ๓๖ แว่นดวงใจ หน้า ๒๒๘. เท่าน้ัน แต่ภาพแห่งกายหาได้ปรากฏเป็นนิมิต ภายในจิตไม่ ว่างเช่นนีแ้ ลเรียกว่า ว่างตามภูมิ ของจติ และมคี วามวา่ งอยอู่ ยา่ งนปี้ ระจำ� ถา้ วา่ ง เชน่ นว้ี า่ เปน็ นพิ พานกเ็ ปน็ นพิ พานของผนู้ น้ั หรอื ของจิตชั้นน้ัน แต่ยังไม่ใช่นิพพานว่างของ พระพทุ ธเจา้ (๒) ถ้าผู้จะถือสมาธิเป็นความว่างของ นิพพานในขณะจิตท่ีลงสู่สมาธิก็เป็นนิพพาน ของสมาธแิ หง่ โยคาวจรผปู้ ฏบิ ตั ผิ นู้ น้ั เสยี เทา่ นน้ั ความว่างท้ังสองประเภทท่ีกล่าวมาน้ี ไม่ใช่เป็นนิพพานว่างของพระพุทธเจ้าเพราะ เหตุใด? เพราะจิตที่มีความว่างในสมาธิจ�ำต้อง พอใจและตดิ ในสมาธิ จติ ท่ีมคี วามวา่ งตามภมู ิ ของจติ จำ� ตอ้ งมคี วามดดู ดมื่ และตดิ ใจในความวา่ ง ประเภทนี้ จำ� ตอ้ งถอื ความวา่ งนเี้ ปน็ อารมณข์ องใจ จนกว่าจะผ่านไปได้ ถ้าผู้ถือความว่างนี้ว่าเป็น นิพพานก็เรียกว่าผู้นั้นติดนิพพานในความว่าง ประเภทนโ้ี ดยเจา้ ตวั ไมร่ ู้ เมอื่ เปน็ เชน่ นค้ี วามวา่ ง ประเภทน้ีจะจดั ว่าเป็นนิพพานได้อยา่ งไร๓๖ ตอนนี้แหละ ตอนท่ีจิตว่างเต็มที่นี้ ความรอู้ นั นจี้ ะเดน่ เตม็ ท่ี ทนี่ คี่ อื รปู กด็ ี เวทนากด็ ี สญั ญากด็ ี สงั ขารกด็ ี วญิ ญาณกด็ ี มนั รรู้ อบหมดแลว้ มันปล่อยของมันหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ ความรอู้ ันเดยี ว มันมีความปฏิพัทธ์ มันมีความ สัมผสั สมั พนั ธ์ มีความดูดดม่ื อยูก่ ับความรู้อนั นี้ อยา่ งเดยี ว ความเกดิ ขน้ึ พบั มนั กด็ บั พรอ้ ม มนั ดู อยนู่ ่ี สตปิ ญั ญาขน้ั นถี้ า้ ครง้ั พทุ ธกาลทา่ นกเ็ รยี ก
มหาสตมิ หาปญั ญา แตส่ มยั ทกุ วนั นเี้ ราไมอ่ าจเออ้ื มพดู เราบอกวา่ สตปิ ญั ญาอตั โนมตั กิ พ็ อตวั แลว้ กบั ท่ีเราใช้อยู่ มันเหมาะสมกันอยู่แล้วไม่จ�ำเป็นจะให้ช่ือให้นามสูงย่ิงไปกว่านั้น มันก็ไม่พ้นจากความ จรงิ ทเ่ี ปน็ อยนู่ แี้ หละ จติ ดวงนถี้ งึ ไดเ้ ดน่ เดน่ เอาเสยี จน ความเดน่ อนั นนี้ ะ่ มนั ทำ� ใหส้ วา่ งไปหมด๓๗ ตอนจิตว่าง ข้อสังเกตที่ ๓ : หลวงตาพระมหาบวั พดู ว่า “เรากเ็ หน็ ว่าอวชิ ชาเป็นของดแี ละประเสรฐิ ไปอย่างสนิทติดจมไป พกั หนึ่ง และหลงอวิชชาเปน็ เวลาอยู่ ๘ เดอื นไม่เคยลืม” ถ้าองค์ทา่ นอวชิ ชาขาดสะบั้นลงจากใจวนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ เม่ือนับย้อนถอยไป ๘ เดือน ดังนัน้ ตอนจติ วา่ งขององค์ทา่ นจงึ เกิดในชว่ งเดอื นกนั ยายน พ.ศ.๒๔๙๒ ร้สู กึ จะหมดหวัง (ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๙๒) พอออกพรรษาปุ๊บ จิตนีห้ มนุ พอแลว้ นะ หมนุ ต้วิ ๆ แลว้ แตย่ ังไมส่ ำ� เร็จ... จนกระทงั่ ว่า เหน็ ทา่ ไมไ่ ดก้ ารแลว้ ถงึ เลา่ ใหเ้ พอื่ นฝงู ฟงั วา่ “จะมาขายโงใ่ หท้ า่ นฟงั นค่ี วามรมู้ นั เปน็ ขนึ้ ในจติ เวลา ภาวนามีตาปะขาวมาบอกวา่ ๙ ปีจะสำ� เร็จ นมี่ ัน ๙ ปแี ล้วออกพรรษาน้ี” ทา่ นบอกยังไม่ใช่ ๙ ปี ตอ้ งไปชนพรรษาเสียก่อนมนั ถงึ จะเตม็ ๙ ปี นั่น ทางนกี้ ็ “หือ อยา่ งนน้ั หรอื ” แน่ะ ทา่ นปลอบใจดี ไปกเ็ อาจรงิ ๆ ไปถงึ พฤษภากล็ งกนั ไดต้ รงนนั้ เพอ่ื นฝงู นกั ภาวนาดว้ ยกนั นปี้ รกึ ษาหารอื กนั ไดก้ ำ� ลงั ใจนะ... นเ่ี รากไ็ ม่ลมื เพื่อนฝูงเตือนเราไมใ่ หห้ มดหวงั วา่ ง้นั เถอะ เรานี้รู้สกึ จะหมดหวังตั้งแต่วัน ออกพรรษาปั๊บ มนั ยงั ไม่สิ้นนี่ ทา่ นกม็ าแกใ้ หอ้ กี มันยังไมใ่ ช่ ๙ ปีนะ ต้องออกพรรษาถงึ ชนพรรษาหนา้ ปั๊บ วนั เข้าพรรษาถึงจะสนิ้ ๙ ปนี ะ “หือ อย่างน้นั หรือ” นนั่ ละท่านปลอบใจดนี ะ...เป็นค่ปู รึกษาหารอื กันได้๓๘ ๓๗ 29 ๓๘ เทศน์อบรมพระ ณ วัดปา่ บ้านตาด วนั ท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท. เทศน์อบรมฆราวาส ณ วดั ป่าบา้ นตาด วนั ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๐ พระหนมุ่ สององคร์ ธู้ รรมตามเรา.
หมดแลว้ ท่พี งึ่ (๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒) ทา่ น (พระอาจารยม์ นั่ ) ทา่ นเพยี บทาง ธาตขุ นั ธ์ เราเพยี บทางดา้ นจติ ใจ ทางธาตขุ นั ธ์ ก็ออ่ นลงๆ ธาตขุ นั ธ์ทา่ น ทางหัวใจเรากบั กเิ ลสมนั กฟ็ ดั กนั ตลอดเวลา บางคนื ไมไ่ ดน้ อน ตลอดรุ่งเลย ต่างคนต่างเพียบ เราเพียบ ทางด้านจิตใจแต่ก็สละเหมือนไม่มีงาน อะไรนะเวลาอยู่กับท่านท�ำงาน แต่จิตกับ กิเลสมันฟัดกัน มันก็ฟัดอยู่ภายใน งานก็ ท�ำไปๆ นี่ละกเิ ลสกับธรรมเวลามันแก้กัน โดยอัตโนมตั ิ มันเปน็ เองนะไม่ไดบ้ งั คบั ละ่ มนั หากเปน็ ของมนั หมนุ อยภู่ ายใน ทางเรา ท�ำงานเราก็ท�ำไปทางนี้ก็หมุนอยู่ภายใน นล่ี ะทธ่ี รรมะทำ� งานฆา่ กเิ ลส... ธรรมะเวลานี้ เปน็ ธรรมะเขา้ ดา้ ยเขา้ เขม็ ใครจะมาสอนเรา สมุ่ สสี่ มุ่ หา้ ไมไ่ ดน้ อกจากพอ่ แมค่ รจู ารยม์ น่ั เทา่ นน้ั พอขนึ้ ไปทา่ นนอนอยกู่ ต็ ามนะ ทา่ นจะไมเ่ คยมที วี่ า่ ทา่ นหา้ มเราหรอื ตำ� หนเิ ราวา่ ขน้ึ มาหาอะไร ไมเ่ คยมี ทา่ นนอนอยอู่ งคเ์ ดยี วเทา่ นน้ั ขน้ึ ปบ๊ั ๆ กราบทเี่ ทา้ ทา่ น กเ็ รากท็ ราบแลว้ วา่ ทา่ นไมไ่ ดห้ ลบั ทา่ นนอนสงบเฉยๆ เราขน้ึ ไปกก็ ราบเรยี นใหท้ า่ นฟงั ทา่ นฟงั ทา่ นกน็ อนนงิ่ จติ ของเราเปน็ อยา่ งนน้ั ๆ เวลานี้ เพราะจติ อันน้ีเปน็ จิตสติปญั ญาอตั โนมัติฟดั กบั กิเลสไมม่ เี วล�่ำเวลา ใครมาแก้ส่มุ ส่ีสมุ่ หา้ ไม่ได้ ต้องเป็นช้างประจ�ำควาญ ประจำ� ควาญจรงิ ๆ ทนี ีพ้ อเราพดู จบลงแลว้ นิง่ ท่านนอนอยู่นะ แทนที่ทา่ นจะนอนพดู กบั เราไมน่ ะ เวลาท่านลุกนี้ แตก่ อ่ นไดพ้ ยงุ นะ เวลาทา่ นลุกข้ึนจะตอบธรรมะเรา ป๊บุ ป๊บั พลังจิตพลังเมตตาปุบ๊ ปับ๊ น่นั “เอา้ ฟังนะ” 30
คอื เรากราบถวายหมดแลว้ ทเ่ี ปน็ ขอ้ ขอ้ งใจ ทา่ นกว็ า่ “เอา้ ฟงั ” ทา่ นกใ็ สเ่ ปรยี้ งๆๆ “เขา้ ใจหรอื ยงั ” ถา้ เรายงั นงิ่ อยทู่ า่ นยำ�้ อกี นะคอื นง่ิ นนั่ แสดงวา่ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจนกั แตพ่ อเราเขา้ ใจแลว้ เรากราบทา่ นปบ๊ั ๆ ทา่ นกล็ ม้ ตมู นอนเลย บางวนั ถงึ สองครง้ั สามครงั้ กม็ .ี .. นลี่ ะสดุ ขดี พอ่ แมค่ รจู ารยม์ น่ั ทแ่ี กธ้ รรมะเรา ปญั หาเรา ขึ้นไปน่พี อกราบเรยี นจบแลว้ นง่ิ เลย ทา่ นปุบ๊ ขนึ้ มาเลย ใสพ่ ัวะๆ ฟงั นะ นั่นอย่างหนง่ึ “เอา้ ฟงั ” ใสพ่ วั ะๆ “เขา้ ใจหรอื ยงั ” ถา้ เรายงั นง่ิ อยทู่ า่ นซำ้� อกี ๆ พอเราเขา้ ใจแลว้ กราบเลย ทา่ นรแู้ ลว้ วา่ เราเขา้ ใจ แลว้ ทา่ นลม้ นอน ที่ทา่ นจะห้ามว่ามาท�ำไมเรากำ� ลังล�ำบากลำ� บนไม่เคยมี ไมท่ ราบ เป็นอย่างไร มันอะไรพูดไม่ถูกนะ ท่านไม่เคย กับเราแล้วท่านไม่เคยว่า เคยห้าม เคยดุ เคยด่า วา่ ขน้ึ มาทำ� ไมอะไรอยา่ งนไี้ มเ่ คยมี จะเวลาไหนหนกั เบาขนาดไหนในธาตขุ นั ธเ์ ราขน้ึ ไปไมม่ เี ลยแหละ กับพอ่ แมค่ รจู ารย์มั่นเป็นอยา่ งนนั้ นะ เราจึงไดเ้ ทดิ ทนู สุดหวั ใจ... ทา่ นมรณภาพแลว้ (๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๔๙๒) หมดเลย น้�ำตาพังเลยเรา โอ้ หมดแล้วทีพ่ ่ึง ของเรา... คุณของท่านอยู่ในน้ีหมด อยู่ในหัวใจเรา พอท่านสิ้นลงแล้วเลยน่ังอยู่น่ันน่ะ นั่งร�ำพึง นั่งเหมือนหวั ตอนะแตจ่ ิตมนั หมุนของมัน๓๙ ปลงความสลดสังเวชนำ�้ ตาไหลนองอยูป่ ลายเทา้ ทา่ น เกอื บ ๒ ชว่ั โมง พรอ้ มทง้ั พจิ ารณาธรรมในใจของตนกบั โอวาททท่ี า่ นอาจารยใ์ หค้ วามเมตตาอตุ สา่ ห์ สัง่ สอนเรามาเปน็ เวลา ๘ ปที ่เี รามาอาศยั อยู่กับทา่ น... ปัญหาทั้งหมดภายในใจท่เี คยปลดเปลือ้ ง กบั ทา่ น บดั นเี้ ราจะปลดเปลอื้ งกบั ใคร และใครจะมารบั ปลดเปลอ้ื งปญั หาของเราใหส้ น้ิ ซากไปได้ เหมอื นอยา่ งทา่ นอาจารยม์ นั่ ไมม่ แี ลว้ เปน็ กบั ตายมเี ราคนเดยี วเทา่ นน้ั เชน่ เดยี วกบั หมอทเี่ คยรกั ษา โรคเราใหห้ ายไมร่ กู้ ่ีครงั้ ชีวิตเราอยกู่ ับหมอคนเดยี วเทา่ นั้น แตห่ มอผู้ให้ชีวติ เรามาประจำ� วันก็ได้ ส้นิ ไปเสยี แลว้ ในวนั นี้ เราจึงกลายเป็นสัตว์ป่าเพราะหมดยารักษาโรค เมอ่ื นง่ั อาลยั อาวรณถ์ งึ ทา่ นดว้ ยความเคารพรกั และเลอ่ื มใส พรอ้ มทงั้ ความหมดหวงั ในทา่ น กไ็ ด้อบุ ายต่างๆ ปรากฏข้นึ มาในขณะน้ันว่า วิธีการส่งั สอนของท่านเวลามชี วี ิตอยู่ ท่านสั่งสอน อยา่ งไร ตอ้ งจบั เอาเงอื่ นนน้ั แลมาเปน็ ครสู อนตน และทา่ นเคยยำ�้ เสมอวา่ อยา่ งไรขออยา่ หนจี าก รากฐานคอื ผรู้ ภู้ ายในใจ ถา้ จติ มคี วามรแู้ ปลกๆ ซงึ่ จะใหเ้ กดิ ความเสยี หายถา้ เราไมส่ ามารถพจิ ารณา ความรูป้ ระเภทน้นั ได้ ใหย้ อ้ นจติ เข้าสภู่ ายในเสยี อย่างไรกไ็ มเ่ สียหาย ทา่ นสอนอยา่ งนีก้ ็จบั เอา เงือ่ นนนั้ ไวแ้ ลว้ น�ำไปปฏิบตั ติ อ่ ตนเองเต็มความสามารถ๔๐ ดูเหมือนเดือนสาม (ข้ึน ๑๓ ค่�ำ เดือน ๓ ตรงกับวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓) 31 จติ หมนุ ตลอดนะอยกู่ บั ใครไมไ่ ด้ จติ ขน้ั นนั้ ขนั้ อยกู่ บั ใครไมไ่ ดเ้ ลย คดิ ดซู มิ าเผาศพพอ่ แมค่ รจู ารยม์ นั่ เคารพขนาดไหน แตเ่ ราเอาธมั มานธุ มั มปฏปิ นั โน ผใู้ ดปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแก่ธรรมผนู้ นั้ ชอื่ วา่ บชู าเรา ๓๙ เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ วัดป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เทดิ ทูนทา่ นสดุ หวั ใจ. ๔๐ เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด วนั ท่ี ๑๐ กนั ยายน ๒๕๐๕ พอ่ แม่ครอู าจารยเ์ ปน็ แบบอย่าง.
หลวงตาถา่ ยรูป ณ เมรุถวายเพลิงหลวงป่มู ่ัน วัดป่าสุทธาวาส ตถาคต เราเอาอนั นบ้ี ชู าทา่ น ทจ่ี ะไปเกยี่ วขอ้ ง กบั รา่ งกายมาอปุ ถมั ภอ์ ปุ ฏั ฐากทา่ นในศพของทา่ น เรามาไม่ได้ เราต้องไปบูชาท่านด้วยข้อปฏิบัติ นี่ละถึงกาลเวลาท่ีมันอยู่ไม่ได้มันอยู่ไม่ได้จริงๆ คอื ทางนม้ี นั กา้ วของมนั ตลอด กา้ วตลอด ทจ่ี ะให้ ดึงลงมนั ไม่ลงแลว้ พงุ่ ๆ มาในงานศพท่านเพยี ง ๔ วนั ... มากไ็ ป อยู่ในป่าลึกๆ จะออกมาเฉพาะเวลาจ�ำเป็นๆ เพราะทางน้ีมันหมุนตลอดน่ีนะ นี่ละธรรมฆ่า กิเลส...อยู่ท่ีไหนฆ่าตลอดนี่นะ เว้นแต่หลับ เพราะฉะนน้ั จงึ วา่ อยกู่ บั ใครไมไ่ ด้ อยไู่ มไ่ ดจ้ รงิ ๆ มนั ขวางมนั ขดั ทางเดนิ ของเราทก่ี ำ� ลงั กา้ วเดนิ พงุ่ ๆ แล้วมอี ะไรมาขดั มาขวาง เช่น เก่ียวกับการกบั งานกับเพ่ือนฝูงน้ีไม่ได้เลย... อุปถัมภ์อุปัฏฐาก ท่านด้วยการปฏบิ ัติช�ำระจติ ใจ อันนเี้ ยีย่ มกวา่ ทกุ อยา่ งเราเอาอนั นบี้ ชู าทา่ น มาเผาศพทา่ นได้ สวี่ ันโดดผงึ เลยเขา้ ป่า๔๑ งงกับปญั หาธรรม (กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๔๙๓) วันหน่งึ (เดือน ๓ ขา้ งแรม พ.ศ.๒๔๙๓) เดนิ จงกรมอยทู่ างดา้ นตะวนั ตก วดั ดอยธรรมเจดยี .์ .. ต้ังแต่สว่างจนกระท่ังถึงเวลาไปบิณฑบาตน่ี ถึงได้มา แต่มันเกิดความอัศจรรย์พิลึกพิล่ันนะ ไหนจติ นท้ี ำ� ไมถงึ อศั จรรยน์ กั หนานะ มองดอู ะไร 32 แผ่นดินท่ีเหยียบไปนี้มันก็เห็นอยู่ชัดๆ ด้วยตา ๔๑ เทศน์อบรมฆราวาส ณ วดั ป่าบ้านตาด วันท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ หนเดยี วเท่านั้นไม่เปน็ อีก.
แต่ท�ำไมจิตมันซึ่งเป็นส่วนใหญ่มันว่างไปเสียหมด ต้นไม้ ภูเขาว่างไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ ความวา่ งอย่างเดยี วเต็มหวั ใจ ยืนรำ� พึงสกั เด๋ียว อันธรรมเกิดข้ึนนะ เรียกวา่ ธรรมน่ะ เราพูดในวง ปฏบิ ตั ิโดยเฉพาะเรา ธรรมก็ปรากฏขึ้น “ถ้ามจี ุดมตี อ่ มแห่งผูร้ ู้อย่ทู ่ีใด” วา่ อยา่ งน้ันนะ “น่ันแล คือตัวภพ” วา่ อยา่ งนนั้ นะ งงเลย! จุดกห็ มายถงึ จดุ ผู้รนู้ ั่นเอง ถา้ หากวา่ เราเข้าใจ มันกด็ ับกันได้ ในขณะนั้นแต่นี้มันงงเพราะเราไม่เคยรู้เคยเห็น ถ้ามีจุดก็จุดผู้รู้นี่ มีต่อมก็หมายถึงต่อมผู้รู้นี่ อยสู่ ถานที่ใดท่นี ัน้ แลคือตัวภพ แน่ะ! กบ็ อกชดั ๆนะ ไมผ่ ดิ อะไรเลย แลว้ ก็ทำ� ใหง้ ง เอ๊ะ นม่ี นั ยังไงกันนา๔๒ พูดง่ายๆ ก็เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่น้ัน ออกไปข้างนอก มันกอ็ อกจากไสต้ ะเกยี งที่สว่างจ้า น่ันละตัวสำ� คญั เราก็อศั จรรยต์ ัวน้ันเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอโ้ ฮ! จติ ของเราทำ� ไมถงึ สวา่ งไสวอศั จรรยเ์ อาเสยี เหมอื นหนง่ึ วา่ เหนอื โลกเหนอื สงสาร นนั่ เหน็ ไหม อวิชชาแผลงฤทธเ์ิ วลาสุดท้ายเหน็ ไหม เรารูม้ นั เมื่อไร ไม่รู้ ถา้ รจู้ ะไปหลงอศั จรรย์มนั หาอะไร... เราลืมเมื่อไร ถา้ มีจดุ จุดไส้ตะเกยี งน่นั เองสว่าง นจ่ี ุดกับต่อมเปน็ ไวพจนข์ องกันและกนั ใช้แทนกันได้ ถ้ามจี ดุ หรือต่อมแห่งผ้รู ้อู ยู่ทไี่ หน นัน้ แลคือตวั ภพ น่ันเห็นไหมบอกตรงน้ี ตวั น้ตี วั ภพ ถึงขนาดนั้น ยงั จบั ไมไ่ ดน้ ะ งงไปเลย มจี ดุ มตี อ่ มคอื ตวั นเี้ อง ถงึ ไดค้ ดิ ถงึ พอ่ แมค่ รจู ารยม์ นั่ ทา่ นมรณภาพจากไปแลว้ นนั้ เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่พอกราบเรียนอย่างนเี้ ท่าน้ัน ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ท่ีไหน น้ันแลคือตัวภพ ก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปร้ียงเข้าไปนั้นมันก็พังทันที พอร้ปู บ๊ั เหน็ โทษของมัน คอยจะไปอยแู่ ล้วนน่ี ะ แตเ่ ราประคองมันไว้นัน่ ซี นั่นละมหาภัยแท้ตรงนั้นทีเดียว จุดท่ีรวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์ เต็มที่ของวฏั จักรของแดนสมมติอยจู่ ดุ น้ันหมด เราไมล่ มื ตอนเดอื นกุมภาฯ เผาศพพ่อแมค่ รูจารยม์ ่นั เสรจ็ แล้วกข็ ึ้นบนเขา ตดิ ปญั หาอนั นี้ งงไปเลยนะ ไม่เกดิ ประโยชนอ์ ะไรเลยธรรมทที่ า่ นเตอื นขนึ้ มา แทนทจ่ี ะใหเ้ ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมหาศาลในเวลานนั้ กลบั เปน็ ความหลงมหาศาลเหมอื นกนั เอ๊ จดุ ตอ่ ม ทไ่ี หนนาๆ ก็จดุ นนั้ น่ะ นนั่ ละเดือนกมุ ภาเดอื น ๓ เผาศพทา่ นเสรจ็ แล้วขึน้ บนเขาไปตดิ ปญั หาอนั นี้ ไม่คดิ ไมค่ าดว่าอันนี้เป็นตวั มหาภัยยังว่าเปน็ มหาคณุ อยู่ เห็นไหมกิเลสหลอก ขนาดว่าตัวมหาภยั มันเสกวา่ เป็นมหาคุณ เหน็ ไหม ก็แบกปัญหานีไ้ ปลมื เมื่อไร ลงจากวดั ดอยธรรมเจดยี ป์ บั๊ ข้ึนไป ทางอำ� เภอบา้ นผอื ศรเี ชยี งใหม.่ ..แตก่ อ่ นศรเี ชยี งใหมย่ งั ไมม่ อี ำ� เภอ มแี ตอ่ ำ� เภอทา่ บอ่ อำ� เภอบา้ นผอื เขา้ ไปอยโู่ นน้ ลกึ ๆ๔๓ ๔๒ 33 ๔๓ เทศนอ์ บรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด วันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ธรรมทายาท. เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ วัดปา่ บา้ นตาด วนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ น�ำ้ ตาร่วงจากธรรมอัศจรรย์.
โรคเจ็บขดั ในหัวอก (เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓) พกั อยบู่ า้ นกาหม (บา้ นกาหม ตำ� บลโพนทอง อำ� เภอโพธต์ิ าก จงั หวดั หนองคาย) บา้ นใหญเ่ ขา อย่ทู างนู้นเรียกโพนทอง กาหม-โพนทอง ปา่ ช้า เขามาใช้ร่วมกันกับบ้านกาหมน้ี...ไอ้เราก็อยูใ่ นปา่ ... เรากต็ ง้ั ใจไปหาภาวนา...เขาบอกวา่ เปน็ โรคขดั หวั อก เขาว่าอย่างนั้น มันเป็นโรคอะไรมันถึงตายเร็ว สองวันตายสามวันตาย ถ้าเลยสามวันไปแล้ว รอด สว่ นมากจะอยใู่ นสองวนั กบั สามวนั วนั มาก ๘ ศพ วนั น้อยนีไ้ ม่ตำ่� กว่า ๓ ศพ ๔ ศพ... ตอนน้ัน เป็นเวลาที่จิตหมุนติ้วเป็นธรรมจักรเสียด้วยนะ ไม่มีวันว่างเลย เวลาว่างไม่มี ตื่นนอนระหว่าง กเิ ลสกบั ธรรมอยบู่ นหวั ใจอนั เดยี วกนั ฟดั กนั เลยๆ เป็นเองๆ เราก็หมุนของเราเพ่ือความหลุดพ้น จากทุกข์ เหมือนหนึ่งว่าอย่างรีบอย่างด่วน นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอ้ือมๆ ธรรมะข้ันนี้ ขน้ั นพิ พานอยชู่ วั่ เออ้ื มนะ นพิ พานมหี รอื ไมม่ มี นั ไมส่ นใจนะ ความพน้ ทกุ ขก์ บั นพิ พานตดิ กนั อยนู่ ี้ นิพพานกอ็ ยู่ชัว่ เออ้ื มซี... เราเร่ิมเป็นเวลานี้แล้ว ไม่นานนะ มนั หนกั ขึน้ ๆ อยา่ งรวดเร็วเสียดว้ ย เราน่ถี ้าแก้ ไมต่ กจะตอ้ งคนหนงึ่ ละตายอยใู่ นปา่ ชา้ นแ้ี หละ... จติ กย็ งั ไมอ่ ยากตายเพราะตายเดย๋ี วนมี้ นั จะคา้ ง... มันรูเ้ ลยช้ันไหน... พระอนาคามีตายแลว้ ตง้ั แต่ ไดข้ น้ั อนาคามตี ายแลว้ จะไปเกดิ ชนั้ สทุ ธาวาส... อนั นกี้ เ็ ปน็ ธรรมภายในอกี เหมอื นกนั นะ กำ� ลงั ตอ่ สกู้ นั อยรู่ ะหวา่ งความกลวั ตายกบั ความสน้ิ กิเลสน่ี...สักเด๋ียวก็ผางข้ึนมาเลย อ้าว ไอ้เรื่อง 34
ความเปน็ ความตายทา่ นกเ็ คยพิจารณาผา่ นเวทมี าอยแู่ ลว้ อย่างชำ�่ ชอง แลว้ ทา่ นมากลวั ตายอะไร เวลาน.ี้ ..ทีนีเ้ ลยไม่คำ� นึงถึงวา่ เปน็ วา่ ตาย หมุนเข้าไปหากองทุกข์ ตรงไหนมนั ทุกข์ ทุกข์ทีต่ รงไหน เราเคยพิจารณาแล้ว ไลเ่ บย้ี กนั เข้าไปเลย...เอาต้งั แตส่ องทมุ่ นนู่ ละมงั้ ถึงหกท่มุ นะ... จนกระทง่ั ดบั หมดเลยไมม่ เี หลอื มแี ตค่ วามสวา่ งจา้ ของจติ ดว้ ยอำ� นาจของสตปิ ญั ญา ตามตอ้ น ทกุ ขเวทนาใหเ้ หน็ ความจรงิ ของมนั จติ กส็ วา่ งจา้ ทางนมี้ นั กข็ นึ้ ภายใน เอาละทน่ี ไี่ มต่ ายนะ มนั ตดั สนิ เจา้ ของแลว้ ไมต่ าย พจิ ารณาจนกระทงั่ โลง่ หมด ความทกุ ขท์ งั้ หลายทเ่ี สยี ดแทงอยา่ งหนกั อยา่ งหนา จะเอาใหเ้ ปน็ ใหต้ ายในเวลานน้ั ขาดสะบน้ั ไปหมดเลย นเี่ รยี กวา่ ธรรมโอสถ...คอื สติ ปญั ญา ศรทั ธา ความเพยี ร... นีด่ ูระหวา่ งวา่ มีนา-เมษาละม้งั ปีพ.ศ. ๒๔๙๓ พอปญั หาน้นั ตกไปหายสงสัยแลว้ จติ นี้ มันกท็ �ำงานอัตโนมัติของมันอยู่แลว้ มนั หากเพยี งลังเลเกีย่ วกบั เร่อื งความเปน็ ความตายทจ่ี ะยงั ไมถ่ งึ ทสี่ ุดเดย๋ี วมนั จะตายก่อน มนั มากังวลเพยี งเทา่ น้ัน พอธรรมกระตุกขึน้ มาเทา่ น้นั มันก็ปลอ่ ยป๋งึ ซัดกนั เลยเชียว หลังจากน้ันกก็ ลบั มาอุดร ทา่ นเจ้าคุณธรรมเจดียท์ ่านก็ให้ไปบวชหมอเจรญิ วฒั นสุชาติ เอา้ มามดั เราอกี แลว้ ทนี ้ี บวชนน่ั แลว้ กข็ นึ้ วดั ดอยธรรมเจดยี ์ เดอื นพฤษภาละ่ เมษาจะสนิ้ เดอื นถงึ พฤษภา ท่ีว่าวนั ท่ี ๑๕ น่ันละยา่ นน้ันละ๔๔ ไม่ส�ำคัญตน ทนี เ้ี วลาปฏบิ ตั เิ ขา้ ไปกไ็ ปเจอเอาอยา่ งนนั้ จติ ประภสั สรนคี่ อื จติ อวชิ ชา ตาหจู มกู ลนิ้ กาย ถกู ตัดไปหมดแล้ว ตาก็สกั แตว่ า่ เห็นเท่านั้น หูกส็ กั แตว่ ่าไดย้ ิน ไม่สามารถท่ีจะซึมซาบเอาความดี ความชว่ั ความรกั ความชงั เขา้ ไปฝงั ในจติ ใจไดเ้ หมอื นอยา่ งแตก่ อ่ นเลยนน่ั นลี่ ะทางเดนิ ของอวชิ ชา มนั ออกไม่ได้พูดง่ายๆ เพราะถูกตัดไปหมดแลว้ ... รปู เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ กบั จติ ก็ขาด จากกันใหเ้ หน็ ชดั ๆ... ปล่อยของมนั เอง ไม่ยึดโดยหลกั ธรรมชาติ รูอ้ ยเู่ ห็นอยู่อย่างนนั้ ... แตจ่ ติ กบั อวชิ ชานมี้ นั ประสานกนั เราไมร่ นู้ ะ นสี่ ำ� คญั มากทส่ี ดุ นล่ี ะ่ ทวี่ า่ ประภสั สร... ถา้ วา่ จติ ผอ่ งใสจรงิ ๆ แลว้ จะเกดิ ท�ำไม กม็ นั ผอ่ งใสมนั ไมใ่ ชบ่ รสิ ทุ ธน์ิ !ี่ ... พอเขา้ ภาคปฏบิ ตั แิ ลว้ กย็ อมรบั เลย...ออ๋ เปน็ อยา่ งนเ้ี อง มันยังไม่บรสิ ทุ ธ์นิ ่.ี .. พอไดป้ ลอ่ ยนอี้ อกหมดโดยประการทง้ั ปวงแลว้ เทา่ นน้ั ทนี่ บี่ รมสขุ ๆ ถามหาทไ่ี หน ดหู วั ใจ 35 เจา้ ของทบ่ี รสิ ทุ ธน์ิ น้ั เทา่ นนั้ กร็ แู้ ลว้ จะไปถามหานพิ พานทไี่ หนถา้ ไมใ่ ชบ่ า้ นพิ พานนะ่ แลว้ นพิ พาน วัดผ่าศูนย์กลางยาวเท่านั้นยาวเท่าน้ี ลึกเท่าน้ันเท่าน้ี มันบ้าทั้งน้ันแหละ ไปผ่าศูนย์กลางท่ีไหน ๔๔ เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม วนั ที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๙ เอาธรรมความจรงิ มาดโู ลก.
ดูหัวใจเจ้าของที่บริสุทธ์ิแล้วมันมีศูนย์กลาง ทตี่ รงไหน ศนู ยข์ อบทต่ี รงไหน ศนู ยก์ ลางทตี่ รงไหน วัดผา่ ตรงไหนไปถึงตรงไหน ถา้ ไมใ่ ช่บ้าเทา่ น้ัน ใหม้ ันเหน็ ชัดๆ อย่างน้ีซิ ยันได้เลย๔๕ มาถงึ ขน้ั นแ้ี ลว้ มคี วามรอู้ นั เดยี วเทา่ นนั้ เป็นตัวสมุทยั หมดทัง้ ดวง เม่ือประจักษ์ใจด้วย ปัญญาถึงขนาดนี้แล้วใครจะยอมถือตัวผู้รู้ ซึ่งเป็นกงจักรนี้ว่าเป็นตนเล่า น่ีคือปัญญาข้ัน ละเอยี ดและปญั ญาอตั โนมตั ใิ นหลกั ธรรมชาต.ิ .. นอกจากรู้วัฏจิตอันเป็นตัวสมุทัยแล้วยัง พจิ ารณายอ้ นเขา้ ไปวา่ เปน็ เพราะเหตใุ ดจงึ เปน็ สมทุ ัยและเปน็ ไดอ้ ย่างไร ตามคดิ ค้นเขา้ ไปตาม สาเหตุที่มีและแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ด้วยความ สนใจใครจ่ ะรใู้ นสาเหตนุ นั้ แตโ่ ดยมากเมอื่ ถงึ ขนั้ น้ี แล้วถ้าไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรองจนละเอียดถี่ถ้วน จรงิ ๆ ตอ้ งตดิ ในความรวู้ ฏั จกั รนแี้ นๆ่ เพราะเปน็ ยอดสมทุ ยั ของวฏั จกั รซงึ่ ควรหลงและตดิ ไดโ้ ดย นกั ปฏบิ ตั ไิ มร่ สู้ กึ ตนวา่ ตดิ นอกจากจะหลงและ ตดิ อยู่โดยไม่รูส้ ึกตัวแลว้ ยงั อาจจะระบายความ หลงอันลึกลับนี้ออกเป็นความรู้โดยเข้าใจผิด ของตนให้ผู้อ่ืนฟังและหลงตามกันไปเป็น จำ� นวนมาก๔๖ ความว่าง ความสขุ ความใส นนั่ แล เป็นธรรมปิดบังตัวเองเพราะธรรมทั้งน้ีคือ เครื่องหมายของภพชาติ ผู้ต้องการตัดภพชาติ จงึ ควรพจิ ารณาใหร้ เู้ ทา่ และปลอ่ ยวางสง่ิ เหลา่ นี้ อยา่ หวงไวเ้ พอื่ กอ่ ไฟเผาตวั ถา้ ปญั ญาขดุ คน้ ลง 36 ตรงทสี่ ามจอมกษตั รยิ แ์ หง่ ภพปรากฏอยนู่ น่ั แล ๔๕ ๔๖ เทศน์อบรมพระ ณ วัดปา่ บ้านตาด วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๙ รูแ้ จง้ เห็นจรงิ ประจักษ์ใจ. เทศน์อบรมพระ ณ วดั ป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๐๕ มิจฉาสมาธิ-สมั มาสมาธิ.
จะถกู องคก์ ารใหญข่ องภพชาตแิ ละขาดกระเดน็ ออกจากใจทนั ทที ป่ี ญั ญาหยงั่ ลงถงึ ฐานของเขาตงั้ อยู่ เม่ือสิ่งทั้งน้ีสิ้นไปแล้วเพราะอ�ำนาจของปัญญา นั่นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง เคร่ืองหมายของ สมมตใิ ดๆ จะไมป่ รากฏในความว่างนั้นเลย นี่คือความว่างทีผ่ ดิ กบั ความวา่ งท่ีผา่ นมาแล้ว ความว่าง ประเภทนี้เราจะว่าเป็นความว่างของพระพุทธเจ้าหรือความว่างของใครน้ัน ผู้แสดงไม่สามารถ จะเรยี นใหท้ ราบไดว้ า่ ควรจะเปน็ ความวา่ งของใคร นอกจากจะเปน็ ความวา่ งทร่ี เู้ หน็ กนั อยดู่ ว้ ยสนั ทฏิ ฐโิ ก ของผูบ้ ำ� เพญ็ เท่าน้ัน ความวา่ งอันน้ไี มม่ ีกาลสมยั เปน็ อกาลิโกอยู่ตลอดกาล๔๗ ทนี พ้ี อเราฝกึ ซอ้ มจติ ใจของเราใหส้ ตสิ ตงั ดคี วามเพยี รดแี ลว้ เขา้ ไปถงึ ขนั้ สตปิ ญั ญาอตั โนมตั แิ ลว้ กิเลสขาดสะบั้นๆ มันแก้กนั อย่างน้นั เหน็ อยใู่ นหวั ใจของเรา ย่ิงเปน็ มหาสติมหาปญั ญาดว้ ยแล้ว กเิ ลสมองดแู ทบไมม่ นี ะ มนั วา่ งไปหมดแทบไมม่ ี แตด่ ที ไ่ี มเ่ คยสำ� คญั ตนวา่ ไดส้ น้ิ สดุ ลงไปแลว้ ทง้ั ๆ ทก่ี ิเลสสว่ นละเอียดยังมีอยู่ ไมเ่ คยสำ� คัญ ถา้ มีอยลู่ ะเอียดก็ยอมรบั วา่ มีๆ อย่งู ั้น บางทถี ึงได้คดิ ขึน้ มาวา่ “หือ! มันเปน็ ยังไงกเิ ลสมันมว้ นเส่อื ไปหมดแล้วเหรอ ไม่ใช่เปน็ พระอรหันต์น้อยๆ ขึน้ มาแลว้ เหรอ” วา่ เฉยๆ แต่ยงั ไมส่ �ำคัญตนว่าเป็นอรหนั ต์น้อยเพราะตอนนน้ั มันว่างกิเลสไมโ่ ผล่ อำ� นาจของสติ ปญั ญามนั รุนแรง จากนน้ั พอกิเลสขาดสะบ้นั ลงไปจรงิ ๆ แลว้ สนั ทฏิ ฐิโก ขนั้ สุดยอดมาพรอ้ มกันเลย ทีนอ้ี รหนั ตน์ อ้ ยอรหันตใ์ หญ่ไม่ถามถึงเลย อรหันตน์ ้อยก็ไม่มี อรหันตใ์ หญ่กไ็ มม่ ี มีแต่สนั ทิฏฐโิ ก ขน้ั สดุ ยอดในจิต นนั่ ละบริสทุ ธแิ์ ลว้ เป็นธรรมธาตุผางข้นึ มาทเี ดยี วหมดเลย๔๘ สันทิฏฐิโกขั้นสุดยอดพอถึงข้ันนั้นแล้วสติปัญญาท่ีว่าหมุนตัวเป็นธรรมจักรน้ีระงับลงเอง ไม่ต้องไปบีบไปบังคับว่าให้หยุดได้ ความพากเพียรประเภทอัตโนมัติเป็นธรรมจักรน้ีให้หยุดได้ ไมต่ ้องบอก ก็ความเพยี รอนั นที้ ่ีว่าสติปญั ญาอตั โนมัติมันกเ็ ป็นมรรคเครอ่ื งฆา่ กเิ ลส เมือ่ ฆ่ากเิ ลส ส้นิ ซากลงไปไมม่ ีอะไรเหลือแล้วจะไปฆ่าอะไร มันกป็ ลอ่ ยเอง๔๙ ๔๗ 37 ๔๘ ๔๙ แวน่ ดวงใจ หน้า ๒๒๙. วดั ป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ธรรมปรากฏ จิตใจสว่าง. เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม วันท่ี ๘ เมษายน ๒๕๔๙ เอาธรรมความจริงมาดูโลก. เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ
ธรรมอัศจรรย์ เวียนทยี นรอบเจดีย์ ณ วดั ดอยธรรมเจดีย์ วนั ที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทมุ่ พอดี พจิ ารณาจติ อนั เดยี วไมไ่ ดก้ วา้ งขวางอะไร อยู่บนหลังเขาวดั ดอยธรรมเจดีย์ วนั น้ันเป็นวัน เพราะสิ่งต่างๆ ท่ีเป็นส่วนหยาบมันรู้หมด ตดั สนิ กนั ระหวา่ งกเิ ลสกบั ธรรม...ตง้ั แตเ่ รมิ่ แรก รปู เสยี ง กลน่ิ รส เครอื่ งสมั ผสั ทวั่ โลกธาตมุ นั รหู้ มด มาเปน็ เวลา ๙ ปี๕๐ เข้าใจหมดและปล่อยวางหมดแล้ว มันไม่สนใจ พจิ ารณา แมแ้ ตร่ ปู เวทนาสญั ญาสงั ขารวญิ ญาณ ในตอนสดุ ทา้ ย เรากเ็ หน็ อวชิ ชาเปน็ สงิ่ ที่ ยงั ไมย่ อมสนใจพจิ ารณาเลย มันสนใจอยเู่ ฉพาะ ประเสรฐิ ไปเสีย แล้วหลงอวิชชาเป็นเวลาถงึ อยู่ ความรู้ท่ีเด่นดวงกับเวทนาส่วนละเอียด ๘ เดือน เราไม่เคยลืม รักสงวนอวิชชาซึ่งเป็น ภายในจติ เทา่ นน้ั สตปิ ญั ญาสมั ผสั สัมพันธอ์ ยู่ ตัวผ่องใส ตัวสง่าผ่าเผย ตัวองอาจกล้าหาญ กบั อนั น้ี พจิ ารณาไปพจิ ารณามา แตก่ พ็ งึ ทราบวา่ รักอยู่น้ันเสียแล้วพยายามระมัดระวังรักษา จดุ ทวี่ า่ นม้ี นั ยงั เปน็ สมมติ มนั จะสงา่ ผา่ เผยขนาดไหน อวชิ ชา ทั้งๆ ท่สี ตปิ ญั ญากเ็ ต็มภมู แิ ตไ่ มน่ �ำมาใช้ กส็ งา่ ผา่ เผยอยใู่ นวงสมมติ จะสวา่ งกระจา่ งแจง้ ในขณะนน้ั เมอื่ เวลาไดใ้ ชอ้ ยา่ งเตม็ ภมู สิ ตปิ ญั ญานน้ั ขนาดไหนก็สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในวงสมมติ แล้วเร่ืองอวิชชาน้ันจึงกระจายลงไป จึงได้เห็น เพราะอวิชชายงั มอี ยู่ในนั้น ความอศั จรรยข์ ึน้ มาภายในจติ ใจนั้น๕๑ 38 ๕๐ ๕๑ เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม วนั ท่ี ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทำ� ความดีตามทางนักปราชญ.์ เทศน์อบรมพระ ณ วดั ป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๖ มิถนุ ายน ๒๕๒๑ เปิดเผยโลกธาตุ.
อวชิ ชาน้ันแลคอื ตวั สมมติ จุดแห่งความเด่นดวงน้ันกแ็ สดงอาการลุ่มๆ ดอนๆ ตามข้ันแห่ง ความละเอยี ดของจติ ใหเ้ ราเหน็ จนได้ บางทกี ม็ ลี กั ษณะเศรา้ หมองบา้ ง ผอ่ งใสบา้ ง ทกุ ขบ์ า้ ง สขุ บา้ ง ตามข้ันละเอียดของจิตภูมินี้ให้ปรากฏพอจับพิรุธได้อยู่นั่นแล สติปัญญาข้ันน้ีเป็นองครักษ์รักษา จติ ดวงนี้อย่างเขม้ งวดกวดขนั แทนทม่ี นั จะจ่อกระบอกปนื คอื สตปิ ัญญาเข้ามาทนี่ ี่มันไม่จอ่ มนั ส่งไปท่ี อวชิ ชาหลอกไปโน้น จึงไดว้ ่าอวชิ ชานแี้ หลมคมมาก ไมม่ อี ะไรแหลมคมมากยิ่งกว่าอวชิ ชาซง่ึ เป็น จุดสุดท้าย ความโลภมันกห็ ยาบๆ พอเขา้ ใจและเหน็ โทษไดง้ ่าย โลกยังพอใจกนั โลภคิดดูซิ ความโกรธ กห็ ยาบๆ โลกยงั พอใจโกรธ ความหลง ความรกั ความชงั ความเกลยี ดความโกรธอะไร เปน็ ของหยาบๆ พอเขา้ ใจและเห็นโทษไดง้ า่ ย โลกยงั พอใจกนั อนั นไี้ มใ่ ชส่ ง่ิ เหลา่ นนั้ มนั เลยมาหมด ปลอ่ ยมาไดห้ มด แตท่ ำ� ไมมนั ยงั มาตดิ ความสวา่ งไสว ความอศั จรรยอ์ นั น้ี ทนี อี้ นั นเ้ี มอื่ มนั มอี ยภู่ ายในนี้ มนั จะแสดงความอบั เฉาขน้ึ มานดิ ๆ แสดงความทกุ ข์ ขึ้นมานิดๆ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนไม่คงเส้นคงวาให้จับได้ด้วยสติปัญญาท่ีจดจ่อ ต่อเน่ืองกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลดละความพยายามอยากรู้อยากเห็นความเป็นต่างๆ ของจิตดวงน้ี สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องรู้กันจนได้ว่าจิตดวงน้ีไม่เป็นท่ีแน่ใจตายใจได้ จึงเกิดความร�ำพึงข้ึนมาว่า “จติ ดวงเดยี วนที้ ำ� ไมจงึ เปน็ ไปไดห้ ลายอยา่ งนกั นะ เดย๋ี วเปน็ ความเศรา้ หมอง เดยี๋ วเปน็ ความผอ่ งใส เดยี๋ วเปน็ สขุ เดยี๋ วเป็นทกุ ข์ ไม่คงท่ีดีงามอยู่ไดต้ ลอดไป ทำ� ไมจติ ละเอียดถงึ ขนาดนแ้ี ลว้ จงึ ยัง แสดงอาการต่างๆ อยไู่ ด้” พอสตปิ ญั ญาเริ่มหนั ความสนใจเข้ามาพจิ ารณาจติ ดวงน้ี ความรู้ชนดิ หนึ่งที่ไม่คาดไม่ฝนั ก็ ผุดขึน้ มาภายในใจวา่ “ความเศรา้ หมองกด็ ี ความผ่องใสก็ดี ความสขุ กด็ ี ความทกุ ข์กด็ ี เหล่าน้ี เป็นสมมติทั้งสิ้น และเป็นอนัตตาทั้งมวลนะ” เท่านั้นแลสติปัญญาก็หย่ังทราบจิตท่ีถูกอวิชชา ครอบง�ำอยู่นั้นว่า เป็นสมมติที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียวไม่ควรยึดถือเอาไว้ หลังจากความรู้ 39
ทผี่ ดุ ขนึ้ บอกเตอื นสตปิ ญั ญาผทู้ ำ� หนา้ ทต่ี รวจตรา อยู่ขณะน้ันผ่านไปครู่เดียว จิตและสติปัญญา เป็นราวกับว่าต่างวางตัวเป็นอุเบกขามัธยัสถ์ ไมก่ ระเพอ่ื มตวั ทำ� หนา้ ทใ่ี ดๆ ในขณะนนั้ จติ เปน็ กลางๆ ไม่จดจ่อกับอะไร ไม่เผลอส่งใจไปไหน ปัญญาก็ไม่ท�ำงาน สติก็รู้อยู่ธรรมดาของตน ไม่จดจอ่ กับส่ิงใด ขณะจติ ,สต,ิ ปญั ญา ทง้ั สามเปน็ อเุ บกขา มัธยัสถ์นั้นแล เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิต อันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอ�ำนาจได้กระเทือนและ ขาดสะบนั้ บรรลยั ลงจากบลั ลงั กค์ อื ใจ กลายเปน็ วิสุทธิจิตขึ้นมาแทนท่ี ในขณะเดียวกันกับ อวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลกแตกกระจายหาย ซากลงไปด้วยอ�ำนาจสติปัญญาที่เกรียงไกร ขณะที่ฟ้าดินถล่มโลกธาตุหวั่นไหว (โลกธาตุ ภายใน) แสดงมหัศจรรย์บ้ันสุดท้ายปลายแดน ระหว่างสมมติกับวิมุตติ ตัดสินความบนศาล สถิตยุติธรรม โดยวิมุตติญาณทัสสนะเป็น ผู้ตัดสนิ คคู่ วาม โดยฝา่ ยมัชฌมิ าปฏิปทา มรรค อริยสัจเป็นฝ่ายชนะโดยส้ินเชิง ฝ่ายสมุทัย อรยิ สจั เปน็ ฝา่ ยแพน้ อ็ กแบบหามลงเปล ไมม่ ที าง ฟืน้ ตัวตลอดอนันตกาลส้นิ สุดลงแล้ว เจ้าตัวเกิดความอัศจรรยล์ น้ โลก อุทาน ออกมาวา่ “โอโ้ หๆ่ อศั จรรย์หนอๆ แตก่ อ่ นธรรมน้ี อยู่ที่ไหนๆ มาบัดนี้ธรรมแท้ ธรรมอัศจรรย์ เกนิ คาด (เกนิ โลก) มาเปน็ อยทู่ จี่ ติ และเปน็ อนั หนง่ึ อันเดียวกันกับจิตได้อย่างไร และแต่ก่อน 40 พระพทุ ธเจา้ พระสงฆส์ าวกอยทู่ ไี่ หน มาบดั น้ี
องคส์ รณะทแี่ สนอศั จรรยม์ าเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกบั จติ ดวงนไ้ี ดอ้ ยา่ งไร โอโ้ ห!่ ธรรมแท,้ พทุ ธะแท,้ 41 สังฆะแทเ้ ปน็ อย่างนห้ี รือ” ไม่อยกู่ บั ความคาดหมายดน้ เดาใดๆ ทั้งสนิ้ แต่เปน็ ความจรงิ ลว้ นๆ อยกู่ ับ ความจรงิ ลว้ นๆ อย่างเดียว หลงั จากนนั้ ก็เกดิ ร�ำพึงเป็นลักษณะทอ้ ใจต่อเพ่ือนรว่ มโลกร่วมทกุ ข์ เกี่ยวกับธรรมที่เป็นอยู่ ในใจวา่ เม่อื ธรรมแทเ้ ป็นเช่นนี้ จะนำ� ออกสอนใครใหร้ ใู้ หเ้ ขา้ ใจไดอ้ ย่างไร อย่คู นเดยี วพอถึงวนั ขนั ธ์แตก ธาตสุ ลายไป ไมเ่ หมาะสมกวา่ การบอกกลา่ วสงั่ สอนใครละหรอื พอรำ� พงึ เชน่ นกี้ ม็ คี วามรชู้ นดิ หนง่ึ ผุดข้ึนมาว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นธรรมอัศจรรย์นี้เพียงคนเดียว แต่เป็นศาสดาส่ังสอนสัตว์ได้ ต้ังสามโลกธาตุ ท�ำไมเวลาเราสอนตนยังสอนได้ สอนคนอ่ืนจะท้อใจสอนไม่ได้อย่างไร เพราะ แนวทางสอนแนวทางรู้มีอยู่มิได้ปิดบังล้ีลับ พอทราบเช่นนี้ ความรู้สึกท้อใจที่จะพูดกับเพื่อนฝูง จงึ คอ่ ยๆ คลี่คลายออกมา เรอ่ื งทงั้ นยี้ งั ทำ� ใหร้ ะลกึ ถงึ องคศ์ าสดาขณะตรสั รทู้ แี รก ทรงท�ำความขวนขวายนอ้ ย อดิ หนา ระอาพระทยั ในการทจ่ี ะนำ� ธรรมอนั ประเสรฐิ ในพระทยั ออกสง่ั สอนโลก เพราะทรงเหน็ วา่ เหลอื วสิ ยั ที่จะรู้เห็นตามได้ ทั้งทท่ี รงปรารถนาเป็นศาสดาเพอื่ ส่งั สอนโลกอยู่แลว้ เพราะเหน็ ว่าธรรมทที่ รงรู้ ทรงเหน็ น้นั เป็นธรรมสุดเออ้ื มหมดหวังท่โี ลกจะยอมรับนับถอื และปฏิบตั ิเพ่อื ร้เู ห็นตามได้ แตเ่ มอื่ ทรงพจิ ารณายอ้ นหลงั ถงึ ปฏปิ ทาทท่ี รงดำ� เนนิ มาจนถงึ ความรแู้ จง้ กท็ ราบไดว้ า่ ไมเ่ ปน็ ธรรมทสี่ ดุ เออ้ื ม หมดหวงั ยังจะเกดิ ประโยชน์แกโ่ ลกอยา่ งมหาศาลไม่มีประมาณ เพราะการส่ังสอนตามแนวทาง ของธรรมที่เคยเห็นผลมาแล้วไมส่ งสยั จงึ ปลงพระทัยในการทจ่ี ะสัง่ สอนสัตวโ์ ลกตอ่ ไป เราท่ีเป็นในลักษณะน้ีเพราะเป็นธรรมไม่เคยรู้เคยเห็น และเป็นธรรมอัศจรรย์สุดส่วน เม่ือมองดูเฉพาะผลในปัจจุบัน ไม่มองสาวไปถึงเหตุที่ด�ำเนินมาจึงท�ำให้ท้อถอยปล่อยวางในการ ที่จะพดู สนทนากับใครๆ ตลอดการเทศนาวา่ การตา่ งๆ เกีย่ วกับธรรมน้ี ต่อเมอ่ื ได้พิจารณาสาวถงึ เหตุ คอื ปฏิปทาเคร่อื งดำ� เนินมาแลว้ จึงทำ� ให้มแี ก่ใจในการท่ีจะพดู คยุ ตลอดการแสดงออกแห่งธรรม แงต่ า่ งๆ ตามข้นั ภูมขิ องผ้มู าเกย่ี วขอ้ งศึกษาอบรมด้วยเรือ่ ยมา จนกลายเป็นอาจารย์แบบปลอมๆ ข้ึนมาด้วยความเสกสรรของประชาชน,พระเณรท้ังหลายดังที่เป็นอยู่น้ีแล เม่ือเป็นเช่นนี้ก็จ�ำต้อง ได้พดู จาปราศรยั เทศนาว่าการดุด่าว่ากลา่ วกันไปตามความหนกั เบาที่ควรแสดง ตอ้ งขออภยั กบั ทา่ นผฟู้ งั ,ผอู้ า่ นมากๆ ดว้ ย ทจ่ี ะเรยี นแบบเถรตรงเกนิ ไปจนนา่ เกลยี ดนี้ คอื ในเวลาพระเศษเดนเทย่ี วหวั ซกุ หวั ซนุ ดว้ ยความทกุ ขแ์ สนสาหสั เพราะการฝกึ ทรมานตนอยใู่ นปา่ ในเขา ดว้ ยความตะเกียกตะกายโดยอาการตา่ งๆ แทบไปแทบอยู่ แบบไมม่ ีกุสลามาติกาตามส่งเสยี บ้างเลย เพราะความทกุ ขท์ รมานรอ้ ยแปดพนั ประการนน้ั ไมม่ ใี ครทราบและสนใจคดิ กนั บา้ ง นอกจากคนในปา่ ในเขา ทไ่ี ปอาศัยเขาอยพู่ อประทังชวี ติ ไปในวนั หนง่ึ ๆ ท่ีเขาอาจพอทราบได้บ้างเปน็ บางสว่ นบางอาการ
ดงั นั้นค�ำวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงบำ� เพญ็ พระองคถ์ งึ ขนั้ สลบไสลกอ่ นตรัสรนู้ ัน้ จงึ เป็นธรรมท่ี ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื อรรถเพอื่ ธรรม เพอ่ื มรรคผลนพิ พานดว้ ยความมงุ่ มนั่ ถงึ ใจ ตอ้ งยอมรบั และเชอื่ อยา่ งถงึ ใจ ไมม่ คี วามกงั ขา นอกจากผู้ไม่เคยปฏิบัตแิ ละไมส่ นใจปฏิบตั เิ ลย หรือปฏิบตั ิแบบเอาเส่อื หมอนมดั ตดิ หลงั ตดิ คอรอใหก้ เิ ลสตาย และขดุ หลมุ ฝงั ศพกเิ ลสดว้ ยการนอนคอยตกั ตวงเอามรรคผลนพิ พาน อยทู่ า่ เดยี วเทา่ นนั้ จะไมย่ อมเชอ่ื การดำ� เนนิ ดว้ ยความลำ� บากของพระพทุ ธเจา้ แลสาวกทงั้ หลายเลย ยง่ิ สมยั นเ้ี ปน็ สมยั คนฉลาดมาก อะไรทข่ี ดั ตอ่ ความเปน็ ปราชญข์ องตน แมส้ ง่ิ นน้ั จะถกู จะดวี เิ ศษวโิ ส เพียงไรก็ไม่สนใจรับน�ำสิ่งท่ีดีนั้นเข้ามาเทียบเคียงความเป็นปราชญ์ของตน สุดท้ายความเป็น ปราชญ์น้ันก็ไม่พ้นจากความพาลแก่ตนและส่วนรวมจนได้ ฉะนั้น วิถีทางเดินของความต่�ำทราม แห่งจิตใจกับวิถที างเดนิ แหง่ ความมธี รรมในใจจงึ ตา่ งกันมาก ท่านนกั ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมท่านว่า เปน็ นกั พิจารณาใครค่ รวญทกุ แง่ทุกมมุ ทงั้ ทางธรรม และทางโลกด้วยความไม่ประมาท ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด อยู่ในสถานท่ีใด ควรมีสติปัญญา ประคองตัวอยู่เสมอ ไม่สนใจกับความบกพร่องหรือสมบูรณ์ทางมรรยาทความประพฤติดี-ช่ัว ตลอดการให้คะแนนตัดคะแนนของผู้ใด ยิ่งกว่าความสนใจกับความบกพร่องหรือสมบูรณ์ทาง มรรยาทความประพฤตดิ -ี ชว่ั ตลอดการใหค้ ะแนนหรอื ตดั คะแนนตวั เราเอง นคี่ อื ทางเดนิ ของธรรมสำ� หรบั ผปู้ ระพฤตธิ รรมมธี รรมประจำ� ตวั ถา้ ตรงขา้ มเปน็ ทางเดนิ ฝา่ ยตำ�่ สำ� หรบั ผใู้ จตำ่� หาความเปน็ ธรรม เขา้ แทรกมิได้ นเี่ ป็นคำ� เตอื นทา่ นนกั ปฏบิ ัตทิ ่มี าศกึ ษาอบรมไดเ้ ข้าใจอย่างถึงใจโดยทว่ั กนั ธรรมทกี่ ลา่ ววนั นสี้ ว่ นมากเปน็ เรอ่ื งสว่ นตวั เปน็ ธรรมไมส่ มควรนำ� ออกแสดงในทสี่ าธารณะชน ซง่ึ มคี วามรสู้ กึ ในแงห่ นกั เบาตา่ งกนั อาจมสี ว่ นเสยี ทางโลกวชั ชะสำ� หรบั ผแู้ สดง และมสี ว่ นเสยี ทางจติ ใจ ของผ้ฟู ังผอู้ ่านไดเ้ มอื่ ถอดเทปออกพมิ พเ์ ป็นอักษร นอกจากฟงั ในวงเฉพาะทคี่ วรฟงั และเข้าใจกนั ไดด้ เี ทา่ นนั้ กณั ฑน์ จ้ี งึ รสู้ กึ ฝนื ใจฝนื นสิ ยั ของผแู้ สดงอยไู่ มน่ อ้ ย เทา่ ทนี่ ำ� ออกกด็ ว้ ยความเหน็ ใจทา่ น ผูม้ าศึกษาอบรมดว้ ยความเปน็ ธรรมขอร้องให้น�ำออก เพ่อื เปน็ แนวทางแก่ผูป้ ฏบิ ัตทิ ั้งหลายจะได้ ยดึ เปน็ แนวปฏิบตั ติ ่อไปตลอดกาลนาน หากผิดพลาดประการใดจงึ ขออภัยจากทา่ นผ้อู ่านท้งั หลายโดยทั่วกนั ด้วย โดยคิดวา่ ท่าน ผู้ทรงธรรมทางด้านปฏิบัติจิตตภาวนายังมีอยู่มากทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่งอาจได้รับประโยชน์ จากธรรมกณั ฑแ์ หวกแนวน้บี ้าง ผแู้ สดงจงึ ทนอายในการขายความโง่ของตนไวใ้ นกัณฑ์น๕้ี ๒ 42 ๕๒ เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม หน้า ๗๐-๗๓.
43
วดั โยธานมิ ติ ร วดั ศาลาทอง วดั สุทธจนิ ดาวรวหิ าร วดั เจดยี ์หลวงวรวหิ าร วดั ป่าจักราช วดั วิสทุ ธิธรรม วดั ปา่ นาคนิมิตต์ จำ�พรรษาในปา่ ใกล้บา้ นสามผง วัดปา่ ภูรทิ ตั ตถิราวาส วัดชากใหญ่ วดั ถ้ำ� นกแอน่ วดั เกษรศลี คุณ (วดั ปา่ บ้านตาด) 44
ǰ ǰǰǰǰǰǰǰǰǰǰǰǰǰǰúĈéĆïðÖŘ ćøÝĈóøøþć óøøþćìǰęĊ ǰĢǰǰģǰ óýģĥĨĨǰǰģĥĨĩǰ üĆéē÷íćîöĉ êĉ øǰǰ ǰǰ êĈïúĀöćÖĒךÜǰǰĂĈđõĂđöĂČ ÜǰǰÝĆÜĀüéĆ Ăéč øíćîĊ óøøþćìęǰĊ ǰĤǰǰĥǰ óýģĥĨĪĦĤǰǰģĥĩġǰ üéĆ ìćŠ ßćš ÜǰĢǰóøøþćǰ ǰǰ ðŦÝÝčïĆîÙČĂǰǰüĆéÙĊøüĊ úĆ úǰĝĉ ǰêĈïúìŠćßšćÜǰǰĂĈđõĂ ǰǰ đÞúĉöóøąđÖĊ÷øêĉǰǰÝĆÜĀüéĆ îÙøøćßÿĊöć ǰǰ üĆéýćúćìĂÜǰĢǰóøøþćĦĥǰ ǰǰ êĈïúĀüĆ ìąđúǰǰĂĈđõĂđöČĂÜǰǰÝĆÜĀüĆéîÙøøćßÿĊöć óøøþćìęǰĊ ǰĦǰǰħǰǰǰ óýģĥĩĢĦĦǰǰģĥĩģǰ üéĆ ÿčìíÝîĉ éćüøüĉĀćøǰǰ ǰǰ êĈïúĔîđöĂČ ÜǰǰĂĈđõĂđöĂČ ÜǰǰÝĆÜĀüĆéîÙøøćßÿöĊ ć óøøþćìęǰĊ ǰĨǰ óýģĥĩĤĦħǰ üéĆ đÝé÷Ċ ŤĀúüÜüøüĀĉ ćøǰǰǰ ǰǰ êĈïúóøąÿĉÜĀǰŤ ǰĂĈđõĂđöČĂÜǰǰÝĆÜĀüĆéđß÷Ċ ÜĔĀöŠ óøøþćìǰęĊ ǰĩǰ óýģĥĩĥǰ üéĆ ðćś ÝĆÖøćßǰǰǰ ǰǰ êĈïúÝĆÖøćßǰǰĂĈđõĂÝĆÖøćßǰǰÝÜĆ ĀüĆéîÙøøćßÿöĊ ć óøøþćìĊęǰǰĪǰ óýģĥĩĦǰ üĆéðśćïšćîēÙÖǰǰ ðŦÝÝïč ĆîÙĂČ ǰüéĆ üĉÿìč íĉíøøöǰǰ ǰǰ êĈïúêĂÜē×ïǰǰĂĈđõĂēÙÖýøĊÿóč øøèǰǰÝĆÜĀüĆéÿÖúîÙø óøøþćìĊęǰǰĢġǰ óýģĥĩħǰ üĆéðśćïšćîîćöîǰǰ ðÝŦ ÝčïîĆ ÙČĂǰüéĆ ðśćîćÙîöĉ ĉêêǰŤ ǰ ǰǰ êĈïúêĂÜē×ïǰǰĂĈđõĂēÙÖýøÿĊ čóøøèǰǰÝĆÜĀüéĆ ÿÖúîÙø óøøþćìǰęĊ ǰĢĢǰ óýģĥĩĨǰ Ă÷ĔĎŠ îðćś ĔÖúïš ćš îÿćöñÜǰêĈïúÿćöñÜǰĂĈđõĂýøĊÿÜÙøćö ǰǰ ÝÜĆ ĀüéĆ îÙøóîöĦĨ óøøþćìĊǰę ǰĢģǰǰĢĨǰ óýģĥĩĩǰǰģĥĪĤǰ üéĆ ðśćïšćîĀîĂÜñČĂĦĩǰ ðÝŦ ÝčïĆîÙĂČ ǰüéĆ ðśćõøĎ ìĉ Ćêêëøĉ ćüćÿǰ ǰǰ êĈïúîćĔîǰǰĂĈđõĂóøøèćîĉÙöǰǰÝÜĆ ĀüĆéÿÖúîÙø óøøþćìęǰĊ ǰĢĩǰǰģĢǰ óýģĥĪĥǰǰģĥĪĨǰ ïîõđĎ ×ćïšćîĀšü÷ìøć÷ǰ ðŦÝÝčïĆîÙĂČ ǰüéĆ ëĈĚ îÖĒĂŠîǰ ǰǰ êĈïúÙĈßąĂǰĊ ǰĂĈđõĂÙĈßąĂǰĊ ǰÝĆÜĀüéĆ öÖč éćĀćø óøøþćìĊǰę ǰģģǰ óýģĥĪĩǰ üéĆ ĔÖúšÿëćîìĊ éúĂÜÖćøđÖþêøǰÿćöĒ÷ÖóúĉĚü ǰǰ ðÝŦ Ýïč îĆ ÙČĂǰüĆéßćÖĔĀâǰŠ ǰêĈïúóúĚüĉ ǰǰĂĈđõĂĒĀúöÿÜĉ ĀŤ ǰǰ ÝÜĆ ĀüĆéÝîĆ ìïøč Ċ óøøþćìǰĊę ǰģĤǰǰĨĨǰ óýģĥĪĪǰǰģĦĦĤǰ üéĆ đÖþøýúĊ Ùčèǰ üĆéðśćïšćîêćé ǰ ǰǰ êĈïúïšćîêćéǰǰĂĈđõĂđöČĂÜǰǰÝĆÜĀüéĆ ĂčéøíćîĊ ๕๓ เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม วนั ท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ วดั ปฏบิ ตั ิกลายเป็นส้วมเปน็ ถาน. 45 ๕๔ เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๓ การปั้นหนา้ การท�ำหน้าตา. 45 ๕๕ หนังสือสทุ ธิบันทึกการย้ายส�ำนกั มาอยูว่ ัดสทุ ธจนิ ดา วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑. ๕๖ หนังสอื สทุ ธบิ นั ทึกการย้ายสำ� นักมาอยู่วัดเจดียห์ ลวง วนั ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๓. ๕๗ เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ วัดปา่ บา้ นตาด วนั ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เรอื่ งศรัทธาพอ่ กบั แม่เสมอกนั . ๕๘ เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบา้ นตาด วนั ท่ี ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๙ เพชรน�้ำหน่ึง.
ประวตั ิการภาตวานราางหสลรวปุ งหตลาวพงรตะามเลหา่าใบหวั ้ฟญงั าณสมั ปันโน พรรษา ปี พ.ศ. สถานท่ี วธิ กี ารปฏบิ ัติ ผลการปฏิบัติ หลวงตารำ�พงึ หรือ หลวงปมู่ ัน่ ที่ พูดกบั หลวงปมู่ นั่ พูดสอนหลวงตา ก่อน เม.ย. วดั ปา่ ภาวนาตลอดรุ่ง รู้เท่าทุกขเวทนา พอมาถงึ คนื วนั นน้ั ได้หลักได้เกณฑ์ พรรษา ๒๔๘๖ บ้านนามน พิจารณากาย เวทนา รู้เท่ากาย รู้เรื่องจิต แล้วมันชัดเจน เอ้อ แล้ว...อัตภาพเดียวนี้ ๑๐ จติ ในหลกั ไตรลกั ษณ์ ตา่ งอนั ตา่ งจริง เหลือ ตอ้ งอยา่ งนี้ไมเ่ ส่ือมน่ะ มันไม่ได้ตายถึงห้าหน และอริยสจั จ์ ความรู้ท่ีสักแต่ว่ารู้ มั น ต า ย ห น เ ดี ย ว ไมใ่ ชร่ ้เู ดน่ ๆ ชนดิ คาด เทา่ นน้ั หมาย ไม่แน่ชดั ไม่แน่ชดั วดั ปา่ บา้ น พจิ ารณาสว่ นตา่ งๆ เกิดความสลด เออ ร่างกายท้ัง ผมเคยเปน็ มาแลว้ หนองผอื ข อ ง ร ่ า ง ก า ย จ น สังเวช จิตวูบลงว่าง ร่างน้ีมันกลายไปเป็น ตั้งแต่อยู่ถ�้ำสาริกา... สามารถเหน็ ไดช้ ดั เจน หมด หมดความสำ� คญั อยา่ งนเ้ี หรอ เปน็ ธาตุ โลกธาตุดับหมดเลย วา่ กลายเปน็ ดนิ นำ้� ไฟลม มั่นหมายใดๆ อย่างน้ีเหรอ, พอเล่า เหมือนกันกับท่าน ถวายทา่ นแลว้ โอย๊ ใจ มหาแหละ พูดตรงกนั ก็พอง แล้วเราก็ได้ เป๋งเลย เอาละทีน้ีได้ หลักของเราก็แน่อยู่ หลักใหญแ่ ล้ว แลว้ ก็ย่งิ มสี ักขีพยาน อนั เปน็ ตวั เอกแลว้ ใจก็ ยง่ิ พองขึน้ ไม่แน่ชดั ไมแ่ น่ชดั วดั ปา่ บ้าน พิจารณาอสุภะ... อสภุ ะทตี่ งั้ อยตู่ รง จิตก็ปล่อยพัวะ น่ันละบ้าสังขาร หนองผือ ฯลฯ...ก�ำหนดสุภะ- หนา้ นน้ั ถกู จติ กลนื เขา้ ทันทีปล่อยอสุภะข้าง บ้าหลงสังขาร แล้วก็ อสุภะสับเปลี่ยนกัน... มาๆ อมเข้ามาๆ จติ ก็ นอก วา่ เข้าใจแล้วท่นี ่ี เอาใหญ่เลย (พูดเมื่อ ก�ำหนดภาพอสุภะ ปล่อยอสุภะข้างนอก เพราะมันขาดจากกัน หลวงตาเร่งปฏิบัติจน ทมี่ าปรากฏอยภู่ ายในจติ แลว้ ตอ่ มานมิ ติ ภายใน มันต้องอย่างนีซ้ ิ จิตไม่ยอมพักไม่ยอม ขึ้นมาก็ดับไปพร้อมๆ จติ กห็ มดไปกลายเปน็ นอน) กันด้วยความรวดเร็ว จิตวา่ ง ของความเกดิ ดบั กอ่ น ๑๕ พ.ค. วัดดอย พจิ ารณาจติ อยา่ ง กลายเปน็ วสิ ทุ ธจิ ติ อัศจรรย์หนอๆ... ------ พรรษา ๒๔๙๓ ธรรมเจดีย์ เดยี ว สนใจอยเู่ ฉพาะ ข้ึนมาแทนท่ีในขณะ มาบดั นธ้ี รรมแท้ ธรรม ๑๗ ความรู้ที่เด่นดวงกับ เดียวกันกับอวิชชา อศั จรรยเ์ กนิ คาด (เกนิ เวทนาส่วนละเอียด ขาดสะบั้น โลก) มาเป็นอยู่ที่จิต ภายในจติ เทา่ นั้น สติ และเป็นอันหนึ่งอัน ปัญญาสัมผัสสัมพันธ์ เ ดี ย ว กั น กั บ จิ ต ไ ด ้ อยู่กับอันน้ี อย่างไร...มาบัดน้ีองค์ สรณะที่แสนอัศจรรย์ ม า เ ป ็ น อั น ห นึ่ ง อั น เดียวกับจิตดวงน้ีได้ อยา่ งไร โอโ้ ห ธรรมะแท้ พุทธะแท้ สังฆะแท้ 46 เปน็ อยา่ งนีห้ รือ
47
ตอนท่ี ๒ กัณฑเ์ ทศนท์ ่หี ลวงตาเลา่ ประวตั กิ ารภาวนา 48
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด วนั ที่ ๒๗ มนี าคม พุทธศกั ราช ๒๕๐๗ ความโงแ่ ละความสงสัย/ความวา่ งของจิต วันนี้จะขอโอกาสเล่าความโง่และความสงสัยของตน ให้บรรดาท่านผู้ฟังทราบบ้างเป็นบาง ตอน โดยคดิ วา่ ทกุ คนยอ่ มมาจากแดนแหง่ ความโงแ่ ละความสงสยั ดว้ ยกนั เพราะบดิ ามารดาทส่ี บื สาย มาจากบรรพบรุ ษุ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ สบื ทอดกนั มา คงเปน็ คนมกี เิ ลสสงิ่ ทพี่ าใหโ้ งเ่ หมอื นกนั แมบ้ รรดาเราทง้ั หลายก็คงไม่มีผู้ใดแหวกมาเกิดถูกแดนแห่งความฉลาด และตัดปัญหาความสงสัยได้แต่ผู้เดียว เมื่อ เปน็ เชน่ นนั้ ความสงสยั จำ� ตอ้ งมอี ยดู่ ว้ ยกนั ฉะนนั้ วนั นจี้ ะขอถอื โอกาสแกไ้ ขปญั หาขอ้ ขอ้ งใจของแตล่ ะ ท่าน โดยการแสดงธรรมแทนการตอบปญั หา ทถี่ ามตามแงแ่ ห่งความสงสัยตา่ งๆ กนั นบั แตป่ ัญหา ข้ันเรมิ่ ต้นจนถึงปัญหาข้ันสูงสดุ ซึ่งผู้แสดงก็ไม่แนใ่ จว่าจะตอบได้หรือไม่ แต่ปัญหาที่แตล่ ะทา่ นถาม รู้สึกวา่ เรียงลำ� ดบั กนั ดี พอจะเปน็ แนวทางของการแสดงธรรมแทนการตอบปัญหาได้ กอ่ นการปฏบิ ตั แิ ละกำ� ลงั ปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน้ ความโงแ่ ละความสงสยั จำ� ตอ้ งมดี ว้ ยกนั ทกุ คน เพราะ 49 ธรรมชาติท่ีกล่าวนี้ เคยเป็นผู้น�ำของภพชาติที่สัตว์จะมาเกิดทุกราย การวางรากฐานเบื้องต้นเรายัง ไมม่ ตี น้ ทนุ มากมาย พอจะมคี วามฉลาดมาเปน็ ผนู้ ำ� ทกุ กรณี เมอ่ื เปน็ เชน่ นน้ั ความโงก่ ต็ อ้ งมโี อกาสนำ� หนา้ เราอย่โู ดยดี เร่ืองความโง่นีน้ น้ั ถา้ เรายังไม่เคยอบรมความฉลาดเป็นเคร่อื งส่องทาง เขาซึง่ ครอง
อ�ำนาจอยู่ภายในใจ จ�ำต้องฉุดลากไปในทางผิดได้เป็นธรรมดา การฝึกหัดอบรมเบ้ืองต้นเท่าท่ีเคย ปฏบิ ตั ิมา รู้สกึ มคี วามสงสยั ในธรรมของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ ปฏิปทาเครื่องด�ำเนนิ และผลอันจะพงึ ได้รับ จะเป็นไปโดยสมบรู ณ์ตามธรรมท่ีตรัสไว้หรอื ไม่ นี่เป็นความสงสัยอย่างฝงั ใจ ในระยะที่มีความสงสัย ใคร่จะปฏบิ ัติอบรมเพื่อธรรมข้นั สูงจรงิ ๆ พดู ฟังงา่ ยๆ ก็คอื เพ่ือพระนิพพานน่นั เอง ก่อนที่ยังไม่คิดและสนใจจะปฏิบัติเพ่ือพระนิพพานน้ัน ความสงสัยดังกล่าวก็ไม่ค่อยปรากฏ ในใจ คงจะเปน็ เพราะเรายงั ไมไ่ ดต้ งั้ เขม็ ทศิ หมนุ มาทางน้ี พอบวชในพระศาสนาและไดศ้ กึ ษาขอ้ อรรถ ข้อธรรม เฉพาะอย่างยิ่งคือพุทธประวัติซึ่งเป็นประวัติของพระพุทธเจ้า เสด็จออกบวชจนได้ตรัสรู้ มรรค ผล นพิ พาน อนั ดับตอ่ มาก็เป็นประวตั ขิ องพระสาวกทไ่ี ด้สดับธรรมจากพระพุทธเจา้ แล้ว ปลกี ตวั ออกไปบำ� เพญ็ เพียรในสถานทตี่ า่ งๆ แลว้ ได้ตรสั รขู้ นึ้ มาเป็นองค์พยานของพระพทุ ธเจ้าและศาสน ธรรม เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี นมาถงึ ระยะนี้ เกิดความเชือ่ เลอื่ มใสขนึ้ มาและคิดอยากบำ� เพ็ญตนให้เป็น เชน่ นนั้ ด้วย แต่วิธีบ�ำเพ็ญเพ่ือเป็นเช่นนั้นจะบ�ำเพ็ญอย่างไร ธรรมคือ ปฏิปทาเคร่ืองด�ำเนินซึ่งจะชักจูง จิตใจใหเ้ ป็นไปเพื่อธรรมขัน้ สงู คือการตรัสรู้เหมือนอยา่ งพระพุทธเจ้าและสาวกทงั้ หลายน้นั บดั น้ีจะ สามารถผลิตผลใหเ้ ป็นเชน่ นัน้ ได้หรือไม่ หรือจะเป็นโมฆะและกลายเป็นความลำ� บากแก่ตนผปู้ ฏิบตั ิ ไปเปลา่ ๆ หรอื อาจจะมผี ลเชน่ นน้ั อยอู่ ยา่ งสมบรู ณ์ ตามสวากขาตธรรมทตี่ รสั ไวช้ อบแลว้ นเี้ ปน็ ความ สงสัยเบือ้ งตน้ แต่ความเชอ่ื ว่าพระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ก็ดี พระสาวกตรสั รู้เป็นพระอรหนั ต์ก็ดี รู้สึกเชอ่ื ม่นั อยา่ งเตม็ ใจตามวสิ ยั ของปถุ ชุ น สง่ิ ทเี่ ปน็ อปุ สรรคแกต่ นอยใู่ นระยะเรม่ิ ตน้ นี้ กค็ อื ความสงสยั วา่ ปฏปิ ทา ทเ่ี ราดำ� เนนิ ตามทา่ นจะบรรลถุ งึ จดุ ทที่ า่ นบรรลหุ รอื ไม่ หรอื วา่ ทางเหลา่ นจ้ี ะกลายเปน็ ขวากเปน็ หนาม ไปเสยี หมด หรือจะกลายเปน็ อน่ื จากนิยยานิกธรรม ทั้งๆ ที่พระพุทธเจา้ และสาวกทงั้ หลายด�ำเนนิ ไป ตามทางสายนแ้ี ลว้ ถงึ แดนแหง่ ความเกษม นเี่ ปน็ ความสงสยั ปฏปิ ทาฝา่ ยเหตฝุ า่ ยผลกใ็ หม้ คี วามสงสยั วา่ เวลานี้มรรคผลนิพพานจะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ความสงสัยที่ฝังอยู่ภายในใจทั้งนี้ ไม่ สามารถจะระบายให้ผหู้ นึง่ ผใู้ ดฟังได้ เพราะเข้าใจว่าจะไม่มีใครสามารถแก้ไขความสงสยั นใ้ี ห้สนิ้ ซาก ไปจากใจได้ จงึ เป็นเหตใุ ห้มีความสนใจและมงุ่ หวงั ท่ีจะพบท่านพระอาจารยม์ ั่นอยเู่ สมอ แมจ้ ะยงั ไม่ เคยพบเห็นท่านมาก่อนเลยก็ตาม แต่เคยได้ยินกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านฟุ้งขจรมาจากจังหวัด เชยี งใหม่เป็นเวลานานแลว้ ว่า ท่านเปน็ พระสำ� คญั รูปหนง่ึ โดยมากผทู้ ีม่ าเล่าเรื่องของท่านใหฟ้ งั นั้น จะไมเ่ ลา่ ธรรมขน้ั อรยิ ภูมิธรรมดา แต่จะเล่าถึงขั้นพระอรหตั ภูมิของทา่ นทง้ั นั้น จงึ เป็นเหตใุ หม้ น่ั ใจว่า เมอ่ื เราได้ศึกษาเลา่ เรียนใหเ้ ตม็ ภูมคิ ำ� สตั ย์ของตนท่ตี ั้งไว้แลว้ อย่างไร เราจะต้องพยายามออกปฏิบัติ และไปอยู่ส�ำนักของท่าน และศึกษาอบรมกับท่าน เพื่อจะตัดข้อ 50
ขอ้ งใจ สงสัยท่ีฝังใจอยู่ขณะน้ีให้จงได้ ความสัตย์ท่ีเคยต้ังต่อตนเองน้ัน คือฝ่ายบาลีขอให้จบเพียง เปรยี ญ ๓ ประโยคเทา่ นน้ั สว่ นนกั ธรรมแมจ้ ะไมจ่ บชนั้ กไ็ มถ่ อื เปน็ ปญั หา พอสอบเปรยี ญได้ ๓ ประโยค แล้ว จะออกปฏิบตั ิโดยถา่ ยเดยี ว จะไมย่ อมศกึ ษาและสอบประโยคตอ่ ไปเป็นอนั ขาด นเี่ ปน็ ค�ำสัตย์ ที่เคยต้ังไว้ ฉะนั้น การศึกษาเล่าเรียนจึงมุ่งเพื่อเปรียญ ๓ ประโยค แต่จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว อย่างไรกไ็ มท่ ราบได้ การสอบเปรียญตกอย่ถู ึง ๒ ปี ปีที่สามจงึ สอบได้ แม้ฝา่ ยนกั ธรรมท่ีเรียนและ สอบยงั ไม่จบชนั้ กพ็ ลอยไดต้ ามกนั ไปจนจบชั้น เพราะเรยี นและสอบควบกนั ไป พอเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ก็เผอิญท่านพระอาจารย์มั่น ถูกท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จังหวัดอุดรธานี อาราธนานิมนต์ท่านให้ไปพักจ�ำพรรษาอยู่ท่ีจังหวัดอุดรธานี ท่านก�ำลังออกเดิน ทางออกจากที่วิเวกมาพกั อยู่ทีว่ ดั เจดีย์หลวง จังหวัดเชยี งใหม่ไล่เลี่ยกันกับทางนไี้ ปถงึ พอไดท้ ราบว่า ท่านมาพกั อยวู่ ัดเจดยี ห์ ลวงเทา่ นั้นก็เกดิ ความยนิ ดีเป็นล้นพ้น ตอนเชา้ ไปบิณฑบาตกลับมาไดท้ ราบ จากพระเลา่ ใหฟ้ งั วา่ เชา้ นที้ า่ นพระอาจารยม์ นั่ ออกบณิ ฑบาตสายนแี้ ละกลบั มาทางเดมิ ดงั นกี้ ย็ ง่ิ เปน็ เหตใุ หม้ ีความสนใจใคร่อยากจะพบเหน็ ท่านมากขึน้ จะไม่พบซึ่งๆ หน้าก็ตาม แตข่ อให้พบเห็นท่าน จะเปน็ ท่พี อใจ ก่อนทที่ ่านจะออกเดนิ ทางไปจงั หวดั อดุ รธานี พอวันรงุ่ ขึน้ เช้าก่อนทา่ นออกบิณฑบาต เรากร็ บี ไปบณิ ฑบาตแต่เชา้ ก่อนท่าน แลว้ กลับมาถึง กฎุ ี กค็ อยสังเกตตามเส้นทางท่ที า่ นจะผา่ นมา ตามท่ีไดส้ อบถามกับพระไว้แล้ว ไมน่ านกเ็ หน็ ท่านมา จึงรีบเข้าไปในห้องกุฎี แล้วค่อยสอดสายตาออกดูท่านภายในห้องอย่างลับๆ ด้วยความหิวกระหาย อยากพบท่านมาเป็นเวลานาน ก็ได้เห็นท่านมาจริงๆ เกิดความเล่ือมใสในท่านข้ึนอย่างเต็มที่ ในขณะนนั้ วา่ เราไมเ่ สยี ทที เ่ี กดิ มาเปน็ มนษุ ยท์ งั้ ชาติ ไดเ้ หน็ พระอรหนั ตใ์ นคราวนเี้ สยี แลว้ ทงั้ ๆ ทไี่ มม่ ี ใครบอกวา่ ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั เปน็ พระอรหนั ต์ แตใ่ จเรามนั หยง่ั เชอ่ื แนว่ แนล่ งไปอยา่ งนน้ั พรอ้ มทง้ั ความปตี ิยนิ ดี จนขนพองสยองเกล้าอยา่ งบอกไมถ่ ูกในขณะท่ไี ด้เหน็ ท่าน ท้งั ๆ ทท่ี ่านก็ไมไ่ ดม้ องเห็น เราดว้ ยตาเนอ้ื คราวนนั้ ทา่ นพกั อยทู่ ว่ี ดั เจดยี ห์ ลวงไมก่ ว่ี นั กอ็ อกเดนิ ทางมาจงั หวดั อดุ รธานกี บั คณะลกู ศษิ ย์ 51 ของท่าน สว่ นเราพยายามเรยี นหนังสอื อย่ทู ี่วดั เจดยี ห์ ลวง พอสอบเปรียญไดก้ เ็ ข้าไปกรุงเทพฯ เพือ่ มุ่งหน้าออกปฏิบัติกรรมฐานตามค�ำสัตย์ที่ตั้งไว้ แต่ถูกผู้ใหญ่ส่ังให้อยู่ที่น่ันด้วยความเมตตา หวัง อนเุ คราะหท์ างดา้ นปรยิ ตั ิ พยายามหาทางหลกี ออกเพอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามความตงั้ ใจและคำ� สตั ยท์ ตี่ ง้ั ไวแ้ ลว้ เพราะคิดว่าคำ� สตั ยไ์ ดส้ น้ิ สุดแล้วในขณะที่สอบเปรยี ญได้ เราจะเรียนและสอบประโยคต่อไปอีกไม่ได้ โดยเดด็ ขาด ตามปกตนิ สิ ยั รกั ความสตั ยม์ าก ถา้ ไดต้ ง้ั คำ� สตั ยล์ งคราวไหนแลว้ จะไมย่ อมทำ� ลายคำ� สตั ย์ น้นั แม้ชีวิตกไ็ ม่รักเท่าค�ำสัตย์ นอี่ ย่างไรจะพยายามออกปฏิบตั ิใหจ้ นได้
เผอิญในระยะนั้น พระผใู้ หญท่ ีเ่ ป็นอาจารย์ถูกนมิ นต์ไปต่างจงั หวัด เราก็พอมโี อกาสปลีกตัว ออกจากกรงุ เทพฯไดใ้ นเวลาน้นั หากวา่ ทา่ นยังอย่ทู ีน่ ้ันจะหาทางออกยาก เพราะทา่ นกเ็ ป็นเจ้าบุญ เจ้าคณุ เหนือกระหมอ่ มเราอยู่ อาจจะเกรงอกเกรงใจทา่ น และหาทางออกไดย้ าก พอเหน็ เปน็ โอกาส ดตี อนกลางคนื กเ็ ขา้ นงั่ ตง้ั สจั จาธษิ ฐาน ขอบนั ดาลจากพระธรรม เพอื่ เปน็ การสนบั สนนุ ความแนใ่ จใน การออกคราวนี้ เมื่อท�ำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว ในค�ำอธิษฐานน้ันมีความมุ่งหมายว่า ถ้าจะได้ออก ปฏบิ ตั กิ รรมฐานตามทไ่ี ดต้ งั้ คำ� สตั ยโ์ ดยความสะดวกดว้ ย ออกไปแลว้ จะไดส้ มความปรารถนาดว้ ย ขอ ให้นมิ ติ ทแ่ี ปลกประหลาดแสดงขนึ้ ในคืนวันน้ี จะแสดงขน้ึ ทางด้านภาวนาหรือดา้ นคำ� ฝนั ก็ได้ แต่ถา้ จะไมไ่ ดอ้ อกปฏบิ ตั กิ ด็ ี ออกไปแลว้ ไมส่ มหวงั กด็ ี นมิ ติ ทแ่ี สดงขน้ึ มานนั้ ขอจงแสดงเหตทุ ไี่ มส่ มหวงั และ ไม่เป็นที่พอใจ แต่ถ้าเป็นด้วยความสมหวังเม่ือออกไปแล้ว ขอให้เป็นนิมิตที่แปลกประหลาดและ อศั จรรย์ย่ิงแสดงขึน้ มาในคนื วนั น้ี จากน้ันก็น่ังภาวนาต่อไปก็ไม่ปรากฏว่ามีนิมิตใดๆ มาผ่านในระยะที่นั่งอยู่เป็นเวลานาน ก็หยุดและพักผอ่ น ขณะทหี่ ลับลงไปปรากฏว่า ไดเ้ หาะขนึ้ ไปบนอากาศสูง และในขณะท่เี หาะน้นั ได้ เหาะข้ึนจากพระนครหลวง แต่ไม่ใช่พระนครหลวงกรุงเทพฯ เรา จะเป็นนครหลวงอะไรก็ไม่ทราบ กว้างสดุ สายหูสายตาและเปน็ นครหลวงทสี่ วยงามมาก เหาะรอบพระนครนน้ั สามรอบ แลว้ กก็ ลับลง มา พอกลับลงมาถึงท่ีก็ต่ืนข้ึนมา เป็นเวลาสี่นาฬิกาพอดี จึงรีบลุกจากที่นอนด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบ ภายในอกในใจ เพราะขณะทเ่ี หาะไปรอบๆ พระนครหลวงนน้ั ไดเ้ หน็ สงิ่ ทแ่ี ปลกประหลาดและอศั จรรย์ หลายประการ ซง่ึ ไม่สามารถจะนำ� มาพรรณนาใหฟ้ งั โดยท่วั ถงึ ได้ 52
ขณะท่ีตื่นข้ึนมาก็ต่ืนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสและยินดีในนิมิตเป็นอันมาก ทั้งเกิดความคิด ขึน้ ในเวลานน้ั วา่ อย่างไรเราต้องสมหวังแนน่ อน เพราะนมิ ติ ประเภทอัศจรรยเ์ ช่นนี้ เราไม่เคยปรากฏ ตง้ั แตก่ าลไหน ๆ มา เพง่ิ จะมาปรากฏในคนื วนั นเี้ ทา่ นน้ั ทงั้ สมกบั เจตนาทเ่ี ราตง้ั ไวใ้ นคำ� อธษิ ฐานดว้ ย คืนนี้รู้สึกเป็นของอัศจรรย์ยิ่งในนิมิตของเรา พอฉันจังหันเสร็จก็ถือโอกาสเข้าไปนมัสการกราบลา พระมหาเถระท่ีเป็นผู้ใหญ่ในวัดนั้น ท่านก็ยินดีอนุญาตให้ไปได้ จากนั้นก็ออกเดินทางมาจังหวัด นครราชสมี า พักจ�ำพรรษาท่อี ำ� เภอจกั ราช เรม่ิ ทำ� สมาธิภาวนาก็รสู้ กึ แปลกประหลาดทางด้านจิตใจ ไดร้ บั ความสงบเยอื กเยน็ ขึน้ มาเป็นล�ำดบั และรู้เห็นจติ ใจหย่ังลงสู่ความสงบประจกั ษ์ใจ ระยะต่อมาพระผู้ใหญ่จะให้เข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อีก และท่านอุตส่าห์เมตตาตาม มาสง่ั แล้วกเ็ ลยไปต่างจังหวัด ขากลับมาทา่ นจะใหไ้ ปกรุงเทพฯ ด้วย เรารูส้ กึ อดึ อัดใจ จากนนั้ เราก็ เดินทางมาจังหวัดอุดรธานี เพ่ือตามหาท่านพระอาจารย์มั่น ใจที่มีความเจริญในทางด้านสมาธิ ก็ ปรากฏวา่ เสอ่ื มลงทบี่ า้ นตาดซงึ่ เปน็ บา้ นเกดิ ของตน การเสอื่ มทงั้ นเ้ี นอื่ งจากการทำ� กลดคนั หนง่ึ เทา่ นน้ั และการมาอยู่บ้านตาดก็ยังไม่ถึงเดือนเต็ม จิตรู้สึกเข้าสมาธิไม่ค่อยสนิทดีเหมือนที่เคยเป็นมา บาง คร้งั เขา้ สงบได้ แต่บางครั้งเข้าไมไ่ ด้ พอเห็นท่านไม่ดี จะฝืนอยู่ไปกต็ อ้ งขาดทนุ จึงรีบออกจากที่น้นั ทันทีไม่ยอมอยู่ การจากนครราชสมี ามาจงั หวดั อดุ รคราวน้ี จดุ ประสงคก์ เ็ พอื่ จะมาใหท้ นั ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ซงึ่ จำ� พรรษาอยูท่ ว่ี ดั โนนนิเวศน์ อุดรธานี แต่ก็มาไม่ทนั ทา่ น เพราะท่านถูกนิมนต์ไปจงั หวดั สกลนคร เสยี กอ่ น จงึ เลยไปพกั อยทู่ วี่ ดั ทงุ่ สวา่ ง จงั หวดั หนองคาย ประมาณสามเดอื นกวา่ พอถงึ เดอื นพฤษภาคม ๒๔๘๕ กอ็ อกเดนิ ทางจากหนองคายไปจงั หวดั สกลนคร และเดนิ ทางตอ่ ไปถงึ วดั ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ทตี่ ง้ั อยบู่ า้ นโคก ตำ� บลตองโขบ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สกลนคร พอไปถงึ วดั พบทา่ นกำ� ลงั เดนิ จงกรมอยู่ เวลาโพลเ้ พล้ (จวนมดื ) ท่านกถ็ ามวา่ “ใครมา” กก็ ราบเรียนถวายท่าน จากน้ันทา่ นกอ็ อกจากทาง จงกรมขน้ึ ไปบนศาลา เพราะท่านพกั อยู่ในหอ้ งบนศาลาน้ัน ท่านกท็ ักทายปราศรัยด้วยความเมตตา และเอ็นดูคนท่ีแสนโง่ไปหาท่าน และได้แสดงธรรมให้ฟังในบทธรรมท่ีท่านแสดงให้ฟังในคืนวันที่ไป ถึงทีแรกนน้ั จะนำ� ใจความยอ่ เท่าทีจ่ ำ� ไดม้ าเล่าให้ทา่ นผฟู้ งั ทราบ และเป็นบทธรรมท่ฝี ังลึกอยู่ภายใน ใจจนบดั นี้ว่า “ทา่ นมหาก็นบั วา่ เรียนมาพอสมควร จนปรากฏนามเปน็ มหา ผมจะพูดธรรมใหฟ้ ังเพื่อ เปน็ ขอ้ คดิ แตอ่ ยา่ เขา้ ใจวา่ ผมประมาทธรรมของพระพทุ ธเจา้ นะ เวลานธ้ี รรมทท่ี า่ นเรยี นมาไดม้ ากได้ น้อย ยงั ไมอ่ ำ� นวยประโยชนใ์ หท้ า่ นสมภมู ทิ เี่ ปน็ เปรยี ญ นอกจากจะเป็นอปุ สรรคตอ่ การภาวนาของ ทา่ นในเวลานเี้ ทา่ นั้น เพราะท่านจะอดเป็นกังวล และน�ำธรรมท่เี รยี นมานน้ั เขา้ มาเทยี บเคียงไมไ่ ด้ ใน ขณะท่ีท�ำใจให้สงบ 53
ดงั นนั้ เพอื่ ความสะดวกในเวลาจะทำ� ความสงบใหแ้ กใ่ จ ขอใหท้ า่ นทจ่ี ะทำ� ใจใหส้ งบยกบชู าไว้ กอ่ น ในบรรดาธรรมทท่ี า่ นไดเ้ รยี นมา ตอ่ เมอ่ื ถงึ กาลทธี่ รรมซง่ึ ทา่ นเรยี นมาจะเขา้ มาชว่ ยสนบั สนนุ ให้ ท่านได้รับประโยชน์มากขึ้นแล้ว ธรรมท่ีเรียนมาทั้งหมดจะวิ่งเข้ามาประสานกันกับทางด้านปฏิบัติ และกลมกลนื กนั ไดอ้ ย่างสนิท ท้งั เป็นธรรมแบบพิมพ์ ซงึ่ เราควรจะพยายามปรบั ปรงุ จิตใจใหเ้ ปน็ ไป ตามดว้ ย แตเ่ วลานผี้ มยงั ไมอ่ ยากจะใหท้ า่ นเปน็ อารมณก์ บั ธรรมทท่ี า่ นเลา่ เรยี นมา อยา่ งไรจติ จะสงบ ลงได้ หรอื จะใชป้ ญั ญาคดิ คน้ ในขนั ธ์ กข็ อใหท้ า่ นทำ� อยใู่ นวงกายน้ี กอ่ นเพราะธรรมในตำ� ราทา่ นชเ้ี ขา้ มาในขนั ธท์ ง้ั นนั้ แตห่ ลกั ฐานของจติ ยงั ไมม่ ี จงึ ไมส่ ามารถนำ� ธรรมทเ่ี รยี นมาจากตำ� รา นอ้ มเขา้ มาเปน็ ประโยชน์แก่ตนได้ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์คาดคะเนไปที่อ่ืน จนกลายเป็นคนไม่มีหลัก เพราะจติ ตดิ ปรยิ ตั ิในลกั ษณะไมใ่ ชท่ างของพระพทุ ธเจ้า ขอให้ทา่ นน�ำธรรมทผ่ี มพดู ให้ฟงั ไปคดิ ดู ถ้า ท่านตง้ั ใจปฏิบัติไมท่ ้อถอย วนั หนง่ึ ข้างหนา้ ธรรมทกี่ ล่าวนีจ้ ะประทบั ใจท่านแน่นอน” เทา่ ที่จำ� ไดใ้ น วันนนั้ กน็ ำ� มาเล่าให้ฟงั เพยี งเทา่ น้ี เรารู้สึกเกิดความเช่ือเล่ือมใสท่านทันที ท่ีได้เห็นองค์ของท่านชัดเจนในคืนวันน้ัน พร้อมทั้ง ความเช่ือในธรรมที่ท่านเมตตาแสดงให้ฟัง และท่านก็อนุเคราะห์รับไว้ให้อยู่ในส�ำนักของท่านตลอด มา เรากอ็ ยู่กับท่านดว้ ยความพอใจจนบอกไม่ถกู แต่อย่ดู ้วยความโงเ่ งา่ อยา่ งบอกไมถ่ ูกอีกเหมอื นกัน เฉพาะองค์ทา่ นรสู้ กึ มีเมตตา ธรรมานเุ คราะห์ทกุ ครง้ั ทเี่ ข้าไปหา การบ�ำเพ็ญอยกู่ บั ท่านระยะน้นั ก็มี แตค่ วามเจรญิ กบั ความเสอ่ื มทางภายในใจ ไมค่ อ่ ยสงบอยคู่ งทเ่ี ปน็ เวลานาน พรรษาแรกทอี่ ยกู่ บั ทา่ น เปน็ พรรษาท่ี ๙ เพราะ ๗ พรรษาศึกษาทางปริยัติ เริม่ ออกปฏบิ ตั ิไดข้ ึน้ มาจ�ำพรรษาทนี่ ครราชสีมา ๑ พรรษา ในพรรษาแรกที่จำ� อยู่กบั ทา่ นมแี ตเ่ จริญกบั เสอื่ มทางดา้ นสมาธิ ออกพรรษาแล้วก็ข้ึนบนเขา ประมาณสองเดือนกวา่ กลบั ลงมาหาท่านอกี จิตกม็ เี จริญกบั เส่อื มอยเู่ ช่นน้นั โดยพจิ ารณาหาสาเหตุ กไ็ มท่ ราบวา่ เสอ่ื มเพราะเหตใุ ด ทงั้ ๆ ทตี่ งั้ ใจบำ� เพญ็ อยอู่ ยา่ งเตม็ กำ� ลงั บางคนื ไมย่ อมหลบั นอนตลอด รงุ่ เพราะกลวั จติ จะเสอ่ื ม ถงึ อยา่ งนนั้ กย็ งั เสอ่ื มได้ เฉพาะอยา่ งยงิ่ เวลาจติ เรมิ่ กา้ วเขา้ สคู่ วามสงบ ความ เพียรกย็ งิ่ รีบเร่ง เพราะกลวั จติ จะเสื่อมดังท่ีเคยเปน็ มา แม้เช่นนัน้ กย็ ังฝนื เสอื่ มไปได้ ตอ่ มาก็เจรญิ ขนึ้ อีก แล้วก็เส่ือมลงอีก ความเจริญของจิตน้ันอยู่คงที่ได้เพียงสามวัน จากนั้นก็เสื่อมลงต่อหน้าต่อตา ท�ำให้เกิดข้อข้องใจและสงสัยเรื่องของความเส่ือมนี้ว่า เสื่อมได้เพราะเหตุใด หรือจะเป็นเพราะเรา ปลอ่ ยคำ� บริกรรมภาวนา สติอาจจะเผลอไปไดใ้ นตอนน้ี จึงต้องข้อสังเกตขึ้น แล้วก็ต้ังค�ำมั่นสัญญาข้ึนอีกว่า ถึงอย่างไรเราจะต้องน�ำบทบริกรรมมา ก�ำกับจติ ทกุ เวลา ไมว่ า่ เขา้ สมาธิ ออกสมาธิ ไมว่ า่ จะไปท่ไี หน อยทู่ ่ีใด แมท้ ่สี ุดปัดกวาดลานวดั หรือ 54
ท�ำกจิ วัตรต่าง ๆ จะไมย่ อมให้สตพิ ลัง้ เผลอจากค�ำบริกรรม คอื พุทโธ เพราะชอบน�ำเอาบทพุทโธ มา เปน็ คำ� บริกรรมภาวนา คราวน้เี วลาภาวนาจิตสงบลงไป หากว่าความสงบนัน้ ยังจะนึกค�ำบรกิ รรมคอื พุทโธได้อยู่ จะไม่ยอมปล่อยวางค�ำบริกรรมนั้น แล้วจิตจะเสื่อมไปได้ในทางใดจะต้องรู้กันในตอนนี้ พอต้ังข้อสังเกตและตั้งค�ำม่ันสัญญาไว้แล้วก็เร่ิมบริกรรมภาวนาด้วยบทพุทโธ เมื่อบริกรรมตามน้ัน จิตกล็ งสู่ความสงบได้และไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ตา่ งจากทเี่ คยเปน็ มา ขณะทจี่ ิตเว้นจากคำ� บรกิ รรม จะเว้น เฉพาะขณะทจ่ี ติ เขา้ สู่ความสงบอยา่ งสนิท ขณะนั้นจะนึกพทุ โธหรือไมก่ ต็ าม แต่ความรู้ทีอ่ ยใู่ นความ สงบนั้นปรากฏเป็นพุทโธตายตัวอยู่แล้ว และไม่มีความปรุงแต่งอะไรทั้งน้ัน ตอนนี้หยุดค�ำบริกรรม พอจติ จะเรมิ่ ขยับตัวถอนขึ้นมา คอื มีอาการกระเพอื่ มนิดๆ กร็ บี จบั ค�ำบรกิ รรมอดั เขา้ ไปทนั ที เพื่อให้ จิตติดอยู่กับค�ำบริกรรม ท�ำเช่นน้ันพร้อมท้ังตั้งความสังเกตว่า จิตจะมีความเสื่อมได้ตอนไหน และ ทอดอาลัยในความเสือ่ มกบั ความเจรญิ ของจิต จิตจะเสอื่ มหรอื เจรญิ ไปถึงไหนก็ตาม แตค่ ำ� บริกรรม ในระยะน้จี ะไมย่ อมปล่อยวาง แมจ้ ติ จะเส่อื มก็ยอมใหเ้ สอื่ มไป เพราะการต้ังความอยากไว้ว่าไมใ่ หจ้ ิตเสอื่ มไป แต่ก็เสอื่ มไป ไดท้ ง้ั ๆ ท่ีไม่อยากให้เสือ่ ม บดั นค้ี วามเส่ือมและความเจริญนัน้ เราทอดธรุ ะเสยี แลว้ จะบังคับจติ ให้ มีความรู้สึกอยู่กับพุทโธอย่างเดียว เสื่อมกับความเจริญเราจะพยายามให้รู้อยู่กับใจท่ีมีพุทโธก�ำกับนี้ เท่านั้น ให้รู้กันที่น่ีและเห็นประจักษ์กันท่ีนี่ จะม่ันใจอยู่ที่น่ีแห่งเดียว เสื่อมกับเจริญไม่ต้องไปสนใจ ในระยะต่อมาจิตท่ีเคยเจริญและเส่ือมเป็นล�ำดับมาก็เลยไม่เสื่อม จึงเป็นเหตุให้รู้เรื่องราวของจิตว่า ออ้ จติ ทเ่ี คยเสอ่ื มบอ่ ยๆ นน้ั เสอื่ มเพราะขาดคำ� บรกิ รรม สตคิ งจะเผลอจากจติ ไปในระยะนน้ั แนน่ อน แตน่ ้ันมากต็ ้งั ค�ำบริกรรมมาเป็นล�ำดับ ไปไหนมาไหน อยูท่ ่ใี ดไมย่ อมใหเ้ ผลอ เปน็ กบั ตายจะไมย่ อม ให้เผลอจากพุทโธ จิตจะเสือ่ มไปไหนก็ให้ร้กู นั ทีน่ ีเ่ ท่านน้ั ไมย่ อมรบั รไู้ ปทางอ่ืน จิตก็เลยตง้ั หลกั ลงได้ เพราะคำ� บริกรรม คอื พทุ โธ ต่อมาก็เป็นพรรษาที่สองท่ีไปอยู่กับท่าน ก่อนจะเข้าพรรษาจิตก็รู้สึกสงบดีและแนบสนิทใน ทางสมาธิ ความเสอื่ มไมป่ รากฏ แตค่ �ำบรกิ รรมยังไม่ยอมลดละ จนถึงกบั น่ังภาวนาได้แต่หวั ค�ำ่ ตลอด รุ่งโดยไม่เปล่ียนเป็นอิริยาบถอ่ืน ในพรรษาที่สองของการไปอยู่กับท่านพระอาจารย์ม่ัน รู้สึกว่าการ น่ังภาวนาตลอดรุ่ง จะถือเป็นส�ำคัญมากกว่าอิริยาบถอื่นในการบ�ำเพ็ญ ต่อจากนั้นมาก็ค่อยผ่อนลง บ้าง เพราะเห็นวา่ ธาตขุ นั ธ์เป็นเครอ่ื งมือส�ำหรบั ใช้ ย่อมมีการชำ� รดุ ได้เม่ือไม่รู้จักประมาณ แตก่ าร เรง่ ความเพียรด้วยวธิ นี ่งั ตลอดรุ่งน้ีรสู้ กึ ว่าใจมีกำ� ลงั มากกว่าวิธีอ่ืนๆ การรเู้ รอื่ งของทกุ ขเวทนาทแ่ี สดงขน้ึ ในขณะนง่ั นานๆ เชน่ นน้ั กร็ ไู้ ดช้ ดั ในระยะนงั่ ตลอดรงุ่ นน้ั 55 เอง เพราะทุกขเวทนาที่ปรากฏในระยะน้ัน เป็นเวทนาแปลกประหลาดหลายประการ ปัญญาท่ีจะ
พิจารณาเพื่อต่อสู้กับทุกขเวทนาก็ท�ำงานไม่ลดละ จนสามารถเข้าใจในเรื่องเวทนาได้ทุกประเภทใน ร่างกาย ซึ่งเป็นก้อนทุกข์หมดท้ังร่าง และสามารถสอดรู้ถึงเวทนาของใจ ทั้งเป็นการเสริมสร้างสติ ปญั ญาและความกลา้ หาญทางความเพยี รไดอ้ กี มากมาย นอกจากนน้ั ยงั มคี วามกลา้ หาญและมน่ั ใจใน อนาคตว่า ทุกขเวทนาที่จะได้แสดงตัวในคราวจะตายน้ัน จะต้องเป็นเร่ืองของทุกขเวทนาท่ีก�ำลัง ปรากฏและพจิ ารณารบั รกู้ นั อยใู่ นขณะนแ้ี ล จะไมม่ เี วทนาตวั ไหนจะแปลกประหลาดและตา่ งหนา้ ตา่ ง ตามาจากทไี่ หน ซง่ึ จะท�ำใหเ้ รามีความลุ่มหลงและเผอเรอ ในเวลาจะตาย จึงเป็นเหตุให้ได้คติขึ้นมาอีกวาระหนึ่ง ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาพิจารณารอบคอบแล้วก็ ดบั ไปในขณะน้ัน จิตก็ลงส่คู วามสงบไดอ้ ย่างเต็มท่ี ในระยะเช่นน้ีจะว่าจิตว่างก็ได้อยู่ แต่ว่างในสมาธิ พอจติ ถอยออกมา ความวา่ งกห็ ายไป จากนน้ั กพ็ จิ ารณาไป อีกและพิจารณาตอ่ ไปเรอื่ ยๆ จนจิตมีความช�ำนาญในด้าน สมาธิ ขอสรุปความให้ย่อลงเพ่อื ให้พอดีกบั เวลา เม่ือสมาธิ มีก�ำลังทางด้านปัญญาก็เร่งพิจารณาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย จนรู้เห็นชัดและสามารถถอดถอน อุปาทานของกายได้โดยสิน้ เชงิ จากน้นั จิตกจ็ ะเริม่ ว่าง แตย่ งั ไม่แสดงความวา่ งอยา่ งเต็มที่ ยังมีนิมติ ภายในแสดงภาพปรากฏอยู่กบั ใจ เพราะในระยะนใี้ จว่างจากกายและวัตถุภายนอก แต่ยงั ไม่วา่ งจาก นิมิตภายในของตัวเอง จนกว่าจะมีความช�ำนาญโดยอาศัยการฝึกซ้อมไม่ลดละ นิมิตภายในใจก็นับ วันจางไป สดุ ทา้ ยก็หมด ไมป่ รากฏนิมิตทัง้ ภายนอกภายในใจ นนั่ ทา่ นก็เรยี กวา่ จิตว่าง วา่ งชนดิ นเี้ ปน็ เรือ่ งว่างประจำ� นิสยั ของจติ ทม่ี ีภูมธิ รรมประจำ� ขัน้ แหง่ ความว่างของตน นไี่ มใ่ ช่วา่ งสมาธิ และไมใ่ ช่ ว่างในขณะท่ีนั่งสมาธิ ขณะท่ีนั่งสมาธิเป็นความว่างของสมาธิ แต่จิตที่ปล่อยวางจากร่างกายเพราะ ความรรู้ อบดว้ ยนมิ ติ ภายในกห็ มดสนิ้ ไป เพราะอำ� นาจของสตปิ ญั ญารเู้ ทา่ ทนั ดว้ ย นแ่ี ลชอ่ื วา่ วา่ งตาม ฐานะของจติ เมอ่ื ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว้ จติ วา่ งจรงิ ๆ แมก้ ายจะปรากฏตวั อยกู่ ส็ กั แตค่ วามรสู้ กึ วา่ กายมอี ยเู่ ทา่ นน้ั แต่ภาพแห่งกายหาได้ปรากฏเป็นนิมิตภายในจิตไม่ ว่างเช่นน้ีแลเรียกว่า ว่างตามภูมิของจิต และมี ความวา่ งอยอู่ ยา่ งนป้ี ระจำ� ถา้ วา่ งเชน่ นว้ี า่ เปน็ นพิ พาน กเ็ ปน็ นพิ พานของผนู้ นั้ หรอื ของจติ ชนั้ นน้ั แต่ ยงั ไมใ่ ช่นพิ พานวา่ งของพระพุทธเจ้า ถา้ ผจู้ ะถอื สมาธเิ ปน็ ความวา่ งของนพิ พาน ในขณะจติ ทลี่ งสสู่ มาธกิ เ็ ปน็ นพิ พานของสมาธแิ หง่ โยคาวจรผู้ปฏิบัติผู้น้ันเสียเท่าน้ัน ความว่างทั้งสองประเภทท่ีกล่าวมานี้ไม่ใช่เป็นนิพพานว่างของ 56
พระพุทธเจา้ เพราะเหตุใด เพราะจติ ท่ีมคี วามว่างในสมาธิ จำ� ตอ้ งพอใจและตดิ ในสมาธิ จิตท่ีมคี วาม ว่างตามภูมิของจิตจ�ำต้องมีความดูดด่ืมและติดใจในความว่างประเภทนี้ จ�ำต้องถือความว่างน้ีเป็น อารมณ์ของใจจนกว่าจะผ่านไปได้ ถ้าผู้ถือความว่างน้ีว่าเป็นนิพพาน ก็เรียกว่าผู้นั้นติดนิพพานใน ความวา่ งประเภทนี้โดยเจา้ ตวั ไม่รู้ เม่ือเปน็ เช่นนค้ี วามว่างประเภทนจ้ี ะจดั วา่ เปน็ นิพพานไดอ้ ย่างไร ถา้ ไมต่ อ้ งการนพิ พานขน้ั น้ี กค็ วรกาง เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณออกตรวจตราดใู หช้ ดั เจน และละเอียดถถ่ี ้วน เพราะความว่างทก่ี ล่าวนีเ้ ป็นความว่างของเวทนา คือสขุ เวทนามีเต็มอยู่ในความ ว่างน้ัน สัญญากห็ มายว่าง สังขารก็ปรุงแตเ่ รื่องความวา่ งเปน็ อารมณ์ วิญญาณกช็ ่วยรับรทู้ างภายใน ไมเ่ พยี งจะรบั รภู้ ายนอก เลยกลายเปน็ นพิ พานของอารมณ์ ถา้ พจิ ารณาสงิ่ เหลา่ นใ้ี หช้ ดั และความวา่ ง ให้ชัด โดยเหน็ เป็นเรือ่ งของสงั ขารธรรม คือสิง่ ผสมน่ันแล จะมีชอ่ งทางผ่านไปไดใ้ นวันหน่ึงแนน่ อน เมื่อพิจารณาตามท่ีกล่าวน้ี ขันธ์ทั้งสี่และความว่างซ่ึงเป็นส่ิงปิดบังความจริงไว้ ก็จะค่อยเปิดเผยตัว ออกมาทีละเล็กละน้อย จนปรากฏไดช้ ัด จิตย่อมมีทางสลัดตวั ออกได้ แมฐ้ านทตี่ ง้ั ของสงั ขารธรรมทเี่ ตม็ ไปดว้ ยสง่ิ ผสมนี้ กท็ นตอ่ สตปิ ญั ญาไมไ่ ดเ้ พราะเปน็ สง่ิ เกยี่ ว โยงกัน สติปัญญาประเภทค้นแร่แปรธาตุจะฟาดฟันเข้าไป เช่นเดียวกับไฟได้เช้ือลุกลามไปไม่หยุด จนกวา่ จะขุดรากเหง้าของธรรมผสมนข้ี ้ึนไดเ้ สยี เมือ่ ใด เมอ่ื นนั้ จงึ จะหยดุ การรุกการรบ เวลานีม้ ีอะไร ทเี่ ปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ นพิ พานวา่ งตามแบบของพระพทุ ธเจา้ คอื สงิ่ ทต่ี ดิ ใจอยใู่ นขนั้ นแี้ ละขณะนแี้ ลเปน็ ขา้ ศกึ ส่งิ ทีต่ ิดใจกไ็ ด้แก่ความถอื วา่ ใจของเราว่างบา้ ง สบายบา้ ง ใสสะอาดบา้ ง ถา้ จะเหน็ ว่าใจมนั วา่ งแตม่ ัน อยกู่ ับความไม่วา่ ง ใจมนั เป็นสขุ แตม่ นั อาศัยอยกู่ บั ทุกข์ ใจใสสะอาด แต่มันอยกู่ ับความเศร้าหมอง โดยไม่รู้สึกตัว ความว่าง ความสุข ความใส นั่นแลเป็นธรรมปิดบังตัวเอง เพราะธรรมท้ังน้ีคือ เครื่องหมายของภพชาติ ผตู้ อ้ งการตดั ภพชาตจิ งึ ควรพจิ ารณาใหร้ เู้ ทา่ และปลอ่ ยวางสงิ่ เหลา่ นี้ อยา่ หวงไวเ้ พอื่ กอ่ ไฟเผา ตวั ถา้ ปญั ญาขดุ คน้ ลงตรงทส่ี ามจอมกษตั รยิ แ์ หง่ ภพปรากฏอยู่ นน้ั แลจะถกู องคก์ ารใหญข่ องภพชาติ และจะขาดกระเดน็ ออกจากใจทนั ที ทปี่ ญั ญาหยงั่ ลงถงึ ฐานของเขาตง้ั อยู่ เมอ่ื สง่ิ ทง้ั นส้ี นิ้ ไปแลว้ เพราะ อ�ำนาจของปัญญา นนั้ แลเป็นความว่างอันหนงึ่ เครื่องหมายของสมมุตใิ ดๆ จะไม่ปรากฏในความวา่ ง นนั้ เลย นคี่ อื ความวา่ งทผ่ี ดิ กบั ความวา่ งทผ่ี า่ นมาแลว้ ความวา่ งประเภทนี้ เราจะวา่ เปน็ ความวา่ งของ พระพทุ ธเจ้าหรอื ความว่างของใครน้นั ผแู้ สดงไม่สามารถจะเรยี นให้ทราบไดว้ ่าจะควรเปน็ ความว่าง ของใคร นอกจากจะเปน็ ความวา่ งท่ีรเู้ ห็นกนั อยู่ดว้ ยสนั ทฏิ ฐิโกของผู้บำ� เพญ็ เทา่ น้นั 57
ความวา่ งอนั นไ้ี มม่ กี าลสมยั เปน็ อกาลโิ กอยตู่ ลอดกาล ความวา่ งในสมาธมิ คี วามเปลยี่ นแปลง ไปได้ ท้ังด้านความเจรญิ และความเสอ่ื ม ความวา่ งในขั้นอรูปธรรม ซ่ึงก�ำลังเป็นทางเดินกแ็ ปรสภาพ หรือผ่านไปได้ แต่ความวา่ งในตนเองโดยเฉพาะนี้ ไมม่ คี วามเปลย่ี นแปลง เพราะตนไม่มอี ยใู่ นความ ว่างน้ัน และไม่ถือความว่างน้ันว่าเป็นตน นอกจาก ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ เห็นตามเป็นจริงในหลัก ธรรมชาติแห่งความวา่ งนัน้ และเหน็ ตามเปน็ จรงิ ในสภาวธรรมท่ีผ่านมาเป็นลำ� ดับ และทมี่ ีอยทู่ ่วั ไป เทา่ นั้น แม้ศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งเป็นธรรมเครือ่ งแกไ้ ขกร็ ู้เท่าและปลอ่ ยวางไวต้ ามเปน็ จริง ไม่มสี ่งิ ใด จะเขา้ ไปแฝงอยู่ในธรรมชาติแห่งความวา่ งในวาระสุดท้ายน้ันเลย ท่านนักใจบุญทกุ ทา่ น โปรดนำ� ความว่างทงั้ สามประเภทน้ไี ปพจิ ารณา และพยายามบ�ำเพ็ญ ตนให้เข้าถึงความว่างท้ังสามนี้ เฉพาะอย่างย่ิงความว่างในวาระสุดทายซึ่งเป็นความว่างในหลัก ธรรมชาติ ไมม่ ีผู้ใดและสมมุติใดๆ อาจเออื้ มเขา้ ไปท�ำการเกี่ยวขอ้ งไดอ้ กี ตอ่ ไป ความสงสยั นบั แตข่ น้ั ตน้ แหง่ ธรรม จนถงึ ความว่างอย่างยิง่ จะเปน็ ปัญหาทีย่ ุตกิ ันลงได้ ดว้ ยความรคู้ วามเหน็ ของตนเป็น ผ้ตู ดั สนิ เอง ดังนั้น ในอวสานแห่งธรรมโดยเร่ิมแสดงเร่ืองความโง่ของตน ให้ท่านผู้ฟังทุกท่านทราบเป็น ล�ำดับ จนเตลิดมาถงึ ความวา่ งในวาระสดุ ทา้ ย ซ่งึ เป็นธรรมออกจะสุดวิสัยของผู้แสดงทอี่ ธิบายให้ย่งิ ไปกว่านั้นอีกไม่ได้ จึงขอยุติลงโดยเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสุขความส�ำราญจงมีแก่ท่านผู้ฟัง โดยถ้วนหน้ากันเทอญฯ 58
59 สภาพภายในเขตสงฆ์ วัดปา่ บา้ นตาด
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศกั ราช ๒๕๒๑ บอ๋ ยกลางเรือนของกเิ ลส เพ่ือความเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนโลก ทรงทุ่มเทเสียสละไม่มีใครเสมอเหมือนได้เรื่อยมา จนถงึ วาระสดุ ทา้ ยแหง่ ความเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ คอื พระเวสสนั ดร กด็ เู อาตามตำ� รา กระเทอื นทว่ั โลก การเสยี สละสมบตั อิ นั มคี ณุ คา่ มหาศาลทง้ั มวล กเ็ พราะพระเมตตานน่ั เองทที่ ำ� ใหเ้ ปน็ ไป ไมใ่ ชอ่ ะไร คอื ทรงใหท้ านดว้ ยพระเมตตา เวลาเสดจ็ ออกทรงผนวชกท็ รงเสยี สละทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเพอ่ื โพธญิ าณ แม้มีความล�ำบากล�ำบนแสนสาหัสก็ไม่ทรงท้อถอย จนได้ตรัสรู้ธรรมเป็นศาสดาสมพระทัยหมาย แลว้ นำ� ธรรมออกสง่ั สอนโลก โดยไมม่ โี ลกามสิ เจอื ปนในพระทยั เลย พระทยั เตม็ ไปดว้ ยพระเมตตา ล้วนๆ ตอ่ สตั วโ์ ลกท้งั มวล พอตรสั รแู้ ลว้ กท็ รงเลง็ ญาณดสู ตั วโลกวา่ ใครจะไดบ้ รรลธุ รรมกอ่ น กท็ รงทราบวา่ ดาบสทง้ั สองคอื อาฬารดาบสและอทุ กดาบสรามบตุ ร ควรจะบรรลธุ รรมกอ่ นใครๆ แตก่ ท็ รงทราบวา่ ดาบส ทงั้ สองสน้ิ ชวี ติ เสยี แลว้ ตง้ั แตว่ านนนี้ า่ เสยี ดาย กท็ รงเหน็ ปญั จวคั คยี ท์ ง้ั หา้ วา่ จะไดบ้ รรลธุ รรมวเิ ศษ ในไม่ช้า 60
นน่ั ฟงั ซิ พระองค์ทรงเลง็ หัวใจคน ไมไ่ ดเ้ ลง็ หาเงนิ หาทอง หาข้าวหาของ หาความเคารพ นับถือ หาลาภสักการเหมือนอย่างที่ก�ำลังเป็นไปอยู่ทุกวันนี้ มันผิดกันไหมโลกสมัยโน้นกับโลก ปัจจุบัน ศาสนาแต่ก่อนกับศาสนาสมัยทุกวันน้ี ผู้ปฏิบัติศาสนาแต่ก่อนกับพวกเราปฏิบัติศาสนา ทกุ วนั น้ี ศาสนธรรมเปน็ ธรรมจริง ๆ ผู้ทรงธรรมทรงและเทิดทูนธรรมไวจ้ ริง ๆ ปฏบิ ัตธิ รรมจรงิ ๆ เจตนาเปน็ ธรรม หวั ใจเปน็ ธรรม เกย่ี วขอ้ งกบั ผใู้ ดเปน็ ธรรมทงั้ นน้ั ไมม่ โี ลกเขา้ เจอื ปน ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม แท้และธรรมแท้เป็นอย่างน้ัน ท่านปฏิบัติกันมาอย่างนั้น ในต�ำรับต�ำรามี เวลาอ่านสังเกตด้วยดี ถา้ อยากพบอยากเหน็ อยากไดข้ องดขี องจรงิ อยา่ สกั แตอ่ า่ น สกั แตป่ ฏบิ ตั เิ หมอื นนกขนุ ทอง “แกว้ เจ้าขา” เฉยๆ เพราะฉะนนั้ พระสาวกไปที่ไหนจงึ ท�ำความร่มเย็นใหแ้ กโ่ ลกได้มากมาย ไม่ไปรบกวนสง่ิ ใด กับใคร ๆ กวนเรอ่ื งโลกามิส ท่านไม่ได้กวน มีแตค่ วามสงเคราะหโ์ ลกด้วยความเมตตา ไมไ่ ด้กวน โลก การก่อการสร้างอะไรกไ็ มห่ รูหรา ไม่มีโลกเข้าเจือปน พออย่พู ออาศยั พอเป็นพอไป ทา่ นบอก ไว้ในเวลาบวชก็บอก วา่ รุกฺขมูลเสนาสนํ แน่ะฟังซิ ไม่ไดบ้ อกให้สรา้ งหอปราสาทราชมนเทียรอยู่ สะดวกสบาย แบบโลกเขาทำ� เขาอย่กู นั รุกขฺ มูลเสนาสนํ กค็ ือการเที่ยวอยูต่ ามรุกขมูลรม่ ไม้ ตาม ป่าตามเขา ตามถ้�ำ เง้ือมผา อันเป็นที่สะดวกในการประกอบความเพียร เพื่อถอดถอนกิเลสตัว ยุแหย่กอ่ กวนทำ� ลายออกจากใจ เพอ่ื ความเห็นโทษเหน็ ภัยของวัฏสงสาร การปฏิบัตธิ รรมทกุ ดา้ น จะได้เข้มแข็ง ความเปน็ อยู่ใช้สอยในปัจจยั สก่ี พ็ อยังชีวิตอตั ภาพใหเ้ ปน็ ไปวนั หนง่ึ ๆ กพ็ อกับความ จำ� เปน็ เพื่อการปฏิบตั ิธรรมดว้ ยความสะดวกราบรนื่ ตามความมุง่ หมายเปน็ สำ� คญั การสง่ สาวกออกประกาศพระศาสนากเ็ พอ่ื ธรรมลว้ นๆ เพอ่ื หวั ใจคนโดยแท้ ไมไ่ ดเ้ พอ่ื โลกามสิ 61 ใดๆ เราลองเทียบดูซคิ รง้ั พทุ ธกาลกบั สมัยปจั จบุ นั เพราะมแี บบแผนตำ� รับตำ� ราอย่แู ล้ว ใครๆ ก็ เห็นไม่น่าสงสัย ท่านอยู่กันยังไง ท่านปฏิบัติกันยังไงหัวใจเป็นธรรมหรือเป็นกิเลสก็พอทราบได้ แม้แต่บิณฑบาตก็ยังมีในต�ำราบอกเตือนไว้เพื่อเป็นคติตัวอย่างอันดีแก่พวกเรา มีพระในคร้ัง พทุ ธกาลทา่ นเคยปฏบิ ตั ติ อ่ ทา่ นมาแลว้ ขณะไปบณิ ฑบาตจติ คดิ ปรงุ แยบ็ ออกไปถงึ เรอ่ื งอาหาร วนั นีจ้ ะไดอ้ าหารดี ๆ อะไรมาฉันบ้างนา พอรู้สึกอยา่ งนั้นท่านหยุดทันที ไมไ่ ปบิณฑบาตเลยวันนัน้ ก็ มนั ไปเพอื่ พงุ น่ี ไมไ่ ดไ้ ปเพื่อธรรม ท่านเลยหยุด ไมไ่ ปใหก้ ิเลสใหพ้ งุ มนั ได้ใจ น่มี ีในตำ� ราในคมั ภีร์ นนั้ แลท่านดัดสันดานกิเลสตัวโลภในโลกามิส เพราะความเป็นเช่นน้นั เป็นเรื่องของกเิ ลส การแก้ กเิ ลสท่านยอ่ มเห็นสง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ ภัย ทา่ นถงึ ได้เป็นสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวก เรา จะเป็นใครทไี่ หน ความโลภมนั เป็นสรณะให้โลกรม่ เยน็ ได้เมื่อไรพอจะ สรณํ คจฺฉามิ กบั มัน เราทง้ั หลายแมแ้ ตเ่ ปน็ สรณะของตวั เองกย็ งั ไมไ่ ด้ จะไปเปน็ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ แกป่ ระชาชนญาตโิ ยม ไดย้ งั ไง เปน็ สรณะเจา้ ของกย็ งั ไมไ่ ด้ ชว่ ยตวั เองกย็ งั ไมไ่ ดม้ นั ผดิ กนั ศาสนาคอ่ ยเปลย่ี นแปลงมาๆ ทัง้ ๆ
ทคี่ มั ภรี ใ์ บลานกย็ งั มอี ยู่ แบบแผนตำ� รบั ตำ� รามอี ยอู่ ยา่ งสมบรู ณ์ แตก่ ารปฏบิ ตั ขิ องผถู้ อื กเิ ลสํ สรณํ คจฺฉามิ มันก็เป็นข้าศกึ ตอ่ ธรรมและต่อตวั เองอยู่โดยดี การแสดงออกทางกายทางวาจาทางใจ ก็ เป็นข้าศึกแก่ตัวแก่ธรรมและแก่มรรคผลนิพพาน เป็นการเข้าฝ่ายกิเลสอยู่เสมอ จะเอามรรคผล นิพพานมาจากไหน กเิ ลสไม่เคยใหค้ นไดบ้ รรลุมรรคผลนพิ พาน นอกจากธรรมเครือ่ งฆา่ กิเลส มี ศีล สมาธิ ปญั ญา เป็นต้น เทา่ น้ัน ทจ่ี ะผลิตมรรคผลนิพพานแกผ่ ปู้ ฏิบัตติ าม ไมไ่ ดส้ �ำเรจ็ ด้วยการ อนโุ ลมผอ่ นผนั อนั เปน็ การคลอ้ ยตามกเิ ลสหรอื สง่ เสรมิ กเิ ลสทงั้ หลายแตอ่ ยา่ งใด ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมจงึ ไม่ควรสนิทติดจมกบั นสิ ัยเดมิ อนั เปน็ พืน้ เพของกิเลสปูลาดเอาไว้ ผู้ปฏบิ ัตอิ ย่ามองไปอน่ื ให้มอง พุทธฺ ํ ธมฺมํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เปน็ หลกั ส�ำคญั ความพง่ึ เป็น พึ่งตายกับท่านภายในจิตใจก็พ่ึงอยู่แล้ว ความพ่ึงเป็นพ่ึงตายกับท่านด้วยข้อปฏิบัติท่ีท่านชี้แจง แสดงไว้ ท่ที ่านพาปฏิบตั ิดำ� เนินมา จงยดึ ธรรมเหลา่ นนั้ เปน็ หลักใจหลักการปฏิบัติ อยา่ ปลอ่ ยมอื รามอื โลกกอ็ ยา่ งทรี่ ทู้ เี่ หน็ นแี้ หละ เพราะเราแตล่ ะรายเปน็ โลกดว้ ยกนั คอื โลกดว้ ยกนั ใครจะเสกสรร ป้ันยอว่าดอี ยา่ งไรขนาดไหน ก็อย่างทรี่ ูๆ้ เห็นๆ นี่แหละ ไปตนื่ อะไรกัน คนนัน้ เป็นนั้น คนน้เี ป็นน้ี กว็ ่าไปอยา่ งนน้ั แล ใจคนปากคนเรามนั ชอบยอ ไดก้ นิ แตล่ มกเ็ อา เขายกยอ่ งสรรเสริญว่าเป็นนั้น เปน็ นี้ ดอี ย่างน้ัน ดอี ยา่ งน้ี โฮย้ ผงึ่ ผาย สง่าผา่ เผยราวกบั จะเหาะจะบิน ร่างกายธรรมดาก็ปรากฏ ขยายตวั ใหญโ่ ต หนา้ กส็ ่หี น้าหา้ หนา้ ราวกบั ทา้ วมหาพรหมในเทวโลก พอตกอบั เปลย่ี นแปลงไป ตามกฎ อนจิ จฺ ํ ไม่มีผู้นับถอื ไม่มใี ครเหลยี วแล เอาแล้วทน่ี ี่ เกิดความโศกเศรา้ เหงาหงอย เพราะ คดิ วา่ ไมม่ ใี ครนบั ถอื ชหู นา้ ชตู าเหมอื นแตก่ อ่ นทเ่ี รอื งอำ� นาจวาสนา คดิ กอบโกยหาแตท่ กุ ขม์ าใสต่ วั บางกรณกี นิ ไมไ่ ด้นอนไมห่ ลบั สลบั กนั ไปกบั โรคประสาท นน่ั พจิ ารณาซโิ ลกมันเปน็ อยา่ งนนั้ ฟขู น้ึ แล้วกฟ็ ุบลงๆ อยูอ่ ย่างน้ัน ท่านจงึ เรยี กโลกธรรม หาความจริงจงั แนน่ อนกับมนั ไม่ได้ โลกธรรมจะเปน็ อะไร กเ็ ปน็ เรอื่ งของกเิ ลสนนั่ แล ผจู้ ะรโู้ ลกธรรมแกโ้ ลกธรรมไดก้ ต็ อ้ งเปน็ ผู้เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ดังพระพุทธเจ้าแลสาวกเป็นตัวอย่าง ท่านอยู่เหนือโลกธรรมแล้วแสน สบายหายวนุ่ พวกเรามนั พวกเทดิ ทนู โลกธรรมไวบ้ นศรี ษะ จงึ พากนั แบกแตโ่ ลกธรรมหนกั อง้ึ ตลอด ไป ไม่มีเวลาสรา่ งซาลงบา้ งเลย ฉะนนั้ จงยึด พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ เสมอ อย่าไปมองอะไร อย่าไปต่ืนเต้นกบั โลกสงสารให้ เสยี การ เสยี เวลาและเสยี คนคอื เรา ใครจะอยโู่ ลกใดทวปี ใดกต็ าม ความมงั่ มศี รสี ขุ ขนาดไหน เรยี น มามากนอ้ ย โงห่ รอื ฉลาดแหลมคมเพยี งไร ถา้ ยงั อยใู่ ตอ้ ำ� นาจของกเิ ลสอยแู่ ลว้ สงิ่ ทก่ี ลา่ วมาทง้ั มวล ถูกกิเลสเอาเป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้ เป็นบ๋อยกลางเรือนอย่างคล่องตัวน้ันแล แล้วจะหาความสุข ทไี่ หน ดใู นหนงั สอื พมิ พน์ น่ั ซิ มนั นา่ ดไู หมละ่ เราดดู ว้ ยความคดิ ความพจิ ารณาไมล่ ำ� เอยี ง ดหู าความจรงิ 62
พิจารณาตามความจริง และพูดตามเหตกุ ารณท์ ี่เป็นไป ดเู ขาถ่ายภาพในหนงั สือพิมพ์ ไมไ่ ดด้ แู บบ โลก ๆ ดูเปน็ แบบธรรม ถงึ จะดูหนังสือพมิ พ์กไ็ มเ่ ป็นแบบโลก จิตหากเปน็ ของมนั เอง มแี ง่ของมนั จนได้ อา่ นไปพจิ ารณาไป อา่ นไปตรงไหนพจิ ารณาไปตาม เรอ่ื งความเปน็ อยขู่ องโลก ความวนุ่ วาย ของโลก ความเปลย่ี นแปลงของโลก มนั เปลยี่ นแปลงไปทางไหน มนั วนุ่ วายไปยงั ไง มนั จะมสี าเหตุ น�ำมาซ่ึงความสุขหรือความทุกข์ ความมีหลักเกณฑ์หรือความเหลวไหลไร้สาระ ความแน่นหนา ม่นั คงหรือความล้มละลาย เวลาชุมนุมกถ็ ่ายภาพมือถอื แกว้ แกว้ อะไรก็ไมร่ ู้แหละ แกว้ เบียร์ แก้ว น�้ำชาหรือแก้วเหล้าอะไรก็ไม่รู้แหละ ต่างคนต่างถือ แล้วย้ิมแต้ท�ำท่าน่าร่ืนเริงเหมือนมีความสุข มาก ความจรงิ มนั เปน็ เพยี งกริ ยิ าประดบั หนา้ รา้ นเทา่ นนั้ เรอื่ งของโลกยอ่ มมมี ายาแฝงเสมอ ไมง่ น้ั ก็ไม่เรยี กวา่ โลก ภายในหัวใจนน้ั ไม่มีความสขุ เพียงยม้ิ ออกมาแหง้ ๆ อย่างนนั้ แล แตม่ ันเปน็ ไฟ ไหมก้ องแกลบซึง่ ตา่ งกร็ ้อนสุมอยใู่ นสว่ นลกึ ของหวั ใจ เพราะเหตรุ อ้ ยแปดพรรณนาไม่จบส้นิ การ แสดงออกต่อสังคมจึงมที ีทา่ ร่าเริงประดบั สงั คมให้สวยงาม เพราะการรอ้ งไหส้ งั คมถอื กนั มนั ไม่มี ใครไดค้ วามสขุ ชมุ่ เยน็ ภายในใจหรอกในโลกแหง่ ราคคคฺ นิ า โทสคคฺ นิ า โมหคคฺ นิ า หนาแนน่ น้ี อยา่ ไปสงสัยว่าโลกจะมคี วามสุขอันภมู ิฐานดงั ที่ประมาณกนั ให้คะแนนกัน นิยมกนั ความจรงิ มนั เปน็ ความฝันในมโนภาพมากกว่าจะเป็นความจริง อย่าเข้าใจว่าโลกคือหมู่สัตว์ มีความสุขเพราะโลภ มาก เพราะราคะตณั หามาก เพราะเจา้ อารมณม์ าก เพราะเลห่ เ์ หลยี่ มมาก เพราะคดโกงมาก เพราะ ความเอารดั เอาเปรยี บเพือ่ นมนษุ ย์มาก เพราะกอบโกยมาก เพราะอ�ำนาจมาก เพราะคนนบั ถอื มาก เพราะมีสมบัติเงินทองมาก แต่ความสุขเกิดมีเพราะการปฏิบัติต่อตัวเองด้วยธรรม รู้จัก ประมาณในสง่ิ ทเ่ี กย่ี วกบั ตน ความมธี รรม ความรธู้ รรม เหน็ ธรรม แกส้ ง่ิ ทเี่ ปน็ ขา้ ศกึ อยภู่ ายในจติ ใจ ออก นแ้ี ลบอ่ แหง่ ความสขุ อยทู่ น่ี ี่ บอ่ แหง่ ความอบอนุ่ อยทู่ นี่ ี่ ความมหี ลกั เกณฑอ์ ยทู่ น่ี ี่ บอ่ แหง่ ความ ไว้วางใจอยู่ที่นี่ บ่อปลดปล่อยภาระท้ังหลายก็อยู่ท่ีนี่จงท�ำงานของเราด้วยธรรมให้ส�ำเร็จ จะอยู่ เปน็ สขุ ไปเปน็ สขุ แมต้ ายกเ็ ปน็ สขุ เพราะธรรมอยทู่ ใ่ี จ สขุ จงึ อยทู่ ใ่ี จ มไิ ดอ้ ยทู่ อ่ี น่ื และสง่ิ อนื่ สงิ่ เหลา่ นั้นเพียงอาศัยไปเป็นวัน ๆ เท่าน้ัน อย่าหลงอย่าภูมิใจ จะเสียหลักและเสียท่า เวลาตายจะไม่มี อะไรติดตัว โลกคือความลกึ ลับในหวั ใจ รูไ้ ดย้ าก ปฏบิ ตั ิต่อมันยาก สว่ นมากมักเสยี ท่าเสยี ทใี หม้ นั จึงเตอื นไว้ ผใู้ ช้ความคิดอาจได้สารคุณตดิ ตวั ผมู้ วั เมาจะเสียทา่ ต้ังแต่ยังไมต่ าย ฉะนนั้ จงตรวจดู ความบกพรอ่ งของตัวเสียแตบ่ ดั นี้ ตายแล้วมใิ ช่ฐานะ อยา่ มัวตื่นยศแห่งความเปน็ มนุษยอ์ ยู่จะเสยี การณ์ มารจะผจญ นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั จิ งรบี ทำ� งานของตนใหส้ ำ� เรจ็ ในกาลอนั ควร งานคอื เกสา โลมา นขา 63 ทนั ตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา นน่ั นี่ท่านสอนเพียงเอกเทศให้เอานเ้ี ป็นเค้ามลู แล้วกระ จายออกไปเปน็ เหมอื นแกก้ ระทู้ กระทกู้ แ็ ปลวา่ มดั คอื มดั เขา้ ไวเ้ ปน็ กลมุ่ ๆ เปน็ มดั ๆ แลว้ กค็ ลค่ี ลาย ออกไป กรรมฐานห้ามอี ยทู่ ่ีไหน มีอยใู่ นกาย กระจายออกไปจนกระทง่ั อาการ ๓๒ กระจายออก
ให้รู้แจ้งเห็นจริงในอาการ ๓๒ กระจายออกไปและเทียบเคียงกันทั่วโลกท่ัวสงสาร ไม่ว่าผู้หญิง ผชู้ าย สตั วบ์ คุ คลทว่ั โลก มนั เหมอื นๆ กนั น้ี ไมม่ อี ะไรผดิ แปลกพอจะใหต้ นื่ ใหห้ ลงใหย้ ดึ นแ่ี ลงานการ รอ้ื ภพรื้อชาตริ อ้ื วฏั สงสารออกจากใจ รื้อกิเลสตัณหาออกจากใจ คอื งานนเี้ อง สถานท่ีเป็นทเ่ี หมาะสม พระองคก์ ท็ รงแสดงไวห้ มดแลว้ รุกฺขมลู เสนาสนํ ตามปา่ ตามเขา ตามถ้�ำ เงือ้ มผา ท่ีใดเหมาะสมกบั การประกอบงานนท้ี า่ นก็บอกไวห้ มด สถานท่ีวเิ วกสงัด เชน่ ใน ปา่ คือสถานทีเ่ หมาะสมส�ำหรับงานประเภทน้ี งานประเภทน้ีเหมาะในสถานทเ่ี ชน่ นน้ั มไิ ดเ้ หมาะ ในตลาด สนามหลวง ท่ีชุมนุมชนคนหนาแน่น อาหารหวานคาวหนาแน่น กระดูกหมูกระดูกวัว หนาแนน่ ใครต้องการแมลงวันไป ใครต้องการธรรมความพน้ ทกุ ข์ อยา่ ไปถา้ ไมอ่ ยากจมน่ะ การ ขบการฉันก็ไม่พะรุงพะรัง ไม่พร่�ำๆ เพร่ือๆ เพราะจะเป็นการกังวลกับเรื่องการอยู่การกิน การ ภาวนาจะมีน้อยหรือลม้ เหลวไป ฉันเสยี มื้อเดยี วเท่านัน้ นี่พนื้ เพดัง้ เดมิ จริง ๆ ท่านฉนั มอื้ เดยี ว นอกจากนนั้ กม็ ดี ม่ื ขา้ วยาคบู า้ งถา้ มี แตไ่ มถ่ อื เปน็ ความจำ� เปน็ ยาคกู แ็ ปลวา่ ขา้ วตม้ นนั่ เอง ดมื่ น้�ำขา้ วต้มกอ่ นบิณฑบาตได้ ท่านเพยี งบอกว่าได้เท่านน้ั เองในตำ� รามี แตพ่ วกเราน่ะซิ ฟาดกัน ไมม่ อี ดั มอี นั้ ฟาดตอนเชา้ ตอนเพล ดไี มด่ ฟี าดตอนคำ่� ดว้ ยใครจะไปรู้ เมอื่ กเิ ลสตณั หาเตม็ หวั ใจลน้ หัวใจแลว้ อาจขยันกนิ ไดท้ ุกเวลา เพราะกเิ ลสมันเก่งทางนี้ แต่ถา้ ทางธรรมกิเลสไม่เลน่ ด้วย กิเลส มนั จะไวห้ น้าใครล่ะ ไมเ่ คยเหน็ กเิ ลสไว้หน้าใคร ท่านจึงสอนให้ละให้ปล่อยมัน ก็เพราะไมใ่ ช่ของดี มคี า่ นนั่ เอง แตพ่ วกเรามนั รกั มนั สงวนมากไมอ่ ยากแตะตอ้ งมนั ขนื แตะตอ้ งกเ็ ทา่ กบั ศรี ษะขาดไปดว้ ย ท่านสอนไว้หมด ไม่ให้สั่งสม ใหเ้ หมือนกับนก มีแตป่ ีกกบั หาง คลอ่ งแคลว่ ๆ ไม่พะรงุ พะรัง ห่วงหนา้ หว่ งหลัง การอยู่การกนิ โลกเขาอยู่ไดก้ นิ ไดย้ ังไง เรากเ็ ปน็ คนๆ หน่งึ เขาเปน็ คนๆ หนง่ึ เขากนิ ได้ เรากก็ ินได้ การสมมตุ ินิยมวา่ อาหารนน้ั ดี อาหารนไ้ี มด่ ี วา่ ไปอย่างนนั้ แหละ เรอ่ื งธรรม แลว้ กนิ ไดห้ มดถา้ ไมผ่ ดิ จากพระวนิ ยั และธาตขุ นั ธโ์ รคภยั ทา่ นสอนใหเ้ ลย้ี งตวั งา่ ยๆ เพอื่ ไมใ่ หก้ งั วล 64 วา่ เราเปน็ คนช้นั ไหน คนชนั้ สูงชน้ั ต่�ำ คนสกุลน้ันสกุลนี้ คนเมอื งนั้นเมืองนี้ซ่ึงตามหลักธรรมไมใ่ ห้มี
มีแต่นกั บวชอาศยั ขอทานเขากนิ เขาให้อะไรมาก็กินตามเกิดตามมีไม่ทะเยอทะยาน ถา้ ไมผ่ ิดกบั โรคกับภัย ไม่ขัดกับธาตุกับขันธ์กับพระวินัยก็กินไป พอยังชีวิตให้เป็นไปในวันหน่ึงๆ เพื่อความ เพียรเท่าน้ัน ท�ำความเพียรไม่ลดละ ไม่ถอยหลัง ไม่ให้งานอื่นใดมายุ่ง มีแต่งาน ความเพยี รอยา่ งเดยี ว พยายามสงั เกตดจู ติ จติ คดิ อะไร เรอื่ งราวทงั้ หลายทเี่ ปน็ อารมณอ์ ยใู่ นจติ จติ เปน็ ผผู้ ลติ ขน้ึ มาปรงุ ขน้ึ มาใหพ้ ากนั เขา้ ใจ นไี่ มอ่ วด เขา้ ใจจรงิ ๆ เพราะไดเ้ คยฟดั กนั มาแลว้ แทบไปแทบอยู่ แทบ จะไม่ไดม้ าเห็นหนา้ เพ่อื นฝูง เวลาเขา้ สแู่ นวรบบนเวที อารมณน์ น้ั ไม่ใช่อะไรนะ เรื่องอารมณข์ อง ตัวเองน่นั แหละ จิตหลงอยกู่ ับอารมณข์ องตวั เอง คอื จิตมันออกไปวาดภาพเรอ่ื งน้ันภาพเร่อื งน้อี ยู่ ตลอดเวลา ใหค้ ดิ เรือ่ งนน้ั คิดเร่ืองนีเ้ พราะจติ อยู่กบั เร่ือง ถา้ ไม่มสี ติปัญญาคอยสกัดลดั กัน้ แลว้ มนั จะคดิ ตดิ ตอ่ เกยี่ วเนอื่ งกนั ไปเปน็ ลกู โซโ่ ดยลำ� ดบั ๆ ทา่ นเรยี กวา่ ธรรมารมณ์ ทำ� เราใหห้ ลงเพลนิ และ เศรา้ โศรกไปกับเรอ่ื งกับราวของตัวที่วาดขน้ึ มาน่ันแล พอเวลาจิตสงบ เรื่องเหล่าน้ีก็ไม่มี หายเงียบ กับเวลาท่ีเราท�ำหน้าท่ีภาวนาของเรา จะ พิจารณาอาการใดธรรมบทใดแง่ใดก็ตาม เราพิจารณาด้วยความสนใจ อารมณ์ภายนอกจะไม่ เกย่ี วขอ้ ง เพราะจติ ไมอ่ อกไปเกยี่ วขอ้ ง จติ ไมป่ รงุ เปน็ เรอื่ งภายนอกเขา้ มาทำ� ลายจติ ใจ จติ ทำ� หนา้ ที่ เพ่ือถอดเพื่อถอน ไม่ได้ท�ำหน้าที่เพื่อสั่งสมกิเลสโดยการคิดไปตามอารมณ์ต่างๆ ท่ีเรียกว่า ธรรมารมณ์ จติ ก็สงบ เรยี นอยา่ งนนั้ แหละเรียนวิชาเร่อื งจติ ทแี รกกเิ ลสมนั รวดเรว็ เราไมท่ นั มนั แหละ เอะอะมนั คดิ ไปแลว้ ๆ เมอ่ื เรยี นเขา้ ไปปฏบิ ตั เิ ขา้ ไป จติ ละเอยี ดเขา้ ไป สตปิ ญั ญากม็ คี วามแหลมคมขน้ึ คลอ่ งแคลว่ แกลว้ กลา้ ขนึ้ โดยลำ� ดบั ทนี กี้ ท็ นั กนั แย็บออกไปเร่อื งอะไรก็รู้ นีจ้ ติ คดิ ปรงุ ออกไปแล้ว พอปรุงพบั สตริ ู้ทัน มนั กด็ ับ กไ็ มม่ ีเรื่องตอ่ จะ ปรงุ เร่ืองหญงิ เรือ่ งชาย เรอื่ งดเี ร่ืองชว่ั เรอื่ งอดีตอนาคตอะไร กผ็ นู้ ้ีเป็นผู้ปรุงวาดภาพเร่อื งราวขึ้น หลอกเจ้าของ เหมอื นกับเขาดหู นังในจอผา้ น่แี หละ ในจอในแจนนั่ เงาเฉยๆ กเ็ ปน็ บ้ากนั ไปได้ ก็ เงาๆ หลงหาอะไรตัวจรงิ มันอยูท่ วีปไหน ไปอยู่โลกไหนกไ็ ม่ทราบ มแี ตเ่ งาปรากฏในจอผา้ ก็ต่ืนกัน พวกเรามันพวกบ้าต่นื เงาไมม่ เี บ่อื น้ีก็เหมือนกัน อารมณน์ ี่ เงาของจิต พจิ ารณาใหท้ ันมันอย่างนั้น ซิ ทันขนาดที่ว่ามนั ปรุงข้ึนแย็บเรื่องอะไร มนั กด็ บั เพราะสติทันมันกร็ ู้ ปรุงพับก็ดบั พรอ้ มๆ เม่อื ไม่ ปรุงกร็ ้อู ย่ดู ้วยสติ พอพูดถึงเร่ืองนี้ก็ท�ำให้คิดถึงเวลาอยู่ในป่าเขา ตอนจิตเสื่อมกับตอนจิตเป็นสมาธิก็ต้อง 65 อาศัยหลักจิตบังคับจิตไม่ให้ออกจากตัวเอง ให้รู้อยู่กับจิตกับตัวโดยเฉพาะอย่างเข้มงวดกวดขัน
ไม่งั้นมันจะวาดภาพเสือ วาดภาพอันตรายข้ึนมาให้เรากลัว เพราะไปอยู่ในสถานที่กลัวด้วย ใน สถานท่ีมเี สือจรงิ ๆ ดว้ ย ต้องบังคบั จิตไมใ่ ห้สง่ ออกไปภายนอกเลย ใหร้ ้อู ยูก่ ับใจนี้ เปน็ กับตายก็ มอบอยกู่ บั น้ี จนกระทงั่ มนั มคี วามอาจหาญชาญชยั ในทส่ี ดุ เสอื จะเดนิ มาตอ่ หนา้ ตอ่ ตา มนั จะเดนิ เขา้ ไปลบู คลำ� หลงั เสอื ไดอ้ ยา่ งสบายเลยนะ ตามความรสู้ กึ มนั แนใ่ นใจยงั งน้ั ไมค่ ดิ วา่ เสอื จะทำ� อะไร ไดเ้ ลย น่อี าจเปน็ ความสำ� คัญผิดของตวั กไ็ ด้ แต่จะสำ� คญั ผดิ หรอื สำ� คญั ถูกกต็ าม เมอื่ จิตไดก้ ล้าถึง ขนาดน้ันแล้ว มันเดินเข้าไปลูบคล�ำหลังเสือได้จริงๆ ด้วยจิตใจอ่อนโยนเมตตาสงสาร ไม่สะทก สะท้านในเรือ่ งวา่ จะกลัว ความกลวั กไ็ ม่มี จติ มนั มกี ำ� ลงั มากเวลานนั้ เพราะไมใ่ หม้ นั ออกนอก กำ� หนดเขา้ เรอื่ ย ๆ มนั กม็ กี ำ� ลงั จนแนน่ ปึ๋งเลย ข้ึนชอื่ วา่ อนั ตรายอะไรกม็ าเถอะ วา่ อย่างน้ันเลยนะ มนั อาจหาญขนาดน้ัน เสือก็มา ชา้ งก็ มา ไม่หนวี า่ อยา่ งนั้นเลยนะ คือมันเป็นความอาจหาญของมันจรงิ ซ่งึ เรากไ็ ม่เคยเป็นมาก่อน มา เป็นเอาตอนฝึกดัดสันดานในขณะกลัวนั่นแล ไมค่ ิดว่าเสอื หรอื ชา้ งเป็นต้น จะมาท�ำลายเราไดเ้ ลย จะเดนิ เขา้ ไปหามนั ไดอ้ ยา่ งสบาย แมม้ นั จะทำ� เรา ฆา่ เราใหต้ ายในขณะนน้ั กร็ สู้ กึ วา่ จะตายไปดว้ ย ความอาจหาญน่ันเอง ให้ตายดว้ ยความกลัวน่ีคงเปน็ ไปไมไ่ ด้ เพราะเวลาน้ันจิตมนั มีก�ำลังมาก นี่ เปน็ วธิ หี นงึ่ แหง่ การระงบั ดบั ความกลวั แหง่ การระงบั ความฟงุ้ ซา่ น ความกอ่ กวนตวั เองดว้ ยอารมณ์ ตา่ ง ๆ ระงับกันอย่างน้ี ทัง้ นตี้ ามแต่อุบายแยบคายของแตล่ ะรายจะผลิตขนึ้ มาใช้ เปล้อื งตัวจากความจนตรอกใน เวลานนั้ ๆ เพราะธรรมหรอื สตปิ ญั ญาไมส่ น้ิ สดุ อยกู่ บั ผใู้ ด สามารถทำ� ใหเ้ กดิ ใหม้ ใี นแงต่ า่ งๆ ไดด้ ว้ ย กัน ถ้าไม่ข้ีเกียจคอยข้ึนเขียงให้กิเลสสับย�ำเสียอย่างเดียว ส่วนมากพระเรามักมีแต่พระขึ้นเขียง สวรรคน์ ิพพานทางมไี มย่ อมเดนิ ไมย่ อมขน้ึ คงคดิ ว่าไปแลว้ ขึ้นแลว้ ไม่ถกู สับถูกยำ� ไม่สนุกกเ็ ปน็ ได้ พอกา้ วเข้าสปู่ ัญญาเกยี่ วกบั การระงับความกลวั เปน็ อกี แบบหน่ึง เพราะปญั ญากับสมาธนิ น้ั ผิดกัน ในคน ๆ เดยี วกนั นนั่ แหละ เราเองเคยปฏบิ ตั มิ าอยา่ งน้นั ไมม่ ีใครบอกมันหากรวู้ ธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ่ ตวั เอง เชน่ เมอื่ จติ อย่ใู นขัน้ สมาธิ ก็เอาสมาธิเข้าบังคับจิตใหส้ งบจากความกลัว ไม่ให้ส่งไปหาอารมณ์ท่ี กลวั ว่าเสอื ว่าช้างว่างูว่าอะไรวา่ อันตรายต่างๆ ก็ไม่มีเร่ืองกวนตัวเอง เพราะจติ ไม่ออกไปวาดภาพ หลอก พอจิตก้าวเข้าวิปัสสนา พอจิตปรุงแย็บเร่ืองเสือมันก็รู้ทันแล้วนี่นะ เพียงแย็บปรุงถึงภาพ เสือ สติปัญญากท็ ันแลว้ วา่ นี่มันปรงุ ภาพเสือ เอ๊า แมจ้ ะทนั ก็ให้มันปรงุ ให้เป็นเสอื เข้ามาแล้วแยก ธาตุเสือ ที่ว่าแยกธาตุเสือเพราะอะไร เพราะเราด�ำเนินปัญญาในการคล่ีคลายแยกแยะอยู่แล้วน่ี จะเอามาใชร้ ะงับแบบสมาธมิ ันไม่เหน็ ดว้ ย จติ มันไม่ถนัด ถนดั ในการแยก เอ้า เสือหรือ กลวั มนั อะไร กลัวตรงไหน 66
คอื ตง้ั เปน็ ภาพเสอื ใหม้ นั เหน็ อยอู่ ยา่ งนนั้ แล ไมใ่ หม้ นั ดบั เพราะเรารอู้ ยแู่ ลว้ วา่ ภาพของเรา ออกไปหลอกเจา้ ของน่ี เอาตง้ั ไวภ้ าพน้ี เอา้ กลวั อะไร สตปิ ญั ญามนั ทนั ความเคลอ่ื นไหวของจติ มนั ทนั เองนะ เม่ือมนั แกก่ ลา้ เขา้ ไปมันทันเองอย่างนี้ น่ีคอื ความจรงิ ท่พี ูดให้หมู่เพอื่ นฟงั นี้วิธกี ารฝึก จติ ตวั เอง เมอ่ื มนั รวดเรว็ แลว้ มนั ทนั ภาพปรงุ ขน้ึ เรอื่ งอะไรปบ๊ั มนั รวู้ า่ นแี้ ยบ็ ออกไปแสดงทนั ที พอ รพู้ บั ดบั พรอ้ ม อนั น้เี รายงั ไมใ่ หด้ บั เราจะแยกมนั เพราะเปน็ อบุ ายของปญั ญาและเปน็ เครอ่ื งหนุน จิตใจให้ละเอียดเข้าไปอีก พอแยกธาตกุ ำ� หนดดเู สอื กลวั อะไรมนั เอา๊ ไลเ่ บี้ยกันไป กลวั ตามันรึ ตาเรากม็ ไี มเ่ ห็น กลัว นนั่ มนั แก้กนั กลัวเล็บมนั รึ เล็บเรากม็ ไี ม่ เหน็ กลัว กลัวขนมนั รึ ขนเราก็มไี ม่เหน็ กลัว ถ้า กลวั ขนมันก็กลวั ขนเราซิ ขนเราขนมันธาตุอนั เดียวกนั กลวั เข้ยี วมันรึ เขีย้ วเราก็มี กลวั อะไร ไล่หากนั จนไมม่ ที างไป กระทั่งถงึ หาง บทเวลา ไล่ถึงหางนึกว่ามันจะจนมันก็ไม่จนนะ ความ จรงิ กเ็ ราไมม่ ีหางน่ี กลัวหางมนั เหรอ แม้แต่ตวั มันเองยังไม่กลัว แล้วเราจะไปกลัวหางมันหา ประโยชน์อะไร แน่ะ มนั แกก้ นั ทันนะ ต่อจากน้ันก็ก�ำหนดท�ำลายให้แตก กระจายละที่นี่ การก�ำหนด ปญั ญามันรวดเรว็ นี่ กำ� หนดใหแ้ ตกกระจายไปหมด อนั นนั้ กแ็ ตก กระจายลงไปถงึ ความเปน็ ธาตตุ า่ งๆ ความปรงุ ของจติ ออกไปกร็ ู้ คอื กำ� หนดไวเ้ มอ่ื เวลามนั ปรงุ ออกไปเป็นภาพเสือ ให้มันเป็นภาพเสือเสีย กอ่ น จนพจิ ารณาไล่ไปทีละอาการ ๆ อยา่ งนน้ั แลว้ ทีนีก้ ำ� หนดใหม้ นั กระจายไปเลย การก�ำหนดกระจายน่ี จติ กแ็ ยบ็ ปรงุ เพราะเป็นภาพของจิต เองน่ี สตปิ ัญญามนั ทันเอง มนั ท�ำลายกันเอง โดยสมมุติว่าเสือ เพราะสถานที่เหล่านั้นมันมีเสอื มนั กลวั เสอื ก�ำหนดภาพเสอื ใหม้ นั ดเู สยี กอ่ น ก�ำหนดกระจายลงไปมนั กห็ มด พอปรงุ ขนึ้ พบั ภาพอะไร มนั กด็ บั ไปพร้อมๆ ทีนกี้ จ็ ะกลวั อะไร เพราะไม่มอี ะไรหลอกน่ี เปน็ ภาพของตวั เองไปหลอกตัวเอง ตา่ งหาก 67
ไมว่ ่าเสือวา่ ช้างว่างูวา่ อะไร เวลาเจอจริงๆ มนั กเ็ ปน็ ธรรมชาตอิ ันหนึ่ง เราก็เปน็ ธรรมชาติ อนั หนง่ึ แนะ่ มนั คดิ ไปอยา่ งนนั้ เสยี นน่ั กธ็ าตุ นก่ี ธ็ าตุ มนั พจิ ารณาไปอยา่ งนน้ั เสยี จติ มนั พลกิ ตาม อบุ ายปญั ญาไปเสยี ไมพ่ ลกิ ไปทางใหก้ ลวั มนั กไ็ มก่ ลวั จนกระทง่ั จติ วา่ งไปหมด เมอื่ มนั วา่ งไปหมด อะไรแยบ็ ขน้ึ มามนั กเ็ หมอื นแสงห่งิ หอ้ ย มนั เป็นของมันเอง แย็บขน้ึ มาดบั พรอ้ มๆ มีแต่ความว่าง ไปหมดแล้วจะกลวั อะไร มแี ตจ่ ติ มนั ครอบร่างกายน้ี ท�ำใหว้ ่างไปหมดและครอบโลกธาตุเสียดว้ ย แลว้ จะกลวั อะไร อบุ ายวิธีระงบั จิตเปน็ อย่างนนั้ ระงบั ความกลวั มันไม่กลวั ตอ้ งใชอ้ บุ ายวิธตี าม ข้นั ของจติ ของสมาธแิ ละปญั ญา สตปิ ญั ญาให้น�ำออกใช้ อย่าน่ังเฝา้ อยู่เฉยๆ คอยใหเ้ กดิ ปัญญา ไม่เกิดนะ อยา่ ว่าไมบ่ อก บอกมาหลายคร้งั หลายหนแลว้ สมาธแิ ค่ไหนปัญญากจ็ ะตอ้ งใชไ้ ปตามข้ันภูมิ กำ� หนดพิจารณาหา อุบาย คน้ หาอบุ ายคดิ พนิ จิ พจิ ารณาจนเกิดปญั ญาขน้ึ มาเอง พอเกิดขึน้ มาแล้วก็ท�ำให้เข้าใจๆ ทนี ้ี ก็เห็นคุณค่าของปัญญา จากน้ันก็เดินปัญญาเร่ือยๆ ไปตามแต่กรณี ปัญญาเป็นเครื่องแก้กิเลส สมาธิเเตเ่ พยี งไล่กเิ ลสเข้ามารวมตวั ใหใ้ จสงบ ไมย่ งุ่ เหยงิ วนุ่ วายหรือไมฟ่ ุง้ ซา่ น จติ รวมตัว ปญั ญา เป็นผู้คลีค่ ลายเพอื่ เหตเุ พ่อื ผลในการแกก้ เิ ลส เหตุผลพร้อมท่ตี รงไหนกิเลสหลุดลอยไปเรอื่ ยๆ ใจ กเ็ กดิ ความสะดวกสบาย เหน็ คณุ คา่ ของปญั ญา สตปิ ญั ญาเรม่ิ หมนุ ตวั เรอื่ ยๆ ความเพยี รกก็ ลา้ แขง็ ถา้ ลงความเพียรออกก้าวเดินแล้ว ความขีเ้ กยี จข้คี รา้ นหายหนา้ ไปหมด ไปอยู่ไหนอย่ไู ดท้ ง้ั นั้นไม่ วา่ จะอยู่ในป่าในเขา ไมว่ า่ อยู่สถานทีเ่ ช่นไร น่ากลวั ไมน่ ่ากลวั จิตไมไ่ ปสำ� คัญ ไม่สนใจเลย สนใจ แตก่ เิ ลสตัวยุ่งกวนน่ีเทา่ นน้ั กลัวกค็ ือกเิ ลสเป็นผูพ้ าให้กลัว เป็นผู้หลอกใหก้ ลัวนัน่ เอง มันไม่ไดว้ ่าเสือเป็นสัตวน์ ่ากลวั เสือเปน็ อันตรายนะ กิเลสตา่ งหากเปน็ ส่งิ น่ากลวั พาใหก้ ลัวและเปน็ อนั ตราย จิตย้อนเขา้ มานี่ วา่ กลัวเสอื ความกลัวเป็นกิเลสตัวเขยา่ ต่างหาก เสอื นน้ั อยูก่ บั มันตา่ งหาก ถา้ เราไมป่ รงุ ขึน้ ว่าเสอื ไม่ ปรุงขึ้นว่าอันตรายก็ไม่เห็นอะไรมาเขย่าจิตใจได้ ก็คือความปรุงความแต่งความเสกสรรของจิตนี้ เอง มนั เขยา่ ตวั เองให้ได้รบั ความทุกข์ความล�ำบาก เพราะฉะน้นั จติ จึงแนใ่ จและปักใจวา่ อันนเี้ ปน็ ภยั มนั เอาตรงนวี้ า่ เปน็ ภยั ไมเ่ หน็ วา่ ภายนอกเปน็ ภยั เมอื่ เขา้ ถงึ ขนั้ ความจรงิ แลว้ มแี ตก่ เิ ลส ๆ เปน็ ภยั อยภู่ ายในน้ี มนั รอู้ ยนู่ เี้ หน็ อยนู่ ้ี แสดงขนึ้ มาทนี่ ่ี มนั จะไปตะครบุ เงาอยนู่ อก ๆ โนน้ ทำ� ไม ปญั ญา พอถงึ ขั้นน้แี ล้ว มนั หมุนต้ิวๆ อยูน่ ้ี รอู้ ยู่นี้ เหน็ อยูน่ ี้ อะไรกระดิกพลกิ แพลงขึน้ ในจติ ก็รวู้ า่ เป็นเรือ่ ง ของกิเลสท้งั เพ ขน้ึ ชอ่ื วา่ เปน็ เรอ่ื งของกิเลสแล้วมนั ทนั กนั ๆ เรื่อยๆ นก่ี ารปฏบิ ัตธิ รรมะ 68
ผใู้ ดชอบคดิ ชอบพนิ จิ พจิ ารณา ผนู้ น้ั ละจะเขา้ ใจไดด้ ี เราจะวา่ เรามสี มาธิ ไมม่ สี มาธิ ถงึ เวลา ทค่ี วรจะพจิ ารณาใหพ้ ิจารณา ความสงบกเ็ พือ่ จติ สบาย การพจิ ารณากเ็ พือ่ ถอดถอนกิเลสภายใน จิต เพื่อความสบายหายห่วงของจิต จิตปล่อยกังวลได้เป็นล�ำดับ อย่าไปคาดว่าเราไม่มีภูมิสมาธิ หรือเราได้ภมู ิสมาธิเพยี งแคน่ เ้ี ปน็ ปญั ญาไปไม่ได้ พิจารณาปญั ญาไปไม่ได้ อยา่ หาคาดหมาย กเิ ลส มันมขี นั้ ทไ่ี หน มันเกิดกิเลสขั้นไหนบ้าง มันไม่เหน็ มาบอกเรา กเิ ลสแสดงขนึ้ มาทไี่ หนกเ็ ป็นกเิ ลส และเสียดแทงหัวใจเราได้ทุกประเภทของกิเลส ทุกอาการของกิเลสที่มันแสดง เราต้องคิดเทียบ อย่างนนั้ ซิ กเิ ลสไม่เห็นวา่ มีช้ันไหนภูมิใด ทำ� ไมมนั เปน็ กิเลสทุกระยะทีม่ ันแสดงตัวออกมา เวลามี ธรรมเงอื่ นใดทเ่ี ราจะพจิ ารณา ทำ� ไมจะไมเ่ ปน็ ธรรม ถงึ วาระทจ่ี ะพจิ ารณาเราตอ้ งพจิ ารณา เพราะ การพิจารณาก็เพื่อแก้กิเลส ท�ำไมจะไม่เป็นธรรม ปัญญาต้องหมุนกันอย่างน้ันซิ ปัญญาต้องดัก หน้าดักหลงั รอ้ ยสนั พันคมไมง่ ั้นไม่ทันนะ ไดย้ ินแตท่ ่านวา่ มหาสตมิ หาปัญญา เปน็ ยังไง มหาสตมิ หาปญั ญา ทา่ นกล่าวไวแ้ ลว้ น้นั จิต มันคาดมนั หมายนะ ท่านว่าพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหตั บรรลุโสดา บรรลุสกิ ทาคา บรรลอุ นาคา บรรลอุ รหัตอรหนั ต์ มันกค็ าดหมายไปตามความบรรลุ เราจะบรรลอุ ยา่ งนนั้ เราจะบรรลุอย่างน้ีมันคาดไป แต่ความคาดเหล่าน้ันกับความจริงที่เราปฏิบัติไปรู้เห็นไปมันเป็น คนละโลก ไม่ใช่อนั เดยี วกนั หา่ งกนั คนละโลก เหมือนเราวาดภาพเมอื งอเมรกิ าเปน็ ต้น เราไม่เคย เหน็ อเมริกา เชน่ กรงุ วอชิงตันเปน็ ต้น หรอื เรอ่ื งอะไรก็ตาม มันจะวาดภาพข้ึนมาทนั ที เราก็เชอ่ื วา่ มันเป็นอยา่ งนน้ั ๆ พอไปเหน็ เขา้ เท่านน้ั ภาพท่วี าดไวน้ ัน้ กบั ความจริงมนั เปน็ คนละโลกเลย แต่เรา ก็ไมย่ อมเห็นโทษ วา่ ภาพที่เราวาดไวแ้ ต่ก่อนนัน้ คอื เครอ่ื งหลอกเรา เคยหลอกมาตง้ั แตไ่ หนแต่ไร พูดถึงเร่ืองอะไรมนั ก็วาดภาพน้นั ขึ้นมา พูดเร่อื งอะไรเร่ืองคนเรอ่ื งสตั ว์ เร่อื งอะไรก็ตาม มนั ตอ้ งมี ภาพขึ้นมาประกอบทุกส่ิงทกุ อยา่ งทกุ คร้ัง แต่เวลาไปถงึ ความจรงิ แล้ว ภาพทว่ี าดเอาไว้นัน้ ไมต่ รง กบั ความจริงน้ันเลย ควรจะเหน็ โทษแตเ่ รากไ็ มย่ อมเหน็ เพราะฉะนน้ั จงึ วา่ กิเลสกล่อมคนให้หลบั สนทิ ได้ง่ายนิดเดยี ว วาดภาพมรรคผลนิพพานก็ เหมือนกัน ส�ำเร็จพระโสดาเห็นจะเป็นอย่างนนั้ ส�ำเร็จพระสกิทาคา ส�ำเรจ็ พระอนาคาเหน็ จะเปน็ อย่างนน้ั ส�ำเร็จอรหันตเ์ หน็ จะเปน็ อยา่ งนั้น มนั วาดภาพของมนั ไว้อยา่ งพร้อมมลู และเปน็ เคร่อื ง หลอกอันหนึ่งๆ ฉะนั้นจึงไม่ต้องไปคาดไปหมาย ให้เดินตามปฏปิ ทาเคร่ืองด�ำเนิน ปัจจุบันธรรม เปน็ หลกั ทจ่ี ะยงั มรรคผลนพิ พานใหเ้ กิดภายในใจไม่สงสยั สติเป็นของส�ำคัญ ควบคุมงานให้ดี ไม่มีสติมันเถลไถล ต้องมีสติควบคุมจิตทุกอิริยาบถ 69 ราวกับควบคุมผู้ต้องหานั่นแล พอดีกับกิเลสท่ีมันฉุดลากตัวประกันไป สติ ปัญญา ตามฉุดลาก
ตวั ประกนั กลบั คนื มา คำ� วา่ ทำ� งานจะไมท่ กุ ขย์ งั ไง งานประเภทไหน งานนอกงานในมนั ตอ้ งมคี วาม ทุกข์ล�ำบากเป็นธรรมดา เพราะท�ำงานน้ีก็เราท�ำงานจิตตภาวนา สติจะต้องเป็นเครื่องบังคับกัน เสมอ พิจารณาให้รู้ให้เห็นซิ เร่ืองสัญญาอารมณ์มันผิดกับความจริงมาก รู้เห็นด้วยความจ�ำกับ ความจริงเป็นคนละโลก ดงั เราเหน็ อเมริกาด้วยการวาดภาพ กับเห็นประจักษ์ตาย่อมประจกั ษ์ใจ ผิดกบั การนกึ คดิ ด้วยมโนภาพอย่มู าก ดงั ทวี่ า่ เหน็ กายดว้ ยความจรงิ กเ็ หมอื นกนั นผ่ี มเคยเหน็ มาแลว้ ทแี รกกอ็ าศยั คดิ คาดไปเสยี กอ่ น หมายไปเสียก่อน พิจารณาไป คิดคาดไป พอไดจ้ งั หวะจติ ก�ำหนดตดิ ปบั๊ ๆ เข้าไปในสว่ นหน่ึง ของรา่ งกาย เมอ่ื ตดิ ปบ๊ั ไดท้ แี่ ลว้ จติ ไมย่ อมปลอ่ ย พอจติ ไมป่ ลอ่ ยกเ็ หน็ ชดั เขา้ ๆ และเหน็ ชดั ไปหมด ทว่ั รา่ งกาย และกระจายเปน็ วงกวา้ งออกไปเหมอื นกระดาษซมึ มนั ซมึ ไปหมดทว่ั รา่ งกาย จนกระทงั่ ร่างกายตาย เนา่ พองและแตกสลายกเ็ ป็นไปในขณะนน้ั ใหเ้ ราเหน็ ใหเ้ ราดรู ่างกายพงั ลงไป แตก กระจายลงไป เปอ่ื ยเนา่ ลงไปใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน และเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ นะ ปบุ ปบั ๆ ยงิ่ เกดิ ความ สลดสังเวช ออ๋ เห็นอยา่ งน้เี หรอเหน็ กายน่ะ เหน็ อยา่ งนีเ้ หรอ มนั ชัดมากนะ นเ่ี รยี กว่า ปจจฺ กขฺ ทิฏฐฺ ิ รู้จำ� เพาะเห็นจ�ำเพาะตน คอื เหน็ ดว้ ยตนเองจริงๆ เห็นเปน็ ความ จริงประจักษ์ใจเป็นอย่างน้ี ผิดกับเห็นด้วยความจ�ำความคาดหมายอยู่มาก เมื่อเห็นชัดเข้าๆ อัน นนั้ ขาดออกอนั นหี้ ลดุ ลงไป โดยทเี่ ราไมไ่ ดบ้ งั คบั ใหก้ ำ� หนดใหท้ ำ� งานขณะนนั้ มนั เปน็ ขน้ึ มาเองเมอื่ 70
กำ� หนดได้ท่แี ลว้ เปน็ แต่เพยี งเอาความรู้หย่งั ไวใ้ นจุดเดยี ว จากนนั้ กระแสจิต รัศมีของปญั ญาหาก กระจายไปเองทวั่ รา่ งกายของเราท้ังคน ในขณะพจิ ารณารา่ งกายอยนู่ นั้ ปรากฏวา่ อวยั วะสว่ นนนั้ ขาดลง อนั นข้ี าดลง ตกลงไป ขณะ พิจารณาเพลินๆ อยู่นั้นมันไมม่ ีความร้สู ึกวา่ กายมนี ะ มนั หายเงยี บไปหมดทั้งๆ ทีพ่ ิจารณากายอยู่ นนั้ แล พจิ ารณาไปเรื่อยจนกระทงั่ ลงถงึ ที่มนั แล้ว สว่ นดนิ กเ็ ห็นได้ชัด มนั คอ่ ยกระจายไปเปน็ ดนิ ส่วนนำ้� ก็ซึมลงไปในดนิ บา้ ง เปน็ ไอขึ้นไปบนอากาศบา้ ง ลม ไฟกไ็ ปตามสภาพของมัน ต่อจากนั้น จิตก็ว่างเปล่าไปหมด ท่ีเห็นกายทีแรกเห็นอย่างชัดเจนเห็นท่ีวัดบ้านหนองผือนาในนะ ขณะที่ กระดกู กำ� ลงั กระจายกนั อยู่ จติ ตะล่อมคอื รวมกระดกู เขา้ มา นอกนนั้ มันกระจายไปหมด มนั กลาย ไปเปน็ นำ�้ กลายไปเปน็ ดนิ ไปหมด นำ�้ กไ็ ปตามนำ้� เหอื ดแหง้ ไป สว่ นทเ่ี ปอ่ื ยงา่ ยมนั กเ็ ปน็ ดนิ ไปอยา่ ง รวดเรว็ สว่ นทีไ่ มเ่ ปื่อยงา่ ยเช่นกระดูก มนั ก็ยงั เหลอื เรี่ยราดกันอยู่ ขณะทีจ่ ิตเปน็ เช่นน้มี ันทำ� งาน ของมันเองนะ เหมือนกับมันกวาดกระดูกเข้ามา ตะล่อมเข้ามารวมกันเป็นกอง แทนท่ีจะเอาไฟ เผามันกลับไม่เผา มันหากเป็นของมนั เอง จติ เกิดวติ กว่า เอ ร่างกายทง้ั ร่างนีม้ ันกลายเป็นอย่างน้ี เอง เปน็ ธาตอุ ย่างนีเ้ อง มันรำ� พงึ มันสลดสังเวชนะ ร่างกายตวั เองถูกพิจารณาจนเปอื่ ยปรักหกั พงั ลงไป ยงั เหลือแตเ่ พียงกระดูกแหง้ ๆ ดูมนั โอ กระดูกกลายเป็นดินมนั เปน็ ได้อยา่ งนีเ้ อง ขณะก�ำลังก�ำหนดพิจารณาอยู่ในกองกระดูกน้ัน ไม่ทราบแผ่นดินมาจากที่ไหนปึ๊บมาปิด กองกระดกู อันนี้ เหมือนวา่ มากลบกองกระดกู ทีเ่ รากำ� ลงั ก�ำหนดพิจารณาอยู่นัน้ ตอนนน้ั แผ่นดิน มาจากท่ีไหนมากลบกันปึ๊บเดียว น่ีก็เป็นธรรมเทศนาอันหน่ึง พอดินมากลบกองกระดูกปึ๊กเดียว กระดูกกองน้ันก็กลายเป็นดินไปด้วยในขณะนั้น อ๋อ มันเป็นดินอย่างน้ีเอง จากน้ันจิตก็ว่างหมด ว่างหมดไมม่ ีอะไรเหลือเลย จติ เงยี บ โอโ้ ฮ้ ทจี่ ิตเงียบอยู่นัน้ นานเปน็ ช่ัวโมงๆ หมดความส�ำคัญมัน่ หมายใด ๆ ทง้ั สน้ิ ไมท่ ราบอยูส่ งู อยตู่ ่ำ� อยู่ท่ีไหน นัง่ อยู่หรือนอนอยู่ อยกู่ ุฏิหรอื อยู่รม่ ไม้ หรืออยู่ ท่ีไหนไม่ส�ำคัญท้ังนั้น มีแต่ความว่าง ความรู้อย่างละเอียดสุขุม เป็นความอัศจรรย์กับความรู้อยู่ เท่านั้น จนกระท่ังได้จังหวะแลว้ จติ ก็คอ่ ยขยายตัวออกมาๆ จนเปน็ จิตธรรมดาตามขั้นภมู ิของจติ จติ ยงั วา่ งอยเู่ ลย กำ� หนดดกู ฏุ หิ ลงั ไหน ดตู น้ ไมใ้ บหญา้ แถวบรเิ วณนน้ั กไ็ มเ่ หน็ มนั วา่ งไปหมด เพราะ อ�ำนาจแห่งความว่างภายในสมาธิน้ันมันยังไม่จางไป เน่ืองจากตอนนั้นจิตเรายังไม่ถึงข้ันว่างตาม ภูมิจิตว่างน่ีนะ ค�ำว่าจิตว่างนั้นมันมาว่างตอนเราพิจารณาข้ันปัญญาแล้วต่างหาก คืนนั้นเกิด อัศจรรย์ใจอยา่ งบอกไมถ่ กู ศัพท์ทางโลกก็ว่าครม้ึ อิ่มเอบิ อยา่ งละเอยี ดสขุ มุ พดู ไมอ่ อกบอกไมถ่ ูก ตามความจรงิ ทเี่ ปน็ นน่ั แลเหน็ รา่ งกายเหน็ ชดั จรงิ ๆ ไมม่ สี งสยั ไดเ้ หน็ กายประจกั ษจ์ ากการภาวนา คืนนน้ั แหละ 71
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194