Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชาดกเรื่องปัญญา

Description: ชาดกเรื่องปัญญา

Search

Read the Text Version

กใ็ นทะเลนน้ั มแี กว้ นลิ มณมี ากมาย. ทา่ นกค็ งใหข้ น เอาแก้วน้ันใสเ่ รอื แบบเดยี วกนั , เรอื คงแล่นผา่ นทอ้ งทะเล ตอนน้ัน ไปถึงท้องทะเลอันปรากฏ เหมือนป่าอ้อและ ปา่ ไผ่ อันมชี ่ือว่า “นฬมาล.ี ” พระมหาสตั วเ์ มอ่ื ถกู ถามอกี จงึ วา่ “ทะเลนี้ เขาเรยี ก กนั วา่ ‘นฬมาลี.’ ” ในทะเลตอนน้ัน มีมรกตและไพฑูรย์มากมาย. ทา่ นคงใหข้ นใสเ่ รือ ด้วยวธิ เี ดียวกัน พระมหาสัตว์ คงให้พวกนั้นขนแก้วประพาฬจาก ท้องทะเลตอนนัน้ พวกพอ่ คา้ ครน้ั ผา่ นพน้ ทอ้ งทะเลตอนนฬมาลไี ปแลว้ พบท้องทะเลตอนที่ชื่อว่า “พลวามุข” น�้ำในท้องทะเล ตอนน้ัน เดือดพล่านพุ่งข้ึนโดยเป็นพืดตลอดไป ปรากฏ เปน็ เหมอื นเหวใหญใ่ กลห้ นา้ ผาขาด เมอ่ื คลนื่ พงุ่ ขน้ึ กเ็ ปน็ เหมือนเหวติดต่อกันไป เสียงน่าสะพรึงกลัวบังเกิดข้ึน ปานจะท�ำลายหูท้ังสองเสีย และปานจะผ่าหทัยเสยี พวก พอ่ ค้าเหน็ ทอ้ งทะเลตอนนนั้ แล้ว พากันกลัวสะทกสะท้าน พระโพธิสัตว์ คร้ันบอกชื่อของท้องทะเลตอนน้ัน ด้วยคาถาตามล�ำดับ กลา่ วว่า “ท่านทั้งหลาย บรรดาเรือ 50

ที่ถึงท้องทะเลพลวามุขน้ี อันสามารถกลับได้ไม่มีเลย ท้องทะเลตอนน้ี ยังเรือที่ตกเข้าไปแล้วให้จมถึงความ แตกสลาย.” คนทงั้ หมดทอ่ี ยบู่ นเรอื นนั้ ประมาณ ๗๐๐ คน พากนั กลวั ตอ่ มรณภยั ตา่ งเปลง่ เสยี งโอดครวญรำ�่ ไหป้ ระดงั เปน็ เสียงเดียวกัน เหมือนฝูงสัตว์ท่ีก�ำลังหมกไหม้อยู่ในอเวจี นรกฉะนนั้ พระมหาสัตว์ด�ำริว่า ‘เว้นเราเสียแล้ว คนอ่ืนท่ีจะ ชื่อว่าสามารถท�ำความปลอดภัยให้แก่พวกนี้ไม่มีเลย เราต้องต้ังสัตย์กระท�ำความปลอดภัยให้แก่พวกเขา.’ เรยี กพวกนัน้ มากลา่ วว่า “ท่านท้ังหลาย พวกเธอจงให้เรา อาบน้�ำด้วยน�้ำหอมให้นุ่งผ้าใหม่ เตรียมถาดน�้ำ วางไว้ ทแี่ อกเรอื โดยเรว็ เถดิ .” พ่อค้าเหล่าน้ันพากันท�ำตามนั้น พระมหาสัตว์ ถือถาดเตม็ ด้วยนำ�้ ดว้ ยมือท้ังสองข้าง ยนื ท่ีแอกเรือ ครนั้ กระทำ� สจั จกริ ยิ าแลว้ กร็ ดนำ�้ ในถาดลงทแ่ี อกเรอื เรืออันแล่นไปผิดทิศทางตลอด ๔ เดือน ก็บ่ายหัวกลับ ได้ไปถึงท่าภรุกัจฉะภายในวันเดียวเท่านั้นด้วยอานุภาพ แหง่ สจั จะ ประหนง่ึ ทา่ นผู้มีฤทธ์ิบันดาล สปุ ปารก 51

ครั้นถึงแล้วยังแล่นไปบนบกได้ประมาณ ๘ อุสภะ (๔๐๐ เมตร) หยดุ ท่ปี ระตเู รอื นของนายเรอื พอดี พระมหาสตั ว์แบง่ ทอง เงิน แกว้ มณี แกว้ ประพาฬ และเพชร ให้แก่พวกพ่อค้าเหล่านั้น ให้โอวาทแก่ พวกน้ันว่า “รัตนะเพียงเท่านี้ ก็เป็นการพอแล้วส�ำหรับ เธอทั้งหลาย พวกเธออย่าเข้าไปสู่ท้องทะเลกันอีกเลย” ท�ำบุญต่าง ๆ มีให้ทานเป็นต้น จนตลอดชีพ ได้ไปเพิ่ม จ�ำนวนเมอื งสวรรค์แล้ว. ประชมุ ชาดกว่า บรษิ ทั ของทา่ นสปุ ปารกะผบู้ อด ในครงั้ นน้ั ไดม้ าเปน็ พทุ ธบริษทั ส่วนสุปปารกบณั ฑติ ไดม้ าเปน็ เราตถาคต ขอ้ คิดจากชาดก ๑. คนเราแม้มีความรู้ความสามารถ แต่ถ้าหัวหน้า ไม่ส่งเสริมสนับสนุน ไม่ให้รางวัลความชื่นชมใด ๆ ที่ เหมาะสมกย็ อ่ มบ่นั ทอนขวญั และกำ� ลังใจของลูกนอ้ งได้ ๒. ประวัติการท�ำงานย่อมสร้างความไว้เน้ือเชื่อใจ ให้ผู้อนื่ ได้ในภายหลัง 52

๓. ความรู้ ความสามารถ สตปิ ัญญา ในการเขา้ ใจ ความโลภของมนษุ ย์ การไมใ่ หข้ อ้ มลู ขา่ วสารในคราวเดยี ว ย่อมท�ำใหร้ ะงบั เหตตุ า่ ง ๆ ได้ การรู้จักการปลอบใจ สรา้ ง ขวัญและก�ำลังใจให้ทีมงาน ไม่ให้ตื่นตระหนกกับ เหตุการณ์ต่างๆ จนเกินไป และน�ำพาหมู่คณะฝ่าฟัน จนปลอดภัยสิ่งเหล่าน้ี คือเคร่ืองพิสูจน์ความสามารถ สติปัญญาของผู้น�ำ สปุ ปารก 53

54

๖) ตินทกุ ชาดก๑๐ ว่าดว้ ย อุบายเอาตัวรอด สถานทต่ี รัส พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ พระปญั ญาบารมี ต้นเรอื่ ง เรื่องโดยละเอียดมีอยู่ว่า พระศาสดาคร้ันทรงสดับ วาจาพรรณาพระคุณแห่งปัญญาของพระองค์เหมือนใน มหาโพธิชาดกและอุมมังคชาดก (มโหสถชาดก) แล้ว จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามิใช่ ในบัดน้ีเท่านั้น แม้เม่ือก่อนก็มีปัญญาและฉลาดในอุบาย เหมอื นกัน.” แล้วทรงน�ำเรื่องในอดตี มาตรัสเล่า เนอื้ หาชาดกย่อ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาวานร มีลิงเป็นบริวาร หลายหมื่นตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหน่ึง ในท่ีไม่ไกลจาก ๑๐ ตน้ ฉบบั ปรมตั ถทปี นี อรรถกถาชาดก ทกุ นบิ าต, ล. ๕๗, น. ๑๕๑, มมร. ติณทกุ 55

หมู่บ้านแห่งหน่ึง บางคราวก็มีคนมาอยู่ บางคราวก็เป็น หมบู่ ้านรา้ ง ที่กลางหมู่บา้ นนั้น มีต้นมะพลบั ตน้ หนึ่ง มผี ล สกุ อรอ่ ยมาก ฝงู ลงิ จะมากินผลมะพลับสุก ในคราวทไี่ มม่ ี คนมาอยู่เสมอ ๆ เพราะติดใจในรสชาติของมนั ต่อมาในปีหนึ่ง ถึงฤดูมะพลับมีผล ได้มีชาวบ้าน กลุ่มหนึ่งมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านน้ัน ฝูงลิงก็คิดจะมากิน ผลมะพลับอีก จึงมอบให้ลิงตัวหนึ่งไปดูลาดเลา มันไปดู แล้วกลับมาบอกเพ่ือน ๆ ว่า “ขณะนี้ผลมะพลับก�ำลังสุก เต็มต้นเลย แต่มีอุปสรรคเพราะมีชาวบ้านมาอยู่ด้วย พวกเราจะท�ำอย่างไรดี ?” พวกลิงพอทราบว่า ‘มีผล มะพลับสุก’ ก็กระตุ้นความอยากกินย่ิงขึ้น จึงเข้าไป รายงานพญาวานร พญาวานรถามว่า “บา้ นมีคนอยหู่ รือไม่ ?” พวกมนั ตอบว่า “มีอยขู่ อรบั ทา่ น” พญาวานรพูดวา่ “ถ้าเชน่ นั้น กไ็ ม่ควรไป เพราะมี อันตรายมาก” พวกลิงเสนอว่า “พวกเราไปกินในเวลาเที่ยงคืนสิ ชาวบ้านหลบั หมดแลว้ อนั ตรายก็ไมม่ ”ี พญาวานรจึงเห็นด้วย ลิงทั้งฝูงได้ไปแอบอยู่หลัง แผ่นหินใหญ่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนั้น พอถึงเวลาเท่ียงคืน 56

ชาวบ้านหลับหมดแลว้ จงึ พากนั ไปขนึ้ ตน้ มะพลับ กนิ ผล มะพลบั สุก ขณะนั้น บังเอิญว่ามีชายคนหน่ึงเกิดปวดท้อง ถ่ายอุจจาระ ได้ลงจากเรือน เห็นฝูงลิงก�ำลังกินผลไม้อยู่ จึงตะโกนปลุกชาวบ้านให้มาจับลิง ชาวบ้านต่างลุกข้ึน ถือหอกถือธนูและอาวุธต่าง ๆ ยืนรายล้อมต้นมะพลับไว้ เตรียมการทีจ่ ะจับลงิ ในเวลาเช้าสวา่ งแลว้ ฝงู ลงิ เหน็ เชน่ นนั้ ตกใจกลวั ตาย จงึ ไปหาพญาวานร แล้วปรึกษาว่า “นายท่าน พวกมนุษย์ถือธนู ถือดาบอัน คมกริบ พากันมาแวดล้อมพวกเราไว้แล้ว พวกเราจะท�ำ อย่างไรละทนี ้ี ?” พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงว่า “พวกเจ้าอย่ากลัว ไปเลย มนุษย์มีการงานมาก ขณะน้ีเพิ่งจะเท่ียงคืนเอง อาจจะมีกิจการงานอย่างอื่น มาท�ำให้มนุษย์ท�ำก็เป็นได้ ใจเยน็ ๆ เขา้ ไว้” แลว้ กล่าวเปน็ คาถาวา่ “ประโยชน์อย่างใด อย่างหน่ึง จะพึงเกิดแก่มนุษย์ ผู้มีกิจการงานมากเป็นแน่ ยังมีเวลาพอท่ีจะเก็บผลไม้ เอามากนิ ได้ พวกเจ้าจงพากันกนิ ผลมะพลับน้ันเถดิ ” พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงไว้ เพ่ือไม่ได้พวกมัน กล้ันใจตาย เพราะความตกใจกลัว แล้วพูดว่า “พวกเจ้า นับลิงดสู วิ า่ มีครบกนั ไหม ?” ติณทุก 57

เมื่อพวกลิงรายงานว่า “ลิงเสนกะ หลานของท่าน หายไปขอรบั ” จึงพูดว่า “ถา้ เช่นนัน้ พวกเจ้าไมต่ ้องกลวั เจ้าเสนกะ จะมาช่วย พวกเราเอง” ฝ่ายเจ้าลิงเสนกะนอนหลับสนิทอยู่ที่หลังแผ่นหิน เวลามาไม่มีใครปลุก พอตื่นขึ้นไม่เห็นลิงตัวใด จึงเดิน ตามรอยเท้าฝูงลิงไป เห็นชาวบ้านยืนถืออาวุธรายล้อม ต้นไม้อยู่ ก็ทราบเรื่องอันตรายเกิดขึ้นแก่ฝูงลิง จึงเดิน ไปหาหญงิ ชราคนหนง่ึ ทน่ี ง่ั กรอดา้ ยอยทู่ า้ ยเรอื นหลงั หนง่ึ คว้าคบไฟดุ้นหนึ่ง วิ่งไปจุดหลังคาบ้าน หลังโน้น หลังนี้ ไปทั่วหมบู่ า้ น พวกชาวบา้ นพอเหน็ ไฟไหมบ้ า้ นตา่ งกท็ งิ้ อาวธุ วงิ่ ไป ดบั ไฟกนั ชลุ มนุ ฝงู ลงิ ไดโ้ อกาสรบี เกบ็ ผลไมแ้ ลว้ กห็ ลบหนี เขา้ ปา่ ไป ประชมุ ชาดก เสนกะหลานพญาวานรในครง้ั นน้ั ได้เปน็ มหานาม ศากยะในคร้งั น้ี ฝงู ลงิ ไดเ้ ป็น พุทธบริษทั สว่ นพญาวานร คือ เราตถาคต 58

ข้อคิดจากชาดก การเป็นหัวหน้า ต้องรู้ขา่ วสาร และร้คู วามสามารถ ของทมี งาน, สามารถประเมนิ สถานการณ์ รวู้ ธิ ปี กปอ้ งภยั อันตราย และรู้วิธีปลอบใจหมู่คณะ ไม่ให้ตื่นตระหนก แล้วหาทางแกไ้ ข พาหมูค่ ณะรอดปลอดภยั ติณทุก 59

60

๗) ตจสารชาดก๑๑ วา่ ด้วย คนฉลาดย่อมไม่แสดงอาการให้ศตั รูเหน็ สถานทีต่ รัส พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ พระปัญญาบารมี ตน้ เรอ่ื ง พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่บัดน้ี เท่าน้ัน แม้ในกาลก่อนตถาคตก็เป็นผู้มีปัญญา ฉลาดใน อุบายเหมือนกัน.” เมื่อภิกษุเหล่าน้ันทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงน�ำเอา เรื่องในอดตี มาสาธก ดังตอ่ ไปน้ี :- เนื้อหาชาดกยอ่ ในอดีตกาล เมือ่ พระเจ้าพรหมทตั ครองราชย์สมบตั ิ อยู่ในนครพาราณสี วนั หนงึ่ มหี มอตกงานผ่านมาทางนั้น ๑๑ ต้นฉบับ ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก จตุกกนิบาตชาดก, ล.๕๘, น.๘๓๑, มมร. ตจสาร 61

เขาหาคนไขท้ จี่ ะรกั ษาไมไ่ ด้ เมอื่ ไมม่ เี งนิ จงึ คดิ หาอบุ ายชว่ั เลี้ยงชีวติ ตน เขามองเห็นงูนอนอยู่บนคาคบไม้ ท่ีใต้ต้นไม้นั้น มีเด็กกลุ่มหนึ่งก�ำลังว่ิงเล่นกันอยู่ จึงคิดจะหลอกให้งูกัด เดก็ ตนเองจะไดช้ ว่ ยรกั ษาเดก็ ทำ� ใหไ้ ดค้ า่ รกั ษาพยาบาล จากพอ่ แมเ่ ด็กเคราะหร์ า้ ยนัน้ คดิ ดงั นัน้ แลว้ จึงตรงเข้าไป หาเดก็ กลมุ่ นนั้ พรอ้ มกบั กลา่ วกบั หวั หนา้ ของเดก็ เหลา่ นน้ั ว่า “หนูน้อย เจา้ อยากได้ลูกนกสาลิกาไปเล้ียงหรือไม่ ?” เดก็ นอ้ ยเพราะความไรเ้ ดยี งสาออ่ นตอ่ โลกจงึ บอกวา่ “ครบั คณุ ลงุ ผมอยากไดน้ กสาลิกาไปเล้ียง” หมอเจ้าเลห่ จ์ งึ ชน้ี ิ้วขน้ึ ไปบนต้นไม้แล้วบอกกับเด็ก ว่า “นั่นไง มันนอนอยู่บนค่าคบเจ้าจงปีนขึ้นไปเอาลงมา เถิด” หนูน้อยปีนขึ้นไปจับทันที แต่เม่ือดึงหัวออกมาจึงรู้ ว่าเป็นงู ดว้ ยความตกใจสดุ ขดี เขาจงึ สลัดมือท�ำใหง้ ปู ลวิ ลอยไปตกทีค่ อหมอ ฝา่ ยงทู กี่ ำ� ลงั นอนอยแู่ ตถ่ กู ดงึ ออกมาและถกู จบั โยน มนั กต็ กใจจงึ ใชห้ างรดั คอและกดั จนหมอตาย จากนนั้ มนั ก็ เล้อื ยหนีไป 62

เม่ือหมอตายแล้ว ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ จึงกล่าวหาเด็กน้อยผู้ฉลาดคนนั้นในข้อหาเป็นผู้ร้าย ฆา่ หมอตาย พวกชาวบ้านได้ช่วยกันจับและจองจ�ำเด็กเหล่านั้น ด้วยไม้ไผ่ พากันน�ำไปยังนครพาราณสีทันทีเพ่ือให้ พระราชาตัดสนิ คดีความน้ี ในระหว่างทาง เด็กน้อยบัณฑิตผู้เป็นหัวหน้าเห็น บรรดาลกู นอ้ งของตนเกดิ อาการหวาดกลวั จงึ ไดใ้ หโ้ อวาท แกล่ กู นอ้ งของตนเหล่านนั้ ว่า “พวกเจา้ อย่าไดก้ ลวั ไปเลย ขอให้มีใจกล้าหาญรื่นเริง เมื่อพระราชาตรัสสอบสวน เมอื่ ใด ในตอนนน้ั เราจะเปน็ ผใู้ หก้ ารเรอื่ งราวทงั้ หมดเอง” ลูกน้องของเขาจึงสบายใจและมีความม่ันใจในตัว หวั หนา้ วา่ จะแกไ้ ขปญั หาทงั้ หมดไดจ้ งึ หมดความกงั วลใจ สนุกสนานรา่ เรงิ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระราชาในฐานะจ�ำเลย พระราชาทอดเห็นเด็กเหล่านั้นไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว ทรงด�ำริว่า ‘เด็กเหล่าน้ีถูก กล่าวหาว่าเป็นผู้ฆ่าคน ถูกจองจ�ำมาที่นี้ เขาควรจะต้อง หวาดกลัวเป็นทุกข์ แต่กลับเล่นกันด้วยความสนุกสนาน ตจสาร 63

อะไรกันหนอเปน็ สาเหตุใหไ้ มห่ วาดกลัว ท�ำให้เด็กพวกนี้ ไมเ่ ศร้าโศก เราจะถามพวกเขาดู.’ จากนัน้ ได้ตรสั ถามดว้ ยคาถาท่ี ๑ ว่า “พวกเจ้าตกอยู่ในเง้ือมมือของศัตรู ถูกเขาจองจ�ำ ด้วยท่อนไม้ไผ่ แต่กลับมีสีหน้าผ่องใส เพราะเหตุไร พวกเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเล่า ?” เด็กน้อยผู้บัณฑิตได้ฟังดังนั้นจึงได้กราบทูลด้วย คาถาที่เหลือวา่ “บุคคลไม่มีใครได้ความเจริญแม้แต่เล็กน้อยเพราะ ความเศรา้ โศกและความรอ้ งไห้ พวกศตั รพู อรวู้ า่ บคุ คลนน้ั เศรา้ โศก ได้รบั ความทุกข์ก็ย่อมดีใจ ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดในการวินิจฉัยเร่ืองราว ย่อมไม่ สะทกสะท้านเพราะอันตรายท่ีจะเกิดข้ึน ไม่ว่าเมื่อใด ก็ตาม พวกศัตรูได้เห็นหน้าของบัณฑิตผู้น้ันผู้คงที่ไม่ เปลยี่ นแปลงเปน็ เหมอื นแตก่ อ่ น ยอ่ มไดร้ บั เกดิ ความทกุ ข์ บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในท่ีใด ด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่ายมนต์ การปรึกษาท่านผู้รู้ การกล่าว วาจาอ่อนหวาน การให้สินบน หรือการสืบวงศ์ตระกูล บัณฑติ พึงพากเพียรในทีน่ ้นั ดว้ ยประการนน้ั ๆ เถดิ 64

กใ็ นกาลใด บณั ฑติ พงึ รวู้ า่ ประโยชนน์ เ้ี ราหรอื คนอน่ื ไมพ่ งึ ได้รับ ในกาลน้นั กไ็ มค่ วรเศร้าโศก ควรอดกลัน้ ไว้ ด้วยคิดเสียว่า กรรมเป็นของมั่นคง บัดน้ี เราจะกระท�ำ อย่างไรดี” พระราชาทรงแปลกพระทัยว่า ‘พวกเหล่าเด็กน้อย ถูกผู้ใหญ่จับกุมมาส่งทางการในข้อหาฆ่าคนตาย ควรจะ ต้องตกใจร้องไห้ แต่นี่กลับพากันสนุกสนานร่าเริงในหมู่ เพ่อื นฝูง.’ จึงไดต้ รัสถามด้วยทรงสงสยั ด้วยคาถาที่ ๑ สว่ นหนนู อ้ ยหวั หนา้ บณั ฑติ จงึ กราบทลู ใหพ้ ระราชา ทรงทราบด้วย ๔ คาถาทีเ่ หลอื สรุปความไดด้ ังน้วี า่ “ข้าแต่มหาราช ธรรมดาว่าคนที่เป็นบัณฑิตนั้น ถา้ เราเกดิ ความทกุ ข์ ศตั รขู องเราคงจะดใี จดว้ ยความสะใจ ส่วนบัณฑิตเมื่อสัมผัสอารมณ์ท่ีดีใจและเสียใจย่อมเป็น คนทปี่ รกตไิ มว่ า่ จะเปน็ ยามไหน การทำ� ไดด้ งั นกี้ ลบั ทำ� ให้ ศัตรูตอ้ งเปน็ ทกุ ขเ์ สยี เอง” พระราชาไดส้ ดบั ธรรมกถาของเดก็ นอ้ ยผเู้ ปน็ บณั ฑติ ด้วยความซาบซ้ึง จากนั้นพระองค์ได้ท�ำการช�ำระคดีนั้น ดว้ ยพระองค์เอง ตจสาร 65

เมื่อทรงทราบว่าพวกเด็กน้อยน้ันไม่มีโทษผิด จึงมี รบั สงั่ ใหน้ ำ� เครอ่ื งจองจำ� ออก แลว้ พระราชทานยศยงิ่ ใหญ่ แก่หนูน้อยบัณฑิตนั้น ทรงกระท�ำให้เป็นอ�ำมาตย์แก้ว ผคู้ อยถวายค�ำแนะนำ� แดพ่ ระองค์ ประชมุ ชาดกว่า พระเจ้าพาราณสใี นครงั้ นน้ั ได้เป็นพระอานนท์ พวกเด็กๆ ในครั้งน้ัน ไดเ้ ปน็ พระเถรานุเถระ ส่วนเด็กผู้เป็นบณั ฑติ ในคร้งั นัน้ ได้เปน็ เราตถาคต ขอ้ คดิ จากชาดก การชนะศตั รมู ี ๕ ประการ ดังน้ี ๑. ท�ำการร่ายมนต์ปดิ ปากไม่ให้ศัตรพู ูดออกมาได้ ๒. การได้ทีมงานท่ีปรกึ ษาผ้ทู รงความรู้ ๓. การใชเ้ ทคนคิ การพูด ๔. การใหส้ นิ บนแกพ่ วกผพู้ พิ ากษาผทู้ ำ� การตดั สนิ คดี ๕. การเชอ่ื มวงศต์ ระกลู ระหวา่ งเรากบั ศตั รู พยายาม หาทางนบั ญาติกันใหไ้ ด้ 66

แต่บางคร้ัง บัณฑิตก็ต้องปลงตกเมื่อได้รับทุกข์ ว่า ‘ท่ีเราต้องล�ำบากอย่างนี้ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธ์ิอาจเป็น เพราะกรรมทเ่ี ราทำ� ไวใ้ นปางกอ่ น จงึ ทำ� ใหเ้ ราตอ้ งประสบ เคราะหก์ รรมอยา่ งหลกี เล่ยี งไม่ได้’ คงต้องปลงตก ท�ำใจ ให้ยอมรบั ความจรงิ จะไดไ้ มเ่ กิดความทุกขใ์ จ เมื่อมีเหตุการณร์ า้ ยท่ีไมค่ าดคิด ให้ตงั้ สตใิ ชป้ ัญญา แก้ไข โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้า และยังต้องรู้วิธีสร้าง ขวัญและก�ำลังใจให้หมู่คณะ เป็นที่พึ่งในคราวประสบ ปัญหาของลูกนอ้ งได้ ตจสาร 67

68

สาลิยชาดก๑๒ ว่าด้วย ให้ทกุ ข์แกท่ ่านทกุ ขน์ ้นั ถึงตัว สถานทีต่ รสั พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ คำ� กล่าวของเหล่าภกิ ษทุ ่ีมีตอ่ พระเทวทัต ต้นเรือ่ ง มีเร่ืองเล่าว่า วันหน่ึง พวกภิกษุได้นั่งคุยกัน ในโรงธรรมสภาปรารภ การปองร้ายของพระเทวทัตท่ีมี ต่อพระพทุ ธเจา้ แตแ่ มจ้ ะพยายามลอบทำ� รา้ ยกค่ี รง้ั กไ็ ม่ ประสบความสำ� เรจ็ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะนั้น พระพุทธองค์เสด็จผ่านมา เมื่อทรง ทราบเรอ่ื งจงึ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย มใิ ชจ่ ะมเี ฉพาะ แต่ในบัดนี้เท่านั้น ท่ีเทวทัตเพียรพยายามท�ำแบบนี้ ๑๒ ต้นฉบับ ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก จตุกกนิบาตชาดก ล. ๔๘, น.๘๒๗, มมร. ๑๓ ชาตนิ เ้ี ปน็ ชาตทิ ่ี ๓๙ หมอเจา้ เลห่ ค์ อื เทวทตั สว่ นเดก็ นอ้ ยผฉู้ ลาด คือพระโพธิสัตว์ ฯ สาลยิ 69

แม้ในกาลก่อน เทวทัตก็ไม่อาจท�ำให้เราสะดุ้งกลัวได้เลย แม้แต่เพยี งนิดเดียว” จากนั้น ได้ทรงน�ำเรื่องราวในอดีตชาติมาตรัสเล่า ใหฟ้ ัง ดงั ต่อไปนี้ เนอื้ หาชาดกย่อ ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทตั ครองราชยส์ มบตั ิ อยู่ในนครพาราณสี มีเด็กน้อยคนหน่ึงเป็นเด็กเฉลียว ฉลาดบงั เกิดในตระกูลกฎุ มุ พีผมู้ ีทรัพยใ์ นหมบู่ า้ นนนั้ วนั หนง่ึ เดก็ คนนน้ั ไดเ้ ลน่ อยทู่ โี่ คนตน้ ไทรใกลป้ ระตู บ้านกบั พวกเด็กเพ่ือนรนุ่ ราวคราวเดยี วกัน ช่วงน้ัน เป็นเวลาเดียวกับที่มีหมอเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ไมม่ คี นปว่ ยมาใหร้ กั ษา ไมม่ เี งนิ ทองใช้ เขาจงึ เดนิ เสาะหา คนปว่ ยเพ่อื จะไดท้ �ำการรกั ษาในแถบนน้ั เมอื่ ขามาถงึ ตน้ ไทรแหงนมองขนึ้ ไปบนคา่ คบ เหน็ งู ตัวหน่ึงนอนหลับโผล่หัวออกมาจากระหว่างคาคบไม้ จงึ เกิดความคดิ ชว่ั ร้ายวา่ ‘ถา้ ไมม่ ีคนป่วย เราก็ไมไ่ ด้เงิน ค่ารักษาพยาบาล เราจะหลอกเด็กพวกน้ีให้งูกัดแล้ว ท�ำการรักษา คงจะได้ค่ารักษาจากพ่อแม่ของเด็กพวกน้ี ไมม่ ากกน็ ้อย’ 70

คดิ ดงั นน้ั แลว้ จงึ ไดเ้ ขา้ ไปหาเดก็ นอ้ ยผฉู้ ลาดคนนนั้ แล้วกล่าวมุสาว่า “หนูน้อย ถ้าเธอเจอลูกนกสาลิกา เธอ อยากไดเ้ อามันมาเล้ียงไหม ?” เด็กน้อยตกหลุมพรางหมอช่ัวร้าย จึงย้ิมด้วยความ ดีใจมากท่ีจะได้นกมาเล้ียง บอกหมอไปว่า “ผมอยากได้ ครับ คุณหมอช่วยบอกหน่อยซิครับ ว่าจะไปจับมันได้ จากที่ไหนครับ ?” หมอเจ้าเล่ห์ยิ้มด้วยความดีใจที่แผนการใกล้ส�ำเร็จ จงึ ช้ไี ปบนตน้ ไม้แลว้ บอกวา่ “โน้นไง น่ันลูกนกสาลกิ ามัน นอนอยู่ระหว่างคาคบไม”้ เด็กน้อยผู้ฉลาดแต่ไม่ทันเล่ห์กลคนใจคด ไม่รู้ว่า ตนเองก�ำลงั ตกเปน็ เหยือ่ ถูกหมอเจา้ เล่ห์หลอกเอา เขารบี ปนี ขน้ึ ไปบนตน้ ไมจ้ บั ทค่ี องู พอดงึ ออกมารวู้ า่ เป็นงจู ึงตกใจสุดขดี รีบเหวีย่ งงนู ั้นไปอยา่ งสดุ ก�ำลัง งนู นั้ ลอยไปตกลงทบี่ รเิ วณคอหมอพอดี มนั ใชล้ ำ� ตวั รดั คอหมอจนกระดกู แตก ฉกกดั ทำ� ใหห้ มอลม้ ลงสนิ้ ใจตาย จากนัน้ มันกเ็ ล้อื ยหนีไปทนั ที คนทงั้ หลายพากนั หอ้ มลอ้ มดเู หตกุ ารณน์ นั้ ดว้ ยความ ตกใจ สลดสงั เวชในเรื่องราวอันนา่ กลัวทีป่ รากฏตรงหนา้ สาลิย 71

เด็กน้อยผู้เป็นบัณฑิตน้ัน เมื่อจะแสดงธรรมแก่ คนเหล่านนั้ จึงได้กล่าวคาถาเหลา่ น้วี า่ “ผใู้ ดไดห้ ลอกลวงใหเ้ ราจบั งเู หา่ โดยบอกวา่ ‘นลี่ กู นก สาลิกา’ ผู้น้ันชื่อว่าได้พร�่ำสอนส่ิงท่ีลามกถูกงูตัวนั้นกัด ตายแล้ว ผู้ใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเองและผู้ไม่ใช้ คนอนื่ ใหฆ้ ่าตน ผนู้ ัน้ ถูกฆ่าแลว้ นอนตายอยู่ เหมอื นบุรษุ ผู้ถูกงกู ัดตายแลว้ ฉะนน้ั ผู้ใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียดเบียนตนและ ไมฆ่ า่ ตน ผนู้ นั้ ถกู ฆา่ แลว้ นอนตายอยู่ เหมอื นบรุ ษุ ถกู งกู ดั ตายแล้ว ฉะนั้น บรุ ษุ กำ� ฝนุ่ ไวใ้ นมอื ซดั ฝนุ่ ไปในทท่ี วนลม ละอองฝนุ่ น้ัน ย่อมหวนกลับมากระทบบุรุษน้ันเอง เหมือนบุรุษถูก งกู ดั ตายแล้ว ฉะนนั้ ” ผู้ใดประทุษร้ายบุคคลบริสุทธิ์ ผู้ไม่ประทุษร้ายตน ไม่มีความผิดเลย บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลนั่นเอง เหมอื นละอองฝ่นุ ละเอียดท่ีบุคคลซดั ไปทวนลม ฉะน้นั ” พระพุทธเจา้ คร้นั ทรงนำ� พระธรรมเทศนานมี้ าแสดง แล 72

ทรงประชมุ ชาดกว่า หมอเจา้ เล่ห์ คอื พระเทวทัต สว่ นเดก็ นอ้ ยบณั ฑิต คอื เราตถาคตนน่ั เอง ข้อคดิ ชาดก การแสวงหาประโยชนจ์ ากความเดือดร้อนของผอู้ นื่ เป็นสิ่งท่ีไม่เป็นท่ียอมรับโดยทั่วไป โดยเฉพาะวงการ แพทย์ ที่มีจุดประสงค์เพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยให้พ้นความ เจ็บป่วย ไม่ใช่แกลง้ ทำ� อุบายให้ผอู้ ่นื เจ็บปว่ ย เพื่อตนเอง จะได้ประโยชน์จากการรักษาความเจบ็ ป่วยนั้น สาลิย 73

74

๘) คามณิจันทชาดก๑๔ วา่ ด้วย ลงิ เป็นสตั วไ์ มร่ จู้ กั เหตุ สถานท่ีตรสั พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ การสรรเสริญปญั ญา ต้นเรื่อง เล่ากันว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญา ของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า “ท่านผู้มีอายุท้ังหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนา มี พระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง มีพระปัญญาช�ำแรกกิเลส กา้ วล่วงโลกนพ้ี ร้อมทัง้ เทวโลก ดว้ ยพระปัญญา.” พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุท้ังหลาย บัดนพี้ วกเธอนัง่ ประชุมสนทนากนั ดว้ ยเรอ่ื งอะไร ?” เมอื่ ภกิ ษุเหล่านน้ั กราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ จงึ ตรัส ว่า ๑๔ ต้นฉบบั ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก ติกนิบาตรชาดก, ล.๕๘, น.๕๑, มมร. คามณจิ นั ท 75

“ภิกษุทั้งหลายมิใช่ในบัดนี้เท่าน้ัน แม้ในกาลก่อน ตถาคตกม็ ปี ญั ญาเหมอื นกนั .” แลว้ ทรงนำ� เอาเรอื่ งในอดตี มาสาธก ดังต่อไปนี้ :- เนอ้ื เร่ืองชาดกย่อ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ ราชกมุ ารของพระเจา้ ชนสนั ธะ ผู้ครองเมืองพาราณสี มีหน้าตาสดใสงดงามมากจึงถูก ขนานนามว่า ‘อาทาสมุขกุมาร’ พอมีอายุได้ ๗ ขวบ เทา่ น้นั พระชนกก็สวรรคต พวกอ�ำมาตย์เห็นว่าพระกุมารยังไม่อยู่ในฐานะ จะครองเมอื งได้ จงึ จะทดสอบภมู ปิ ัญญาของพระกุมารดู ในวันหนึ่ง ได้ตกแต่งพระนครใหม่ จัดตั้งสถาน วินิจฉัย (ศาล) เสร็จแล้ว ได้มอบให้พระกุมารขึ้นตัดสิน คดคี วาม พอพระกุมารประทบั บนบัลลังกแ์ ลว้ ก็ให้เอาลงิ ตัวหนึ่งซึ่งสามารถเดิน ๒ เท้าได้แต่งตัวเป็นอาจารย์ผู้รู้ วิชาดูท่ี แล้วถวายรายงานพระราชกุมารว่า “ขอเดชะ นี่คอื อาจารย์ผรู้ วู้ ิชาดูที่ สมยั ของพระชนก ขอพระองค์จงสงเคราะห์ชายผู้น้ี แต่งต้ังเป็นท่ีปรึกษา ดว้ ยเถิด” พระราชกุมารแลดูผู้น้ันแล้วทราบว่าเป็นลิงมิใช่ มนษุ ยจ์ งึ ตรสั วา่ “สตั วต์ วั นไี้ มฉ่ ลาดทำ� บา้ นเรอื น หลกุ หลกิ 76

หนงั หนา้ ยน่ รแู้ ตจ่ ะทำ� ลายสงิ่ ทเ่ี ขาทำ� ไวแ้ ลว้ เทา่ นนั้ จะให้ เป็นท่ีปรกึ ษาไมไ่ ด”้ พวกอำ� มาตยร์ ับค�ำแล้วน�ำลงิ นัน้ กลบั ไป อีกสองวัน ตอ่ มา กน็ ำ� ลงิ ตวั นนั้ มาถวายรายงานอกี วา่ “ขอเดชะ นคี่ อื อ�ำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี สมัยพระชนก ขอพระองค์โปรด แต่งตงั้ ไวเ้ ปน็ ทป่ี รกึ ษาเถิด” พระราชกุมาร แลดูก็ทราบว่ามนุษย์ไม่มีขนมาก ขนาดน้ี จึงตรัสว่า “สัตว์ท่ีมีความคิด ขนไม่มากขนาดน้ี ลิงตัวนี้ไม่มีความคิด ไม่รู้จักเหตุผล ท�ำการวินิจฉัยคดี ไม่ไดห้ รอก” พวกอำ� มาตยร์ บั คำ� แลว้ กน็ ำ� ลงิ นน้ั กลบั ไป อกี สองวนั ถัดมา ก็น�ำลิงตัวน้ันมาถวายรายงานอีกว่า “ขอเดชะ ชายผู้น้ีในสมัยพระชนก ได้บ�ำรุงเลี้ยงบิดามารดาเป็น ชายกตญั ญู ขอพระองคโ์ ปรดอนเุ คราะหเ์ ขาด้วยเถดิ ” พระราชกุมาร แลดูลิงน้ันแล้วตรัสว่า “สัตว์เช่นน้ี จะเลี้ยงดูบิดามารดาไม่ได้ มีจิตใจกลับกลอก บิดาเรา สอนไวอ้ ยา่ งน้ี” คามณิจันท 77

พวกอ�ำมาตย์ทราบว่า ‘พระกุมารเป็นบัณฑิตแล้ว’ จึงอภิเษกให้ข้ึนครองราชตั้งแต่บัดน้ัน ความอัจฉริยะ ของพระราชกุมาร ๑๔ เรื่องจงึ เกดิ ขึน้ คือ ในสมัยน้นั มชี ายแก่คนหนงึ่ ชื่อ “คามณจิ ันท์” เคย เปน็ ทาสรบั ใชข้ องพระเจา้ ชนสนั ธะ เมอ่ื สน้ิ รชั กาลพระเจา้ ชนสนั ธะแลว้ ไดป้ ลกี ตวั ออกไปประกอบอาชพี กสกิ รรมอยู่ บ้านนอกหมู่บ้านหน่ึง แต่เขาไม่มีโคท�ำนา เม่ือฝนตกใน ฤดูท�ำนาจึงไปยืมโค ๒ ตัวจากเพ่ือนบ้านมาไถนาทั้งวัน ตกเย็นได้น�ำโคไปคืนเจ้าของท่ีบ้าน เห็นเจ้าของโคก�ำลัง น่ังกินข้าวอยู่กลางบ้าน เกรงว่าเขาจะชวนกินข้าวด้วย นายคามณิจันท์จึงปล่อยแต่โคเข้าไปในคอก ส่วนตัวเอง เดินกลับบ้านไป ตกกลางคืนมีโจรมาลักโคเหล่าน้ัน ไปหมด เจา้ ของโคถงึ แมร้ อู้ ยวู่ า่ โคถกู ขโมยไป กไ็ ปทวงโค กับนายคามณีจันท์พร้อมกับปรับสินไหมน�ำไปแจ้งความ ที่เมืองหลวง ในขณะเดินทางไปเมืองหลวง นายคามณิจันท์ หวิ ขา้ วจงึ ขอแวะบ้านเพอ่ื นที่หมู่บา้ นหน่ึงกอ่ น ปรากฏวา่ เพ่ือนไมอ่ ยูบ่ า้ น อยู่แต่ภรรยาท่ที ้องได้ ๗ เดือน นางดีใจ ท่ีนายคามณิจันท์มาเย่ียม แต่ข้าวสุกไม่มี จึงต้องขึ้นไป เอาข้าวที่ฉาง นางได้พลัดตกลงมาที่พื้นดิน ท�ำให้นาง 78

แท้งลูก พอสามีกลับมาถึงบ้านทราบเร่ืองจึงตั้งข้อหา นายคามณิจันท์ฆ่าลูก ชายท้ัง ๓ คนจึงต้องเดินทาง เข้าเมืองหลวงด้วยกนั เม่ือเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหน่ึง คนเลี้ยงม้า คนหนึ่งก�ำลังต้อนม้าให้กลับบ้าน มีม้าตัวหนึ่งพยศ ไม่ยอมไป เขาจึงร้องบอกให้นายคามณิจันท์เอาอะไร ขวางม้าให้กลับเข้าบ้านที นายคามณิจันท์เอาก้อนหิน ขว้างไปถูกขาม้าหัก คนเลี้ยงม้าจึงตั้งข้อหาเขาท�ำให้ ขามา้ หกั เปน็ เหตชุ ายทง้ั ๔ คนตอ้ งเดนิ ทางเขา้ เมอื งหลวง ไปดว้ ยกัน ในขณะเดินทาง นายคามณิจันท์คิดน้อยใจอยู่ คนเดียวว่า “ช่างโชคร้ายนักเรา เมื่อถึงเมืองหลวง เงิน สักบาทจะจ่ายค่าโคก็ไม่มี อีกท้ังค่าลูก ค่าม้า ขอตาย เสยี ดกี ว่า” ในระหว่างทางต้องเดินผ่านภูเขามีผาชันลูกหน่ึง เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงในเหวไปตาย แต่บังเอิญมีสอง พอ่ ลูกนงั่ สานเส่อื ล�ำแพนอยทู่ ่เี ชิงเขานั้น นายคามณิจันท์ จงึ ตกลงไปทับชา่ งสานผพู้ ่อเสียชีวติ สว่ นตัวเขารอดชวี ิต เป็นเหตุให้ลูกชายช่างสานตั้งข้อหาฆ่าพ่อของเขา ชาย ท้งั ๕ คนจงึ เดินทางเขา้ เมอื งหลวงไปดว้ ยกัน คามณจิ นั ท 79

ในระหว่างทาง มีท้ังคนและสัตว์ได้ฝากสาส์นกับ นายคามณิจันท์ไปถวายพระราชาอีก ๑๐ เร่ือง เมื่อถึง เมอื งหลวงแลว้ วนั นนั้ พระราชกมุ ารขนึ้ ประทบั บลั ลงั กต์ ดั สนิ คดเี อง พอเห็นหน้านายคามณิจันท์ก็จ�ำได้ จึงตรัสถามว่า “ลงุ คามณิจนั ท์ ท่านไปอยู่ทไี่ หนมา ?” นายคามณีจันท์กราบทูลว่า “ขอเดชะพระอาญา ไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไปอยู่บ้านนอกท�ำกสิกรรม พระเจ้าข้า จึงได้เกิดคดโี คกบั ท่านนข้ี นึ้ ” พระราชกมุ ารจงึ ไตส่ วนจนทราบความแลว้ ตรสั ถาม เจ้าของโคว่า “เม่ือโคเข้าบ้าน ท่านเห็นหรือไม่ ?” เจา้ ของโคทูลวา่ “ไมเ่ ห็น พระเจ้าขา้ ” พระองคจ์ ึงตรสั ถามย้�ำอีกวา่ “ไม่เห็นแน่นะ” เขาจึงทลู ใหมว่ ่า “เห็นอยพู่ ระเจ้าข้า” พระองค์จงึ ตัดสินคดวี ่า “ลุงคามณิจันท์ เพราะทา่ น ไม่เอ่ยปากมอบโคแก่เจ้าของ จึงปรับสินไหมท่าน ๒๔ กหาปณะ แต่ชายคนน้ีพูดมุสา ทั้งที่เห็นอยู่กลับบอกว่า ไม่เหน็ ท่านจงควักนยั นต์ าของพวกเขาสองผวั เมียเสีย” ชายเจ้าของโค รีบกรูเข้าไปหมอบลงแทบเท้าของ นายคามณิจันท์พูดว่า “ท่านลุง เงินค่าโค ขอยกให้ท่าน 80

ก็แล้วกัน และเงินเหล่านี้ขอมอบให้ท่านอีก ขออย่าได้ ควักนัยน์ตาของพวกข้าพเจ้าเลย” มอบเงินให้แล้วก็กลับ บ้านไป คดีที่ ๒ พระราชกุมารทราบเร่ืองแล้วตรัสถามว่า “เม่ือนายคามณิจันท์ไม่ได้ฆ่าลูกของท่าน ท่านจะท�ำ อย่างไรละ ?” ชายคนนั้นจึงทูลว่า “ข้าพระองค์ต้องการลูกคืน เทา่ นน้ั แหละ พระเจ้าขา้ ” พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ถ้าเช่นน้ัน ลุงคามณิจันท์ จงน�ำภรรยาของเขาไปอยู่ด้วย เม่ือมีลูกแล้วค่อยคืนเขา ไปกแ็ ล้วกัน” ชายคนน้ันก็หมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ อ้อนวอนว่า “ท่านลุง…อย่าได้ท�ำลายครอบครัวผมเลย นะครับ” มอบเงนิ ให้แล้วก็กลับบา้ นไป คดีที่ ๓ พระราชกุมารทราบเร่ืองแล้ว ตรัสถามว่า “ท่านเป็นคนบอกใหน้ ายคามณิจันท์ขวา้ งมา้ ใชห่ รอื ไม่ ?” คร้ังแรกเขาบอกปฏิเสธเมื่อพระองค์ตรัสถามเป็น คร้ังทีส่ องจึงทลู ความจรงิ คามณิจนั ท 81

พระองคจ์ งึ ตดั สนิ คดวี า่ “ชายคนนพ้ี ดู มสุ า ลงุ คามณ-ิ จนั ท์ จงตดั ลน้ิ ของเขาเสยี แลว้ จา่ ยคา่ ขามา้ เขาไป ๑,๐๐๐ กหาปณะ” ชายเจ้าของม้าหมอบลงแทบเท้านายคามณิจันณ์ ขอชีวติ พร้อมมอบเงินใหแ้ ลว้ ก็กลบั บ้านไป คดีที่ ๔ เม่ือพระราชกมุ ารทราบเรื่องแลว้ ตรสั ถาม ว่า “เมื่อเขาตกลงมาทับบิดาของท่านตายโดยไม่เจตนา เชน่ นี้ ทา่ นจะใหท้ ำ� อย่างไรละ ?” ลูกชายช่างสานจึงทูลว่า “ข้าพระองค์ขอเพียงบิดา คนื มาเท่านั้น พระเจ้าข้า” พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ลุงคามณิจันท์ เมื่อเขา ตอ้ งการบดิ าของเขาคนื คนตายไปแลว้ ยอ่ มฟน้ื คนื มาไมไ่ ด้ ทา่ นจงรบั มารดาของเขามาเปน็ ภรรยากแ็ ล้วกัน” บตุ รชา่ งสานจงึ หมอบลงแทบเทา้ ของนายคามณจิ นั ท์ อ้อนวอนว่า “ท่านลุง…อย่าได้ท�ำลายครอบครัวผมเลย นะครบั ” มอบเงนิ ใหแ้ ล้วกก็ ลับบ้านไป นายคามณจิ นั ทช์ นะคดคี วามจงึ มคี วามยนิ ดเี บกิ บาน ใจ กราบทลู ว่า “ขอเดชะ ยังมสี าส์นฝากมาถวายพระองค์ อีก ๑๐ เร่อื ง พระเจ้าข้า” 82

พระราชกุมารจึงรบั ส่ังให้บอกสาส์นนั้นมาทลี ะเรื่อง สาส์นที่ ๑ นายบ้านส่วยคนหน่งึ ทลู ถามว่า “เดิมที เขาเป็นคนรูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก ไม่มีโรคภัย เบียดเบียน แต่บัดนี้เป็นคนทุกข์ยาก ซูบผอมเป็นโรค เป็นเพราะเหตไุ ร ? พระเจา้ ข้า” พระราชกมุ ารตรสั วา่ “นายบา้ นสว่ ยคนนัน้ เดมิ เป็น คนมีศีลธรรม ตัดสินคดีโดยธรรม จึงเป็นท่ีรักของทุกคน เขาจึงมที รัพยส์ มบตั ิมาก ต่อมาเขาเห็นแก่สินบน ตัดสิน คดีโดยไม่เป็นธรรม จึงเป็นคนทุกข์ยากเข็ญใจ มีโรคภัย เบียดเบียน บอกให้เขากลับมาเป็นคนมีศีลธรรมอีก เขากจ็ ะเป็นคนม่ังมีเหมือนเดิม” สาสน์ ที่ ๒ หญงิ คณกิ านางหนง่ึ ทลู ถามวา่ “เมอ่ื กอ่ น ได้ค่าจ้างมาก แต่มาบัดน้ีไม่ได้แม้แต่หมากพลูมวนเดียว ไมม่ ใี ครมาเทีย่ วเลยเปน็ เพราะเหตไุ ร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “เม่ือก่อนนางรับค่าจ้างจาก ชายคนหนง่ึ แลว้ จะไมร่ บั จากคนอนื่ อกี (เปน็ ไปตามลำ� ดบั ) นางจงึ มคี า่ จา้ งมาก บดั นนี้ างรบั คา่ จา้ งจากคนแรกแลว้ กลบั ไปนอนกับคนหลัง ค่าจ้างจึงไม่ค่อยจะมี ถ้านางกลับไป คามณิจันท 83

ปฏิบัติตามเดิม ไม่เห็นแก่ได้ นางก็จะเป็นคนมีค่าจ้าง เหมือนเดิม” สาส์นท่ี ๓ หญิงสาวนางหน่ึงทูลถามว่า “นางไม่ สามารถอยู่ในบ้านของสามีและบิดามารดาได้ เป็นเพราะ เหตุไร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “ในระหว่างบ้านของสามีและ บดิ ามารดาของสาวนางนั้น มบี า้ นของชายคนรักของเธอ อยู่หลังหน่ึง เธอจึงไม่สามารถอยู่ในบ้านสามีได้ บอก สามีว่า ‘จะกลับไปเย่ียมบิดามารดา’ ก็แอบไปอยู่บ้าน ชายชู้ ๒-๓ วัน ไปบ้านบิดามารดาก็บอกว่า ‘จะไปบ้าน สาม’ี แลว้ กแ็ อบอยบู่ า้ นชายชู้ ๒-๓ วนั ทา่ นลงุ คามณจิ นั ท์ จงบอกให้เธอทราบว่า ‘พระราชก�ำหนดกฎหมายมีอยู่ ถา้ เธอไม่อยู่ท่บี า้ นสามีอกี ชีวิต เธอกจ็ ะไม่มเี ชน่ กนั ’ ” สาส์นที่ ๔ งูตัวหน่ึงอยู่ท่ีจอมปลวกใกล้ทางใหญ่ ทูลถามวา่ “ในเวลาออกหากินร่างกายผอมกลบั คับปลอ่ ง ทางออกจะออกจากจอมปลวกยากลำ� บาก เมอื่ กนิ อม่ิ แลว้ ร่างกายอ้วนพีกลับเข้าปล่องง่าย ร่างกายไม่กระทบ แม้กระท่งั ขา้ งปลอ่ งเลย เป็นเพราะเหตไุ ร ?” 84

พระราชกมุ ารตรสั วา่ “ภายใตจ้ อมปลวกมขี มุ ทรพั ย์ หมอ้ ใหญฝ่ งั อยู่ งนู นั้ เฝา้ หมอ้ ทรพั ยน์ น้ั อยู่ จงึ ทำ� ใหร้ า่ งกาย หย่อนตดิ นน่ั ติดน่ี เวลาออกจงึ ยากลำ� บาก เม่อื กินอิ่มแล้ว ไม่ติดขัดรีบเข้าไปโดยเร็วเพราะติดอยู่ในทรัพย์ ท่านลุง คามณิจนั ท์จงไปขุดเอาทรพั ยน์ นั่ เสียเถอะ “ สาส์นที่ ๕ เน้อื ตัวหนึ่งทูลถามวา่ “ขา้ พเจ้าไม่อาจ ไปกินหญ้าท่ีอ่ืนได้ กินอยู่ท่ีโคนต้นไม้แห่งเดียวเท่าน้ัน เป็นเพราะเหตไุ ร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “ท่ีต้นไม้นั้นมีรวงผึ้งใหญ่ เนื้อตัวนั้นติดอยู่ในหญ้าที่เปื้อนน้�ำผึ้ง จึงไม่ไปไหน ท่านลุงคามณิจันท์ จงไปน�ำน้�ำผึ้งน้ันมาให้เรา ที่เหลือ ยกให้ท่าน” สาสน์ท่ี ๖ นกกระทาตัวหนึ่งทูลถามว่า “ข้าพเจ้า จับอยู่ท่ีจอมปลวกเท่าน้ัน จึงอยู่ได้สบาย อยู่ที่อ่ืนไม่ได้ เลย เปน็ เพราะเหตไุ ร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “นกกระทาจับท่ีจอมปลวก จึงขันอย่างอ่ิมเอิบใจ และภายใต้จอมปลวกน้ัน มีหม้อ ขุมทรัพย์ ท่านลุงคามณิจันท์จงไปขุดเอาหม้อขุมทรัพย์ นัน้ เถดิ ” คามณิจนั ท 85

สาสน์ ที่ ๗ รกุ ขเทวดาตนหนึ่งทูลถามวา่ “เมอื่ กอ่ น เคยได้ลาภสักการะมาก บัดนี้ไม่ได้แม้แต่ใบไม้อ่อน กำ� มอื หนง่ึ เป็นเพราะเหตุไร ?” พระราชกมุ ารตรสั วา่ “เมอื่ กอ่ นรกุ ขเทวดานนั้ รกั ษา พวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง จึงได้เครื่องสักการะที่เขา ท�ำพลีกรรม บัดนี้ไม่ได้รักษา พวกมนุษย์จึงไม่ได้ท�ำ พลีกรรม ถ้ากลับไปรักษาพวกมนุษย์อีก ก็จะได้ลาภ สกั การะเหมอื นเดมิ ” สาส์นที่ ๘ พญานาคตัวหนึ่งทูลถามว่า “เมื่อก่อน น�้ำในสระใสสะอาดมีสีเหมือนแก้วมณี บัดนี้กลับขุ่นมัว มีแหนปกคลมุ เป็นเพราะเหตุไร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “พญานาคทะเลาะกัน น�้ำจึง ขุ่นมัว ถ้าพญานาคกลับมาสมานสามัคคีกัน น�้ำในสระ กจ็ ะใสสะอาดเหมือนเดิม” สาส์นท่ี ๙ พวกดาบสที่อยู่ใกล้เมืองนี้ทูลถามว่า “เมอ่ื กอ่ นผลไมใ้ นอารามอรอ่ ยมาก บดั นก้ี ลบั มาเฝอ่ื นฝาด ไมอ่ ร่อย เปน็ เพราะเหตไุ ร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “เมื่อก่อนพวกดาบสพากัน ปฏิบัติสมณธรรม เป็นผู้ขวานขวายในการบริกรรมกสิณ 86

บดั นพี้ ากนั ละทงิ้ ไมป่ ฏบิ ตั ธิ รรม ประกอบในกจิ ทไี่ มค่ วรทำ� ให้ผลไม้ท่ีเกิดในอารามแก่พวกโยมอุปัฎฐาก เลี้ยงชีพ ดว้ ยมจิ ฉาชพี เพราะเหตนุ ผี้ ลไมข้ องพวกดาบสจงึ ไมอ่ รอ่ ย ถ้าพวกดาบสพากันปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม ผลไม้ก็จะ อร่อยเหมือนเดมิ ” สาสน์ ท่ี ๑๐ พราหมณห์ นมุ่ คนหนงึ่ ทศ่ี าลาใกลป้ ระตู เมอื งทลู ถามวา่ “เมอ่ื กอ่ นเรยี นหนงั สอื ทอ่ งจำ� ไดด้ ี แตบ่ ดั นี้ เรียนเทา่ ไหร่กไ็ ม่จ�ำ เป็นเพราะเหตไุ ร ?” พระราชกุมารตรัสว่า “เม่ือก่อนมีไก่ขันบอกเวลา พวกพราหมณ์หนุ่มจึงเรียนได้จ�ำดี แต่บัดน้ีไก่ขันไม่เป็น เวลา จงึ ท�ำให้พวกเขาเรยี นหนงั สือไมไ่ ด้ และจ�ำไม่ได”้ พระราชกุมารคร้ันพยากรณ์ปัญหาหมดแล้ว ก็ พระราชทานทรัพย์มากมายและบ้านให้นายคามณิจันท์ เขาไดเ้ ดนิ ทางกลบั ไปสง่ สาสน์ ตามทพี่ ระราชาประทานแก่ คนเหลา่ นนั้ และทำ� ตามคำ� แนะนำ� ของพระราชาทกุ ประการ คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนาน้ีมาแล้ว ทรงประกาศ สัจจะประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ คนจ�ำนวนมาก ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต.์ คามณิจนั ท 87

ประชมุ ชาดก นายคามณิจันท์ในกาลน้ัน ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดน้ี พระเจา้ อาทาสมขุ ในกาลน้ัน คอื เราตถาคต ขอ้ คดิ จากชาดก ๑) ในทหรสตู ร ของทไ่ี ม่ควรดถู กู ดหู มิ่นวา่ เล็กน้อย ๔ อย่างคอื ๑. กษัตรยิ ์ไม่ควรดถู กู ดหู มนิ่ ว่ายงั ทรงพระเยาว์ ๒. งู ไมค่ วรดถู ูกดูหมน่ิ วา่ ตัวเลก็ ๓. ไฟ ไม่ควรดูถูกดูหมนิ่ วา่ เล็กนอ้ ย ๔. ภิกษุ ไม่ควรดถู ูกดหู ม่นิ วา่ ยงั หนุ่ม นรชนไม่พึงดูถูกดูหม่ิน กษัตริย์ผู้ถึงพร้อมด้วย พระชาติ มีพระชาติสูง ผู้ทรงพระยศว่ายังทรงพระเยาว์ เพราะเหตวุ า่ พระองคเ์ ปน็ มนษุ ยช์ น้ั สงู ไดเ้ สวยราชสมบตั ิ แลว้ ทรงพระพโิ รธขนึ้ ยอ่ มทรงลงพระราชอาชญาอยา่ งหนกั แก่เขาได้ ฉะนน้ั ผรู้ กั ษาชวี ติ ของตน พงึ งดเวน้ การสบประมาท กษัตริย์นนั้ เสีย ฯ 88

ในชาดกเร่ืองน้ี เหล่าอ�ำมาตย์ ก็ไม่ถึงกลับท�ำให้ ยุวกษัตริย์พิโรธ เพียงแต่ต้องการทดสอบความสามารถ ในการวินจิ ฉยั พระโพธิสัตวก์ ไ็ ดว้ ินิจฉยั ถูกตอ้ ง จนเป็นท่ี ยอมรบั ๒) พระเจ้าอาทาสมุข ยุวกษัตริย์ ยังได้แสดง ความสามารถในการวินจิ ฉยั ตัดสนิ ๔ คด,ี พยากรณ์ ๑๐ ปัญหา ซ่งึ สะท้อนถึงภูมปิ ัญญาอนั สงู ส่ง คามณิจนั ท 89

บทสรุป ชาดก ๘ เรอื่ งทท่ี รงปรารภพระปญั ญา มี ๑ เรื่อง ท่ีเสวยพระชาติเป็นนักบวช (มหาโพธิ- ชาดก) ทรงรู้จักแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ได้อย่าง แยบคาย มี ๑ เรอ่ื ง ทเี่ สวยพระชาตเิ ปน็ ยวุ ราชา (คามณจิ นั ท- ชาดก) ทรงรจู้ กั แยกแยะ ชา่ งสงั เกต พยากรณป์ ัญหาได้ อยา่ งชาญฉลาด มี ๑ เรื่อง ทเ่ี สวยพระชาติเปน็ พญาวานร (ตินทุก- ชาดก) ทรงร้จู กั การปลอบใจลกู น้องบรวิ าร • เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์หนุ่ม (ทูตชาดก) รูค้ นทีจ่ ะปลดเปลอื้ งปญั หาของตน โดยสตปิ ญั ญา หาจงั หวะเวลาและบคุ คลทถี่ ูกต้อง • เสวยพระชาติเป็นปุโรหิต (ปณุ ณนทีชาดก) ร้แู ละเข้าใจความนบั ในปญั หาทพ่ี ระราชาผูก ไมม่ ี ความน้อยใจ • เสวยพระชาตเิ ป็นนายชา่ งเหลก็ (สูจชิ าดก) รู้วิธีในการเข้าถึง และเอาชนะใจสาวและพ่อตา ดว้ ยความสามารถของตน 90

• เสวยพระชาติเป็นต้นหนเรือ (สปุ ปารกชาดก) มีปัญญารอบรู้ในเร่ืองราวต่าง ๆ เข้าใจความโลภ ของคน ใช้สัจจะอธิษฐานเพ่ือช่วยหมู่คณะให้ ปลอดภยั • เสวยพระชาติเป็นเดก็ เจ้าปญั ญา (ตจสารชาดก) เม่ือมีปัญหาเกิดข้ึน รู้วิธีการแก้ไข และปลอบใจ บริวาร ถา้ รวมกบั เลม่ ปญั ญาบารมี หนทางการสรา้ งปญั ญา อีก ๔ เร่อื ง จะพบว่า สว่ นใหญ่ ชาตทิ ่สี ร้างปัญญาบารมี ไม่ได้เสวยพระชาติเป็นนกั บวช ใน ๑๒ เรื่อง มีเพียงพระชาติเดียวที่เป็นนักบวช คือมหาโพธิชาดก นั่นแสดงให้เห็นว่าการสร้างปัญญา บารมี สามารถสร้างได้ทกุ ภาวะ ใน ๑๒ เรอ่ื ง มเี พยี งพระชาตทิ เ่ี ปน็ เดก็ ฉลาดมปี ญั ญา มีอยู่ ๔ เรอื่ ง ๑) มโหสถชาดก (เรอื่ งท่ี ๓ ในหนงั สอื ปญั ญาบารม)ี ว่าด้วยพระมโหสถบัณฑิตทรงบ�ำเพ็ญปัญญา บารมี เป็นปญั ญาอปุ บารมี บทสรุป 91

๒) สมั ภวชาดก (เรอื่ งท่ี ๒ ในหนังสือปญั ญาบารม)ี ว่าด้วยคนผรู้ ุ่งโรจนไ์ ด้เพราะปัญญา. ๓) ตจสารชาดก (เร่ืองท่ี ๗ ในเล่มนี้) ว่าด้วยคน ฉลาดยอ่ มไมแ่ สดงอาการให้ศตั รเู ห็น ๔) คามณิจันทชาดก (เร่ืองที่ ๘ ในเล่มน้ี) ว่าด้วย ลงิ เป็นสัตวไ์ ม่รู้จักเหตุ ถ้าจะให้จดั ความฉลาดในวัยเด็กของ ๔ เร่อื ง น่าจะ ไดว้ า่ ๑) สัมภวชาดก (สัมภวบณั ฑติ ), ๒) คามณจิ ันทชาดก (พระเจา้ อาทาสมขุ ), ๓) มโหสถชาดก (มโหสถบณั ฑิต), ๔) ตจสารชาดก (เด็กผูเ้ ปน็ บัณฑิต) • สัมภวบัณฑิตกล่าวแก้ปัญหาแก่สุจีรตพราหมณ์ โดยลีลาแห่งพระพุทธเจ้า ดุจยังพระจันทร์ให้ปรากฏขึ้น ณ พนื้ อากาศด้วยอาการอยา่ งนี้. (พอ ๆ กับเสนกบณั ฑติ ในเสนกชาดก พระชาติที่บ�ำเพ็ญปัญญาข้ันปรมัตถะ ความตอนหนงึ่ ว่า ค�ำพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็นเสมือนค�ำ พยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า. มหาชนพากัน 92

ชูผ้าขึ้นเป็นจ�ำนวนพัน ยกนิ้วข้ึนดิดหมุนไปรอบ ๆ เป็น พัน ๆ ครง้ั ฝนแกว้ ๗ ประการตกลงมา เหมือนลกู เห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจ�ำนวนพัน ๆ เสียงดังปานประหน่ึง มหาปฐพจี ะถล่มทะลาย. กธ็ รรมดาการแกป้ ญั หาแบบนดี้ ว้ ยพทุ ธลลี าน้ี ไมใ่ ช่ เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรพั ย์ทัง้ หลาย แตเ่ ป็นพลัง ของอะไรหรอื เปน็ พลงั ของปัญญา.), • พระเจา้ อาทาสมขุ ตดั สนิ คดคี วาม ๔ เรอื่ ง, พยากรณ์ ปัญหา ๑๐ เรื่อง พระราชาก็ได้ทรงพยากรณ์ปัญหาน้ัน ท้ังหมดด้วยปัญญาของพระองค์ ประดุจพระสัพพัญญู- พุทธเจ้า • มโหสถบัณฑิตวินิจฉัย ๖ คดีความแก้ปัญหาของ พระเจา้ วเิ ทหราช ๑๒ ปญั หา หมายเหตุ สาลิยชาดก ว่าด้วยให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์น้ันถึงตัว ทรงปรารภ พระเทวทตั ไมอ่ าจเพอ่ื แมจ้ ะกระทำ� ความสะดงุ้ แกพ่ ระพทุ ธองคไ์ ด้ เสวยพระชาติเป็นเด็กผู้เป็นบัณฑิตเหมือนกัน แต่ ไมไ่ ด้ทรงปรารภพระปญั ญา บทสรปุ 93

e-book Free download ๑) อุบาสิกาฉบับสามัญชน https://goo.gl/iwhkCA ๒) อุบาสกิ า ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี https://goo.gl/2xFWS1 ๓) เลา่ เรือ่ งเศรษฐี คาถาธรรมบทฉบับพิเศษ http://bit.ly/ebookdmc-584 หรอื http://goo.gl/Q54gvs ๔) ทายาทเศรษฐี http://bit.ly/ebookdmc-697 หรอื http://goo.gl/JxQ7tt 94

๕) ดสุ ิตบรุ ี http://bit.ly/ebookdmc-657 หรอื http://goo.gl/gzNa4K ๖) วยั ใส ใจใส http://bit.ly/ebookdmc-693 หรือ http://goo.gl/qthKAf ๗) ปัญญาบารมี หนทางการสร้างปญั ญา http://bit.ly/ebookdmc-585 หรอื http://goo.gl/LX9xYJ ๘) ชาดกเรอ่ื งโปรด http://bit.ly/ebookdmc-712 หรอื https://goo.gl/gWZyTT 95

๙) ภพนภ้ี พหน้า ฉบับเตมิ เตม็ http://bit.ly/ebookdmc-596 หรอื http://goo.gl/KQrxIt ๑๐) ทานบารมี สูตรลัดแหง่ ความสุข http://bit.ly/ebookdmc-611 หรือ http://goo.gl/TfPejV ๑๑) ธรรมะจาก SiripunnoFanp@ge https://goo.gl/b7kiCb กรณที เ่ี ขา้ ถงึ โดยตรงไมไ่ ด้ ใหเ้ ข้าไปที่ http://ebook.dmc.tv หมวดธรรมประยุกต์ http://www.kalyanamitra.org/book/index_dhamma book.php?cid=11 หมวดความรพู้ ระไตรปฎิ ก 96