Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มนุษยธรรม

Description: มนุษยธรรม

Search

Read the Text Version

พนันบ้าง เป็นสง่ิ ท่ไี ม่ควรทำ�ท้ังสิ้น การใช้งานสัตว์จนเกินก�ำ ลงั เปน็ สง่ิ ทไ่ี มค่ วรท�ำ เหมอื นกนั การท�ำ เหลา่ นเี้ ปน็ การกอ่ ทกุ ขใ์ หเ้ กดิ ขน้ึ แกผ่ ู้อน่ื แสดงว่าผทู้ �ำ มีใจขาดเมตตากรุณา ไมไ่ ด้คิดย้อนมาดู ตัวว่า ถา้ ถูกทำ�เช่นนน้ั บา้ งจะเปน็ อยา่ งไร การเลน่ สนุกอีกอยา่ งหนง่ึ ของคน คอื การลา่ สัตวใ์ นปา่ บางคนถอื ว่าเป็นการฝึกผจญภยั ท�ำ ให้ใจกล้า แต่ก็ผจญอย่าง เอาเปรียบ เพราะใช้อาวธุ และหลบอย่บู นหา้ งบนตน้ ไม้หรือในที่ กำ�บงั และสัตว์มากชนดิ ไม่มีทางจะต่อสู้ด้วยเลย สตั วบ์ างชนิด ยงั ไม่ค้นุ กับความมีใจด�ำ อ�ำ มหิตของคน เห็นคนเขา้ ก็คงไมค่ ดิ วา่ เปน็ เพชฌฆาต รรี อมองดอู ยา่ งทงึ่ สงสยั วา่ คนคงเปน็ เพอ่ื นสตั ว์ ชนดิ หนง่ึ ซงึ่ ความจรงิ กเ็ ปน็ อยา่ งนนั้ จงึ ถกู ยงิ อยา่ งสะดวก บาง สัตว์ที่ถูกยิงเป็นแม่มีลูกอ่อนติดตาม คร้ันถูกยิงแล้วก็พยายาม ปิดบาดแผล อดกลั้นความเจ็บปวดมิให้ลูกเห็น แสดงอาการ เศรา้ โศกและแสดงความรักอาลยั ลกู อยา่ งสดุ ซ้ึง แลว้ กต็ กลงมา ตาย คนท่ียิงแม้ทีแรกจะไมค่ ดิ อะไร ครนั้ เหน็ เหตกุ ารณ์ดังกลา่ ว 11

เห็นสายตาสัตว์ผู้แม่ท่ีมองตนอย่างละห้อยเหมือนจะถามสาเหตุ เกิดสงสารสงั เวชจนเลิกการล่าสัตวต์ งั้ แต่บดั นน้ั ก็มี บางทีในฤดูแล้ง สัตว์ป่าจำ�ต้องกระเสือกกระสนมาด่ืม นำ้�ในสระที่มีคนไปคอยดักยิงอยู่ แม้น่าจะรู้ว่ามีภัย ก็ต้องมา เพราะความระหายนำ้� แล้วถูกยิงอย่างยอมให้ยิง การยิงสัตว์ เป็นการกีฬาในคราวสัตว์เผชิญทุกข์เช่นน้ี เป็นการแสดงความ โหดร้ายย่ิงนัก ผู้ท่ีมีใจอำ�มหิตโหดร้ายนี้แหละ คือยักษ์ในหมู่ มนษุ ยแ์ ละในหมดู่ ริ จั ฉาน ผใู้ ชค้ วามคดิ ใหถ้ กู ตอ้ งสกั หนอ่ ยจกั ท�ำ อย่างนั้นไม่ได้เลย ในฐานะนับถือพระพุทธเจ้าก็ยิ่งไม่ควรทำ� พระพุทธเจ้าทรงสอนให้นึกเปรียบเทียบระหว่างตัวเรากับผู้อื่น สัตว์อื่นว่า ต่างรักชีวิตกลัวตายเหมือนกัน แล้วควรเว้นจาก การฆา่ การเบียดเบียน ควรปลกู เมตตากรุณาในสรรพสัตว์ มิใช่แต่การฆ่าสัตว์มีชีวิตอื่นเท่าน้ัน ถึงการฆ่าตัว เองตายที่เรียกว่าอัตวินิบาตกรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามมิให้ ทำ� การฆ่าตัวเป็นการแสดงความอับจน พ่ายแพ้ หมดทาง 12

แก้ไข หมดทางออกอย่างอื่น สนิ้ หนทางแลว้ เม่อื ฆา่ ตวั ก็เปน็ การทำ�ลายตวั เมอื่ ท�ำ ลายตัวกเ็ ปน็ ทำ�ลายประโยชนท์ กุ ๆ อย่าง ท่ีจะพึงได้ในชีวิต ในบางหมู่เห็นว่าการฆ่าตัวในบางกรณีเป็น เกยี รตสิ งู แตท่ างพระพทุ ธศาสนาแสดงวา่ เปน็ โมฆกรรมคอื กรรม ที่เปลา่ ประโยชน์ เรียกผทู้ ่ีทำ�ว่าโมฆบคุ คลคือคนเปล่า เทา่ กบั วา่ ตายไปเปลา่ ๆ ควรจะอยู่ทำ�อะไรให้เกิดประโยชนต์ ่อไปได้ กห็ มด โอกาสเสยี แลว้ ตรงกบั ค�ำ ทพ่ี ดู กนั วา่ เสยี ไปเสยี แลว้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สงวนรักษาตนให้ดีตลอดเวลา ทั้งปวง ทรงห้ามมิให้มอบตนให้แก่ใคร และไม่ให้ฆ่าตัวเอง เช่นเดียวกับมิให้ฆ่าสัตว์อ่ืน โดยปกติคนทุกคนรักชีวิตรักตน กลัวตาย แต่เพราะเหตุบางอย่างบางครั้งอาจเกิดการคิดสละ ชีวิต กเ็ ม่อื เกดิ ความคิดเชน่ นั้นขึน้ ได้ ไฉนจะท�ำ ใหเ้ กิดความคิด อกี อยา่ งหนง่ึ ขน้ึ ไมไ่ ด้ คอื คดิ อยตู่ อ่ ไป เวน้ ไวแ้ ตจ่ ะแพแ้ กค่ วามคดิ แพแ้ กใ่ จตนเอง ฉะนนั้ เมอื่ มสี ตริ ะวงั มใิ หเ้ ปน็ ผพู้ า่ ยแพอ้ ยา่ งหมด ประตเู ชน่ นั้น แต่ใหเ้ ปน็ ผชู้ นะตนเอง ชนะใจตนเองไดแ้ ลว้ จะไม่ 13

กอ่ กรรมน้ันให้แกต่ นได้เลย ธรรมค่กู บั ศีลขอ้ ๑ คอื เมตตากรณุ า เปน็ กัลยาณ- ธรรม ธรรมที่งาม หรือธรรมท่ีทำ�ให้เป็นกัลยาณชน คนงาม เมตตากรุณาน้ีเป็นมูลฐานให้เกิดศีลข้อท่ี ๑ และทำ�ให้จิตใจ งาม เปน็ เหตกุ อ่ การกระทำ�เกื้อกูลข้ึนอีก ดังเช่นไม่ฆ่าสตั วด์ ว้ ย มศี ลี และเก้อื กลู สตั ว์ทั้งหลายด้วยมีธรรมคอื ความเมตตากรณุ า การไม่เก้ือกูลใคร ไม่ทำ�ให้เสียศีล เพราะไม่ได้ฆ่าใคร แต่ขาด ธรรมคอื กรุณา ฉะน้ัน จึงควรปลูกเมตตากรณุ าให้มีคไู่ ปกับศลี เมตตา คือความคิดปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข คำ�ว่า ไมตรีจิต หรือมิตรจิต ก็คือจิตใจท่ีประกอบด้วยเมตตา คน ที่มีมิตรจิตเรียกว่ามิตร ตรงกันข้ามกับศัตรูหรือไพรี ซึ่งมีจิต พยาบาทม่งุ รา้ ย เมตตาจงึ ตรงขา้ มกับโทสะพยาบาท เมตตาเป็น เครื่องอุปถมั ภ์ โทสะพยาบาทเปน็ เคร่อื งทำ�ลายลา้ ง ฉะนน้ั เม่ือ มเี มตตาตอ่ กนั ยอ่ มคดิ จะเกอื้ กลู กนั ใหม้ คี วามสขุ ถงึ จะประพฤติ ผิดพล้ังพลาดต่อกันบ้าง ก็ให้อภัยกันไม่ถือโทษ เหมือนอย่าง 14

มารดาบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ถือโทษด้วยโทสะพยาบาทใน บุตรธิดา แต่ถ้าขาดเมตตาต่อกันแล้วก็ตรงกันข้าม สถานและ สิ่งของเป็นเครือ่ งเกอื้ กูลท่ีมีอยทู่ ่วั ไป เช่น วัด โรงเรยี น และ สถานศึกษาอบรมต่างๆ เป็นต้น ล้วนประกาศเมตตาจิตของผู้ จดั ตัง้ หรอื จัดท�ำ เพ่อื ใหเ้ กิดสุขประโยชนแ์ กค่ นท้ังหลาย กรณุ า คอื ความคดิ ปรารถนาใหผ้ ูอ้ นื่ สตั วอ์ ่ืนปราศจาก ทุกข์ เม่ือเห็นทุกข์เกิดแก่ผู้อื่นก็พลอยหวั่นใจสงสาร เป็น เหตุให้คิดช่วยทุกข์ภัยของกันและกัน กรุณาน้ีตรงกันข้ามกับ วิหิงสาความเบียดเบียน สิ่งที่เป็นเคร่ืองช่วยเปลื้องช่วยบำ�บัด ทกุ ขภ์ ยั ท้งั หลาย เช่น โรงพยาบาลเปน็ ตน้ ล้วนประกาศกรุณา ของท่านผสู้ รา้ ง ชีวิตของทุกคนดำ�รงอยู่ได้ก็ด้วยอาศัยความเมตตา กรุณาของผู้อ่ืนมาต้ังแต่เบื้องต้น คือต้ังต้นแต่บิดา มารดา ญาตมิ ติ รสหาย ครอู าจารย์ พระมหากษตั รยิ ์ และรฐั บาล เปน็ ตน้ ไมเ่ ชน่ นนั้ ถงึ ไมถ่ กู ใครฆา่ กไ็ มอ่ าจจะด�ำ รงชวี ติ อยไู่ ดเ้ ลย เหมอื น 15

อย่างมารดาบิดาทิ้งทารกไว้เฉยๆ ไม่ถนอมเล้ียงดู ไม่ต้องทำ� อะไร ทารกก็จะสิ้นชวี ิตไปเอง ฉะนัน้ เมื่อทกุ ๆ คนมชี วี ิตเจรญิ มาด้วยความเมตตากรุณาของท่าน ก็ควรปลูกเมตตากรุณาใน ชีวิตอื่นสืบต่อไป วิธีปลูกเมตตา คือคิดต้ังใจปรารถนาให้เขาเป็นสุข น้ีเป็นเมตตา และคิดต้ังใจปรารถนาให้เขาปราศจากทุกข์ น้ีเป็นกรุณา ทีแรกท่านแนะนำ�ให้คิดไปในตนเองก่อน แล้วให้ คดิ เจาะจงไปในคนที่รักนับถอื ซึ่งเป็นทใี่ กล้ชดิ สนิทใจ อนั จะหดั ให้เกิดเมตตากรุณาได้ง่าย คร้ันแล้วก็หัดคิดไปในคนที่ห่างไกล ออกไปโดยลำ�ดับ จนในคนที่ไม่ชอบกัน เมื่อหัดคิดโดยเฉพาะ เจาะจงได้สะดวก ก็หัดคิดแผ่ใจออกไปด้วยเมตตากรุณาใน สรรพสัตว์ไม่มีประมาณทุกถ้วนหน้า เม่ือหัดคิดต้ังใจดังกล่าว บ่อยๆ เมตตากรุณาจะเกิดขึ้นในจิตใจ เหมือนอย่างหว่านพืช ลงไปแล้วหมั่นปฏบิ ตั ติ ามวธิ ีเพาะปลูก เชน่ รดน้ำ�เปน็ ต้นเนืองๆ พืชก็งอกขึน้ ฉันน้นั ฉะนน้ั ควรเรม่ิ เพาะปลกู เมตตากรณุ าในพี่ 16

ในน้อง ในมารดาบิดา ตลอดถึงในเพ่ือนท่ีไม่ค่อยชอบเป็นต้น เมื่อพืชคือเมตตากรุณางอกขึ้นแล้ว ตัวเรานี้แหละจะเป็นสุข ก่อนใครหมด 17

มนุษยธรรมท่ี ๒ ในสมัยหน่ึงในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ในเชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี โกศลรัฐ มีพราหมณ์ผู้คงแก่ เรียนคนหนึ่ง เป็นผู้ที่พระราชาแห่งรัฐนั้นทรงยกย่องนับถือยิ่ง กว่าพราหมณ์คนอ่ืนๆ จึงคิดว่า ในหลวงทรงเห็นเราว่าเป็นผู้ มศี ีลหรือมสี ตุ ะ (คือมวี ิชาความรูเ้ พราะได้เรยี นมาแล้ว) จงึ ทรง นับถือเป็นราชครู เราจะทดลองดูให้ร้แู น่ว่า ศีลหรือวิชาความรู้ จกั สำ�คญั กวา่ กนั วนั หนงึ่ เม่ือเขา้ ไปเฝา้ พระราชาในพระราชวัง จึงลองหยิบเงิน ๑ กหาปณะจากที่เก็บของราชเหรัญญิก (ผรู้ กั ษาเงนิ หลวง) ราชเหรญั ญกิ กน็ ง่ิ ไมพ่ ดู วา่ กระไรเพราะเคารพ ในครั้งที่ ๒ พราหมณ์ก็ลองทำ�อย่างนั้นอีก ราชเหรัญญิกก็ ยงั น่งิ ครั้นพราหมณ์นกั ทดลองน้ันลองหยิบเอาอกี เปน็ ครั้งที่ ๓ ราชเหรญั ญกิ จงึ รอ้ งขน้ึ วา่ โจรลกั พระราชทรพั ย์ จบั ตวั พราหมณ์ ผกู พนั ธนาการไปแสดงตอ่ พระราชา กราบทลู ใหท้ รงทราบ 18

พระราชาได้ทรงสดับแล้วไม่สบายพระราชหฤทัย ได้ ตรัสสอบถามความจริงแก่พราหมณ์ พราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์มิได้มีเจตนาลักพระราชทรัพย์ มีเจตนาเพียงเพ่ือจะทดลองดูให้หายสงสัยเท่าน้ัน เพราะ ข้าพระองค์สงสัยอยู่ว่า ศีลกับวิชาความรู้ ๒ อย่างนี้ อย่าง ไหนจะสำ�คัญกว่ากัน จึงลองทำ�เหมือนผิดศีล คือทำ�แกล้ง หยิบฉวยทรัพย์หลวง ดังท่ีราชเหรัญญิกได้กราบทูลน้ัน บัดนี้ ข้าพระองค์สิ้นสงสัยแล้ว เห็นชัดแล้วว่า ศีลสำ�คัญ เมื่อพระ ราชาได้ทรงทราบเรื่องการทดลองศีลของพราหมณ์แล้ว ก็ไม่ ทรงถอื วา่ เปน็ ความผดิ พราหมณไ์ ดก้ ราบทลู ขอพระราชานุญาต บวชในสำ�นักพระพุทธเจ้า พระราชาได้พระราชทานอนุญาต พราหมณ์นั้นจึงได้เข้าบรรพชาอุปสมบทอยู่ในพระพุทธศาสนา สบื มา เรื่องนี้พระอาจารย์ได้เขียนเล่าไว้ ตั้งชื่อว่า เร่ือง ทดลองศีล เพื่อเป็นตัวอย่างว่า ศีลนั้นเป็นข้อสำ�คัญในทาง 19

ความประพฤติตัว คู่กับวิชาความรู้ที่เป็นข้อสำ�คัญในการเล้ียง ชวี ติ เปน็ ต้น จะหมิน่ ศีลเสียว่ามวี ชิ าความร้อู ย่างเดียวก็พอ ดงั น้ี หาชอบไม่ จำ�ต้องมีศีลด้วย จึงจะได้รับความยกย่องนับถือให้ ดำ�รงฐานะตำ�แหน่งต่างๆ แม้จะดำ�รงฐานะตำ�แหน่งสูง มีวิชา สามารถ ถ้าประพฤตเิ ปน็ การผดิ ศลี เป็นท่ปี รากฏ ดังพราหมณ์ ราชครูหยิบทรัพย์หลวง ก็จะต้องเส่ือมเสีย และต้องได้รับโทษ ตามความผิด และตามกฎหมายในเวลานั้น ลักทรัพย์เพียง ๑ บาท ก็มีโทษถึงประหารชีวิต เม่ือพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ พระวินัย ได้ปรับโทษการลักทรัพย์ตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป เป็น ปาราชิก คือขาดจากความเป็นภิกษุ จะอุปสมบทอีกไม่ได้ เท่ากับเปน็ โทษประหารในทางศาสนา อนโุ ลมตามกฎหมายบ้าน เมือง และตามมาตราเงนิ ในเวลานัน้ ๕ มาสกเปน็ ๑ บาท ๔ บาทเป็น ๑ กหาปณะ พราหมณ์นักทดลองศีลได้หยิบ ทรัพยห์ ลวงเกนิ ๑ บาทมากมาย ฉะนั้น แม้จะเป็นการท�ำ เพอ่ื ทดลองดู แต่ถ้าพระราชาไม่ทรงเชื่ออย่างนั้น ก็มีหวังว่าจะได้ 20

รบั มหันตโทษ ใครๆ จงึ ไมค่ วรทดลองศลี อยา่ งพราหมณต์ ามท่ี เลา่ และใครจะเช่ือ เม่อื ไปหยิบของอะไรของใคร เจา้ ของเอะอะ ข้ึน จงึ พูดแก้ว่า ลองหยบิ ดเู ล่นๆ เท่านัน้ ไม่ใช่หยบิ เอาจริงๆ เพ่ือให้ทราบหลักเกณฑ์ของศีลข้อที่กล่าวนี้ จะได้แสดงเร่ืองศีล ข้อนีโ้ ดยเฉพาะต่อไป อทินฺนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่ เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยจิตคิดลัก คำ�ว่าสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ หมายถงึ ของทกุ ๆ อยา่ ง ทเี่ จา้ ของยงั หวงแหนยดึ ถอื กรรมสทิ ธอ์ิ ยู่ สง่ิ ของหรอื วตั ถทุ กุ อยา่ งทบ่ี คุ คลสามารถเขา้ ยดึ ถอื เปน็ กรรมสทิ ธิ์ ได้ เรยี กรวมว่า ทรพั ย์ แบ่งออกเป็น ประเภทใหญๆ่ ได้ ๒ คอื สงั หารมิ ทรพั ย์ ไดแ้ กท่ รพั ยท์ เ่ี คลอ่ื นทไ่ี ด้ ไมว่ า่ ตวั ทรพั ย์ น้นั เคล่อื นท่ไี ด้เองเพราะเป็นส่งิ มีวิญญาณ (สวิญญาณกทรัพย์) เชน่ ช้าง ม้า วัว ควาย หรอื เป็นสิ่งท่ีคนท�ำ ใหเ้ คล่อื นเพราะ เป็นสิ่งไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์ เช่น สมุด ดินสอ ปากกา เงิน ทอง เปน็ ต้น) 21

อสงั หารมิ ทรพั ย์ ไดแ้ กท่ รพั ยท์ เ่ี คลอื่ นทไี่ มไ่ ด้ ไดแ้ กท่ ดี่ นิ และบ้านเรือนที่ปลูกอย่างถาวรบนที่ดิน ถ้าแบ่งทรัพย์ออกเป็น สวญิ ญาณกทรพั ย์ (ทรพั ยท์ ม่ี วี ญิ ญาณ) และอวญิ ญาณกทรพั ย์ (ทรพั ยท์ ไี่ มม่ วี ญิ ญาณ) อสงั หารมิ ทรพั ยก์ จ็ ดั เขา้ ในอวญิ ญาณก- ทรัพย์ (สัตว์บางชนดิ ไดย้ นิ วา่ เกดิ ติดที่ เช่น หอยนางรม ถา้ เปน็ อยา่ งนน้ั กเ็ ปน็ สวญิ ญาณกะทเ่ี ปน็ อสงั หารมิ ะ) ทรัพย์เหล่าน้ีท่ีมีเจ้าของถือกรรมสิทธิ์อยู่ เรียกว่า อทนิ นะ สง่ิ ของทเี่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ค�ำ วา่ ไมไ่ ดใ้ ห้ กห็ มายความวา่ ยงั ถือกรรมสิทธ์เิ ป็นเจา้ ของอยู่ ยังไมส่ ละกรรมสทิ ธิเ์ ป็นเจา้ ของ และค�ำ วา่ เจา้ ของ หมายถงึ คนใดคนหนง่ึ กไ็ ด้ หมายถงึ สว่ นกลาง กไ็ ด้ เชน่ ถา้ เปน็ ของของใครคนไหน คนนน้ั กเ็ ปน็ เจา้ ของ ถา้ เปน็ ของสมาคมไหนองคก์ ารไหน สมาคมนน้ั องคก์ ารนน้ั กเ็ ปน็ เจา้ ของ ถา้ เปน็ ของหลวง หลวงกเ็ ปน็ เจา้ ของ ถา้ เปน็ ของสงฆข์ องศาสนา สงฆแ์ ละศาสนากเ็ ปน็ เจา้ ของ เปน็ ตน้ 22

การถือเอา (ส่ิงของที่เจ้าของไม่ได้ให้) ด้วยจิตคิดลัก มาจากศัพท์ว่า อาทานะ ในคำ�ว่า อทินฺนาทานา (อทินฺน + อาทาน) หมายความว่า ถือเอาทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อ่ืนไปจาก ความครอบครองของเขา ดว้ ยเจตนาทจุ รติ คอื ดว้ ย เถยยเจตนา เจตนาลกั ขโมย เรยี กสน้ั ๆ วา่ ลกั การลักทุกอย่างท่ีผิดศีลข้อท่ี ๒ นี้ มีโทษน้อย และมากตามวตั ถทุ ลี่ กั เจตนาทล่ี กั และกริ ยิ าทปี่ ระกอบโจรกรรม ถ้าวัตถุที่ลักเล็กน้อย เจตนาอ่อน กิริยาท่ีทำ�การลักไม่ร้ายแรง ก็มีโทษน้อย ถ้าวัตถุท่ีลักมาก เจตนาแรง กิริยาท่ีทำ�การลัก รา้ ยแรง ก็มโี ทษมากขึ้น คอื เปน็ บาปมากขน้ึ ตามสว่ นกัน และจะ ลกั เองหรอื สงั่ ใชใ้ หผ้ อู้ นื่ ลกั กเ็ ปน็ การลกั อนั ผดิ ศลี ขอ้ นเ้ี หมอื นกนั ถ้าจะถามว่าอทินนาทาน เป็นศีลข้อที่ ๒ ใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ เพราะว่าอทินนาทานแปลว่า การถือเอาส่ิงของ ที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยจิตคิดลัก อทินนาทานจึงไม่ใช่ศีล แต่เป็น การทำ�ท่ผี ดิ ศลี 23

ถ้าถามว่าอะไรเป็นศีลข้อที่ ๒ ตอบว่าเวรมณี คือ ความเว้นจากอทินนาทาน หรือวิรัติเจตนางดเว้น น้ีแหละเป็น ศีล ถ้าตั้งใจไว้ว่าจะไม่ลักของใคร ด้วยรับศีลไว้หรือด้วยตั้งใจ เอาเอง ก็เปน็ สมาทานวิรัติ ถ้าไมไ่ ด้ตั้งใจไว้กอ่ น ไปพบของใคร วางเผลอไว้ จะลักกไ็ ด้ แต่ก็เกิดตงั้ ใจขน้ึ เด๋ียวน้ันวา่ ไมล่ ัก เป็น สัมปัตตวิรัติ ถ้าเว้นได้เป็นปกตินิสัย ไม่มีเกิดความคิดจะลัก ข้ึนเลย ทุกส่ิงทุกโอกาส ก็เป็นสมุจเฉทวิรัติ เช่นเดียวกับที่ ไดแ้ สดงแล้วในศีลข้อที่ ๑ การล่วงศีลข้อนี้มีขึ้นในเม่ือของท่ีจะลักเป็นของ ที่มีเจ้าของหวงแหน ตนก็รู้อยู่ว่าเป็นของที่มีเจ้าของหวงแหน มีเจตนาลัก ทำ�การลักเองหรือสั่งใช้ให้คนอ่ืนลัก และได้ ของน้ันมา ใครมือไวใจเร็วประพฤติผิดศีลข้อน้ี เม่ือตั้งใจ งดเวน้ ขน้ึ ใหมเ่ มือ่ ใด กเ็ กิดเป็นศลี ขน้ึ อีกเมอ่ื นัน้ เพราะศลี มีขนึ้ ดว้ ยวริ ัติเจตนาดงั แสดงแลว้ 24

อนึ่ง ควรเว้นจากการลักทรัพย์โดยอ้อม คือไม่ใช่ โจรกรรมหรืออทินนาทานโดยตรง แตว่ า่ อนโุ ลมโจรกรรม เช่น สมโจร คือเปน็ ใจรับซ้ือของโจรของขโมย ปอกลอก คือคบคนด้วยอาการไม่ซ่ือสัตย์ มุ่งหมาย จะเอาทรัพย์ถ่ายเดียว หาวิธีให้เขาจ่ายทรัพย์ให้ บางทีจนถึง เขาต้องสน้ิ ตัว ตอ้ งตกยาก รับสินบน คือถือเอาทรัพย์ที่เขาให้ เพื่อช่วยทำ�ธุระให้ แกเ่ ขาในทางท่ผี ิด อีกอย่างหน่ึง ควรเว้นจากการทำ�ทรัพย์ของผู้อ่ืนให้ สูญท่ีตนจะต้องรับใช้ อันนับว่าเป็นฉายาโจรกรรม ฉายาแปล วา่ เงา ฉายาโจรกรรม ก็ไดแ้ ก่เงาของโจรกรรม คือใกลจ้ ะเป็น โจรกรรมทีเดยี ว เช่น ผลาญ คือทำ�อันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นด้วยโทสะ พยาบาท เช่น ผกู โกรธเขาจงึ ลอบฟนั ต้นผลไมข้ องเขา ลอบท�ำ ของอะไรของเขาให้เสยี 25

หยิบฉวย คือถือเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนด้วยความมักง่าย เช่น บุตรหลานผู้ประพฤติมักง่าย ไม่บอกขออนุญาตก่อน หยิบฉวยสิ่งของของมารดาบิดาปู่ย่าตายายไปใช้ ด้วยถือว่า เป็นของมารดาบิดาและญาติ มิตรสหายหยิบฉวยสิ่งของของ มติ รไปใช้ ไม่ไดบ้ อกเจา้ ของให้รู้ อันคนที่คุ้นเคยไว้วางใจกัน เช่น เป็นญาติกัน เป็น มิตรสหายกัน เรียกว่าคนวิสาสะกัน คำ�ว่า วิสาสะ แปลว่า คุ้นเคยกัน ไว้วางใจกัน คนท่ีมีวิสาสะกันน้ี อาจถือวิสาสะ คือ ถอื เอาของของกันไปใช้ มิไดบ้ อกให้เจ้าของรู้กอ่ น แต่การ ถือวิสาสะนี้มีโทษถ้าถือไม่ถูกลักษณะ เม่ือถือให้ถูกต้องตาม ลกั ษณะของการถอื วสิ าสะ จงึ จะไม่มีโทษ ลกั ษณะของการถือ วสิ าสะทีถ่ กู ต้อง คอื เจ้าของเป็นผ้สู นิทกบั ตน เมอ่ื ถอื วิสาสะแล้วจะไมม่ ใี คร สนเท่ห์ 26

เจ้าของได้ส่ังอนุญาตไว้ หรือเป็นส่ิงท่ีเขาไม่หวงหรือ พอใหแ้ ก่ตนได้ เมอื่ ถอื เอาแล้ว เขารเู้ ขา้ เขาจะพอใจหรือไม่วา่ อะไร การถือวิสาสะไม่ถูกลักษณะ มีโทษ ทำ�ความไม่พอใจ แก่เจ้าของ ทำ�ให้เขาสิ้นรักส้ินไว้วางใจในตน และทำ�ให้เป็นที่ สงสยั ของคนอ่นื วา่ ตนเป็นโจรเป็นขโมย ฉะนั้น ยิง่ ค้นุ เคยกนั มาก ก็ควรจะยิ่งระวัง เพื่อมิให้เกิดความประมาท ถือเสียว่า คุ้นเคยกัน พาให้ประพฤติผิดต่อกัน เช่น ถือวิสาสะกันอย่าง มักง่าย เม่ือเป็นเช่นน้ี ความคุ้นเคยก็จะกลายเป็นเหตุก่อ ความกนิ แหนงแตกร้าว ถ้าไม่ค้นุ เคยกันยังดีกว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลข้อนี้ต่อจากข้อท่ี ๑ พิจารณาดูเห็นว่า ทรงบัญญัติข้ึนด้วยอาศัยหลักยุติธรรมและ เมตตากรุณาเช่นเดียวกนั เพราะทกุ ๆ คน ตา่ งต้องมีทรพั ย์ไว้ สำ�หรับบริโภคใช้สอย และไม่ปรารถนาให้ใครลักขโมยช่วงชิงไป บางคนต่อสู้เพ่ือป้องกันทรัพย์จนถึงต้องบาดเจ็บล้มตาย เม่ือ 27

ตนไม่ชอบให้ใครมาลักทรัพย์ของตน ก็ไม่ควรลักทรัพย์ของ คนอน่ื ฉะนนั้ การไมล่ กั ทรพั ยข์ องกนั จงึ เปน็ การละเวน้ ทย่ี ตุ ธิ รรม ในทรัพย์ เพราะเป็นการละเว้นความลำ�เอียงเห็นแก่ตัวเสียได้ ด้วยนึกเห็นใจคนอื่น ที่มีความหวงแหนรักษาทรัพย์เหมือนกับ ตน และคนเราจะอยูด่ ้วยกันเปน็ สุข กเ็ พราะไมเ่ บียดเบยี นในทาง ต่างๆ ในทางหน่ึง คือไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของกัน ละเว้น จากการเบียดเบียนกันได้ ก็ด้วยปลูกเมตตากรุณาในกัน คอย ยับย้ังหักห้ามใจท่ีอยากได้หรือโกรธเกลียด เมื่อมีเมตตาหวังดี มีกรุณาหวังช่วยกันอย่างจริงใจแล้ว ก็จะไม่คิดขโมยของกัน ฉะน้ัน ศีลขอ้ น้ีจงึ เปน็ ศลี โดยปกตขิ องคนที่มเี มตตากรณุ าตอ่ กัน ไม่ต้องไปรับมาจากท่ีไหนเลย แต่เกิดจากใจเมตตากรุณาเอง ดังเช่นมารดาบิดาและผู้ท่ีมีเมตตาท้ังหลายไม่ได้ไปรับศีลจาก ท่ีไหน แตก่ ็มศี ลี ในบุตรธิดาและในผ้ทู ี่ตนเมตตา ไมม่ ีคดิ เลยท่ีจะ เบียดเบียนทรัพย์ของบุตรธิดาและในผู้ท่ีตนเมตตา มีแต่คิดให้ อาศยั หลกั เมตตากรุณาดังกล่าว พระพทุ ธเจา้ จึงทรงบญั ญตั ศิ ลี 28

ข้อนี้ และด้วยศีลข้อนี้เป็นอันรับรองความมีกรรมสิทธ์ิในทรัพย์ ของเจา้ ของทรพั ย์ทกุ คน มีบางคนกล่าวอ้างว่า พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ ยึดถือทรัพย์ ถ้ามีก็ให้รวมเป็นกองกลางคือของสงฆ์ คำ�อ้างนี้ ผดิ หลกั ศลี ขอ้ นแ้ี ละผดิ หลกั สมั มาอาชวี ะ (เลย้ี งชวี ติ ในทางทช่ี อบ) ในพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลขอ้ น้ี เปน็ อันทรงรับรองความมีทรัพย์ยึดครองอยู่ จึงห้ามมิให้ลักทรัพย์ ของกัน และทรงสอนให้ประกอบอาชีพ แสวงหาทรัพย์ในทาง ที่ชอบ เมื่อได้มาก็ให้รักษาไว้ให้ดี และใช้จ่ายให้พอสมควรแก่ กำ�ลัง ส่วนของสงฆ์น้ันเก่ียวแก่พระภิกษุสงฆ์ เมื่อมีวัดขึ้น ก็ ต้องมีของกลางสำ�หรับวัด เรียกว่าเป็นของสงฆ์ สำ�หรับวัด เป็นวัดๆ ไป เช่นเดยี วกบั ในฝา่ ยอาณาจักรก็มีของหลวง ของ องค์การ ของสมาคมนั้นๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติให้ ต้องรวมของบุคคลเข้าเป็นของสงฆ์ และในคำ�สอนท่ีให้สละ บริจาค ก็สอนให้รู้จักเลือกให้ มิได้สอนให้สละเร่ือยไป แต่เม่ือ 29

จะออกบวช ตอ้ งสละสมบัตฆิ ราวาสอยูเ่ อง และตอ้ งปฏบิ ัตติ าม พระธรรมวนิ ยั ของผู้บวช เป็นคฤหสั ถ์กค็ วรปฏบิ ตั ิตามฆราวาส- ธรรม (ธรรมของคฤหัสถ์) เป็นพระจะปฏิบัติอย่างชาวบ้าน หรือชาวบ้านจะปฏิบัติอย่างพระหาได้ไม่ ในธรรมข้อเดียวกัน บางข้อก็มีวิธีปฏิบัติต่างกัน เช่น สัมมาอาชีวะ เป็นพระเที่ยว บิณฑบาต เป็นสัมมาอาชีวะ ไปประกอบการค้าไม่เป็นสัมมา- อาชีวะ เป็นคฤหัสถ์ประกอบการค้าในทางชอบเปน็ สมั มาอาชีวะ แต่จะเท่ยี วบณิ ฑบาตไม่ได้ ฉะนนั้ การอ้างเอาพระพุทธศาสนา ต่างๆ น้ัน บางทีเป็นการอ้างเอาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากพระพุทธศาสนา ธรรมคู่กับศีลข้อท่ี ๒ คือสัมมาอาชีวะ ความเล้ียง ชีพในทางท่ีชอบ เป็นข้อท่ีควรมีให้คู่ไปกับศีลข้อน้ี คนมีศีลท่ี ยากจนขัดสน และคนที่เป็นโจรเป็นขโมย ก็เพราะขาดสัมมา- อาชวี ะ ถ้ามสี มั มาอาชวี ะ กจ็ ะไมย่ ากจน จะไม่เป็นขโมย การ อาชพี เปน็ กิจจ�ำ เปน็ ของทุกๆ คน เพราะทุกๆ คนตอ้ งบรโิ ภคท่ี 30

แปลว่ากนิ เครื่องบรโิ ภคที่จ�ำ เปน็ ก็ไดแ้ กป่ ัจจยั (เคร่ืองอาศยั ) ๔ คอื ผ้าน่งุ หม่ อาหาร ที่อยูอ่ าศัย ยารกั ษาโรค และบางทแี ยก เรยี กของกนิ คอื อาหารวา่ เครอ่ื งบรโิ ภค ของใชน้ อกจากนวี้ า่ เครอ่ื ง อปุ โภค กิจการเพื่อใหม้ ีของกินของใช้มา เคยเรยี กวา่ โภคกจิ แล้วเปลีย่ นเรยี กวา่ เศรษฐกิจ เป็นเรอื่ งปากทอ้ ง หรอื เป็นเรอ่ื ง ยงั ชวี ิตเลยี้ งชวี ิตคอื การอาชพี ทุกคนต้องหาปัจจัยมาบริโภคเลี้ยงตนและผู้อื่นที่จะ ต้องเลี้ยง พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ทำ�งานหาเลี้ยงชีพด้วย สัมมาอาชีวะ เพ่ือให้ได้ทรัพย์มาในทางท่ีชอบให้พอเพียง เม่ือ หาเลี้ยงชีพเองยังไม่ได้ เช่น ยังเป็นเด็ก กำ�ลังเล่าเรียนศึกษา ต้องอาศัยมารดาบิดาหรือผู้อื่นท่ีมีเมตตากรุณาเล้ียงดู ก็ควร ประพฤตโิ ดยอนโุ ลมสมั มาอาชวี ะ เช่น ชว่ ยมารดาบดิ าหรอื ผ้ทู ่ี ตนอาศัยอยู่ท�ำ การงานทีพ่ อควรแกก่ ำ�ลังและเวลาของตน ไม่ใช้ ทรพั ยท์ ที่ ่านใหใ้ นทางท่ีผดิ เชน่ ไปเล่นการพนัน ใช้แต่ในทางที่ เป็นประโยชน์ ใหร้ ้จู กั ค่าของทรัพย์ ใหร้ วู้ ่าท่านได้ทรพั ย์มาดว้ ย 31

ความเหนื่อยยาก รู้จักประหยัด ออมทรัพย์ ไม่หลอกลวงขอ ทรัพย์ท่าน เช่น ขอด้วยอ้างวา่ จะไปช�ำ ระคา่ เลา่ เรียน แต่ไปใช้ ดูภาพยนตรเ์ สีย และเมอื่ ทา่ นอุปการะเพื่อให้เรยี น กต็ ัง้ ใจเรียน ให้ดีทสี่ ดุ ให้สมกบั ความเมตตากรณุ าของท่านแล 32

มนุษยธรรมท่ี ๓ ในอดีตล่วงมาแล้ว ได้มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคน หนึ่ง เรียนศิลปะท้ังปวงในเมืองตักกศิลา สำ�เร็จวิชาธนู ได้ มีชื่อปรากฏว่าจุลลธนุคคหบัณฑิต คือเป็นบัณฑิตเรียนสำ�เร็จ วิชาธนู แต่ยังเป็นหนุ่มน้อย (อย่างได้ปริญญาเป็นบัณฑิตใน บัดน้ี) อาจารยข์ องธนคุ คหะนั้นพอใจวา่ ธนคุ คหะเรียนศลิ ปะได้ เหมอื นตน จึงยกธิดาของตนใหเ้ ป็นภรยิ า ธนุคคหะพาภริยาเดินทางกลับเมืองพาราณสี เม่อื เดนิ ทางไปถึงทางป่าชัฏตำ�บลหน่ึงท่ีไม่มีใครจะเดินผ่านไป เพราะมี ช้างดุรา้ ยคอยทำ�ร้ายคนเดนิ ทาง ธนคุ คหะผู้แม่นธนไู ม่กลัว จงึ พาภริยาเดนิ ทางผ่านเข้าไป ก็พบชา้ งดุวิง่ เขา้ มา จึงยิงลกู ศรไป ดอกหนึ่งต้องตระพองช้างดุร้ายทะลุหลัง ช้างร้ายก็ลมลงในที่ น้ัน ต�ำ บลน้ันจึงเป็นทีป่ ลอดภัยของคนเดนิ ทางทัง้ ปวง 33

ธนุคคหะพาภริยาเดินทางต่อไปถึงทางป่าชัฏอีกตำ�บล หน่ึง อันเป็นแหล่งโจร ๕๐ คนซ่องสุมอยู่ ค่อยฆ่าปล้นคน เดินทาง ธนุคคหะผู้แม่นธนูไม่กลัวได้เดินเข้าทางเข้าไป พบ พวกโจรกำ�ลังน่ังปิ้งเนื้อเสียบไม้บริโภคกันอยู่ พวกโจรเห็น ธนุคคหะเดินมากับภริยาผู้ประดับตกแต่งกายจึงจะพากันลุกข้ึน จับตัว แต่นายโจรเป็นผู้ฉลาดดูลักษณะคน สังเกตรู้ว่าชายน้ี เปน็ คนเอกอ(ุ ดม) จงึ หา้ มโจรบรวิ ารทงั้ ปวงมใิ หล้ กุ ขน้ึ สกั คนหนงึ่ ธนุคคหะส่งภริยาเข้าไปหาพวกโจร ให้ขอเนื้อมา บริโภคสักเสียบไม้หนึ่ง นายโจรจึงสั่งให้บริวารให้ พวกโจรได้ ให้เสียบไม้เนื้อดิบที่ยังมิได้ปิ้ง เพราะคิดว่าพวกเราก็ต้องปิ้ง กนั เอง ฝา่ ยธนคุ คหะเป็นผู้ยกตน จึงโกรธพวกโจรว่าให้เนอื้ ดิบ พวกโจรก็โกรธว่า บุรุษนี้คนเดียวเท่านั้นมาแสดงหม่ินเหมือน พวกเราเป็นสตรี จึงลุกฮือขึ้นพากันวิ่งเข้าไป ธนุคคหะจึงยิง พวกโจรล้มลง ๔๙ คน ด้วยเกาทัณฑ์ ๔๙ ดอก ก็หมด เกาทณั ฑ์ เพราะรางเกาทัณฑบ์ รรจุเกาทัณฑ์หรอื ลูกศรทัง้ หมด 34

๕๐ ดอก ธนคุ คหะได้ยงิ ช้างเสียดอกหน่งึ จงึ เหลือ ๔๙ ดอก เม่ือยงิ โจรอกี ๔๙ ดอก ฆา่ โจร ๔๙ คน ก็หมดลกู ยังเหลือ นายโจรอกี ๑ คน ธนุคคหะจงึ ผลักนายโจรใหล้ ้มลงแลว้ ทบั อยู่ บนอกของนายโจร รอ้ งบอกภรยิ าใหส้ ง่ ดาบใหเ้ พื่อตัดศรี ษะของ นายโจร ฝ่ายภริยาของธนุคคหะซ่ึงถือดาบอยู่ในขณะนั้น ได้ เกิดสิเนหานายโจรโดยฉับพลัน จึงยน่ื ด้ามดาบให้ในมอื ของนาย โจร นายโจรก็จับด้ามดาบกระชากออกตัดศีรษะของธนุคคหะ คร้ันฆ่าธนุคคหะแล้วก็พาหญิงนั้นไป พลางถามถึงชาติตระกูล เรื่องราว นางก็บอกเล่าโดยตลอด จนถึงว่านางได้เกิด สิเนหานายโจร จึงให้ฆ่าสามีของตนเสีย นายโจรเมื่อได้เรื่อง ตลอดแล้ว คิดรงั เกยี จวา่ หญิงนี้ให้ฆ่าสามขี องตนเสยี ได้เหน็ ชายอนื่ เข้า กจ็ กั ท�ำ เราอย่างน้นั อกี เราควรท้งิ เสียเถดิ ครัน้ พา นางไปจนถึงแม่นำ้�สายหน่ึงขวางทางอยู่ จึงหลอกว่า นำ้�น้ีมี จระเข้ดุจะทำ�อย่างไร นางกล่าวขอให้นายโจรห่อเคร่ืองประดับ 35

ของนางนำ�ข้ามฟากไปไว้ที่ฝ่ังโน้นก่อน แล้วกลับมารับนางข้าม ฟากไป นายโจรรับค�ำ ฉวยห่อเครื่องประดบั ทงั้ หมดข้ามฟากไป ถึงฝั่งแล้วเดินไป นางเห็นอาการดังน้ันจึงร้องคร่ำ�ครวญขอให้ นายโจรกลับมารบั ฝ่ายนายโจรกร็ ้องตอบมาว่า หญิงเช่นนี้จะ ไปให้ไกลสุดไกล แล้วถือห่อเครื่องประดับหนีไป นางจึงถูก ทอดทงิ้ อยเู่ ดียวดายในกลางป่า ลงนัง่ รอ้ งไหอ้ ยู่ใกล้กอตะไครน้ ำ้� กอหนงึ่ ณ ท่นี นั้ ในขณะน้ัน นางได้เห็นสุนัขจ้ิงจอกตัวหนึ่งคาบก้อน เนื้อว่ิงมาในเบื้องหน้า ทันใดน้ันก็ได้มีปลาตัวหน่ึงกระโดดขึ้น จากนำ้� ตกอยู่ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก สุนัขจ้ิงจอกท้ิงก้อนเน้ือท่ี คาบไว้แลว้ ว่ิงไปเพื่อจะจบั ปลา ฝ่ายปลากด็ ิน้ ตกลงไปในน�้ำ ใน ขณะนัน้ มีนกตวั หน่ึงโฉบลงมาจิกคาบก้อนเนอื้ นั้นบนิ ไป สนุ ัข จิ้งจอกจึงไม่ได้ท้ังเน้ือทั้งปลา ลงน่ังหน้าเศร้า ฝ่ายนางเห็น เหตุการณ์ที่ท่านว่าเทพดาอาเพทโดยตลอด จึงหัวเราะเยาะข้ึน ด้วยเสียงอันดังว่า ปรารถนาส่วนเกิน จึงพลาดหมดทั้งเนื้อ 36

ท้งั ปลา ตอ้ งจับเจ่าซบเซา ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกซ่ึงเทพดาอาเพท ได้กล่าวเย้ยหยันว่า โทษของคนอ่ืนเหน็ งา่ ย สว่ นโทษของตนน้นั เหน็ ยาก นางเองก็ เส่ือมสิ้นทั้งสามีและชายชู้ ซบเซามากกว่า นางได้ยินดังนั้น กลับย้อนคิดได้ถึงกรรมของตน ก็ยิ่งเสียใจ กล่าวว่า ถ้าเรา รอดพน้ ไปได้จากทนี่ ี้แล้ว และถ้าไดส้ ามีอีก ก็จะซื่อตรงตอ่ สามี แน่นอน สุนัขจ้ิงจอกเทพดาอาเพทได้กล่าวสำ�ทับในท่ีสุดว่า คนท�ำ บาปคร้งั หนึ่งแลว้ กจ็ กั ท�ำ บาปอีกได้ แลว้ กห็ ายไป ทิ้งนาง นน้ั ซดั เซไปตามยถากรรม เร่ืองที่เล่ามานี้ เก็บความมาจากนิทานชาดกช่ือว่า จุลลธนุคคหชาดก เป็นเค้าของบทละครไทยเรื่องจันทโครพ แสดงใหเ้ หน็ โทษของหญิงผปู้ ระพฤตผิ ดิ ในทางกาม ส่วนเร่ืองแสดงโทษของผู้ชายประพฤติผิดดังน้ันก็มี อีกมาก ดังเร่ืองรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์เจ้ากรุงลงกาได้ไปลักพา นางสีดาพระชายาของพระรามไปไว้ยังกรุงลงกา เป็นเหตุให้ 37

พระรามยกทัพวานรไปติดพันกรุงลงกา ฆ่าญาติวงศ์ยักษ์ของ ทศกัณฐ์ตายไปโดยลำ�ดับ จนถึงองค์ทศกัณฐ์เอง ตลอดถึง พลยักษ์และชาวเมืองก็ต้องพลอยพินาศไปท้ังสิ้น เพราะความ ประพฤติผดิ ในกามของทศกณั ฐผ์ เู้ ดียวเป็นเหตุ ความประพฤตผิ ิดในกามเป็นเหตใุ ห้เกิดโทษ มตี วั อยา่ ง ให้เห็นได้อยู่ทุกกาลสมัย ในปัจจุบันนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ไม่ น้อย สามีภรรยาแตกร้าวกันเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประพฤติ นอกใจกนั บ้างกเ็ พียงแตกแยกกนั บ้างกท็ ำ�ลายกนั ฝ่ายหญิง ทำ�ลายฝ่ายชายก็มี ฝ่ายชายทำ�ลายฝ่ายหญิงก็มี เป็นอันว่า เมื่อความประพฤติเช่นนี้เกิดข้ึนในท่ีใด ก็เป็นเหตุเปลี่ยนรักให้ เป็นความชิงชัง เปล่ียนมิตรสหายให้เป็นศัตรู เปลี่ยนความไว้ วางใจให้เป็นความกินแหนงแคลงใจ ให้ร้าวฉานแตกแยก ให้ ทำ�ลายลา้ ง ทำ�สขุ ใหเ้ ป็นทุกข์ โดยเฉพาะทำ�ใหเ้ กิดความทกุ ขใ์ จ อยา่ งยง่ิ แก่ผทู้ ีเ่ ปน็ ฝา่ ยเสีย ฉะนั้น พระพทุ ธเจา้ จึงทรงบัญญตั ิ ศลี ข้อ ๓ คือ 38

กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิด ในกาม ศีลข้อนี้บัญญัติห้ามมิให้ประพฤติผิดในกาม แต่ไม่ ห้ามความประพฤติชอบในกาม คำ�ว่าในกามน้ัน หมายถึงใน เรื่องเกี่ยวกับความใคร่ระหว่างชายกับหญิง ที่เรียกในบัดนี้ว่า ความรกั เก่ียวกบั เพศ ทุกๆ คนเมอื่ เป็นเดก็ ยอ่ มพอใจในการเล่น ต่างๆ อย่างเด็ก แต่เมื่อร่างกายเติบโตขึ้น ก็เกิดมีความรู้สึก เป็นอย่างชายหญิงแรกรุ่นหนุ่มสาว และโดยปกติก็มีการครอง คู่เป็นสามีภริยาเกิดบุตรหลานสืบตระกูลกันต่อๆ มา และจัก สืบกันต่อๆ ไป เช้ือสายของมนษุ ยแ์ ละสตั วโลกทกุ ชนดิ จงึ ไม่สิน้ สญู แตใ่ นการครองคู่ของคนนน้ั ยังตอ้ งการเหตอุ ปุ ถัมภ์ตา่ งๆ ท้ังภายในท้ังภายนอก เพ่ือให้อยู่ด้วยกันย่ังยืนตลอดและมี ความสุขความเจริญ จะเกิดผลเป็นไปดังกล่าวได้ก็ต้องมีการ ปฏิบตั ิในเร่ืองนี้ในทางชอบ ในเม่ือถึงวยั ถึงเวลาอันสมควร เมอ่ื ไปประพฤติยุ่งเก่ียวก่อนถึงวัยเวลาอันสมควรก็ดี ประพฤติใน ทางทผ่ี ดิ กด็ ี หรอื เมอ่ื มคี คู่ รองแตง่ งานแตง่ การแลว้ ยงั ประพฤติ 39

นอกใจกันอยกู่ ด็ ี รวมเรยี กว่าประพฤติผดิ ในกามอย่างกวา้ งๆ ประพฤติยุ่งเก่ียวก่อนถึงวัยถึงเวลาอันสมควรนั้น เช่น ในเวลาเล่าเรียนศึกษาซ่ึงเป็นเวลาหาวิชาความรู้ใส่ตน ไม่ใช่เป็นเวลาหาคู่ครอง ถ้าจะต้องการมีความรัก ก็ต้องทุ่มเท ความรกั ไปในการศกึ ษาเล่าเรยี น คอื ให้รกั เรียน แตถ่ ้าปลอ่ ยใจ ปลอ่ ยกายเคลิบเคล้มิ หลงใหลไปในเรื่องเพศ ก็เรียกว่าประพฤติ ผิด จะประพฤติผิดน้อยหรือมากเพียงไรก็สุดแต่จะปล่อยใจ ปล่อยกายให้ผิดไปเท่าไร ความประพฤติยุ่งเก่ียวก่อนถึงวัย เวลาอันสมควรเช่นนี้ โดยปกติเก่ียวแก่เยาวชน มีโทษทำ�ให้ เรยี นไม่สำ�เรจ็ หรือเสียหายไปมิใชน่ อ้ ย และเป็นจารกึ เศรา้ หมอง ติดอยู่กับตนเอง เยาวชนท่ัวไปจึงสมควรงดเว้นและป้องกันตน มใิ ห้ท�ำ ผิดไปในเร่ืองนตี้ งั้ แต่ต้น อนึ่ง ประพฤติในทางที่ผิดน้ัน คือเม่ือไม่ถึงเวลาอัน สมควร แต่ประพฤติในทางลักลอบ หรือละเมิดล่วงลำ้�ในเขต ที่ไม่ควรละเมิด คือถ้าเป็นฝ่ายชายละเมิดในภรรยาท่าน (เขา) 40

หรือหญิงผู้อยู่ในพิทักษ์รักษาของท่าน หรือในหญิงท่ีจารีตห้าม เช่น หญิงที่เป็นเทือกเถาของตนดังท่ีระบุไว้ในกฎหมาย ซึ่ง รวมเรียกว่าหญิงซ่ึงอยู่ในพิทักษ์รักษาของตระกูล หรือในหญิง ผู้อยู่ใต้บัญญัติในพระพุทธศาสนา ซ่ึงรวมเรียกว่าหญิงผู้อยู่ใน พิทักษ์รักษาของธรรมเนียม หรือในหญิงท่ีกฎหมายบ้านเมือง ห้าม ถ้าเป็นหญิงประพฤติละเมิดหรือร่วมประพฤติละเมิดใน ชายท่ีไม่ควรกล้ำ�กลาย เช่น ผู้อยู่ภายใต้บัญญัติห้าม เป็นต้น หญิงหรือชายผู้ประพฤติละเมิดล่วงลำ้�ในเขตที่ไม่ควรละเมิดล่วง ล้ำ�ดังกลา่ ว เรยี กวา่ ประพฤติผดิ ในกาม เขตทไ่ี ม่ควรละเมิดอนั เป็นเหตุให้บังเกิดความประพฤติผิดเช่นนี้ ถึงไม่จำ�แนกไว้ก็เป็น ที่เข้าใจกันได้ เพราะรวมลงว่าเป็นเขตที่หวงห้าม คือนอกจาก เจ้าตัวทัง้ สองแลว้ ยังมบี คุ คลท่สี ามรกั ษาหวงหา้ ม หรือเจา้ ตวั น่ันเองอย่ใู ตธ้ รรมเนยี มหรอื บญั ญัติท่ีหา้ มไว้ ฉะน้นั ต้องมกี าร ลักลอบเหมอื นอยา่ งทรัพย์ทีม่ เี จ้าของหวง ต้องลักขโมยจงึ จะได้ แม้แมวเม่ือเข้าไปลักปลาย่างในครัว ก็แสดงว่ารู้ตัวว่าเป็นแมว 41

ขโมย จงึ ลอบเข้าไปและลอบวิ่งออก หรือเม่อื มีคนเหน็ กร็ บี ว่ิง หนีออกไปโดยเร็ว และถ้าการประพฤติผิดน้ันเป็นการใช้กำ�ลัง บังคบั กย็ ่ิงเป็นการประพฤตผิ ดิ โดยแท้ อน่งึ แม้ผ้มู ีค่คู รองแต่งงานแต่งการแล้ว ยังประพฤติ นอกจติ นอกใจกนั อยู่ ก็เป็นประพฤตผิ ดิ ในกาม เพราะเปน็ ความ ประพฤติผิดในกันและกัน และยังเป็นการประพฤติผิดในเมื่อไป ละเมดิ ในภรรยาทา่ นดังกล่าวแลว้ ลักษณะสำ�หรับกำ�หนดว่าเป็นการประพฤติผิดในกาม ซ่ึงเป็นการผิดศีลน้ัน คือเป็นวัตถุหรือเป็นเขตท่ีไม่ควรละเมิด ล่วงล้ำ�กลำ้�กราย ไม่ควรได้ไม่ควรถึง มีจิตประสงค์จำ�นงจะได้ วัตถุหรือเขตน้ัน ปฏบิ ตั ิสำ�เร็จได้ดังประสงค์ ความประพฤตผิ ดิ ดังกล่าวนี้มีโทษเบา ปานกลาง และหนัก ตามระดับแห่งเขต ท่ีละเมิด กับทั้งเจตนาและการกระทำ� ดังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ ทกุ กาลสมัย 42

ความงดเวน้ จากประพฤตผิ ดิ ในกามดงั กลา่ วได้ เปน็ ศลี งดเว้นได้ด้วยตั้งใจถือศีล เป็นสมาทานวิรัติ ไม่ได้ตั้งใจงดเว้น กอ่ น พบโอกาสทจ่ี ะประพฤตผิ ดิ ได้ แตง่ ดเวน้ ได้ เปน็ สมั ปตั ตวริ ตั ิ งดเว้นได้เปน็ ปกตินสิ ยั ทีเดยี ว จดั เป็นสมจุ เฉทวิรตั ิ เทยี บอยา่ ง วริ ัตริ ะหวา่ งมารดาบิดากับบุตรธิดาทั่วไป พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลข้อท่ี ๑ เพื่อป้องกันชีวิต ข้อท่ี ๒ ป้องกันทรัพย์สมบัติที่จะต้องใช้ดำ�รงชีวิต และข้อท่ี ๓ นี้เพื่อความสงบสุขในครอบครัว ด้วยอาศัยหลักยุติธรรม และเมตตากรณุ าเชน่ เดียวกนั อาศัยหลักยุติธรรมน้ัน คือเมื่อตนเองมีความรักและ หวงแหนในสิ่งซึ่งเป็นที่รักของตนฉันใด คนอื่นก็มีความรู้สึก ฉันนั้นเหมือนกัน ฉะน้ัน เม่ือไม่ปรารถนาให้ใครมาละเมิด ลว่ งล�้ำ ในสงิ่ ทร่ี กั ทห่ี วงแหนของตน กไ็ มค่ วรละเมดิ ลว่ งล�้ำ ในของ คนอ่ืน เหมือนอย่างทุกคนก็ย่อมมีญาติพี่น้องต่างเพศของตน และไม่ปรารถนาให้ใครมาประพฤติละเมิดล่วงล้ำ� เม่ือเป็นเช่นน้ี 43

ไฉนจึงจักไปประพฤติอย่างที่ตนไม่ชอบในญาติพี่น้องของคนอ่ืน ฉะน้ัน เมื่อพจิ ารณาโดยยตุ ิธรรมแลว้ จึงไมค่ วรประพฤติผิดใน เรื่องน้ใี นทางใดทางหน่ึงเลยทีเดียว อาศัยหลักเมตตากรุณาน้ัน คือเมื่อมีเมตตากรุณา ต่อกันโดยจริงใจแล้ว ก็ไม่ประพฤติผิดต่อกันเลย เพราะการ ประพฤติผิดเช่นน้ัน เป็นการทำ�ลายด้วยอำ�นาจความใคร่ความ ปรารถนา มิใช่วิสัยของคนท่ีมีเมตตากรุณากันจะทำ�ได้ ฉะน้ัน พระพทุ ธเจา้ จงึ บญั ญตั ิศลี ข้อนี้ การปฏบิ ตั ติ ามศลี ข้อน้จี ะสำ�เร็จ ไดด้ ีกต็ อ้ งมีธรรมที่คู่กัน คอื ความส�ำ รวมในกาม ธรรมคูก่ บั ศีลขอ้ ท่ี ๓ คือกามสังวร ความสำ�รวมใน กาม สังวรแปลว่าส�ำ รวม คอื ระวงั ควบคมุ ตนไม่ใหป้ ระพฤติผดิ แต่ให้ประพฤติในทางท่ีชอบ เมื่อเป็นเยาวชน ก็ระวังควบคุม ใจระวังควบคมุ กาย ไม่ให้ออกไปนอกทาง เวน้ เหตุชักจงู ต่างๆ เช่น หนังสือและภาพยนตร์ เป็นต้น ที่เป็นเหตุยั่วยุ รักษา ประเพณีอันดีงามของไทยตามที่ผู้ปกครองของตนได้อบรม 44

แนะน�ำ อยูโ่ ดยมากแลว้ การป้องกนั เป็นการดีกวา่ แนน่ อน และ ตอ้ งป้องกนั ไวแ้ ต่ตน้ เหมอื นอย่างปอ้ งกนั ไฟไม่ให้เกิดขึน้ ย่อม ดกี วา่ ดบั ไฟ และดับไฟกองน้อยย่อมดีกวา่ ดบั ไฟกองโต ซึ่งอาจ จะดับไม่ได้ ต้องปล่อยให้โทรมไปเอง และไฟอย่างน้ีเป็นไฟ ละเอยี ดอยา่ งไฟฟ้า ซึง่ เมื่อถกู ไฟฟา้ อย่างแรงดูดแล้ว อาจท�ำ ให้ หัวใจหยุดได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเปรียบไว้ว่า เหมือนอย่างศร สลักมีพิษท่ีรักษาได้ยาก เม่ือยังไม่ถึงวัยถึงเวลา จึงควรที่จะ ป้องกนั ไว้ก่อน ส่วนในระหว่างสามีภรรยา ทางพระพุทธศาสนาสอน ให้สามีสันโดษคือยินดีพอใจอยู่แต่ในภรรยาของตน ส่วนภรรยา ให้มีความซื่อตรงในสามีของตน เพ่ือให้อยู่ครองกันเป็นสุข ตลอดไป เม่ือเป็นเช่นนี้ แม้จะเกิดอันตรายข้ึนก็อาจช่วยกันได้ และเป็นตัวอย่างท่ีควรสรรเสริญ ดังเรื่องของกินนรและกินรี ในจันทกินนรชาดกท่จี ะน�ำ มาเล่าในสดุ ท้ายนี้ มคี วามวา่ 45

ในสมยั ดกึ ด�ำ บรรพโ์ นน้ เมอ่ื พระเจา้ พรหมทตั ครอบครอง ราชสมบัติในกรุงพาราณสี มีหมู่กินนรเกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ (ป่ามีหิมะ) อาศัยอยู่บนภูเขาเงินช่ือว่าจันทบรรพต คร้ังหนึ่ง พระเจ้ากรุงพาราณสี เสด็จประพาสป่าหิมพานต์แต่พระองค์ เดียว ทรงล่าเนื้อเสวยไปโดยลำ�ดับ จนถึงแม่นำ้�เล็กสายหนึ่ง ก็เสด็จข้ึนไปทางต้นน้ำ� โดยปกติหมู่กินนรไม่ลงจากเขาในฤดู ฝน เมือ่ ถงึ ฤดแู ลง้ จงึ พากันลงมา ครง้ั น้ัน กินนรและกนิ รสี ามี ภรรยาคู่หนึ่งพากันลงมาจากภูเขา เกลือกเคล้าของหอมในท่ี นั้นๆ เค้ียวกินเกสรดอกไม้ นุ่งห่มใบไม้เล่นพลางขับร้องพลาง จนถึงแมน่ ้�ำ เล็กน้นั กร็ อ่ นลงเกล่ยี ดอกไมล้ งในน้ำ� ลงเลน่ นำ้�เปน็ ท่สี นกุ สบาย แลว้ กพ็ ากันขึ้นน่ังบนกองดอกไม้ ฝ่ายจนั ทกินนร (เรยี กชื่อตามภูเขาทอ่ี ยนู่ ั้น) ก็ดดี ไมไ้ ผ่ขับร้อง จนั ทกินรไี ดฟ้ ้อน รำ�ขบั ร้องประสานเสยี ง ฝา่ ยพระเจา้ กรุงพาราณสที รงไดส้ ดบั เสยี ง ก็แอบเสดจ็ เรน้ พระองคเ์ ขา้ ไป ทรงเหน็ กนิ นรทง้ั สอง กม็ พี ระหฤทยั ปฏพิ ทั ธ์ 46

ในนางกนิ รี ทรงปรารถนาจะได้นางกนิ รี จงึ ทรงยงิ ธนูศรไปตอ้ ง จนั ทกนิ นรล้มลง จนั ทกนิ นรตอ้ งศรเป็นบาดแผลเจบ็ ปวดรวดรา้ ว โลหิต ไหลพร่งั กร็ ้องครำ�่ ครวญขึ้นวา่ “จันทา เราจะตาย เมาเลอื ด เต็มที จะหมดลมบัดน้ี เจ็บปวดเหลือเกิน เมื่อเราตายแล้ว เจ้าก็จะต้องเศร้าโศก เราก็ย่ิงเศร้าใจ เพราะสงสารเจ้ายิ่งกว่า ทกุ ขก์ ายในบดั น”้ี จนั ทกนิ นรพร�ำ่ เพอ้ ไปจนถงึ วสิ ญั ญภี าพสลบลง ฝ่ายจันทกินรีกำ�ลังเพลิดเพลิน ทีแรกจึงยังไม่รู้ว่าจันทกินนร ถูกยิง คร้ันเห็นจันทกินนรล้มสลบลง จึงเข้าไปดูเห็นโลหิตไหล โชกจากบาดแผล ก็ร้องข้ึน พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงคิดว่า กนิ นรคงตายแลว้ จงึ เสดจ็ ออกแสดงพระองค์ จันทกินรีเห็นพระเจ้ากรุงพาราณสี จึงคิดว่ามนุษย์ผู้น้ี แน่ละยิงสามีของเรา มีความกลัวก็บินหนีขึ้นไปจับบนยอดเขา แล้วร้องบริภาษพระเจ้ากรุงพาราณสีโดยความว่า “โจรใจร้าย ฆา่ สามีของเรา เราโศกใจนกั ขอใหม้ ารดาของท่าน ชายาของ 47

ท่านจงได้โศกเหมือนเชน่ นี้ และจงอยา่ เหน็ บตุ ร เหน็ สามี ท่าน ได้ทำ�รา้ ยสามขี องเรา ซ่ึงไม่ได้ทำ�ร้ายอะไรท่านเลย” พระเจ้ากรุงพาราณสีได้ตรัสปลอบโยน ทรงรับรองว่า จะยกยอ่ งนางกนิ รีให้เป็นพระราชชายา นางจนั ทกนิ รไี ดก้ ลา่ วบนั ลอื เสยี งอยา่ งองอาจหนกั แนน่ ว่า “ถึงเราจักตาย ก็จักไมย่ อมเป็นของท่าน ซงึ่ ได้ฆา่ สามีของ เราผ้ไู มไ่ ดท้ �ำ อะไรให้ทา่ นอย่างแนน่ อน” พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงได้สดับดังน้ันก็ส้ินปฏิพัทธ์ ตรัสว่า “เจ้านางกินรีชอบอยู่กินกฤษณาและของหอม อยู่กับ หมู่กินนร ไม่ชอบอยู่ในบ้านในเมืองก็แล้วไป” ทรงสิ้นอาลัย เสดจ็ หลีกไป จันทกินรี คร้ันเห็นพระเจ้ากรุงพาราณสีเสด็จไปแล้ว ก็บินลงมานำ�ร่างกินนรขึ้นไปบนยอดเขา คร่ำ�ครวญอยู่ช้านาน ในทีส่ ดุ ไดล้ องคล�ำ ดูตวั ของจันทกินนร ร้สู ึกวา่ ยงั อนุ่ อยู่ ก็คดิ วา่ ยงั มชี วี ติ อยู่ จงึ ร้องฟ้องเทวดาข้นึ วา่ “ทา้ วโลกบาลไม่มี หรอื 48

หายไปไหน หรือตายไปหมดแล้ว จึงไม่มาช่วยรักษาสามีของ เรา” จงึ รอ้ นถึงทา้ วสกั กเทวราช ต้องเสด็จจำ�แลงเป็นพราหมณ์ ลงมาถือกุณฑี (คนโท) น้ำ�มารดจันทกินนร พิษศรก็ส้ินไปใน ขณะนนั้ จันทกนิ นรกลับฟน้ื ข้นึ หายเปน็ ปกติ ต่างยินดี ไหว้ ท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกเทวราชก็ให้โอวาทสั่งสอน มิให้ลง จากภูเขาจันทบรรพตลว่ งล�ำ้ ไปในทางของมนษุ ย์อกี กนิ นรกินรี ทง้ั สองกร็ บั โอวาทและอยดู่ ว้ ยกนั เปน็ สขุ สวสั ดสี บื ไปแล (ไดท้ ราบ วา่ จนั ทกินนรชาดกนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธชุ ฯ อนิ ทราชยั ได้ ทรงนิพนธ์เป็นละครแบบดึกด�ำ บรรพ)์ 49

มนษุ ยธรรมท่ี ๔ อันแก้วแหวนเงินทองสิ่งของต่างๆ ทุกๆ คนคง ต้องการของจริงของแท้ ไม่ต้องการของเทียมของปลอม แม้ ถ้อยคำ�ที่พูดกันก็เป็นเช่นเดียวกัน คือ ต้องการถ้อยคำ�ที่จริง ไม่ต้องการฟังคำ�เท็จ เว้นไว้แต่จะพูดฟังกันเล่น เช่น เล่า นิทานเรื่องเท็จแข่งกัน ถ้าเป็นถ้อยคำ�ท่ีพูดกันโดยปกติแล้ว ก็ ต้องการถ้อยคำ�ที่พูดกันตามความจริงทั้งนั้น ถ้าใครพูดเท็จอยู่ เนอื งๆ จนเป็นทจี่ บั ได้แลว้ ถึงจะพดู จรงิ สักครั้ง กไ็ ม่มใี ครเชอ่ื เหมือนนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ซ่ึงชอบพูดหลอกคนว่าหมาป่า มากินลูกแกะ เพื่อให้คนแตกตื่นกันไปช่วย เห็นเป็นสนุก เม่ือ พูดหลอกเขาอยูอ่ ย่างนีบ้ ่อยๆ คร้ันมีหมาป่ามากินลกู แกะจริงๆ จึงวง่ิ มาบอกเพอ่ื ใหค้ นไปชว่ ย กไ็ ม่มีใครเชื่อ ต้องเสยี ลกู แกะไป เพราะโทษของมสุ า 50

เร่ืองเช่นนี้มีเล่าไว้ในนิทานชาดกทางพระพุทธศาสนา มากเร่ือง เช่น เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีหมอรักษาพิษงูผู้ขาดแคลน คนหนึง่ ไม่ไดก้ ารรกั ษาอะไรในละแวกบา้ น จงึ ออกเดนิ เรอื่ ยไป ถึงต้นไทรต้นหนึ่งใกล้ประตูบ้าน เห็นงูตัวหน่ึงกำ�ลังนอนหลับ โผล่ศีรษะออกมาทางคาคบไม้ ในขณะนนั้ มเี ดก็ กลมุ่ หนึ่งกำ�ลงั เลน่ กันอยูใ่ นทน่ี ั้น หมองูจึงคิดจะลวงเด็กใหจ้ บั งเู พื่อให้งกู ัดแลว้ รกั ษาเอาค่าจ้าง จึงพูดแกเ่ ด็กวา่ เหน็ ลกู นกสาลกิ านัน่ ไหม จบั เอาซิ เด็กคนหนึง่ ซึง่ เปน็ เด็กฉลาด มองไปเหน็ ศีรษะทีค่ าคบไม้ ยงั ไม่รวู้ า่ เปน็ งู จึงปนี ต้นไมข้ ึ้นไปจับเข้าท่คี อ จงึ รู้วา่ งู แตก่ ็จับ ให้แน่น ไม่ให้งูกลับศีรษะมากัดไว้ แล้วเหว่ียงไปโดยเร็ว งูนั้น ปลิวไปตกที่คอของหมอเข้าพอดี พันคอของหมอน้ัน กัดให้ล้ม ลงสิน้ ชีวติ ในท่ีน้ัน เขา้ ภาษติ ท่ีว่า หมองตู ายเพราะงู ใหท้ ุกข์แก่ ทา่ น ทกุ ข์นัน้ ถึงตัว อีกชาดกหน่ึงเล่าว่า คร้ังหน่ึงได้มีการมหรสพครั้ง ใหญ่ในกรุงพาราณสี เป็นที่น่าตื่นเต้นยินดีในหมู่มนุษย์ ตลอด 51

ถึงเทพก็พากันมาดู ได้มีเทพบุตร ๔ องค์ประดับเทริดดอกไม้ แตงทพิ ยม์ าชมมหรสพ หมมู่ นษุ ยเ์ หน็ เทรดิ นน้ั ซง่ึ สวยสดงดงาม และมกี ลน่ิ หอมตลบ กพ็ ากนั รอ้ งขอ เทพบตุ รตอบวา่ ดอกไมท้ พิ ย์ เหล่าน้ีมีอานุภาพมาก ควรเฉพาะแก่ทวยเทพ ไม่ควรแก่คน ประพฤตชิ ั่วในหมูม่ นษุ ย์ แต่วา่ กส็ มควรแก่มนุษย์ท่ปี ระกอบด้วย คณุ งามความดเี หมอื นกนั คร้ันกล่าวนำ�ร่วมกันอย่างน้ีแล้ว เทพบุตรองค์ท่ี ๑ กล่าวว่า คนใดไม่ลักของเขาด้วยกาย ทางวาจาก็ไม่พูดเท็จ ได้ยศก็ไม่มัวเมา คนน้ันควรประดับดอกแตงทิพย์ เทพบุตร องค์ท่ี ๒ กล่าวว่า คนใดแสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ ตักตวงทรพั ย์ดว้ ยวธิ หี ลอกลวง ไดบ้ รโิ ภคทรัพยแ์ ลว้ ก็ไม่มัวเมา ชนน้ันควรประดับดอกแตงทิพย์ เทพบุตรองค์ที่ ๓ กล่าวว่า ชนใดมีจิตไม่เหลืองเร่ือดังขม้ินด้วยกามราคะ มีความเช่ือต้ังม่ัน ไม่หน่ายง่าย ไม่กินดี (อยู่ดี) แต่คนเดียว ชนนั้นควรประดับ ดอกแตงทพิ ย์ เทพบตุ รองคท์ ่ี ๔ กลา่ ววา่ ชนใดไมบ่ รภิ าษดา่ วา่ 52

คนดคี นสงบทงั้ ตอ่ หนา้ ทง้ั ลบั หลงั มปี กตพิ ดู อยา่ งใด ท�ำ อยา่ งนน้ั ชนนน้ั ควรประดับดอกแตงทิพย์ ฝ่ายปุโรหิตในนครน้ันได้ยินแล้วคิดว่า คุณเหล่านี้ แมส้ กั ข้อหนึ่งไม่มอี ยใู่ นตน แตว่ ่าจักพูดประกาศวา่ มี เพ่อื วา่ จัก ได้รับดอกไม้ทิพย์เหล่าน้ีมาประดับ แล้วมหาชนจักได้นับถือ ยกย่อง จึงได้กล่าวแก่เทพบุตรท้ัง ๔ องค์โดยลำ�ดับว่า ตน ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ๆ เทพบุตรเหล่านั้นถอดเทริดดอกแตง ทิพย์ออกให้แก่ปโุ รหิต ปุโรหิตก็รับมาสวมประดบั ทตี่ นทีละเทริด โดยล�ำ ดบั เทพบตุ รทั้ง ๔ ครนั้ ให้ดอกไมท้ ิพยแ์ กป่ โุ รหติ แล้วก็ กลับไปส่เู ทวโลก ครน้ั เทพบตุ รพากนั ไปแลว้ กเ็ กดิ ความเจบ็ ปวดอยา่ งยง่ิ ทศ่ี รี ษะของปโุ รหติ เหมอื นอยา่ งถกู บดดว้ ยหนิ อนั คม เหมอื นอยา่ ง ถูกบีบด้วยแผ่นเหล็ก ปุโรหิตน้ันเจ็บปวดรวดร้าวกล้ิงเกลือก ไปมา ร้องครวญครางด้วยเสียงอันดัง เมื่อมหาชนพากันถาม ว่าเป็นอะไรก็บอกว่า ข้าพเจ้าพูดเท็จแก่เทพบุตรว่ามีคุณต่างๆ 53

ขอเทริดดอกไมน้ มี้ าสวม ชว่ ยถอดออกจากศีรษะที ชนทั้งหลาย พากันพยายามถอด ก็ถอดออกไมไ่ ด้ เหมือนอย่างถูกผูกไวแ้ น่น ดว้ ยแผ่นเหลก็ จงึ น�ำ ไปบา้ น ปุโรหิตร้องครวญครางอยู่ถึง ๗ วัน พระราชาจึง ทรงปรึกษากับหมู่อำ�มาตย์ แล้วจัดให้มีมหรสพข้ึนใหม่ เพื่อให้ เทพบตุ รมาอกี เทพบตุ รทงั้ หลายกพ็ ากนั มา มหาชนกน็ �ำ พราหมณ์ ทุศีลมา พราหมณ์นั้นก็อ้อนวอนขอชีวิต เทพบุตรเหล่าน้ัน ก็กล่าวว่า ดอกไม้ทิพย์เหล่านี้ไม่ควรแก่ท่านซึ่งเป็นคนไม่ดี ท่านเข้าใจว่าจักลวงเทพดาฟ้าดินได้ จึงได้รับผลของมุสาวาท ของตน แลว้ ไดก้ ลา่ วต�ำ หนปิ โุ รหติ นน้ั ตา่ งๆ ในทา่ มกลางมหาชน แล้วก็ถอดเทริดออก กลับไปสู่สถานของตน ฝ่ายปุโรหิตก็หาย จากความเจบ็ ปวด แต่กไ็ ด้รับความอปั ยศเป็นอย่างมาก เพราะ โทษของการอาศัยยศตำ�แหน่งหน้าที่ทำ�ช่ัว แล้วยังมุสาว่าทำ�ดี เพอ่ื จะไดท้ พิ ยบปุ ผาภรณ์ (เครอ่ื งประดบั ดอกไมท้ พิ ย)์ จากฟากฟา้ ซ่ึงไม่ควรแกค่ นชั่ว การพูดเทจ็ มีโทษดังเชน่ เรอ่ื งทเี่ ลา่ เปน็ นิทาน 54

สภุ าษติ สอนใจดงั กลา่ ว พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงบญั ญตั ศิ ลี ขอ้ ท่ี ๔ วา่ มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากการกลา่ วเทจ็ เทจ็ หรอื มสุ า คือไม่เป็นความจรงิ กลา่ วเทจ็ ก็คอื พดู ไมจ่ รงิ หรอื พดู ปดเพอ่ื ใหผ้ ู้ อนื่ เข้าใจผิด เชน่ ไม่รู้ไมเ่ หน็ พดู ว่าร้วู า่ เห็น ไม่ไดท้ �ำ พดู วา่ ท�ำ หรือได้รู้เห็นได้ทำ� พูดปฏิเสธเสีย ไม่ใช่แต่พูดด้วยปากเท่านั้น เขียนหนังสือเท็จปดเขา หรือแสดงอาการให้เขาเข้าใจผิด เช่น เม่อื เขาถามวา่ เหน็ สง่ิ นั้นสง่ิ นไี้ หม ความจรงิ ก็เห็น แตส่ น่ั ศรี ษะ เพ่ือให้เขา้ ใจวา่ ไมเ่ ห็น เรยี กวา่ กล่าวเท็จหรอื มสุ าวาทเหมือนกัน การแสดงความเท็จนน้ั มกั ใช้การพดู กันเปน็ สว่ นมาก จึงเรียก ว่ามุสาวาท แต่ก็หมายถึงทุกๆ วิธีท่ีทำ�ให้คนอ่ืนเข้าใจผิดจาก ความจรงิ เชน่ ทเ่ี รียกว่า ปด ไดแ้ กม่ สุ าจงั ๆ เพอ่ื ใหแ้ ตกกนั เพอ่ื หลอก เพอื่ ยอยก เพื่อประจบสอพลอ เปน็ ตน้ ทนสบถสาบาน เพือ่ ใหเ้ ขาเชอื่ ในคำ�เท็จ ท�ำ มารยา เชน่ ไม่เปน็ อะไร แกลง้ ทำ�เปน็ ไข้ 55

ทำ�เลศนัย เช่น ทำ�กลอุบายลวงหลอกหรือล่อให้เขา ตายใจให้เชือ่ ผดิ ๆ หรอื ทำ�แยม้ พรายให้เขาคดิ ตอ่ ไปผดิ ๆ เสริมความ คือ ขยายให้มากไปกว่าความจริง เช่น คนท่ี ๑ พดู เพยี งว่า ไปเย่ียมเพอ่ื นปว่ ย คนท่ี ๒ พดู ต่อไปว่า เพอ่ื นคนน้ันป่วยมาก คนท่ี ๓ พดู ต่อไปอีกวา่ เพ่อื นคนน้ันป่วย มอี าการรอ่ แร่ อำ�ความ คือ พูดไม่หมด เว้นความบางตอนไว้เสีย เพ่ือปกปดิ เช่น กลับบ้านผิดเวลา ผู้ปกครองถามวา่ ไปไหนมา กต็ อบวา่ ไปบา้ นเพื่อน ไปบา้ นเพอื่ นจรงิ เหมอื นกัน แตก่ ไ็ ด้พากัน ไปเที่ยวทอ่ี น่ื ๆ อกี ด้วย มุสาวาททุกวิธีเช่นที่กล่าวนี้ มีโทษน้อย ปานกลาง หรือมาก ตามระดับแห่งเรื่องที่มุสาจะก่อให้เกิดข้ึนได้เพียงไร และเจตนา (ความจงใจ) แรงเท่าไร กิริยาที่ประกอบมุสาวาท ใชพ้ ยายามเทา่ ไร 56

เวรมณี คือความเว้นจากมุสาทุกอย่าง เป็นศีลข้อที่ ๔ น้ี ถา้ เว้นดว้ ยตั้งใจรับศีลไว้กอ่ น เป็นสมาทานวริ ัติ ถา้ เวน้ ดว้ ยตงั้ ใจขนึ้ เดี๋ยวนัน้ เอง ในขณะทพ่ี บโอกาสจะพูดเท็จได้ เป็น สมั ปตั ตวริ ตั ิ ถา้ เวน้ ไดจ้ นเปน็ ปกตนิ สิ ยั จรงิ ๆ กเ็ ปน็ สมทุ เฉจวริ ตั ิ เม่ือรับศีลข้อน้ีไว้แล้ว ทำ�อย่างไรศีลจึงจะขาด ให้ ก�ำ หนดมองดลู กั ษณะดงั นี้ คอื จติ คดิ จะพดู ใหผ้ ดิ ไปจากความจรงิ ทง้ั รู้อยู่ มีความพยายามเกิดจากจติ น้ัน และคนอื่นรเู้ ขา้ ใจความ เชน่ พดู กนั ดว้ ยภาษาไทยแกค่ นทร่ี ภู้ าษาไทย เขาฟงั ออกวา่ พดู วา่ อย่างไร หรือใช้กิรยิ าสั่นศรี ษะ เขาเหน็ แลว้ เขา้ ใจความประสงค์ วา่ ปฏิเสธ ใชก้ ิริยาพยกั หนา้ เขาก็เขา้ ใจวา่ รบั รอง ถ้าคนอน่ื ไมร่ ู้ เขา้ ใจความ เหมือนอย่างพูดปดดว้ ยภาษาไทยแก่คนทไี่ ม่รู้ภาษา ไทย เขาฟังไมร่ ู้วา่ อะไร ศีลกย็ ังไม่ขาด พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ศิ ลี ขอ้ ท่ี ๔ อาศยั หลกั ยตุ ธิ รรม และเมตตากรณุ าเชน่ เดียวกับข้ออนื่ ๆ คือทกุ ๆ คนปรารถนาจะ ไดร้ บั ความจรงิ ไมต่ อ้ งการถกู หลอกลวงดว้ ยความเทจ็ จงึ ไมค่ วร 57

จะกล่าวเท็จหลอกลวงคนอ่ืนให้เข้าใจผิด เมื่อพูดอย่างยุติธรรม ไม่ลำ�เอียงไปทางตนและทางผู้อื่น ก็ต้องพูดอย่างนี้ แต่เม่ือพูด ลำ�เอียงเข้ากับตน ก็ต้องพูดอีกอย่างหนึ่งว่า หลอกลวงเขาได้ เป็นดี แต่ถูกเขาหลอกลวงไม่ดี อนึ่ง ทุกๆ คนถ้ารักเมตตา กรณุ ากัน กห็ ลอกลวงกนั ไมล่ ง แต่ทกุ ๆ คนกค็ วรจะรักเมตตา ปรารถนาสุขต่อกัน กรุณาปรารถนาจะช่วยกันจากความทุกข์ ความเดอื ดรอ้ นตา่ งๆ มใิ ชห่ รอื ตวั เราเองกป็ รารถนาใหค้ นอน่ื ให้ ความปรารถนาดดี ้วยเมตตา ไมต่ อ้ งการใหใ้ ครม่งุ รา้ ย ปรารถนา ให้คนอื่นให้ความช่วยเหลือเมื่อทุกข์ ไม่ต้องการให้ใครก่อทุกข์ เพ่ิมทุกข์ให้ มิใช่หรือ จึงไม่เป็นการสมควรหรือท่ีจะทำ�จิตใจ ให้มีเมตตากรุณาแกค่ นอนื่ เหมือนอยา่ งทต่ี นต้องการใหค้ นอืน่ มี แกต่ น และคนทม่ี จี ติ เมตตากรณุ าตอ่ กนั จะพดู มสุ าหลอกท�ำ ลาย กนั ไดห้ รอื นอกจากจะพดู ความจรงิ ทค่ี วรพดู แกก่ นั พระพทุ ธเจา้ ทรงมีพระกรุณาเท่ียงธรรมในสรรพสตั ว์ จึงทรงบญั ญัตศิ ีลขอ้ น้ี เพ่ือใหเ้ ว้นจากมุสาวาท 58

ผู้ท่ีตั้งใจรักษาวาจาตามศีลข้อนี้ ควรเว้นจาก มุสาวาทโดยตรงดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ควรเว้นจากมุสาวาท โดยอ้อมด้วย เช่น พูดส่อเสียด พูดเสียดแทง ประชดหรือด่า พูดสับปลับเหลวไหล เม่ือทำ�สัญญากันไว้แล้วก็รักษาสัญญา ไม่บิดพล้ิวทำ�ให้ผิดสัญญา เมื่อให้สัตย์แก่กันไว้แล้วก็รักษาสัตย์ ไมก่ ลบั สัตย์หรือเสียสตั ย์ เมือ่ รับคำ�แลว้ ไม่คืนค�ำ รวมความวา่ ใหร้ ักษาสัจจวาจา คือ ให้พูดจรงิ และใหท้ �ำ จรงิ ดังพดู การพูด จริงน้ันง่ายกว่าพูดเท็จ เพราะไม่ต้องคิดประดิษฐ์เปล่ียนแปลง เร่ือง พูดตรงไปตามเร่อื งเทา่ น้ัน แตก่ ารพูดเท็จต้องคดิ ประดษิ ฐ์ เปลี่ยนแปลง ยากที่จะโกหกได้สนิท มักมีพิรุธให้จับได้ ไม่เร็ว ก็ช้า แต่การทำ�จริงดังพูด อาจยากสำ�หรับคนที่ชอบพูดอะไร พล่อยๆ แต่ไม่ยากสำ�หรับคนที่ตริตรองแล้วจึงพูด ใครก็ตาม จะรกั ษาสจั จวาจาได้ ตอ้ งมธี รรมท่ีคู่กันกับศีลขอ้ นใ้ี นจติ ใจ คอื ความมีสตั ย์ 59

ธรรมคูก่ ับศีลข้อที่ ๔ คอื ความมีสัตย์ ไดแ้ ก่ มคี วาม จริง ความตรง คนที่มีความจริง จะเป็นเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ ก็ตาม ย่อมเป็นคนซ่ือตรงต่อมิตรสหาย สวามิภักดิ์คือจงรัก ภักดีในเจ้าของตน มีความกตัญญูกตเวทีในท่านผู้มีคุณ มี ความยตุ ิธรรมหรอื เทยี่ งธรรม รจู้ ักผดิ รจู้ กั ถูก และวา่ ไปตามผิด ตามถกู ในบคุ คลในเรอื่ งทว่ั ไป กลา่ วโดยเฉพาะ กเ็ ปน็ คนมวี าจา สัตย์ พูดเป็นท่เี ชอื่ ถือได้ ศีลคือมุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากกล่าวเท็จ) และ ธรรมคือความมสี ัตย์นี้ จ�ำ เปน็ แก่สงั คมมนษุ ย์ทกุ สังคม เปน็ ต้น วา่ ในระหว่างเพื่อน ในระหวา่ งสามีภรรยาหรือครอบครัว ขึ้นไป จนถึงในระหวา่ งประเทศ เม่ือต่างมีศีลและธรรมคนู่ ี้ จงึ อยดู่ ้วย กันเป็นปกตเิ รยี บรอ้ ย เชือ่ ถอื กันได้ ไว้วางใจกันได้ ผู้ปกครอง ประชาชนต้ังแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อรักษาศีลและ ธรรมคู่น้ีอยู่ เป็นท่เี ชอ่ื ถอื ได้ทั้งในประเทศ ท้งั ต่างประเทศ คือ ภายในประเทศ ก็ไม่พูดหลอกลวงประชาชน รักษาสัตย์ต่อ 60


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook