ภายใตว้ ารสาร Journal of the History of Ideas ซง่ึ ก่อตงั้ ปี 1940 ซง่ึ เป็นการรวมกนั ของนกั วชิ าการดา้ น ปรชั ญา วรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์ โดยรวมตวั อยา่ งหลวมในลกั ษณะการบูรณาการจากต่างสาขาซง่ึ ให้ ความสนใจต่อมติ ทิ างวฒั นธรรม ส่วนในองั กฤษมงี านศกึ ษาประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ และวฒั นธรรมท่ี ออกมาจากนักวชิ าการด้านวรรณคดอี งั กฤษและนักประวตั ิศาสตร์นอกวงวชิ าการ เช่น บาซลิ วลิ ลยี ์ (Basil Willey), อ.ี เอม็ . ดบั บลวิ . ทลิ ลารด์ (E.M.W. Tillard) และจ.ี เอม็ . ยงั (G.M. Young)78 เหน็ ไดว้ ่า งานดา้ นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงน้ีไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ จากอาจารยป์ ระวตั ศิ าสตร์ แต่มกั มาจากสาขาอ่นื เช่นวรรณดดีอังกฤษและปรชั ญา อีกทงั้ วารสารวิชาการท่ีตีพิมพ์งานศึกษาประเภทประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมไม่ใช่วารสารสาขาประวตั ศิ าสตร์ขนานแท้ แต่มาจากวารสารท่มี ลี กั ษณะสหวชิ าการและ ประวตั ศิ าสตรอ์ ารยธรรม โดยงานจากนักวชิ าการนอกสาขาวชิ าประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นแนวโน้มทม่ี ตี ่อเน่ือง ไปจนถงึ ต้นศตวรรษท่ี 21 ซ่งึ เป็นคุณูปการท่สี ําคญั ต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ทําใหม้ งี าน สาํ คญั ตงั้ แต่ The Art of Memory (1966) โดยฟรานเชส เยทส์ (Frances Yates) ไปจนถงึ the Long Revolution (1961) ของเรยม์ อนด์ วลิ เลยี มว์ (Raymond Williams) และ Orientalism (1978) โดยเอด็ วาร์ด ซาอิด (Edward Said) ท่ีอาจจดั ได้ว่าเป็นประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม ไม่รวมถึงงานของนัก ประวตั ศิ าสตรน์ อกวงวชิ าการอกี จาํ นวนมาก อานาลสก์ บั วฒั นธรรม : มารค์ โบลค, ลเุ ซียง เฟบวร์ และ เฟอรน์ านด์ โบรเดล ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลสเ์ รมิ่ ขน้ึ จากมารค์ โบลค (Marc Bloch) และ ลุเซยี ง เฟบวร์ (Lucien Febvre) เรม่ิ ออกวารสาร Annales d'histoire économique et sociale ในปี 1929 ซง่ึ สรา้ งผลสะเทอื นต่อ วงวิชาการด้านประวัติศาสตร์อย่างต่อเน่ือง การมองประวตั ิศาสตร์เป็นการบูรณาการความรู้ด้าน สงั คมศาสตร์สาขาต่างๆ เข้าด้วยกนั ได้แก่ ภูมศิ าสตร์ ประชากรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สงั คมวิทยา จติ วทิ ยา ฯลฯ แมจ้ ะถูกเรยี กว่าเป็นประวตั ศิ าสตรส์ งั คม แต่งานหลายช้นิ ก็ให้ความสําคญั กบั มติ ทิ าง วฒั นธรรมดว้ ย เช่น ความเปลย่ี นแปลงทางความคดิ โลกทศั น์และธรรมเนียมประเพณี แมจ้ ะมองว่าเป็น ผลมาจากปจั จยั ทางภมู ศิ าสตรแ์ ละกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทาํ ใหว้ ฒั นธรรมถูกมองว่าเป็นผลลพั ธ์ อย่างไร กด็ แี นวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรมเป็นส่วนสาํ คญั ของประวตั ศิ าสตรส์ ํานกั น้ีซง่ึ จะเหน็ ผลชดั เจนในงานของนัก ประวตั ศิ าสตรร์ นุ่ ต่อๆ ไป DRAFT 78 Burke. chapter 1 location 326 50
DRAFT ส่วนหน่ึงของการบูรณาการจากสาขาวชิ าต่างๆ ส่วนทม่ี ผี ลต่อแนวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรมมาจาก นักวชิ าการร่วมสมยั ในสาขาจติ วทิ ยาสงั คม มานุษยวทิ ยาและสงั คมวทิ ยา เช่น อมี ลิ เดอรไ์ คหม์ (Emile Durkheim) ส่งอทิ ธพิ ลในวงกวา้ งขณะนัน้ มอรสี ฮาลบ์ วาคซ (Maurice Halbwachs) ทส่ี นใจกลไกของ ความทรงจาํ รว่ มทางสงั คม, อองรี บรมี อนด์ (Henri Bremond) นกั ปรชั ญาและผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นวรรณคดี ผเู้ ขยี นงานจติ วทิ ยาเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ลเุ ซยี ง ลวี -ี บรหู ์ (Lucien Lévy-Bruhl) ผูส้ นใจความรสู้ กึ นึกคดิ ของ มนุษยย์ คุ ดกึ ดาํ บรรพ,์ ชารล์ ส์ บลอนเดล (Charles Blondel) นกั จติ วทิ ยาทดลองผเู้ ป็นศษิ ยข์ องลวี -ี บรหู ์ และอาจารยร์ ่วมมหาวทิ ยาลยั ขณะนัน้ รวมไปถงึ ท่ลี ุเซยี ง เฟบวรย์ กย่องงานของเบริ ค์ ฮาร์ดท์ว่าเป็น อทิ ธพิ ลสําคญั ด้วย7879 จากรายช่อื ข้างต้นพอเห็นได้ถงึ อิทธพิ ลของอองรี แบรซ์ ง (Henri Bergson) โดยเฉพาะแนวคดิ การทาํ ความเขา้ ใจความรสู้ กึ นึกคดิ ของมนุษยท์ ค่ี า้ นกบั กรอบแบบเหตุผลนิยมซง่ึ มตี ่อ สงั คมศาสตรใ์ นฝรงั่ เศส ซง่ึ แมจ้ ะแบรซ์ งไมไ่ ดม้ อี ทิ ธพิ ลต่อวชิ าการประวตั ศิ าสตรโ์ ดยตรง แต่อาจกล่าวได้ ว่าส่งผลต่อความคดิ ว่าด้วยการศึกษาประวตั ศิ าสตร์ในมติ ิทางวฒั นธรรมอยู่มากโดยเฉพาะเร่อื งการ อธบิ ายเร่อื งความรสู้ กึ นึกคดิ นอกกรอบเหตุผลนิยมและความสนใจต่อมโนทศั น์ต่อการเปล่ยี นผ่านของ เวลาซง่ึ เป็นความสนใจของนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสมาอย่างต่อเน่ือง อกี ทงั้ คําว่า mentalité ท่วี ง วชิ าการดา้ นมานุษยวทิ ยาและจติ วทิ ยาในฝรงั่ เศสใชอ้ ย่ใู นขณะนนั้ มนี ัยของความไม่เป็นเหตุเป็นผลทใ่ี ช้ กบั มานุษยวทิ ยามนุษยด์ กึ ดําบรรพ์ เช่น ลวี -ี บรูห์ ใน La Mentalité Primitive (1922; Primitive Mentality) รวมถงึ จติ วทิ ยาเดก็ และสงั คมสํานึกทางศาสนา ซง่ึ เป็นแนวโน้มความสนใจทางสงั คมวทิ ยา ขณะนนั้ ซง่ึ เดนิ ตามอมี ลิ เดอรไ์ คหม์ ใน Les Rois Thaumaturges (1924, the Royal Touch) โบลคศกึ ษาปรากฏการณ์ความเช่อื ทว่ี ่า กษตั รยิ ใ์ นสมยั กลางและตน้ สมยั ใหม่สามารถรกั ษาโรควณั โรคทต่ี ่อมน้ําเหลอื ง (scrofula) หรอื ทเ่ี รยี กว่า “the king's evil” โดยวเิ คราะหใ์ นเชงิ “จติ วทิ ยาศาสนา” ในมติ ทิ างประวตั ศิ าสตรโ์ ดยสนใจท่ี “ภาพลวงท่ี คนมรี ่วมกนั ” (“collective illusion”) โดยคําถามและประเดน็ ศกึ ษาอย่ใู นปรมิ ณฑลของสาขาจติ วทิ ยา มานุษยวทิ ยาและสงั คมวทิ ยามากกว่าสาขาประวตั ศิ าสตร์ แนวคดิ เร่อื งสํานึกรว่ มและ mentalité ปรากฏ 79 งานชน้ิ สาํ คญั ๆ ของไดแ้ ก่ Maurice Halbwachs, Les cadres sociaux de la mémoire, (1952, ตพี มิ พ์ครงั้ แรกในวารสาร Les Travaux de L'Année Sociologique ปี1925); Henri Bremond, Histoire littéraire du sentiment religieux en France depuis la fin des guerres de religion jusqu'à nos jours (11 vols, 1916 to 1936); Lucien Lévy-Bruhl, La Mentalité Primitive (1922) ดู Ulick Peter Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, Key Contemporary Thinkers (cambridge, UK.: Polity Press, 1990), 15-17. 51
DRAFTอยู่ในงานช้ินน้ีซ่ึงโบลคกล่าวถึงมติ ิทางความคิดและสํานึกร่วมของคนในสงั คม7980 ส่วนใน Feudal Society (1939, 1940) ซง่ึ โบลคนิยามระบอบฟิวดลั กวา้ งนกั ประวตั ศิ าสตรส์ มยั กลางทจ่ี าํ กดั ในมติ ทิ าง กฎหมายและการทหารเป็นหลกั ตามนักประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งกระแสหลกั 8081 โดยโบลคมองในมติ ทิ าง สภาวะแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตร์ ประชากร เทคโนโลยเี กษตร เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรมดว้ ย ในทาง วฒั นธรรมโบลคอธบิ ายถงึ ความรสู้ กึ นึกคดิ และจติ วทิ ยาภายใต้หวั ขอ้ “Modes of feeling and thought” กล่าวถงึ ภาษาและวรรณกรรมในแง่ “modes of expression” ในระบอบฟิวดลั และกล่าวถงึ “religious mentality” ในมติ ทิ างมานุษยวทิ ยา การปฏบิ ตั ติ นและมารยาทในราชสํานัก8182 วฒั นธรรมความรกั ในราช สํานัก (courtly love) 83 ลทั ธบิ ชู าพระแม่มาร8ี384 รวมถงึ อธบิ ายความรงุ่ เรอื งทางวฒั นธรรมและความคดิ ในช่วงศตวรรษท่ี 12 โดยวเิ คราะห์ในแง่ความรูส้ กึ นึกคดิ จากปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมต่างๆ8485 เช่อื มโยงสํานึกท่เี ปล่ยี นไปกบั การเปล่ยี นแปลงของความสมั พนั ธ์เชงิ โครงสร้าง ซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก สงั คมวทิ ยาของเดอรไ์ คหม์ โบลคชใ้ี หเ้ หน็ ว่าวรรณกรรม ธรรมเนียมและทศั นคตติ ่างๆ ในสมยั กลางเป็น ผลจากความเปล่ียนแปลงทางโครงสร้างประชากร การเปล่ียนแปลงด้านกสิกรรมและรูปแบบทาง เศรษฐกจิ ขณะทป่ี ระวตั ศิ าสตรส์ มยั กลางของโบลคถกเถยี งเรอ่ื งสมยั กลางกบั นกั ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งซง่ึ เป็นกระแสหลกั โดยนําเอาคําอธบิ ายทางสงั คมศาสตรเ์ ขา้ มา ลุเซยี ง เฟบวรท์ เ่ี ช่ยี วชาญฝรงั่ เศสยุคต้น สมยั ใหมผ่ า่ นผลผลติ ทางวฒั นธรรมทงั้ ในแง่วรรณกรรม หนังสอื และการพมิ พ์ อธบิ ายวฒั นธรรมผ่านมติ ิ ทางจติ วทิ ยาสงั คม เฟบวรถ์ กเถียงประเดน็ เร่อื งฝรงั่ เศสยุคเรอเนสซองสแ์ ละยุคปฏริ ูปศาสนา กบั นัก ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ ประวตั ศิ าสตรว์ รรณกรรมและนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม กล่าวคอื ก่อนหน้าน้ีมติ ิ ทางวฒั นธรรมถูกมองในแงม่ มุ ทส่ี นใจแต่วฒั นธรรมชนั้ สูงและใหค้ วามสําคญั กบั พฒั นาการของจติ สาํ นัก และทศั นะของผคู้ นมอี ํานาจและผสู้ รา้ งสรรคซ์ ง่ึ อยใู่ นแวดวงวฒั นธรรมทค่ี ่อนขา้ งแคบ เช่น ราชสาํ นกั ชน ชนั้ สงู นกั ปราชญ์ นกั เขยี นและศลิ ปิน โดยเฟบวรไ์ ดว้ จิ ารณ์ทศั นะดงั กล่าวและเสนอในงานศกึ ษาชว้ี ่าไม่ 80 สําหรบั แนวคดิ ทฤษฎสี งั คมของเดอร์ไคหมใ์ นงานของโบลค ดู R. Colbert Rhodes, \"Emile Durkheim and the Historical Thought of Marc Bloch,\" Theory and Society 5, no. 1 (1978). 81 นกั ประวตั ศิ าสตรค์ นสาํ คญั ทย่ี ดึ นิยามระบอบฟิวดลั อย่างแคบคอื ฟรง้ ซวั -หลุยส์ กานชอฟ (François-Louis Ganshof)นกั ประวตั ศิ าสตร์ ชาวเบลเยย่ี มในขอ้ เขยี น Qu'est-ce que la féodalité? (1944) 82 Marc Bloch, Feudal Society Volume 2, Phoenix Books, vol. 2 (Chicago: University of Chicago Press, 1964), 306. 83 Marc Bloch, Feudal Society Volume 1, Phoenix Books, vol. 1 (Chicago: University of Chicago Press, 1964), 233. 84 Bloch, Feudal Society Volume 2, 417. 85 Bloch, Feudal Society Volume 1, 106-107. 52
DRAFTได้มาจากการค้นพบ ความคดิ หรอื สติปญั ญาของกลุ่มบางกลุ่ม แต่เป็นผลมาจากความต้องการรบั รู้ ความคดิ ใหมจ่ ากสงั คมในวงกวา้ ง8586 ใน The Problem of Unbelief in the Sixteenth Century: The Religion of Rabelais ท่ตี งั้ คําถามกบั การเช่อื หรอื ไม่เช่อื พระเจา้ ของฟรงั ซวั ส์ แรบเบอเลส์ (François Rabelais) ผ่านงานประพนั ธใ์ นบรบิ ททางความคดิ ของสงั คมฝรงั่ เศสในช่วงตน้ สมยั ใหม่ เฟบวรอ์ ธบิ าย ถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างผลงานของแรบเบอเลสก์ บั เคร่อื งมอื ทางความคดิ ทส่ี บื ต่อมาจากสมยั กลางของ สงั คมโดยรวม เฟบวรใ์ ชว้ ลี “outillage mental” (mental tools) กล่าววา่ ทกุ อารยธรรมมอี ุปกรณ์ทางความรสู้ กึ นกึ คดิ เป็นของตน ทุกยคุ สมยั ของอารยธรรมนนั้ ๆ มพี ฒั นาการทางเทคโนโลยแี ละทางวทิ ยาศาสตรเ์ กดิ ลกั ษณะเฉพาะ ชุดเคร่อื งมอื ทม่ี จี ะถูกปรบั ใหล้ ะเอยี ดลออมากขน้ึ สาํ หรบั เป้าหมายบางอยา่ งและน้อยลงสําหรบั เป้าหมายบางอย่าง ไมอ่ าจ แน่ใจไดว้ ่าอารยธรรมหรอื ยคุ หน่งึ ๆ สามารถส่งผ่านเคร่อื งมอื เหล่าน้ีใหอ้ ารยธรรมหรอื ยุคถดั ไป เคร่อื งมอื อาจเส่อื มสภาพ ถดถอยหรอื ถูกทําให้บดิ เบ้ยี วไป ในทางตรงขา้ มกนั อาจถูกพฒั นา ปรบั สภาพหรอื ทาํ ใหม้ คี วามซบั ซอ้ นขน้ึ เคร่อื งมอื เหล่าน้ีจะมคี ุณค่ากต็ ่อเม่อื อารยธรรมหรอื ยคุ นนั้ ประสบความสาํ เรจ็ ในการสรา้ งมนั และใชม้ นั แต่คุณค่าน้ีไมไ่ ดค้ งอย่ตู ลอดไปเพ่อื มวลมนุษย์ แมใ้ นอารยธรรมนนั้ เองเครอ่ื งมอื เหล่านัน้ กไ็ มไ่ ดม้ คี ณุ ค่าเสมอไป8687 ในบทความปี 1938 เฟบวรใ์ ชว้ ลนี ้ี “outillage mental” (mental equipment) เพ่อื อธบิ ายถงึ ระบบ ของผลงานทางวฒั นธรรมทช่ี ใ้ี หเ้ หน็ ว่ากลุ่มผูร้ บั เอาความคดิ มคี วามสําคญั ไม่น้อยไปกว่าปจั เจกซง่ึ เป็นผู้ แต่งหรอื ผทู้ ไ่ี ดช้ อ่ื ว่าเป็นผูร้ เิ รมิ่ ทางความคดิ ชว้ี ่าผูร้ บั เหล่าน้ีมคี วามสําคญั ในการใหค้ วามหมายใหมแ่ ละ ทําใหเ้ ป็นของตนเอง อกี ทงั้ ยงั ชว้ี ่าปจั เจกทไ่ี ดช้ ่อื ว่าเป็นผรู้ เิ รม่ิ ไม่ไดเ้ ป็นอสิ ระจากระบบและแรงผลกั ดนั ต่างจากคนอ่นื ๆ เป็นเพยี งผู้หยบิ จบั เอาเคร่อื งมอื และเทคนิควธิ ที างความคดิ อารมณ์และภาษาท่ใี ช้ 86 Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 20. 87 Lucien Febvre, Le problème de l'incroyance au 16e siècle : la religion de Rabelais (1937). แปลและตพี มิ พ์เป็นภาษาองั กฤษในปี 1982 Lucien Febvre, The Problem of Unbelief in the Sixteenth Century : The Religion of Rabelais, trans., Beatrice Gottlieb (Cambridge, Mass.: Harvard University Press, 1982), 150. Every civilization has its own mental tools. Even more, every era of the same civilization, every advance in technology or science that gives it its character, has a revised set of tools, a little more refined for certain purposes, a little less so for others. A civilization or an era has no assurance that it will be able to transmit these mental tools in their entirety to succeeding civilizations and eras. The tools may undergo significant deterioration, regression, and distortion; -or, on the contrary, more improvement, enrichment, and complexity. They are valuable for the civilization that succeeds in forging them, and they are valuable for the era that uses them; they are not valuable for all eternity, or for all humanity, nor even for the whole narrow course of development within one civilization. 53
ร่ว มกันอ ยู่ใ นส ัง ค ม ซ่ึง เ ก่ียว พ ันธ์กับ ส ภ าว ะ แ ว ด ล้อ ม แ ล ะ ค ว าม เ ป็ นอ ยู่ใ น ห ล าย มิติ8 7 88 โดยนัก ประวตั ศิ าสตรจ์ ะใชค้ วามรทู้ างจติ วทิ ยาโดย สาํ รวจอุปกรณ์ทางความรสู้ กึ นึกคดิ ของคนในยุคนัน้ ๆ อยา่ งละเอยี ดว่ามอี ะไรบา้ ง และ สรา้ งมโนทศั น์ทางกายภาพ ปญั ญาและทางจติ ใจของคนรนุ่ ก่อนขน้ึ มาใหมโ่ ดยใชท้ งั้ ความรแู้ ละ จนิ ตนาการ สรา้ งภาพความขาดแคลนในทางความคดิ และทางเทคนิคในช่วงเวลานัน้ ทท่ี ําให้ ผู้คนกลุ่มนั้นมีมโนทัศน์ต่อโลก ชีวิต ศาสนาและการเมืองบิดเบ้ียวไป และสุดท้ายนัก ประวตั ศิ าสตรต์ อ้ งตระหนกั ว่า “จกั รวาล” ไม่ไดจ้ รงิ แทไ้ ปกว่า “จติ ใจ” หรอื “ปจั เจก” แต่เป็นสงิ่ ท่ี ถูกแปรสภาพซง่ึ เป็นผลจากการคดิ คน้ และอารยธรรมทถ่ี ูกสรา้ งขน้ึ โดยกลุม่ คน8889 DRAFT วลี outillage mental ไมไ่ ดม้ กี รอบแนวคดิ ทช่ี ดั เจนและเฟบวรไ์ ม่เคยอธบิ ายกรอบแนวคดิ อย่าง เป็นระบบ แต่กพ็ อเหน็ ไดจ้ ากงานของเฟบวรเ์ อง แนวคดิ ดงั กล่าวเป็นการอธบิ าย Zeitgeist หรอื “จติ แห่งยคุ สมยั ” ทเ่ี ป็นกรอบของนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอยา่ งเบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละฮุยซงิ กา สําหรบั เฟบวร์ แลว้ วลนี ้ีมลี กั ษณะคอื มองความสมั พนั ธร์ ะหว่างความตงั้ ใจของผูแ้ ต่งหรอื ผผู้ ลติ กบั ผลผลติ ทางความคดิ หรอื ทางวฒั นธรรมว่าเป็นความสมั พนั ธ์ซบั ซ้อนและอยู่นอกเหนือสํานึก อกี ทงั้ ยงั มนี ัยของการวจิ ารณ์ การใหเ้ ครดติ กบั อจั ฉรยิ ภาพของปจั เจก มองว่ามาจากอุปกรณ์ทางความคดิ ทม่ี อี ย่แู ละมผี ูใ้ ชอ้ ยแู่ ลว้ 8990 โร เจอร์ ชาตเิ ยร์ (Roger Chartier) อธบิ ายแนวคดิ ของเฟบวรไ์ วด้ งั น้ี สงิ่ ทก่ี ําหนดกรอบหรอื ขอ้ จาํ กดั ของ outillage mental คอื สภาวะของภาษา รายการและ ประเภทของคาํ ศพั ท์ โครงสรา้ งประโยคทางไวยากรณ์ ภาษาและเครอ่ื งมอื ทางตรรกะ รวมไปถงึ 88 Lucien Febvre, Encyclopédie française, vol. viii (1938). แปลและตพี มิ พ์เป็นภาษาองั กฤษในปี 1973 Lucien Febvre, A New Kind of History : From the Writings of Febvre (London,: Routledge and Kegan Paul, 1973), 3-6. เฟบวรใ์ หค้ วามสาํ คญั กบั มติ ทิ างอารมณ์ มากกว่ามารก์ โบลคและเฟอรน์ านด์ โบรเดล โดยในบทความน้ีไดย้ กความสําคญั ของการใชอ้ ุปมา “blood and rose “ ของฮุยซงิ กาเพ่อื ใช้ อธบิ ายความรสู้ กึ นกึ คดิ ของคนในอดตี 89 ตพี มิ พใ์ นปี 1938 Febvre, A New Kind of History : From the Writings of Febvre, 9-10. The task is, for a given period, to establish a detailed inventory of the mental equipment of the men of the time, then by dint of great learning, but also of imagination, to reconstitute the whole physical, intellectual and moral universe of each preceding generation. Then to form a precise picture of the conceptual and technical shortcomings at a given moment, which necessarily distorted a given social group’s image of the world, life, religion and politics. Finally… to realize that ‘universe’ is no more an absolute than the ‘spirit’ or the ‘individual’ but that it is constantly being transformed through the inventions and civilizations produced by human groups. 90 Roger Chartier, \"Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories,\" in Modern European Intellectual History : Reappraisals and New Perspectives, ed. Dominick LaCapra and Steven L. Kaplan(Ithaca: Cornell University Press, 1982), 18. 54
DRAFT ‘เคร่อื งสนบั สนุนความคดิ ทางผสั สะ’ (“sensitive support of thought”) ซง่ึ เหน็ ไดผ้ ่านระบบของ การทาํ ความเขา้ ใจโลก โดยมสี ารบบทแ่ี ปรเปลย่ี นเป็นสงิ่ ซง่ึ กาํ หนดโครงสรา้ งทางอารมณ์ซง่ึ เป็น ลกั ษณะเฉพาะของแต่ละยคุ โดยจดุ หมนุ ทางภาษา ทางความคดิ และทางอารมณ์เคล่อื นทม่ี าตดั กนั เป็นสงิ่ กาํ หนด ‘วถิ ที างความคดิ และความรสู้ กึ ’91 ดงั นัน้ นักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจงึ ไม่ควรจํากดั อย่เู พยี งสุดยอดวรรณกรรมและผูส้ ร้างสรรค์ งาน แต่ควรทาํ ความเขา้ ใจทภ่ี าษาและวฒั นธรรมของผูค้ นต่างกลุ่มสงั คม เพ่อื จะไดม้ องเหน็ ปฏสิ มั พนั ธ์ ระหว่างวฒั นธรรมต่างๆ อีกทงั้ ไม่ควรทึกทกั ว่าวฒั นธรรมของกลุ่มคนหรอื ชนชาตินัน้ เป็นเอกภาพ รวมถงึ เขา้ ใจว่าความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศาสนา วทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมอ่นื ๆ ถูกสรา้ งขน้ึ มาอยา่ งไร แม้ งานบางชน้ิ ของเฟบวรจ์ ะมลี กั ษณะของชวี ประวตั บิ ุคคลทม่ี อี ทิ ธพิ ลทางความคดิ และทางวฒั นธรรมเช่น มาตนิ ลเู ธอร์ (Martin Luther) และฟรงั ซวั ส์ แรบเบอเลส์ ทแ่ี ท้จรงิ แลว้ เป็นการศกึ ษาสงั คมหรอื ศกึ ษา outillage mental ทไ่ี ดส้ รา้ ง “วรี บุรษุ ” หรอื “อจั ฉรยิ บุคคล” ขน้ึ มา ซง่ึ เป็นทงั้ หน่ึงในผู้สงั เกตการณ์และ เป็นหน่ึงในผลติ ผลจากการกําหนดของสงั คมต่อทม่ี ตี ่อคนทุกคน เป็นสงิ่ ทจ่ี ํากดั เสรภี าพของการคดิ ค้น รเิ รม่ิ ของปจั เจก ดงั นัน้ สงิ่ ทต่ี ามมาซ่งึ แตกต่างจากแนวคดิ ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมยุคคลาสสกิ และ แนวทางของเออรว์ นิ พานอฟสกี (Erwin Panofsky) คอื กบั outillage mental เฟบวรม์ นี ยั ว่าเป็นชุด เคร่อื งมอื ทางภาษา สญั ญะและแนวคดิ ทด่ี าํ รงอยู่อย่างเป็นวตั ถุวสิ ยั เพ่อื การนําไปใชเ้ ป็นเคร่อื งมอื ทาง ความคดิ ของปจั เจก กล่าวคอื ไมไ่ ดอ้ ยภู่ ายในปจั เจกหรอื กลมุ่ คน แต่เป็น “โรงเกบ็ วสั ดุทางความคดิ ” ทจ่ี ะ ถูกหยบิ จบั ขน้ึ มาใช้ ไมไ่ ดม้ นี ยั ของเอกภาพทางความคดิ และวฒั นธรรมของสงั คม9192 กรอบแนวคดิ ว่าดว้ ย outillage mental และ mentalité มอี ทิ ธพิ ลอย่างสงู ต่อนกั ประวตั ศิ าสตร์ สาํ นักอานาลสร์ นุ่ ทส่ี อง อย่างไรก็ดเี ฟอรน์ านด์ โบรเดล (Fernand Braudel) ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเป็นผูน้ ําคน สาํ คญั และเป็นผทู้ ท่ี ําใหป้ ระวตั ศิ าสตรส์ ํานักน้ีแพร่อทิ ธพิ ลส่โู ลกวชิ าการสากล กลบั ใหพ้ น้ื ทแ่ี ละอภปิ ราย mentalité ค่อนขา้ งน้อย แมแ้ ต่ในบททช่ี ่อื “Civilizations” ใน The Mediterranean โบรเดลกล่าวถงึ ระบบ คณุ ค่าต่างๆคอ่ นขา้ งน้อย แมว้ า่ คณุ ค่าทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ศาสนามคี วามสาํ คญั ในแถบน้ีสงู อกี ทงั้ โบรเดลมอง วฒั นธรรมในแบบท่นี ักภูมศิ าสตรม์ องกล่าวคอื มองในลกั ษณะของการจดั แบ่งตามพ้นื ท่ี ไม่มแี นวคดิ ว่า ดว้ ยสญั ลกั ษณ์และความหมายทน่ี ักวชิ าการสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยารว่ มสมยั สนใจ9293 หากมองใน 91 Chartier, \"Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories,\" 19. 92 Chartier, \"Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories,\" 20-21. 93 Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 38-39, 47-48. 55
DRAFTกรอบแนวคดิ ของโบรเดล วฒั นธรรมเป็นส่วนทเ่ี ช่อื มโยงกบั ปจั จยั ทางภูมศิ าสตรแ์ ละระบบทางเศรษฐกจิ ผา่ นโครงสรา้ ง 3 ระดบั โดยระดบั ทล่ี กึ ทส่ี ุดคอื longue durée ซง่ึ ปจั จยั ทางชวี ภาพและทางภมู ศิ าสตรซ์ ง่ึ ส่งผลต่อการตงั้ ถิ่นฐานของมนุษยแ์ ละโครงสรา้ งประชากรมกี ารเปล่ยี นแปลงช้าทส่ี ุด ระดบั กลางหรอื conjuncture คอื ระบบเศรษฐกจิ และความสมั พนั ธ์ทางสงั คมซ่งึ มกี ารเปลย่ี นแปลงเป็นวงจร ส่วนระดบั พน้ื ผวิ บนสุดคอื เหตุการณ์ความเป็นไปทางการเมอื ง โดยโบรเดลกล่าวว่าเป็นระดบั ทม่ี คี วามผนั ผวนสูง ท่สี ุด โบรเดลมองว่าความเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรมอยู่ในเวลาและโครงสร้าง ระดบั ชนั้ กลาง ซง่ึ มกั ถูกเรยี กว่าอารยธรรม (civilization) ซง่ึ ส่วนของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอย่ใู นส่วน น้ี ในงานของโบรเดลเองเหน็ ไดช้ ดั ว่าประวตั ศิ าสตร์ mentalité และวฒั นธรรมมพี น้ื ทล่ี ดลงมาก โดยส่วน สาํ คญั เป็นสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพและทางวตั ถุ9394 ซง่ึ ส่วนหน่ึงเป็นผลมาจากการศกึ ษาช่วงเวลายาว และพน้ื ทก่ี วา้ งขน้ึ ทาํ ใหม้ องว่าระดบั ลกึ ทส่ี ุดคอื สงิ่ ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรค์ วรสนใจเพ่อื จะสามารถทําความ เข้าใจมิติทางวัฒนธรรมได้ หากเปรียบเทียบกับสํานักอานาลส์ยุคก่อนเห็นได้ว่าโบรเดลและนัก ประวตั ศิ าสตรใ์ นรุ่นท่สี องให้ความสําคญั กบั ปจั จยั ทางกายภาพ เช่น ภูมศิ าสตร์ เศรษฐกิจ สงั คมและ ประชากรเป็นสาํ คญั 9495 สนใจประเดน็ ดา้ นจติ วทิ ยาสงั คมและ mentalité ลดลง เน่ืองจากส่วนใหญ่มองว่า ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและเศรษฐกจิ มคี วามสําคญั กว่าดา้ นอ่นื ๆ นักประวตั ศิ าสตรใ์ นรนุ่ น้ีบางคนหนั ไปใช้ ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณเพ่อื อธิบายถึงความเปล่ียนแปลงทางสงั คมและเศรษฐกิจ นํามาวเิ คราะห์ใบปลิว การเมอื ง กฎหมาย พนิ ัยกรรมและภาพ ฯลฯ เพ่อื ศึกษาทศั นคติของผู้คนในสงั คม แต่ก็มงี านศึกษา ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมในเชงิ ปรมิ าณซ่งึ สนใจเร่อื งหนังสอื และการอ่านออกเขยี นได้ ดงั ท่รี วมอยู่ใน Livre et societe dans la france du xviiie siecle (1965)96 ทร่ี วมบทความศกึ ษาประวตั ศิ าสตรห์ นังสอื ประเภทต่างๆ ในเชงิ ปรมิ าณ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเชงิ ปรมิ าณดงั กล่าวนับได้ว่าเป็นความท้าทาย อย่างมาก แม้นักประวัติศาสตร์ในกลุ่มน้ีหลายท่านจะสนใจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมผ่านแนวคิด mentalité แต่สว่ นใหญ่กย็ อมรบั ว่าเป็นรองประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและเศรษฐกจิ 94 Fernand Braudel, On History (Chicago: University of Chicago Press, 1980), 27, 32. โดยโครงสรา้ งดงั กล่าวปรากฏอย่ใู น La Méditerranée et le Monde Méditerranéen a l'époque de Philippe II (1949) 95 งานสาํ คญั ๆไดแ้ ก่ Emmanuel Le Roy Ladurie, Les Paysans De Languedoc (1966), Pierre Goubert, Beauvais et le Beauvaisis de 1600 à 1730 : contribution à l'histoire sociale de la France du XVIIe siècle (1958); Bernand Cousin, Le miracle et le quotidien: Les ex voto provençaux images d'une société, 1983. 96 Geneviève Bolléme and others, Livre Et Société Dans La France Du Xviiie Siècle (Paris: Mouton, 1965). 56
DRAFT Histoire des Mentalité และการกลบั มาของประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในฝรงั่ เศส ปญั หาหรอื ขอ้ วจิ ารณ์สาํ คญั ทม่ี ตี ่อประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลสเ์ ป็นผลมาจากความสําเรจ็ ภายใต้ การนําของโบรเดลและวธิ กี ารเชงิ ปรมิ าณ ท่มี ขี อ้ จํากดั ในการทําความเขา้ ใจความขดั แยง้ วกิ ฤตและ ความผนั ผวนในประวตั ศิ าสตร์ โดยเฉพาะประวตั ศิ าสตรส์ มยั ใหม่หรอื หากเจาะจงคอื การปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส ซง่ึ เป็นประเดน็ สาํ คญั เร่อื ยมา เหน็ ไดว้ ่ากรอบเวลาการวเิ คราะหแ์ บบ longue durée และการมองหา สภาวะเสถียรมขี ้อจํากดั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ หากเปรยี บเทยี บทศั นะแบบมาร์กซสิ ม์ ทําให้กรอบการ วเิ คราะหด์ งั กล่าวไม่เป็นท่นี ิยมสําหรบั นักประวตั ศิ าสตรท์ ศ่ี กึ ษาหลงั ปี 1789 ทําให้ในทศวรรษท่ี 1970 นักประวัติศาสตร์ในรุ่นท่ีสาม เรมิ่ วิจารณ์สํานักตนเองและพยายามฉีกตัวออกจากกรอบ9697 นัก ประวตั ศิ าสตรจ์ าํ นวนหน่ึงหนั มาทาํ งาน histoire des mentalités และเป็นประวตั ศิ าสตร์ “the third level” ทําให้แนวคดิ โครงสร้าง 3 ระดบั กรอบเวลาและปจั จยั ของ longue durée ท่โี บรเดลเสนอไว้ลด ความสําคัญลงมาก หันมาให้ความสําคัญกับ “ความรู้สึกนึกคิด” อีกทัง้ ให้ความสําคญั กับมติ ิทาง วฒั นธรรมมากขน้ึ อทิ ธพิ ลของมานุษยวทิ ยาท่มี ตี ่อความเขา้ ใจวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตร์ปรากฏในงานของทงั้ โบลคและเฟบวร์ แต่ในรุ่นท่ี 3 ทส่ี นใจวฒั นธรรมเหน็ ไดถ้ งึ อทิ ธพิ ลของสาขามานุษยวทิ ยาทช่ี ดั เจนมาก ขน้ึ โดยเฉพาะการใหค้ วามสําคญั ประเดน็ ทางด้านญาณวทิ ยาแบบมานุษยวทิ ยา นกั ประวตั ศิ าสตรเ์ รม่ิ มองอดตี ว่าเป็นอกี วฒั นธรรมหน่ึง การทาํ ความเขา้ ใจจงึ ต้องอาศยั ความเขา้ ใจความรสู้ กึ นึกคดิ ของผูค้ น ในอดตี (empathy) โดยเฉพาะผูค้ นระดบั ล่างทางสงั คม เน่ืองจากหลกั ฐานทเ่ี ป็นขอ้ เขยี นของคนกลุ่มซง่ึ สะทอ้ นความคดิ ของผคู้ นกลุ่มนัน้ โดยตรงมอี ย่นู ้อย ทําใหต้ ้องพฒั นาวธิ กี ารและกรอบแบบใหม่ ทอ่ี าศยั หลกั ฐานและวธิ กี ารอ่านหลกั ฐานทแ่ี ตกต่างจากประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง ขณะทส่ี ่วนหน่ึงพฒั นาวธิ กี ารเชงิ ปรมิ าณซง่ึ ประสบความสาํ เรจ็ สงู ในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและเศรษฐกจิ แต่ในมติ ทิ างวฒั นธรรม กลบั ไม่เป็นทย่ี อมรบั จากนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจากฝงั่ องั กฤษและอเมรกิ านัก เน่ืองจากเหน็ ว่ามติ ิ ทางความหมายมคี วามสําคญั ในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม และการศกึ ษาเชงิ ปรมิ าณไมอ่ าจทาํ ความเขา้ ใจความสลบั ซบั ซอ้ นของวฒั นธรรมไดด้ พี อ9798 97 Lynn Hunt, \"French History in the Last Twenty Years: The Rise and Fall of the Annales Paradigm,\" Journal of Contemporary History 21, no. 2 (1986): 214. 98 Robert Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History (Harmondsworth: Penguin, 1985), 258; Robert Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 1st ed. ed. (New York: Norton, 1990), 290-291. 57
DRAFT การเปล่ียนทิศทางของประวตั ิศาสตร์สํานักอานาลส์เห็นได้จากวิธีการท่ีเปล่ียนไปของนัก ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งเอม็ มานูเอล ลี รวั ลาดูรี (Emmanuel Le Roy Ladurie) จากการศกึ ษาเชงิ ปรมิ าณ แบบสงั คมวทิ ยาใน Les Paysans de Languedoc (1966)9899 ซง่ึ ทาํ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมของชาวนาในล็ องก์ดอ็ กตามกรอบ longue durée การเปลย่ี นทศิ ทางของ histoire des mentalités เหน็ ชดั ในงานอยา่ ง Montaillou ทต่ี พี มิ พใ์ นปี 1975 และ Carnival in Romans ในปี 1979100 ซง่ึ เป็นการเปลย่ี นทศิ ทางและ วธิ กี ารทห่ี ลดุ จากกรอบเวลาและการทาํ ความเขา้ ใจโครงสรา้ งแบบโบรเดล งานสองชน้ิ หลงั เป็นการศกึ ษา เชงิ คุณภาพแบบมานุษยวทิ ยาทเ่ี น้นพน้ื ทเ่ี ลก็ และเน้นเหตุการณ์ ซง่ึ เปิดใหเ้ หน็ ถงึ ความรสู้ กึ นึกคดิ และ คา่ นยิ มของผคู้ นผา่ นการสอบสวนศาลศาสนาช่วงเวลาราว 30 ปี ลี รวั ลาดูรใี ชบ้ นั ทกึ การสอบสวนศาล ศาสนาของชาวหมู่บ้านมองเทลลู (Montaillou) ทางตอนใต้ของฝรงั่ เศส โดยศึกษาจากบนั ทกึ การ สอบสวนชาวบา้ นจาํ นวน 25 คน ซ่งึ ประมาณรอ้ ยละ 10 ของประชากรในหมู่บา้ น โดยอ่านหลกั ฐาน ดงั กล่าวในลกั ษณะเหมอื นบนั ทกึ ภาคสนามของนักมานุษยวทิ ยา เพ่อื ทําความเขา้ ใจชวี ติ ความความ เป็นอยู่ ธรรมเนียมประเพณีและความรูส้ กึ นึกคดิ ในเร่อื งต่างๆ เช่น มโนทศั น์ด้านเวลาและพ้นื ท่ี โลก ธรรมชาติ ครอบครัว วัยเด็ก เพศสภาพและความตาย แนวทางศึกษาและประเด็นศึกษาแบบ มานุษยวทิ ยาเป็นแนวทางการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทเ่ี ป็นทน่ี ิยมในหมนู่ กั ประวตั ศิ าสตรร์ ุน่ น้ี ความสนใจดงั กล่าวยงั ปรากฏอยู่ในงานทอ่ี าจเรยี กได้ว่าเป็นมานุษยวทิ ยาประวตั ศิ าสตรส์ มยั กลางของจารค์ เลอกอ็ ฟ (Jacques Le Goff) และจอรจ์ ดบู ี (Georges Duby) ซง่ึ ทงั้ สองเป็นคนสาํ คญั ใน การศกึ ษา histoire des mentalités แมว้ ่าเลอกอ็ ฟค่อนขา้ งไม่เหน็ ดว้ ยกบั การใชค้ าํ ดงั กล่าว โดยสาํ หรบั งานศกึ ษาของตนใชว้ ลี “มานุษยวทิ ยาเชงิ ประวตั ศิ าสตร”์ เลอก็อฟยงั สนใจช่วงเวลายาวนานและพน้ื ท่ี ใหญ่กล่าวคอื สมยั กลางของยโุ รปตะวนั ตก ใน La Naissance du purgatoire (1981; The Birth of Purgatory) เลอกอ็ ฟศกึ ษาภาพแทนของชวี ติ หลงั ความตายโดยอธบิ ายว่ามกี ารก่อรปู ทางความรสู้ กึ นึก คดิ อยา่ งไร ขณะทด่ี ูบเี รม่ิ ต้นทป่ี ระวตั ศิ าสตรส์ งั คมและเศรษฐกจิ แต่ในเวลาต่อมาสนใจศกึ ษาวฒั นธรรม สมยั กลางยคุ รุ่งเรอื ง โดยเฉพาะมโนทศั น์ทางสงั คม เช่น ใน Les trois ordres ou L'imaginaire du féodalisme (1978; The Three Orders: Feudal Society Imagined) รวมถงึ ครอบครวั และเพศสภาวะ 99 ตพี มิ พเ์ ป็นภาษาองั กฤษภายใตช้ อ่ื The Peasants of Languedoc ในปี 1974 100 Emmanuel Le Roy Ladurie, Montaillou, village occitan de 1294 à 1324 (1975) ตพี มิ พเ์ ป็นภาษาองั กฤษ Emmanuel Le Roy Ladurie, Montaillou, the Promised Land of Error (New York: Vintage Books, 1979). 58
DRAFTในงานหลายช้นิ และมงี านดา้ นประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะดว้ ย100101 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมช่วงสมยั กลางและ ชว่ งตน้ สมยั ใหมข่ องนกั ประวตั ศิ าสตรร์ นุ่ ทส่ี ามน้ี มสี ว่ นหน่ึงทป่ี ระเดน็ ศกึ ษาไปในทางมานุษยวทิ ยาอย่าง ชดั เจน เช่น ครอบครวั เพศสภาวะ มโนทศั น์ทางสงั คม ความตายและเวลา อีกส่วนหน่ึงสนใจเร่อื ง ประวตั ศิ าสตรห์ นังสอื การอ่านและวฒั นธรรมประชาชน (popular culture) โดยเฉพาะกลุ่มทส่ี นใจช่วง ต้นสมยั ใหม่ทส่ี บื ต่อแนวทางจากเฟบวร์ สง่ิ ทน่ี ่าสงั เกตของนักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่มน้ีบางคนคอื เรมิ่ มนี ัก ประวตั ศิ าสตรท์ ่หี นั มาสนใจสงั คมและวฒั นธรรมในช่วงก่อนปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศสซ่ึงถือได้ว่าเป็นพ้นื ท่ที ่นี ัก ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั น้ีมกั อยหู่ ่าง เชน่ มเิ ชล โวเวลล์ (Michel Vovelle) และ ดาเนียล โรช (Daniel Roche) ซง่ึ เปิดประตูใหก้ บั นกั ประวตั ศิ าสตรใ์ นรนุ่ ต่อมา อกี ทงั้ มกี ารเปิดรบั และมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั นักประวตั ศิ าสตร์ นอกฝรงั่ เศสมากข้นึ โดยเฉพาะด้านมานุษยวิทยาและความสนใจต่อวฒั นธรรมประชาชน (popular culture) ซง่ึ เป็นพน้ื ท่ใี หญ่มากในโลกวชิ าการองั กฤษและอเมรกิ า ทําใหค้ วามสนใจดา้ นประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมทเ่ี คยมอี ยทู่ ช่ี ายขอบในสมยั โบรเดลกลบั มามที ท่ี างมากขน้ึ เน่ืองจากสํานกั อานาลสร์ ่นุ ท่ี 3 ไม่มผี ูน้ ําทม่ี บี ทบาทโดดเด่นอยา่ งทโ่ี บรเดลเคยเป็น อกี ทงั้ ไม่มี นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ่านใดทพ่ี ยายามสถาปนาระเบยี บวธิ หี รอื อธบิ ายกรอบวธิ กี ารอยา่ งเป็นระบบอย่างท่ี โบรเดลทาํ ในโครงสรา้ ง 3 ระดบั เน่ืองจากวธิ แี ละขอบเขตการศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรข์ น้ึ กบั ปจั เจกและ ประเดน็ ศึกษาสูง อีกทงั้ ยงั ขน้ึ กบั ความเช่ยี วชาญส่วนบุคคลและหลกั ฐาน อย่างไรก็ดพี อเหน็ ได้ถงึ ลกั ษณะร่วมซ่งึ สบื ทอดแนวทางจากนักประวตั ศิ าสตร์สํานักอานาลส์รุ่นแรก กล่าวคอื histoire des mentalités ใหค้ วามสาํ คญั กบั ความรสู้ กึ นึกคดิ ทม่ี รี ่วมกนั ของสงั คมและชช้ี ดั ว่าไมม่ ปี จั เจกใดเป็นเจา้ ของ ซง่ึ มที งั้ สงิ่ อยใู่ นสาํ นึกรแู้ ละอย่นู อกสํานึกรขู้ องผูค้ น histoire des mentalités จงึ เป็นการทําความเขา้ ใจ ระบบโครงสรา้ งหรอื ความสมั พนั ธข์ องความรสู้ กึ นึกคดิ ต่างๆ กรอบแนวคดิ ว่าดว้ ย outillage mental ซง่ึ มอี ิทธพิ ลอย่างมากต่อนักประวตั ศิ าสตรส์ ํานักอานาลส์รุ่นท่สี าม ก็ไม่ได้มคี วามชดั เจนนักในแง่ท่เี ป็น กรอบหรอื ทฤษฎที างสงั คมและวฒั นธรรม ต่างจากแนวคดิ ของโบรเดลทเ่ี ป็นระบบกว่ามาก ความโดด เด่นและนวตั กรรมอยู่ท่คี วามหลากหลายในด้านระเบยี บวธิ ี กรอบการวเิ คราะห์ ขอบเขตและการใช้ หลกั ฐานของนกั ประวตั ศิ าสตรแ์ ต่ละท่าน ขน้ึ กบั ความเชย่ี วชาญและหลกั ฐาน ทงั้ พน้ื ทเ่ี ลก็ และพน้ื ทก่ี วา้ ง ช่วงเวลาสนั้ มากและยาวมาก วฒั นธรรมระดบั บนและล่าง วฒั นธรรมมขุ ปาฐะและวรรณกรรม จารค์ เลอ กอ็ ฟชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ จดุ แขง็ ของลกั ษณะดงั กล่าว คอื เป็นประวตั ศิ าสตรท์ ท่ี ําความเขา้ ใจ “ความกํากวม” ไดด้ ี เน่ืองจากนกั ประวตั ศิ าสตรต์ ้องก้าวขา้ มสาขาประวตั ศิ าสตรไ์ ปสมั ผสั กบั ศาสตรด์ า้ นอ่นื ๆ ทําให้สามารถ 101 มกี ารออกชุดหนังสอื รวมบทความ ไดแ้ ก่ Philippe Ariès and Georges Duby, Histoire de la vie privée (5 vols, 1985-87); Georges Duby and Michelle Perrot, Storia delle donne in Occidente (4 vols, 1990-91) 59
DRAFTเขา้ ส่พู น้ื ท่ที ป่ี ระวตั ศิ าสตรแ์ บบจารตี ไม่เคยสนใจ อกี ทงั้ สนใจจุดพบกนั ของขวั้ ตรงขา้ มระหว่าง “ปจั เจก กบั หมู่ชน ช่วงเวลาทางประวตั ศิ าสตรย์ าวนานกบั การดํารงชวี ติ ประจาํ วนั สงิ่ ท่เี ป็นเจตนาและสง่ิ ท่อี ยู่ นอกสาํ นกึ ”102 ความหลายหลายและแตกต่างทางวธิ กี ารเป็นทม่ี าของคําวจิ ารณ์อนั แรกทว่ี ่า ไม่เหน็ ประโยชน์ ของการจะเรยี กรวมวา่ histoire des mentalités เพราะต่างคนต่างมวี ธิ กี ารเป็นของตนเอง เป็นผลมาจาก การไรซ้ ง่ึ แนวคดิ การวเิ คราะหท์ เ่ี ป็นระบบและอธบิ ายพลวตั ทางวฒั นธรรมทค่ี ลุมเครอื ไม่เคยก่อรูปทาง ทฤษฎหี รอื แนวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรม102103 แมว้ ่าจะพอเหน็ ถงึ อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ ทฤษฎที างสงั คมวทิ ยา และวธิ ที างมานุษยวทิ ยาซง่ึ ก็แตกต่างกนั ไปตามงานแต่ละช้นิ อกี ทงั้ เป็นเพยี งการหยบิ ยมื แนวคดิ หรอื เศษเส้ยี วแนวคดิ จากหลายสาขามาปนกนั อย่างคลุมเครอื ไรร้ ะบบและไม่มแี ก่นสารร่วมกนั ขาดความ ชดั เจนและเป็นกรอบวธิ ที ห่ี ยบิ เลก็ ผสมน้อยมาจากหลายแหล่ง อกี ทงั้ คาํ ว่า mentalités ไมเ่ คยถูกใชห้ รอื อธบิ ายในสถานะท่เี ป็นแนวคดิ ทฤษฎีหรอื กรอบวธิ ี ทําให้ถูกวจิ ารณ์ว่าเป็นแนวทางการศกึ ษาท่ขี าด ระเบยี บวธิ แี ละกรอบการวเิ คราะหท์ แ่ี น่นอนและเป็นระบบ เพราะใครจะศกึ ษาอะไรและอย่างไรกไ็ ด้ โดย กระแสวจิ ารณ์น้มี าจากสงั คมศาสตรโ์ ดยรวม แต่กระแสวจิ ารณ์หลกั จากสาขาประวตั ศิ าสตรโ์ จมตจี ุดดอ้ ย ของลกั ษณะรว่ มทก่ี ลา่ วไปแลว้ ขอ้ วจิ ารณ์สําคญั อกี ประการหน่ึงคอื แมว้ ่า histoire des mentalités แสดงถงึ ความพยายามหนี จากกรอบ longue durée ของโบรเดล แต่กห็ นีไม่พน้ การมองวฒั นธรรมว่าอยู่ในสภาวะหยุดน่ิงหรอื เปลย่ี นแปลงชา้ โดยมองว่า mentalités เป็นเหมอื นกบั พนั ธนาการทป่ี จั เจกไมอ่ าจหลุดไปไดไ้ มต่ ่างจาก การท่ีโบรเดลมองสภาวะแวดล้อมทางกายภาพนัก มองว่าวฒั นธรรมและความคิดทศั นคติมคี วาม สอดคลอ้ งกนั และลงรอยกนั ในสงั คม อกี ทงั้ ยงั มองวฒั นธรรมว่าเป็นระบบปิดกล่าวคอื การวเิ คราะหม์ อง การรับอิทธิพลจากภายนอกและการส่งผ่านทางวัฒนธรรมระหว่างองค์ประกอบภายในได้น้อย ตวั อย่างเช่น Montaillou ซ่งึ ถือว่าเป็นงานท่ีก้าวข้ามแนวทางของโบรเดลในหลายด้าน ก็ยงั ให้ ความสําคญั กบั พลวตั ความเปล่ียนแปลงและความขดั แย้งทางความคดิ และวฒั นธรรมน้อย ขาดวธิ ี วเิ คราะหใ์ นเชงิ กลไกหรอื องคาพยพทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรม รวมถงึ ขอ้ จาํ กดั ใน 102 Jacques Le Goff and Pierre Nora, Constructing the Past : Essays in Historical Methodology (Cambridge,: Cambridge University Press, 1985), 167-168. (ตพี มิ พค์ รงั้ แรกในปี 1974) 103 Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 215. 60
DRAFTการทาํ ความเขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหว่างกลุ่มต่างๆ ในสงั คม103104 รวมถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างวฒั นธรรม ระดบั ต่างๆ จากตวั อย่างสมยั กลางเหน็ ได้ถงึ ความแตกต่างทางเศรษฐกจิ และรูปแบบทางสงั คมทําให้ ระบบความคดิ และพฤตกิ รรมทางวฒั นธรรมของคนแต่ละกลุ่มมคี วามแตกต่างสูง นกั ประวตั ศิ าสตรส์ มยั กลางจงึ มกั มองว่าการแบ่งแยกหรอื ความแตกต่างทางวฒั นธรรมเป็นภาพสะท้อนการแบ่งแยกหรอื ระดบั ชนั้ ทางสงั คม รวมถงึ การช้นี ําทางวฒั นธรรมและการตามทางวฒั นธรรมในลกั ษณะบนลงล่าง ซ่งึ การมองช่องว่างระหว่างวฒั นธรรมและการช้นี ําทางวฒั นธรรมดงั กล่าวถูกวจิ ารณ์ค่อนขา้ งมาก ว่ามอง วฒั นธรรมทค่ี ่อนขา้ งคงทแ่ี ละมองไมเ่ หน็ พลวตั ในทางทส่ี วนทางกนั คําวจิ ารณ์ดงั กล่าวมาจากหลายฝงั่ ทงั้ จากนกั ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลสร์ ุ่นหลงั 104105 จากนักประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ ม์ จากจุลประวตั ศิ าสตร์ จากอติ าลี (microhistory)106 และนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจากสหรฐั ดว้ ย106107 เหน็ ไดว้ ่างานของนักประวตั ศิ าสตรน์ อกสาํ นักอย่างนอรเ์ บริ ต์ เอเลยี ส (Norbert Elias), ฟิลปิ ป์ อารสี ์ (Philippe Aries) และมเิ ชล ฟูโก (Michel Foucault) ค่อนขา้ งโดดเด่นในดา้ นน้ีกว่ามาก อกี ทงั้ งาน ของนกั ประวตั ศิ าสตรท์ งั้ 3 ท่านน้ี มลี กั ษณะสําคญั 2 ประการทโ่ี ดดเด่นกว่า histoire des mentalités ในช่วงเวลาเดยี วกนั ประการแรกคอื เหน็ ความสาํ คญั ต่อการเปลย่ี นผ่านหรอื การก่อรปู ของชุดความรสู้ กึ นึกคดิ และวฒั นธรรม และประการทส่ี อง การสนใจศกึ ษาปรากฏการณ์ทค่ี าบเก่ยี วมาในช่วงศตวรรษท่ี 19 ซ่งึ เป็นพ้นื ท่ที ่ี histoire des mentalités มกั จะอย่หู ่างๆ อกี ทงั้ ยงั เหน็ ได้ถงึ ความหลากหลายใน ประเดน็ ศึกษา วธิ กี าร ขอบเขตและการใช้หลกั ฐานทห่ี นั ไปในทศิ ทางของมานุษยวทิ ยามากขน้ึ ในช่วง ปลายทศวรรษท่ี 1970 โดยประวตั ศิ าสตรส์ งั คมเชงิ ปรมิ าณทเ่ี คยเป็นศูนยก์ ลางลดบทบาทลง เช่น ใน Century of Childhood อารสี พ์ ยายามอธบิ ายดว้ ยทฤษฎพี ฒั นาการทางอารยธรรมดว้ ยพฒั นาการของ ปจั เจกท่เี ปล่ยี นไปตามมโนทศั น์ว่าด้วยเวลาและอายุขยั ขณะทเ่ี อเลยี สใช้ทฤษฎพี ฒั นาการทางอารย ธรรมโดยศกึ ษาพฤติกรรมโดยอธบิ ายถงึ ความเปล่ยี นแปลงทางในเชงิ จติ วทิ ยาภายในคู่ขนานไปกับ 104 Burke, Varieties of Cultural History, 170-171. 105 Roger Chartier, Cultural History : Between Practices and Representations (Cambridge: Polity in association with Blackwell, 1988). 106 Carlo Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller (Baltimore: Johns Hopkins University Press, 1980), xx-xxiv. 107 Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 291. 61
DRAFTความเปลย่ี นแปลงของโครงสรา้ งทางชนชนั้ ภายนอก โดยอธบิ ายในแง่กลไกทางจติ ภายในและกลไกทาง สงั คมภายนอก107108 ส่วนฟูโกศกึ ษาภาพสะทอ้ นอนั เป็นลบของอารยธรรมโดยมองในสง่ิ ทล่ี ม้ เหลวในการเขา้ มามสี ่วน ในอารยธรรม ในแงข่ องรหสั หรอื กลเกมในการประกอบสรา้ งทางความรสู้ กึ นึกคดิ ถงึ ความมแี ละไมม่ อี ารย ธรรมเหล่านัน้ โดยรหสั ทางความรูเ้ หล่าน้ีเป็นส่วนสําคญั ในการสรา้ งมโนทศั น์ต่างๆ โดยฟูโกเรยี กรหสั เหล่าน้ีว่า “วาทกรรม” (discourse) โดยแพทรกิ ฮตั ตนั (Patrick Hutton) ชว้ี ่าแนวคดิ “วาทกรรม” ของ ฟูโกมสี ่วนคลา้ ยกบั แนวคดิ “outillage mental” ของเฟบวรอ์ ย่ใู นแง่ทเ่ี ป็นการศกึ ษาระบบและอุปกรณ์ ทางความรสู้ กึ นึกคดิ แต่ขอ้ แตกต่างสําคญั คอื เฟบวรท์ ํารายการ “outillage mental” เพ่อื ใหท้ ราบถึง ขอ้ จํากดั และศกั ยภาพของเคร่อื งมอื ในแต่ละยุค ขณะท่ฟี ูโกสํารวจ “discourse” เพ่อื ทําความเข้าใจ สณั ฐานและรหสั ท่มี ากมายและซบั ซอ้ น108109 นอกจากน้ีความสนใจต่อวฒั นธรรมหรอื ความรูส้ กึ นึกคดิ ท่ี เป็นชายขอบท่ีฟูโกสนใจ ใกล้เคยี งกับความสนใจของนักประวัติศาสตร์ในรุ่นเดียวกันอีกหลายคน โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยทศั นะต่อความตาย การกระทําท่ีเป็นอาชญากรรมและความรุนแรงทาง การเมอื งในยุคแสงสว่างและสมยั ปฏิวตั ิฝรงั่ เศสในวฒั นธรรมชนชนั้ ล่าง เพ่ือทําความเข้าใจสภาวะ พ้นื ฐานของมนุษยท์ ่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ชวี ติ และความตายซง่ึ เป็นประเดน็ ประเดน็ สนใจทางมานุษยวทิ ยามา อยา่ งต่อเน่ือง109110 ขอ้ แตกต่างสาํ คญั ของประเดน็ ศกึ ษาระหว่างมเิ ชล ฟูโกกบั histoire des mentalités ท่ี สนใจทศั นะต่อความตาย อาชญากรรมและเรอ่ื งเพศ ซง่ึ รวมถงึ อารสี ด์ ว้ ยคอื ขณะทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรส์ ่วน ใหญ่มคี วามสนใจและประเดน็ คําถามในลกั ษณะมานุษยวทิ ยากล่าวคอื ศึกษาทศั นคตติ ่อสง่ิ เหล่านัน้ ท่ี แตกต่างจากท่เี ป็นอยู่ในสงั คมสมยั ใหม่ ทว่าฟูโกสนใจศกึ ษาเพ่ือถอดรหสั ความเป็นอารยของสงั คม สมยั ใหม่ผ่านวาทกรรม คงกล่าวได้ยากว่าฟูโกมอี ิทธิพลในทางตรงในแง่วิธีการต่อประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมในฝรงั่ เศส แต่อาจกล่าวได้ว่าส่งผลใหเ้ กดิ ความสนใจในประเดน็ ศกึ ษาตงั้ แต่เร่อื งความเป็น ชายขอบ เพศสภาพและร่างกาย110111 รวมถงึ มสี ่วนใหน้ กั ประวตั ศิ าสตรต์ ระหนกั ถงึ ประเดน็ ทางดา้ นญาณ วทิ ยาทฟ่ี ูโกทา้ ทายมากขน้ึ ส่วนนักประวตั ศิ าสตรท์ ร่ี บั อทิ ธพิ ลจากฟูโกมากกว่าเป็นนักประวตั ศิ าสตร์ 108 Patrick H. Hutton, \"The History of Mentalities: The New Map of Cultural History,\" History and Theory 20, no. 3 (1981): 244- 245, 247-248. 109 Hutton, \"The History of Mentalities: The New Map of Cultural History,\" 251-252. 110 ดู Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History. 111 กรณตี วั อยา่ งเช่นหนังสอื รวมบทความประวตั ศิ าสตร์ร่างกายของนกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั ่ เศสชุด Histoire du corps (Alain Corbin et al. Histoire Du Corps. 3 vols. Paris: Seuil, 2005-2006.) ทงั้ 3 เล่มซง่ึ เป็นโครงการต่อเน่ืองของประวตั ศิ าสตรส์ งั คมฝรงั่ เศสจาก A History of Women และ a History of Private Life กลบั แทบไมไ่ ดก้ ล่าวถงึ งานของฟูโกเลย 62
DRAFTจากฝงั่ อเมรกิ าซ่งึ กร็ บั แต่ส่วนเลก็ ๆ เท่านัน้ หากเปรยี บเทยี บกบั สงั คมศาสตรส์ าขาอ่นื ประเดน็ วจิ ารณ์ สําคญั ต่องานของฟูโกทท่ี ําใหม้ ปี ญั หาต่อวงวชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตรค์ อื ฟูโกเหน็ ว่าความเป็นจรงิ ทาง ประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นสง่ิ ท่ถี ูกประกอบสรา้ งจากวาทกรรม อกี ประเดน็ หน่ึงคอื ฟูโกปฏเิ สธการวเิ คราะหห์ า สาเหตุจากผลลพั ธ์ อย่างไรกด็ แี นวคดิ ว่าด้วยวาทกรรมส่งผลต่อความสนใจประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม ค่อนขา้ งสงู นักประวตั ิศาสตรม์ ารก์ ซิสมก์ บั วฒั นธรรม : เอด็ เวิรด์ ทอมป์ สนั กรอบวธิ คี ดิ แบบมารก์ ซสิ มม์ องว่าความจาํ เป็นทางกายภาพและการแย่งชงิ การเขา้ ถงึ ทรพั ยากร เป็นสง่ิ ทผ่ี ลกั ดนั พลวตั ทางประวตั ศิ าสตร์ โดยสงั คมในทกุ แงม่ มุ รวมถงึ จติ สาํ นกึ ของมนุษย์ ความคดิ และ วฒั นธรรมถูกกําหนดโดยสภาวะทางวตั ถุซง่ึ รวมถงึ สณั ฐานของระบบเศรษฐกจิ และความสมั พนั ธท์ างการ ผลติ วฒั นธรรมจงึ ไม่ไดม้ สี ถานะเป็นตวั กระทําหรอื มบี ทบาทในพลวตั ทางประวตั ศิ าสตรม์ ากนกั แมว้ ่า ประวตั ศิ าสตร์มารก์ ซสิ มจ์ ะไม่ได้ช่อื ว่าเป็นประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมเน่ืองจากกรอบท่กี ล่าวมา แต่อาจ กล่าวไดว้ ่าประวตั ศิ าสตรส์ งั คมมารก์ ซสิ มบ์ างชน้ิ มสี ่วนสําคญั ในการเปิดประตูส่คู วามสนใจมติ วิ ฒั นธรรม ในแนวทางใหม่ท่ามกลางนักประวตั ศิ าสตร์ ในช่วงทศวรรษท่ี 1950 ก่อนทป่ี ระเดน็ เร่อื งวฒั นธรรมจะ ได้รบั ความสนใจ นักประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มใ์ นองั กฤษสนใจประวตั ศิ าสตร์แรงงาน ในแง่ของวถิ แี ละ พฒั นาการของการรวมตวั ในเชงิ องคก์ รแรงงานในการเขา้ ระบบอุตสาหกรรมและการเตบิ โตของระบอบ ทนุ นยิ ม ศกึ ษาการต่อสู้ ต่อรอง ความลม้ เหลวและการปรบั ตวั ทงั้ ในมติ ทิ างเศรษฐกจิ การเมอื ง และทาง สงั คม 112 111 ในช่วงทศวรรษท่ี 1960 ยงั เป็นช่วงเวลาท่ที ฤษฎมี ารก์ ซสิ มถ์ ูกวจิ ารณ์ว่าแขง็ ท่อื เกนิ ไป โดยวง วชิ าการฝ่ายซ้ายหนั ไปหาทฤษฎีมาร์กซิสม์ท่ีถูกทบทวนจากทัง้ จากสํานักแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt School) และขอ้ เขยี นของอนั โตนิโอ แกรมซี (Antonio Gramsci) ทม่ี าจากช่วงทศวรรษท่ี 1920 และ 1930 แนวคดิ ทางประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ช่อื ว่ารากฐานทางเศรษฐกจิ เป็นทม่ี าของวฒั นธรรมถูกท้าทายอย่าง มาก โดยเฉพาะการนํางานของแกรมซมี าอ่านใหม่ แกรมชเี ช่อื ว่าชนชนั้ ล่างทางสงั คมไมอ่ าจงดั งา้ งกบั การกดขข่ี องชนชนั้ ปกครองจากการต่อสู้ทางการเมอื งและทางเศรษฐกจิ เท่านัน้ แต่จะต้องมาจากการ 113 Antonio Gramsci, \"Questions of Culture,\" in The Gramsci Reader : Selected Writings, 1916-1935, ed. David Forgacs(New York: New York University Press, 2000), 70-71. 63
DRAFTต่อสู้ทางความคดิ และวฒั นธรรม112113 นิยามวฒั นธรรมของแกรมซจี งึ ต่างจากแนวคดิ เร่อื งวฒั นธรรมแบบ นักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบคลาสสกิ มากทค่ี ่อนขา้ งจํากดั อยู่กบั ศลิ ปะและวรรณกรรม รวมถงึ การ แสดงออก พฤตกิ รรมหรอื สาํ นกึ อนั ละเมยี ดละไม ดงั ทป่ี รากฏในงานของเบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละฮุยซงิ กา ทงั้ ยงั แตกต่างจาก Kulturgeschichte ทแ่ี มจ้ ะสนใจกบั ขนบประเพณีระดบั ล่างเหมอื นกนั Kulturgeschichte ใน ใจความจรงิ แทข้ องวฒั นธรรม “พน้ื บา้ น” อนั กลมกลนื และไรก้ ารปนเป้ือนจากยคุ ใหม่ ขณะทแ่ี กรมซมี อง ว่าวฒั นธรรมเป็นส่วนหน่ึงของการงดั งา้ งทางชนชนั้ ในบทความปี 1917 แกรมซนี ิยามวฒั นธรรมอย่าง หลวมว่าเป็น “ปฏบิ ตั กิ ารทางความคดิ การพฒั นาให้ได้มาซ่งึ หลกั แนวคดิ วธิ กี ารเช่อื มโยงสาเหตุกบั ผลลพั ธ์ทก่ี ลายเป็นความเคยชนิ … มนุษยท์ ุกคนมวี ฒั นธรรมอยู่ในตวั อย่แู ล้วเพราะมนุษยใ์ ช้ความคดิ ทุกคนเช่อื มโยงสาเหตุกบั ผลลพั ธ์”113114 เห็นได้ว่ากรอบความคดิ เร่อื งวฒั นธรรมของแกรมซมี พี ลวตั สูง มากกว่าแนวคดิ มารก์ ซสิ มท์ ผ่ี ่านมามาก ทงั้ ยงั มนี ิยามของวฒั นธรรมทค่ี รอบคลุมกลุ่มคนระดบั ล่างของ สงั คม แตกต่างจากนิยามวฒั นธรรมในช่วงเวลานนั้ ทม่ี องวา่ วฒั นธรรมในลกั ษณะสอดคลอ้ งกลมกลนื และ งดงามละเมยี ดละไม ซง่ึ เป็นนิยามของนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมยคุ คลาสสกิ แนวคิดของแกรมซีเป็นอิทธิพลสําคัญต่อนักวิชาการมาร์กซิสม์อย่างเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ (Raymond Williams) ทไ่ี ดพ้ ฒั นานยิ ามและทฤษฎวี ฒั นธรรมซง่ึ ต่อมามอี ทิ ธพิ ลอยา่ งสงู ต่อสาขาเกดิ ใหม่ อยา่ งวฒั นธรรมศกึ ษา (cultural studies) และงานดา้ นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม โดยนิยาม “วฒั นธรรม” ข้นึ มาใหม่ในแนวทางแบบมานุษยวิทยา ดงั ท่กี ล่าวว่า “วัฒนธรรมเป็นสงิ่ สามญั ” และมนุษย์อยู่ใน กระบวนการสรา้ งความหมายผ่านการทาํ ความเขา้ ใจประสบการณ์ วฒั นธรรมจงึ อย่ใู นกระบวนการอนั มี พลวตั สูง อย่ทู ่ามกลางการต่อรองและขดั แยง้ ระหว่างสงั คมกบั ปจั เจก ระหว่างวฒั นธรรมชนั้ สูงกบั การ ดาํ รงชวี ติ ประจาํ วนั 114115 ขณะทส่ี ํานึก ความคดิ และวฒั นธรรมจากกลุ่มชนชนั้ ล่างกม็ กี ารปรบั ใชเ้ พ่อื ต่อสู้ ต่อรองและงดั งา้ งกบั วฒั นธรรมขา้ งบน วฒั นธรรมจงึ ไม่ได้เพยี งก่อรปู มาตามรปู แบบทางสงั คม แต่เป็น ปจั จยั สาํ คญั ในการก่อรปู ของวฒั นธรรมเองและมสี ถานะเป็นตวั กระทํา การทําความเขา้ ใจความเช่อื มโยง อนั ซบั ซ้อนของวฒั นธรรมเองจงึ เป็นหวั ใจสําคญั ของการศึกษาด้านวฒั นธรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิง “วฒั นธรรมประชาชน” (popular culture) ในกรณขี องวรรณกรรมซง่ึ เป็นผลผลติ ทางวฒั นธรรมสะทอ้ นให้ 113 Antonio Gramsci, \"Questions of Culture,\" in The Gramsci Reader : Selected Writings, 1916-1935, ed. David Forgacs(New York: New York University Press, 2000), 70-71. 114 Antonio Gramsci, \"Philantrophy, Good Will and Organization,\" in Culture : Critical Concepts in Sociology, ed. Chris Jenks(London: Routledge, 2003), 107. ดู Green, Cultural History, 48. 115 Raymond Williams, Resources of Hope : Culture, Democracy, Socialism (London: Verso, 1989), 4. 64
DRAFTเห็นถึงค่านิยม มโนทศั น์ทางสงั คมและการสร้างความหมาย ไม่ได้ข้นึ กับภาวะบีบรดั ทางวตั ถุหรอื โครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ ทงั้ หมด แต่เป็นอสิ ระและสามารถเป็นตวั กระทาํ ทส่ี ําคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ ใน Marxism and Literature วลิ เลยี มสใ์ ชว้ ลี “structures of feeling” เพ่อื กล่าวถงึ กรอบการแสดงออกของ ยุคสมยั ซง่ึ กวา้ งกว่าระบบคดิ หลกั ทถ่ี ูกสถาปนาขน้ึ เป็นท่ยี อมรบั ของยุคสมยั แต่รวมถงึ คุณค่า อารมณ์ ความรสู้ กึ น้ําเสยี งหรอื เฉดสี (อุปมา) การรบั รแู้ ละประสบการณ์ดว้ ย115116 ความสนใจ “วฒั นธรรมประชาชน” ของนกั ประวตั ศิ าสตรใ์ นทศวรรษท่ี 1960 ยงั เป็นผลมาจาก ทงั้ ความไม่พอใจต่อนักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมในช่วงคร่ึงแรกของศตวรรษท่ีให้ความสําคญั กับ วฒั นธรรมชนั้ สงู หรอื วฒั นธรรมของชนชนั้ สูงเป็นหลกั ซง่ึ งานของฮุยซงิ กา เอเลยี สและนกั ประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมสว่ นใหญ่เขา้ ขา่ ยดงั กลา่ ว นกั ประวตั ศิ าสตรก์ ลมุ่ ทเ่ี อนไปทางซา้ ยจงึ หนั มาสนใจชนชนั้ ล่างทาง สงั คม รวมถงึ เป็นทางเลอื กจากนักประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและวฒั นธรรมทแ่ี มจ้ ะสนใจขอ้ มลู และหลกั ฐานท่ี เก่ียวข้องกับกิจกรรมการผลิต แรงงานและชนชัน้ ล่าง แต่กลบั ละเลยศึกษาวัฒนธรรมของคนกลุ่ม ดงั กล่าว อกี ทงั้ ทศวรรษท่ี 1960 เป็นช่วงเวลาท่ี “วฒั นธรรมศกึ ษา” (cultural studies) ในฐานะสาขาใหม่ เกดิ ขน้ึ โดยหน่ึงในวาระสําคญั คอื การวจิ ารณ์วงวชิ าการทใ่ี หค้ วามสําคญั กบั วฒั นธรรมระดบั สูง ภายใต้ การนําของ Centre for Contemporary Cultural Studies ทม่ี หาวทิ ยาลยั เบอรม์ งิ แฮมทส่ี ่งอทิ ธพิ ลทาง วชิ าการในวงกวา้ ง นกั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มอ์ ยา่ งเอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั (E. P. Thompson) จงึ สนใจวฒั นธรรมซง่ึ ในทฤษฎขี องมารก์ ซเ์ ป็นเพยี ง “โครงสรา้ งส่วนบน” (“superstructure”) ซง่ึ เป็นผลมาจากรากฐานทาง เศรษฐกจิ ทอมป์สนั ปฏเิ สธภาวะสมั พนั ธร์ ะหว่างแรงผลกั ดนั ทางเศรษฐกจิ กบั การก่อตวั ทางวฒั นธรรมใน ลกั ษณะทต่ี รงไปตรงมา โดยมองเหน็ ความสําคญั ต่อวฒั นธรรมในลกั ษณะเดยี วกบั เรยม์ อน วลิ เลยี มและ อันโตนิโอ แกรมซี ซ่งึ เป็นผลจาการทบทวนแนวคิดของมาร์กซ์ท่ีแข็งท่ือเกินไป ชนชัน้ ปกครองมี “อํานาจนํา” (hegemony) ไม่ไดม้ าจากการบงั คบั ดว้ ยกําลงั อํานาจทางเศรษฐกจิ หรอื กฎหมายเท่านัน้ แต่ยงั มาจากการเชญิ ชวนทางวฒั นธรรมและความคดิ ดว้ ย116117 ซง่ึ นกั ประวตั ศิ าสตรม์ องเหน็ ในหลายมติ ิ ของวฒั นธรรมและความคดิ ใน The Making of English Working Class (1963) ทอมป์สนั ไมไ่ ดจ้ าํ กดั แต่ เรอ่ื งสงั คมและชนชนั้ แต่ยงั สนใจแงม่ มุ ทางวฒั นธรรมของชนชนั้ แรงงาน ความหมายและสญั ลกั ษณ์ในแง่ ของปากท้อง อาหารการกินและจลาจลท่เี ก่ียวกบั ปากท้อง ทงั้ ทอมป์สนั และวลิ เลยี มเป็นหวั หอกทาง 116 Raymond Williams, Marxism and Literature (Oxford: Oxford University Press, 1977), 132-133. 117 Burke. chapter 2, loc 530 65
DRAFTแนวคิดท่สี ําคญั ในการทบทวนและวจิ ารณ์ทฤษฎีมาร์กซสิ ม์เดมิ ท่เี ห็นว่ารากฐานทางเศรษฐกิจเป็น ตวั กําหนดสงิ่ ต่างๆ (economic determinism) รวมจติ สํานึกของมนุษยแ์ ละวฒั นธรรม โดยทงั้ ทอมป์สนั และวลิ เลียมปฏเิ สธแนวคดิ โครงสร้างฐานรากและโครงสรา้ งด้านบนแบบเดิม ช้วี ่าวฒั นธรรมเป็นตัว กระทาํ ทางโครงสรา้ งไดเ้ ช่นเดยี วกบั เศรษฐกจิ ทอมป์สนั เหน็ ว่าสํานึกและประสบการณ์ของผูค้ นรวมถงึ ชนชนั้ ล่างสามารถเป็นตวั กระทําทางความคดิ ค่านิยมและวฒั นธรรมได้117118 ซ่งึ เหน็ ว่าวฒั นธรรมและ ความคดิ มสี ว่ นสาํ คญั ในการสรา้ งค่านิยมเพ่อื การงดั งา้ งทางชนชนั้ ใน The Making of English Working Class ทอมป์สนั แสดงใหเ้ หน็ ว่าชนชนั้ แรงงานสามารถนํา ค่านิยมทางศาสนาและธรรมเนียมท่ีสืบทอดมาปรบั แต่งและนํามาใช้เพ่ือช่วยทําความเข้าใจความ เปลย่ี นแปลงทางสงั คมและเศรษฐกจิ ทเ่ี ขา้ ส่รู ะบบอุตสาหกรรมในศตวรรษท่ี 18 และใชเ้ พ่อื เป็นเครอ่ื งมอื ในการต่อรอง ต่อสแู้ ละรกั ษาไวเ้ พอ่ื ผลประโยชน์ดา้ นปากทอ้ ง ทอมป์สนั มองวฒั นธรรมชนชนั้ แรงงานใน แงข่ องการงดั งา้ งกบั กระแสวฒั นธรรมจากอํานาจทพ่ี ยายามกดทบั โดยประสบการณ์ต่างๆ ถูกจดั การ และทําความเข้าใจผ่านสํานึกทางชนชัน้ โดยเป็นการเข้ารหัสผ่านกลไกทางวัฒนธรรม แฝงใน ขนบประเพณี ระบบคุณค่า แนวคดิ และรปู แบบของสถาบนั ทางสงั คม118119 โดยทอมป์สนั มองประสบการณ์ ของชนชนั้ แรงงานในบรบิ ทของคา่ นยิ มทางวฒั นธรรมในแบบมานุษยวทิ ยา กล่าวคอื มองว่าวฒั นธรรมฝงั รากอย่กู บั วถิ ชี วี ติ ประจําวนั ชวี ติ ในครวั เรอื น การทํางานและการพกั ผ่อนหย่อนใจ โดยกลไกหรอื รหสั ทางวฒั นธรรมดงั กล่าวรวมไปถงึ สง่ิ ท่ที อมป์สนั เรยี กว่า “moral economy” ท่ธี รรมเนียม ค่านิยมและ ความคดิ เป็นส่วนสาํ คญั ในการทช่ี าวนายงั ชพี ใชเ้ พ่อื จดั การดา้ นราคาธญั พชื ในตลาดและระบบเศรษฐกจิ ในศตวรรษท่ี 18 ผ่านการจลาจลเกิดข้นึ อย่างแพร่หลาย119120 ส่วนสําคญั อีกประการหน่ึงซ่งึ ทําให้ “ประวตั ิศาสตร์จากเบ้ืองล่าง” ของทอมป์สันแตกต่างจากประวัติศาสตร์สํานักอานาลส์คือ การให้ ความสําคญั กับการเป็นตัวกระทําของคนระดับล่างไม่ใช่เป็นเพียงส่วนหน่ึงของโครงสร้าง โดยให้ ความสําคญั กบั การกระทาํ ของฝงู ชนในฐานะการเป็นขบวนการทม่ี สี าํ นึกและเจตจาํ นงคเ์ ป็นอสิ ระ มกี าร 118 E. P. Thompson, The Making of the English Working Class (London: Gollancz, 1980), 9-10; Williams, Marxism and Literature, 82. 119 Thompson, The Making of the English Working Class, 9-10. 120 E. P. Thompson, \"The Moral Economy of the English Crowd in the Eighteenth Century,\" Past & Present, no. 50 (1971). ตพี มิ พซ์ ้าํ ใน Thompson, Customs in Common. 66
DRAFTใหค้ วามหมายของการรบั รปู้ ระสบการณ์และสามารถแสดงออกผ่านการกระทําต่างๆ ภายใตพ้ ฤตกิ รรมท่ี ดรู นุ แรงเชน่ การก่อมอ็ บและจลาจลมแี บบแผนทางพธิ กี รรมแฝงอย1ู่20121 อกี แงม่ มุ สาํ คญั ในการศกึ ษาของทอมป์สนั ทแ่ี ตกต่างจากนักประวตั ศิ าสตรส์ ํานักอานาลสค์ อื การ ใหค้ วามสาํ คญั กบั เหตุการณ์ ขณะทโ่ี ดยรวมนกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสยงั คงมองเหตุการณ์ว่าเป็นเพยี งสงิ่ บนพน้ื ผวิ ตามแนวทางของโบรเดล กลา่ วคอื เป็นผลจากความเปลย่ี นแปลงของโครงสรา้ งระดบั ลกึ แมว้ ่า กระทงั่ อยา่ ง Montaillou ของลี รวั ลาดรู จี ะใหค้ วามสาํ คญั กบั การสอบสวนของศาสนาในช่วงเวลาสนั้ แต่ กไ็ มไ่ ดม้ องวา่ เป็น “เหตุการณ์” ในตวั ของมนั เอง ไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั การดาํ เนนิ ไปของเหตุการณ์ แต่ เปรยี บได้เป็นช่วงเวลาของการสมั ภาษณ์หรอื สอบถามเร่อื งชวี ติ ประจําวนั ขณะท่ที อมป์สนั สนใจความ เป็นไปของการจลาจลในฐานะของ “เหตุการณ์ทางวฒั นธรรม” ซง่ึ ทอมป์สนั เช่อื ว่าเป็นเหตุการณ์ทเ่ี ป็น สาเหตุส่งผลให้เกิดความเปล่ียนแปลงทางสงั คม ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจในระดบั ท้องถ่ิน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ สง่ ผลในการกาํ หนดราคาธญั พชื ในอาณาบรเิ วณนนั้ ๆ แมน้ กั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ ม์ ยงั คงใหค้ วามสาํ คญั กบั โครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ และชนชนั้ แต่มองว่าจติ สาํ นึก ความคดิ และวฒั นธรรม ไม่ได้ถูกกําหนดจากความจําเป็นทางวัตถุอย่างตายตัว และท่ีสําคญั การศึกษาให้ความสําคัญกับ เหตุการณ์ในระดบั ทค่ี อ่ นขา้ งสงู ทอมป์สนั มอี ทิ ธพิ ลต่อนักประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นหลงั อย่างมากผ่านการรวมกลุ่มของนกั ประวตั ศิ าสตร์ กลุ่ม History Workshop ทก่ี ่อตงั้ ขน้ึ ในช่วงนัน้ 121122 ทําใหน้ กั ประวตั ศิ าสตรบ์ างส่วนสนใจวฒั นธรรม “จาก มุมมองเบอ้ื งล่าง” (history from below) มากขน้ึ และใหค้ วามสาํ คญั กบั พลวตั และการงดั งา้ งระหว่างชน ชนั้ มากขน้ึ แมว้ ่างานของทอมป์สนั อาจไม่เขา้ ข่ายเป็นประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม แต่ได้เปิดประตูใหน้ ัก ประวตั ิศาสตร์มาร์กซิสม์และนักประวตั ิศาสตร์สงั คมมองเห็นความกํากวมและซบั ซ้อนของมติ ิทาง วฒั นธรรมมากขน้ึ เน่ืองจาก The Making of the English Working Class ชใ้ี หเ้ หน็ ว่าการกดขท่ี าง การเมอื งและขดู รดี ของระบอบทุนนิยมในช่วงศตวรรษท่ี 18 และ 19 ถูกทาํ ความเขา้ ใจและจดั การจาก มมุ มองของคนทวั่ ไปดว้ ยวถิ ที างของวฒั นธรรม การทําความเขา้ ใจจงึ ตอ้ งผ่านมมุ มองทางมานุษยวทิ ยา โดยก่อนหน้าน้ีในช่วงตน้ ทศวรรษท่ี 1960 การแลกเปลย่ี นระหว่างสาขาประวตั ศิ าสตรแ์ ละมานุษยวทิ ยา มอี ยู่น้อยมากในโลกวชิ าการ การท่ที อมป์สนั นํานักประวตั ศิ าสตร์มารก์ ซสิ มอ์ อกจากความสนใจเร่อื ง 121 Suzanne Desan, \"Crowds, Community, and Ritual in the Work of E. P. Thompson and Natalie Davis,\" in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 54-55. 122 นักประวตั ิศาสตร์กลุ่มน้ีเรมิ่ รวมตวั กนั ท่ี Ruskin College มหาวทิ ยาลยั ออ็ กฟอรด์ ภายใต้การนําของราฟาเอล แซมมวล (Raphael Samuel) ต่อมาในปี 1976 เรมิ่ วารสาร History Workshop Journal 67
DRAFTองค์กรสหภาพและการรวมตวั ของกลุ่มแรงงาน มาสนใจค่านิยม มติ ดิ ้านพธิ กี รรมและความหมายใน ชีวิตประจําวัน รวมถึงการให้ความสําคญั กับการทําความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในอดีต (empathy) เป็นการนําใหท้ งั้ สองสาขาเขา้ มาแลกเปลย่ี นกนั มากขน้ึ จนเหน็ ชดั มากในทศวรรษต่อมา อกี ทงั้ มสี ่วนสําคญั ในการนําใหค้ วามสนใจ “วฒั นธรรมประชาชน” (popular culture) เขา้ สู่ประวตั ศิ าสตร์ กระแสหลกั มากขน้ึ 122123 ขอ้ วจิ ารณ์การศกึ ษาของทอมป์สนั มหี ลากหลายประเดน็ และมาจากหลายฝงั่ ทงั้ จากนักวชิ าการ มารก์ ซสิ มร์ ่วมสมยั และจากนักวชิ าการด้านวฒั นธรรมรุ่นใหม่ ด้านหน่ึงมาจากฝงั่ สตรนี ิยมซง่ึ โดยรวม มองว่าทอมป์สนั วเิ คราะห์สตรใี นมติ ิทางวฒั นธรรมหยาบเกินไป เน่ืองจากในบทความปี 1971ความ ขดั แย้งและจลาจลจากปญั หาราคาธัญพชื สตรีมบี ทบาทสูงถึงขนั้ เป็นผู้นําในการขบั เคล่ือนมวลชน เน่ืองจากเพศสภาพถูกใช้เป็นหน่ึงในเคร่อื งมอื และยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ อีกทงั้ จากช่องโหว่ของ กฎหมายและจากสาํ นึกและประสบการณ์ของสตรใี นฐานะผดู้ ูแลเรอ่ื งการซอ้ื ขายของครวั เรอื น อยา่ งไรก็ ดที อมป์สนั ถูกวจิ ารณ์ค่อนขา้ งมากจากนักวชิ าการสตรนี ิยม ว่าไมไ่ ดส้ นใจหรอื มองไม่เหน็ ถงึ อํานาจและ บทบาทอย่างไมเ่ ป็นทางการของสตรภี ายในระบบโครงสรา้ ง123124 ขอ้ วจิ ารณ์อกี ประการหน่ึงคอื ทอมป์สนั มองพลวตั ว่ามาจากความสมั พนั ธร์ ะหว่างชนชนั้ เช่น ระหว่างชาวนายงั ชพี กบั เยนทรี ระหว่างชนชนั้ ปกครองกบั ฝงู ชน โดยพยายามทําความเขา้ ใจพฤตกิ รรมของมวลชนโดยมองว่าถูกชน้ี ําโดยธรรมเนียม และสาํ นกึ รว่ มบางอยา่ ง และมกี ารประสานเจตจาํ นงและพฤตกิ รรมรว่ มกนั แต่ทอมป์สนั มองไมเ่ หน็ ความ ขดั แยง้ หรอื ไมล่ งรอยทางความคดิ และการช่วงชงิ อาํ นาจภายในมวลชนหรอื ชนชนั้ โดยเฉพาะการอธบิ าย ผ่านแนวคดิ “moral economy” ซ่งึ เป็นวธิ อี ธบิ ายโครงสร้างเชิงลกึ อนั มเี สถยี รภาพของกลุ่มคนท่มี ี อทิ ธพิ ลต่อทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรม ซง่ึ มองไมเ่ หน็ พลวตั ทางวฒั นธรรมภายในซง่ึ มานุษยวทิ ยาวฒั นธรรม สนใจ 123 Geoff Eley, A Crooked Line : From Cultural History to the History of Society (Ann Arbor: University of Michigan Press, 2005), 56. 124 Desan, \"Crowds, Community, and Ritual in the Work of E. P. Thompson and Natalie Davis,\" 58-59. 68
DRAFT ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมปลายศตวรรษที่ 20: “the Cultural Turn” จากท่กี ล่าวมาแลว้ พอเหน็ ไดว้ ่านักประวตั ศิ าสตรส์ งั คมจากสองสํานักหลกั ๆ ซ่งึ ไดแ้ ก่อานาลส์ และสาํ นกั มารก์ ซสิ มไ์ ดห้ นั ไปใหค้ วามสาํ คญั กบั มติ ทิ างวฒั นธรรมมากขน้ึ ในช่วงทศวรรษท่ี 1970 รวมทงั้ อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ และกรอบวธิ ที าํ ความเขา้ ใจทางดา้ นวฒั นธรรมจากต่างสาขาโดยเฉพาะมานุษยวทิ ยา ซง่ึ เหน็ ไดช้ ดั จากงานของนกั ประวตั ศิ าสตรช์ ว่ งตน้ สมยั ใหม่จากฝงั่ องั กฤษและอเมรกิ า เช่น โทมสั (Keith Thomas) และนาตาลี ซโี มน เดวสิ (Natalie Zemon Davis) รวมไปถงึ งานของนักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่ม หน่ึงในอติ าล1ี24125 อกี ทงั้ แนวคดิ ทฤษฏวี ่าดว้ ยวฒั นธรรมถูกทบทวนขนานใหญ่ในทศวรรษท่ี 1970 ทาํ ให้ การศกึ ษาดา้ นวฒั นธรรมทเ่ี คยถูกยดึ พน้ื ทจ่ี ากสาขามานุษยวทิ ยาถูกทา้ ทายมากขน้ึ โดยเฉพาะแนวคดิ หลงั โครงสรา้ งนิยมจากฝรงั ่ เศส125126 ซง่ึ เสนอแนวคดิ ทฤษฎที ่นี ําไปสู่การมองวฒั นธรรมทซ่ี บั ซอ้ นมากขน้ึ ผ่านมติ ทิ างภาษา อกี ทงั้ ประเดน็ ศกึ ษาถูกขยายขอบเขตออกไปมากทงั้ ประเดน็ เร่อื งสตรี ชนกลุ่มน้อย รวมถึงส่ือใหม่และสังคมบริโภคนิยม รวมไปถึงการท้าทายในเชิงระเบียบวิธีจากข้อเขียนเชิง ประวตั ศิ าสตรข์ องมเิ ชล ฟูโก การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจงึ รบั เอาการวเิ คราะหด์ า้ นวฒั นธรรมท่ี ซบั ซอ้ นมากขน้ึ มากกว่าทส่ี าขามานุษยวทิ ยาเคยครอบครองอาณาเขตไว้ ในทศวรรษท่ี 1980 น้ีเองเป็นช่วงทน่ี ักประวตั ศิ าสตรห์ นั มาสนใจวฒั นธรรมมาก ขน้ึ อกี ทงั้ มอง วฒั นธรรมว่าหลุดจากความสมั พนั ธ์กบั โครงสร้างทางด้านเศรษฐกจิ สงั คมและโครงสรา้ งระดบั ลกึ อ่นื ๆ แมท้ ่ามกลางกลุ่มนักประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มใ์ นองั กฤษ กเ็ หน็ ไดถ้ งึ ความสนใจประวตั ศิ าสตรใ์ นแง่มุม ทางภาษามากขน้ึ แมย้ งั คงยดึ กรอบความสมั พนั ธด์ า้ นการผลติ อยู่126127 ขณะทน่ี ักประวตั ศิ าสตรส์ ํานักอา นาลสร์ ุ่นท่ี 4 ปฏเิ สธกรอบแนวคดิ mentalités ทม่ี องว่าเป็นสภาวะจาํ กดั เชงิ โครงสรา้ งทเ่ี ป็นผลมาจาก 125 Keith Thomas. Religion and the Decline of Magic: studies in popular beliefs in sixteenth and seventeenth century England, 1971; Natalie Davis. Society and Culture in Early Modern France: Eight Essays, Stanford, California: Stanford University Press, 1975; Carlo Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller (It. 1976; Eng. 1980) 126 งานในช่วงทศวรรษท่ี 1970 ซ่ึงถอื ได้ว่าส่งผลโดยตรงต่อขอ้ ถกเถยี งการศกึ ษามติ ทิ างวฒั นธรรมไดแ้ ก่ Clifford Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays (1973); Hayden White, Metahistory: The Historical Imagination in Nineteenth-Century Europe (1973); Pierre Bourdie, Outline of a Theory of Practice (1977); Michel Foucault, Discipline and Punish : The Birth of the Prison (1977). 127 Lynn Hunt, \"Introduction,\" in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 5. งานทเ่ี ป็นตวั อย่างทด่ี คี อื William Hamilton Sewell, Work and Revolution in France : The Language of Labor from the Old Regime to 1848 (Cambridge: Cambridge University Press, 1980); Gareth Stedman Jones, Languages of Class : Studies in English Working Class History 1832-1982 (Cambridge: Cambridge University Press, 1983). ซง่ึ ในทางอ้อมเป็น การวพิ ากษ์งานของทอมป์สนั โดยแสดงใหเ้ หน็ วา่ มติ ทิ างภาษามบี ทบาทอย่างสงู ในการสรา้ งการรบั รแู้ ละวฒั นธรรมเรอ่ื งชนชนั้ และแรงงาน 69
DRAFTปจั จยั ทางเศรษฐกจิ และสงั คม แนวโน้มการหนั มาสนใจมติ ทิ างวฒั นธรรม (cultural turn) ยงั เป็นไปใน สงั คมศาสตร์ในหลายสาขาวิชา รวมถึงเกิดการจดั กลุ่มสาขาวิชาใหม่เป็นวฒั นธรรมศึกษา (cultural studies) เพ่อื ม่งุ ศกึ ษาวฒั นธรรมเชงิ สหวชิ าการ อกี ทงั้ อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ หลงั โครงสรา้ งนิยมก่อใหเ้ กดิ ทศั นะว่าวฒั นธรรมมพี ลวตั ในตวั เองและไม่ใช่ภาพสะท้อนโครงสรา้ งหรอื ความสมั พนั ธ์ทางสงั คม โดย วฒั นธรรมถูกศกึ ษาผ่านการรบั รูโ้ ดยศกึ ษาภาษา สญั ญะและภาพแทน โดยมองว่าภาพแทนและภาษา เป็นส่วนสาํ คญั ในการกําหนดความเป็นจรงิ ทางสงั คม ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในฝรงั่ เศส ประวตั ศิ าสตรอ์ านาลสใ์ นรนุ่ ท่ี 4 หรอื ในชว่ งทศวรรษท่ี 1980 ใหค้ วามสาํ คญั กบั พลวตั วฒั นธรรม ชดั เจนขน้ึ ในงานของนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสในรุ่นต่อมา แมว้ ่า “ทฤษฎฝี รงั่ เศส” จะมอี ทิ ธพิ ลต่อโลก วชิ าการมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตรใ์ นทศวรรษท่ี 1980 มาก แต่ในวงวชิ าการด้านประวตั ศิ าสตรใ์ น ฝรงั่ เศสเป็นอกี เร่อื งหน่ึง เน่ืองจากทงั้ ความไม่วางใจต่อทฤษฎีและขอ้ ถกเถยี งเก่ยี วขอ้ งกบั สํานักหลงั โครงสร้างนิยมดังท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากประวัติศาสตร์มาร์กซิสม์จากอังกฤษแล้ว นัก ประวัติศาสตร์ฝรงั่ เศสจงึ ตอบรบั งานวิชาการด้านประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมกระแสหน่ึงซ่ึงปลอดภัย มากกว่า โดยปี 1974 และ 1975 Civilizing Process ของเอเลยี สถูกนํามาตพี มิ พใ์ นภาษาฝรงั่ เศส รวม ไปถงึ การตอบรบั ขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรข์ องมเิ ชล ฟูโก(Michel Foucault) ทไ่ี ดร้ บั ความสนใจในวง กว้าง ขณะท่ีมนี ักประวตั ิศาสตร์จากวงนอกอย่างเช่นฟิลิปป์ อารสี ์ (Philippe Aries)128 งานด้าน ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมช่วงนัน้ มลี กั ษณะสําคญั คอื เป็นการอธบิ ายและประเดน็ ศกึ ษาทางมานุษยวทิ ยา ซ่งึ ก็คือมานุษยวิทยาเชิงสัญญะ (symbolic anthropology) ท่เี ป็นอิทธพิ ลจากแนวคิดทฤษฎีเร่อื ง วฒั นธรรมของปิแอร์ บูรด์ เิ ยอ (Pierre Bourdieu) ผ่านแนวคดิ เร่อื ง “habitus” และ “symbolic capital”129 ทม่ี องว่าวฒั นธรรมเป็นพน้ื ท่ซี ่งึ มพี ลวตั และมี “ปฏบิ ตั กิ าร” ของมนั เองไมไ่ ด้ขน้ึ กบั โครงสรา้ งทางสงั คม และเศรษฐกจิ เสมอไป การให้ความสําคญั ต่อมติ ทิ างวฒั นธรรมของนักประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นน้ีสอดรบั กบั กระแสทบทวนประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธ์การปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศสเม่อื งานฉลองครบรอบ 200 ปีใกลเ้ ขา้ มา ท่ขี อ้ ถกเถียงสําคญั คอื การวจิ ารณ์การตีความการปฏวิ ตั ใิ นเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสงั คมท่ไี ด้รบั 128 Philippe Aries, L’Enfant et la Vie Familiale sous l’Ancien Régime (1960) แปลเป็นภาษาองั กฤษภายใตช้ ่อื Centuries of Childhood : A Social History of Family Life (1962); Michel Foucault, Histoire de la folie à l'âge classique - Folie et déraison (1961) สาํ หรบั เอเลยี ส ดู หน้า 39 129 Pierre Bourdieu and Richard Nice, Outline of a Theory of Practice (Cambridge: Cambridge University Press, 1977). 70
DRAFTอทิ ธพิ ลจากสํานักมาร์กซสิ ม์และเช่อื มโยงกับกลุ่มทฤษฎีสมยั ใหม่ภวิ ฒั น์ (modernization theory) โดยเฉพาะจากการวจิ ารณ์ของฟรอ็ งซวั ส์ ฟูเรท์ (Francois Furet) ใน Penser la Révolution Française (1978; Interpreting the French Revolution, 1981) เกดิ กระแสทบทวนประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธก์ ารปฏวิ ตั ิ ซง่ึ ดา้ นหน่ึงนกั ประวตั ศิ าสตรห์ นั มาทําความเขา้ ใจการปฏวิ ตั ใิ นมติ ทิ างวฒั นธรรมมากขน้ึ ในช่วงทศวรรษท่ี 1980 เหน็ ไดถ้ งึ ทศิ ทางการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทอ่ี ยใู่ นวงวชิ าการ สากลมากขน้ึ ลกั ษณะเฉพาะท่เี คยชดั เจนลดลงและมปี ฏสิ มั พนั ธท์ างวชิ าการกบั โลกอเมรกิ ามากขน้ึ มี ส่วนทําให้ในช่วงปลายทศวรรษวลี L'histoire culturelle แพร่หลายมากขน้ึ ในฝรงั่ เศส ส่วนหน่ึงเป็น อทิ ธพิ ลจากวชิ าการประวตั ศิ าสตรใ์ นองั กฤษและอเมรกิ า เหน็ ไดจ้ ากนักประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นใหม่อย่างโร เจอร์ ชาตเิ ยร์ (Roger Chartier) ซง่ึ เป็นผูอ้ ํานวยการของ École des hautes études en sciences sociales (EHESS) หรอื ช่อื เดมิ VI Section ฐานท่มี นั่ ดงั้ เดมิ ของสํานักอานาลส์ ชาตเิ ยรแ์ ละนัก ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสในช่วงทศวรรษท่ี 1980 ผลติ งานทส่ี นใจดา้ นวฒั นธรรมมากขน้ึ กว่าทศวรรษก่อน มาก อกี ทงั้ เป็นทศวรรษทก่ี ารปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศสและศตวรรษท่ี 18 เป็นประเดน็ สนใจของนกั ประวตั ศิ าสตร์ สาํ นกั น้มี ากขน้ึ กลา่ วไดว้ ่าช่วงเวลายาวแบบ longue durée ลดความนิยมลง อกี ทงั้ ในทศวรรษครบรอบ 200 ปีของการปฏิวตั ิ การทบทวนในทางประวตั ศิ าสตรจ์ งึ เขม้ ข้นมาก โดยทิศทางสําคญั คอื ในแง่ วฒั นธรรมซง่ึ ชาตเิ ยรก์ ล่าวถงึ ใน The Cultural Origins of the French Revolution 130 ส่วนหน่ึงเป็นการ สานต่อการวิจารณ์การตีความแบบมาร์กซิสม์ซ่ึงฟร็องซวั ส์ ฟูเรท์ได้เริม่ ไว้ จากการอภิปรายและ สงั เคราะหง์ านศกึ ษาการปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศสหลายชน้ิ ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ว่าการเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมในหลายๆ มติ แิ ละหลายระดบั ในช่วงศตวรรษท่ี 18 โดยเฉพาะอย่างยงิ่ วฒั นธรรมการเมอื งท่เี ป็นผลมาจากการ ปฏริ ปู การศกึ ษา ขยายตวั ของส่อื สงิ่ พมิ พแ์ ละความสําคญั ของความคดิ เหน็ สาธารณะมสี ่วนสาํ คญั ในการ ทก่ี ารปฏวิ ตั เิ ป็นไปได้ โดยอทิ ธพิ ลสําคญั ของการตคี วามลกั ษณะน้ีมาจากแนวคดิ “ปรมิ ณฑลสาธารณะ” (public sphere) ของเยอรเ์ กน ฮาเบอรม์ าส (Jurgen Habermas)130131 โดยชาตเิ ยรน์ ิยามวฒั นธรรมในเชงิ มานุษยวทิ ยาซง่ึ เป็นการแยกตวั ออกมาจากการอธบิ ายสาเหตุของการปฏวิ ตั วิ ่ามาจากการเปล่ยี นแปลง 130 Roger Chartier, The Cultural Origins of the French Revolution, Bicentennial Reflections on the French Revolution (Durham, N.C.: Duke University Press, 1991). ตพี มิ พค์ รงั้ แรกเป็นภาษาฝรงั่ เศสในปี 1990 ภายใตช้ ่อื Les Origines Culturelles de la Révolution Française 131 การใช้แนวคดิ public sphere ของนักประวตั ศิ าสตร์การปฏวิ ตั ฝิ รงั ่ เศสค่อนขา้ งถูกวจิ ารณ์ในการใชท้ ฤษฎอี ย่างมาก สําหรบั การ อภปิ รายเรอ่ื ง public sphere ในงานดงั กล่าว ดู William M. Reddy, \"Review: The Cultural Origins of the French Revolution by Roger Chartier; Lydia G. Cochrane,\" Social History 17, no. 2 (1992). 71
DRAFTทางดา้ นภูมปิ ญั ญาซง่ึ เป็นหน่ึงในการตคี วามสาํ คญั อกี ทงั้ เป็นการชใ้ี หเ้ หน็ ว่าวฒั นธรรมมสี ถานะเป็นตวั กระทาํ ทส่ี าํ คญั ไดใ้ นตวั ของมนั เอง ชาตเิ ยรส์ นใจประวตั ศิ าสตรห์ นังสอื และวฒั นธรรมการอ่านใน Ancien regime โดยวางอย่บู น การศกึ ษาแบบมานุษยวทิ ยา งานของชาตเิ ยรม์ ลี กั ษณะสําคญั ทส่ี นใจช่วงเวลาสนั้ และเป็นงานทศ่ี กึ ษา วฒั นธรรมในช่วงก่อนและช่วงการปฏิวัติฝรงั่ เศส โดยชาติเยร์ศึกษาบริบทของกระบวนการผลิต วรรณกรรม ทงั้ การเขยี น ตพี มิ พเ์ ผยแพร่ การอ่าน จดบนั ทกึ คดั ลอก การแปลและการถ่ายทอดทงั้ ทาง วาจาและขอ้ เขยี น อทิ ธพิ ลสาํ คญั ต่อชาตเิ ยรค์ อื มานุษยวทิ ยาวฒั นธรรมตามแนวทางของปิแอร์ บูรด์ เิ ยอ และแนวคดิ ของมเิ ชล เดอ แชรโ์ ต (Michel De Certeau) ชาตเิ ยรเ์ หน็ ว่าการอ่านและหนังสอื เป็น “ปฏบิ ตั กิ าร” (practices) ในแงข่ องวฒั นธรรม โดยมองว่าความหมายของผลผลติ ทางวฒั นธรรมเป็นสงิ่ ท่ี ประกอบสรา้ งขน้ึ มพี ลวตั ในตวั เองและมคี วามล่นื ไหลสงู แนวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรมดงั กล่าวแตกต่างจาก นกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสรุ่นก่อนทม่ี องเหน็ โครงสรา้ งท่คี ่อนขา้ งหยดุ นิ่งและขน้ึ กบั สภาวะทางกายภาพ และโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ ชาตเิ ยรม์ องว่าวฒั นธรรมอย่ทู ป่ี ฏบิ ตั กิ ารทางความหมายและประกอบสรา้ ง “ภาพแทน” (representation) ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ่ี “ความรสู้ กึ นึกคดิ ” ของคนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงทเ่ี ช่อื ว่ามเี จา้ ของอยู่ จรงิ ซง่ึ เหน็ ไดถ้ งึ แนวโน้มไม่พอใจกบั Histoire des Mentalité ของนักประวตั ศิ าสตรร์ ุน่ ก่อน รวมถงึ การ ปฏเิ สธว่ารปู แบบทางวฒั นธรรมสามารถเชอ่ื มโยงกบั กลมุ่ ทางสงั คมไดอ้ ยา่ งผกู ขาด131132 โดยงานของชาตเิ ยรช์ ้ใี ห้เหน็ ว่าวฒั นธรรมไม่ใช่เป็นเพยี งภาพสะท้อนกลุ่มคนหรอื รปู แบบทาง สงั คม แต่เป็นความสมั พนั ธ์ท่ซี บั ซ้อนแต่ละส่วนมตี รรกะ กลไกและความเป็นไปของมนั เอง ชาตเิ ยร์ วจิ ารณ์แนวคดิ ทางวฒั นธรรมของ Histoire des Mentalité โดยชว้ี ่า “ภาวะบบี รดั ทอ่ี ย่บู นพน้ื ฐานของ ความเป็นจรงิ ” (objective constraints) ทม่ี ตี ่อวฒั นธรรมนัน้ แยกกนั จากพลวตั ของวฒั นธรรม เหน็ ว่า วฒั นธรรมมปี ฏบิ ตั กิ ารเป็นของตนเองแยกออกจากความเป็นไปหรอื รปู แบบของสงั คม132133 โดยชาตเิ ยร์ เห็นว่าวฒั นธรรมเป็นเร่อื งของมุมมองและกระบวนการสร้างความหมาย ประเด็นถกเถียงว่าด้วย ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมของชาติเยรเ์ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกบั วงวชิ าการทางด้านทฤษฎใี นเวลานัน้ กล่าวคอื ปิแอร์ บูรด์ เิ ยอและมเิ ชล ฟูโก ในขอ้ เขยี นอภปิ รายขอ้ ถกเถยี งจากแนวคดิ หลงั โครงสรา้ งนิยม และแนวคดิ หลงั สมยั ใหม่ในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ชาตเิ ยรอ์ ภปิ รายความแตกต่างระหว่าง 132 Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 84-85. 133 Jonathan Dewald, \"Roger Chartier and the Fate of Cultural History,\" in Historiography : Critical Concepts in Historical Studies Volume 4: Culture, ed. R. M. Burns(London: Routledge, 2006), 83. 72
DRAFTคาํ วา่ “วาทกรรม” (discourse) และ “ปฏบิ ตั กิ าร” (practice) ชว้ี า่ “วาทกรรม” มลี กั ษณะของการสถาปนา หรอื สร้างภาพแทนความเป็นจรงิ ความเป็นเหตุเป็นผลหรอื บรรทดั ฐาน มกั จะมาจากปรมิ ณฑลของ อํานาจและความชอบธรรมเพ่อื คงไวซ้ ง่ึ อํานาจหรอื จดั ระบบ ในทางตรงขา้ ม “ปฏบิ ตั กิ าร” มลี กั ษณะมา จากเบอ้ื งล่างเช่นชุมชนหรอื ปจั เจกเพ่อื งดั งา้ งกบั อํานาจ ไม่ใช่ดว้ ยพละกําลงั แต่ดว้ ยวธิ กี ารและยุทธวธิ ี ใหม่ ชาตเิ ยรช์ ้วี ่านักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมต้องทําความเขา้ ใจประวตั ศิ าสตรข์ องการประกอบสร้าง ความหมาย ซ่งึ อยู่ท่กี ารงดั งา้ งระหว่างความสามารถในการสรา้ งสรรค์ของปจั เจกหรอื ชุมชนเพ่อื ต่อกร กบั ภาวะบบี รดั บรรทดั ฐานหรอื จารตี ประเพณีจากฝงั่ อํานาจ โดยในประวตั ศิ าสตรห์ นังสอื และการอ่าน “วาทกรรม” แฝงอยู่ในตวั บทมาจากระบบภาษาและมสี ่วนสําคญั ในการครอบงําตรรกะของผลผลติ ทาง วรรณกรรมแต่ละชน้ิ ส่วน “ปฏบิ ตั กิ าร” คอื ทุกอย่างทไ่ี มไ่ ดอ้ ย่ใู นตวั บท แต่ขน้ึ อยกู่ บั ตําแหน่งแห่งทท่ี าง สงั คมของปจั เจกหรอื ชุมชนการอ่าน และความสมั พนั ธข์ องตวั บทกบั ชวี ติ ประจาํ วนั ของผอู้ ่านและผรู้ บั ตวั บทนนั้ 133134 แนวคดิ “ปฏบิ ตั กิ าร” ของชาตเิ ยรค์ ่อนขา้ งคลุมเครอื แต่อาจเรยี กไดว้ ่าเป็นชาตพิ นั ธุว์ รรณนา (ethnography of reading) และสงั คมวทิ ยาของตวั บท (sociology of texts) ซง่ึ มสี ่วนมาจากกรอบวธิ ี ศกึ ษาทางดา้ นสงั คมวทิ ยา มานุษยวทิ ยาและบรรณศาสตรส์ มยั ใหมท่ ศ่ี กึ ษาหนังสอื และการอ่าน เหน็ ได้ ว่าชาติเยรใ์ ห้ความสําคญั กบั วฒั นธรรมในมติ ขิ องการปฏบิ ตั กิ าร ซ่งึ แยกออกจากวฒั นธรรมในแง่ของ วรรณกรรมในแงข่ องการสรา้ งและผลติ โดยเหน็ วา่ หนงั สอื ในการเป็นวตั ถุ การเผยแพร่ การอ่านและการ ถ่ายทอดความรูผ้ ่านวฒั นธรมมุขปาฐะมสี ่วนสําคญั ในการสรา้ งความหมาย อกี ทงั้ ความหมายดงั กล่าว ไม่ไดเ้ ป็นภาพสะท้อนสงั คมใดสงั คมหน่ึงแค่เป็นการงดั งา้ งทางความหมายในหลายระดบั และมคี วาม ซบั ซอ้ น เหน็ ไดช้ ดั ว่ามองวฒั นธรรมมพี ลวตั กว่านกั ประวตั ศิ าสตรร์ ่วมสาํ นักร่นุ ก่อน โดยอ้างองิ ขอ้ เขยี น ของบูรด์ เิ ยอ ชาตเิ ยรช์ ว้ี ่าระบบสญั ญะและภาพลกั ษณ์ของระเบยี บทางสงั คมเป็นเคร่อื งมอื สาํ คญั ในการ งดั งา้ งทางอํานาจเช่นเดยี วกบั อํานาจทางเศรษฐกจิ ผ่านการปรบั แต่งทางความรสู้ กึ นึกคดิ และจนิ ตภาพ ว่าด้วยระบบสงั คมนํามาซง่ึ ความเปลย่ี นแปลงจรงิ โดยปฏบิ ตั กิ ารทางความรูส้ กึ นึกคดิ ดงั กล่าวเป็นการ ต่อสแู้ ละต่อรองมสี ว่ นในการปรบั เปลย่ี นระบบสงั คมและการก่อตวั ของชนชนั้ 134135 134 Dewald, \"Roger Chartier and the Fate of Cultural History,\" 84-86. 135 Chartier, \"Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories,\" 41. 73
DRAFT ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมกบั ความหมาย: the New Cultural History ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงน้จี งึ มกี ารเปลย่ี นแปลงทางกระบวนทศั น์ทส่ี ําคญั โดยการทา้ ทาย และตงั้ คาํ ถามกบั กระบวนทศั น์อนั นาลสแ์ ละมารก์ ซสิ มท์ ม่ี องวา่ โครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ และความสมั พนั ธ์ ทางสังคมเป็นส่ิงกําหนดวฒั นธรรมยงั มมี าจากอีกฟากหน่ึงของมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะ อทิ ธพิ ลจากสาขามานุษยวทิ ยาในช่วงปลายทศวรรษท่ี 1970 เป็นต้นมา มานุษยวทิ ยาเชงิ สญั ญะมองว่า วฒั นธรรมค่อนข้างเป็นอสิ ระจากความจําเป็นทางกายภาพและโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ และสงั คม มี ปฏบิ ตั กิ ารและการผลติ ทางวฒั นธรรมจากการตคี วามและสรา้ งความหมายจากสํานึกของมนุษยเ์ อง135136 นักมานุษยวทิ ยาท่ถี ือได้ว่ามอี ิทธพิ ลต่อสาขาประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมอย่างสูงคอื คลฟิ ฟอร์ด เกยี ร์ซ (Clifford Geertz) เกยี รซ์ เป็นหน่ึงในหวั หอกของมานุษยวทิ ยาเชงิ สญั ญะตงั้ แต่ทศวรรษท่ี 1970 โดย ขอ้ เขยี นของเกยี รซ์ ทถ่ี อื ไดว้ า่ เป็นแหล่งอ้างองิ หลกั ในดา้ นวธิ กี ารของนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมรนุ่ ใหม่ คอื บทความทร่ี วมอย่ใู น the Interpretation of Cultures (1973) เกยี รซ์ แสดงให้เหน็ ถงึ การตคี วาม วฒั นธรรมจากสารบบของสญั ญะและความหมาย ซ่งึ มลี กั ษณะล่นื ไหลและตายตวั น้อยกว่าเลว-ี สโทรสส์ มาก เกยี รซ์ ช้วี ่าปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมเป็นการส่อื สารและการแสดงออกทางความหมายเป็น ระบบท่สี ามารถตคี วามเพ่อื การศึกษาวฒั นธรรม ซ่งึ สอดคล้องและคล้ายกบั การศกึ ษาวฒั นธรรมแบบ โครงสรา้ งนิยมทโ่ี คลด เลว-ี สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) เสนอ ขณะทเ่ี ลว-ี สโทรสสช์ ว้ี ่าวฒั นธรรมมี 136 โดยทวั ่ ไปวธิ กี ารทางมานุษยวทิ ยาและวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรม์ กั ถูกมองว่าไปดว้ ยกนั ไดไ้ ม่ดนี กั เน่ืองจากกรอบการวเิ คราะห์ทาง มานุษยวทิ ยากระแสหลกั ศตวรรษท่ี 20 ถูกชน้ี ําโดยแนวคดิ ทฤษฎสี กุลหน้าทน่ี ิยม (functionalism) ซ่งึ สนใจโครงสรา้ งหรอื องคาพยพทาง สงั คมทค่ี งทไ่ี มค่ อ่ ยมองเหน็ ความเปลย่ี นแปลงตามเวลาทางประวตั ศิ าสตร์ แมแ้ ต่ประวตั ศิ าสตร์สาํ นกั อานาลสท์ ไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากทฤษฎี ทางสงั คมวทิ ยาตามสายของ เดอรไ์ คหมก์ ค็ ่อนขา้ งมองประวตั ศิ าสตรใ์ นภาพทค่ี ่อนขา้ งแน่น่ิง หรอื หากมองความเปลย่ี นแปลงกม็ กั เป็นไป ในเชงิ เปรยี บเทยี บในลกั ษณะยุคทม่ี าก่อนและยคุ ทต่ี ามมา (ตวั อยา่ งทช่ี ดั เจนคอื Feudal Society ของโบลค) หรอื นกั ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อา นาลสท์ ใ่ี ชว้ ธิ กี ารทางมานุษยวทิ ยากม็ กั วางอยู่บนทศั นะแบบหน้าทน่ี ิยมคอื สนใจขนบธรรมเนียม ประเพณแี ละค่านิยมในแง่ทม่ี หี น้าทใ่ี น โครงสรา้ งเพอ่ื รกั ษาสมดุลหรอื ระเบยี บของสงั คม อกี ทงั้ Histoire des Mentalité สมยั กลางทใ่ี ชก้ ารอธบิ ายแบบมานุษยวทิ ยาอย่าง จารค์ เลอก็อฟ (Jacques Le Goff) และจอร์จ ดูบี (Georges Duby) ก็ไม่ได้สนใจการเปลย่ี นผ่านนัก จงึ อาจกล่าวได้ว่านอกจากท่นี ัก ประวตั ศิ าสตร์สงั คมสํานักอานาลส์จะใหค้ วามสําคญั กบั วฒั นธรรมในชวี ติ ประจําวนั แลว้ และประเด็นศกึ ษาทไ่ี ด้รบั อทิ ธพิ ลมาจากสาขา มานุษยวิทยาแล้ว กรอบทฤษฎีศึกษาวฒั นธรรมจากมานุษยวิทยายงั คงเข้ากนั ได้ไม่ดนี ักกบั การอธิบายถึงพลวตั ทางวฒั นธรรมใน ประวตั ศิ าสตร์ หากมองทแ่ี นวคดิ ทางวฒั นธรรมพอกล่าวไดว้ ่าประวตั ศิ าสตรข์ องโบรเดลมสี ่วนใกลเ้ คยี งกบั มานุษยวทิ ยาสาํ นกั วตั ถุนิยมทาง วฒั นธรรม (cultural materialism) อาจพอกล่าวได้ว่ามานุษยวทิ ยาเชงิ สญั ญะ (symbolic anthropology) เป็นคู่ถกเถียงสําคญั กบั มานุษยวทิ ยาสาํ นักวตั ถุนิยมทางวฒั นธรรม (cultural materialism) ในลกั ษณะใกลเ้ คยี งกบั ทป่ี ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเป็นคู่ถกเถยี งทาง ทฤษฏกี บั ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมสาํ นกั อานาลส์ ในแงท่ ท่ี งั้ ค่มู องว่าปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมเป็นผลมาจากความจาํ เป็นทางกายภาพ และสภาวะแวดลอ้ ม ขณะทค่ี หู่ ลงั มองวฒั นธรรมวา่ เป็นอสิ ระจากสงิ่ เหลา่ นนั้ มากกวา่ 74
DRAFTลกั ษณะเหมอื นเป็นสูตรโครงสรา้ งสมการคณิตศาสตร์ แสดงให้เหน็ ถงึ ความสมั พนั ธ์ทางสญั ญะเป็น โครงสรา้ งสู่สมการทางสญั ญะของวฒั นธรรม ซง่ึ กรอบคดิ ของเลว-ี สโทรสสไ์ ม่ไดม้ อี ทิ ธพิ ลต่อวงวชิ าการ ด้านประวตั ศิ าสตรน์ ักเน่ืองจากเป็นแนวคดิ ท่ไี ม่ให้ความสําคญั กบั การเปล่ยี นผ่านทางประวตั ิศาสตร์ ขณะทเ่ี กยี รซ์ มองวา่ วฒั นธรรมเป็นระบบของความคดิ ทส่ี บื ทอดมาซง่ึ แสดงออกผ่านรปู ทางสญั ญะ ซง่ึ ทาํ ให้ความรูเ้ ก่ยี วกบั การดํารงชวี ติ และทศั นคตติ ่อชวี ติ ถูกส่อื สาร ถูกรกั ษาและพฒั นาได้”136137 เกยี รซ์ อ้าง แมกซ์ เวเบอรท์ ่วี ่า “มนุษย์คอื สตั ว์ท่แี ขวนอยู่ในเครอื ข่ายของความหมายทต่ี นเองเป็นผู้ถกั ทอขน้ึ มา” มนุษยจ์ งึ ต้องทําความเขา้ ใจและค้นหาความหมายของสงิ่ ต่างๆและปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตวั ดงั นัน้ เพอ่ื ทน่ี กั มานุษยวทิ ยาจะเขา้ ใจแงม่ มุ ทางวฒั นธรรมจงึ เป็นการตคี วามเพอ่ื คน้ หาความหมายและทําความ เข้าใจต่อวัฒนธรรมตามแบบมนุษย์ ไม่ใช่วิเคราะห์เพ่ือมองหากฎหรือแบบแผนโครงสร้างแบบ วิทยาศาสตร์ การศึกษาวัฒนธรรมต้องผ่านการตีความ กล่าวคือเป็นการแจกแจงอย่างละเอียด (explication) เพ่อื ทาํ ความเขา้ ในปรศิ นาของการแสดงออกทางสงั คม137138 แต่เกยี รซ์ มองสญั ญะมคี วามล่นื ไหลและอยใู่ นหว้ งของการตคี วามหลายระดบั จากหลายมมุ มอง เกยี รซ์ กล่าวว่าหวั ใจของการศกึ ษาดา้ นชาตพิ นั ธุ์วรรณนาไม่ใช่เพยี งวธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นการจดบนั ทกึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ผ่านวธิ กี ารต่างๆ แต่เป็นการใชค้ วามคดิ ในการตคี วาม ซง่ึ เกยี รซ์ เรยี กว่า “thick description” หรอื “การบรรยายทห่ี นาแน่น”138139 สําหรบั เกยี รซ์ หวั ใจของวฒั นธรรมคอื การทม่ี นุษยใ์ ชค้ วามคดิ ในการ ตคี วามปรากฎการณ์ต่างๆเพ่อื สรา้ งความหมาย ทําใหท้ ุกสงิ่ ทุกอยา่ งมสี ถานะเปรยี บเหมอื นตวั บท (text analogy) เพ่อื การอ่านเอาความ เกยี รซ์ ชว้ี า่ “วฒั นธรรมคอื สารบบของสญั ญะทร่ี อการตคี วามหลายระบบ ประสานกนั วฒั นธรรมไม่ใช่อํานาจใดอํานาจหน่ึงซ่งึ เป็นท่มี าของเหตุการณ์ พฤตกิ รรม สถาบนั หรอื 137 Clifford Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays (New York,: Basic Books, 1973), 89. 138 Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 5. ในสว่ นน้เี หน็ ไดช้ ดั ว่าเป็นการวจิ ารณ์มานุษยวทิ ยาโครงสรา้ งนิยมตาม แนวทางของโคลด เลว-ี สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) ทถ่ี อื ไดว้ ่ามอี ิทธพิ ลต่อนอกสาขาของตน มอี ทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมไมม่ ากนกั เลว-ี สโทรสส์มองหาตรรกะภายในโครงสรา้ งทางความคดิ ท่แี น่น่ิง แมว้ ่านกั ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลสห์ ลายท่าน รวมถงึ โบรเดลแสดงทศั นะว่ามคี วามสนใจในการทาํ ความเขา้ ใจโครงสรา้ งและความสมั พนั ธ์ในสงั คมในลกั ษณะเดยี วกนั ซง่ึ โบรเดลเรยี กว่า “social mathematics” อย่างไรกด็ โี บรเดลชว้ี ่าเลว-ี สโทรสสใ์ หค้ วามสาํ คญั ในการถอดรหสั ความสมั พนั ธใ์ นมติ ทิ างภาษาทซ่ี ่อนเรน้ อยู่ ขณะท่ี ทางประวตั ศิ าสตรแ์ บบ longue durée เป็นการทาํ ความเขา้ ใจโครงสรา้ งทางเวลาอกี ระดบั ทซ่ี ่อนอยู่ เป็นการมองหาโครงสรา้ งต่างปรมิ ณฑล กนั (ดู Braudel, On History, 38-44.) งานศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมของ ฌอง-ปิแอร์ เวอร์แนนท์ (Jean-Pierre Vernant) ทเ่ี ดนิ ตาม ทฤษฎขี องเลว-ี สโทรสสก์ ถ็ อื เป็นขอ้ ยกเวน้ 139 Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 24. อคนิ รพพี ฒั น์แปลว่า “การบรรยายทล่ี ะเอยี ดและลุ่มลกึ ” ดู อคนิ รพพี ฒั น์, วฒั นธรรมคอื ความหมาย : ทฤษฎแี ละวธิ กี ารของคลฟิ ฟอรด์ เกยี รซ์ (กรุงเทพฯ: ศนู ยม์ านุษยวทิ ยาสริ นิ ธร (องค์การมหาชน), 2551), 126. 75
DRAFTกระบวนการต่างๆ แต่บรบิ ทเป็นสง่ิ ทท่ี าํ ใหอ้ ธบิ ายองคป์ ระกอบเหล่าน้อี ยา่ งเขา้ ใจและเป็นเหตุเป็นผล ซง่ึ กค็ อื การบรรยายทห่ี นาแน่น”139140 ในบทความท่ีอธิบายความหมายของการชนไก่ในวัฒนธรรมบาหลี เกียร์ซช้ีให้เห็นว่า ปรากฏการณ์เช่นการชนไก่สามารถถูกนํามาอ่านเพ่อื ศกึ ษาระบบทางสญั ญะเช่นเดยี วกบั การตคี วาม วรรณกรรม การชนไก่ การชมและการเดมิ พนั ท่รี ายรอบเป็น “ตวั บท” (text) ท่สี ามารถเปิดเหน็ ถึง ความหมายทห่ี นาแน่น ซบั ซอ้ นและลุ่มลกึ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การแข่งขนั และการงดั งา้ งทางอํานาจ การเดมิ พนั สถานะสงั คมและสภาวะทางจติ ใจซ่งึ สะท้อนผ่านสารบบสญั ญะทางวฒั นธรรม แสดงให้เหน็ ถึง โครงสรา้ งระดบั ลกึ และความซบั ซอ้ นทางอตั ลกั ษณ์ ซง่ึ ไม่ต่างจากผลผลติ ทางวฒั นธรรมระดบั สูงในโลก ตะวนั ตกเช่นการชมละครเชก็ สเปียรห์ รอื การอ่านวรรณกรรมคลาสสกิ โดยเกยี รซ์ ไดใ้ ชศ้ พั ทท์ อ่ี ธบิ ายถงึ ลกั ษณะทางวรรณศลิ ป์และสุนทรยี ภาพ ดงั นัน้ การพรรณนาหรอื ตีความไม่เพยี งแต่ใหค้ วามสําคญั กบั รายละเอยี ดเท่านนั้ แต่จะต้องมคี วามลุ่มลกึ ดว้ ย140141 โดยว่าการตคี วามแบบน้ีไม่ใช่เพ่อื การสถาปนาหลกั ทฤษฎหี รอื หาโครงสรา้ งความสมั พนั ธ์ เกียรซ์ เหน็ ว่าเป็นทฤษฎีท่ี “ติดดิน” มาจากการสงั เกตจรงิ ท่ี ปรากฏในพฤตกิ รรมทางสงั คม มากกว่ามาจากหลกั สมการคณิตศาสตร์ โดยเกยี รซ์ ให้ความสาํ คญั กบั การทําความเขา้ ใจสารบบทางสญั ญะของปรากฏการณ์เลก็ ๆ ทด่ี ูเหมอื นไม่มคี วามสําคญั และต่ําชนั้ ในทางวฒั นธรรม อีกทงั้ ยงั มนี ัยของการเช่ือมรอยแยกระหว่างวฒั นธรรมระดบั สูงและระดบั ล่าง ใน บทความปี 1983 เกยี รซ์ ยนื ยนั ว่าแนวโน้มทางการวจิ ยั วฒั นธรรมและสงั คม เป็นไปในทศิ ทางทเ่ี รยี กว่า เป็น “blurred genres” ทก่ี ารแบ่งแยกระหว่างสงั คมศาสตรก์ บั มนุษยศาสตรน์ ัน้ ไม่มคี วามชดั เจน และ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ท่ี ฤษฎหี รอื วธิ กี ารทเ่ี ป็นวทิ ยาศาสตรม์ ากหรอื น้อยกวา่ แต่อยทู่ เ่ี ป้าหมาย141142 ขอ้ เขยี นดา้ นวธิ กี ารตคี วามวฒั นธรรมของเกยี รซ์ มอี ทิ ธพิ ลสูงในหมนู่ ักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ชาวอเมรกิ นั ในทศวรรษท่ี 1980 โดยแนวทางการตคี วามดา้ นสญั ญะและความหมายของเกยี รซ์ เขา้ มามี อทิ ธพิ ลอย่างสงู ต่อนักประวตั ศิ าสตรร์ ุน่ ใหมใ่ นสหรฐั อเมรกิ าและองั กฤษ นักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่มแรกทร่ี บั อทิ ธพิ ลดงั กล่าวคอื นกั ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปตน้ สมยั ใหมท่ ม่ี หาวทิ ยาปรนิ ซต์ นั ซง่ึ เกยี รซ์ สอนอยใู่ นทศวรรษ 140 Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 14. 141 Clifford Geertz, \"Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight,\" in The Interpretation of Cultures; Selected Essays(New York,: Basic Books, 1973). เกยี รทซ์ยงั ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ความแตกต่างกนั กค็ อื สาํ นวนของภาษาทใ่ี ชใ้ นการอธบิ ายถงึ ปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมหรอื พฤตกิ รรม โดยใชค้ ําเช่น “drama” “role” “game” “play” “text” “story” “manuscript” “rigmarole” กลายมคี วามสําคญั ในทางสงั คมศาสตร์ มากขน้ึ ขณะทเ่ี กยี รซ์ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การอุปมาปรากฏการณ์ทางสงั คมวฒั นธรรมว่าเป็นเหมอื น “language game” ตามวลขี อง Wittgenstein 142 Clifford Geertz, Local Knowledge : Further Essays in Interpretive Anthropology (London: Fontana, 1993, 1983). 76
DRAFTท่ี 1970 และงานของนักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่มน้ีส่งผลต่อวธิ กี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในวงกวา้ ง โดยงานท่ถี ือได้ว่าเปิดประตูสู่แนวทางการศกึ ษาใหม่คอื บท “Workers Revolt: the Great Cat Massacre of the Rue Saint-Séverin”143 ของโรเบริ ต์ ดารน์ ตนั (Robert Darnton) โดยเป็นผลมาจาก เกียร์ซและดาร์นตันสอนวชิ าสมั มนาประวตั ิศาสตร์กบั มานุษยวทิ ยาร่วมกนั ท่ีมหาวทิ ยาลยั ปรนิ ซ์ตัน ดารน์ ตนั ศกึ ษาเหตุการณ์การกระทําตลกร้ายของช่างพมิ พ์กลุ่มหน่ึงในโรงพมิ พแ์ ห่งหน่ึงในปารสี ช่วง ทศวรรษท่ี 1730 ทจ่ี บั แมวจรจดั และแมวเลย้ี งในยา่ นนนั้ มาทรมาณและสงั หารอย่างเหย้ี มโหดและบนั เทงิ มกี ารจาํ ลองศาลตดั สนิ และลงโทษแมว เพ่อื เป็นการแก้เผด็ และลอ้ เลยี นเจา้ ของโรงพมิ พแ์ ละภรรยาทใ่ี ห้ การดูแลช่างพมิ พ์เหล่านัน้ ไม่ดพี อ ดาร์นตนั มองเหตุการณ์น้ีในลกั ษณะการเป็นพธิ กี รรมท่เี ต็มไป ด้วยสญั ญะท่มี คี วามหมายหลากหลายและซบั ซ้อน ซ่งึ เก่ยี วขอ้ งกบั คติชนและความเช่อื เร่อื งแมวกบั อาํ นาจมดื ความนยิ มการเลย้ี งสตั ว์ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั แิ ละชวี ติ ประจาํ วนั ของช่างพมิ พ์ ฯลฯ ตคี วามระบบทางสญั ญะในการกระทําดงั กล่าวว่าส่อื ใหเ้ หน็ ถงึ ความตงึ เครยี ดในความสมั พนั ธ์ ระหว่างเจ้าของโรงพิมพ์และช่างพิมพ์รบั จ้าง ธรรมชาติของธุรกิจการพมิ พ์ สํานึกเร่ืองการทํางาน ชวี ติ ประจําวนั ทอ่ี ยู่อาศยั และอาหารการกนิ สถานภาพทางสงั คม เพศสภาพ ภาพแทนและอตั ลกั ษณ์ รวมไปถงึ อุดมคตทิ างสงั คมทช่ี า่ งพมิ พเ์ หลา่ นนั้ มี ซง่ึ เป็นการสะทอ้ นใหเ้ หน็ ในอกี แงม่ มุ ของประวตั ศิ าสตร์ ภูมปิ ญั ญายุคแสงสว่าง กล่าวคอื แทนทจ่ี ะศกึ ษาขอ้ เขยี นของปราชญ์และนักเขยี นยุคแสงสว่าง กลบั หนั มามองท่วี ฒั นธรรมระดบั ล่างผ่านเหตุการณ์เลก็ ๆ ซ่งึ เทยี บไดก้ บั การชนไก่ในงานของเกยี รซ์ โดยเป็น การมองในแง่มุมมานุษยวทิ ยาให้เหน็ ถงึ พลวตั ของวฒั นธรรมในระดบั ล่างลงไป ดารน์ ตนั ดงึ เอาคตชิ น และขนบธรรมเนียมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สตั ว์ ความรนุ แรงและการล่าแม่มดเขา้ มาทําความเขา้ ใจระบบสญั ญะ ในเหตุการณ์ดงั กลา่ ว โดยทาํ ความเขา้ ใจในบรบิ ทของการเตบิ โตของตลาดสง่ิ พมิ พแ์ ละการขยายตวั ของ ผู้อ่าน รวมถึงการแตกตวั ทางชนชนั้ ช่างฝีมอื ผ่านช่างพมิ พ์ เหตุการณ์ดงั กล่าวแสดงให้เห็นถึงการ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสญั ญะผา่ นความรนุ แรง ขอ้ แตกต่างสาํ คญั ระหว่างวธิ กี ารทางมานุษยวทิ ยาของงานชน้ิ น้ีกบั วธิ แี บบมานุษยวทิ ยาในงาน histoire des mentalité ของสํานักอานาลสเ์ ช่น Montaillou ของลี รวั ลาดูรี ซง่ึ ใหค้ วามสาํ คญั กบั สภาวะ ความเป็นอยู่ การทํากินและความสมั พนั ธท์ างสงั คมของชาวหมู่บ้าน รวมถึงมโนทศั น์ทางศาสนาและ ค่านิยมในหลายๆด้าน ส่วนดารน์ ตนั สนใจระบบทางสญั ญะและการใหค้ วามหมายผ่านเหตุการณ์เลก็ ๆ ในเชงิ อรรถดารน์ ตนั ชว้ี ่านกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสทเ่ี อนไปทางมานุษยวทิ ยามกั รบั อทิ ธพิ ลมาจากแนวคดิ 143 Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History, 75-104. 77
DRAFTโครงสรา้ งนิยมหรอื หน้าทน่ี ิยม ไม่ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสญั ญะ จงึ ไมค่ ่อยสนใจเรอ่ื ง การตคี วามมากนกั ขณะทน่ี กั มานุษยวทิ ยาอเมรกิ นั มกั ไมใ่ หค้ วามสาํ คญั กบั ระบบโครงสรา้ งมากนกั แต่ สนใจท่ีความหมาย ดังท่ีเบ่งบานมากท่ีสุดในงานของเกียร์ซ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของสาขา มานุษยวทิ ยาฝรงั ่ เศสและอเมรกิ าทแ่ี ตกต่างกนั 143144 บทความของดารน์ ตนั ยงั ถอื ไดว้ ่าใชก้ รอบวธิ ี หลกั ญาณวทิ ยาและทฤษฎที างวฒั นธรรมทางมานุษยวทิ ยาทเ่ี ข้มขน้ กว่า histoire des mentalité มาก โดยเฉพาะแนวคดิ เร่อื งการทํางานของสญั ญะและการตคี วาม ดว้ ยวธิ กี ารนําเอา “ตวั บท” (text) วางใน “บรบิ ท” (context) เพ่อื ใหเ้ กดิ ความหมายและทําความเขา้ ใจการแสดงออกหรอื คตทิ เ่ี ตม็ ไปดว้ ยความ ทารณุ และหยาบเถ่อื น144145 นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ใ่ี ชว้ ธิ กี ารทางมานุษยวทิ ยาซง่ึ มงี านในทศวรรษท่ี 1970 อย่างนาตาลี ซมี อน เดวสิ (Natalie Zemon Davis) ใน The Return of Martin Guerre (1983) 146 กใ็ ชเ้ หตุการณ์เลก็ ๆเพ่อื ทํา ความเขา้ ใจระบบคุณค่าและความรูส้ กึ ของชุมชนชาวนาในฝรงั่ เศสศตวรรษท่ี 16 มงี าน The Family Romance of the French Revolution (1992)146147 ของลนิ น์ ฮนั ท์ (Lynn Hunt) ทศ่ี กึ ษาเร่อื งราวและคตทิ ่ี เก่ยี วขอ้ งกบั ครอบครวั ในช่วงปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส ผ่านส่อื สง่ิ พมิ พใ์ นช่วงนนั้ ชว้ี ่าสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ระบบของ ความหมายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความเป็นการเมอื งในช่วงเปลย่ี นผ่าน ระเบยี บและลาํ ดบั ทางสงั คม ทศั นะต่อ อํานาจ วัฒนธรรมการเมืองและมโนทัศน์เร่ืองบทบาทของหญิงและชาย ผ่านการตีความเชิง มานุษยวทิ ยาของฮนั ทท์ ไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากทฤษฏขี องซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ อกี ทงั้ ยงั สนใจในแงข่ องวาทกรรม วา่ ดว้ ยครอบครวั ในการใหค้ วามหมายในทางวฒั นธรรมในชว่ งเปลย่ี นผ่าน แนวทางการตคี วามวฒั นธรรมของเกยี รซ์ เปิดประตูใหน้ กั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมสามารถศกึ ษา วฒั นธรรมประชาชน (popular culture) และวฒั นธรรมของคนระดบั ล่างทางสงั คมในแง่มุมทางสญั ญะ และความหมายไม่ต่างจากสญั ญะ รวมถงึ ความหมายของเหตุการณ์ทางการเมอื งท่มี คี วามสําคญั ต่าง จากการศกึ ษาสญั ญะตามแนวทางโครงสรา้ งนิยมทส่ี นใจศกึ ษา “ความสมั พนั ธข์ องภาพแทน” (relations of representation) เพ่อื เขา้ ใจมโนทศั น์ในการเช่อื มโยงคุณค่าพน้ื ฐานในชวี ติ ในลกั ษณะสมการขวั้ ตรง ขา้ ม ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมควรมองว่าคนเราดํารงชวี ติ และมปี ระสบการณ์อยู่กบั สญั ญะในลกั ษณะ 144 Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History, 283. 145 Roger Chartier, \"Text, Symbols, and Frenchness,\" The Journal of Modern History 57, no. 4 (1985): 683-684. 146 Natalie Zemon Davis, The Return of Martin Guerre (Cambridge, Mass. ; London: Harvard University Press, 1983). 147 Lynn Hunt, The Family Romance of the French Revolution (Berkeley: University of California Press, 1992). 78
DRAFTพน้ื ฐาน กลา่ วคอื ไมใ่ ช่ดว้ ยความเขา้ ใจหลกั หรอื สมการ แต่เป็นการคน้ หาและทําความเขา้ ใจความหมาย ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ความเขา้ ใจสญั ญะของนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอย่างฮุยซงิ กา147148 ขอ้ แตกต่างของนัก ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมรุ่นใหม่กบั ยุคคลาสสกิ คอื ความสามารถศกึ ษาโดยตดั ผ่านวฒั นธรรมระดบั บน และล่างโดยยงั คงตระหนักถงึ ความแตกต่างและการแลกเปลย่ี นระหว่างกนั สามารถขา้ มหว้ งเหวทเ่ี ป็น ปญั หาใหญ่ของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมาโดยตลอด ต่างจากประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมคลาสสกิ ทส่ี นใจ วฒั นธรรมระดบั บน ทงั้ ยงั มองสญั ญะวา่ เป็นเรอ่ื งของความละเมยี ดละไมทางวฒั นธรรม อกี ทงั้ ต่างจากการศกึ ษาวฒั นธรรมของประวตั ศิ าสตรส์ งั คม 2 สาํ นักใหญ่ท่กี ล่าวมาซง่ึ มองว่า วฒั นธรรมเป็นผลสะท้อนโครงสร้างใหญ่ (อานาลส์) หรือมองว่าเป็นของชนชนั้ (มาร์กซิสม์) นัก ประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ดนิ ตามเกียร์ซสามารถศกึ ษาวฒั นธรรมโดยเป็นอสิ ระจากการมองท่ี “ขอ้ มูล” เพ่อื มุ่ง สถาปนาภาพโครงสรา้ งหรอื แบบแผนทางวฒั นธรรม สามารถทํางานกบั ความกํากวมของหลกั ฐานใน หลายรูปแบบซ่ึงเคยถูกตงั้ ตําถามเร่ืองความน่าเช่ือถือหรอื ถูกละเลยเพราะเป็นกรณีผิดแปลก นัก ประวตั ิศาสตรส์ ามารถเน้นท่ี “ตัวบท” ท่ไี ม่ได้มคี วามสําคญั ในห่วงโซ่ของสาเหตุผลลพั ธ์หรอื บ่งบอก ลกั ษณะทางโครงสรา้ ง อกี ทงั้ สามารถศกึ ษาเหตุการณ์ พธิ กี รรมหรอื การแสดงออกทางวฒั นธรรมท่ผี ดิ แปลกและไม่เป็นท่ีรู้จกั เน่ืองจากสามารถเปิดเผยให้เห็นถึงความหมายอันยอกย้อนซับซ้อนใน สารบบทางวฒั นธรรมของสงั คมนนั้ ๆ ดงั ทน่ี ักประวตั ศิ าสตรส์ ามารถศกึ ษาบนั ทกึ การฆ่าแมวเพ่อื ความ บนั เทงิ ของช่างพมิ พ์รบั จา้ งท่โี รงพมิ พใ์ นกรุงปารสี ศกึ ษาเร่อื งกรณีการสวมรอยเป็นชาวนาคนหน่ึงใน ศตวรรษท่ี 16 สามารถศกึ ษาขา่ วลอื หรอื มายาคตแิ ปลกๆ ทผ่ี ุดขน้ึ สนั้ ๆ ในชว่ งการปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส การศกึ ษาวฒั นธรรมผ่านสญั ญะซง่ึ ปรากฏให้รบั รูใ้ นพ้นื ท่สี าธารณะ ผ่านเหตุการณ์ พธิ กี รรม หรอื วตั ถุ ไมไ่ ดม้ องวฒั นธรรมในภาพกวา้ งว่าเป็น “ทุกแง่มมุ ของวถิ ชี วี ติ ” (whole way of life) ตามทว่ี ลิ เลยี มส์เสนอ หรอื เป็นการมองหาภาวะความเป็นซบั เจคทซ่ี ่อนอย่ตู ามแบบฟูโก ทําใหก้ รอบการศกึ ษา สญั ญะแบบเกยี รซ์ ไดร้ บั การยอมรบั มากในหม่นู ักประวตั ศิ าสตร์ อกี ทงั้ หากมองในประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธ์ ของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เหน็ ได้ว่าเป็นการนําการพรรณนาความหมายของสญั ญะซ่งึ เป็นลกั ษณะ สาํ คญั ของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมคลาสสกิ หากแต่เป็นการมองสญั ญะในลกั ษณะทเ่ี ป็นระบบมากขน้ึ (หากเปรยี บทยี บกบั ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและแนวคดิ โครงสรา้ งนิยม อาจกล่าวไดว้ ่าดไู รร้ ะบบ) อกี ทงั้ เป็น ทางออกจากคําวจิ ารณ์ histoire des mentalité ทม่ี องว่าวฒั นธรรมมลี กั ษณะเป็นสง่ิ ท่อี ยใู่ นและนอก สาํ นึกซง่ึ มรี ว่ มกนั ซง่ึ ถูกสภาวะสงั คมกําหนดและบบี รดั โดยเกยี รซ์ ใหค้ วามสาํ คญั กบั การทาํ ความเขา้ ใจ 148 Robert Darnton, \"Review: The Symbolic Element in History,\" The Journal of Modern History 58, no. 1 (1986): 221. 79
DRAFTสารบบของสญั ญะทเ่ี ปิดทางสู่ความเป็นไปไดข้ องการตคี วามทห่ี ลากหลายและล่นื ไหล ขณะทก่ี ารศกึ ษา “วาทกรรม” ในประวตั ศิ าสตรต์ ามแบบมเิ ชล ฟูโกถูกวจิ ารณ์อย่างหนกั ในวงวชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ในแง่ท่ฟี ูโกมองว่า “ข้อเท็จจรงิ ” เป็นสงิ่ ซ่ึงถูกประกอบสร้างข้นึ มา148149 อย่างไรก็ดีนักประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมชาวอเมรกิ นั ยงั ได้รบั อิทธิพลจากทฤษฎฝี รงั่ เศสรวมถึงความสนใจตามแบบมเิ ชล ฟูโกใน ทางออ้ ม กล่าวคอื ใหค้ วามสนใจกบั สง่ิ ท่อี าจกล่าวไดว้ ่ามติ ขิ องการกดเกบ็ ในทางสงั คมและในทางอารย ธรรมหรอื “return of the repressed” ผ่านความสนใจการคน้ หาความหมายในหลายระดบั และในดา้ น ประเดน็ ศกึ ษากเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สภาวะชายขอบ วธิ กี ารตคี วามสญั ญะในวฒั นธรรมมอี ทิ ธพิ ลต่อนักประวตั ิศาสตร์ในหลายระดบั ทงั้ ในทางตรง ทางอ้อม รวมถงึ ในลกั ษณะผวิ เผนิ อกี ทงั้ มนี กั ประวตั ศิ าสตรจ์ าํ นวนไมน่ ้อยทใ่ี ช้วลี “thick description” ในลกั ษณะท่ขี ดั แยง้ กบั วธิ กี ารทเ่ี กยี รซ์ เสนอ ซ่งึ ความสนใจสญั ญะในประวตั ศิ าสตร์ ซ่งึ มสี ่วนทําใหน้ ัก ประวตั ิศาสตร์ละเลยมติ ิอ่ืนๆ ท่ปี ระวตั ิศาสตร์สงั คมเคยสนใจ149150 ขอ้ วิจารณ์อีกประการหน่ึงจากนัก ประวตั ศิ าสตรท์ ร่ี บั วธิ กี ารตคี วามวฒั นธรรมจากเกยี รซ์ คอื การผนวกรวมความเป็นสาเหตุ (causation) เขา้ กบั ความหมาย (meaning) ราวกบั ว่าเป็นสง่ิ เดยี วกนั ซ่งึ มสี ่วนในการก่อใหเ้ กดิ ข้อจํากดั ในการ อธบิ ายกระบวนการหรอื กลไกทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม150151 ทําใหป้ จั จยั หรอื องคป์ ระกอบทุกอย่างกลายเป็นบรบิ ทการตคี วามทางสญั ญะ ส่งผลใหม้ องไม่เหน็ ความเป็นสาเหตุไม่ว่า ในเชงิ เหตุการณ์หรอื โครงสรา้ งซง่ึ เป็นหวั ใจสําคญั อนั หน่ึงของสาขาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ อกี ทงั้ ยงั ขาด ความเขา้ ใจและมองไมเ่ หน็ ถงึ ความแตกต่างระหว่างวฒั นธรรมของแต่ละปจั เจก คนแต่ละกลุ่มและของ แต่ละสงั คม ซง่ึ แตกต่างกนั ไปตามช่วงเวลาและสถานท่ี ซ่งึ ขอ้ บกพร่องดงั กล่าวปรากฏชดั ในงานของ 149 แต่หากมองอทิ ธพิ ลของเกยี รซ์ ในทางมานุษยวทิ ยาและสงั คมศาสตรใ์ นภาพรวม พบว่าวธิ กี ารของเกยี รซ์ ถูกวพิ ากษ์วจิ ารณ์จากหลาย สาํ นัก ในช่วงเวลาของการปะทะกนั ทางทฤษฎใี นทศวรรษท่ี 1970 ฝ่ายโครงสรา้ งนิยมวจิ ารณ์ว่าขาดระบบและเป็นการวเิ คราะห์ทข่ี าด หลกั การ สว่ นฝา่ ยทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ หลงั โครงสรา้ งนิยมมองว่าอนุรกั ษ์นิยมเกนิ ไป ส่วนทางฝ่ายมาร์กซสิ มก์ ก็ ล่าวว่าวธิ กี ารของ เกยี รซ์ เป็นจติ นิยมโดยมองขา้ มสภาวะการเมอื ง เศรษฐกจิ และขาดความเป็นประวตั ศิ าสตร์ ดู Ann Swidler, \"Geertz's Ambiguous Legacy,\" Contemporary Sociology 25, no. 3 (1996). 150 สาํ หรบั ขอ้ อภปิ รายเร่อื งนกั ประวตั ศิ าสตร์รบั เอาทฤษฎหี รอื วธิ ตี คี วามของเกยี รซ์ ดู Stuart Clark, \"Thick Description, Thin History: Did Historians Always Understand Clifford Geertz?,\" in Interpreting Clifford Geertz : Cultural Investigation in the Social Sciences, ed. Jeffrey C. Alexander et al.(New York: Palgrave Macmillan, 2011). 151 Aletta Biersack, \"Local Knowledge, Local History: Geertz and Beyond,\" in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 79-80; Giovanni Levi, \"On Microhistory,\" in New Perspectives on Historical Writing, ed. Ulick Peter Burke(University Park, Pa.: Pennsylvania State University Press, 1992), 105. 80
DRAFTดารน์ ตนั 151152 ขอ้ วจิ ารณ์สําคญั อกี ประการหน่ึงมาจากโรเจอร์ ชาตเิ ยรท์ ช่ี ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ปญั หาทางญาณวทิ ยา ความเป็น “ตวั บท” ของงานทงั้ สองช้นิ มคี วามแตกต่างกนั มาก โดยความรู้ในแบบมานุษยวทิ ยาของ เกียร์ซในกรณีชนไก่มาจากการสังเกตแบบมสี ่วนร่วม ซ่ึงแตกต่างจากความเป็นงานประพนั ธ์ของ ขอ้ เขยี นหรอื หลกั ฐานทบ่ี รรยายการสงั หารแมว ซง่ึ ดารน์ ตนั ไม่ไดพ้ จิ ารณาความเป็นงานประพนั ธใ์ นแง่ ขนบของงานประพนั ธ์แต่ละประเภทซง่ึ มสี ่วนในการกําหนดเน้ือหาและความหมายของสญั ญะในตวั บท ซง่ึ ทาํ ใหก้ ารนํากรอบวธิ แี บบมานุษยวทิ ยาเขา้ มาในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นลกั ษณะดงั กล่าวอาจเป็น ปญั หาได1้52153 จลุ ประวตั ิศาสตร์ (Microstoria) ในอิตาลี คาํ แปลภาษาองั กฤษของ microstoria ว่า “microhistory” เป็นคําท่ถี ูกใชบ้ ่อยครงั้ เพ่อื กล่าวถงึ ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี นใจขอบเขตหรอื หน่วยศกึ ษาขนาดเลก็ คาํ ว่า microhistory จะปรากฏในภาษาองั กฤษ ก่อน แต่ก็มีความหมายในลักษณะของหน่วยการศึกษาเท่านัน้ ไม่ได้มีนัยของวิธีการทางด้าน มานุษยวทิ ยา153154 ต่อมาคําว่า microhistory ยงั รวมถงึ งานของนักประวตั ศิ าสตร์ท่ใี ช้การตีความเชงิ มานุษยวทิ ยาท่ศี ึกษาหน่วยเล็กเช่น เหตุการณ์ ชุมชน ครอบครวั หรอื ปจั เจก โดยไม่ได้สนใจเพยี ง ประวตั ศิ าสตรห์ รอื วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ แต่สนใจประเดน็ ศกึ ษาและคาํ ถามทางดา้ นมานุษยวทิ ยา ดงั เช่นท่ี ปรากฎในงานของ เอม็ มานูเอล ลี รวั ลาดรู ,ี นาตาลี เดวสิ และโรเบริ ด์ ดารน์ ตนั โดยอาจรวมถงึ Whigs and Hunters: The Origin of the Black Act (1975) ของเอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั ดว้ ย154155 แต่ microstoria ของ ประวตั ศิ าสตรแ์ บบอติ าลมี ลี กั ษณะเฉพาะซง่ึ นอกจากจะเป็นการวพิ ากษ์การศกึ ษาภาพใหญ่เชงิ ปรมิ าณ ของประวตั ศิ าสตรส์ งั คม ยงั เป็นการกา้ วขา้ มการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ มานุษยวทิ ยาแบบ histoire des mentalités ของสํานกั อานาลส์ ดงั นัน้ microstoria จงึ ไมใ่ ช่เพยี งการปรบั เปลย่ี นขอบเขตทางดา้ นเวลา และพ้นื ทใ่ี หเ้ ลก็ ลงหรอื เป็นการเปล่ยี นขนาดเลนส์เพ่อื ขยายภาพ หากแต่เป็นการเปล่ยี นแปลงเน้ือหา หรอื สาระสาํ คญั ของการคน้ ควา้ ทางประวตั ศิ าสตรด์ ว้ ย 152 Levi, \"On Microhistory,\" 104. 153 Chartier, \"Text, Symbols, and Frenchness,\" 690. 154 Carlo Ginzburg, \"Microhistory: Two or Three Things That I Know About It,\" Critical Inquiry 20, no. 1 (1993): 11. 155 ดู Sigurður G. Magnússon and Istvań Szij́ aŕ tó, What Is Microhistory? : Theory and Practice (Milton Park, Abingdon, Oxon: Routledge, 2013). 81
DRAFT โดยแนวคดิ เร่อื งวธิ กี ารศกึ ษาของ microstoria พฒั นาขน้ึ ในอติ าลชี ่วงทศวรรษท่ี 1970 ซง่ึ เป็น ช่วงเวลาและพน้ื ทท่ี ม่ี คี วามสําคญั ในขอ้ ถกเถยี งหลายชุดว่าดว้ ยประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญา โดยนักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่มน้ีอยใู่ นกระแส “ประวตั ศิ าสตรจ์ ากเบ้อื งล่าง” (history from below) นัก ประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่มน้ีส่วนใหญ่มาจากฝงั่ ซา้ ยและมพี น้ื ฐานมาจากแนวคดิ มารก์ ซสิ ม์ นกั ประวตั ศิ าสตรใ์ น อติ าลไี ด้รบั ผลกระทบทางความคดิ จากการทบทวนทฤษฎีมาร์กซสิ ม์ รวมถงึ อทิ ธพิ ลจากแนวคดิ ทาง วฒั นธรรมของแกรมซี microstoria มบี ทบาทสาํ คญั ในการวพิ ากษ์กรอบวธิ ที างดา้ นประวตั ศิ าสตรส์ งั คม ของสองสํานักใหญ่อย่างอานาลสแ์ ละมารก์ ซสิ ม์ แมว้ ่าในช่วงเวลาเดยี วกนั ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมในอติ าลี ไม่ได้มสี ถานะเป็นส่วนหน่ึงของวิชาการประวัติศาสตร์กระแสหลักดังเช่นในฝรงั่ เศส อังกฤษและ สหรฐั อเมรกิ า อยา่ งไรกด็ ี microstoria ยงั มสี ่วนสาํ คญั ในการวจิ ารณ์ประวตั ศิ าสตรส์ งั คม และชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความสําคญั และบทบาทของส่วนทเ่ี ป็นวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรส์ งั คมตามแนวทางทเ่ี อด็ เวริ ด์ ทอมป์ สนั ไดเ้ สนอเอาไว้ อกี ทงั้ ยงั ชใ้ี หเ้ หน็ ว่าคนชนั้ ล่างมสี ถานะเป็นตวั กระทําผ่านการศกึ ษาความคดิ ค่านิยม และพฤตกิ รรมซ่งึ มสี ่วนสําคญั ในการงดั ง้างกบั อํานาจข้างบน microstoria มบี ทบาทสําคญั ในการ วพิ ากษ์ประวตั ศิ าสตรแ์ บบสงั คมศาสตรท์ อ่ี งิ โครงสรา้ งและประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี องความก้าวหน้าในภาพ ใหญ่ของทงั้ สองสํานัก จากการนําอทิ ธพิ ลของวธิ กี ารและขอบเขตการศึกษาจากมานุษยวทิ ยาเขา้ มา microstoria มสี ่วนในการเสนอขอ้ ถกเถยี งว่าดว้ ยแนวทางด้านวธิ กี ารประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั แนวทางทค่ี ลฟิ ฟอรด์ เกยี รซ์ เสนอไว้ ซง่ึ นกั ประวตั ศิ ษสตรก์ ลุ่มน้ีกถ็ อื ว่าเกยี รซ์ เป็นหน่ึงใน อทิ ธพิ ลทส่ี าํ คญั โดยเฉพาะในดา้ นขอบเขตและสาระสาํ คญั ของการศกึ ษาหน่วยเลก็ microstoria นําโดยคารโ์ ล กนิ สเ์ บริ ก์ (Carlo Ginzburg) และจโี อวานนี ลวี ี (Giovanni Levi) ซง่ึ ทงั้ สองสนใจชาวชนบทอติ าลใี นช่วงต้นสมยั ใหม่ จโี อวานนี ลวี สี นใจเครอื ข่ายทางสงั คมและมติ ทิ างดา้ น เศรษฐกจิ ของชาวนาในชนบทของอติ าลี ส่วนงานของคารโ์ ล กนิ สเ์ บริ ก์ สนใจด้านวฒั นธรรมผ่านกรอบ การอธบิ ายเชงิ มานุษยวทิ ยา กนิ ส์เบริ ก์ มงี านทส่ี ําคญั ในด้านวธิ กี ารเชงิ มานุษยวทิ ยาได้แก่ The Night Battles156 ซง่ึ กนิ สเ์ บริ ก์ ศกึ ษาความเช่อื และลทั ธทิ อ้ งถนิ่ ในฟรอี ูลชี ่วงศตวรรษท่ี 16 และ 17 ของกลุ่มคน ท่ถี ูกเรยี กว่า benandanti ท่เี กดิ มาพรอ้ มถุงน้ําคร่ําปกคลุมศรี ษะเหมอื นผ้าคลุม เช่อื ว่าเป็นคนมพี ลงั พเิ ศษสามารถถอดจติ ออกจากร่างขณะหลบั ในช่วงเวลาพเิ ศษของปี เพ่ือมาต่อสู้กบั แม่มดร้ายท่ีมา คกุ คามความอุดมสมบรู ณ์ คนเหล่าน้ีถูกนําขน้ึ ศาลศาสนาจากขอ้ กล่าวหาว่าเป็นลทั ธนิ อกรตี และเป็นแม่ มดเน่อื งจากทางศาลศาสนาเหน็ ว่าเป็นการบชู าซาตาน นักประวตั ศิ าสตรศ์ าลศาสนามองว่าเป็นสง่ิ ทศ่ี าล 156 Carlo Ginzburg, The Night Battles: Witchcraft and Agrarian Cults in the Sixteenth and Seventeenth Centuries (Baltimore: Johns Hopkins University Press, 1983) ตพี มิ พค์ รงั้ แรกในภาอติ าลภี ายใตช้ อ่ื I benandanti, 1966. 82
DRAFTศาสนาสรา้ งขน้ึ เช่นเดยี วกบั การล่าแม่มด ไม่ได้มองว่าเป็นชุดความเช่อื หรอื ลทั ธพิ ธิ ี จากการศกึ ษา บันทึกศาลศาสนาและเปรียบเทียบกับความรู้เร่ืองผู้มีนิมิตและคติชนในแถบนัน้ กินส์เบิร์กช้ีว่า benandanti เช่ือมโยงกับลทั ธิโบราณท่ีหลงเหลือมาก่อนยุคคริสเตียน จากการค้นคว้าคติชนอย่าง กวา้ งขวางและการอ่านเอกสารศาลศาสนา ผ่านวธิ กี ารวเิ คราะหแ์ บบมานุษยวทิ ยา กนิ ส์เบริ ก์ แสดงให้ เหน็ ว่าคตแิ ละธรรมเนียมมกี ารไหลล่นื และสง่ ผ่านขา้ มพน้ื ทแ่ี ละกาลเวลาสงู กว่านักประวตั ศิ าสตรท์ ่านอ่นื คอ่ นขา้ งมาก ส่วนงานถือว่าเป็นท่ีรู้จกั มากท่ีสุดและท่ีสร้างข้อถกเถียงในเชิงวิธีการด้านประวัติศาสตร์ วฒั นธรรมท่สี าํ คญั คอื The Cheese and the Worms ของคารโ์ ล กนิ ส์เบริ ก์ ซง่ึ ตพี มิ พค์ รงั้ แรกในปี 1976157 งานชน้ิ น้ีเป็นงานเชงิ ชวี ประวตั ขิ องเจา้ ของโรงโม่ในหมบู่ า้ นมอนตรี ลี แควน้ ฟรอี ูลี ในศตวรรษท่ี 16 นามว่ามนี ็อกกโี อ (Menocchio) ซง่ึ ถูกนําขน้ึ ศาสนาสอบสวนในขอ้ หามคี วามเช่อื นอกรตี หลงั จากนัน้ 15 ปีถูกสอบสวนอกี ครงั้ และถูกตดั สนิ ใหเ้ ผาทงั้ เป็น เอกสารการสอบสวนมคี วามยาวกว่ากรณีปกติ หลายเท่าเน่อื งจากทางศาลตอ้ งการสบื หาตน้ ตอและผรู้ ว่ มลทั ธแิ ต่ไม่พบ ในคาํ ใหก้ ารมนี ็อกกโี อกล่าวถงึ แนวคดิ จกั รวาลวทิ ยาของตนทป่ี ระกอบดว้ ยการกําเนิดทตู สวรรคจ์ ากภาพของหม่หู นอนทค่ี ลานออกมา จากเนยแขง็ เก่าและหลกั ความเช่อื แปลกๆ โดยมนี ็อกกโี ออ้างว่าได้มาจากการอ่านหนังสอื หลายเล่ม โดยทวั่ ไปดูเหมอื นมาจากคนไม่ปกติทางจติ หรอื ไม่เป็นเหตุเป็นผลนัก จากบนั ทกึ การสอบสวนศาล ศาสนา กนิ ส์เบริ ก์ สบื สาวหาทม่ี าทางความคดิ จากหนังสอื ท่อี าจผ่านตาของมนี ็อกกโี อ รวมถงึ ทําความ เข้าใจการอ่าน การตคี วามและการผสมความคดิ ของมนี ็อกกโี อในลกั ษณะมานุษยวทิ ยาของการอ่าน ผูเ้ ขยี นเปิดใหเ้ หน็ ถงึ ความเป็นไปไดข้ องพลวตั ของวฒั นธรรมและความรใู้ นช่วงศตวรรษท่ี 16 ทไ่ี หลล่นื และมกี ารแลกเปลย่ี นในหลายระดบั ทงั้ จากวฒั นธรรมมขุ ปาฐะและวฒั นธรรมการเขยี น กินส์เบิร์กศึกษาการไหลเวียนและผสมกันระหว่างวฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาระดบั ล่างและ ระดับบน ระหว่างทัง้ ความเช่ือและคติชนพ้ืนบ้านกับชุดความคิดจากปรัชญาและการปฏิวัติทาง วทิ ยาศาสตร์ ระหว่างหลกั ขอ้ เช่อื ครสิ ต์ศาสนาและแนวคดิ ปรชั ญายุคคลาสสกิ ระหว่างวฒั นธรรมมุข ปาฐะและวฒั นธรรมการเขยี นอ่านจากการขยายตวั ของการพมิ พ์ในศตวรรษท่ี 16 ระหว่างวฒั นธรรม ชนบทและวฒั นธรรมเมอื ง ผ่านคําสอบสวนมนี ็อกกโี อในการอธบิ ายถงึ ความคดิ และหลกั ความเช่อื ของ 157 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller. ตพี มิ พค์ รงั้ แรกในภาอติ าลภี ายใต้ช่อื Il formaggio e I vermi, 1976. 83
DRAFTตน จากการอ่านและทาํ ความเขา้ ใจหนงั สอื หลายเลม่ ทอ่ี าจผ่านมอื หรอื ผ่านหูของมนี ็อกกโี อ157158 ผนวกกบั คตชิ นทอ้ งถนิ่ สภาวะสงั คมในแถบนัน้ และสถานภาพทางสงั คมของเจา้ ของโรงโมอ่ ยา่ งมนี ็อกกโี อ กนิ ส์ เบริ ก์ วเิ คราะหก์ ารก่อรปู ทางความคดิ ของมนี ็อกกโี อว่าชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ พลวตั ของความรใู้ นหลายระดบั ทก่ี วา้ ง กว่าท้องถนิ่ และมากกว่าวฒั นธรรมมุขปาฐะ กนิ สเ์ บริ ก์ ชว้ี ่าความคดิ จกั รวาลทศั น์พกิ ลเหล่านัน้ ไม่ไดม้ า จากความเพย้ี นของมนี ็อกกโี อ แต่เป็น “การเผชญิ หน้าระหวา่ งสง่ิ พมิ พก์ บั วฒั นธรรมมขุ ปาฐะทก่ี ่อใหเ้ ป็น ส่วนผสมอนั ตรายในหวั ของมนี ็อกกโี อ”158159 กนิ สเ์ บริ ก์ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเป็นไปไดว้ ่าพลวตั ทางวฒั นธรรม ในยคุ นนั้ มมี ากกว่าทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรต์ น้ สมยั ใหมเ่ คยมองว่าวฒั นธรรมมขุ ปาฐะและหนงั สอื แยกจากกนั นอกจากน้ียงั ชใ้ี หเ้ หน็ ว่าเจา้ ของโรงโม่ผู้ท่อี าจมที กั ษะการอ่านต่ําหรอื ระดบั พ้นื ฐานมากอย่างมี น็อกกโี อ ไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งผู้ “รบั ” ทางความคดิ แต่เป็นฝา่ ยกระทําการกล่าวคอื เป็นเหมอื น “ทก่ี รอง” ทาง ความคดิ ทงั้ ในแงก่ ารเลอื กสรร บดิ เบอื น ประสานและตคี วาม เน่อื งจากความเปลย่ี นแปลงทางความคดิ ท่ี เป็นผลจากการปฏริ ปู ศาสนาการคดิ คน้ แทน่ พมิ พ์ และมบี รรยากาศทางความคดิ ทเ่ี หน็ ถงึ ความเป็นไปได้ ของการทา้ ทายจารตี เดมิ มกี ารโต้แยง้ และทําให้ความคดิ และวฒั นธรรมท่ตี ่างออกไปเกดิ ขน้ึ ปะทุข้นึ และเผยแพร่ไดอ้ ย่างรวดเรว็ 159160 ทงั้ ยงั แสดงใหเ้ หน็ ว่าเน่ืองจากสภาพการเมอื ง สงั คมและความคดิ ใน อติ าลชี ่วงศตวรรษท่ี 16 เป็นพน้ื ทแ่ี ละช่วงเวลา ทค่ี วามคดิ และประสบการณ์ของคนธรรมดาสามารถก้าว กระโดดออกจากสงิ่ ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรม์ องวา่ เป็นกรอบหรอื ขอ้ จาํ กดั ของคนแต่ละยคุ กนิ สเ์ บริ ก์ วจิ ารณ์นกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมส่วนใหญ่ทย่ี งั คงยดึ กบั นิยามและแนวคดิ วฒั นธรรม ในลกั ษณะจาํ กดั กบั ชนชนั้ สูง และมองวฒั นธรรมชนชนั้ ล่างว่าเป็นผรู้ บั ความคดิ และค่านิยมจากดา้ นบน เป็นเหตุทม่ี องวฒั นธรรมชนชนั้ ล่างว่าเป็นความเส่อื มหรอื บดิ เบย้ี วจากกระบวนการส่งผ่าน หรอื มองว่า เป็นการรบั หรอื ถูกยดั เยยี ดเพ่อื การกดขท่ี างชนชนั้ แบบแนวคดิ มารก์ ซสิ ม์ นกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม อกี กลุ่มมองวฒั นธรรมชนชนั้ ล่างแบบโรแมนตกิ กล่าวคอื มองว่าเป็นการแสดงออกท่เี กดิ ขน้ึ เองมาจาก ภายในชุมชนและเป็นอสิ ระจากการกดขจ่ี ากภายนอก เป็นวฒั นธรรมประชาชนทแ่ี ทจ้ รงิ ซง่ึ ฝงั รากลกึ อยู่ 158 ตวั อย่างรายช่อื หนังสอื ท่กี นิ ส์เบริ ์กช้วี ่าอาจผ่านมาสู่ความคดิ ของมนี ็อกกโี อ เช่น ไบเบลิ ภาษาถ่ิน, Decameron ของโบคาชชโิ อ (Boccaccio) หนังสอื บนั ทกึ การเดนิ ทางของเซอร์ จอหน์ แมนเดอวลิ ล์ (Sir John Mandeville) ฉบบั ภาอติ าเลยี น, Divine Comedy ของ Dante, คมั ภรี ์อลั กุรอ่านฉบบั ภาษาอติ าลี รวมถงึ บทกวี วรรณกรรมครสิ ต์ศาสนา ขอ้ เขยี นเชงิ ปรชั ญา และหนังสอื ประมวลเหตุการณ์ นอกจากความแตกต่างทางทม่ี าและฐานความคดิ แลว้ ความหลากหลายของ genre ยงั เป็นประเดน็ สําคญั ทท่ี าํ ใหแ้ นวคดิ ของมนี ็อกกโี อมี ลกั ษณะประหลาดสงู 159 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, 24. 160 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, 28. 84
DRAFTในค่านิยมและความเช่อื รากฐานของชุมชนนนั้ ๆ กนิ สเ์ บริ ก์ มองวฒั นธรรมในแนวทางของแกรมซี ทเ่ี หน็ ว่าชนชนั้ ลา่ งทางสงั คมไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งฝา่ ยรบั ความคดิ และค่านิยมจากชนชนั้ สูงในการกดข่ี แต่เป็นฝ่ายท่ี มคี วามรเิ รมิ่ ทางความคดิ และวฒั นธรรมสามารถงดั งา้ งกบั อํานาจเบอ้ื งบน ทําใหเ้ หน็ ว่าในทางวฒั นธรรม นนั้ มคี วามสมั พนั ธท์ เ่ี ป็นทงั้ ฝา่ ยรบั และฝา่ ยให1้60161 การใชเ้ อกสารสอบสวนศาลศาสนาของกนิ สเ์ บริ ก์ มคี วามแตกต่างจากลี รวั ลาดรู ใี น Montaillou มาก โดยเฉพาะกรอบในการศกึ ษาวฒั นธรรม กินส์เบริ ก์ มองพลวตั และการส่งผ่านทางวฒั นธรรมและ ความคิดในหลายระดบั และมคี วามซบั ซ้อนสูง ขณะท่ลี ี รวั ลาดูรศี ึกษาค่านิยมและวฒั นธรรมท่อี าจ เรยี กว่าเป็นลกั ษณะพน้ื บา้ นของชาวนาในแถบนนั้ ในลกั ษณะค่อนขา้ งหยดุ นิ่งไม่ไดเ้ หน็ พลวตั อกี ทงั้ ยงั แตกต่างจากแนวคดิ outillage mental ของลุเชยี ง เฟบวรม์ าก ซง่ึ เฟบวรช์ ว้ี ่ามสี ถานะเป็นเหมอื นกรอบ หรอื คลงั เคร่อื งมอื ทางความคดิ ท่มี ใี นแต่ละยุค161162 แต่กินส์เบริ ์กช้ีให้เหน็ ว่าพลวตั ทางความคิดมกี าร สง่ ผา่ นทไ่ี หลล่นื มากจากหลายพน้ื ท่ี ต่างเวลาและปรมิ ณฑลทางความคดิ ทําใหก้ ารสถาปนาหรอื สํารวจ คลงั เครอ่ื งมอื ทางความคดิ เป็นไปไมไ่ ด้ อกี ทงั้ กนิ สเ์ บริ ก์ ยงั ยา้ํ ใหเ้ หน็ ว่าคนอยา่ งมนี ็อกกโี อไม่ไดเ้ ป็นเพยี ง ผทู้ อ่ี ย่ใู นกรอบจาํ กดั ของคลงั เคร่อื งมอื แต่เป็นผูก้ ระทําทางความคดิ มลี กั ษณะเฉพาะทางความคดิ และ การใช้ภาษาท่แี ตกต่างจากสามญั ชนและต่างจากผู้มกี ารศึกษา ความสนใจศึกษาชนชนั้ ล่างในฐานะ บุคคลทไ่ี ม่ไดม้ คี วามสําคญั บุคคลทอ่ี ยู่ในโลกใบเลก็ ซง่ึ สามารถชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะสาํ คญั ของลําดบั ชนั้ ของสงั คมในภาพใหญ่ได้ หากแต่ไม่ใช่ในลกั ษณะของตวั แทนหรอื ลกั ษณะร่วมของชาวชนบททวั่ ไป แต่ เป็นความพเิ ศษของการผลกั ขอ้ จาํ กดั กฎและกรอบทางดา้ นวฒั นธรรมและความคดิ หรอื เป็นตวั แทนใน แง่ทต่ี รงขา้ มหรอื ชายขอบ162163 แฟรงค์ แองเกอรส์ มทิ เปรยี บการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรล์ กั ษณะน้ีว่า แทนท่ี จะศกึ ษาลาํ ตน้ หรอื กงิ่ กา้ นสาขา แต่เป็นการศกึ ษาใบใมท้ ร่ี ว่ งหล่นจากตน้ โดยไมย่ ดึ ตดิ กบั แหล่งทม่ี าหรอื ตน้ ไม้ แต่สามารถนําไปสภู่ าพหรอื ระบบทใ่ี หญ่กวา่ นนั้ เปรยี บไดก้ บั ใบไมห้ รอื เจา้ ของโรงโม่ทช่ี ่วยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจระบบนิเวศน์หรอื แบบแผนของอารยธรรมตะวนั ตกในยคุ เปลย่ี นผ่านเน่ืองจากผลกระทบทาง สงั คมและวฒั นธรรมจากการปฏริ ูปศาสนาและความรู้จากการปฏวิ ตั ิวทิ ยาศาสตร์163164 เร่อื งราวและ ความคดิ ของคนอยา่ งมนี ็อกกโี อทเ่ี คยมสี ถานะเป็นเพยี ง “เกรด็ ” ทางประวตั ศิ าสตรจ์ งึ สามารถเปิดเผยให้ เห็นถงึ พลวตั ทางวฒั นธรรมในยุคนัน้ ได้เป็นอย่างดี หากแต่ไม่ใช่ในลกั ษณะของการแสดงให้เห็นถึง 161 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, xiv-xvi. 162 ดหู น้า 46 163 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, xx-xxi. 164 Ankersmit, \"Historiography and Postmodernism,\" 177. 85
DRAFToutillage mental ของยุคสมยั หรอื เป็นตวั แทนความเป็นไปของยุคสมยั แต่เป็นการนําเสนอพลวตั ทาง ความคดิ และวฒั นธรรมในสมยั นนั้ ผ่านหน่วยเลก็ ๆ ซง่ึ กค็ อื ผา่ นความคดิ ของเจา้ ของโรงโมค่ นหน่ึง164165 microstoria จงึ ไม่ใช่เป็นเพยี งการเปลย่ี นขอบเขตทางด้านเวลาและพน้ื ทใ่ี หม้ ขี นาดเลก็ ลงหรอื เป็นการเปล่ียนระยะโฟกัสหรอื กําลงั ขยายของแว่นขยาย หากแต่เป็นการเปล่ียนแปลงเน้ือหาหรือ สาระสําคัญของการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ด้วย ต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมเชิง มานุษยวทิ ยาของนักประวตั ิศาสตรฝ์ รงั่ เศสท่สี นใจทําความเขา้ ใจลกั ษณะร่วมทวั่ ไป เช่นทําความเข้า ใจความเป็น “ชาวนา” ในสมยั กลาง นักประวตั ศิ าสตรช์ าวอติ าลสี นใจการผูกโยงและความเกย่ี วขอ้ งของ หน่วยเฉพาะทเ่ี จาะจง โดยเฉพาะบุคคลอยา่ ง “เจา้ ของโรงโมช่ อ่ื มนี ็อกกโี อ” 166 การลดขนาดของขอบเขต หรอื เพมิ่ กําลงั ขยายในการศกึ ษา สาระสาํ คญั จงึ ไมไ่ ด้อย่ทู ข่ี นาดของพน้ื ทห่ี รอื หน่วยการศกึ ษา แต่อยู่ท่ี กรอบวธิ แี ละการวเิ คราะหซ์ ่งึ ไม่ได้จํากดั อยู่กบั หน่วยขนาดเล็ก กล่าวคอื ใช้หน่วยเล็กเพ่อื ตงั้ คําถามท่ี ใหญ่กว่าพ้ืนท่นี ัน้ ๆ ตามท่ีเกียร์ซเคยกล่าวไว้ว่า “…ไม่ได้ศึกษาหมู่บ้าน หากแต่เป็นการศึกษาใน หมบู่ า้ น” นกั ประวตั ศิ าสตรส์ นใจหน่วยเลก็ เพ่อื ตงั้ คาํ ถามต่อสภาวะของมนุษยใ์ นภาพกวา้ ง166167 แม้ว่า microstoria จะมีรากฐานทางด้านวิธีการมาจากมานุษยวิทยาท่ีสนใจหน่วยหรือ ปรากฏการณ์ทม่ี ขี นาดเลก็ ในทศิ ทางเดยี วกบั คลฟิ ฟอรด์ เกยี รซ์ และงานอยา่ ง “Workers Revolt: the Great Cat Massacre of the Rue Saint-Séverin” ของโรเบริ ด์ ดารน์ ตนั ซง่ึ บ่อยครงั้ ถูกเรยี กรวมกนั ภายใชช้ ่อื microhistory ภายใตค้ วามคลา้ ยในหลายๆดา้ น จโี อวานนี ลวี ชี ใ้ี หเ้ หน็ ว่าขอ้ แตกต่างสาํ คญั กล่าวคอื การศกึ ษาแบบ “thick description” ซ่งึ สนใจการส่อื สารและการแสดงออกทางสงั คม ผ่าน สารบบทางสญั ญะและการตีความซ่งึ มอี ยู่ในพ้ืนท่สี ่วนกลาง เพ่อื เข้าถึงในโลกของผู้ท่อี ยู่ในอดีตใน เหตุการณ์นัน้ ๆ นักมานุษยวทิ ยาต้องตคี วามเพ่อื ทําความเขา้ ในสารบบทางสญั ญะนัน้ ๆ เกยี รซ์ และ มานุษยวทิ ยาทางการตคี วามมองว่ามสี ญั ญะอยใู่ นสว่ นกลางหรอื เป็นสาธารณะทอ่ี ย่ใู นพน้ื ทแ่ี ละช่วงเวลา นัน้ ท่รี อการตคี วามของผู้เขา้ ร่วม โดยสญั ญะจํานวนมากดงั กล่าวมอี ยู่ในสารบบเดยี วกนั แต่นัก ประวตั ศิ าสตร์ microstoria ไมไ่ ดม้ องว่าเป็นสารบบ โดยมองว่าภาพแทนทางสงั คมมคี วามหลากหลาย 165 Ankersmit, \"Historical Representation,\" 122-123. 166 Jacques Revel, \"Microanalysis and the Construction of the Social,\" in Histories : French Constructions of the Past, ed. Jacques Revel, Lynn Avery Hunt, and Arthur Goldhammer(New York: New Press, 1998), 495-496. ตพี มิ พ์ครงั้ แรกเป็นภาษา ฝรงั ่ เศส Jacques Revel, \"Micro-analyse et construction du social\" in Revel (ed.), La construction du social (Paris: Gallimard, 1996). 167 Levi, \"On Microhistory,\" 95-96. อา้ งองิ จาก Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 22. 86
DRAFTและขน้ึ กบั หน่วยทางสงั คมทห่ี ลากหลาย ระดบั ชนั้ ทางสงั คมทแ่ี ยกจากกนั สภาวะทางสงั คมทแ่ี ปรเปลย่ี น และปจั เจกทม่ี คี วามแตกต่างกนั ออกไป microstoria จงึ ให้ความสําคญั กบั การทําความเขา้ ใจความ แตกต่างทางวฒั นธรรมทม่ี อี ยภู่ ายในปจั เจก กลุ่มคนและสงั คมจากต่างพน้ื ทแ่ี ละต่างช่วงเวลา167168 ขณะท่ี เกยี รซ์ และดารน์ ตนั มองว่าสาระสาํ คญั ของวฒั นธรรมคอื ความสามารถทางความคดิ ในการตคี วามสญั ญะ ของมนุษย์ ทําให้แนวคดิ “thick description” มแี นวโน้มทจ่ี ะมองขา้ มปจั จยั ซ่งึ เป็นสาเหตุ กลไกหรอื ปจั จัยท่ีมาจากความแตกต่างหลากหลายทางสังคม โดยผนวกสิ่งเหล่าน้ีเข้าเป็นส่วนหน่ึงของ กระบวนการสร้างความหมายหรอื การตีความ ซ่ึง microstoria ให้ความสําคญั กับความแตกต่าง หลากหลายเหล่าน้ี ซง่ึ เป็นผลใหง้ านอย่าง The Cheese and the Worms ใหค้ วามสําคญั กบั ปฏสิ มั พนั ธ์ ของวฒั นธรรมในหลายระดบั ทงั้ วฒั นธรรมมุขปาฐะและวฒั นธรรมการเขยี นและหนังสอื คตชิ นพ้นื บา้ น และปรชั ญารว่ มสมยั วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ และรากฐานอารยธรรมตะวนั ตก อกี ทงั้ มองเหน็ พลวตั และความ ขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏริ ปู ศาสนา ประวตั ิศาสตรช์ ีวิตประจาํ วนั (Alltagsgeschichte) ในเยอรมนปี ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเคยถูกคุมกําเนิดในวงวชิ าการตงั้ แต่ช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 เป็นตน้ มา ทาํ ใหส้ ่วนใหญ่ของศตวรรษท่ี 20 ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งคงความเป็นเสาหลกั และถูกทา้ ทาย จากประวตั ศิ าสตรส์ งั คมน้อยมากต่างจากฝรงั่ เศสอย่างส้นิ เชงิ อกี ประการหน่ึงประวตั ศิ าสตรเ์ ยอรมนั ศตรรษท่ี 20 เตม็ ไปดว้ ยความผกผนั ทางการเมอื งทท่ี าํ ความเขา้ ใจไดผ้ ่านสงคราม เหตุการณ์การเมอื ง และผู้นําทางการเมอื ง อทิ ธพิ ลของประวตั ศิ าสตรแ์ บบฝรงั่ เศสจงึ ไม่ได้แพร่หลายนัก จนกระทงั่ ราว ทศวรรษท่ี 1970 ท่ี Alltagsgeschichte (history of everyday life) หรอื “ประวตั ศิ าสตรช์ วี ติ ประจาํ วนั ” เขา้ มาในวงวชิ าการกระแสหลกั ภายใต้การนําของอฟั ลุดทเ์ ก (Alf Ludtke) และฮานส์ เมดคิ (Hans Medick) นักประวตั ศิ าสตรก์ ลุ่ม Alltagsgeschichte มพี น้ื เพมาจากความสนใจประวตั ศิ าสตรข์ บวนการ แรงงาน โดยนกั ประวตั ศิ าสตรก์ ลุม่ น้ีสนใจช่วงเวลาศตวรรษท่ี 19 และ 20 ซง่ึ เยอรมนีเขา้ สู่การผลติ แบบ อุตสาหกรรมและระบบราชการสมยั ใหม่ รวมถงึ ภาวะสงครามและภายใต้การปกครองของนาซี โดยให้ ความสําคญั กบั ประสบการณ์ชวี ติ ประจําวนั ของคนธรรมดาโดยเฉพาะชนชนั้ แรงงานในสภาวะความ เปลย่ี นแปลงดงั กล่าว168169 อทิ ธพิ ลส่วนหน่ึงมาจากความสนใจวฒั นธรรมจากประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มใ์ น 168 Levi, \"On Microhistory,\" 103-104. 169 David F. Crew, \"Alltagsgeschichte: A New Social History \"from Below\"?,\" Central European History 22, no. 3/4 (1989): 396. 87
DRAFTองั กฤษโดยเฉพาะงานของเอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั รวมถงึ กระแส “ซา้ ยใหม่” (New Left) ในขณะนนั้ อกี ส่วน หน่ึงมาจากมานุษยวทิ ยาวฒั นธรรมทงั้ จากสหรฐั อเมรกิ าโดยเฉพาะคลฟิ ฟอรด์ เกยี รซ์ และจากปิแอร์ บูร์ ดเิ ยอในฝรงั ่ เศส169170 ในชว่ งทศวรรษท่ี 1960 และ 1970 การศกึ ษาดา้ นประวตั ศิ าสตรใ์ นช่วงนนั้ ถูกชน้ี ําโดยสาํ นักบเี ล เฟลด์ (Bielefeld school) ซง่ึ ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ งั คม (Gesellschaftsgeschichte) ทเ่ี น้นการศกึ ษาเชงิ ปรมิ าณ สนใจโครงสร้างโดยรบั อิทธพิ ลจากกรอบทฤษฎีสมยั ใหม่ภวิ ตั น์ (modernization theory) Alltagsgeschichte จึงเป็นส่วนนหน่ึงของกระแสท้าทายสํานักบีเลเฟลด์ พร้อมทัง้ การท้าทาย modernization theory ในทางสงั คมศาสตรข์ ณะนัน้ โดยส่วนหน่ึงแลว้ การศกึ ษาแบบมานุษยวทิ ยาทํา หน้าทส่ี ําคญั ในการทา้ ทายทงั้ การยดึ กบั ทฤษฎสี มยั ใหม่ภวิ ตั น์ การละเลยมติ ทิ างวฒั นธรรมและการทํา ความ “เขา้ ใจ” ประสบการณ์ในแบบมานุษยวทิ ยาหรอื Verstehen แมว้ ่า Alltagsgeschichte จะเป็น ป ร ะ วัติศ า ส ต ร์ท่ีไ ม่ ไ ด้ถ ก เ ถีย ง ท า ง ท ฤ ษ ฎีห รือ นํ า ท ฤ ษ ฎีม า ใ ช้ดัง เ ช่ น สัง ค ม วิท ย า ป ร ะ วัติศ า ส ต ร์ ลกั ษณะเฉพาะสําคญั ของ Alltagsgeschichte ท่เี ป็นผลมาจากนักประวตั ศิ าสตร์ทศ่ี กึ ษาเยอรมนีใน ศตวรรษท่ี 19 และ 20 แต่เป็นการวพิ ากษ์แนวคดิ ทฤษฎวี ่าดว้ ยความกา้ วหน้าและความเป็นสมยั ใหม่ อย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีเยอรมนีภายใต้การปกครองของนาซแี ละความรุนแรงท่เี ก่ียวข้อง โดย มองเหน็ ภาพความกํากวมและซบั ซอ้ นซง่ึ เป็นกระแสวจิ ารณ์ความเป็นสมยั ใหมจ่ ากแนวคดิ หลงั สมยั ใหม่ และรบั มรดกทางความคดิ มาจากสํานกั แฟรงคเ์ ฟิรต์ 170171 ลกั ษณะสาํ คญั ของ Alltagsgeschichte ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ล จากญาณวทิ ยาแบบมานุษยวิทยาในช่วงนัน้ คอื การให้ความสําคญั กบั ประสบการณ์และความหมาย ในทางอตั วสิ ยั โดยชใ้ี หเ้ หน็ ว่าดา้ นวฒั นธรรมอยเู่ หนอื การแบง่ แยกขวั้ ตรงขา้ มระหวา่ งปจั จยั วตั ถุวสิ ยั ของ กายภาพ โครงสรา้ งและสถาบนั จากอตั วสิ ยั สญั ญะ วฒั นธรรมและอารมณ์171172 แม้ Alltagsgeschichte จะสนใจการใชช้ วี ติ ประจาํ วนั ซ่งึ คลา้ ยคลงึ กบั โบรเดลและ histoire des mentalité ในฝรงั่ เศส ขณะท่ี histoire des mentalité ศกึ ษาระบบหรอื โครงสรา้ งของค่านิยมและความเช่อื Alltagsgeschichte มอง ความเป็นชวี ติ ประจาํ วนั ผ่านมติ ทิ างด้านประสบการณ์ผ่านการแสดงออกและการสรา้ งภาพแทนในมติ ิ 170 Geoff Eley, \"Labor History, Social History, \"Alltagsgeschichte\": Experience, Culture, and the Politics of the Everyday--a New Direction for German Social History?,\" The Journal of Modern History 61, no. 2 (1989): 316. 171 Crew, \"Alltagsgeschichte: A New Social History \"from Below\"?,\" 404. 172 Eley, \"Labor History, Social History, \"Alltagsgeschichte\": Experience, Culture, and the Politics of the Everyday--a New Direction for German Social History?,\" 317. 88
DRAFTทางวฒั นธรรม ซ่งึ เป็น “การเล่นหรอื ล้อกนั ระหว่างแรงขบั ดนั จากตัวตนและผู้อ่ืนซ่งึ ดําเนินไปอย่าง ต่อเน่ือง” ทาํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรช์ วี ติ ประจาํ วนั ไม่ไดเ้ ป็นเรอ่ื งของการทํางานของกจิ วตั รอตั โนมตั ซิ ง่ึ เป็นผล จากวฒั นธรรมทเ่ี ป็นกรอบบบี รดั ซง่ึ เป็นการมองวฒั นธรรมแบบวตั ถุวสิ ยั แต่เป็นการมองชวี ติ ประจาํ วนั วา่ เป็น “บรบิ ททม่ี ขี น้ึ ในทางวฒั นธรรมสาํ หรบั การกระทาํ และการตคี วาม ‘ความเป็นจรงิ ของชวี ติ ’ ในอดตี ซง่ึ เจาะจงกบั ลาํ ดบั ชนั้ ทางสงั คมอนั ใดอนั หน่ึง”172173 สง่ิ ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรช์ วี ติ ประจาํ วนั ใหค้ วามสนใจ จงึ ไมใ่ ช่ชุดความรสู้ กึ นึกคดิ คงทซ่ี ง่ึ อธบิ ายถงึ สงั คมช่วงนัน้ ไดด้ งั เช่น mentalité แต่เป็นความเปลย่ี นผนั ทาง ประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี พี ลวตั และเตม็ ไปดว้ ยความขดั แยง้ ซง่ึ ส่งผลต่อการทช่ี วี ติ ประจาํ วนั ถูกสรา้ งขน้ึ และไดร้ บั การผลติ ซ้ํา โดยเฉพาะประสบการณ์ความเป็นสมยั ใหม่ทงั้ การเตบิ โตของระบอบทุนนิยม การผลติ ใน ระบบอุตสาหกรรม ระบบแรงงานสมยั ใหม่ การสร้างระบบราชการ รฐั รวมศูนย์ รวมถงึ ชวี ติ ในช่วง สงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตภายใต้การปกครองของนาซี โดยศึกษาประสบการณ์ใน ชวี ติ ประจาํ วนั ในสภาวะเปลย่ี นผ่านดงั กล่าว อกี ทงั้ ใหน้ ้ําหนกั ต่อสภาวะการเป็นผูก้ ระทาํ ของมนุษยต์ าม เอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั ซง่ึ เป็นอทิ ธพิ ลสาํ คญั 173174 โดยแนวทางดงั กล่าวสอดคลอ้ งกบั เกยี รซ์ ซง่ึ นกั ประวตั ศิ าสตรช์ าวเยอรมนั กลุ่มน้ีไดร้ บั อทิ ธพิ ล อยู่ ลักษณะสําคัญอีกประการท่ีแตกต่างจากสํานักอเมริกันคือ การให้ความสนใจกับมิติของ ชวี ติ ประจาํ วนั อนั เป็นผลจากความเป็นสมยั ใหม่ ขณะทน่ี ักประวตั ศิ าสตรอ์ เมรกิ นั ทเ่ี ป็นหวั หอกในดา้ นวธิ ี การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบมานุษยวทิ ยาเป็นนกั ประวตั ศิ าสตรต์ ้นสมยั ใหมใ่ นช่วงศตวรรษท่ี 16 ถงึ ศตวรรษท่ี 18 แต่เน่ืองจากนักประวตั ศิ าสตรเ์ ยอรมนั กลุ่มน้ีส่วนใหญ่สนใจการเขา้ สู่สมยั ใหมข่ อง เยอรมนีในช่วงศตวรรษท่ี 19 และ 20 ดงั ทก่ี ล่าวมา จงึ อาจพอสรปุ ไดว้ ่า Alltagsgeschichte เป็นการ วิพ า ก ษ์ ท ฤ ษ ฏีก า ร เ ข้า สู่ ค ว า ม เ ป็ น ส ม ัย ใ ห ม่ ผ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ป ล่ีย น แ ป ล ง ท า ง สัง ค ม ไ ป สู่ ค ว า ม สมเหตุสมผล (rationalization) ผา่ นการศกึ ษาแงม่ มุ ทางดา้ นวฒั นธรรมทําใหเ้ หน็ ถงึ แง่มุมทก่ี รอบทฤษฎี การเขา้ ส่คู วามเป็นสมยั ใหมไ่ มอ่ าจมองเหน็ 173 Hans Medick, \"\"Missionaries in the Row Boat\"? Ethnological Ways of Knowing as a Challenge to Social History,\" in The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, ed. Alf Lüdtke(Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995), 54. (ตพี มิ พค์ รงั้ แรกใน Comparative Studies in Society and History Vol. 29, No. 1 (Jan., 1987), pp. 76-98) 174 Alf Lüdtke, \"Introduction: What Is the History of Everyday Life and Who Are Its Practitioners?,\" in The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, ed. Alf Lüdtke(Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995), 5-6. 89
DRAFT สรปุ : แนวคิดสาํ คญั ในประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม หากมองประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมท่เี รม่ิ เป็นรปู เป็นร่างขน้ึ มาในสมยั เรอเนสซองสม์ าถงึ ปจั จุบนั อาจมองหาความเป็นแบบแผนพฒั นาการสู่ความเป็นเหตุเป็นผลหรอื การเดนิ ทางสู่การเป็นสาขาวชิ าทม่ี ี ระบบไม่พบ เน่ืองจากประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมไม่เคยมสี ถานะเป็นศาสตรห์ รอื สาขาวชิ า อกี ทงั้ ไม่เคย เป็นสาขายอ่ ยภายใตส้ าขาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ เน่ืองจากมลี กั ษณะของความสนใจขา้ มสาขาวชิ า แมว้ ่าใน ศตวรรษท่ี 20 สาขาต่างๆ ทางมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตรม์ พี น้ื ทใ่ี นมหาวทิ ยาลยั ประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมกอ็ ยทู่ ช่ี ายขอบของความเป็นสถาบนั ไมเ่ คยมสี ถานะภาพเป็น “สาํ นัก” อกี ทงั้ มผี ูศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ทอ่ี ย่นู อกวงวชิ าการมาอย่างต่อเน่ือง อาจกล่าวได้ว่าประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมไม่เคยถูกสถาปนาขน้ึ เป็น สาขาวชิ าหรอื เป็นสํานัก ต่างจากสาขาย่อยอ่ืน เช่น ประวตั ิศาสตรค์ วามคดิ ประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกิจ ประวตั ิศาสตร์สงั คม ประวตั ศิ าสตร์วิทยาศาสตร์ ฯลฯ มกี ารเหล่อื มซ้อนกบั สาขาอ่ืนๆ มาโดยตลอด ตงั้ แต่ภาษาและวรรณคดี ปรชั ญา ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ มานุษยวทิ ยาและวฒั นธรรมศกึ ษาตามลําดบั อกี ทงั้ ยงั ขน้ึ อยกู่ บั ความสนใจและความเชย่ี วชาญของผูเ้ ขยี นแต่ละท่าน จงึ ขาดเอกภาพทางความสนใจและ วิธีการ อีกทงั้ แฝงไว้ด้วยทศั คติท่ตี ่างกนั ไป โดยความสนใจประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมอยู่ในกลุ่มนัก ประวตั ศิ าสตรอ์ นุรกั ษ์นิยมไม่น้อยไปกว่าฝ่ายก้าวหน้า ต่างจากประวตั ศิ าสตรส์ งั คมซง่ึ มแี นวโน้มความ สนใจและผศู้ กึ ษาทเ่ี อนเอยี งไปทางการเมอื งฟากซา้ ยหรอื ก้าวหน้าอย่างเหน็ ไดช้ ดั ตงั้ แต่ยคุ แสงสว่างมา จนถงึ สาํ นกั อานาลส์ ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมของนักมนุษยนิยมยุคเรอเนสซองส์แสดงให้เหน็ ว่า การสงครามและ การเมอื งไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเปลย่ี นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์ โดยนกั ประวตั ศิ าสตรส์ ่วน หน่งึ รบั เอาวธิ คี ดิ เรอ่ื งการแบ่งยคุ และประเมนิ คณุ คา่ ทร่ี บั มาจากครสิ ตศ์ าสนา ต่อมานกั มนุษยนิยมยุคเรอ เนสซองส์มสี ่วนทําใหเ้ น้ือหาสาระและกรอบการวเิ คราะหไ์ ปในทศิ ทางฆราวาสมากขน้ึ ซ่งึ การแบ่งและ อธบิ ายลกั ษณะเฉพาะของแต่ละยุคในทางความคดิ และวฒั นธรรมเป็นส่วนสําคญั ของการเกดิ ขน้ึ ของ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ทก่ี ล่าวมาน้ีแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ตวั อยา่ งว่าประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเตม็ ไปดว้ ยการ หยบิ ยมื และความยอ้ นแยง้ ทางด้านค่านิยมและอุดมการณ์ อกี ทงั้ ในสมยั ปฏริ ูปศาสนาประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมกท็ ําหน้าท่ที างการเมอื งท่แี ต่ละฝ่ายจะมอบหมายให้ สนใจทงั้ วรรณกรรม หลกั ศาสนาและ วทิ ยาศาสตร์ จากทก่ี ล่าวมาเป็นเหตุสาํ คญั ทท่ี ําใหป้ ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมไมเ่ คยสถาปนาระเบยี บแบบ แผนหรือหลักในด้านระเบียบวิธีและวางกรอบของสิ่งท่ีศึกษา ว่าสิ่งใดเป็นหรือไม่เป็นพ้ืนท่ีของ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ซง่ึ เป็นทงั้ จดุ แขง็ และจดุ อ่อนของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม 90
DRAFT จากทเ่ี หน็ ไดว้ ่าพน้ื เพของนักประวตั ศิ าสตรแ์ ละความหลายทางดา้ นอุดมการณ์ มสี ่วนสําคญั ใน การกาํ หนดสง่ิ ทศ่ี กึ ษาและกรอบวธิ กี าร หากลงไปอภปิ รายเรอ่ื งระเบยี บวธิ แี ละกรอบการศกึ ษายง่ิ เหน็ ได้ ถงึ ความซบั ซ้อน ความไม่มรี ะบบของวธิ กี ารศึกษา ขอบเขตและกรอบทฤษฎที ่ชี ดั เจนเป็นหน่ึงในคํา วจิ ารณ์ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมหลายท่านถูกวจิ ารณ์ อกี ทงั้ คําว่า “culture” เป็นคาํ ทม่ี คี วามหมาย หลากหลาย ซบั ซอ้ นและเป็นทม่ี าของความขดั แยง้ มากทส่ี ดุ คาํ หน่ึง เมอ่ื นกั ประวตั ศิ าสตรน์ ิยามสง่ิ ทเ่ี ป็น วฒั นธรรมไมต่ รงกนั ทาํ ใหผ้ ทู้ ศ่ี กึ ษาประตมิ ากรรมในยุคเรอเนสซองส์ กบั ผทู้ ศ่ี กึ ษาความคดิ เพย้ี นๆของ ชาวนาคนหน่ึงเป็นสาขาวชิ าการเดยี วกนั และแลกเปลย่ี นทางดา้ นระเบยี บวธิ กี นั ไดจ้ งึ เป็นปญั หา อยา่ งไร กด็ แี มว้ ่าจะไม่อาจสรุปให้เหน็ ว่าเป็นพฒั นาการ และการอภปิ รายเปรยี บเทยี บนิยามและกรอบในการ อธบิ าย “วฒั นธรรม” ของนกั ประวตั ศิ าสตรแ์ ต่ละกลุ่มแต่ละคนจงึ เป็นเรอ่ื งไม่งา่ ยนัก แมใ้ นงานชน้ิ เดยี วก็ ยงั อธบิ ายถงึ วฒั นธรรมทค่ี ่อนขา้ งไมเ่ ป็นระบบ ภายใตค้ วามหลากหลาย ขดั แยง้ และการขาดซง่ึ ลกั ษณะรว่ ม เราอาจกล่าวถงึ ประเดน็ สําคญั บาง ประเดน็ ทท่ี าํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมลี กั ษณะพน้ื ฐานแตกต่างจากขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรร์ ปู แบบ อ่นื เป็นขอ้ ถกเถยี งสาํ คญั ทม่ี มี าอยา่ งต่อเน่อื งในประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม แนวคิดเร่ืองยคุ เน่ืองจากความสนใจค้นควา้ ผลผลติ ทางวฒั นธรรมในมติ ทิ างประวตั ศิ าสตร์ ไดพ้ ฒั นาขน้ึ บนแนวคดิ เรอ่ื งยคุ และการเปลย่ี นผา่ นทางอารยธรรมจากยคุ เรอเนสซองส์ ทม่ี องว่าสมยั ของตนมลี กั ษณะในทางภมู ิ ปญั ญาและทศั นคตหิ ลายอยา่ งทแ่ี ตกต่างจากสมยั กลางหรอื “ยคุ มดื ” กลา่ วคอื ยงั คงยดึ โยงอยกู่ บั การแบ่ง ยคุ สมยั ทว่ี างอยบู่ นความเชอ่ื ว่าวฒั นธรรมมกี ารเส่อื มและการฟ้ืนขน้ึ ใหม่ โดยยงั มคี วามคดิ ว่ามยี ุคสมยั ท่ี มคี ุณค่ามากกว่าอีกยุคสมยั หน่ึง เน่ืองจากประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมยุคเรอเนสซองส์มาจากการสรา้ ง บรรทดั ฐานการวจิ ารณ์ ประเมนิ คณุ คา่ และค่านิยมของผลงานหรอื ผลผลติ ทางวฒั นธรรมแบบมนุษยนิยม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การยกย่องขอ้ เขยี น ภาษาหรอื ศลิ ปะจากศลิ ปินหรอื สํานกั ใดสํานกั หน่ึงเป็นแม่แบบท่ี ควรลอกเลยี น นํามาเป็นแนวทางหรอื นํามาต่อยอด ขณะทง่ี านบางชน้ิ ทเ่ี ป็นความเส่อื มลงทางความคดิ และปญั ญาโดยเฉพาะเม่อื มองผลงานหลายช้นิ จากสมยั กลาง อีกทงั้ ยงั มกี ารให้คุณค่าในแบบฆราวาส นิยม ส่วนนักประวัติศาสตร์ยุคแสงสว่างเร่ิมมองความเปล่ียนผ่านทางวัฒนธรรมในลักษณะของ ความก้าวหน้า อย่างไรกด็ แี นวคดิ เร่อื งลกั ษณะเฉพาะของยุคในทางวฒั นธรรมยงั คงมอี ยู่ หากแต่ว่าเรม่ิ มองวฒั นธรรมในแง่ทเ่ี ป็นส่วนหน่ึงของกลไกขนาดใหญ่ อกี ทงั้ ผูกกบั แนวคดิ ว่าด้วยรูปแบบทางสงั คม 91
DRAFTและความสมั พนั ธใ์ นมติ ติ ่างๆ ซง่ึ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะเฉพาะของแต่ละยุคในหลายดา้ น โดยเฉพาะในทาง วฒั นธรรมผ่านสงิ่ ทเ่ี รยี กว่าแบบแผนทางความคดิ (mode of thought) หรอื “คต”ิ (fable ในภาษา ฝรงั่ เศสหรอื myth ในภาษาองั กฤษ) ทเ่ี ก่ยี วเน่ืองกบั ความเช่อื และศาสนาผ่านแงม่ มุ ทางจติ วทิ ยา โดย สนใจอธบิ ายตรรกะทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหลงั วฒั นธรรม โดยงานทอ่ี ธบิ ายถงึ การแบ่งยคุ ในทางวฒั นธรรมทโ่ี ดดเด่น และเป็นระบบท่สี ุดปรากฏในช่วงต้นยุคแสงสว่างในขอ้ เขยี นของวโิ กซง่ึ ทําความเขา้ ใจมติ ดิ งั กล่าวผ่าน รปู แบบภาษาและโวหารโดยใชว้ ลี “ตรรกะทางกว”ี ต่อมา esprit เป็นคําทก่ี ลายมามคี วามสําคญั ในการ นยิ ามลกั ษณะทางวฒั นธรรมของยคุ ในหมนู่ กั ประวตั ศิ าสตรแ์ ละนกั เขยี นชาวฝรงั่ เศสในศตวรรษท่ี 18 ซง่ึ มแี นวคดิ เรอ่ื งความแตกต่างทางวฒั นธรรมทเ่ี ปิดกวา้ งกว่ายคุ เรอเนสซองสอ์ ย่างเหน็ ไดช้ ดั โดยเฉพาะต่อ วฒั นธรรมสมยั กลาง มองว่าเป็นธรรมชาตแิ ละความเหมาะสมตามรปู แบบสถาบนั สงั คมในแต่ละยคุ แนวคดิ ว่าแต่ละยุคมลี กั ษณะเฉพาะทางด้านวฒั นธรรมมอี ยู่อย่างชดั เจนมากในประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ ซง่ึ เป็นผลมาจากแนวคดิ เรอ่ื งยคุ เรอเนสซองสซ์ ง่ึ เชอ่ื มโยงกบั มรดกทางวฒั นธรรมจากยุคคลาสสกิ ทศั นะ น้ีเป็นหมุดหมายสําคญั ของสาขาประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ การมองว่าแต่ละยุคมลี กั ษณะเฉพาะลกั ษณะน้ีมี อทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอย่างต่อเน่ืองมาถงึ เบริ ค์ ฮารด์ และฮุยซงิ กา อย่างไรก็ดี แนวคดิ ดงั กล่าวถกู ทา้ ทายโดย Kulturgeschichte ในเยอรมนี ทม่ี องว่าลกั ษณะเฉพาะหรอื อตั ลกั ษณ์ทาง วฒั นธรรมอยู่ท่ชี นชาตหิ รอื พ้นื ท่ที างภูมศิ าสตรม์ ากกว่าช่วงเวลา การทา้ ทายน้ีมนี ัยสําคญั อีกประการ หน่งึ คอื การลดทอนความสาํ คญั ของอารยธรรมยคุ คลาสสกิ ว่าเป็นมรดกร่วมของโลกตะวนั ตก อย่างไรกด็ ี ทงั้ Kulturgeschichte และประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมคลาสสกิ อย่างเบริ ค์ ฮารด์ และฮุยซงิ กายงั มลี กั ษณะ สาํ คญั ร่วมกนั กล่าวคอื ยงั คงยดึ กบั แนวคดิ ว่าดว้ ย Zeitgeist และ Volksgeist ซง่ึ เน้นใหเ้ หน็ ถงึ เอกภาพ ทางวฒั นธรรมของยุคหรอื ของชนชาติ ซ่งึ ส่วนหน่ึงสบื มาถงึ ประวตั ิศาสตรส์ งั คมอย่างสํานักอานาลส์ ภายใตก้ ารนําของโบรเดลและแนวคดิ mentalité ทม่ี องวฒั นธรรมในภาพทค่ี ่อนขา้ งมเี อกภาพและเน้นถงึ ลกั ษณะร่วม แนวคดิ ว่าแต่ละยุคสมยั มลี กั ษณะรว่ มและมเี อกภาพถูกทา้ ทายจากแนวคดิ ทางวฒั นธรรม สาํ นกั มารก์ ซสิ ม์ ซง่ึ อธบิ ายความแตกต่างทางวฒั นธรรมภายในสงั คมทซ่ี บั ซอ้ น เหน็ ถงึ ความขดั แยง้ และ มพี ลวตั มากขน้ึ ต่อมาประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ มานุษยวทิ ยาทศ่ี กึ ษาชนชนั้ ล่างในสงั คมมองว่ามธี รรมเนียมและ คา่ นยิ มซง่ึ ดาํ รงอยตู่ ่อเน่ืองสามารถดาํ รงอยผู่ ่านความเปลย่ี นแปลงทางดา้ นระบบการเมอื ง เศรษฐกจิ และ สงั คม ผ่านการปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรมหรอื การปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส ซ่งึ การลดทอนลกั ษณะเฉพาะของยุคเหน็ ได้ ชดั ในหม่นู กั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงปลายศตวรรษท่ี 20 ท่เี หน็ ว่าลกั ษณะเฉพาะทางวฒั นธรรม นนั้ ไมไ่ ดห้ ยดุ นงิ่ เป็นแบบแผนของแต่ละยคุ สมยั แต่มพี ลวตั อยา่ งต่อเน่ือง 92
DRAFT ความเข้าใจความคิดและความร้สู ึกในอดีต (empathy) ตงั้ แต่ยคุ เรอเนสซองสเ์ หน็ ไดว้ ่าประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเป็นขอ้ เขยี นทแ่ี ตกต่างจากรปู แบบงาน เขยี น (genre) ว่าดว้ ยอดตี ทม่ี รี ากมาตงั้ แต่ยคุ คลาสสกิ อยา่ งประวตั ศิ าสตร์ (historia) ทส่ี นใจเหตุการณ์ การเมอื งและการสงคราม และชวี ประวตั ิ (biographia) ซ่งึ สนใจบุคคลท่มี คี วามสําคญั อย่างไรก็ดี ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมไม่ได้มสี ถานะเป็นรปู แบบงานเขยี น (genre) ท่มี กี ารสถาปนากฎเกณฑห์ รอื แบบแผนทางการประพนั ธ์ หากแต่มกั หยบิ ยมื แบบแผนมาจากชวี ประวตั ิเพ่อื ทําความเข้าใจชวี ติ และ ความคดิ ท่อี ย่เู บ้อื งหลงั ผลงานหรอื การคดิ ค้นสําคญั ซ่งึ แง่มุมทางชวี ประวตั เิ ป็นส่วนสําคญั ของการทํา ความเขา้ ใจหรอื อธบิ ายทางดา้ นวฒั นธรรม โดยความเขา้ ใจความคดิ และความรูส้ กึ ของบุคคลเป็นส่วน สาํ คญั ของชวี ประวตั มิ าตงั้ แต่ยคุ คลาสสกิ จงึ เหน็ ไดว้ ่านกั ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี นใจมติ ทิ างดา้ นวฒั นธรรม ไม่ วา่ จะเป็นเรอ่ื งของวรรณกรรม ภาษา แนวคดิ ทางปรชั ญา คําสอนทางดา้ นครสิ ต์ศาสนาหรอื ศาสตรแ์ ขนง ต่างๆ จงึ ถูกอธบิ ายผ่านชวี ประวตั ขิ องบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลทเ่ี ป็นผูแ้ ต่ง ผู้รเิ รมิ่ หรอื ผูม้ คี ุณูปการต่อสง่ิ เหล่านัน้ โดยมกั เช่อื มโยงกบั แนวคดิ อจั ฉรยิ ภาพของบุคคล จงึ อาจกล่าวไดว้ ่าความเขา้ ใจความคดิ และ ความรสู้ กึ ในอดตี ในยุคเรอเนสซองสถ์ ูกอธบิ ายผ่านชวี ประวตั ิ ชวี ประวตั เิ ป็นรปู แบบงานเขยี นท่สี บื มา ตงั้ แต่ยุคคลาสสกิ ซ่งึ ในช่วงแรกนัน้ บุคคลท่เี ป็นท่สี นใจคอื บุคคลท่มี อี ทิ ธพิ ลในทางการเมอื ง และถูก ขยายขอบเขตไปส่ปู ระวตั นิ ักบุญในสมยั กลาง ในยุคเรอเนสซองสป์ ระวตั ศิ ลิ ปินของวาซารถี อื ไดว้ ่าเป็น ประวตั ิศาสตร์วัฒนธรรมท่ียึดโยงกับประวัติชีวิตการงานและความคิดของศิลปิน อีกทัง้ ข้อเขียน ประวตั ศิ าสตรภ์ าษาและวรรณกรรมทแ่ี พรห่ ลายในช่วงศตวรรษท่ี 16 และศตวรรษท่ี 17 อกี หลายชน้ิ ท่ี จดั อย่ใู นกลุ่มเดยี วกนั จงึ พอกล่าวไดว้ ่าการเขยี นในเชงิ ชวี ประวตั เิ ป็นทางเลอื กแรกๆในการทําความ เขา้ ใจวฒั นธรรม เน่ืองจากชวี ประวตั มิ สี ถานะค่อนขา้ งพเิ ศษในแง่ท่สี นใจความกํากวมและความรู้สกึ ภายในบุคคล แมถ้ ูกวจิ ารณ์เรอ่ื งความน่าเช่อื ถอื มาอยา่ งต่อเน่อื ง การเปลย่ี นแปลงทส่ี าํ คญั ด้านกรอบการทําความเขา้ ใจความคดิ และความรสู้ กึ ในอดตี เปลย่ี นไป ในช่วงศตวรรษท่ี 18 เน่ืองจากแนวคิดว่าด้วย “สงั คม” ท่ีซบั ซ้อนมากข้ึน ทําให้ข้อเขียนด้าน ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเรมิ่ ทาํ ความเขา้ ใจความคดิ และค่านิยมผ่านหน่วยทใ่ี หญ่กว่าชวี ติ ของบุคคลหรอื คณะบุคคล โดยผ่านแนวคดิ เร่อื งกลไกและรูปแบบทางสงั คม ซ่งึ ความเข้าใจความคดิ และความรูส้ ึก (empathy) เป็นประเดน็ ท่ปี ราชญ์ยุคแสงสว่างสนใจในการทําความเขา้ ใจกลไกของสงั คมและจติ วทิ ยา ขอ้ เขยี นเชงิ ปรชั ญาทส่ี นใจประเดน็ น้ีโดยตรงและพยายามทําความเขา้ ใจสงิ่ น้ีเป็นระบบคอื The Theory of Moral Sentiments (1759) ของอดมั สมธิ (Adam Smith) อกี ทงั้ ยงั ปรากฏอย่ใู นการอธบิ ายความคดิ และความรู้สึกของบุคคลในประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษของเดวิด ฮูม(David Hume) นัก ประวตั ศิ าสตรใ์ นรุ่นเดยี วกนั สนใจค่านิยมและธรรมเนียมปฏบิ ตั ขิ องผู้คนในอดตี อกี ทงั้ ยงั ช้ใี ห้เห็นถึง 93
DRAFTแนวโน้มในการสนใจความคดิ หรอื ความรสู้ กึ นึกคดิ ในมติ ทิ ต่ี ่างจากปจั เจก แมว้ ่าวรรณคดยี งั คงเป็นสง่ิ สาํ คญั ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรส์ นใจ ความเขา้ ใจความคดิ และความรสู้ กึ (empathy) กลายเป็นหมุดหมายทาง วธิ กี ารทส่ี ําคญั ของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบคลาสสกิ ของยาคอป เบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละโยฮนั ฮุยซงิ กา กรอบความเขา้ ใจดงั กล่าวเป็นระบบมากยงิ่ ขน้ึ เมอ่ื เกดิ การพฒั นาของสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตรใ์ หม่ ท่พี ยายามจดั ระบบความคดิ เร่อื งญาณวทิ ยาและเทคนิควธิ กี ารตคี วาม จากสาขามานุษยวทิ ยาดงั ท่ี ปรากฏในงานของนักประวตั ิศาสตร์อย่างเอ็ดเวิร์ด ทอมป์สนั และเอ็มมานูเอล ลี รวั ลาดูรี จวบจน มานุษยวิทยาการตีความจากฝงั่ สหรฐั อเมริกา จงึ พอสรุปได้ว่าความเข้าใจความคิดและความรู้สึก (empathy) เป็นลกั ษณะสาํ คญั อนั หน่ึงของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทม่ี มี าอย่างต่อเน่ือง โดยไดห้ ยบิ ยมื เครอ่ื งมอื และรปู แบบการวเิ คราะหจ์ ากงานประพนั ธป์ ระเภทชวี ประวตั ิ และเมอ่ื แนวคดิ ว่าดว้ ยญาณวทิ ยา ทางสงั คมศาสตรพ์ ฒั นาขน้ึ ความเขา้ ใจดงั กลา่ ววางอยบู่ นแนวคดิ จากสาขามานุษยวทิ ยา แนวคิดเรื่องวฒั นธรรม แมป้ ระวตั ศิ าสตรข์ องภาษาและวรรณคดี ปรชั ญาและศลิ ปะในสมยั เรอเนสซองสส์ ามารถจดั ไดว้ ่า เป็นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม แต่คําละตนิ Colere ซง่ึ เป็นรากศพั ทค์ ําว่าวฒั นธรรมยงั ไม่ถูกนํามาใชใ้ น ความหมายดงั ท่ใี ช้ในปจั จุบนั อกี ทงั้ ขาดคําเด่ยี วทส่ี ามารถนิยามรวมสง่ิ ซ่งึ ปจั จุบนั เรยี กว่าวฒั นธรรม หากแต่มคี วามหมายว่ากระบวนการปลกู ฝงั และพฒั นาเช่นเดยี วกบั การกสกิ รรมและปศุสตั ว์174175 โดยยงั ขาดแนวคดิ เรอ่ื งวฒั นธรรมทช่ี ดั เจน นกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเรอเนสซองสม์ องความเปลย่ี นแปลงทาง วฒั นธรรมท่ผี ูกกบั แนวคดิ เร่อื งสบื ทอดความรูแ้ ละผลผลติ ทางวฒั นธรรม กล่าวคอื มองว่าผลงานหรอื ผลผลติ ทม่ี คี ณุ ูปการทางวฒั นธรรมและทางความคดิ เป็นผลมาจากการรอ้ื ฟ้ืนและต่อยอดทางความรจู้ าก ยคุ คลาสสกิ แมว้ ่านักมนุษยนิยมยุคนัน้ ค่อนขา้ งเหน็ พอ้ งไปในทศิ เดยี วกนั ว่า ความสําเรจ็ ในดา้ นศลิ ปะ และวฒั นธรรมในยคุ นนั้ เป็นผลมาจากเสรภี าพทางการเมอื งการปกครอง หรอื ดงั ทฮ่ี านส์ บารอนนิยามคํา ว่า “มนุษยนิยมพลเมอื ง” (civic humanism)176 แต่ขอ้ เขยี นเหล่าน้ีไมไ่ ดอ้ ธบิ ายถงึ กลไกทส่ี ่งผลต่อการ เปลย่ี นแปลง หากแต่มุ่งอภปิ รายและวจิ ารณ์เพ่อื ประเมนิ คุณค่าของผลงานเหล่านัน้ แนวคดิ ท่อี ธบิ าย ความเปล่ยี นแปลงทางวฒั นธรรมอย่างเป็นระบบและกลไกปรากฏในข้อเขยี นราวศตวรรษท่ี 17 โดย 175 Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, 87. 176 Hans Baron, The Crisis of the Early Italian Renaissance; Civic Humanism and Republican Liberty in an Age of Classicism and Tyranny (Princeton, N.J.,: Princeton University Press, 1955), 173-174; พง่ึ สุนทร, ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธต์ ะวนั ตกก่อนครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20. 94
DRAFTขอ้ เขยี นดา้ นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในชว่ งดงั กล่าวหนั มาใหค้ วามสาํ คญั กบั ความรสู้ กึ นึกคดิ ภายในของ มนุษยท์ ม่ี รี ว่ มกนั ในสงั คมนนั้ ๆ ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเป็นการลดความสาํ คญั ของการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คุณค่า ของผลผลติ ทางวฒั นธรรม ซง่ึ นําไปสู่ความสนใจทําความเขา้ ใจความแตกต่างทางวฒั นธรรมของแต่ละ ยคุ สมยั และแต่ละภมู ภิ าคของโลกโดยเช่อื มโยงกบั ระบบทางสงั คมและระบอบการเมอื ง อกี ทงั้ ในช่วงเวลาดงั กลา่ วคาํ ว่า “สงั คม” เรมิ่ ถกู นํามาใชใ้ นความหมายในเชงิ ระบบและโครงสรา้ ง แบบสมยั ใหม่ ท่เี รม่ิ ต้นอธบิ ายการเปล่ยี นแปลงทางด้านวฒั นธรรมท่สี อดรบั กบั การเปล่ยี นแปลงของ รปู แบบทางสงั คม ซง่ึ ถอื ไดว้ ่า Scienza Nuova (1725) ของวโี กมสี ่วนสาํ คญั ในการเสนอทฤษฎที าง วฒั นธรรมช่วงตน้ ยคุ แสงสว่าง วโี กเหน็ ว่าความเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมคอื การเปลย่ี นรปู ทางภาษา และโวหารจากยคุ สู่ยคุ เป็นผลมาจากรปู แบบทางสงั คมและระบอบการเมอื ง วโี กยงั อธบิ ายถงึ โลกทศั น์ และแนวโน้มทางดา้ นจติ ใจภายใน ต่อมาปราชญ์และนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสเป็นคนกลุ่มหลกั ท่สี นใจ ประวตั ศิ าสตรใ์ นมติ ิทางวฒั นธรรม โดยใช้คําหลากหลายเช่น les passions humains, esprit และ moeuer เพ่อื อธบิ ายถงึ มติ ทิ แ่ี ตกต่างกนั ของวฒั นธรรม แต่ละคาํ ท่กี ล่าวมาชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ มติ ทิ แ่ี ตกต่างกนั ไปทงั้ ภายในและภายนอกตวั ของมนุษย์ ใชอ้ ธบิ ายความเป็นเหตุผลและกลไกต่างกนั ไป แมค้ ําเหล่าน้ีมี ลกั ษณะคลุมเครอื แต่เหน็ ไดถ้ งึ ขอ้ แตกต่างทว่ี ่าสงิ่ ใดควรค่าแก่การศกึ ษา ขณะทน่ี ักมนุษยนิยมเรอเนส ซองสส์ นใจผลงานทางความคดิ จากภูมปิ ญั ญาระดบั บนทางสงั คมเช่น วรรณกรรม ปรชั ญาและศิลปะ นักเขยี นยุคแสงสว่างมองว่าควรศึกษาให้ครอบคลุมกว่านัน้ ท่ใี กล้เคยี งกบั วถิ ชี วี ติ ในทุกๆ แง่มุม ทงั้ ผลงานการสรา้ งสรรคแ์ ละธรรมเนยี มประเพณี ทงั้ ทางจติ ใจภายในและทางวตั ถุภายนอก โดยความสนใจวฒั นธรรมพ้นื ถน่ิ วฒั นธรรมมุขปาฐะหรอื ระดบั ล่างทางสงั คมชดั เจนมากขน้ึ ใน ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในเยอรมนีช่วงปลายศตวรรษท่ี 18 โดยคําว่า Kultur เป็นคําท่มี คี วามหมาย ครอบคลุมขน้ึ อกี ทงั้ เปิดรบั แนวคดิ พลวตั และความหลากหลายมากกว่าคําฝรงั่ เศสทก่ี ล่าวมา ครอบคลุม ประสบการณ์มนุษย์ทงั้ ทางความคดิ และทางวตั ถุ อกี ทงั้ ยงั นําไปสู่ความสนใจต่อธรรมเนียมประเพณี พ้ืนบ้านในระดบั ล่างของสังคมหรอื “popular culture” ซ่ึงเรียกได้ว่าเป็นการเปิดฉากการศึกษา ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมโดยเฉพาะ แนวคดิ การวเิ คราะห์วฒั นธรรมท่โี ดดเด่นมากและเป็นแม่แบบของการศึกษาประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมคอื ยาคอป เบริ ์คฮารด์ ท์และโยฮนั ฮุยซงิ กา เบริ ์คฮารด์ ท์เช่อื มโยงค่านิยมและมโนทศั น์ท่ี นําไปสคู่ วามสาํ เรจ็ ทางวฒั นธรรมในยคุ นนั้ กบั ระบบโครงสรา้ ง อกี ทงั้ ลดบทบาทของการอธบิ ายว่าปจั เจก หรอื เหตุการณ์เป็นสาเหตุสาํ คญั ซง่ึ มลี กั ษณะการอธบิ ายวฒั นธรรมในแบบมานุษยวทิ ยากล่าวคอื เป็นผล จากการทม่ี นุษยต์ ้องเผชญิ กบั ความไปเป็นของโลกและวกิ ฤตต่างๆทถ่ี าโถมเขา้ มา ในระดบั ของปจั เจก เป็นในระดบั สงั คม เบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ ป็นนกั ประวตั ศิ าสตรค์ นแรกๆ ทท่ี าํ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมในหลายระดบั 95
DRAFTโดยใชแ้ นวคดิ เพ่อื การวเิ คราะห์ (concept) เช่นปจั เจกนิยม (individualism) เป็นเครอ่ื งมอื วเิ คราะหเ์ ช่อื โยงกบั รปู แบบและสถาบนั ทางสงั คมในหลายๆระดบั แมไ้ มเ่ ป็นระบบแบบสงั คมวทิ ยายุคนนั้ ส่วนฮุยซงิ กาสนใจสาํ นึกภายในมนุษยม์ ากขน้ึ โดยรบั เอากรอบทางจติ วทิ ยาสงั คมมา ซง่ึ สนใจทงั้ ทางดา้ นความเช่อื ความรสู้ กึ อารมณ์และจนิ ตนาการ รวมถงึ การรบั รูเ้ ร่อื งเวลาและสาระสําคญั ของชวี ติ งานของฮุยซงิ กา สนใจแบบแผนทางวฒั นธรรมในลกั ษณะแบบผ่านชุดคาํ ศพั ท์การวเิ คราะห์ทางวฒั นธรรมทม่ี อี ยใู่ นสาขา มานุษวทิ ยาขณะนัน้ การวเิ คราะห์วฒั นธรรมของนักประวตั ศิ าสตรท์ งั้ สองกลายเป็นแม่แบบสําคญั ของ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเรอ่ื ยมา การใชแ้ นวคดิ (concept) เพ่อื การวเิ คราะหน์ ้ีกลายเป็นหลกั สําคญั ของ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมาอย่างต่อเน่อื ง นิยามของวฒั นธรรม อาจมองไดว้ ่านักประวตั ศิ าสตรท์ ่ศี กึ ษาวฒั นธรรมตงั้ แต่ครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 20 เป็นต้นมา ได้ ผลติ งานทม่ี นี ยั ของการวจิ ารณ์ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบคลาสสกิ หลายประการ เช่น การใชห้ ลกั ฐาน ทไ่ี มเ่ ป็นระบบ การมองขา้ มชนชนั้ ล่างในสงั คม การมองว่าแต่ละยุคสมยั มวี ฒั นธรรมทเ่ี ป็นเอกภาพ อกี ทงั้ เรอ่ื งการมองขา้ มความสมั พนั ธภ์ ายในสงั คมทซ่ี บั ซอ้ นและมพี ลวตั และการขาดซง่ึ กรอบหรอื ทฤษฎใี น การทําความเขา้ ใจวฒั นธรรมอยา่ งเป็นระบบ รวมไปถงึ การมองวฒั นธรรมแบบอตั วสิ ยั หรอื ใชค้ วามรสู้ กึ ส่วนตวั ของผูเ้ ขยี นในการวเิ คราะหแ์ ละอภปิ ราย โดยความพยายามในการวางกรอบการศกึ ษามติ ทิ าง วฒั นธรรมในประวตั ิศาสตรม์ าจากสํานักอานาลส์ โดยงานนักประวตั ศิ าสตร์กลุ่มน้ีไม่ได้ช่อื ว่าเป็น ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม แต่กม็ มี ติ ขิ องความสนใจความรสู้ กึ นึกคดิ (mentalité) โดยเหน็ ไดจ้ ากแนวคดิ outilage mental ทเ่ี ฟบวรเ์ สนอ ซง่ึ เป็นการมองวฒั นธรรมในแงข่ องชุดเคร่อื งมอื ทางภาษา สญั ญะและ ความคดิ ทส่ี งั คมหน่ึงพงึ มี ซง่ึ ไม่ไดอ้ ยภู่ ายในปจั เจกคนใดคนหน่ึงหรอื กลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ขอ้ สําคญั คอื เป็น ความพยายามศกึ ษาวฒั นธรรมในลกั ษณะวตั ถุวสิ ยั โดยวฒั นธรรมมสี ถานะเป็นโครงสรา้ งหรอื กรอบท่ี ลอ้ มความรสู้ กึ นึกคดิ ของมนุษย์ เป็นระบบเชอ่ื มโยงกบั ปจั จยั ทางสงั คมอ่นื ๆ อยา่ งไรกด็ นี ักประวตั ศิ าสตร์ สาํ นกั น้จี งึ มองวฒั นธรรมในลกั ษณะค่อนขา้ งหยุดนิ่ง อกี ทงั้ ยงั เหน็ ว่าสามารถจบั คู่รปู แบบทางวฒั นธรรม เขา้ กบั กลุ่มสงั คมใดสงั คมหน่ึงได้ โดยมองไมเ่ หน็ ความไม่ลงรอยหรอื ขดั แยง้ ทางวฒั นธรรมภายในกลุ่ม สงั คมนนั้ ๆ ขณะทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มอ์ ยา่ งเอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั เสนอภาพทางวฒั นธรรมในภาวะ ขดั แยง้ และการงดั งา้ งมากกว่า ขอ้ สาํ คญั อกี ประการคอื การใหค้ วามสําคญั กบั ประสบการณ์ของบุคคลใน ประวตั ศิ าสตร์ จนกระทงั้ แนวคดิ การตคี วามวฒั นธรรมของเกยี รซ์ เป็นการทา้ ทายทส่ี ําคญั ต่อการวเิ คราะห์และ ทําความเขา้ ใจวฒั นธรรมตามโครงสรา้ งภาพใหญ่ของสํานกั อานาลส์ นําไปสู่ “new cultural history” ท่ี 96
DRAFTเหน็ ว่าวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ทค่ี วรนํามาศกึ ษาในตวั ของมนั เองและมคี วามเป็นอสิ ระจากโครงสรา้ งทางสงั คม หลดุ จากการมองวฒั นธรรมว่าผูกตดิ กบั สงั คม เศรษฐกจิ หรอื โครงสรา้ งอ่นื ๆ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมใน กลุ่มน้ี โดยเฉพาะงานของชาตเิ ยร์ ดารน์ ตนั และกนิ ส์เบริ ก์ แตกต่างจากทศั นะต่อวฒั นธรรมตามแบบ mentalité ของสํานักอานาลส์ คอื การมุ่งสร้างความเข้าใจและอธบิ ายสถานะการเป็นตวั กระทําของ ปจั เจกท่ไี มไ่ ดเ้ ป็นสมาชกิ ของชนชนั้ ปกครองหรอื ชนชนั้ สงู ในยุคต้นสมยั ใหม่ แต่กลบั สามารถเป็นอสิ ระ จากระบบโครงสรา้ งทเ่ี ป็นผลมาจากอํานาจการเมอื งและศาสนาได้ การทาํ ความเขา้ ใจนิยามทางแนวคดิ ทฤษฎวี ่าดว้ ยวฒั นธรรมเป็นประเดน็ ทม่ี คี วามซบั ซอ้ นและ ไม่อาจแยกออกจากความเป็นสาขาวชิ าและสาํ นักได้ ยงิ่ เม่อื กล่าวถงึ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมยงิ่ เหน็ ถงึ ความกํากวมในการตกล่องปล่องชน้ิ กบั ทฤษฎสี กุลใดสกุลหน่ึง หรอื นิยามชุดใดชุดหน่ึง อกี ทงั้ ยงั เหน็ ได้ ว่ามคี วามพยายามในการหลกี เล่ยี งการใชค้ ําว่า “culture” หรอื คําทม่ี รี ากศพั ท์ร่วมมาโดยตลอด จาก เหตุผลทางทฤษฏแี ละทางอุดมการณ์ ในขอ้ เขยี นของนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสตงั้ แต่ยคุ แสงสว่างมาถงึ ศตวรรษท่ี 20 ดงั กล่าวถูกใชน้ ้อยกว่าคาํ อ่นื มาก ในโลกวชิ าการเยอรมนั คําว่า Kultur ก็อดั แน่นไปดว้ ย เช่อื ปะทุของความขดั แยง้ ส่วนในโลกวชิ าการภาษาองั กฤษ ซง่ึ ดูเหมอื นว่านักประวตั ศิ าสตรจ์ ะใช้คําน้ี มากทส่ี ุด กถ็ ูกใชอ้ ยา่ งล่นื ไหลมากและเป็นคาํ ทม่ี คี วามหมายซบั ซอ้ นกว่าทุกภาษา ผนวกกบั การเกดิ ขน้ึ ของสาขาวฒั นธรรมศกึ ษา (cultural studies) ทม่ี สี ่วนสําคญั ในการขอ้ ถกเถยี งเรอ่ื งนิยาม วลิ เลยี ม เอช ซเี วล (William H. Sewell) ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความหลากหลายทางแนวคดิ เม่อื นกั วชิ าการพูดถงึ วฒั นธรรม ซง่ึ ซีเ ว ล ดูนิ ย า ม ขอ ง ว ัฒ น ธ ร ร มใ น ล ัก ษ ณ ะ ข อ ง ก า ร เ ป็ น ห ม ว ด ก า ร วิเ ค ร าะ ห์วิถีค ว า ม เ ป็ น อ ยู่ใ น ส ัง ค ม (category of social life) ซเี วลจดั กลุ่มนิยามของวฒั นธรรม176177 ขอ้ ซ่งึ ค่อนขา้ งครอบคลุมแนวนิยาม วฒั นธรรมของนักประวตั ศิ าสตรท์ ่กี ล่าวถงึ ขา้ งต้น จงึ นําการแบ่งนิยามน้ีมาปรบั ใช้ เพ่อื ทําความเขา้ ใจ แนวทางการอธบิ ายวฒั นธรรมของนกั ประวตั ศิ าสตร์ 1. วฒั นธรรมเป็นพฤตกิ รรมทุกอย่างทส่ี บื ทอดมาหลายชวั่ คนและดาํ รงอยอู่ ย่างต่อเน่ือง ทงั้ วถิ ปี ฏบิ ตั ิ ความเช่อื สถาบนั ธรรมเนียม ความเคยชนิ คติ ฯลฯ นักประวตั ศิ าสตร์จงึ สนใจสภาวะท่ที ําให้ วฒั นธรรมสามารถดํารงอย่อู ยา่ งมสี มภาพ แนวคดิ ดงั กล่าวมรี ากมาจากสงั คมวทิ ยาหน้าทน่ี ิยม นัก ประวตั ศิ าสตรอ์ ย่าง mentalité มองวฒั นธรรมในภาพโครงสรา้ งใหญ่ และสภาวะท่วี ฒั นธรรมใดๆ 177 William Hamilton Sewell, Logics of History : Social Theory and Social Transformation, Chicago Studies in Practices of Meaning (Chicago: University of Chicago Press, 2005). 97
DRAFTจะดํารงอย่แู ละสบื ต่อไปได้ นิยามวฒั นธรรมลกั ษณะน้ีมอี ย่ใู นขอ้ เขยี นของนักประวตั ศิ าสตรย์ ุคแสง สว่างอยา่ งวอลแตร์ 2. วฒั นธรรมคอื พน้ื ทเ่ี ชงิ สถาบนั ทม่ี ไี วส้ รา้ งความหมายและคุณค่า ทงั้ ในการผลติ ถ่ายทอดและตคี วาม ซง่ึ มพี น้ื ทย่ี อ่ ยๆ สาํ หรบั วรรณกรรม ปรชั ญา ศลิ ปะ ศาสนา สนั ทนาการและอ่นื ๆ นักประวตั ศิ าสตร์ จะสนใจกจิ กรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในพน้ื ทเ่ี ชงิ สถาบนั เหล่าน้ี ในช่วงแรกนักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมสนใจ วฒั นธรรมของชนชนั้ สูงเป็นหลกั ตวั อยา่ งทเ่ี หน็ ไดค้ อื งานของเบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละฮุยซงิ กา ต่อมาการ อธบิ ายเร่อื งพ้นื ท่เี ชงิ สถาบนั น้ีเคล่อื นลงสู่ระดบั ล่าง เช่นการศึกษาวฒั นธรรมชนชนั้ แรงงานของ ทอมป์สนั ซง่ึ สนใจพน้ื ทต่ี ่างๆ เชน่ ในครวั เรอื น สนั ทนาการและทท่ี าํ งาน อกี ทงั้ มแี นวโน้มว่าพน้ื ทเ่ี ชงิ สถาบันจะขยายตัวออกในแนวราบสู่ทุกๆ มติ ิในชีวิตประจําวันดังเช่นนักประวัติศาสตร์ Alltagsgeschichte ทม่ี แี นวโน้มมองว่าชวี ติ ประจาํ วนั เป็นพน้ื ทท่ี ม่ี ไี วส้ รา้ งความหมายและคณุ ค่า 3. วฒั นธรรมเป็นการสรา้ งสรรคแ์ ละเป็นตวั กระทาํ มองว่าวฒั นธรรมสามารถหลุดพน้ จากการกําหนด ของโครงสร้างทางสงั คมและเศรษฐกจิ นักประวตั ศิ าสตรค์ นสําคญั ท่เี สนอความเป็นตวั กระทําดงั กล่าวคอื ทอมป์สนั อยา่ งไรกด็ ี ทอมป์สนั ยงั มองวา่ โครงสรา้ งทางสงั คมและเศรษฐกจิ ยงั คงเป็นกรอบ สําคญั นักประวตั ิศาสตร์อย่างกนิ ส์เบิร์กแสดงให้เหน็ ถึงการเป็นตวั กระทําและความรเิ รมิ่ ทาง ความคดิ ของปจั เจกทเ่ี ป็นคนธรรมดา ทาํ ใหห้ ลุดจากกรอบจาํ กดั ทางชนชนั้ และระบบโครงสรา้ งมาก โดยนิยามคําว่าวฒั นธรรมอนั น้ีอย่ตู รงขา้ มกบั ความเป็นโครงสร้าง อย่างไรก็ดปี ระวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมยุคเรอเนสซองสท์ ใ่ี ช้ชวี ประวตั เิ ป็นตวั เล่าเร่อื งกม็ ลี กั ษณะเด่นอนั น้ีอย่เู ช่นกนั จงึ ไม่อาจ กล่าวไดว้ ่าเป็นแนวคดิ ทางวฒั นธรรมแบบกา้ วหน้า 4. วัฒนธรรมเป็นระบบของสัญญะและความหมาย เป็นแนวคิดหลักของมานุษยวิทยาสัญญะ โดยเฉพาะจากอทิ ธพิ ลของเกยี รซ์ ท่มี ตี ่อ “new cultural history” ซ่งึ งานของนักประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมชาวอเมรกิ นั เป็นตวั อย่างสําคญั โดยเหน็ ว่าระบบของสญั ญะและความหมายเป็นหวั ใจ สาํ คญั ของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ซง่ึ ต่างจากนักประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลสท์ เ่ี หน็ ว่า วฒั นธรรมไม่ได้เป็นระบบในตวั ของมนั เอง แต่ต้องอิงอยู่กับโครงสรา้ งหรอื ระบบทางสงั คม นัก ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมอเมรกิ นั กลุ่มน้ีตัดโครงสร้างสงั คมออกจากการเป็นสาเหตุ แต่มองว่า ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมเป็นส่วนหน่ึงของการสรา้ งความหมาย ดงั ท่เี กยี รซ์ ถูกวจิ ารณ์ว่าแทนท่จี ะ เหน็ ความสมั พนั ธท์ างสงั คมเป็นสาเหตุ กลบั ทาํ ใหเ้ ป็นบรบิ ทการตคี วามเพอ่ื ไปส่คู วามหมาย 98
DRAFT5. วฒั นธรรมคอื ปฏบิ ตั กิ าร คาํ ว่า “ปฏบิ ตั กิ าร” (practice) เป็นศพั ทท์ างสงั คมวทิ ยาทม่ี าจากอทิ ธพิ ล ของปิแอร์ บูรด์ เิ ยอซง่ึ มาจากการวจิ ารณ์แนวคดิ ว่าวฒั นธรรมเป็นระบบของสญั ญะและการตคี วาม อกี ทงั้ ยงั เป็นความพยายามก้าวใหพ้ น้ จากวงั วนของการใหค้ วามสําคญั กบั โครงสรา้ งและตวั กระทํา ในขอ้ ถกเถยี งเรอ่ื งวธิ กี ารทางสงั คมวทิ ยา มองวา่ วฒั นธรรมเป็นพน้ื ทข่ี องการกระทําทเ่ี ป็นผลมาจาก เจตนา เพ่อื การงดั ง้างทางอํานาจ อยู่ท่ามกลางความขดั แยง้ และพลวตั อีกทงั้ ทฤษฎกี ลุ่มน้ีเป็น แนวคิดสําคัญในสาขามานุษยวิทยา แต่ในประวัติศาสตร์ลักษณะดังกล่าวปรากฏอยู่อย่าง กวา้ งขวางไมย่ ดึ ตดิ กบั สาํ นกั งานประวตั ศิ าสตรข์ องโรเจอร์ ชาตเิ ยรต์ ระหนักถงึ ประเดน็ น้ีเป็นอย่าง ดแี ละคอ่ นขา้ งกล่าวถงึ วฒั นธรรมในลกั ษณะทเ่ี ป็นปฏบิ ตั กิ าร ในงานหลายชน้ิ ของเอด็ เวริ ด์ ทอมป์ สนั กม็ องวฒั นธรรมในลกั ษณะดงั กล่าว เช่นใน The Making of English Working Class และงาน ในช่วงทศวรรษท่ี 1990 ของนักประวตั ิศาสตรห์ ลายท่านก็มองวฒั นธรรมในลกั ษณะดงั กล่าว โดยเฉพาะกลุ่มทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากมเิ ชล ฟูโกซง่ึ สนใจความหมายและวาทกรรมในลกั ษณะทไ่ี มย่ ดึ กบั สญั ญะและระบบ ทศั นะทเ่ี หน็ ว่าวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ทค่ี วรนํามาศกึ ษาไดใ้ นตวั ของมนั เองทาํ ใหน้ กั ประวตั ศิ าสตรส์ ่วน หน่ึงเรยี กตวั เองว่านักประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ได้ผูกอยู่กบั ประวตั ศิ าสตร์สงั คม อย่างทเ่ี คยเป็นในช่วงก่อน กระแสความสนใจทางวฒั นธรรมน้ี (cultural turn) มาพรอ้ มกบั การเกดิ ขน้ึ ของสาขาวฒั นธรรมศกึ ษา (cultural studies) และการทา้ ทายทางดา้ นวธิ กี ารและญาณวทิ ยา ซง่ึ สาขาท่ี ได้รบั ผลกระทบมากท่สี ุดอนั หน่ึงคงหนีไม่พ้นสาขามานุษยวทิ ยา เน่ืองจากเคยเป็นสาขาท่เี คยผูกขาด การศกึ ษาวฒั นธรรม อกี ทงั้ เป็นสาขาทต่ี กอยู่ในหว้ งของประเดน็ เร่อื งการทําความเขา้ ใจความคดิ และ ความรู้สกึ ในอดตี (empathy) มากท่สี ุด ต่างจากท่วี ฒั นธรรมศึกษาซ่งึ มรี ากฐานทางสาขามาจาก วรรณคดวี จิ ารณ์ทาํ ใหโ้ อบรบั การทา้ ทายทางดา้ นวธิ กี ารและญาณวทิ ยามากกว่าในภาพรวม การศกึ ษา ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมในช่วงปลายศตวรรษท่ี 20 ซ่งึ ผูกอยู่กบั แนวคดิ และกรอบการศกึ ษาด้าน วฒั นธรรมจากสาขามานุษยวทิ ยาจงึ ไดร้ บั ผลไม่น้อย ทฤษฎที างวฒั นธรรมจากแนวคดิ หลงั โครงสรา้ ง นิยมจงึ ส่งผลต่อกรอบการวิเคราะห์ด้านประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมไม่มากนัก แต่นักประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมได้ขยายประเด็นและขอบเขตการศึกษาออกไปสู่ประเด็นศึกษาจากกระแสสตรีนิยม (feminism) และหลงั อาณานิคม (postcolonialism) ซง่ึ เป็นผลทางออ้ มจากการทา้ ทายทางญาณวทิ ยาท่ี แนวคดิ หลงั โครงสรา้ งนิยมทง้ิ ไว้ให้ รวมทงั้ ความสนใจในมติ ทิ างดา้ นอารมณ์ เป็นพ้นื ท่ที ข่ี อ้ เขยี นดา้ น ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมใหค้ วามสนใจตงั้ แต่ครง่ึ แรกของศตวรรษท่ี 20 เช่นทป่ี รากฏในงานของฮุยซงิ กา เฟบวรแ์ ละเอเลยี ส ซง่ึ ไดก้ ลายเป็นประเดน็ ศกึ ษาสําคญั ช่วงปลายศตวรรษ กเ็ น่ืองดว้ ยการพฒั นาของ 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105