Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มนุษยสัมพันธ์สำหรับครู

มนุษยสัมพันธ์สำหรับครู

Description: มนุษยสัมพันธ์สำหรับครู

Search

Read the Text Version

37 ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนำนกุ รมฉบบั รำชบัณฑติ สถำน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบคุ ส์. ลักขณา สริวัฒน์. (2556). มนษุ ยสมั พันธ์. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ วราภรณ์ ตระกูลสวสั ด์ิ. (2549). จิตวทิ ยำกำรปรับตวั . (พิมพ์ครง้ั ที่ 3). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์ ศนู ย์ส่งเสรมิ วชิ าการ. วราภรณ์ ธนะสุริยะเกียรติ. (2552). “การวิเคราะห์ระบบจิตมอดไหม้ในงานครู” วำรสำร จติ พฤติกรรมศำสตร์. 6(1), 88-128. วมิ ล เหมอื นคิด. (2543). มนษุ ยสัมพนั ธ์. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 4. กรุงเทพฯ: ศนู ยผ์ ลิตตาราเรียน สถาบัน เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื . วรี ะพรรณ จันทรเ์ หลอื ง. (2559). มนษุ ยสมั พนั ธ์. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ศิริมา สมั ฤทธ์ิ. (2532). เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวิชำมนษุ ยสมั พันธส์ ำหรับครู. อุดรธานี: ภาควิชาจติ วทิ ยาและการแนะแนว คณะครศุ าสตร์ วทิ ยาลยั ครูอดุ รธาน.ี สนธยา สวสั ด.์ิ (2549). เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวิชำมนษุ ยสมั พนั ธส์ ำหรบั ครู. เชยี งใหม่: คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. สมใจ เขยี วสด. (2536). มนุษยสัมพันธส์ ำหรับผู้บริหำร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พิศิษฐ์การพิมพ์. สมพร สุทัศนีย์. (2554). มนุษยสัมพันธ์. (พมิ พค์ รง้ั ที่ 10). กรุงเทพฯ: สานักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. สจุ ติ รา พรมนชุ าธิป. (2549). มนษุ ยสัมพันธ.์ กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. สภุ าณี ฝนทองมงคล. (2546). กำรศึกษำปัจจยัท่มี ีอทิ ธิพลต่อคุณภำพชวี ิตกำรทำงำนของข้ำรำชกำร ครสู ังกดักรุงเทพมหำนครในสำนกั งำนเขตรำษฎรบ์ ูรณะ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี. อนชุ า แกว้ หลวง. (2545). รำยงำนกำรวจิ ยั เรอ่ื งปัจจัยทม่ี ีผลต่อประสทิ ธภิ ำพกำรทำงำนเปน็ ทีมของ อำจำรย์สถำบนั เทคโนโลยรี ำชมงคล วทิ ยำเขตภำคพำยัพ. เชียงใหม:่ สถาบนั เทคโนโลยี ราชมงคล วิทยาเขตภาคพายพั . Dubrin, A.T. (1981). Human Relations: A Job – Oriented Approach. Verginia and Winston. Halloran, J. (1995). Applied Human Relation: An Organizational Approach. Englewood Clifts, N.J.: Prentice Hall. http://adisony.blogspot.com/2012/10/mary-parker-follett.html. https://brandthinkbiz.com/p/shell. http://colacooper.blogspot.com/2012/10/elton-mayo.html. http://dgd-management.blogspot.com/2016/04/frederic-wtaylor.html.

38 http://siamfishing.com/m/content/m.view. http://www.hayeeminaschool.com/gallery-detail_54932. http://www.secondary5.go.th/main/?q=news/1477.html. https://www.trueplookpanya.com/blog/content/71274.

บทที่ 2 หลักการและแนวคดิ ทีเ่ กย่ี วข้องกบั มนษุ ยสัมพันธ์ มนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ในหลากหลายรูปแบบและ วิธีดาเนินการ ทั้งท่ีเป็นทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ ซ่งึ บคุ คลไมส่ ามารถท่ีหลกี เลยี่ งได้ เน่ืองจากมนุษย์ ไม่สามารถทากิจกรรมต่างๆ ในการดาเนินชวี ิตทุกข้ันตอนดว้ ยตนเองได้ตามลาพัง ดงั น้นั จงึ ตอ้ งอาศัย บุคคลอื่นๆ เข้ามาร่วมมือกัน เพ่ือใหก้ ิจกรรมหรืองานตา่ งๆ บรรลุไปตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ที่ได้กาหนดไว้ ดังน้ัน มนุษยสัมพันธ์จึงมีหลักการและแนวคิดที่สาคัญ เพื่อให้บุคคลศึกษา และ นาความรู้และหลักการมาปรับประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั บุคคล สถานท่ี และเวลา เพื่อการอย่รู ่วมกัน ในสังคมอยา่ งสงบสขุ หลกั ปรัชญาพื้นฐานของมนษุ ยสมั พันธ์ ปรัชญาพน้ื ฐาน หมายถงึ ความเชอ่ื พ้นื ฐานเก่ียวกับมนษุ ยสมั พันธใ์ นเรื่องมนษุ ย์ ซึง่ สามารถ นามาใช้เป็นแนวทางในการทาความเข้าใจถึงมนุษยสัมพันธ์ได้ สรุปได้ดังน้ี (สมพร สุทัศนีย์, 2544, น. 25 และ เจษฎา บุญมาโฮม, 2555, น. 61-62) 1. มนษุ ยม์ ศี ักดิศ์ รแี ละคณุ ค่า ประเด็นสาคัญที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ คือ มนุษย์มีความต้องการท่ีจะรู้จักและเข้าใจ ตนเองตามสภาพ มีคุณค่าในตนเอง มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องการการยอมรับ รักเกียรติ ของตนเอง ไม่ชอบให้ใครมาข่มเหงหรือลบหลู่ ต้องการความเท่าเทียมกันในสังคม ดังน้ัน การอยู่ ร่วมกนั ต้องรจู้ กั ยอมรบั ฟงั และให้เกียรตซิ ึ่งกนั และกนั ในการติดต่อสัมพันธ์กบั มนุษย์น้ัน ต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีคณุ คา่ ของความเป็นคน เท่ากัน มนุษย์มคี วามสามารถเฉพาะตัว ทกุ คนอยากจะไดร้ ับการยอมรับนับถอื การยกย่องสรรเสริญ แต่ไม่ปรารถนาจะได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มีฐานะอย่างไร ในการคบหา สมาคมหรือทางานร่วมกันกับผู้อ่ืนในองค์การนั้น บุคคลจะต้องยอมรบั ให้เกียรติยกย่องเพ่ือนร่วมงาน คือจะต้องยอมรับว่าทุกคนมีค่าแห่งความเป็นคนเท่าเทียมกัน ถ้าบุคคลยอมรับความเท่าเทียมกัน

40 มนุษยสัมพันธ์ย่อมเกิดขึ้น มนุษยสัมพันธ์จะเชื่อมโยงให้แต่ละบุคคลรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นสังคม เปน็ คณะบุคคลหรือองคก์ รได้ การคานงึ ถงึ ศักด์ิศรีของมนุษย์ ได้แก่ การยกยอ่ งให้เกียรตซิ ่งึ กันและกัน เปน็ ตน้ 2. มนุษยต์ ้องการการจูงใจ มนษุ ย์ตอ้ งการท่จี ะพฒั นาตนเองให้กา้ วหนา้ ย่งิ ขึ้น มนุษยม์ ีแรงจูงใจทีจ่ ะกระทาส่งิ ตา่ งๆ เพื่อให้ตนเองไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการ ด้วยแรงผลักดันท่ีเกิดข้ึนจากภายในตนเองและภายนอก โดยเฉพาะ ซึ่งมาสโลว์ (Maslow) กล่าวไว้ในแนวคิดข้อหนึ่งว่า “มนุษย์ทุกคนมีความต้องการและ ความต้องการเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีที่ส้ินสุด” ความต้องการดังกล่าว ได้แก่ ความต้องการทางกาย ความต้องการความม่ันคงปลอดภัย ความต้องการความรัก ความต้องการเกียรติยศ ช่ือเสียง และ ความต้องการตระหนักในตน การสร้างมนุษยสัมพันธ์จึงอยู่บนพื้นฐานความเช่ือท่ีว่า ความต้องการที่ ได้รับการตอบสนองย่อมก่อใหเ้ กดิ มนษุ ยสมั พนั ธ์ และนาไปสกู่ ารทางานทีม่ ีประสิทธิภาพ 3. มนษุ ย์มีความแตกต่างกัน แม้วา่ มนุษย์จะมีหลายส่ิงหลายอย่างเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่ตามความเปน็ จริงแล้ว ไมม่ มี นุษย์คนใดทเี่ หมือนกนั ทกุ สง่ิ ทุกอย่างได้ มนษุ ย์แตกต่างในเร่ืองพนั ธุกรรม สิ่งแวดลอ้ ม การอบรม เลี้ยงดู รวมไปถึงวัฒนธรรมที่ตนเองอยู่ ไม่มีบุคคลใดเหมือนกับตัวเรา บุคคลมีความรู้ความสามารถ ความถนัดอย่างหนึ่ง ขณะที่ผู้อ่ืนก็มีความรู้ความสามารถอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างมีความรู้ ความสามารถที่แตกต่างกัน จะให้ผูอ้ ื่นเหมือนตัวเราและจะให้ตัวเราเหมือนผู้อื่นคงเป็นเป็นไปได้ยาก หรือในเรื่องเพศต่างกัน การกระทา ความคิด ความสนใจ เจตคติ ก็ต่างกัน น่ันคือ มนุษย์มีความ แตกต่างกัน ดังท่ี เฟรดเดอริก เพริอร์ส (Frederick Perls อ้างถึงใน ปนัดดา ชานาญสุข, 2553, น. 144) ไดก้ ล่าวถงึ ธรรมชาตคิ วามแตกตา่ งของมนุษย์ไว้น่าฟังว่า “ฉนั รับผิดชอบชวี ิตฉนั เธอรบั ผดิ ชอบชวี ติ เธอ ฉนั มไิ ด้อยใู่ นโลกนเ้ี พ่อื จะดาเนนิ ชีวิตไปตามความคาดหมายของเธอ เธอก็มไิ ดอ้ ยู่ในโลกนเ้ี พอ่ื ดาเนนิ ชวี ติ ไปตามความคาดหมายของฉัน ฉนั คือฉัน เธอคอื เธอ ในบางครั้งบางโอกาส ถา้ ชวี ติ ของเรามาสอดคล้องต้องกนั น่ันเป็นสิง่ ท่งี ดงาม แต่ถ้าไม่ ก็เป็นเร่ืองท่ีช่วยไม่ได้” เฟรดเดอรกิ เพรอิ ร์ส

41 4. พฤติกรรมของมนุษยเ์ กิดข้นึ อยา่ งมสี าเหตุ จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ส่วนใหญ่พบว่า การแสดง พฤติกรรมต่างๆ เกิดข้ึนโดยมีสาเหตุทั้งสิ้น โดยท่ีสาเหตุน้ันอาจแตกต่างกัน แต่สาเหตุของการแสดง พฤติกรรมที่สาคัญคือ ความต้องการ หรือท่ีเรียกว่าแรงจูงใจ ซ่ึงเป็นความคิดและความรู้สึกท่ีทาให้ บคุ คลแสดงการกระทาต่างๆ ออกมา 5. มนุษยต์ ้องการเพ่อื น ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ต้องการมสี ัมพันธภาพทดี่ ีตอ่ กนั มนษุ ยม์ กั ร้สู กึ เหงา วา้ เหว่ บางครั้ง มีปัญหาก็ต้องการเพ่ือนท่ีจะปรึกษาหารือ ให้กาลังใจ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในการดาเนินชีวิต มนุษย์ไมช่ อบอยูต่ ามลาพัง แต่ต้องการเพื่อน ต้องการการสนับสนุนเพ่ือความม่นั ใจ เพือ่ จะช่วยเหลือ และส่งเสริมการดาเนินชีวิต ทั้งน้ีไม่จาเป็นว่าแต่ละคนจะต้องมีเพื่อนมากมาย แต่ขอให้มีเพื่อนแท้ ที่สนิทไวว้ างใจได้ ซงึ่ เพือ่ นแท้ไมม่ ีขาย ถ้าอยากได้ก็ตอ้ งใชม้ ิตรภาพ และความจริงใจแลกเปลีย่ นมา 6. มนุษยม์ ลี กั ษณะเป็นองค์รวม มนุษย์ประกอบขึ้นด้วยลักษณะหลายประการ และการแสดงพฤติกรรมมีความ หลากหลาย การท่ีจะศึกษาเขา้ ใจมนษุ ย์นั้นต้องคานงึ ถึงความรสู้ ึก ความคดิ การกระทา ประสบการณ์ ในอดีต สภาพแวดล้อม และสติปัญญาของบคุ คลด้วย 7. มนุษยเ์ ปน็ ผ้ทู พี่ ัฒนาได้ มนุษย์มีคุณลักษณะพิเศษ คือ เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ รอบตัวได้ และสามารถ ศึกษาพัฒนาตนให้เจริญงอกงามได้ ดังน้ัน การท่ีบุคคลมีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่า การดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข และมีทักษะในการปฎิบัติตนต่อผู้อื่น ก็จะสามารถปรับเปล่ียนตนเอง ใหเ้ ปน็ ผู้ที่มีมนษุ ย์สัมพนั ธ์ได้ ดังน้ัน จึงสรุปได้ว่า แนวคิดและความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์เป็นคุณค่า ส่งผลต่อ จุดเริ่มต้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ต้องมองว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามมีความเท่าเทียมกัน มีศักด์ิศรี แห่งความเป็นมนุษย์ด้วยกันเป็นลาดับแรก จึงทาให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกัน เพ่ือให้เพื่อนมนุษย์ให้ พ้นทุกข์ ในเปา้ หมายปลายทางกอ่ ให้เกดิ ความสัมพันธ์อนั ดซี ง่ึ กันและกนั ตอ่ ไป

42 หลกั การทเ่ี ก่ียวข้องกับมนษุ ยสมั พนั ธ์ การศกึ ษาทาความเข้าใจเร่ืองมนุษยสมั พนั ธน์ ั้น จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาถึงหลักการท่ี เก่ียวข้องกับมนุษยสัมพันธ์ เพราะหลักการเหล่าน้ีจะทาหน้าท่ีอธิบายเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ซึ่งจะเป็นพ้ืนฐานในการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี หลักการที่เก่ียวข้อง กบั มนษุ ยสัมพนั ธ์ท่สี าคัญ สรปุ ไดด้ งั นี้ 1. หลกั วชิ าจิตวทิ ยา หลักการนี้เป็นการใช้จิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ เช่น ความต้องการพ้ืนฐาน อารมณ์ ความรู้สึก การรับรู้ เจตคติ และบุคลิกภาพ การใช้หลักจิตวิทยาเพื่อ ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์จะทาให้เข้าใจและเห็นใจมนุษย์มากขึ้น ทาให้เข้าใจว่าทาไมบุคคลจึงมี พฤตกิ รรมบางอย่างเหมอื นกนั แต่พฤตกิ รรมบางอยา่ งตา่ งกนั หลกั จติ วิทยาจะช่วยใหเ้ ข้าใจพฤตกิ รรม อันเป็นพื้นฐานในการสร้างมนุษยส์ ัมพนั ธ์ต่อไป ประเด็นสาคัญทม่ี ักพบเห็น เชน่ 1.1 ความประทับใจแรกพบ (First Impression) เป็นคุณลักษณะทางด้านจิตวิทยา สังคมประการหน่ึง คือ หากบุคคลใดรู้สึกประทับใจกับบุคลิกภาพ พฤติกรรม หรือสถานการณ์ใด ก็มักจะมีเจตคติที่ดีต่อสิ่งน้ัน เช่น ถ้าเราประทับใจใครสักคนเมื่อแรกพบก็มักจะมองคนนั้นในแง่ดี มคี วามชอบพอ อยากคบหาสมาคมด้วย 1.2 ความพงึ พอใจตอ่ เพศตรงข้าม โดยธรรมชาติมนษุ ย์มักจะมคี วามร้สู กึ เอน็ ดู พงึ พอใจ ดึงดูด และให้เกียรติกับเพศตรงข้ามมากกว่าเพศเดียวกัน ดังที่จะเห็นได้จากกิจกรรมการต้อนรับ นอ้ งใหมท่ ีร่ นุ่ พผี่ ู้ชายมกั จะดูแลใสใ่ จร่นุ นอ้ งท่ีเป็นเพศหญิงมากกวา่ ใสใ่ จรุ่นนอ้ งท่ีเปน็ เพศชาย 1.3 ความใกล้ชิด เมื่อบุคคลอยู่ใกล้ชิดกับผู้ใดนาน ก็มักจะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับบุคคล น้ัน เมื่อบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกระทาบางสิ่งผิดพลาด ก็มักจะมองข้ามข้อบกพร่องของผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรอื มองเห็นเปน็ เรือ่ งเลก็ น้อย ซงึ่ เปน็ เร่อื งธรรมดาตามธรรมชาติของความสมั พนั ธ์ 1.4 ความคล้ายคลึงกัน โดยปกติมนุษย์มักจะอนุมานความคล้ายคลึงของบุคคลต่างๆ กับตนเอง โดยความคล้ายคลึงนั้นจะทาให้รู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เพราะมีลกั ษณะหรือปัจจัยใดปัจจัย หนึง่ คล้ายกัน เชน่ จบสถานศกึ ษาเดียวกัน ชอบกีฬาว่ายนา้ เหมือนกนั เป็นตน้ 1.5 การเช่ือมโยงส่ิงแวดล้อม เม่ือบุคคลพึงพอใจต่อบุคคลหรือสถานการณ์ใดก็มักจะ จดจาไว้ และเม่อื ประสบกับบคุ คลหรือเหตกุ ารณ์ทค่ี ล้ายคลึงกับเหตกุ ารณ์น้ัน ก็มักจะรู้สึกพึงพอใจต่อ สิง่ นน้ั ด้วย ตัวอย่างเช่น กิจกรรมการแข่งขนั กฬี าสีทาใหเ้ กิดความประทบั ใจ ดังนัน้ เมื่อมีการจัดกฬี าสี ก็ทาใหร้ สู้ กึ พงึ พอใจ และเชอ่ื มโยงไปถงึ ผูจ้ ดั กฬี าสี

43 นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติท่ีติดตัวมนุษย์มาแต่กาเนิดอย่างหน่ึง คอื สัญชาตญาณ ซ่ึงมีผลต่อมนุษยสัมพันธ์ดงั นี้ 1.1 สัญชาตญาณของการสืบพันธ์ุ เป็นธรรมชาติทไ่ี ม่อาจหลีกเล่ียงได้ เกี่ยวกับ “เสน่ห์ ตา่ งเพศ” (Sex Appeal) ซึ่งก่อใหเ้ กิดปัญหาขนึ้ ได้ เชน่ ปัญหาชู้สาวทาให้เกิดการววิ าท หัวหน้างาน ไม่ยตุ ิธรรม เสียการบังคับบญั ชา เสยี การงาน เปน็ ตน้ 1.2 สัญชาตญาณของการต่อสู้ ถ้าผู้บริหารและบุคลากรรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น ใช้สู้งาน สู้คู่แข่งขัน สู้ปัญหา เป็นต้น ก็จะส่งผลดี แต่ถ้าควบคุมไม่ดี ในองค์การมักจะมีการทะเลาะ วิวาทกัน เชน่ โต้แย้งผบู้ รหิ าร หรอื ทะเลาะกับบคุ คลภายนอก 1.3 มนุษย์มีสัญชาตญาณในการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน จึงมีคา กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ถ้าใช้พฤติกรรมการรวมกลุ่มของคนในทางท่ีถูก จะเป็นการผนึก กาลัง ช่วยให้งานสาเร็จด้วยดี สามัคคีกัน ป้องกันศัตรู ในทางตรงกันข้าม ถ้าใช้สัญชาตญาณการ รวมกล่มุ ในทางท่ีเปน็ โทษ เช่น นดั กันหยุดงาน เป็นต้น 1.4 สัญชาตญาณในการหลบภัยและการเอาตัวรอด มนุษย์ก็ทาทุกอย่างเพ่ือความ ปลอดภัยและกิจกรรมที่เป็นกลุ่ม สมาชิกกลุ่มก็ร่วมกันรักษาความปลอดภัย ฉะน้ันองค์การควรให้ ความปลอดภัยแก่บุคลากร กอ่ นจะรวมตัวกนั เรยี กรอ้ ง 2. หลักวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละการแพทย์ การนาหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมขอ งบุคคลในด้าน ตา่ งๆ มดี งั ต่อไปนี้ (สมพร สุทัศนยี ์, 2554, น. 153) 2.1 ความสมบูรณ์และความผิดปกติของสมอง ความสมบูรณ์และความผิดปกติของ สมองย่อมมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมของบุคคลเป็นอย่างยิง่ เพราะบุคคลที่การทางานของสมองผิดปกติ ย่อมทาใหพ้ ฤติกรรมเบ่ียงเบนไปจากมาตรฐานได้ เชน่ บคุ คลที่สารเคมีในสองผิดปกติก็จะทาให้บุคคล นัน้ มพี ฤตกิ รรมก้าวรา้ ว เป็นเหตุให้เป็นอุปสรรคตอ่ การสร้างสัมพันธภาพ เปน็ ต้น 2.2 ความพิการทางรา่ งกายและการเจบ็ ป่วยเรื้อรัง ความพกิ ารทางรา่ งกายและเจบ็ ปว่ ย เรื้อรังย่อมมีผลต่อจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ท่ีมีความพิการหรือ เจ็บป่วยเร้ือรังมีปัญหาด้านอารมณ์ ความคิด จิตใจก็จะส่งผลโดยตรงต่อการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ พงึ ประสงค์ จงึ ยากที่จะสรา้ งความสัมพนั ธ์ทด่ี ีกบั บคุ คลอ่ืนได้ 2.3 โรคจิตประสาท บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตดังกล่าว ย่อมมีพฤติกรรมท่ี แปรปรวนไม่เป็นไปตามมาตรฐานของสังคม เช่น บางคนเป็นคนขี้ระแวง คอยจับผิดผู้อื่นตลอดเวลา บางคนก็มีความสุขท่ีทาให้ผู้อื่นเจ็บปวด บางคนก็ทาอะไรไม่ยั้งคิด หรือควบคุมสติไม่ได้ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านส้ี ่งผลด้านลบต่อการสรา้ งมนษุ ยส์ มั พันธเ์ ป็นอยา่ งย่ิง

44 ภาพท่ี 2.1 บุคคลทีม่ ีความเครียดอาจนาไปสแู่ นวโน้มโรคจิตประสาท ทีม่ า: http://www.familynetwork.or.th/content 3. หลกั วชิ าจิตวิทยาวเิ คราะห์ หลักวิชาจิตวิทยาวิเคราะห์ กล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมอีกปัจจัยหนึ่ง คือ ต่อมไร้ทอ่ (Ductless gland) ซงึ่ มอี ทิ ธิพลทาใหพ้ ฤตกิ รรมของมนุษยผ์ ิดปกติ ดังนี้ 3.1 ต่อมพิทอู ิทารี (Pituitary) ฝังอยู่กลางศีรษะ ถ้าต่อมทางานไมไ่ ด้ผล จะแคระแกร็น ขาดความเจริญทางเพศ แต่ถ้าต่อมทางานมากเกินไป ความเจริญทางเพศจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผิดปกติ 3.2 ตอ่ มไทรอยด์ (Thyroid Gland) มี 2 ต่อมติดอยู่ข้างหลอดลมข้างละตอ่ ม ถ้าต่อมนี้ ชารุดจะมีอาการซมึ มึนชา อ้วนฉุ สติปญั ญาเสอ่ื มถอยลง 3.3 ต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid Gland) อยู่เหนือต่อมไทรอยด์ ถ้าหล่ังฮอร์โมน นอ้ ยไป จะตน่ื เตน้ งา่ ย โกรธง่าย จติ ใจหดหู่ 3.4 ต่อมอะดรีนัล (Adrenal Gland) อยู่บนไตทั้งสอง ถ้าฉีดฮอร์โมนน้อยไปจะง่วง เหงา เศรา้ ซมึ ออ่ นเพลยี หวั ใจเต้นออ่ น ถ้าต่อมฉีดฮอร์โมนมากไป จะกระตุ้นให้เจรญิ ทางเพศเร็วกว่า ปกติ เพศหญงิ จะมขี นขน้ึ ทหี่ น้ามากกว่าปกติ มีหนวดเครา 3.5 ตอ่ มทางเพศ (Sex Gland หรือ Gonads) ถ้าฮอร์โมนน้อย อวัยวะเพศจะไม่เติบโต ไปตามปกติ นม สะโพก จะไมม่ เี หมอื นคนปกติ ร่างกายผิดปกติ จติ ใจไม่ปกติ มีความกังวล เปน็ ตน้ 4. หลกั วชิ าทางสงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา มนุษย์เป็นสัตว์สังคม รักเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ มีวัฒนธรรม ต้องพ่ึงพาอาศัยกัน ร่วมกัน คดิ ค้นสรา้ งสรรค์ เอาชนะธรรมชาติ แกป้ ญั หาเพือ่ ประโยชนส์ ขุ ร่วมกัน

45 หลักวิชาสังคมวิทยา สังคมวิทยาศึกษาถึงสภาพธรรมชาติของกลุ่มคน ความเป็น ปกึ แผน่ ของกลุม่ แบบอย่างความสมั พันธ์ภายในกลุ่ม รูปแบบขององคก์ ารต่างๆ หรอื ผ้นู ากล่มุ เป็นต้น การยึดหลักทางสังคมวิทยาทาให้เข้าใจธรรมชาติของกลุ่มคน เข้าใจว่ามนุษย์ต้องอยู่เป็นกลุ่มสังคม มีการจัดระบบอานาจคือต้องมผี ู้นาและลกู นอ้ ง หลักวิชามานุษยวิทยา หลกั การทางดา้ นมานุษยวิทยาทาใหเ้ ข้าใจวฒั นธรรมตา่ งๆ ได้แก่ 1. วัฒนธรรมทางความคิด เป็นความเชื่อหรือความคิดซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ แต่คน ในสังคมเชือ่ เช่นนน้ั เช่น ความเชื่อในเร่ืองโชคลาง ส่ิงศักด์สิ ทิ ธ์ิ บาปบุญคุณโทษ เปน็ ตน้ 2. วัฒนธรรมบรรทัดฐาน เป็นระเบียบแบบแผนหรือประเพณีท่ีบุคคลในสังคมยึดถือ ปฏบิ ัติรว่ มกนั ได้แก่ 2.1 วิถชี าวบา้ น คือ ระเบียบแบบแผนทบ่ี ุคคลควรปฏิบัติ เช่น การบวช เปน็ ตน้ 2.2 จารีต คือ ระเบียบแบบแผนท่ีบุคคลตอ้ งปฏิบตั ิ หากฝ่าฝืนถือว่าเป็นการกระทา ผิดทางศลี ธรรม สังคมจะประณาม เช่น การเล้ยี งดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า 2.3 กฎหมาย คือ ระเบียบแบบแผนที่ทุกคนตอ้ งปฏิบัตอิ ย่างเคร่งครดั หากฝ่าฝืนจะ ถกู ลงโทษตามกฎหมาย 3. วัฒนธรรมทางวัตถุ ได้แก่ วัตถุส่ิงของและเครื่องใช้ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างข้ึนใน ชีวติ ประจาวนั การยึดหลักทางวัฒนธรรมเหล่าน้ี จะทาให้เข้าใจพฤติกรรมของบุคคลดีย่ิงข้ึน เช่น เข้าใจว่าเหตุใดบุคคลในบางกลุ่มสังคมจึงไม่ยอมกินเนื้อวัว เข้าใจว่าเหตุใดพ่อค้าจึงมีพฤติกรรม แตกต่างจากพฤติกรรมของศิลปิน การเข้าใจวัฒนธรรมต่างๆ ท้ังวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมของ ต่างชาตบิ างกลุ่มท่ีเข้ามาอย่ใู นสังคมไทย ย่อมเป็นแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดตี ่อกัน เพราะ การยึดหลักวัฒนธรรมจะทาให้บุคคลยับยั้งความคิดในการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาบางสิ่งบางอย่าง เพ่ือมิให้เกิดความขัดแย้งด้านวัฒนธรรมได้ เช่น การพัฒนาหมู่บ้านโดยการตัดถนนผ่านต้นไม้ท่ี ชาวบ้านเคารพนับถอื และบูชาวา่ เป็นตน้ ไมศ้ ักดส์ิ ทิ ธ์ปิ ระจาหมบู่ ้านย่อมก่อให้เกิดการต่อตา้ นได้ 5. หลักปรัชญาและหลักจรยิ ศาสตร์ การสร้างมนุษยสัมพันธ์จะต้องอยู่บนพื้นฐานของ “มนุษย์มีคุณค่า ศักดิ์ศรี และมีคุณ ความดี” การสร้างมนุษยสัมพันธ์จึงต้องยึดหลักการยกย่องให้เกียรติ และซ่ือสัตย์จริงใจต่อกัน ไม่ดู หม่ินเหยียดหยาม หรือทาให้ผู้อื่นรู้สึกด้อยค่าลงไป ไม่ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือเจ็บปวดท้ังทางกาย และทางใจอนั เป็นหลักทางจริยธรรม

46 ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั มนษุ ยสัมพนั ธ์ ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับมนุษยสัมพันธ์มีหลากหลายทฤษฎี เนื่องด้วยการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เปน็ ปจั จัยพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน สาหรับทฤษฎีเกีย่ วขอ้ งกับมนษุ ยสมั พนั ธ์ มดี ังน้ี 1. ทฤษฏคี วามต้องการตามลาดับขัน้ ของมาสโลว์ ทฤษฏคี วามต้องการตามลาดบั ขั้นของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) โดย อับราฮัม เอช มาสโลว์ (Abraham H. Maslow) ได้ศึกษาความตอ้ งการของมนษุ ย์และตั้งสมมติฐานไว้ ดังนี้ (Hick, อา้ งถึงใน บญุ มัน่ ธนาศภุ วัฒน์, 2553, น. 128) 1. บุคคลย่อมมีความต้องการอยู่เสมอและไม่สิ้นสุด เม่ือความต้องการใดได้รับการ ตอบสนองแล้ว ความตอ้ งการอย่างอ่ืนก็จะเกิดขึ้นอกี ไม่มวี นั จบส้นิ 2. ความตอ้ งการท่ีได้รบั การตอบสนองแลว้ จะไมเ่ ป็นแรงจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรม อีก ความต้องการท่ียังไม่ได้รับการตอบสนองจึงจะเป็นแรงจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรม เพื่อสนอง ความตอ้ งการของตนต่อไป 3. ความต้องการของบุคคลจะเรียงตามลาดับข้ันตอนความสาคัญ เม่ือความต้องการ ระดับต่าได้รบั การตอบสนองแล้ว บุคคลกจ็ ะใหค้ วามสนใจกับความตอ้ งการระดับสงู ข้ึนไป มาสโลว์ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ ต้งั แตร่ ะดบั ตา่ สุดถึงสงู สุด 5 ระดับ ดงั ตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 2.2 แสดงลาดับความตอ้ งการของมาสโลว์ ที่มา: Bourne & Ekstrand. อ้างถึงใน บุญมั่น ธนาศุภวฒั น์, 2553, น. 128

47 ขั้นที่ 1 ความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย (Basic Physiological Needs) เป็นความ ต้องการขั้นแรกของมนุษย์ ซ่ึงจาเป็นต่อการดารงชีวิต เช่น ความต้องการอาหาร น้า อุณหภูมิที่ เหมาะสม อากาศสาหรับหายใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ส่วนแต่เป็นส่ิงจาเป็น สิ่งเหล่าน้ีล้วนแต่เป็น ส่ิงจาเป็นสาหรับมนุษย์ทุกคน เพ่ือความอยู่รอด มนุษย์จึงต้องใฝ่หาสิ่งเหล่าน้ีมาตอบสนองก่อน สง่ิ อนื่ ใด จนเป็นท่ีพอใจแล้วจึงจะแสวงหาความต้องการด้านอื่นตอ่ ไป ตราบใดที่มนษุ ย์ยังขาดอาหาร และประสบกับความหิวโหย เขาจะไม่คิดถึงความปลอดภัย ความรัก หรือความมีเกียรติยศช่ือเสียง เพราะสิ่งเหล่าน้ีไม่สามารถทาใหท้ อ้ งอ่ิมได้ ข้ันที่ 2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) ถ้าความ ต้องการด้านร่างกายได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการในลาดับท่ีสูงข้ึน คือ ความ ต้องการความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องท่ีเก่ียวกับการป้องกัน เพ่ือให้เกิดความปลอดภัยจาก อันตรายต่างๆ ที่จะเกิดข้นึ แก่ร่างกาย หรือให้ปลอดภัยจากการข่มขู่ การบงั คับ การเจบ็ ป่วย หรือการ สูญเสยี ทางด้านเศรษฐกิจ หรือความมัน่ คงในอาชีพ โดยไม่ถกู ปลดหรือย้ายกนั ง่ายๆ จะตอ้ งได้รบั การ ปฏิบัติอย่างยุติธรรม เวลาเจ็บป่วยก็มีคนรักษาพยาบาลให้ ได้รับความเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด เม่ือจะออกจากงานก็ได้รับบาเหน็จบานาญเป็นการตอบแทน นอกจากน้ียังตอ้ งการมีรายได้เพียงพอ แกก่ ารดารงชพี ที่สุขสบาย มหี ลักประกันตา่ งๆ ในการทางานอย่างเพียงพอ ตลอดท้ังครอบครัวเป็นสุข ปลอดภยั ดว้ ย ขั้นท่ี 3 ความต้องการการยอมรับในสังคม (Belonging and Social Needs) เม่อื ความ ต้องการทางร่างกายและความม่ันคงปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการการยอมรับใน สังคมก็จะเป็นสิ่งจูงใจต่อพฤติกรรมของบุคคลต่อไป โดยปกติคนเรามีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อยู่แล้ว ดังนั้น ความต้องการด้านนี้จะเป็นความต้องการในการอยู่ร่วมกัน และการได้รับการยอมรับ จากบุคคลอื่นๆ มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เม่ือคนเรามีความรู้สึกว่ากลุ่มยอมรับไว้ เปน็ สมาชกิ แลว้ กจ็ ะเกดิ ความภาคภมู ิใจ มคี วามรับผิดชอบ รกั ษาส่วนได้สว่ นเสียของกลุ่มอย่างเต็มที่ ขั้นท่ี 4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) เป็นความต้องการ ระดับสูงเกี่ยวกับความม่ันใจตนเอง ในเรอื่ งความร้คู วามสามารถ ความสาคัญในตนเอง ความต้องการ ท่ีจะให้ผู้อื่นยกย่องสรรเสริญ หรือนับหน้าถือตา หรือความก้าวหน้าทางด้านสถานภาพของตน เช่น ตาแหน่ง ช่ือเสียง เกียรติยศ เป็นต้น เม่ือบุคคลใดได้รับการยกย่องว่ามีความสาคัญแล้ว จะทาให้เขา เกิดความภาคภูมิใจ เมื่อชักชวนให้ทาสิ่งใดก็มักจะให้ความร่วมมือเสมอ แต่ถ้าความต้องการด้านน้ี ไมไ่ ด้รับการตอบสนอง จะทาใหบ้ ุคคลเกดิ ความรู้สกึ ว่าตนเองเป็นคนไร้ค่า ไม่มคี วามสาคัญ กอ่ ให้เกิด ความท้อแท้ใจ หรอื ความรู้สึกที่ต้องการสิง่ ชดเชย ขั้นที่ 5 ความต้องการความสาเร็จในชีวิต (Self-Actualization Needs) เป็นความ ต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ หลังจากความต้องการด้านอ่ืนๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว เป็นความ

48 ตอ้ งการท่ีแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายขึน้ สูงสุดของตน ซึ่งนับว่าเป็น ความต้องการที่กว้างขวาง เม่ือบุคคลใดก็ตามได้มีการพิจารณาบทบาทของตนในชีวิตว่า ควรจะเป็น อย่างไรแล้ว เขาก็จะพยายามผลักดันชีวิตไปในทางที่ดีท่ีสุด ตามที่ได้ต้ังเป้าหมายไว้ แต่จะประสบ ความสาเร็จบรรลุตามเป้าหมายหรือไม่น้ัน ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของเขาด้วย ความต้องการใน ระดบั นี้เปน็ ความตอ้ งการท่ีจะใชค้ วามสามารถทุกๆ อยางของตนอย่างเตม็ ท่ี บุคคลท่ีจะบรรลถุ ึงความ ต้องการขน้ั นี้ได้ จะตอ้ งมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เป็นบุคคลท่ีทาอะไรมีเป้าหมาย (Purposeful) ไม่ว่าจะทาอะไรต้องมีเป้าหมาย ถือว่างานเป็นส่งิ สาคญั ไม่ว่าจะเป็นงานหนกั หรอื งานเบา ก็จะทาดว้ ยความสบายใจ 2. มีบุคลิกท่ีเป็นจริง (Realistic) คือ การทาอะไรโดยไม่เสแสร้ง ใจกว้าง ไม่ใช้อารมณ์ ในการตดั สินปญั หา มองโลกในแง่ดี มคี วามสามารถในการมองอนาคตของตนเองไดว้ ่า อะไรจะเกิดขึ้น อะไรผิด อะไรถกู 3. มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) คือ ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องมีใคร มากระต้นุ กลา้ เสี่ยง และหากเกิดความผดิ พลาดกก็ ล้ายอมรบั ในความผิดพลาดนัน้ 4. เป็นบุคคลท่ีถ่อมตัวไม่โอ้อวด (Humble) คือ ยอมรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอ่ืน และตระหนักอยู่เสมอว่า ตนเองไม่ใช่ผู้รอบรู้ไปเสียทุกอย่าง จาเป็นจะต้องเรียนรู้จากบุคคลอื่นอยู่ เสมอ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อมั่นในตนเอง และไม่ใช้กลไกของจิตใจ (Mental Mechanism) ในการแกไ้ ขปญั หา 5. เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Consideration) คือ เป็นบุคคลที่เข้าใจสภาพ ความรู้สึกของผู้อื่น แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับความคิด หรือการกระทาของบุคคลนั้นก็จะพยายาม วเิ คราะห์ และพยายามเข้าใจความร้สู กึ และความต้องการของผู้อ่นื อยู่เสมอ 6. มีจริยธรรม (Ethical) เม่ือเปรียบเทียบกับบุคคลทั่วไป จะพบว่าเขาเป็นคนดี มีจรยิ ธรรม มีจิตใจทด่ี ีงาม และมวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ 7. มีความกล้าหาญ (Courageous) มีความกล้าท่ีจะคิดและทาสิ่งใหม่ๆ ชอบเผชิญ สงิ่ ตา่ งๆ ที่ท้าทาย แมจ้ ะเกดิ ปญั หาหรอื สง่ิ ทีท่ าใหต้ กใจหรอื น่ากลัว กพ็ ยายามเอาชนะให้ได้ 8. มีความเชื่อม่ันใจตนเอง (Self-Confident) บุคคลที่มีความต้องการถึงขึ้นที่ 5 มักจะ มีสุขภาพดี ท้ังสุขภาพกาย และสุขภาพจิต และบุคคลเหล่านี้ จะมีความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะเขา เชือ่ ในประสิทธิภาพ และการตัดสินใจของตนเอง 9. มีวินัยในตนเอง (Self Disciplined) ไมว่ ่าจะตัดสินใจทาอะไร ถา้ แนใ่ จวา่ การกระทา น้ันถกู ตอ้ งก็จะทาทันที มีค่านิยมที่จะพัฒนาตนเองใหด้ ีขึ้น มีความรบั ผิดชอบ 10. มีบูรณาการ (Integrated) คือ ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ทั้งด้านความคิดและ การกระทา จะไมม่ คี วามขดั แยง้ ในใจ มีบคุ ลิกค่อนข้างสมบรู ณ์ ทาให้มพี ลังและศักยภาพมากกว่าผอู้ ืน่

49 ขอ้ วิจารณท์ ฤษฏมี าสโลว์ 1. มาสโลว์มิได้มีความมุ่งหมายว่า การเรียงลาดับความต้องการดังกล่าว จะเป็นแบบ ฉบับตายตัวเสมอไป แต่ถือว่าเป็นแบบฉบับที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่เท่าน้ัน เขายอมรับว่าการ เรียงลาดับอาจมีข้อยกเว้นได้ เช่น มหาตมะ คานธี ได้เสียสละความต้องการทางร่างกาย และความ ปลอดภัย เพื่อสนองความต้องการทางด้านอ่ืน คือ ความสมหวังในชีวิต อันได้แก่ อิสรภาพของ ประเทศอนิ เดยี ในขณะน้นั 2. ตามท่ีกล่าวว่า เม่ือความต้องการอย่างหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการ อย่างอนื่ จึงจะเกิดขึ้นมานั้น เป็นสิ่งทม่ี ิใช่กฏตายตัวเสมอไป เช่น ความต้องการบางอย่าง อาจจะไดร้ ับ การตอบสนองเพียงบางส่วน แต่ความตอ้ งการดา้ นอ่ืนๆ กม็ ีโอกาสเกิดขน้ึ มาได้ และในบางกรณคี วาม ตอ้ งการของคนกม็ กั ซา้ ซอ้ นกนั ได้ น่ันคอื ความตอ้ งการอย่างหนึ่งอาจจะยงั ไม่หมดไป แต่ความต้องการ อยา่ งอ่ืนจะเกิดข้นึ ตามมา 3. แม้ว่าความต้องการของบุคคลส่วนมากจะเป็นไปตามลาดับ แต่ความแตกต่างใน ลาดับอาจจะเกิดขนึ้ ได้จากประสบการณ์การเรยี นรู้ของบุคคล รวมทง้ั การอบรมทางสังคม วัฒนธรรม และบคุ ลกิ ภาพของแต่ละบคุ คล 4. ความเข้มของความต้องการ อาจจะเปล่ียนแปลงกลับไปกลับมาได้ ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ทแ่ี ตกตา่ งกัน เช่น ภายใตส้ ภาวะเศรษฐกิจท่ไี ม่ดี ความตอ้ งการทางด้านร่างกายและความ ปลอดภัยมีแนวโน้มท่ีจะมีอิทธิพลต่อพฤตกิ รรมของบุคคลมาก สว่ นภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ดี ความ ตอ้ งการระดับสูงจะมีอทิ ธพิ ลตอ่ พฤติกรรมของบุคคลมากกว่าความต้องการทางด้านร่างกาย 5. ทฤษฏีของมาสโลว์ นาไปใชไ้ ด้เฉพาะบคุ คลทีอ่ ยู่ในสภาพปกติ ในสังคมทมี่ กี ารพฒั นา แล้ว สาหรับบุคคลปกติน้ัน ความต้องการทางด้านร่างกาย และความม่ันคงปลอดภัยมิใช่ส่ิงจูงใจที่ สาคัญมากนัก แต่ในสังคมด้อยพัฒนา ที่มีความอดอยากขาดแคลนอาหารน้ัน ความต้องการทางด้าน ร่างกายย่อมเป็นความตอ้ งการท่ีสาคัญทีส่ ดุ ของคนส่วนใหญ่ กระบวนการมนุษยสัมพันธ์ในโรงเรยี น 2. ทฤษฏคี วามสมดลุ ของไฮเดอร์ ทฤษฏีความสมดุลของไฮเดอร์ (Heider’s Balance Theory) โดยไฮเดอร์สร้างทฤษฎี ขึ้นจากหลักที่ว่า คนเรามักจะชอบหรือพอใจคนที่ชอบหรือไม่ชอบในส่ิงท่ีคล้ายๆกันกับตัวเรา เน่ืองจากความชอบพอระหว่างบุคคลเกิดจากความคล้ายทางความรู้สกึ นึกคิด จากแนวคิดแสดงภาพ ไดด้ ังน้ี

50 ภาพซ้าย หมายถึง ถ้า A และ B ต่างก็ชอบ C จะมีผลให้ A และ B มีความรู้สึกที่ดี ต่อกัน เพราะมีความชอบในส่งิ เดยี วกันหรือคล้ายคลึงกัน (เครื่องหมายเปน็ บวก) ภาพขวา หมายถึง การที่ A และ B ต่างก็ไม่ชอบ C เหมือนกัน จะมีผลให้ A และ B มี ความรู้สกึ ท่ดี ตี อ่ กัน เพราะมีความรสู้ กึ ตอ่ C ในทิศทางเดยี วกนั (เครือ่ งหมายเปน็ ลบ) จากแนวคดิ น้ที าให้ไดข้ ้อคดิ และแนวปฏบิ ัติวา่ การที่จะผกู มิตรและมสี ัมพนั ธภาพทดี่ กี ับ ผู้อื่นนั้น ถ้าเราศึกษาให้รู้ถึงความชอบ ไม่ชอบของบุคคลนั้นๆ เราจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ให้เป็น ประโยชน์ในการผูกพันธ์กับเขาได้ เช่น การสนทนาในเรื่องที่เขาชอบก็ย่อมทาให้เขาพอใจ และ ต้องการสนทนาด้วย นอกจากน้ี สมคิด บางโม (2544, น. 167) ได้กล่าวว่าทฤษฎีความสมดุล หมายถึง ความพอดีหรือความสอดคล้องที่ทาให้คนสองคนสามารถปรับตัวให้เข้ากันได้ เป็นการศึกษาเรียนรู้ บุคคลอกี ฝ่ายหน่ึงทจ่ี ะมีสัมพันธภาพดว้ ย โดยพืน้ ฐานของทฤษฎีนีม้ ีแนวคิดอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก มีแนวคิดว่าหากทราบว่าบุคคลใดชอบสิ่งใด เราก็ชอบสิ่งนั้นด้วย นับว่า เป็นโอกาสดีที่บุคคลสองคนจะมาผูกมิตรกันให้มากขึ้นกว่าบุคคลอื่นๆ เช่น นาย A ชอบเล้ียงนกเขา ชวา และนาย B กช็ อบเล้ียงนกเขาชวาดว้ ย เมอ่ื มีโอกาสอันเหมาะสมที่คนสองคนมาพบปะพูดคุยกัน ซ่ึงนาย B ต้องการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับนาย A โดยนาย B เมื่อได้มีโอกาสและจังหวะท่ีเหมาะสม กน็ าเสนอเรื่องเลี้ยงนกเขาชวา ทาใหบ้ ุคคลทั้งสองสามารถสนทนาพดู คุยได้มากขึ้น เพราะพูดตรงกับ เรื่องที่ต่างคนต่างก็ชอบเหมือนกัน และในโอกาสต่อมาก็ทาให้เกิดความชอบพอซ่ึงกันและกัน คบหาสมาคมกนั เปน็ มติ รต่อไป ประการที่สอง มีแนวคิดว่าหากทราบว่าบุคคลใดไม่ชอบสิ่งใด เราก็ไม่ชอบส่ิงนั้นด้วย ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะทาการผูกมิตรกันมากขึ้น โดยคนท่ีไปผูกมิตรด้วยจะต้องไม่พยายามพูดหรือ กระทาในส่งิ ท่ีบุคคลน้ันไม่ชอบ การสรา้ งสมั พันธภาพของบุคคลท้ังสอง สามารถดาเนินไปด้วยดีและ ไม่ผิดใจกนั หรือทเ่ี รียกว่า รกั ษาน้าใจกนั ไว้ดกี วา่ ดงั นั้น ทฤษฎีความสมดุล เป็นแนวคิดท่ีทาให้บุคคลสองคนกระทาตนใหม้ ีความเหมือน ได้มากท่ีสุด ซึ่งเปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการสร้างสมั พันธภาพอันดีตอ่ กัน

51 3. ทฤษฎีการจูงใจ ทฤษฎีการจูงใจได้กล่าวถึงธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ไวอ้ ยา่ งชัดเจน ดงั นี้ 3.1 ทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแมกเกรเกอร์ (McGregor, 1960, p. 33-34) โดยแมกเกรเกอร์กลา่ วถงึ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ 2 ด้าน ตามแนวทฤษฎีต่อไปน้ี 3.1.1 ทฤษฎีเอกซ์ (X Theory) นักทฤษฎีนี้เช่ือว่า มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีมีแต่ ความต้องการ (Man is a wanting animal) คือ มีความต้องการไมม่ ีทส่ี ้นิ สดุ และมลี ักษณะอื่นๆ เชน่ 1) ไมช่ อบทางาน มักจะหลบงานเมื่อมโี อกาส การจูงใจให้มนุษยท์ างานต้อง ใช้วธิ บี ังคบั ควบคมุ ส่ังการ ลงโทษ 2) ชอบเป็นผู้ตาม เวลาทางานต้องคอยฟังคาส่ัง พยายามจะหลีกเลี่ยง ความรับผดิ ชอบ แตต่ ้องการความมนั่ คงปลอดภัยมากที่สดุ 3) ใหค้ วามสาคญั แกต่ นเองเท่านน้ั ไม่สนใจความต้องการของผู้อืน่ 4) มกั ต่อตา้ นการเปล่ยี นแปลง จะเห็นไดว้ า่ ทศั นะของนักทฤษฎีนคี้ ่อนข้างจะมองมนษุ ยใ์ นแงล่ บ 3.1.2 ทฤษฎีวาย (Y Theory) เป็นทัศนะของนักพฤติกรรมศาสตร์หลายท่าน เช่น ลีเคิร์ท (Likert) อาร์กิริส (Argiris) บุคคลเหล่าน้ีเชื่อว่า มนุษย์เป็นผู้ชอบการสมาคม (Man is a social man) มนุษย์จะอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องพบปะพูดคุยและให้ความช่วยเหลือกัน แมกเกรเกอร์ได้ สรุปทัศนะของพฤติกรรมศาสตรท์ ี่เกยี่ วขอ้ งกบั มนุษย์ ดงั น้ี 1) รักงาน จะทางานด้วยความสุขโดยเช่ือว่างานเป็นส่ิงท่ีสนองความ ตอ้ งการ คนจะหลกี เล่ยี งงานหรอื ไม่น้นั ขนึ้ อยู่กบั ลักษณะการบรหิ ารของผ้บู งั คับบญั ชา 2) จะทางานด้วยตัวของเขาเอง มีความรับผิดชอบในการทางานจนได้รับ ความสาเรจ็ เม่ือเขาทางานเสรจ็ เขาก็จะมกี าลงั ใจในการทางานใหบ้ รรลเุ ป้าหมายขององค์การ 3) ชอบทางานเป็นกลมุ่ 4) จะเรียนรู้จากสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ และแสวงหา ความรบั ผดิ ชอบเพ่ิมขน้ึ 5) มีความเฉลียวฉลาด มีความคิด จนิ ตนาการสร้างสรรค์ และแก้ไขปัญหา อย่างสร้างสรรค์ มนุษยท์ กุ คนรูจ้ ักตนเองวา่ เปน็ ใคร กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีน้มี องมนุษยใ์ นแงบ่ วกมากกว่าทฤษฎีเอกซ์ 3.2 ทฤษฎีแซด (Z Theory) ของเรดดิน (Reddin) เรดดินมีความเช่ือว่ามนุษย์มีความ ซับซ้อน (Man is a Complex man) แตใ่ นความเปน็ จริ งมนษุ ย์มีลักษณะท่ัวๆ ไป ดงั นี้ 3.2.1 เปน็ ผมู้ ีความต้งั ใจในการทางาน 3.2.2 ยอมรบั ท้ังความดแี ละความชั่ว

52 3.2.3 จะถกู ผลักดันจากสถานการณ์และส่ิงแวดล้อมให้ทาส่ิงตา่ งๆ 3.2.4 มเี หตผุ ลเป็นสิ่งจงู ใจให้ทางาน 3.2.5 มักจะพ่ึงพาอาศัยกนั และจะต้องติดต่อเก่ยี วขอ้ งกันในสังคม 3.2.6 ทางานเพ่อื ใหบ้ รรลุเปา้ หมาย กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีแซด มีทัศนะว่ามนุษย์มีลักษณะต่างๆ ไม่ดี ไม่เลว แต่จะทา สิง่ ตา่ งๆ เพราะไดร้ ับอิทธพิ ลจากสถานการณแ์ ละสิ่งแวดล้อม ปจั จยั ที่สง่ เสริมมนษุ ยสัมพันธ์ การสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ตอ้ งคานึงถึงปัจจัยที่สง่ เสริมมนษุ ยสัมพันธ์ ดังที่ สรุ พล พะยอมแย้ม (2548, น. 46-49) ได้อธบิ ายปัจจยั ทส่ี าคัญของสมั พันธภาพระหว่างบคุ คลว่ามีผลสาคญั ต่อการพัฒนา มนษุ ยสมั พันธ์ไว้ 6 ประการ ดังนี้ 1. การกาหนดจดุ ประสงคร์ ่วมกัน ในการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ คู่สมั พันธภาพแต่ละฝ่ายต่างมีความตอ้ งการบางส่ิงบางอยา่ ง จากการมีสัมพันธภาพน้ันๆ เช่น ต้องการการยกย่อง ต้องการกาลังใจหรือความช่วยเหลือ ต้องการ ความรักความอบอุ่น เป็นต้น หากไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ความสัมพันธ์ก็อาจเส่ือมถอยลง ดังน้ัน การกาหนดจุดประสงค์หรือความต้องการให้ตรงกัน แต่ละฝ่ายย่อมทุ่มเทความสามารถที่มีอยูใ่ นการ ทากจิ กรรมตา่ งๆ อันหมายถึงการพัฒนาความสมั พนั ธ์ไปพร้อมๆ กันนั่นเอง 2. การปฏบิ ัตติ ามรปู แบบของความสมั พนั ธร์ ะหว่างกัน ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ความสัมพันธ์ มีรูปแบบเฉพาะท่ีทาให้การปฏิบัติต้อง สอดคลอ้ งกนั กับรูปแบบน้ันๆ เชน่ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างครูกับศิษย์ หัวหนา้ กับลูกนอ้ ง เพ่อื นกับเพ่อื น เป็นต้น การปฏิบัติให้สอดคล้องกับรูปแบบและโครงสร้างที่เป็นอยู่ จะทาให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้น หากปฏบิ ตั ิไมเ่ หมาะสมกจ็ ะบั่นทอนสัมพันธภาพลง 3. การเคารพสทิ ธิส่วนบคุ คล ทุกคนมีความต้องการสิทธิส่วนบุคคลส่วนตัว และจะหวงแหนสิทธิน้ันๆ ไม่ต้องการ ให้ใครล่วงล้าโดยไม่ได้รับอนุญาต สิทธิเหล่านี้มีท้ังท่ีเป็นวัตถุธรรมและท่ีเป็นนามธรรม การทาความ เข้าใจและเคารพในสิทธิของแต่ละฝา่ ยเป็นสิ่งสาคญั ประการหน่ึงที่จะช่วยพัฒนามนุษยสมั พันธ์ได้เป็น อยา่ งดี

53 4. การสื่อสารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ มนุษยสัมพันธ์ที่ดีเกิดจากการส่ือสารที่ดี การเลือกวิธีการและช่องทางการสื่อสารที่ เหมาะสมสอดคล้องกับเร่ืองราวและสถานการณ์ท่ีเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง กระบวนการการส่ือสารแบบ สองทางจะช่วยป้องกนั ปัญหาจากการสื่อสารได้มาก การสื่อสารที่ไดร้ ับผลสาเร็จตรงกับความตอ้ งการ ของแตล่ ะฝา่ ย จะช่วยในการพฒั นามนุษยสัมพนั ธใ์ หเ้ จริญงอกงามขึน้ ได้ 5. การแสดงความเอื้ออาทรหรอื ห่วงใยตอ่ กนั ทุกคนต้องการกาลังใจและต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นไม่มากก็น้อย การแสดง ความห่วงใย ความสนใจ การเอาใจใส่ ดูแลช่วยเหลือจะทาให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งระหว่างกัน เป็นบทบาทสาคญั ทคี่ ู่สมั พันธภาพพึงกระทา เพื่อพัฒนามนษุ ยสัมพันธต์ ่อกันให้มากขนึ้ อยา่ งไรก็ตาม แม้ว่าการให้ความช่วยเหลือสนับสนนุ ผู้อน่ื จะเปน็ การกระทาที่สง่ ผลให้ผู้ได้รบั การช่วยเหลือพงึ พอใจ และเป็นการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธใ์ ห้ดีย่ิงข้ึน แต่การทาเช่นน้ันต้องไม่เป็นการทาให้เกิดผลเสียแก่ ตนเอง และไม่จาเป็นต้องกระทาเพื่อตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายตลอดเวลา หรือเพียง ฝ่ายเดียว การกระทาต่างๆ น้ันให้คิดถึงความสมดุลระหว่างการทาเพ่ือผู้อื่นกับการทาเพ่ือตนเอง ข้อคดิ อกี ประการหนึ่งกค็ ือตวั เราคงมใิ ชผ่ ู้ท่ีสามารถกระทาการเพ่อื ตอบสนองหรือชว่ ยเหลือผู้อ่นื ตามที่ เขาต้องการได้ทั้งหมดและตลอดเวลา และควรเชื่อว่าแต่ละคนล้วนมีหนทางท่ีจะช่วยเหลือตนเองได้ ตามกาลังความสามารถศักยภาพของแต่ละบคุ คล 6. ความจริงใจและความซอ่ื สตั ย์ การแสดงความจริงใจและความซื่อสัตย์จนเป็นที่ยอมรับและม่ันใจต่อกัน เป็น องค์ประกอบสาคัญประการหน่ึงท่ีจะทาให้ความสัมพันธภาพก้าวหน้าขึ้น ทั้งนี้การเลือกการกระทา และคาพูดทีแ่ สดงออกถงึ ความซอ่ื สัตยแ์ ละความจริงใจนนั้ ควรเลือกใหเ้ หมาะสม หรอื เปน็ ไปในทิศทาง ท่ีสร้างสรรค์ อย่าเพียงแต่คิดว่าการกระทาหรือพูดอย่างจริงใจเท่านั้นก็พอ เพราะในบางครั้งหาก พูดตรงเกนิ ไปอาจเป็นการทารา้ ยจิตใจอีกฝ่าย จนทาให้พัฒนาการของความสมั พนั ธช์ ะงกั ลงได้ การที่ จะ ทาให้มนุ ษ ยสั มพั น ธ์เกิ ดขึ้น ได้ โดย อ าศั ย หลั กก ารอ งค์ ปร ะ ก อ บก ารพั ฒ น า มนุษยสมั พันธน์ ั้น สิง่ ทีค่ วรตระหนักคือบทบาทของการเปน็ ผู้ใหแ้ ละการเปน็ ผูร้ ับทสี่ มดุล เพราะมนุษย์ ไม่ชอบที่จะเป็นผู้ให้หรือผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ดั้งน้ัน การปฏิบัติต่อกันอย่างมีเสน่ห์เพ่ือสร้าง มนุษยสัมพันธ์จึงอาจแสดงออกดังนี้ แสดงความสดช่ืนแจ่มใส แสดงความสนใจอย่างพองาม แสดงความตั้งใจรับฟงั แสดงความเกรงใจตามสมควร มองโลกในแงด่ ีไว้ก่อน ควบคมุ อารณ์ได้ดี มีวิธี ปฏิเสธทเี่ หมาะสม จดจาขอ้ มลู เกีย่ วกับคสู่ มั พนั ธ์ใหม้ าก รู้จักการกล่าวขอบคุณและขอโทษ เปน็ ตน้

54 องค์ประกอบของมนษุ ยสมั พนั ธ์ มนุษยสัมพนั ธ์เปน็ เร่ืองราวทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั พฤติกรรมของบคุ คลในสังคม ทีเ่ ป็นการอยรู่ ว่ มกัน และทางานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซ่ึงอาจจะสรุปองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ได้ดังนี้ (วภิ าพร มาพบสขุ , 2543, น. 18 และพรรณทพิ ย์ ศริ วิ รรณบุศย์, 2549, น. 23) 1. การมีความเข้าใจตนเอง การมีความเข้าใจตนเอง หมายถึง ความเข้าใจในความต้องการของตนเอง การรู้จัก จุดเด่นจุดด้อยของตนเอง แบบแผนชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นแก่นแท้ของบุคลิกภาพ ครอบคลุมถึงลกั ษณะรูปรา่ ง หน้าตา ลักษณะนิสัย ใจคอ เป็นที่รวมของ คุณลักษณะพฤตกิ รรม และการกระทาท้ังหมดของบุคคล 2. การมีความเข้าใจบคุ คลอ่นื การมีความเข้าใจบุคคลอื่น หมายถึง การรู้ถึงความต้องการหรือปัญหาของผู้อ่ืน บุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลน้ันๆ และธรรมชาติของคน มนุษย์มีการกระทาระหว่างกัน มีท้ังพฤติกรรมของการกระทาของบุคคลหน่ึงหรือหลายคน และพฤติกรรมโต้ตอบของบุคคลอ่ืน โดยการส่ือสารความหมาย การตีความหมาย และการรับรู้พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล อันเป็น พฤติกรรมทางสังคมของบุคคล บุคคลจะรู้และเข้าใจกันก็โดยอาศัยพฤติกรรมทางสังคมเป็นสื่อ เกดิ ความเขา้ ใจต่อกนั โดยธรรมชาติ 3. การยอมรบั ความแตกต่างของบุคคล การยอมรับความแตกต่างของบุคคล หมายถึง แต่ละคนย่อมมีความคิด จิตใจ เชาวน์ปัญญา ความสามารถ เจตคติ และประสงการณ์ต่างๆ กนั โดยธรรมชาติมนุษยแ์ ต่ละคนย่อมมี ความแตกต่างกัน ฉะนั้นจึงเป็นขอ้ คิดว่า นักการศึกษา นักการปกครอง หรอื ผู้บริหารที่คิดจะจูงใจให้ คนทางานหรือเกิดความพึงพอใจจะต้องคานึงไว้เสมอว่า จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลแต่ละคนแตกต่าง กันไปเป็นพิเศษ อารมณ์ของคนเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่จะต้องสัมพันธ์กับท่าทีความรู้สึก ความฝันและความต้องการของเขา ลักษณะเหล่าน้ีไม่คงสภาพอยนู่ ่ิงตายตัว แต่จะเปล่ียนแปรไหวตัว ไปมาอยูทุกวันตามประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับอย่เู รื่อยๆ มนุษยสัมพันธ์ถือวา่ แต่ละบุคคลมีความพิเศษ และมคี วามสาคญั ในตวั เองท่ีจะต้องไดร้ ับความสนใจเสมอหนา้

55 4. การสร้างสงั คมและสิง่ แวดลอ้ มท่ดี ี การสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การรู้ถึงองค์ประกอบต่างๆ ของสังคมท่ี ประกอบด้วยมนษุ ย์ สภาพแวดลอ้ ม ทง้ั ที่เป็นวัตถุ สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติ และสภาพแวดลอ้ มท่ี เปน็ รูปธรรมและนามธรรม เพอื่ นามาเสรมิ สร้างให้สังคมและส่งิ แวดล้อมมีประสิทธภิ าพ กล่าวโดยสรปุ มนุษยสัมพันธ์เป็นการตดิ ต่อเก่ียวขอ้ งระหว่างบุคคลในสังคมทง้ั ท่ีเปน็ ส่วนตัว และท่ีเก่ียวข้องกับการทางาน ท้ังที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อให้เกิดความรักใคร่ ศรัทธา ชว่ ยเหลือ และร่วมมือรว่ มใจกันทางานให้บรรลุเป้าหมาย ทงั้ นี้เพ่ือใหต้ นเองเป็นสุข ผู้อืน่ เป็นสุข และ สังคมก็จะมปี ระสิทธภิ าพ โดยแสดงดังภาพ มนษุ ยสมั พนั ธ์ รจู้ ักตนเอง เขา้ ใจผู้อื่น ศกึ ษาสงิ่ แวดล้อม วิเคราะหต์ นเอง วิเคราะหผ์ อู้ นื่ วิเคราะห์ส่งิ แวดลอ้ ม ปรับปรุงตนเอง ยอมรับธรรมชาติ ปรับปรงุ สิ่งแวดล้อมและ ของผู้อน่ื ปรับปรงุ ให้เขา้ กับส่ิงแวดล้อม พัฒนาตนให้เขา้ กบั ผู้อน่ื และสิ่งแวดลอ้ ม มนุษยสัมพนั ธ์ ตนเองเปน็ สุข ผ้อู นื่ เปน็ สขุ สงั คมมีประสทิ ธิภาพ ภาพท่ี 2.3 องค์ประกอบของมนุษยสมั พนั ธ์ ทมี่ า: พรรณทิพย์ ศิริวรรณบศุ ย์, 2549, น. 23

56 การเข้าใจตนเองและผ้อู นื่ การรู้จักและเข้าใจตนเอง เป็นการพิจารณาและมีสติรู้เท่าทันตนเองตามสภาพการณ์ท่ี แท้จริงของตนเอง ทางด้านกายภาพ ชีวภาพ อันประกอบด้วยรูปรา่ งหนา้ ตา สัดสว่ น นน้ั หนกั ส่วนสูง ผิวพรรณ ลักษณะต่างๆ ของชีวิต เป็นต้น ด้านสังคมประกอบด้วย สภาพครอบครัว ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม และรากเหง้าภูมิปัญญาของตนเอง และด้านจิตวิทยา ซึ่งมีองค์ประกอบสาคัญ คือ อัตมโนทัศน์ บุคลิกภาพ ค่านิยม ความเช่ือ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เป็นต้น ลักษณะของบุคคล โดยทว่ั ๆ ไปสามารถนาเสนอไดต้ ามแบบจาลองวงกลม ดงั น้ี เปลือก (Social) เน้อื (Group) แกน่ (Self) ภาพที่ 2.4 ลกั ษณะของบุคคลโดยท่วั ไป ที่มา: วงศ์นภา ตยิ ะวนชิ , 2548, น. 16 1. การร้จู กั ตวั ตนของบคุ คล กลุ่มนักจิตวิทยามีความสนใจแตกต่างกัน บางกลุ่มสนใจศึกษาทางพฤติกรรม บางกลุ่ม สนใจวิเคราะห์จิต บางกลุ่มสนใจโครงสร้างของจิต บางกลุ่มสนใจศึกษาเกี่ยวกับตน (self) ซึ่งมี นักจิตวิทยา ให้ความสนใจศึกษาตัวตนของบุคคล เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) นาโดย คาร์ล อาร์ โรเจอร์ (Carl R. Roger) เช่ือว่า ประสบการณ์เฉพาะของบุคคลใดบุคคลหน่ึง ผสมผสานกันเข้าเป็น “ตัวตน” ของบุคคลน้ัน (I หรือ Me หรือ Self) ซึ่งตัวตนของบุคคลมี 3 แบบ ได้แก่ 1. ตนตามที่เป็นจรงิ (Real Self) คือ ลักษณะตัวตนท่เี ป็นไปตามข้อเทจ็ จรงิ ไม่ใชก่ ิริยา แสแสร้ง ซ่ึงเป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติของบุคคลนั้น เป็นธรรมชาติท่ีแท้จริงของบุคคล อาจจะเป็นได้ทั้งพฤตกิ รรมที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว เชน่ รตู้ ัวว่าเป็นคนใจร้อน แตไ่ ม่รตู้ ัวว่าเป็นคนพูดขวาน

57 ผ่าซาก เป็นต้น เพราะเป็นส่วนแก่นแท้ของตัวตน เปรียบเสมือนแก่นของต้นไม้ที่อยู่ข้างในสุด ซง่ึ ยากแกก่ ารเข้าใจ และการสังเกตเห็นจากภายนอก 2. ตนตามอุดมคติ (Ideal Self) คือ ตัวตนที่ปรารถนาจะมี อยากจะเป็น แต่ยังไม่มี ไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน โดยการจินตนาการความคิดความอยากที่ปรุงสรรค์ป้ันแต่งข้ึนในแต่ละตัว บุคคล เช่น ขณะน้ีเป็นนักเรียนระดับมัธยม แต่นึกฝันว่าจะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาใน มหาวิทยาลัยดังของรัฐ เปน็ ต้น เปรยี บได้กับเปลือกนอกของตนเองทพ่ี บเห็นได้งา่ ย เพราะการทบ่ี ุคคล อยากมีลกั ษณะเปน็ เช่นไร ก็มักจะพยายามแสดงสงิ่ นนั้ ออกมาภายนอก 3. ตนที่ตนมองเห็น (Self Concept) หรือตนตามท่ีรับรู้ (Perceived Self) คือ ภาพ ของตนทเี่ ห็นว่าตนเป็นคนอย่างไร มีความรู้ความสามารถเฉพาะตนแค่ไหน การรบั ร้ตู นเองลักษณะน้ี จะเป็นการรับรู้เกี่ยวกับตนเองท้ังด้านร่างกายและจิตใจ เช่น เป็นคนเรียนดี เป็นคนร่ารวย มีชาติ ตระกูลสูง เช่ือม่ันในตนเอง ตรงต่อเวลา เอาใจใส่ผู้อื่น หรือเป็นคนโง่ เจ้าอารมณ์ ข้ีอาย ไม่ซ่ือสัตย์ ฯลฯ โดยท่ัวไปบุคคลจะมองเห็นตนเองในหลายแง่มุม ซ่ึงอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือ ภาพท่ีคนอื่นมองก็ได้ เช่น คิดว่าเป็นคนเข้มแข็ง แต่คนอ่ืนๆ ที่รู้จักเรากลับมองว่าเราเป็นคนอ่อนแอ เปน็ ต้น เปรียบเปน็ เน้อื ของต้นไม้ สามารถเขยี นเป็นวงกลม 3 ห่วง ไดด้ งั นี้ ตน ตามอุดมคติ ตน ตน ตามที่รับรู้ ตามที่เป็นจริง ภาพที่ 2.5 แผนภาพแสดงตัวตนของบุคคล ท่มี า: วงศน์ ภา ติยะวนิช, 2548, น. 32 ทัง้ ตนตามทเ่ี ป็นจรงิ ตนตามอุดมคติ และตนทตี่ นมองเห็น จะมีความสมั พันธ์กัน บุคคล ท่ีมีตนท่ีตนมองเห็นสูงกว่าตนตามที่เป็นจริง เขาย่อมมองไม่เห็นขอ้ บกพร่องของตนเอง ฉะน้ันจะปิด กัน้ การพัฒนาตนเองให้ดขี ึน้ เมื่อต้องเกี่ยวขอ้ งกับผ้อู ื่น เขาก็จะได้รับการปฏิบัตใิ นระดับ ตนตามทเี่ ป็น จริง ซ่งึ ไม่ตรงกับ ตนที่ตนมองเห็น จงึ ทาใหเ้ กิดข้อขัดแย้งในสัมพันธภาพกับผู้อ่ืนไดง้ ่าย เช่น หัวหน้า บางคนท่ีคิดว่าตนเป็นคนเก่ง ความคิดของตนเองถูกต้องเสมอ เม่ือลูกน้องไม่เห็นด้วยจึงเกิดความ

58 ไมพ่ อใจ คิดว่าลกู น้องไมเ่ ชอ่ื ฟัง ความขัดแยง้ จะเกิดข้นึ บุคคลที่มีตนที่ตนมองเหน็ สูงกวา่ ตนตามท่เี ป็น จริง จะเข้าทานอง “หลงตัวเอง” น่ันเอง และบุคคลประเภทน้ีก็มีแนวโน้มที่จะมอง ตนตามอุดมคติ อยา่ งเพ้อฝนั ไม่มลี ู่ทางท่ีจะทาสิ่งทฝ่ี ันให้สมปรารถนาได้ มกั จะผดิ หวังบอ่ ยๆ ส่วนบคุ คลทม่ี ี ตนท่ีตนมองเห็น ตรงหรอื ใกล้เคียงกับ ตนตามท่ีตนเป็นจริง ยอมรบั ในส่ิง ที่ดี และส่ิงที่บกพร่องของตนเองอยา่ งไม่หลงตน ย่อมร้จู ักพัฒนาตนเอง และมองเหน็ ตนตามอดุ มคติ ในขอบเขตท่ีจะเป็นไปได้ ฉะนั้นบุคคลประเภทน้ีมักจะประสบความสาเร็จท้ังในด้านการประกอบ อาชพี และการดาเนนิ ชวี ิต เพราะเขามคี วามกระตอื รอื รน้ และความมุ่งม่ัน มานะพยายาม เพ่อื ไปใหถ้ ึง เป้าหมาย เมื่อประสบความสาเร็จก็จะเกดิ ความพึงพอใจในตนเอง อันจะนาไปสู่ความพึงพอใจบุคคล อ่ืนด้วย ผู้ท่ีมีตนที่ตนมองเห็น กับตนตามท่ีเป็นจริงแตกต่างกันมาก หรือมีข้อขัดแย้งกันมาก บุคคลน้ันมีแนวโน้มจะมีปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพ ดังน้ันการรู้จักปรับตนเอง ท้ัง 3 แบบให้สอดคล้องกัน จะช่วยให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ มีความวิตกกังวลน้อย ไม่ค่อยใช้ กลไกของจิตใจในการแก้ปัญหา ท้ังยังเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี และประกอบภารกิจตามหน้าที่ได้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 2. การเรยี นรเู้ กยี่ วกับตวั ตน การท่ีบุคคลมีความรู้สึกนึกคิดเก่ียวกับตนเองว่าเป็นคนแบบไหน มีความรู้ ความสามารถเพียงใด ฯลฯ ย่อมเกิดจากการที่บุคคลน้ันมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน และได้เรียนรู้ว่า ผู้อื่น คิดว่าบุคคลน้ันเป็นคนอย่างไร ซ่ึงเปรียบเหมือนกับกระจกเงาท่ีส่องดูตัวเอง ทาให้บุคคลเข้าใจ พฤติกรรมของตนเองมากข้ึน การเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองจะเกิดจากปัจจัยต่อไปน้ี (กฤษณา ศักด์ิศรี, 2534, น. 238 - 239) 1. การกาหนดทางสังคม (Labeling) ซ่ึงแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ สิ่งท่ีสังคมไม่ ยอมรบั เช่น การคดโกง ความก้าวร้าว เป็นตน้ กบั สง่ิ ท่ีสงั คมยอมรับ ไดแ้ ก่ ความสุภาพ ความซื่อสัตย์ เป็นต้น และบุคคลก็จะกาหนดตัวเองว่าควรแสดงพฤติกรรมให้เข้ากับการกาหนดของสังคมใน รูปแบบใด 2. การเปรียบเทียบในสังคม (Social Comparison) คือ การท่ีบุคคลเปรียบเทียบ พฤติกรรมของตนเองกับบุคคลอื่นๆ ในสังคม ถ้าคนอ่ืนๆ ในสังคมปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วได้รับ การยอมรับวา่ ดี บุคคลนนั้ ก็มีแนวโน้มท่ีจะปฏิบัตติ าม ดังนั้นพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล จึงขึ้นอยู่กับ การเปรียบเทยี บตนเองกบั กลมุ่ คนในสงั คม 3. การมีความสัมพันธ์กับบุคลอ่ืน (Interpersonal Relationships) บคุ คลจะเรียนรู้ว่า ตนเองเป็นคนอย่างไร จากการได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน แล้วเขามีการตอบสนอง (Feedback)

59 กลับมาเหมือนกระจกเงา ทาให้บุคคลได้รู้จักตนเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีสภาพคล้าย กระดาษซบั ซึ่งคอยดูดซบั เอาข้อมูลต่างๆ ท่เี กี่ยวกับบุคคลนั้นเข้ามาด้วย ทาให้เกิดการเรียนรใู้ นเร่ือง ความสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนว่า ควรจะดาเนินการในรูปแบบอย่างไร จึงจะคงไว้ซ่ึงความสัมพันธ์ที่ดี ต่อกัน 4. การได้รับการยอมรับจากบุคคลท่ีมีความสาคัญต่อเรา (Significant Others) การ ยอมรับ หรอื ไม่ยอมรบั ของบุคคลใกลช้ ดิ มีความสาคญั มาก เพราะบคุ คลจะมคี วามรู้สึกภาคภูมใิ จ หรือ รู้สึกมปี มด้อย ก็จากปฏกิ ิริยาทบ่ี ุคคลใกล้ชดิ มีต่อบุคคลน้ัน เช่น พ่อแม่ พ่ีนอ้ ง ครู หรือคนรัก เมอ่ื ใดก็ ตามท่ีบุคคลได้รบั การตอบกลับในรูปแบบของการปฏิเสธจากบุคคลใกล้ชดิ ก็จะเกิดความรู้สกึ ผิดหวัง เสยี ใจ แต่ถ้าไดร้ บั การตอบกลับในรูปของการยอมรับ บคุ คลจะเกดิ ความภาคภูมใิ จ เกิดกาลังใจ ดงั น้ัน บุคคลใกล้ชิดจึงมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และการพัฒนา “ตัวตน” ตามแบบท่ี บคุ คลใกล้ชดิ ต้องการ 3. การเขา้ ใจตนเองและผู้อื่นโดยใชห้ นา้ ตา่ งหัวใจ หน้าต่างหัวใจหรือหน้าต่างโจฮาร่ี (Johari Window) เป็นช่ือที่ใช้เรียกรูปแบบ การศึกษาพฤติกรรมในขณะท่ีมีการเผชิญหนา้ (Encountering) ของบคุ คล เมื่อต้องติดต่อสัมพันธ์กับ ผู้อ่ืน เพอ่ื ศึกษาว่ามกี ารเปิดเผยตนเองและมีความตระหนักรู้ในตนเอง (Awareness) มากน้อยเพยี งใด ซึง่ จะช่วยใหเ้ ขา้ ใจตนเองและผู้อนื่ มากข้นึ ผทู้ ่ีคิดค้นรูปแบบของหน้าต่างหัวใจ คือ โจเซฟ ลุฟท์ (Joseph Luft) และแฮร่ี อิงแฮม (Harry Ingham) ซึ่งทั้ง 2 ท่าน เน้นท่ีการสร้างความสัมพันธ์น้ัน จะต้องมีการเปิดเผยซ่ึงกันและกัน เพราะจะช่วยให้เกิดความรู้สึกจริงใจ อบอุ่น เป็นกันเอง และจะได้รบั การชว่ ยเหลอื เก้ือกูลกัน ซ่ึงเป็น หัวใจของมนุษยสมั พนั ธน์ ่ันเอง หนา้ ต่างหวั ใจมี 4 ส่วน ดังนี้ ตนเองรู้ ตนเองไม่รู้ ผู้อน่ื รู้ บรเิ วณเปดิ เผย บริเวณจดุ บอด ผ้อู ่ืนไม่รู้ (Open Area) (Blind Area) บริเวณซอ่ นเรน้ บริเวณต่างไมร่ ู้ (Hidden Area) (Unknow Area) ภาพที่ 2.6 หนา้ ต่างหัวใจหรอื หนา้ ต่างโจฮารี่ ท่มี า: ปราณี รามสูตร และจารสั ดว้ งสวุ รรณ, 2555, น. 137

60 1. บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง พฤติกรรมหรือบุคลิกลักษณะท่ีท้ังตนเอง และผูอ้ ่ืนรับรู้ตรงกนั เป็นพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกอยา่ งเปิดเผย เป็นพฤติกรรมท่ีบุคคลเจตนา แสดงออกแล้วให้รู้ว่าตนเองแสดงพฤตกิ รรมอะไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร ทาให้คนรับรู้พฤติกรรมและ เจตนาของเรา ในขณะเดียวกันเราก็รับรู้พฤติกรรมและเจตนาของผู้อื่นด้วย เมื่อบุคคลรู้จักกันใหม่ๆ บริเวณนี้จะแคบ แต่เม่ือรู้จักสนิทสนมกันมากข้ึน บริเวณน้ีจะกว้างขึ้น เพราะจะไว้วางใจกันและ เปดิ เผยตนเองมากขนึ้ ส่วนทีเ่ ป็นบริเวณเปดิ เผย เช่น ผูอ้ ื่นรู้วา่ เราเป็นคนพดู น้อย จรงิ ใจ หรือเป็นคน ใจร้อน ไม่ค่อยฉลาด เป็นต้น 2. บริเวณจุดบอด (Blind Area) หมายถึง พฤติกรรมหรือบุคลิกลักษณะของบุคคลที่ ตัวเขาเองไม่ร้แู ต่ผู้อื่นรู้ เปน็ พฤตกิ รรมที่ตนเองแสดงออกโดยไม่รตู้ วั ไม่มีจดุ ม่งุ หมาย และไมม่ ีเจตนาท่ี จะแสดงออก แต่บุคคลอ่ืนสามารถสังเกตเห็นได้ ซึ่งอาจมีต้ังแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่องที่เป็น ปัญหาทางมนุษยสัมพันธ์ได้เช่น ไม่รู้ว่าตัวว่ามีกล่ินตัว กลิ่นปาก ไม่รู้ว่าตัวว่าเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง พดู ขวานผ่าซาก ในท่ีสดุ ก็ไมม่ ีใครต้องการคบหาสมาคมดว้ ย แต่ถ้าบุคคลใกล้ชดิ บอกข้อบกพรอ่ ง และ เขายอมรบั โดยปรบั ปรุงตนเองให้ดขี นึ้ บรเิ วณนีก้ จ็ ะแคบลง 3. บริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึง สิ่งท่ีตนเองรู้แต่ปกปิดไว้เป็นความลับ ไม่เปิดเผยให้ผอู้ ื่นรู้ เป็นพฤตกิ รรมหรอื ความรู้สึกความคิดบางอยา่ งทีบ่ ุคคลเก็บซ่อนไวใ้ นใจไมเ่ ปิดเผย ให้ผู้อ่ืนรู้ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเก่ียวกับตนเองท่ีถ้าเปิดเผยแล้วจะทาให้ตัวเอง เสียหน้า เสียศักด์ิศรี เสียช่ือเสียง และขาดการยอมรับ บุคคลรู้จักกันใหม่ๆ บริเวณนี้จะกว้าง แต่เม่ือสนิทสนมกันมากข้ึนก็จะเปิดเผยตัวตนเองมากขึ้น บรเิ วณนี้จะแคบลง เชน่ ไมเ่ คยเปิดเผยชีวิต แรน้ แค้นของครอบครวั ใหเ้ พอ่ื นๆ ทราบ แต่เมอ่ื สนิทกัน มคี วามจริงใจกนั ก็กล้าท่ีจะเปดิ เผย หรือบาง คนเคยมีประวัตทิ ่ไี ม่ดีมากอ่ น เคยตดิ คุก เคยเสพยาเสพติด ก็จะไมก่ ล้าเปดิ เผยตัวตนเอง เพราะกลัวว่า บุคคลอน่ื ๆ ทเ่ี ขาตอ้ งเก่ียวขอ้ งดว้ ยจะไม่ยอมรบั นนั่ เอง 4. บรเิ วณตา่ งไมร่ ู้ (Unknow Area) เปน็ บรเิ วณทีท่ ั้งตนเองและผู้อืน่ ไม่รู้ เปน็ พฤติกรรม หรือความรูส้ ึกบางอย่างท่ีบุคคลแสดงออกโดยไม่ร้ตู ัวตนเอง ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และบุคคล อ่ืนไม่เคยเขา้ ใจมาเชน่ มาก่อนเชน่ กัน ซึ่งต้องรอเวลาและโอกาส อาจเกิดขึน้ ในสถานการณท์ ี่คาดไม่ถึง เช่น คนใจเย็น แต่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดทาร้ายผู้อ่ืนเสียชีวิต เมื่ออยู่ในสถานการณ์ท่ีเขาควบคุม อารมณ์ไม่ได้ คนขี้ขลาดกลับช่วยเหลือตัวประกันได้ในยามฉุกเฉิน เป็นต้น เมื่อบุคคลรู้จักกันนานๆ มคี วามสนิทสนมกันมากขึ้น ผ้อู ื่นก็จะเรยี นรู้นิสัยพฤติกรรมตา่ งๆ ของบคุ คลนั้น และสามารถคาดเดา กิจกรรมในบรเิ วณนไ้ี ด้ถกู ตอ้ งมากข้ึน บริเวณนกี้ จ็ ะแคบลง

61 ตวั อย่างหน้าต่างหัวใจของสุณิชาและณัฐณิช เม่ือรู้จักกันใหม่ๆ ต่างก็มีหน้าต่างหัวใจ 4 ส่วนเหมือนกนั หน้าต่างหวั ใจของสณุ ิชา หน้าตา่ งหัวใจของณัฐณชิ O = บริเวณเปดิ เผย B = บริเวณจดุ บอด H = บริเวณซอ่ นเร้น U = บริเวณต่างไมร่ ู้ ภาพท่ี 2.7 หน้าต่างหวั ใจเม่อื บุคคล 2 คนติดตอ่ เก่ียวข้องกนั ทม่ี า: วิมล เหมอื นคดิ , 2543, น. 31 เม่ือติดต่อกันนานๆ เข้า มีความสนิทสนมกันมากขึ้น เปิดเผยซึ่งกันและกันมากข้ึน บริเวณเปิดเผยจะกว้างข้ึน ในขณะที่บริเวณจุดบอด บริเวณซ่อนเร้น และบริเวณต่างไม่รู้จะแคบลง ดงั ภาพต่อไปนี้ หนา้ ตา่ งหวั ใจของสณุ ิชา หน้าต่างหัวใจของณฐั ณชิ O = บริเวณเปดิ เผย B = บริเวณจุดบอด H = บรเิ วณซอ่ นเร้น U = บริเวณต่างไมร่ ู้ ภาพท่ี 2.8 หนา้ ต่างหัวใจเม่อื บุคคลมีความสนิทสนมกนั ทีม่ า: วมิ ล เหมือนคิด, 2543, น. 31

62 3.1 การขยายบริเวณเปดิ เผย บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีบริเวณเปิดเผยกว้าง และบริเวณอื่นๆ ลดลง ดังนั้น วิธีการขยายบริเวณเปิดเผยให้กว้างข้ึน จึงเป็นการขยายพ้ืนท่ีทั้งตามแนวนอน ( ) คือ การรบั รขู้ อ้ มูลยอ้ นกลบั (Feedback) และแนวดง่ิ ( ) คือ การเปดิ เผยตนเอง ดังภาพตอ่ ไปนี้ การรับขอ้ มูลยอ้ นกลบั การเ ิปดเผยตนเอง O = บริเวณเปดิ เผย B = บรเิ วณจุดบอด H = บรเิ วณซอ่ นเร้น U = บริเวณตา่ งไม่รู้ ภาพท่ี 2.9 การขยายบริเวณเปิดเผย ทมี่ า: วิมล เหมอื นคดิ , 2543, น. 32 จากภาพที่ 3.9 การขยายบริเวณเปดิ เผยตามแนวนอน ( ) คอื การพยายาม ลดพฤติกรรมบริเวณจุดบอดให้น้อยลง โดยการรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้อ่ืน ให้ผู้อ่ืนบอกข้อบกพร่อง แล้วนามาปรับปรุงแก้ไขให้ดีข้ึน บรเิ วณจุดบอดหรอื ข้อบกพร่องของบุคคลน้ันจะลดน้อยลง ส่วนการ ขยายบริเวณเปดิ เผยตามแนวดิ่ง ( ) คือ การพยายามลดบริเวณปกปิดให้น้อยลง ด้วยการเปิดเผย ตนเองตอ่ ผู้ที่ไวว้ างใจได้ อย่างระมัดระวังทลี ะน้อย ซงึ่ ต้องคานึงถงึ สงิ่ ตอ่ ไปน้ี คอื 1) ตัวบุคคลที่เราสนทนาด้วย (The Person) เพราะคนบางคนถ้าเราเปิดเผยแล้ว เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติท่ีเราเปิดเผยบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราให้เขารู้ แต่บางคนอาจทับถมหรือ สมนา้ หนา้ ถ้าเร่อื งน้ันเป็นเรอื่ งไม่ดี 2) สถานการณ์ (The Situation) หมายถึง สถานการณ์ในขณะน้ัน ต้องพิจารณา ว่าควรจะเปิดเผยหรือไม่ คือการพิจารณาถึงกาลเทศะนั่นเอง 3) ความรู้สึกในขณะนั้น (Your Own Fellings) เช่น รู้สึกว่ามีความเชื่อมั่นใน ตนเองที่จะเปิดเผยแค่ไหน มีลกั ษณะอารมณ์เป็นเช่นไร ซ่ึงล้วนแตเ่ ป็นเรื่องละเอยี ดอ่อนที่ตอ้ งนามา พจิ ารณาดว้ ย

63 รูปแบบของหน้าต่างหัวใจถ้าพิจารณาโดยยึดบริเวณเปิดเผยเป็นหลักจะสามารถ วิเคราะหพ์ ฤติกรรมของบคุ คลไดด้ งั นี้ 1. บุคคลท่ีไม่ยอมเปิดเผยตนเอง และไม่ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากใคร บุคคลประเภทน้ีจะมีบรเิ วณเปิดเผยแคบมาก ชอบเกบ็ ตัว มีความลับทไ่ี ม่ยอมเปิดเผยมาก เพ่ือนๆ จะ รู้จักบุคคลประเภทนี้อย่างลึกซ้ึงได้ยาก ขณะเดียวกันเขาจะเป็นคนด้ือร้ัน ที่ไม่ยอมรับฟังคา วิพากษ์วิจารณ์จากใคร จะยึดม่ันถือม่ันในตนเองสูง ปิดก้ันตนเองทุกวิถีทาง จึงไม่มีโอกาสจะพัฒนา ตนเองให้เปน็ ทพ่ี งึ ปรารถนาของผอู้ ่ืนได้ ซ่งึ มีลกั ษณะของหนา้ ต่างหวั ใจดังภาพตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 2.10 แสดงหน้าต่างหัวใจผู้ที่ไมย่ อมเปดิ เผยตนเองและไมย่ อมรับฟงั คาวิพากษว์ จิ ารณจ์ ากผู้อ่นื ทม่ี า: วิมล เหมอื นคดิ , 2543, น. 33 2. บุคคลที่ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นแต่ไม่ยอมเปิดเผยตนเอง บุคคล ประเภทน้ีจะเปิดใจกว้างยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อ่ืน และนามาแก้ไขปรับปรุงตนเอง ทาให้บริเวณจุดบอดแคบลง แต่ขณะเดียวกันเขาจะเก็บตัวไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนเอง จึงทาให้บริเวณ ซอ่ นเรน้ กวา้ ง ซง่ึ มีลกั ษณะของหน้าต่างหวั ใจดังภาพตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 2.11 แสดงหนา้ ตา่ งหัวใจผู้ทย่ี อมรบั ฟงั คาวิพากษว์ ิจารณจ์ ากผอู้ ื่น แต่ไม่ยอมเปิดเผยตนเอง ท่มี า: วมิ ล เหมอื นคดิ , 2543, น. 33

64 3. บุคคลที่ไม่ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น แต่เป็นคนเปิดเผย บุคคล ประเภทนี้จะมีบรเิ วณจุดบอดกว้าง เพราะไม่ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น เพอื่ พัฒนาตนเอง ให้ดขี ึ้น จุดบอดหรอื ข้อบกพรอ่ งจึงมีอยู่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มคี วามเช่ือมน่ั ในตนเองสงู ซึ่งมี ลกั ษณะของหน้าต่างหวั ใจดงั ภาพตอ่ ไปน้ี ภาพที่ 2.12 แสดงหนา้ ตา่ งหวั ใจผู้ท่ีไม่ยอมรับฟังคาวพิ ากษ์วิจารณ์จากผ้อู ่นื แต่เป็นคนเปิดเผย ท่ีมา: วมิ ล เหมือนคิด, 2543, น. 34 4. บุคคลท่ียอมรับคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อนื่ และเปิดเผยตนเอง บุคคลประเภทนี้ จะเป็นบุคคลที่มีความจริงใจ ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น และนามาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นคนเปิดเผย ดังนั้น จุดบอดหรือข้อบกพร่อง กับบริเวณซ่อนเร้นหรือความลับ จงึ แคบลง บรเิ วณเปิดเผยกว้างข้ึน ซึ่งเป็นบุคคลท่ีปรารถนาของสังคม ลกั ษณะของหน้าต่างหัวใจจะ เป็นดังภาพต่อไปนี้ ภาพท่ี 2.13 แสดงหน้าต่างหัวใจผู้ท่ียอมรบั คาวิพากษว์ ิจารณ์จากผอู้ ่นื และเปดิ เผยตนเอง ที่มา: วิมล เหมอื นคดิ , 2543, น. 34

65 การเข้าใจตนเองและผอู้ ่ืนโดยใช้หนา้ ต่างหวั ใจนนั้ ทาให้ได้ขอ้ คดิ เพิ่มเตมิ ดงั น้ี 1) ไมม่ ใี ครท่ีจะรจู้ กั ตนเองไดอ้ ยา่ งถ่องแท้ 2) บุคคลอาจเปล่ียนแปลงบุคลิกลักษณะหรือพฤติกรรมได้ น่ันคือ หน้าต่างหัวใจ ท้ัง 4 สว่ นอาจมกี ารเปล่ียนแปลงได้ 3) หน้าต่างหัวใจท่ี แต่ละคนรับรู้เก่ียวกับตนเอง คือ บริเวณเปิดเผย และบริเวณ ซอ่ นเรน้ ซ่งึ เปน็ สว่ นสาคญั ท่ีคนใชเ้ ป็นแนวทางในการแสดงพฤติกรรมของตนเอง บรเิ วณทง้ั สองนีก้ ็คือ มโนภาพแหง่ ตน (Self-Concept) นนั่ เอง 4) ส่ิงที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลโดยตรง นอกจากมโนภาพแห่งตนแล้ว ยังมีความรู้สกึ และค่านิยม ซงึ่ เก่ยี วขอ้ งกับมโนภาพแห่งตนอีกด้วย 5) ส่ิงที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมของบุคคล ได้แก่ บริเวณจุดบอด และ บรเิ วณตา่ งไมร่ ู้ 3.2 ประโยชน์ของการศกึ ษาเร่ืองหนา้ ตา่ งหัวใจ มดี ังต่อไปน้ี (หลุย จาปาเทศ, 2533, น. 71) 1) รูจ้ กั ตนเอง ตระหนกั ในตนเองและผู้อน่ื ตลอดเวลา 2) สามารถสร้างมติ รไดอ้ ย่างรวดเรว็ และรักษามิตรไดน้ าน 3) สามารถทางานได้มากกวา่ และเร็วกว่า 4) ไดร้ บั ความไว้วางใจจากผูร้ ว่ มงาน 5) ได้ข้อมลู และความรูเ้ พม่ิ พูนอยู่เสมอ 6) รู้กาลเทศะในการสนทนากบั ผู้อน่ื 7) เข้าใจผ้อู ื่นได้ดี 8) เข้าใจธรรมชาตขิ องการส่อื สาร และเทคนคิ การสอื่ สารได้ดี 9) เปน็ แนวทางในการพัฒนาตนไปสูค่ วามเปน็ ผู้นา 10) เปน็ การสรา้ งคุณค่าใหแ้ กต่ นเอง 4. การเขา้ ใจตนเองและผ้อู ืน่ โดยใช้กลไกของจติ ใจ กลไกของจิตใจ หรือกลไกป้องกันตัว (Defense Mechanism) เป็นวิธีการที่บคุ คลใชใ้ น การปรับตัวหรือแกป้ ัญหา เม่อื ความตอ้ งการไม่ไดร้ บั การตอบสนองหรอื เมอ่ื มีอปุ สรรคนน่ั เอง ในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนย่อมประสบกับความผิดหวัง แต่พฤติกรรมที่แต่ละ คนแสดงออกเม่ือผิดหวังน้นั ย่อมแตกต่างกันออกไป บางคนแสดงความก้าวร้าวตอ่ ส่ิงที่เป็นตน้ เหตุให้ ตนผิดหวัง บางคนเปล่ียนวิธีการเสียใหม่ เพ่ือด้ินร้นต่อสู้ไปสู่เป้าหมาย บางคนก็โทษสิ่งอื่นว่าเป็น

66 สาเหตุทีท่ าให้ตนผิดหวัง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลที่แสดงออกมาก็เพ่ือลดความกดดันให้กบั ตนเอง ไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป ซึ่งจะเปน็ สาเหตุให้เกิดโรคจิต โรคประสาทตามมาได้ จิตใจจึงสร้าง กลไกขึ้นมาเพ่อื ปอ้ งกันตนเองใหพ้ ้นจากสภาพดงั กลา่ ว จงึ เรยี กวา่ กลไกของจิตใจ สรุปได้วา่ กลไกของจิตใจช่วยให้บุคคลสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น ได้ ด้วยการศกึ ษาว่าบคุ คลใชก้ ลไกของจิตใจแบบใดบ่อยๆ ในการแกป้ ัญหาเมอื่ มีอุปสรรค ก็จะช่วยให้ ทราบถงึ อุปนสิ ยั ของบคุ คลนนั้ และช่วยในการปรับตวั เขา้ หากนั เพือ่ ความสมั พนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กันน่ันเอง 4.1 ลักษณะของกลไกของจิตใจ โดยทั่วไปกลไกของจิตใจมีลักษณะดังน้ี (วิมล เหมือนคิด, 2543, น. 36-37) 1) เป็นวิธีการท่ีบุคคลพยายามปกป้องและคงไว้ซึ่ง “ศักด์ิศรี” ของตน และลด ความเครยี ด เมือ่ ความตอ้ งการไม่รับการตอบสนอง 2) เป็นวิธีการท่ีบุคคลใช้เพื่อปกป้องตนเองจากการถูกคุกคาม ท้ังจากความรู้สึก ของตนเองและจากบุคคลภายนอก เช่น ความรู้สึกไร้คุณค่า ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว สังคมไม่ ยอมรับ เปน็ ตน้ 3) กลไกของจิตใจมีท้ังข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ ช่วยให้บุคคลพยามยามสร้าง สมดุลของจิตใจและคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตน ข้อเสียคือ กลไกของจิตใจบางชนิดเป็นการหลอกตัวเอง บดิ เบอื นจากความจริง ไมไ่ ด้เผชญิ ปัญหาตามความเป็นจรงิ 4) กลไกของจิตใจส่วนใหญ่จะมลี กั ษณะร่วมกัน คอื การหลอกตนเอง ซึง่ แสดงออก ในรูปของการบิดเบือนความต้องการ ความรู้สึก ตลอดจนการกระทาต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเครียด เสียหน้า ซ่ึงแสดงออกในรูปของการบิดเบือนความจริง เป็นการทดแทนหรือทาตรงข้ามกับความ ตอ้ งการหรือความรู้สึกที่แท้จรงิ เพ่ือใหส้ งั คมยอมรบั 5) ในชีวิตประจาวันบุคคลทุกคนเคยใช้กลไกของจติ ใจด้วยกันท้ังนั้น การใช้กลไก ของจิตใจเป็นคร้ังคราวจะช่วยใหป้ รับตัวได้ และอยู่ในสังคมได้อย่างมคี วามสขุ ช่วยเพ่ิมความพงึ พอใจ ในชีวิต แต่ถ้าใช้บ่อยเกนิ ไป จะนาไปสู่การปรับตัวทผ่ี ิดปกติ ซง่ึ อาจจะส่งผลต่อบุคลกิ ภาพโดยรวมของ บุคคลน้นั 6) การแบ่งกลไกของจิตใจออกเป็นชนิดต่างๆ ก็เพื่อให้ง่ายแก่การศึกษาเท่านั้น เพราะกลไกของจติ ใจแตล่ ะชนดิ ตา่ งกม็ ีลักษณะร่วมกันอยู่ อยากทจี่ ะแบ่งแยกออกจากกันอยา่ งชดั เจน 7) การให้ช่ือกลไกของจิตใจชนิดต่างๆ เป็นการบรรยายลักษณะพฤติกรรมที่ แสดงออกเท่านั้น แต่ถ้าได้ศึกษาลึกซึ้งถึงความต้องการท่ีแท้จริงที่ทาให้บุคคลใช้กลไกของจิตใจชนิด ต่างๆ กจ็ ะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมของบคุ คลไดอ้ ย่างแทจ้ ริง

67 4.2 ประเภทของกลไกของจิตใจ กลไกของจติ ใจแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามรปู แบบของพฤติกรรม คือ 1) การก้าวร้าว (Aggressive Reactions) เป็นการปรับตัวโดยการแสดงพฤตกิ รรม ท่ีรุนแรงและส่งผลกระทบต่อผู้อ่ืน จึงไม่ใช่วิธีการที่ดี การแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวอาจช่วยลด ความเครียดได้ในระยะแรก แต่ในระยะยาวบุคคลท่ีมีพฤติกรรมก้าวร้าวจะไม่ได้รับการยอมรับจาก สงั คม การกา้ วร้าวมี 2 แบบ คือ 1.1) การก้าวรา้ วโดยตรง (Direct Aggression) เปน็ การแสดงพฤติกรรมกา้ วรา้ ว ตอ่ บุคคลหรือส่งิ ของทีเ่ ป็นต้นเหตทุ าให้บุคคลน้ันเกดิ ความเครียดโดยตรง เช่น การดุด่า ทะเลาะวิวาท ทารา้ ยรา่ งกาย เปน็ ตน้ 1.2) การก้าวร้าวโดยทางอ้อม (Displaced Aggression) เป็น การแสดง พฤติกรรมก้าวร้าวต่อบุคคลหรือสิ่งของท่ีมิได้เป็นต้นเหตุแห่งความเครียดของบุคคลน้ัน แต่ทาลงไป เพราะไม่สามารถแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยตรงได้ ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถูกหัวหน้า ตาหนิเร่ืองทางานผิดพลาด ไม่กล้าตอบโต้กับหัวหน้าเพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชา จึงไปพาลหาเรือ่ ง กับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น บุคคลหรือสิ่งของท่ีได้เป็นส่ิงรองรับความก้าวร้าว เรียกว่า แพะรับบาป (Scapegoating) 2) การถอยหนี (Withdrawal Reactions) เป็นการแยกตัวไปจากสถานการณ์ทท่ี า ให้เกิดความไม่สมหวัง หรืออาจเป็นการสร้างเกาะกาบังตัวจากสถานการณ์ไม่สมหวังน้ัน มีหลาย รปู แบบ เชน่ 2.1) การแยกตัวออกจากสังคม (Isolation) เป็นการปรับตัวแบบแยกตนเอง ออกจากสถานการณ์ที่ทาให้เกิดความไม่สมหวัง เช่น เพื่อนในกลุ่มไม่ยอมรับ ก็แยกตัวเองออกจาก กลุ่มไป วิธีนี้ไม่เป็นผลดีต่อการคบหาสมาคมกับผู้อ่ืน เพราะถ้ากลุ่มไม่ยอมรับแสดงว่าตนเองยังมี ข้อบกพร่อง แตไ่ ม่ยอมปรับปรงุ ผมู้ ีมนุษยสมั พันธท์ ีด่ จี ะไมใ่ ชก้ ลไกของจติ ใจแบบน้ี 2.2) การเพ้อฝันหรือฝันกลางวัน (Fantasy or Daydream) เป็นการสร้าง มโนภาพข้ึนตามความต้องการ เพ่ือบาบัดความต้องการซ่ึงไม่มีโอกาสได้รับตามสภาพท่ีเป็นจริง เช่น คนท่ีไม่มีโอกาสเรียนต่อ อาจเพ้อฝันว่าตนได้รับพระราชทานปริญญาบัตรในชุดครุยท่ีสง่าพร้อม ญาตมิ ติ ร หรอื คนไมส่ วยไม่หล่อ เพ้อฝันวา่ ตนเองเปน็ นางเอกพระเอก เป็นต้น 2.3) การเก็บกด (Repression) คือ วิธีที่บุคคลพยายามไม่นึกถึงประสบการณ์ที่ ตนเองไม่พอใจ หรือคนอื่นทาให้ไม่พอ โดยพยายามลืมหรือไม่ยอมรับรู้ความจรงิ เพื่อหลีกเล่ียงความ ปวดร้าว การเก็บกดจะเป็นการเก็บความรู้สึก ความคิด ความทรงจา และประสบการณ์ท่ีไม่ดี บางอย่างไว้ในจติ ไรส้ านกึ เม่อื สะสมกันมากๆ เข้าอาจทาให้เป็นโรคจิต โรคประสาทได้

68 2.4) การถดถอย (Regression) เป็นการปรับตัวเมื่อประสบกับความผิดหวัง หรือเกิดความรู้สึกไมม่ ่ันคงทางจิตใจ โดยการกลบั ไปแสดงพฤติกรรมในอดีต ท่ีเคยได้รับความสาเร็จ มาแล้ว เชน่ คนสงู อายแุ ต่ทาตวั เปน็ หน่มุ กรมุ้ กริม่ เพอ่ื ใหต้ นเองสบายใจ เป็นตน้ 2.5) การปฏิเสธความจริง (Denial) เป็นการปฏิเสธต่อพฤติกรรมหรือ สถานการณ์บางอย่างที่เกิดข้ึนจริง แต่ยอมรับไม่ได้ เพราะการยอมรับว่าเป็นจริงจะทาให้เกิดการ กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรนุ แรง จะร้สู ึกปวดร้าวมาก ทนตอ่ ความรสู้ ึกดังกล่าวไม่ได้ จึงต้องปฏิเสธ วา่ ไม่จริง จิตใจจะกระทาไปโดยทันทีทนั ใด เป็นไปโดยอัตโนมัติ การปฏิเสธความจรงิ ท่ีพบบ่อยๆ ไดแ้ ก่ ความเจ็บป่วย ความกลัว ความคิด และการสูญเสียคนรัก เช่น เคร่ืองบินตกทาให้ภรรยาและลูก เสียชีวิตพร้อมกัน แต่สามีไม่ยอมรับความจริง กลับบอกใครต่อใครว่า ภรรยาและลูกยังมีชีวิตอยู่ เป็นต้น 2.6) การแสดงความพิการทางร่างกาย (Conversion) เป็นการปรับตัวเพื่อหนี จากสถานการณ์ท่ีก่อให้เกิดความไม่สลายใจหรือความความผิดหวัง โดยการแสดงความผิดปกติของ ร่างกายข้ึนมา อาการท่ีพบบ่อยได้แก่ การเป็นลมหมดสติ แขนข่าไม่มีเร่ียวแรง ตาบอด หูหนวก เป็นอาการที่เกิดขึ้นทันทีทันใด บางคร้ังเหมือนการแสร้งทา เมื่อปัญหาต่างๆ หมดไปอาการเหล่านี้ก็ จะหายไปเอง เช่น เด็กนักเรียนกลัวการสอบเพราะดูหนังสือสอบไม่ทัน เม่ือถึงเวลาสอบอาจมีการ ทอ้ งเดนิ ปวดศีรษะ ปวดท้อง เป็นตน้ 2.7) การทาตรงข้ามกับท่ีคิด (Reaction Formation) คือ การแสดงพฤติกรรม ที่ตรงกันขา้ มกับความรสู้ ึกที่แท้จริง เพราะบางครง้ั บคุ คลจะมีความต้องการและความรู้สกึ บางอย่างที่ สังคมไม่ยอมรับ จึงต้องแสดงพฤติกรรมเพื่อกลบเกล่ือนความต้องการ และความรู้สึกท่ีไม่ดีนั้นเลย เช่น แมเ่ ลี้ยงท่เี กลียดลูกเลี้ยง ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ลูกเลย้ี ง มักจะแสดงความรกั และตามใจลูกเล้ยี งต่อ หน้าคนอ่นื เพือ่ ปกปิดความรู้สกึ ที่ไม่ดนี ้ันไม่ให้ใครรู้ หรือเพ่ือนบางคนแสดงความรักความหวังดีเวลา อยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังนินทา ท้ังนี้เพื่อปกปิดความอิจฉาของตน โดยแสร้งทาความดีเพื่อกลบเกล่ือน ความรู้สกึ ท่แี ท้จริง 3) การประนีประนอมหรือทดแทน (Compromise or Substitute Reaction การแกป้ ญั หาเมือ่ ประสบความไม่สมหวังนั้น นอกจากจะใชว้ ิธกี า้ วรา้ วหรอื ถอยหนีจากปัญหาแลว้ ยงั มี อีกวธิ หี น่งึ ทีน่ ่าจะได้ผลดีกวา่ 2 วธิ ีแรก นั่นก็คือ การประนปี ระนอมกับอุปสรรคหรอื ปัญหาที่เราเผชิญ เพราะแม้ว่าการต่อสู้หรือการหนีจะเป็นวิธีที่ง่ายท่ีสุดในการแก้ปัญหา แต่เราจะพบว่าในการใช้ชีวิต ใหเ้ ปน็ สขุ เมอ่ื เกิดปัญหาหรอื อปุ สรรคน้นั เราต้องเรยี นรู้วิธีการท่จี ะประนีประนอมกับปญั หาที่เกิดขึ้น ด้วย การประนปี ระนอมมหี ลายรูปแบบ เช่น 3.1) การชดเชย (Compensation) เป็นวิธีการท่ีบุคคลพยายามสร้างความเด่น ความเก่งกล้าสามารถด้านอื่นๆ มาชดเชยความบกพร่อง หรือปมด้อยของตนเอง เพ่ือให้ชีวิตประสบ

69 ความสาเร็จมากย่ิงขึ้น เช่น คนเรียนไมเ่ กง่ แตก่ ลับเป็นนักกีฬาดีเดน่ หรือคนท่ีไมส่ วย ไม่หล่อ พัฒนา ตนเองในเร่ืองกิรยิ ามารยาท โดยทาตวั ใหม้ เี สน่หแ์ ละน่าสนใจ เพือ่ ลดปมดอ้ ย เปน็ ต้น 3.2) การทดแทน (Substitution) เป็นการหาส่ิงอ่ืนมาทดแทนความผิดหวังท่ี เกิดข้ึน ซึ่งต่างจากการชดเชยตรงที่ การทดแทนน้ันเป้าหมายท่ีนามาทดแทนจะมีลักษณะคล้ายกับ เป้าหมายที่ทาให้ผิดหวัง จึงทาให้ยอมรับในส่ิงท่ีมาทดแทนนั้นได้ เช่น สามีภรรยาท่ีต้องการมีลูก แตไ่ ม่สามารถมลี ูกได้ จึงไปขอรบั เดก็ มาเล้ียงเปน็ บุตรบุญธรรม และรักเหมือนลูก เป็นตน้ 3.3) การเปลี่ยนให้เป็นท่ียอมรับ (Sublimation) เป็นการหาส่ิงอ่ืนมาสนอง ความต้องการของตน ที่ไม่สามารถแสดงออกให้สงั คมยอมรับ มาเป็นสิ่งที่ตนเองและสังคมยอมรับได้ มักพบในรูปแบบของความต้องการทางเพศ หรือความก้าวร้าวรุกราน เช่น การแสดงอารมณ์รัก ออกมาทางอ้อม อาจออกมาในรูปของวรรณคดที ่ีโรแมนติก การเขยี นบทกวีเกี่ยวกับความรกั เปน็ ต้น สิง่ ตา่ งๆ เหลา่ น้ีเปน็ สง่ิ ทนี่ า่ สนใจ สงั คมยอมรบั และเจ้าตัวก็เกิดความสุขความสบายใจ 3.4) การหาเหตุผลเข้าขา้ งตนเอง (Rationalization) เป็นวธิ ีการปรับตัวแบบหา เหตุผลมาประกอบการกระทา เพ่ือให้การกระทาของตนถูกต้อง และเป็นท่ียอมรับของสังคม เพื่อ รักษาศักดิ์ศรีของตนเองหรือเพื่อให้ตนเองสบายใจขึ้น เหตุผลท่ีนามาอ้างน้ันเป็นเหตุผลท่ีดีแต่ไม่ใช่ เหตุผลทแ่ี ทจ้ ริง (Search for good reason but not the true reason) การหาเหตผุ ลมาประกอบการกระทามี 3 วธิ ีคอื 3.4.1) การโทษส่ิงอ่ืน (Projection) เป็นการแก้ตัวให้พ้นผิดโดยโทษผู้อื่น เชน่ สอบตกก็โทษว่าครสู อนไมด่ ี การอา้ งแบบนี้เขา้ ทานอง ราไมด่ ีโทษปโ่ี ทษกลอง เปน็ ต้น 3.4.2) องุ่นเปรี้ยว (Sour Grapes) เป็นการปรับตวั เมอ่ื ต้องการสิ่งหนงึ่ สิ่งใด แลว้ ไม่ไดส้ ง่ิ นน้ั ก็จะอา้ งเหตุผลวา่ เปน็ เพราะสงิ่ น้นั ไม่ดีจึงไม่อยากได้ เชน่ อยากให้เพ่อื นๆ รกั แตไ่ ม่มี ใครสนใจ ก็ให้เหตุผลกับตนเองว่าเพื่อนกลุ่มนั้นนิสัยไม่ดี ถ้าขืนไปคบอาจทาความเส่ือมเสียช่ือเสียง ให้กบั ตนได้ การให้เหตผุ ลเช่นน้ีจะทาใหส้ บายใจขึ้น ทัง้ ท่ีเหตุผลจริงๆ อาจจะเป็นเพราะเขาโมโหร้าย จนไม่ใครอยากเข้าใกล้ก็ได้ 3.4.3) มะนาวหวาน (Sweet Lemon) เป็นการพยายามอ้างเหตุผลว่า สถานการณ์ หรือสิ่งที่ตนประสบอยู่นั้นดีที่สุด ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่ชอบ เช่น จากตัวอย่างแบบองุ่นเปรี้ยว เมอ่ื ถูกเพือ่ นทอดทิ้ง จะรู้สึกวา่ ตนไม่เป็นทพ่ี ึงปรารถนาของกลมุ่ เพอื่ น การยอมรับความจริงเช่นนัน้ จะ ทาให้เกิดความทุกขท์ างใจ จึงอธิบายเหตุผลวา่ การอยู่คนเดียวเปน็ ส่งิ ท่ีดีจะทาใหจ้ ิตใจสงบ มีอิสระที่ จะทาอะไดต้ ามใจชอบ เปน็ ต้น

70 4.3 ประโยชน์ของกลไกของจิตใจ กลไกของจติ ใจมีประโยชนต์ อ่ บคุ คลดงั ตอ่ ไปนี้ (ชนัดดา เหมอื นแก้ว, 2538, น.92) 1) ชว่ ยผ่อนคลายความเครียด แทนทีจ่ ะรู้สกึ หมดหวังหรือเห็นว่าตนเองไม่มคี ุณค่า การหาทางออกดว้ ยวิธกี ารใช้กลไกของจิตใจ จะชว่ ยทาใหบ้ ุคคลสบายใจขนึ้ 2) ช่วยให้เกิดการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ แม้ว่ากลไกของจิตใจบาง ชนิด จะเริ่มต้นด้วยการหลอกตนเอง เช่น การโทษส่ิงอื่น การทาตรงข้ามกับที่คิด ฯลฯ แต่ก็เป็นการ ขยายโอกาสใหบ้ คุ คลเกดิ การเรียนรู้ทีจ่ ะแกไ้ ขการตัดสนิ ใจทีผ่ ดิ พลาดของตนในโอกาสตอ่ ไป ซง่ึ อาจทา ให้บุคคลพบวธิ กี ารปรบั ตัวในแนวใหม่ได้ 3) ช่วยให้รู้จักใชเ้ หตุผลท่ีดี เช่น วิธีการหาสาเหตุเข้าข้างตนเอง แมจ้ ะไมใ่ ช่เหตุผล ท่ีแท้จริง แต่ก็เป็นเหตุผลที่ดี ใช้ในสถานการณ์ท่ีไม่สมหวัง การรู้จักหาเหตุผล อาจนาไปสู่การ วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งเหตุและผลไดถ้ ถี่ ้วนยงิ่ ขน้ึ ซง่ึ เปน็ การหาเหตผุ ลที่แทจ้ รงิ ในอนาคต 4) ชว่ ยใหเ้ กดิ การสร้างสรรค์งานแก่สงั คม พฤติกรรมบางอยา่ งอาจไม่เปน็ ที่ยอมรับ หากแสดงออกในทางท่ีไม่เหมาะสม เช่น การแสดงออกในเร่ืองของความต้องการทางเพศ จงึ ใช้กลไก ของจิตใจแบบการเปลี่ยนให้เป็นที่ยอมรับ การแสดงความรู้สึกเก่ียวกับความรัก ด้วยการเขียนบทกวี หรืองานศิลปะอื่นๆ แทน แม้ว่าจะเป็นผลงานท่ีเกิดจากการทดแทนความรู้สึกไม่สมหวัง แต่อาจเป็น การสร้างสรรค์งานศิลปะทม่ี ีคณุ คา่ ได้ การพัฒนาตนเองเพ่ือมนุษยสัมพันธ์ เมื่อบุคคลเข้าใจตนเอง รู้จักสารวจข้อดี ข้อเสียของตนเอง ยอมรับในส่วนท่ีตนเองยัง บกพรอ่ งอยู่ และมคี วามตั้งใจ มคี วามอดทนในการพฒั นาตนเอง บคุ คลน้ันย่อมเปน็ ทพ่ี ึงปรารถนาของ ผู้อืน่ และเปน็ บคุ คลทม่ี ีคณุ ภาพของสงั คม ดงั นัน้ จุดเรม่ิ ตน้ ของมนษุ ยสัมพันธ์จงึ อยูท่ ตี่ วั เราเองโดยแท้ ในการพัฒนาตนเองโดยการปรบั ปรงุ บุคลิกภาพ มีข้ันตอนท่ีสาคัญ 4 ข้ันตอน ดงั ต่อไปน้ี (Newton & Hington, อ้างถงึ ใน สมพร สทุ ศั นีย์, 2554, น. 211 - 216) 1. ศึกษาตนเองและประเมินตนเอง การศึกษาและประเมินตนเอง ทาให้รู้จักส่วนดี และส่วนบกพร่องของตนเอง ถ้าเป็น ส่วนดี ก็จะรกั ษาเอาไว้และพัฒนาให้ดีย่ิงข้นึ กว่าเดิม ส่วนบกพร่องน้ันถ้าสามารถแก้ไขไดก้ ็ควรได้รับ การปรับปรุงให้ดีขึ้น การศึกษาและประเมินตนเองครอบคลุมส่ิงเหล่านี้ คือ รูปร่างหน้าตา สุขภาพ สติปัญญา ความรู้ทั่วไป ความสามารถพิเศษ การแต่งกาย การพูด กิริยาท่าทาง นิสัยใจคอ และ บุคลกิ ภาพด้านต่างๆ ตลอดจนฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคม

71 การศึกษาและประเมินตนเอง จะทาให้รูจ้ ักและเข้าใจตนเองในฐานะที่เราเป็นบุคคลท่ี แตกต่างจากผู้อื่น ในท่ีนี้จะกล่าวถึง 2 เรอื่ ง คือ ลักษณะที่ต้องศึกษาและประเมินตนเอง และวิธีการ ประเมินตนเอง 1.1 ลกั ษณะที่ต้องศึกษาและประเมินตนเอง มีดังนี้ 1.1.1 รูปร่างหน้าตาและสุขภาพ ควรพิจารณาว่าตนเองเป็นคนมีรูปร่างหน้าตา อย่างไร สูงหรือเตี้ย ดา หรือขาว อ้วนหรือผอม เพ่ีอจะได้หาหนทางแก้ไขต่อไป และต้องหมั่นตรวจ สขุ ภาพรา่ งกายสมา่ เสมอ อยา่ งน้อยปี ละ 1 ครั้ง เพอี่ จะไดท้ ราบวา่ สขุ ภาพเป็นอย่างไร 1.1.2 สติปัญญา หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ และการแก้ปัญหา สังเกต ตัวเองและพจิ ารณาว่า สามารถเรยี นรูส้ ง่ิ ตา่ งๆ ไดด้ ีเพยี งใด มไี หวพรบิ ปฏิภาณในการแก้ปญั หาหรอื ไม่ 1.1.3 ความรู้ท่ัวไป พยายามสังเกตตัวเองว่าสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ทุกเร่ือง หรอื ไม่ เร่ืองอะไรทไี่ มร่ เู้ ลย เรื่องอะไรท่รี ูด้ ที ีส่ ุด สามารถพดู กบั คนอาชพี ต่างๆ ได้ดีเพียงใด 1.1.4 ความสามารถพิเศษ เปน็ การสงั เกตวา่ ตนเองนนั้ มคี วามสามารถพเิ ศษด้านใด หรือทาอะไรได้ดีเปน็ พิเศษ 1.1.5 การแต่งกาย ควรสารวจตนเองอยู่เสมอว่า การแต่งกายเป็นอย่างไร เช่น เหมาะกบั รูปรา่ งหรือไม่ ทันสมยั หรอื ล้าสมยั เหมาะกับกาลเทศะและวยั หรือไม่ เป็นต้น 1.1.6 การพูด สังเกตการพูด ถ้อยคา น้าเสยี งว่าสุภาพ ไพเราะ ชัดถ้อยชดั คา คาพูด ยกยอ่ งใหเ้ กียรติ หรือดถู กู คนอ่นื เปน็ ต้น 1.1.7 กิริยาท่าทาง ควรสังเกตและตรวจสอบว่ากิริยาท่าทางท่ีแสดงออกเหมาะสม สุภาพ นุ่มนวล หรือแข็งกระด้าง มสี มั มาคารวะต่อผใู้ หญ่หรอื ไม่ 1.1.8 อุปนิสัยและบุคลิกภาพ ควรใช้วิธีการต่างๆ ในการศึกษาเพ่ือจะได้ทราบว่า ตนเองมีอุปนิสัย และบุคลิกภาพอย่างไร เช่น เป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเสียสละ ใจร้อนหรือใจเย็น เป็นคนเก็บตัวหรือแสดงตัว เจ้าอารมณ์หรือมีเหตุผล ก้าวร้าวหรือสุภาพอ่อนโยน ขยัน รับผิดชอบ ขลาดกลวั เชอ่ื มนั่ ในตนเอง ฯลฯ 1.1.9 ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม นับเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีส่งเสริมให้บุคคลสร้าง สัมพันธภาพได้ดีหรือไม่ หากรู้จักประเมินฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเอง จะท่าให้บุคคล สามารถปรบั ตวั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม การศึกษาและประเมินตนเองดังกล่าวข้างต้น ช่วยให้บุคคลมองเห็นข้อดีและข้อบกพร่องของตนเอง อันจะนาไปสูก่ ารยอมรับตนเองและพฒั นาให้ดขี น้ึ ได้ 1.2 วธิ กี ารท่ใี ชใ้ นการศึกษาและประเมินตนเอง มีดงั นี้ 1.2.1 สังเกตตนเอง โดยการส่องกระจกดูรูปร่างหน้าตา การแตง่ กาย กิริยาท่าทาง ตลอดจนการแสดงสีหน้าและแววตา เพื่อสารวจตนเองวา่ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสหรือไม่ การแต่งกาย

72 เหมาะสมกับรูปร่าง และถูกกาลเทศะเพียงใด กิริยาท่าทางมีความสารวม สุภาพ มีสัมมาคารวะต่อ บุคคล ต่อสถานทีห่ รอื ไม่ 1.2.2 ใหผ้ อู้ ่ืนวพิ ากษ์วิจารณ์หรือบอกจุดบอดท่เี ราไมท่ ราบ เพอื่ จะได้ปรบั ปรงุ แก้ไข ให้ดีข้ึน ไม่ว่าจะเป็นคาพูดหรือการกระทา เช่น การพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ การพดู ให้ร้ายผู้อื่น พูดยกตน ขม่ ท่าน พดู ขวานผ่าซาก ชอบวางอานาจเหนอื ผู้อืน่ การแสดงความก้าวรา้ วตอ่ ผอู้ ืน่ เป็นตน้ 1.2.3 ใช้แบบประเมินตนเอง ปัจจุบันมีแบบประเมินตนเองมากมาย อาจจะเป็น แบบวัดต่างๆ ทางจิตวิทยา เช่น วัดความรับผิดชอบ ความเชื่อม่ันในตนเอง สติปัญญา หรืออาจเป็น แบบประเมนิ ทวั่ ๆ ไป เก่ยี วกบั ร่างกายและสุขภาพของบคุ คล หลังจากได้คะแนนจากการสังเกตตนเอง ใหผ้ ้อู ื่นวพิ ากษ์วจิ ารณ์ และจากแบบประเมนิ ตนเองแล้ว จึงนาผลท่ีไดม้ าเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่วางไว้ จะทาให้ทราบวา่ ตนเองมีบุคลกิ ภาพแตล่ ะด้านในระดบั ใด 2. ยอมรับและตระหนักในความตอ้ งการท่ีจะพฒั นาตนเอง จากผลการประเมินตนเอง จากแบบประเมินทั้งหมดจะบ่งชี้ได้ว่าเรามีจุดบกพร่องใน เรอื่ งใดบ้าง เม่ือมีข้อมูลระบุชัดเจน กจ็ ะต้องยอมรับว่าเรามีข้อบกพร่องจรงิ ๆ นอกจากนี้ตอ้ งตระหนัก ถึงความสาคัญของการพัฒนาตนเองและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะพัฒนาตนเอง โดยหา วิธีการท่ีดีที่สุด เช่น ปรึกษาแพทย์ ผู้รู้ อ่านหนังสือ บทความ หรือเข้ารับการอบรมการ พัฒนา บคุ ลกิ ภาพตามความเหมาะสม 3. มีแรงจงู ใจในการพฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเองไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะเป็นส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับอุดมคติ เกี่ยวข้องกับการ เปล่ียนนิสัยเดิมที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน และสร้างนิสัยใหม่บุคคลจึงต้องมีแรงจูงใจในการพัฒนา ตนเองเป็นอยา่ งยง่ิ แรงจูงใจในการพฒั นาตนเองมีดังนี้ 3.1 ความต้องการท่ีจะให้บุคลิกภาพเป็นท่ีดงึ ดูดใจของเพศตรงกันข้าม แรงจูงใจเช่นน้ี เป็นแรงจงู ใจทที่ าให้บคุ คลต้องการพฒั นาตนเองในระดับสงู 3.2 ความตอ้ งการทจี่ ะเป็นที่ชื่นชมของสงั คม คอื ต้องการให้เปน็ ท่รี ักและเป็นท่ียอมรับ ของคนในสงั คม 3.3 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม เพราะความต้องการความ มั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสงั คม บคุ คลจึงต้องพัฒนาตนเองในเรื่องของ การแตง่ กาย กิริยามารยาท ความขยัน ความรับผิดชอบในการทางาน การปรับตัวให้เข้ากับเพ่ือนร่วมงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิด ปัญหาในการทางานและการอยูร่ ว่ มกับผ้อู ื่น

73 3.4 ความต้องการอานาจ การพัฒนาบุคลิกภาพก็เป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้ตนเองมีอานาจ ขึน้ ได้ นนั่ คือ ทาใหม้ คี วามสง่างาม น่าเช่ือถอื และนา่ เกรงขาม 4. การวางแผนในการพฒั นาตนเอง การวางแผนในการพัฒนาตนเอง คอื การตั้งเป้าหมายก่อนว่าจะปรับปรุงอะไร อย่างไร ซงึ่ อาจจะใช้วิธกี ารตอ่ ไปนเ้ี ปน็ แนวทาง 4.1 นาข้อบกพร่องที่สารวจได้ ไม่ว่าด้วยการสังเกตตัวเอง หรือให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ หรือจากการใช้แบบประเมินตนเอง มาวางแผนเพื่อแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งเป็นลาดบั ข้นั 4.2 เรียงลาดับความสาคัญของข้อบกพร่องที่ต้องการแก้ไข เพอื่ ดูวา่ ส่ิงใดสาคัญควรแก่ การแก้ไขปรับปรงุ เป็นอันดับแรก หรอื บางคนอาจแก้ไขขอ้ บกพร่องหลายๆ อยา่ งพร้อมกัน 4.3 ดาเนินการแก้ไข โดยพยายามเตือนสติตนเองอยู่เสมอว่า จาเป็นต้องแก้ไข ขอ้ บกพรอ่ งเหลา่ นน้ั เพอื่ พัฒนาตนเองให้ดีขนึ้ ดงั น้ัน จึงต้องมคี วามอดทน ใจเยน็ และรอบคอบ 4.4 จดบันทึกทุกครั้งท่ีนาข้อบกพร่องน้ันไปปรับปรุง เพื่อจะได้รู้ผลเป็นอย่างไร มีความกา้ วหน้ามากนอ้ ยเพยี งใด ขอ้ ควรระวงั และขอ้ เสนอแนะในการสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ ขอ้ ควรระวังในการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ เนื่องจากการสรา้ งมนุษยสัมพันธ์เป็นการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักใครพ่ อใจ และร่วมมือร่วมใจในการทากิจกรรมต่างๆ ให้เกิดสัมฤทธ์ิผล แต่บางคร้ังก็อาจจะไมป่ ระสบผลสาเร็จ ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ข้ึนได้ ดังที่ เจษฎา บุญมาโฮม (2555, น. 71-72) ได้กล่าวถึงสาเหตุความ ล้มเหลวในการสรา้ งมนุษยสมั พันธไ์ วด้ งั นี้ 1. ความไม่รู้จักให้เกียรติซ่ึงกันและกัน ในความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่รู้จักให้คายกย่อง ชมเชยกนั 2. การไมย่ อมรับนบั ถอื ผู้อืน่ ในดา้ นต่างๆ เช่น ดา้ นฐานะ การศึกษา วยั เปน็ ต้น 3. การดูหม่นิ เหยยี ดหยาม ไมเ่ ห็นความสาคญั ของคนหรือความเป็นมนษุ ย์ 4. การเห็นว่าตนเองเป็นคนสาคัญกว่าคนอ่ืน คนอื่นไม่มีความสาคัญเหนือตนเอง มีความสามารถเหนือกว่าผ้อู น่ื ทงั้ ไม่ชอบเหน็ ผู้อ่ืนได้ดกี ว่า เกิดความอจิ ฉา 5. การใช้อารมณท์ ่ไี มถ่ ูกต้อง เครง่ เครียด โศกเศร้า หรอื ขุ่นมวั อย่เู สมอ 6. การมอี ารมณไ์ ม่ปกติ หงุดหงดิ มเี ร่ืองราวกระทบจติ ใจ ทาใหอ้ ารมณไ์ ม่ดี 7. ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ความเช่ือไมเ่ หมือนกนั รสนิยมค่านิยมตา่ งกัน

74 8. ถอื เอาความคดิ เห็นและใจตนเองเป็นใหญ่ ไม่คิดถึงผู้อ่นื 9. มีความไม่ชอบพอกันเปน็ ส่วนตวั หรอื ไมช่ อบในแง่รูปรา่ ง หนา้ ตา นิสยั พฤตกิ รรม 10. ความระแวงสงสัย ไมไ่ วว้ างใจกนั 11. ความพกิ ารและความไมเ่ ป็นปกติทางรา่ งกายและจิตใจ 12. ผลประโยชนข์ ัดแย้งกนั 13. วัฒนธรรมขนบธรรมเนยี มแตกตา่ งกัน เขา้ กันไมไ่ ด้ 14. การเยาะเยย้ ถากถาง กระทบกระเทยี บ เสยี ดสี ใส่ร้ายป้ายสีผอู้ ืน่ หากบุคคลมีความเข้าใจเกย่ี วกับสาเหตุของความลม้ เหลวของการสร้างมนุษยสัมพันธ์แล้ว ไม่กระทาก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่รู้ ดังนั้นมนุษยสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและสาคัญต่อการดาเนิน ชีวิต โดยท่ีมนุษยสัมพันธ์มีการส่ือสารเป็นพ้ืนฐานและมีหลักการสาคัญ ซ่ึงควรท่ีจะศึกษาทาความ เข้าใจอย่างถอ่ งแท้ รวมถึงควรระมัดระวงั ในเร่อื งตอ่ ไปน้ี (สมพร สทุ ศั นยี ์, 2544, น. 134-135) 1. ระวังการแสดงสีหนา้ กิริยาทา่ ทาง และบคุ ลิกภาพ 2. การโต้แยง้ การถกเถียงเพือ่ เอาชนะ 3. การตาหนติ เิ ตียนผู้อืน่ ทง้ั ตอ่ หน้าและลบั หลงั 4. การพดู เรื่องของตนเอง การพูดโอ้อวด ยกตนขม่ ทา่ น 5. การพูดเพอ้ เจอ้ ประชดประชนั นินทาว่ารา้ ย 6. การไม่สนใจฟังผ้อู นื่ 7. การแสดงความอิจฉา 8. การแสดงความอยากได้ ใจแคบ 9. การแสดงความเหน็ แก่ตัวเองมากกว่าสว่ นรวม 10. การแสดงความโมโหฉุนเฉียว 11. การแสดงการเลอื กที่รักมักท่ชี งั 12. การแสดงอานาจเหนอื ผอู้ ่ืน 13. การแสดงความไมแ่ น่นอน ใจรวนเร ไม่รกั ษาคาพูด 14. การโยนความผดิ ให้ผู้อ่นื 15. การแสดงความเปน็ ระเบียบ จู้จจี้ ุกจกิ เกินไป 16. การลืมนึกถงึ ความสาคญั ของผอู้ นื่ บางคนเป็นคนมีอานาจชอบใชอ้ านาจกับผู้อ่นื จนลืม นกึ ไปวา่ ผอู้ ่ืนก็มีความสาคญั 17. การมีอคติ ความลาเอียงตอ่ ผูอ้ ่ืน โดยเฉพาะเชอ้ื ชาติ ศาสนา 18. การแสดงพฤตกิ รรมบางอย่างจนเคยชิน เช่น การน่ังเหยียดแข้งเหยยี ดขาต่อหน้าผูใ้ หญ่ จนเปน็ นสิ ยั อาจทาให้เสยี สมั พนั ธภาพได้

75 ข้อเสนอแนะในการสร้างมนุษยสมั พันธ์ ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ต่อกันและกัน บุคคลแรกคือ ผู้สร้าง หรือผู้ท่ีจะไปผูกมิตรกับ บุคคลท่ีเราคาดหวังไว้ เมื่อมีมนุษยสมั พนั ธท์ ่ีดตี อ่ กันแลว้ ประโยชน์ในเชงิ สาธารณะบังเกิดขน้ึ มากกว่า ประโยชน์ส่วนตัว พร้อมท้ังไม่กระทาให้บุคคลเหล่านั้นได้เสียประโยชน์ในความสัมพันธ์ด้วย ดังน้ัน ในการสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์จงึ ควรใหค้ วามสาคัญกบั เรือ่ งดงั น้ี 1. ควรระวังในเรื่องสุขภาพ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ต้องเร่ิมต้นท่ีสุขภาพดี ถ้าบุคคลมี สขุ ภาพดี หนา้ ตากย็ ิม้ แย้มแจ่มใส ทาใหค้ นอื่นอยากเข้าใกล้ 2. ควรจะระงับอารมณ์ไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ค้างมาจากไหน ควรทิ้งอารมณ์ไว้ที่นั่น พยายามทาอารมณ์ให้แจม่ ใสก่อนจะพดู คยุ กับผู้อืน่ 3. การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอกให้เหมาะสม เช่น ปรับปรุงการแต่งกายให้สะอาด เรยี บร้อย เหมาะสมกาลเทศะ และบคุ คล ปรับปรงุ การใชส้ ีหน้าคอื ไม่บ้ึงตงึ ไมเ่ ครยี ด ฝกึ การใชส้ ายตา ให้อ่อนโยน มีเมตตา 4. มมี ารยาทในการติดตอ่ สมั พนั ธ์ คนท่มี มี ารยาทดียอ่ มเปน็ บคุ คลที่น่ารักใคร่ นา่ นบั ถอื 5. ควรปรับปรุงการพดู จา ทง้ั การใชถ้ อ้ ยคาสานวน และนา้ เสียง 6. ควรรกั ษาสัญญา มีความรับผิดชอบตอ่ คาพูดและการกระทาของตนเอง 7. ควรรจู้ กั ให้และรบั อย่างเหมาะสม 8. ควรคานงึ ถึงความตอ้ งการของผ้อู ่นื เปน็ สาคญั 9. ควรใหค้ วามสาคัญแกผ่ ู้อน่ื ยิง่ กวา่ ตนเอง 10. ยิง่ ใกล้ชดิ สนิทสนมกับใครมากเทา่ ไร ควรเกรงใจเขาให้มากข้ึนเทา่ นั้น เพราะคนเรามัก ลมื รักษานา้ ใจคนท่ีอยใู่ กลช้ ิดเสมอ 11. ไม่ควรคานึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง จนลืมนึกถึงจติ ใจของผอู้ ื่น ซ่งึ ทาให้พูดจาและ แสดงท่าทีทีเ่ ห็นแก่ตวั ออกไป บทสรุป หลักปรัชญาพื้นฐาน หมายถึง ความเช่ือพ้ืนฐานเก่ียวกับมนุษยสัมพันธ์ในเรื่องมนุษย์ ซึ่งสามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการทาความเข้าใจถึงมนุษยสัมพันธ์ได้ ประกอบด้วย มนุษย์มี ศักดิ์ศรีและคุณค่า มนุษย์ต้องการการจูงใจ มนุษย์มีความแตกต่างกัน พฤติกรรมของมนุษย์เกิดข้ึน อย่างมีสาเหตุ มนุษย์ต้องการเพื่อน มนุษย์มีลักษณะเป็นองค์รวม และมนุษย์เป็นผู้ท่ีพัฒนาได้ โดยหลกั การที่เก่ียวข้องกับมนุษยสมั พันธ์ท่สี าคัญ ได้แก่ หลักวิชาจิตวิทยา หลกั วิชาวิทยาศาสตร์และ การแพทย์ หลักวิชาจิตวิทยาวิเคราะห์ หลักวิชาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา หลักปรัชญาและ

76 หลักจริยศาสตร์ ซ่ึงทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับมนษุ ยสัมพันธ์ ได้แก่ ทฤษฏคี วามต้องการตามลาดบั ขั้นของ มาสโลว์ ทฤษฏคี วามสมดลุ ของไฮเดอร์ และทฤษฎกี ารจูงใจ ปัจจัยท่ีส่งเสริมมนุษยสัมพันธ์ ประกอบด้วย การกาหนดจุดประสงค์ร่วมกัน การปฏิบัติ ตามรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างกัน การเคารพสิทธิส่วนบุคคล การสื่อสารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ การแสดงความเอ้ืออาทรหรือห่วงใยต่อกัน ความจริงใจและความซื่อสัตย์ ส่วนองค์ประกอบของ มนุษยสัมพันธ์ ได้แก่ การมีความเข้าใจตนเอง การมีความเข้าใจบุคคลอ่ืน การยอมรับความแตกต่าง ของบุคคล และการสรา้ งสงั คมและส่งิ แวดลอ้ มท่ดี ี การเข้าใจตนเองและผู้อื่น สามารถทาได้โดยการรู้จักตัวตนของบุคคล และการเรียนรู้ เก่ียวกับตัวตน ซ่ึงตัวตนของบุคคลมี 3 แบบ ได้แก่ ตนตามท่ีเป็นจริง ตนตามอุดมคติ และตนที่ตน มองเหน็ ซึง่ สามารถทาการเขา้ ใจตนเองและผอู้ น่ื โดยใช้หน้าต่างหวั ใจ และกลไกของจติ ใจ ข้อควรระวังในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เช่น ระวังการแสดงสีหน้า กิริยาท่าทาง และ บคุ ลกิ ภาพ การโต้แย้ง การถกเถียงเพื่อเอาชนะ การตาหนติ ิเตยี นผูอ้ ่ืนทั้งต่อหน้าและลับหลัง การพูด เรอื่ งของตนเอง การพูดโอ้อวด ยกตนข่มท่าน การพูดเพ้อเจอ้ ประชดประชัน นินทาว่าร้าย และการ ไมส่ นใจฟงั ผ้อู ืน่ เปน็ ตน้

77 คาถามท้ายบท จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ โดยอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ 1. จงอธิบายหลกั ปรชั ญาพนื้ ฐานของมนุษยสัมพนั ธ์ 2. หลักปรัชญาพื้นฐานของมนุษยสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ของครู 3. ความใกล้ชดิ ผูกพนั เกีย่ วขอ้ งอย่างไรกับการมมี นุษยสัมพันธ์สาหรับครู 4. การท่ีครูแต่งกายดี บุคลิกภาพเหมาะสม เกี่ยวข้องอย่างไรกบั หลักจติ วิทยาในการสร้าง มนุษยสัมพนั ธ์ 5. เพราะเหตุใดครูจึงจาเป็นต้องมีความรู้เก่ียวกับความต้องการของมาสโลว์เพ่ือการสร้าง สัมพันธภาพ 6. จงอธิบายปัจจัยท่สี ง่ เสรมิ มนษุ ยสัมพันธ์ และองค์ประกอบของมนุษยสัมพนั ธ์ 7. เพราะเหตใุ ดครูตอ้ งรจู้ ักตนเองและผอู้ นื่ 8. ความรเู้ รอ่ื งหนา้ ตา่ งหวั ใจหรอื หนา้ ต่างโจฮารี่นาไปประยุกต์ใช้ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ไดอ้ ย่างไร 9. กลไกการปอ้ งกนั ตัวเองมปี ระโยชน์อย่างไร และเกยี่ วข้องกับมนษุ ยสัมพนั ธส์ าหรบั ครู 10. จงยกตัวอย่างเหตุการณ์ความล้มเหลวด้านมนุษยสัมพันธ์สาหรับครู พร้อมอธิบาย สาเหตุและยกตัวอย่างประกอบ

78 เอกสารอา้ งองิ กฤษณา ศักด์ศิ รี. (2534). มนุษยสัมพนั ธ.์ กรงุ เทพฯ: อกั ษรพิทยา. เจษฎา บุญมาโฮม. (2555). มนุษยสมั พนั ธ์สำหรบั ครู. นครปฐม: คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม. ชนัดดา เหมือนแก้ว. (2538). มนษุ ยสมั พันธ.์ กรงุ เทพฯ: สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนคร เหนอื . บญุ มน่ั ธนาศุภวฒั น์. (2553). จติ วทิ ยำองค์กำร. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ปนดั ดา ชานาญสุข. (2553). การเขา้ ใจตนเองและการพฒั นาชวี ิต. ใน ศิลปะกำรดำเนนิ ชีวิต. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 10). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. ปราณี รามสูตร และจารสั ดว้ งสวุ รรณ. (2555). พฤติกรรมมนษุ ย์กบั กำรพฒั นำตน. (พิมพค์ ร้งั ท่ี 5). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ี. พรรณทพิ ย์ ศิริวรรณบศุ ย.์ (2549). มนษุ ยสัมพนั ธ.์ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5). กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . วงศ์นภา ตยิ ะวานิช. (2548). พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั กำรพฒั นำตน. นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ นครปฐม. วภิ าพร มาพบสขุ . (2543). มนษุ ยสมั พันธ.์ กรงุ เทพฯ: ซีเอ็ดยูเคช่นั . วิมล เหมือนคิด. (2543). มนษุ ยสัมพันธ์. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: ศนู ยผ์ ลิตตาราเรยี น สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื . สมคิด บางโม. (2544). หลักบริหำรกำรศึกษำ. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรงุ เทพฯ: สถาบนั ราชภฏั พระนคร. สมพร สทุ ัศนีย์. (2544). กำรทดสอบทำงจิตวิทยำ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ________. (2554). มนุษยสัมพนั ธ.์ (พิมพ์คร้งั ที่ 10). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สรุ พล พะยอมแยม้ . (2548). จิตวทิ ยำสัมพันธภำพ. กาญจนบุรี: โรงพมิ พส์ หายพฒั นาการพมิ พ.์ หลยุ จาปาเทศ. (2533). จิทวิทยำสมั พนั ธ.์ (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . http://www.familynetwork.or.th/content. McGregor, D. (1960). The Human Side of Enterprise. New York: McGraw-Hill Book Company.

บทท่ี 3 กระบวนการและเทคนคิ การสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ กระบวนการของมนุษยสัมพันธ์ เป็นการสร้างเสรมิ ความสัมพันธ์อันดีกับบุคคล เพอ่ื ใหไ้ ดม้ า ซึ่งความรักใคร่ นับถือ ความพอใจ ความร่วมมือ และความสุข ซึ่งจะต้องเป็นการกระทาที่ต่อเนื่อง คือเร่ิมจากจุดเร่ิมต้น จนบรรลุผลดีในบ้ันปลาย เป็นกระบวนการของมนุษยสัมพันธ์ที่ครบวงจร คือเริ่มตน้ สร้างมนุษยสัมพันธใ์ นครอบครวั ในโรงเรยี น และในท่สี ุดกส็ ามารถสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ให้กับ สังคมภายนอกด้วย จากการสร้างมนุษยสัมพันธ์แต่ละสถาบันก็เพ่ือให้มีชีวิตท่ีมีความสุข มีความ เป็นอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความปลอดภัย และประสบความสาเร็จในชีวิตในท่ีสุด นอกจากน้ี ใน ก า ร ส ร้ า ง ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ มี ค ว า ม จ า เป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ท่ี ต้ อ ง อ า ศั ย ก า ร ฝึ ก หั ด แ ล ะ ใช้ ร ะ ย ะ เว ล า รวมถึงเทคนิคเพื่อการสร้างเสริมมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนท่ีหลากหลาย ดังนั้น บุคคล ควรพิจารณาเลือกใช้เทคนิคทเ่ี หมาะสม เพ่ือความสาเร็จในชวี ติ ตอ่ ไป กระบวนการของมนษุ ยสัมพันธ์ พฤติกรรมของมนุษย์ทีเ่ กดิ ข้นึ ลว้ นเปน็ ผลของปจั จัยดา้ นการรบั รู้ การเรียนรู้ สตปิ ญั ญา และ ความคิด ทศั นคติ ความเชอื่ อารมณ์ และแรงจูงใจ รวมถึงการกระทาท่ีเริ่มมาจากบุคคลในครอบครัว พ่อแม่ ญาติพ่ีน้อง ตลอดจนบุคคลอ่ืนๆ ในสังคม เช่น ครู-อาจารย์ เพ่ือนๆ เป็นต้น บุคคลเหล่าน้ีมา จากครอบครัวที่มีความเป็นมาและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยมีการรับรู้ หรือการเรียนรู้ ท่ีได้ ประสบพบเห็นจากคนอืน่ มาเปน็ ลักษณะของตน ลักษณะดังกล่าวน้ีจะเหน็ ได้อย่างชดั เจน นักจติ วทิ ยา ทัง้ หลายต่างก็ตอ้ งการทีจ่ ะรู้ว่าพฤติกรรมของบคุ คลแต่ละคนมีผลต่อคนอื่นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้ทา การคาดคะเนพฤติกรรมของบุคคลอย่างมีความเช่ือมั่นได้ในสถานการณ์ต่างๆ กระบวนการของ มนุษยสัมพันธม์ ีองค์ประกอบทสี่ าคัญ ดงั ต่อไปน้ี (Kelly and Thibaut, 1959 และ ลักขณา สริวฒั น์, 2556, น. 10-13)

80 1. การรับร้บู ุคคล (Person Perception) การรับรู้ของบุคคลทมี่ ีต่อกันและกันนั้น จะมีความสาคญั ในการช่วยใหเ้ กดิ การพิจารณา ว่าบุคคลเหล่าน้ันมีผลต่อตนเองอย่างไร เนื่องจากปฏิกริ ิยาท่ีบุคคลนั้นมีต่อคนอื่นจะเป็นเครื่องตัดสิน ว่าคนอื่นรับรู้เขาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง และวธิ ีท่ีคนเราจะรับรู้บุคคลอื่นๆ นั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ต่างๆ เช่น บุคลิกลักษณะของบุคคล วิธีท่ีจะรวบรวมและสรุปการรับรู้ท่ีมีต่อบุคคลอื่น ความรู้สึกท่ี ประทับใจในคร้งั แรก และความคลา้ ยคลงึ กนั ระหว่างตนเองและบคุ คลเหล่านน้ั 2. ลกั ษณะของสง่ิ เรา้ (Stimulus Characteristics) โดยท่ัวไปแล้วการรับรู้ท่ีบุคคลมีต่อกันน้ัน มักจะมีการพิจารณาจากลักษณะของรูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทาง และการพูดจาของบุคคลเป็นสาคัญ แม้ว่าจะไม่ได้มีการพิจารณาสิ่งเหล่าน้ี อย่างละเอยี ดก็ตาม แต่มนุษยก์ ็มกั จะตัดสินบุคคลอน่ื จากลกั ษณะทางกาย เชน่ รูปรา่ งลักษณะท่ดี ึงดูด ความสนใจ ได้แก่ ลักษณะ ท่าทางสง่า หน้าตาสะอาดดูดี ซึ่งเป็นลักษณะที่ดึงดูดความสนใจแก่ผู้ที่ พบเห็น และมักจะคิดว่าบุคคลน้ันเป็นที่ปรารถนาและชื่นชอบของสังคมโดยท่ัวไป เป็นบุคคลที่ นา่ สนใจ ซึง่ จะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ครใู นการรบั รเู้ ด็กในดา้ นความสามารถเชง้ วชิ าการ ครมู ักจะคาดหวังวา่ เด็ก ทม่ี ีลกั ษณะดี นา่ สนใจจะเป็นคนดีกว่าเดก็ ท่ีมลี กั ษณะไมน่ ่าสนใจ สาหรับส่ิงเร้าทางสังคมน้นั จะรวมทั้ง น้าเสียง และรูปร่างหน้าตา บุคคลมีแนวโน้มท่ีจะเชื่อมโยงบุคลิกลักษณะของบุคคลจากเสียงของ บุคคลน้ัน จากการศึกษาพบว่า คนที่พูดเสียงดังและมีน้าเสียงท่ีหนักแน่นมักจะได้รับการคาดหวังว่า เป็นคนเข้มแข็งกว่าคนที่พูดด้วยเสียงเบาๆ วิธีท่ีบุคคลพูดและแสดงออกจึงมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของ บุคคลอื่นด้วย คนท่ีพดู จาอยา่ งแคล่วคล่อง หนักแน่น และชดั เจน มักจะมีแนวโน้มทีบ่ ุคคลอืน่ จะคิดว่า เปน็ คนฉลาดกวา่ คนที่พูดได้ไมค่ ล่อง และใชภ้ าษาได้ไมด่ ี 3. การรวมลักษณะที่ไดจ้ ากการรบั รู้ การรับรู้ทางสังคมของมนุษย์น้ัน เป็นผลอันเกิดจากวิธีการรวบรวมข้อมูลจากส่ิงที่ตน มองเห็น เช่น ถ้าบุคคลหน่ึงมีแนวโน้มที่จะพิจารณาบุคคลอ่ืนจากสติปัญญา เขามักจะพิจารณา ลักษณะและองค์ประกอบต่างๆ ท่ีเป็นเคร่ืองบ่งชี้ถึงสติปัญญาของบุคคลนั้น ก่อนที่จะพิจารณา ลกั ษณะอ่ืนๆ เช่น เม่อื ครูให้เด็กบอกลกั ษณะของเพ่อื นคนใดคนหนึ่งในกลุ่มทางาน เดก็ ก็มกั จะอธิบาย ถึงลักษณะของเพอ่ื นของตนเกย่ี วกับความเปน็ คนมีนา้ ใจ ความเป็นนกั รอ้ ง เป็นต้น จะเห็นว่าส่งิ ที่เด็ก กล่าวถึงนั้นเป็นการรวมลักษณะการรับรู้ที่มีต่อเพื่อน การท่ีบุคคลใดก็ตามอธิบายลักษณะคนใดคน หน่ึงนั้นเป็นผลมาจากการเรียนรู้ หรือการรับรู้ที่มีต่อบุคคลนั้นมักจะพิจารณาว่าเป็นคนดี สวย หรือ เกง่ กเ็ พราะเขาเรยี นรู้ที่จะสรปุ ความคดิ ในลักษณะน้ัน การพิจารณาว่าใครเป็นคนดี สวย หรือเก่งน้ัน อาจเป็นการพิจารณาคนโดยมีข้อมูลจากัดและความสนใจอยู่ในวงแคบ การท่ีจะสรุปโดยกล่าวว่า

81 คนๆ นนั้ เปน็ อย่างไร ซ่ึงนอกจากจะมีผลตอ่ ผู้พิจารณาเองแล้วยงั มผี ลต่อบุคคลอื่นด้วย จากการศึกษา ของเคลลี่ (Kelly) เขาได้พบว่า การที่พูดถึงคนใดคนหน่ึงเป็นคนอย่างไร เช่น เยือกเย็น หรือใจรอ้ น ลักษณะเหล่าน้ีจะมีอิทธิพลต่อบุคคลอ่ืนที่มีเจตคติต่อบุคคลน้ันในเวลาต่อมาได้ จากการทดลองของ เขาที่ได้บอกนักศึกษาท่ีเรียนจิตวิทยากับเขาว่า ผู้ที่จะมาสอนจิตวิทยาแทนเขาน้ันเป็นคนเยือกเย็น และได้บอกกับนักศึกษาอีกกลุ่มหน่ึงว่า ผู้ท่ีจะมาสอนแทนเขานั้นเป็นคนอบอุ่นมาก ภายหลัง จากผู้สอนแทนเขาได้สอนเสร็จแล้ว เขาก็ให้นักศึกษาตอบแบบสอบถามประเมินผู้สอนแทนเขา ปรากฏว่านกั ศึกษาท้ังสองกลุ่มประเมินผลแตกตา่ งกัน โดยกลุม่ ท่ไี ด้รับการบอกว่าผู้สอนแทน เขาเป็น คนอบอ่นุ รายงานวา่ เป็นคนมีอารมณข์ ัน มลี ักษณะและนลิ ัยดี ส่วนกลมุ่ ท่ีไดร้ ับการบอกว่าผูส้ อนแทน เขาเป็นคนเยือกเย็นได้รายงานว่า เป็นคนไม่มีอารมณ์ขัน โกรธง่าย อารมณ์เสียง่าย และสังคมไม่ดี จะเห็นวา่ แม้ว่านักศึกษาทั้งสองกลุ่มจะรับรู้ผสู้ อนคนเดียวกันในเวลาเดียวกัน แต่ก็ประเมินผลบุคคล น้ันแตกต่างกัน เพราะการได้รับอิทธิพลการบอกเล่าลักษณะของผู้สอนในลักษณะท่ีแตกต่างกัน นักศึกษากลุ่มหนึ่งจะมีความคิดถึงลักษณะของผู้สอนในลักษณะท่ีเป็นคนอบอุ่น ในขณะที่นักศึกษา อีกกลุ่มหนึ่งจะมีความคิดถึงลักษณะของผู้สอนในลักษณะของคนเยือกเย็น ความคิดว่าผู้สอนเป็น คนอบอุ่นหรือเยือกเย็นน้ัน ได้นาไปสู่ความคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของบุคคลท่ีมีพ้ืนฐานอยู่กับส่ิงที่ ได้รับการบอกเล่ามากกว่าจะมีพ้ืนฐานอยู่กับธรรมชาติของบุคคลนั้น ดังนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คาบอกเล่าถึงลักษณะของบุคคลทาให้ เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาดได้ สาหรับความผดิ พลาดในการรบั รนู้ ้ัน มักจะเกิดข้ึนได้เสมอ เม่ือความเช่ือเดิมทาให้มีการพิจารณาถึงสิ่งที่ตนเองมองเห็นได้ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น นายจ้างจะใช้เวลา 15 นาที ทาการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน 2 คน เป็นชายและหญิง แต่หลังจากทาการสัมภาษณ์ แลว้ จึงตกลงจ้างผู้สมัครชายแทนที่จะเป็นหญงิ เพราะเขาร้สู ึกว่าผู้สมัคร ชายเป็นคนเข้มแข็ง และอดทนกว่า คงไมเ่ ป็นคนเจา้ อารมณ์ การตัดสินใจของนายจ้างดังกล่าวบางที อาจมีเหตุผลมาจากความเช่ือด้ังเดิมมากกว่าที่จะมาจากการประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครท้ังสอง อย่างถูกต้อง เน่ืองจากการสัมภาษณ์ภายในเวลาอันสั้นอาจทาให้ได้ข้อมูลท่ีไม่เพียงพอในการจะทา การตัดสนิ ใจเลอื กผ้สู มคั รงานได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม 4. ความรสู้ กึ ประทับใจคร้ังแรก ความรู้สึกประทับใจครั้งแรกที่บุคคลมีต่อกันนั้นมีบทบาทสาคัญต่อมนุษยสัมพันธ์ของ บุคคลมากกว่าความประทับใจครั้งแรกที่บุคคลมีต่อวัตถุส่ิงของ ถ้าความรู้สึกประทับใจครั้งแรกของ บคุ คลทมี่ ตี ่อวัตถุสิ่งของในทางลบก็ย่อมทาลายความสัมพันธ์ท่ีจะเกดิ ขน้ึ ในขณะน้ัน หรือในเวลาตอ่ มา จากการศึกษาเรื่องความประทับใจคร้ังแรกของลูซินส์ (Luchins, 1957) ซึ่งได้ให้ผู้ถูกศึกษาอ่าน ขอ้ ความ 2 ตอนท่ีบรรยายถึงกิจกรรมของเดก็ คนหนึ่ง ในข้อความตอนแรกบรรยายว่าเด็กชายคนน้ัน เป็นเดก็ นา่ คบและมีลกั ษณะเป็นมิตร เขาเดินไปโรงเรียนกับเพ่ือนๆ พูดคยุ กบั เพอื่ นๆ ในระหว่างทางท่ี

82 กาลังเดินไปโรงเรียน และได้หยุดทักทายกับเด็กผู้หญิงท่ีเขารู้จักด้วยกริยาที่สุภาพ นอกจากน้ีในอีก ตอนหน่ึงได้บรรยายว่า เขาเป็นเด็กไม่สนใจใครและบางคร้ังก็เป็นคนขี้อาย เขาเดินไปโรงเรียนตาม ลาพัง ไม่ได้สนใจเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เขารู้จักเมื่อวันก่อน และน่ังคนเดียวในร้านขนมในขณะที่ เพ่ือนๆ นั่งรวมกันเป็นกลุ่ม ผู้ถูกศึกษาอ่านข้อความทั้งสองตอนโดยให้บางคนอ่านข้อความตอนหลัง ก่อน และบางคนก็อ่านตอนแรกก่อน ลูซินส์ พบส่ิงที่เรียกว่าภาพพจน์ครั้งแรก ก็คือ คนที่อ่านจะ พิจารณาเด็กในลักษณะที่ตนอ่านลักษณะของเด็กเป็นคร้ังแรกมากกว่า เช่น ถ้าเขาอ่านข้อความ ซ่งึ บอกว่าเด็กเป็นคนมีลกั ษณะเก็บตวั ก่อน เขาก็มีแนวโน้มที่จะตัดสนิ ว่าเด็กน้ันเป็นคนเก็บตวั แต่ถ้า เขาอ่านข้อความซึ่งบอกลักษณะของเด็กแสดงตัวก่อน เขาก็มีแนวโน้มที่จะประเมินผลว่าเด็กคนนั้น เป็นคนแสดงตวั ข้อมูลท่ีได้รบั รู้ครงั้ แรกดูเหมือนว่าจะมอี ิทธิพลต่อการรับรู้ และมีอิทธิพลเหนือข้อมูล ทไี่ ดร้ ับในเวลาต่อมา เพือ่ ทห่ี ลีกเล่ียงการที่คนเราจะมีแนวโน้มท่ีจะตดั สินส่งิ ต่างๆ คลาดเคล่ือนไปจาก ความร้สู ึกประทับใจครั้งแรก ลซู ินส์ กลา่ วว่าเราสามารถจะป้องกัน ความคลาดเคล่ือนอันเป็นผลท่เี กิด จากสิงท่ีได้รับรู้ครั้งแรก เพ่ือให้สิ่งท่ีรับรู้ครั้งแรกเป็นกลาง คือ ไม่มีลักษณะที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เพ่ือท่ีขอ้ มูลท่ีได้รับในเวลาต่อมามีแนวโน้มที่จะไม่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ ลักษณะนี้เรียกว่า ผลท่ีได้รับ ในปจั จุบนั ความรู้สึกประทับใจคร้ังแรกมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของคนแต่ละคนที่มีต่อคนอื่น แม้บุคคล นน้ั ยอมรับข้อมลู ครงั้ แรก และไม่มีความคิดอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องระหว่างขอ้ มูลครั้งแรกและข้อมูล ครั้งหลัง ตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลหน่ึงได้รับคาบอกเล่าว่า นิสาเป็นคนเคร่งศาสนา ชอบใช้เวลาศึกษา เรื่องประวัติศาสตร์มากกว่าไปดูภาพยนตรห์ รือละคร จนแทบจะไม่เคยออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ บุคคล คนน้ันย่อมจะคิดว่านิสาเป็นคนจริงจัง เงียบขรึม และอาจขี้อาย แต่ในเวลาต่อมาเขากลับเห็นนิสา เชียร์เทนนสิ อย่างสนุกสนานกบั เพื่อนกลุ่มใหญ่ ความรู้สึกคร้ังแรกของบุคคลน้ันท่ีมีต่อนิสาว่าเป็นคน เครง่ ศาสนา เงียบขรึม ขี้อาย ดูจะหายไป จะเห็นว่าผล ในปจั จุบันมีอทิ ธพิ ลต่อความคดิ ครั้งแรก แม้ว่า ข้อมูลปัจจุบันสามารถลบความประทับใจคร้ังแรกได้ แต่ความประทับใจในทางลบครั้งแรกยากที่จะ เปล่ียนแปลง คนเรามีแนวโน้มท่ีจะจดจาลักษณะ ในทางลบของบุคคลได้แม่นยากว่าลักษณะใน ทางบวก กระบวนการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ การสรา้ งมนุษยสมั พันธ์มกี ระบวนการท่สี าคัญดังน้ี 1. การศึกษาตนเองและผู้อ่ืน การศึกษาตนเองทาให้บุคคลรู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง ยอมรับตนเองท้ังส่วนดี และส่วนบกพร่องของตนเอง การรู้จักตนเองเป็นส่ิงท่ีสาคัญที่สุด เพราะการ สร้างมนุษยสมั พันธน์ ั้น ต้องเริ่มต้นทีต่ นเองก่อน ถ้าบุคคลไม่ร้จู ักตนเองก็ยากท่ีจะสร้างมนุษยสมั พันธ์

83 ใหด้ ไี ด้ ดังนนั้ จึงต้องมกี ารศึกษาตนเอง การศกึ ษาตนเองมหี ลายวธิ ี เชน่ การส่องกระจก การสอบถาม บุคคลอ่ืน การศึกษาจากทฤษฎี และจากแบบทดสอบต่างๆ แล้วประมวลเป็นบุคลกิ ภาพ ลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรมของตนเอง การศึกษาตนเองนั้นจะต้องทาด้วยความเท่ียงธรรม ตัวอย่าง การประเมิน ตนเองดว้ ยการตอบแบบสอบถามตอ้ งตอบด้วยความจรงิ ใจ ไม่เข้าข้างตนเอง ไมโ่ กหกตนเอง จึงจะทา ให้ไดข้ ้อมูลที่เปน็ จริง และตอ้ งใจกว้างยอมรบั ความจริง เช่น ให้เพื่อนบอกว่าเราเป็นอย่างไร ถ้าเพ่ือน หลายๆ คนตอบตรงกันว่า เราเป็นคนขอ้ี ิจฉา เรากค็ วรรับฟังและยอมรับ ถ้าหากยงั ไม่เชื่อกถ็ ามเหตผุ ล ว่าเหตใุ ดเขาจึงคดิ เช่นนน้ั เพื่อนอาจจะบอกวา่ เรามักแสดงอาการให้เหน็ ว่าเราไมช่ อบเห็นคนอน่ื ดกี ว่า มักจะพูดจาให้ร้ายคนที่เด่นกว่าตนเสมอ ก็ให้เราคิดทบทวนว่าเคยทาเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าหากเคยก็ไม่ ตอ้ งไปโกรธผู้อ่ืน ยอมรับ และพร้อมที่จะแก้ไขสว่ น การศึกษาผู้อน่ื น้ันกใ็ ช้วธิ ีเดียวกัน คือ การสังเกต การใชแ้ บบสอบถาม และเปรียบเทียบกบั ทฤษฎที างจิตวทิ ยา ก็จะทาให้รู้จกั และเข้าใจผูอ้ นื่ ดขี น้ึ 2. การแก้ไขปรับปรุงตนเอง จากผลการศึกษาตนเองทาให้ทราบผลดีและส่วนบกพร่อง ขน้ั ต่อไปคอื การแกไ้ ขปรบั ปรุงตนเองโดยการวางแผนการปรบั ปรงุ ตนเองอย่างมีระบบและอดทน เช่น สร้างเปน็ โปรแกรมในการแก้ไขปรบั ปรุงบคุ ลิกภาพด้านตา่ งๆ โดยเฉพาะด้านมนุษยสัมพนั ธ์ การแก้ไข ปรับปรงุ น้นั ตอ้ งทาอยา่ งสม่าเสมอ ต่อเนื่องและมีการประเมินผลบคุ ลกิ ภาพเมอ่ื สน้ิ เสรจ็ สิ้นโปรแกรม 3. ศึกษาสภาพวัฒนธรรม ประเพณี และสังคม วัฒนธรรม ประเพณีและสังคมรวมถึง สภาพธรรมชาติย่อมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลเป็นอย่างย่ิง ตัวอย่างเช่น คนท่ีอยู่ใกล้ทะเล ส่วนใหญ่พูดเสียงดัง ถ้าบุคคลผู้นี้มาพูดกบั เราดูเหมือนว่าเขาเป็นคนกา้ วร้าว ไม่มีมารยาท แต่ถ้าเรารู้ วา่ เขาอยูใ่ กล้ทะเลกจ็ ะทาให้เราเข้าใจและอภัยเขาได้ หรือถา้ เรามีเพื่อนเป็นชาวอิสลามคนหนึ่งในกลุ่ม เพื่อนหลายคน ทุกครั้งท่ีมีการเลี้ยงฉลองกนั จะเป็นอาหารที่ทาด้วยเนื้อสุกรทุกอย่างบ่อยครัง้ ถ้าเป็น เช่นน้ีแล้วมนุษยสัมพันธ์ระหว่างเรากับชาวอิสลามน้ันคงเส่ือมสลายลงอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงต้อง ศึกษาสภาพวัฒนธรรม ประเพณี และสังคม ให้เข้าใจและนาไปเป็นองค์ประกอบในการสร้าง มนษุ ยสมั พนั ธ์ 4. ศึกษาหลักและวธิ ีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ การสร้างมนุษยสัมพันธ์จาเป็นต้องยึดหลัก วิชาการและหลักการทั่วไป เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ และศึกษาวิธีการต่างๆ หลายวิธกี ารแล้วผสมผสานวิธกี ารตา่ งๆ เขา้ กับความสามารถส่วนตัว สร้างมนุษยสัมพันธใ์ ห้สอดคล้อง กับธรรมชาติของมนุษย์ และให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนสังคมท่บี ุคคลนั้นอาศยั อยู่ การศกึ ษาหลักและวิธีการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์อาจทาได้หลายวธิ ี เชน่ 4.1 ศึกษาจากเอกสารตาราตา่ งๆ 4.2 ศึกษาจากงานวจิ ยั 4.3 ศึกษาจากประวตั ผิ ู้ที่มมี นษุ ยสัมพันธ์ดี และมีชอ่ื เสียงในวงการธรุ กิจ และสังคม

84 4.4 สังเกตพฤติกรรมการแสดงความสัมพันธ์และบุคคลต่างๆ ในสังคม วิเคราะห์ ความสมั พันธ์นั้น และเลียนแบบเฉพาะพฤติกรรมท่เี หมาะสม 4.5 สัมภาษณ์ผทู้ ี่มีมนษุ ยสมั พันธ์ท่ดี ี 4.6 เข้ารับการฝึกอบรมด้านการสร้างมนุษยสัมพันธ์ การเข้ารับการฝึกอบรมจะทาให้ ทราบหลกั และวธิ กี ารสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ได้ 5. นาหลักและวิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ไปใช้ในชีวิตจริง หลังจากการแก้ไขปรับปรุง ตนเอง เข้าใจผูอ้ ื่น เข้าใจวัฒนธรรมประเพณี และรู้หลักวธิ กี ารสรา้ งมนุษยสัมพันธแ์ ล้ว จึงฝกึ การสร้าง มนุษยสัมพันธใ์ นชวี ิตจริง แนวคิดการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ การสร้างมนุษยสัมพันธ์มีด้วยกันหลากหลายวิธี ข้ึนอยู่กับความเชื่อ แนวคิดท่ีแตกต่างกัน ทั้งน้ีเทคนิควิธีการต่างๆ ล้วนคิดขึ้นมาเพ่ือเป็นแนวทางแก่ผู้ปฏิบัติ ดังน้ัน การเลือกใช้เทคนิคและ วิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์จึงข้ึนอยู่กับความสนใจ สภาพการณ์ และความเหมาะสมกับตนเอง ทั้งนเี้ ทคนิคและวธิ ีการสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ มีดังนี้ 1. หลักการสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทย่ี ่งั ยืน พระธรรมปิฎก (ป.ป.ปยุตโต, 2540, น. 8-9) กล่าวว่า การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ย่ังยืน เป็นหลักการเชิงพุทธศาสตร์ หมายถึง กระบวนการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ฉันเพ่ือนร่วมทุกข์ อาศัยวิธีการส่ือสารและสัมพันธ์กันบนพื้นฐานของความเมตตา คือ การลดความเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม แม้จะเผชิญปัญหาก็สามารถใช้ปัญญาร่วมกันได้ โดยเน้นว่า หลักการสร้าง สมั พันธท์ ีด่ ยี ่อมประกอบดว้ ยปจั จยั 3 ประการ ได้แก่ 1.1 การเปน็ สมาชิกที่ดขี องสังคม หมายถึง การเป็นผู้สรา้ งสรรค์สังคม อนั ประกอบดว้ ย หลกั ปฏิบัติท่สี าคญั 2 ประการ คือ การมจี ติ ใจเปิดกว้างทย่ี ่งิ ใหญ่ไดแ้ ก่ 1.1.1 พรหมวิหาร 4 การมีจิตใจท่ีกว้างใหญ่ ประกอบด้วย เมตตา คือความรัก ความปรารถนาดีให้มีความสุข กรุณา คือเอื้อเฟื้อช่วยเหลือยามทุกข์ร้อน มุทิตา คือเบิกบานพลอย ยินดีเมื่อเขาประสบความสาเร็จ และอุเบกขา คือวางจิตมั่นคงตรงความเป็นจริงในยามที่ไม่อาจจะ ชว่ ยได้ 1.1.2 การบาเพ็ญการสงเคราะห์ คือ สังคหวัตถุ 4 การประสานใจให้เหนียวแน่น ประกอบดว้ ย

85 1) ทาน คือ การให้แบ่งปัน เป็นการแสดงออกซึ่งน้าใจอันดีงาม มีความ เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ต่อกัน โดยการเสียสละส่ิงของเพื่อช่วยเหลือผู้อ่ืน การให้มี 3 ลักษณะ คือ การให้เพื่อ อนุเคราะห์ การให้เพ่ือสงเคราะห์ และการให้เพื่อบูชา ในการให้ท้ัง 3 ประการดังกล่าว ถ้าให้วัตถุ เรียกว่า อามิสทาน ถ้าการให้สิ่งท่ีมีค่าสูงกว่าวัตถุ เช่น ความรู้ คาแนะนา และให้ธรรม เรียกว่า ธรรมทาน 2) ปิยวาจา คือ ส่ือสารรักกัน สร้างสรรค์วาจา การกล่าววาจาที่ดีต่อกัน เป็นส่ือแห่งความรัก ความปรารถนาดี ใช้คาพูดที่เป็นประโยชน์ ส่งเสริมให้กาลังใจ และคาพูดท่ีฟัง แลว้ สบายใจ โดยหลีกเล่ียงการกลา่ ววาจาเทจ็ ส่อเสียด หยาบคาย และเพ้อเจ้อ 3) อัตถจริยา คือ เปิดโอกาสให้ตนได้ช่วยเหลือ ทาประโยชน์ต่อผู้อ่ืน ดว้ ยการค้นคว้าช่วยเหลือกิจกรรม บาเพ็ญสาธารณประโยชน์ และปรับปรุงสภาพทางจิตใจท่ีงอกงาม ตอ่ ไป 4) สมานัตตตา คือ เอาตวั เข้าสมัครสมานทาตัวเข้าด้วยกันได้ มีความเสมอ ต้นเสมอปลายในการปฏิบัติผู้อื่น ร่วมรับรู้ในสุขทุกข์ ร่วมแก้ไขปัญหาอุปสรรค โดยแสดงบทบาท หน้าท่ีของตนได้สอดคล้องกับฐานะ ภาวะบุคคลที่เกี่ยวข้องเหตุการณ์ในขณะน้นั และสภาพแวดล้อม ในท่ีนัน้ 1.2 การมชี ีวติ อยู่อยา่ งมน่ั ใจ หมายถึง การดาเนนิ ชีวติ ท่ีก่อให้เกิดคณุ ประโยชน์แก่สงั คม มีความคิดเป็นอิสระ มคี วามเชอื่ ทีถ่ ูกตอ้ ง ไม่ตกเป็นทาสของความตอ้ งการ 1.3 การรทู้ นั โลก หมายถงึ การมีชวี ิตอยู่อยา่ งตระหนักร้ธู รรมชาติ ดาเนินชวี ิตอย่างรทู้ ัน โลกนี้ ประกอบด้วยหลักการสาคัญ คือ การมีสติ ระลึกรู้สภาวะการหมุนเวียนเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ของชีวิตสัตว์โลก ได้แก่ การรเู้ ห็นความจริง 8 ประการท่ีเป็นวงจร ประกอบดว้ ย 1) ชื่นชมเม่ือได้ลาภ 2) ขมข่ืนเมื่อเส่ือมลาภ 3) ชื่นชมเมื่อได้ยศ 4) ขมขื่นเม่ือเสื่อมยศ 5) ชื่นชมเมื่อมีคนสรรเสริญ 6) ขมข่ืนเม่อื มคี นนินทา 7) ช่นื ชมเมอื่ มสี ุข และ 8) ขมขื่นเมอ่ื มที ุกข์ จากท่กี ล่าวมาสรุปได้ว่า การพฒั นากระบวนการอย่รู ่วมกนั ของมนษุ ยฉ์ ันเพ่ือนร่วมทุกข์ อาศัยการส่ือสารและสร้างสัมพันธ์กันบนพนื้ ฐานของความเมตตา คือ การลดความเบียดเบียนตนเอง ผู้อ่ืน และส่ิงแวดล้อม แม้จะเผชิญปัญหาก็สามารถใช้ปัญญาร่วมกันได้ โดยเน้นว่าหลักการสร้าง สัมพนั ธท์ ี่ดียอ่ มประกอบไปด้วยปัจจยั 3 ประการ การรูเ้ หน็ ความจริงมี 8 ประการเปน็ วงจร 2. หลกั การสรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ ่ียึดปรชั ญาของขงจอื้ หลักการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ยึดปรัชญาของขงจื้อ ในเรื่องลิง 3 ตัว โดยอ้างอิงหลัก มนษุ ยสัมพันธ์ดว้ ยปรชั ญาการวางตน มแี นวคิดว่าการท่ีคนๆ หนึ่งไปสรา้ งสมั พนั ธภาพกับคนอ่ืนๆ ต้อง รู้จักการควบคุมตนเอง ในสามเร่ืองด้วยกัน คือ หู ตา และปาก ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการทาลาย

86 สัมพนั ธภาพอันดีซึ่งกันและกนั เจา้ ของปรัชญาดังกลา่ วก็คอื ขงจ้อื เปน็ ชาวจนี ปรชั ญาน้ีมสี าระสาคัญ ว่าสญั ลกั ษณ์เปน็ ลงิ 3 ดัว ไดแ้ ก่ (เรยี ม ศรีทอง, 2542 น.281) 2.1 ลิงปิดหู หมายถึง การหลีกเล่ียงที่จะใส่ใจฟังในส่ิงที่ไม่สมควรฟัง หรือส่ิงท่ีไร้ ประโยชน์เพราะอาจทาใหเ้ กิดความทุกข์ ความขัดแย้ง หรือความขนุ่ มัว เกดิ ความไม่สบายใจ เปน็ ต้น 2.2 ลิงปิดตา หมายถึง การหลีกเล่ียงการใส่ใจมองสิ่งท่ีไร้ประโยชน์ หรือไปพบเห็น ในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะบางเร่ืองที่เห็นจะนามาซ่ึงความหนักใจ หรือต้องเป็นผู้ท่ีร่วมยืนหยัดใน สงิ่ นัน้ ด้วย 2.3 ลิงปิดปาก หมายถึง การหลีกเลย่ี งที่จะพดู ส่ิงที่ไม่สมควรพูด ส่ิงท่ไี รป้ ระโยชน์ การ ที่รับรู้มาท้ังหมดไมจ่ าเป็นตอ้ งพูดทั้งหมด อย่างท่ีมักมคี าเตือนเสมอว่า ไม่จาเป็นตอ้ งพูดท้ังหมดท่ีเห็น จะชว่ ยใหไ้ มเ่ กิดอารมณฟ์ ุง้ ซา่ น มีสมาธิ ตั้งม่นั ในใจได้ นามาซ่ึงความเคารพนบั ถือ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หลักของมนุษยสัมพันธ์ประกอบด้วยท้ังเราและผู้อ่ืน ต่างก็มี ความสุข ต้องยอมรับซึ่งกนั และกัน ต่างฝา่ ยต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน การหลีกเล่ียงที่จะใส่ใจฟงั ในส่งิ ที่ ไม่สมควรฟัง หรือส่ิงท่ีไร้ประโยชน์ การหลีกเล่ียงการใส่ใจมองส่ิงท่ีไร้ประโยชน์ หรือไปพบเห็นใน ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง เพราะบางเรื่องท่ีเหน็ จะนามาซึ่งความหนักใจ การหลีกเลยี่ งที่จะพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูด สงิ่ ท่ีไร้ประโยชน์ ภาพท่ี 3.1 แสดงหลักการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทีย่ ึดปรัชญาของขงจอื้ ในเรอื่ งลิง 3 ตวั ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/424076 3. หลกั การสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ตามหลัก “การจูงใจ” จากความเชื่อพ้ืนฐานที่ว่า “พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นได้และจูงใจได้” หลักการน้ีอยู่บนพื้นฐานของนักจิตวิทยาตามแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ที่ว่า “พฤติกรรมใดๆ ก็ตามที่ได้รับแรงเสริม หรือท่ีเรียกว่าส่ิงจูงใจ พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีก” การจูงใจในท่ีน้ี หมายถึง การกระตนุ้ ใหบ้ คุ คลแสดงพฤติกรรมโดยการใช้สิง่ จูงใจ ซ่ึงมวี ธิ ีการเสริมสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ดังนี้