เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สัตว์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในกรณนี ้ี ละการฆา่ สตั ว์ เวน้ ขาดจากการฆา่ สตั ว์ วางทอ่ นไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย (สพฺพปาณภูเตสุ) เขาไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ยกาย ไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง วจีกรรม ของเขาตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติ ของเขาตรง. ภิกษุทั้งหลาย สำ�หรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงน้ัน เรากลา่ วคตอิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในบรรดาคตสิ องอยา่ งแกเ่ ขา คอื เหลา่ สตั วผ์ ู้มสี ุขโดยส่วนเดียว (เอกนตฺ สขุ า สตฺตา) หรือว่า ตระกูลอันสูง คือ ตระกูลขัตติยมหาศาล ตระกูลพราหมณ์ มหาศาล หรอื ตระกลู คหบดมี หาศาล อนั มงั่ คงั่ มที รพั ยม์ าก มโี ภคะมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรพั ย์มาก. ภิกษุท้ังหลาย ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ คือ อุปบัติย่อมมีแก่ภูตสัตว์ เขาทำ�กรรมใดไว้ เขาย่อม อุปบัติด้วยกรรมน้ัน ผัสสะท้ังหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้น ผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็น ทายาทแหง่ กรรม ดว้ ยอาการอย่างนี้ ดงั น้.ี 87
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีน้ี ละการ ลักทรัพย์ เวน้ ขาดจากการลักทรพั ย์ ... ละการประพฤตผิ ดิ ในกาม เวน้ ขาดจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ... ละการพดู เทจ็ เว้นขาดจากการพูดเท็จ ... ละการพูดยุยงให้แตกกัน เว้นขาดจากการพูดยุยงให้แตกกัน ... ละการพูดคำ�หยาบ เวน้ ขาดจากการพดู ค�ำ หยาบ ... ละการพดู เพอ้ เจอ้ เวน้ ขาดจาก การพูดเพ้อเจ้อ ... เป็นผู้ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อ่ืน ... เปน็ ผไู้ มม่ จี ติ พยาบาท ... เปน็ ผมู้ คี วามเหน็ ถกู ตอ้ ง (สมั มาทฏิ ฐ)ิ มีทัสสนะไม่วิปริตว่า ทานท่ีให้แล้วมี (ผล) ยัญท่ีบูชาแล้วมี (ผล) การบชู าทบี่ ชู าแลว้ ม ี(ผล) ผลวบิ ากแหง่ กรรมทสี่ ตั วท์ �ำ ดี ท�ำ ชวั่ มี โลกนมี้ ี โลกอน่ื มี มารดามี บดิ ามี โอปปาตกิ ะสตั วม์ ี สมณพราหมณ์ผู้ดำ�เนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ถึงกับ กระทำ�ให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แลว้ ประกาศใหผ้ อู้ น่ื รกู้ ม็ ี ดงั น้ี เขาไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของเขาตรง มโนกรรม ของเขาตรง คตขิ องเขาตรง อปุ บตั ิของเขาตรง. ภิกษุท้ังหลาย สำ�หรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงน้ัน เรากลา่ วคตอิ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ในบรรดาคตสิ องอยา่ งแกเ่ ขา 88
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สตั ว์ คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าตระกูลอันสูง คือ ตระกูลขัตติยมหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือ ตระกูลคหบดีมหาศาล อันมั่งค่ัง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มที องและเงนิ มาก มีอปุ กรณแ์ ห่งทรัพย์มาก. ภิกษุทั้งหลาย ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่างน้ี คือ อุปบัติย่อมมีแก่ภูตสัตว์ เขาทำ�กรรมใดไว้ เขาย่อม อุปบัติด้วยกรรมน้ัน ผัสสะท้ังหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์น้ัน ผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็น ทายาทแหง่ กรรม ดว้ ยอาการอย่างนี้ ดงั น้.ี ภิกษทุ งั้ หลาย สัตว์ทั้งหลาย เป็นผมู้ กี รรมเปน็ ของ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็น เผา่ พันธ์ุ มีกรรมเปน็ ท่พี ่ึงอาศัย กระท�ำ กรรมใดไว้ ดีก็ตาม ช่วั ก็ตาม จกั เปน็ ผรู้ บั ผลแหง่ กรรมน้ัน. ภกิ ษทุ งั้ หลาย นแี้ หละคอื ธรรมปรยิ าย อนั เปน็ เหตุ แห่งความกระเสอื กกระสนไปตามกรรม. 89
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : สตั ว์ หมสู่ ตั ว์ ผเู้ ปน็ ไปตามกรรม (นยั ท่ี ๑) 27 -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๓๓๔/๕๐๕. ภกิ ษุทัง้ หลาย เปรยี บเหมอื นเรอื น ๒ หลังมีประตู ตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน ๒ หลังน้ัน พึงเห็นมนุษย์กำ�ลังเข้าเรือนบ้าง กำ�ลังออกจากเรือนบ้าง กำ�ลงั เดนิ มาบ้าง ก�ำ ลังเดินไปบ้าง ฉันใด. ภิกษุท้ังหลาย ข้อน้ีก็ฉันน้ันเหมือนกัน เราย่อม มองเหน็ หมสู่ ตั วก์ �ำ ลงั จตุ ิ ก�ำ ลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดด้ ี ตกยาก ดว้ ยทพิ ยจกั ษอุ นั บรสิ ทุ ธ์ิ ลว่ ง จกั ษขุ องมนุษย์ ย่อมทราบชดั ซึ่งหมู่สัตวผ์ ูเ้ ปน็ ไปตามกรรม ได้ว่า สัตว์ผู้กำ�ลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อม่ันกรรมด้วยอำ�นาจสัมมาทิฏฐิ เม่ือตายไปแล้ว เข้าถึง สคุ ติโลกสวรรคก์ ม็ .ี สัตว์ผู้กำ�ลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เชอ่ื มน่ั กรรมด้วยอำ�นาจสมั มาทฏิ ฐิ เมือ่ ตายไปแลว้ บงั เกดิ ในหมมู่ นษุ ยก์ ็มี. 90
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สตั ว์ สัตว์ผู้กำ�ลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำ�นาจมิจฉาทิฏฐิ เม่ือตายไปแล้ว เข้าถึง เปรตวสิ ยั ก็มี. สัตว์ผู้กำ�ลังเป็นอยู่เหล่าน้ี ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำ�นาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึง ก�ำ เนิดเดรจั ฉานก็มี. สัตว์ผู้กำ�ลังเป็นอยู่เหล่าน้ี ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อม่ันกรรมด้วยอำ�นาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึง อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรกก็มี … . 91
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สัตว์ หมสู่ ตั ว์ ผเู้ ปน็ ไปตามกรรม (นยั ท่ี ๒) 28 -บาลี ส.ุ ข.ุ ๒๕/๔๕๓/๓๘๒., -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๑๓/๑๙๓. วาเสฏฐะ ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยการรักษาโค เลย้ี งชวี ติ ทา่ นจงรอู้ ยา่ งนว้ี า่ ผนู้ น้ั เปน็ ชาวนาไมใ่ ชพ่ ราหมณ.์ วาเสฏฐะ อนง่ึ ในหมมู่ นษุ ย์ ผใู้ ดเลย้ี งชวี ติ ดว้ ยศลิ ปะ มากอยา่ ง ทา่ นจงรอู้ ยา่ งนว้ี า่ ผนู้ นั้ เปน็ ศลิ ปนิ ไมใ่ ชพ่ ราหมณ.์ วาเสฏฐะ อน่งึ ในหม่มู นุษย์ ผู้ใดอาศัยการค้าขาย เลยี้ งชวี ติ ทา่ นจงรอู้ ยา่ งนวี้ า่ ผนู้ น้ั เปน็ พอ่ คา้ ไมใ่ ชพ่ ราหมณ.์ วาเสฏฐะ อน่ึง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดเล้ียงชีวิตด้วย การรับใช้ผู้อื่น ท่านจงรู้อย่างน้ีว่า ผู้น้ันเป็นคนรับใช้ไม่ใช่ พราหมณ.์ วาเสฏฐะ อนง่ึ ในหมมู่ นษุ ย์ ผใู้ ดอาศยั ของทเ่ี ขาไมใ่ ห้ เลี้ยงชวี ติ ท่านจงรอู้ ย่างนีว้ ่า ผู้น้นั เป็นโจรไมใ่ ช่พราหมณ์. วาเสฏฐะ อน่ึง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยศาตราวุธ เลย้ี งชวี ติ ทา่ นจงรอู้ ยา่ งนวี้ า่ ผนู้ น้ั เปน็ นกั รบไมใ่ ชพ่ ราหมณ.์ วาเสฏฐะ อน่ึง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดเลี้ยงชีวิตด้วย การงานของปโุ รหติ ทา่ นจงรอู้ ยา่ งนวี้ า่ ผนู้ นั้ เปน็ ปโุ รหติ ไมใ่ ช่ พราหมณ.์ วาเสฏฐะ อนง่ึ ในหมมู่ นษุ ย์ ผใู้ ดปกครองบา้ นและ เมือง ท่านจงรู้อยา่ งนว้ี า่ ผู้นีเ้ ปน็ พระราชาไมใ่ ชพ่ ราหมณ.์ 92
เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สตั ว์ และเราก็ไม่เรียกบุคคลผู้เกิดในกำ�เนิดไหนๆ หรือ เกิดจากมารดาว่าเป็นพราหมณ์ บุคคลถึงจะเรียกกันว่า ท่านผู้เจริญ ผู้นั้นก็ยังเป็นผู้มีกิเลสเคร่ืองกังวลอยู่น่ันเอง เราเรยี ก บคุ คลผไู้ มม่ กี เิ ลสเครอื่ งกงั วล ผไู้ มย่ ดึ มนั่ นน้ั วา่ เปน็ พราหมณ์ เราเรียกผู้ท่ีตัดสังโยชน์ทั้งหมดได้เด็ดขาดแล้ว ไมห่ วาดสะดงุ้ พน้ จากกเิ ลสทท่ี �ำ ใหข้ ดั ขอ้ งไดแ้ ลว้ ปลอดจาก กิเลสทุกอยา่ งแล้ว วา่ เป็นพราหมณ์ … . บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติ (กำ�เนิด) ก็หามิได้ จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติ (กำ�เนิด) ก็หามิได้ บุคคลเป็น พราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ ก็เพราะกรรม บุคคลเป็นชาวนา ก็เพราะกรรม เป็นศิลปิน ก็เพราะกรรม บคุ คลเปน็ พอ่ คา้ กเ็ พราะกรรม เปน็ คนรบั ใช้ กเ็ พราะกรรม บุคคลเป็นโจร ก็เพราะกรรม เป็นนักรบ ก็เพราะกรรม บคุ คลเปน็ ปโุ รหติ กเ็ พราะกรรม เปน็ พระราชา กเ็ พราะกรรม. บณั ฑติ ทง้ั หลายยอ่ มเหน็ ซง่ึ กรรมนน้ั ตามทเี่ ปน็ จรงิ อย่างนี้ ช่ือว่าเป็นผู้เห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท เป็นผู้ฉลาดใน เรอ่ื งวิบากแหง่ กรรม. โลกยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม (กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก) หมสู่ ตั ว์ ย่อมเปน็ ไปตามกรรม (กมฺมนุ า วตฺตตี ปชา). 93
พุทธวจน - หมวดธรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเคร่ืองรึงรัด (กมฺมนิพนฺธนา สตฺตา) เหมอื นลิ่มสลกั ขันยึดรถท่ีก�ำ ลงั แล่นไปอย.ู่ สตั วท์ ัง้ หลาย เปน็ ผมู้ ีกรรมเป็นของตน เปน็ ทายาท แหง่ กรรม มกี รรมเปน็ กำ�เนิด มกี รรมเปน็ เผ่าพนั ธ์ุ มีกรรม เปน็ ทพี่ ่งึ อาศยั กระทำ�กรรมใดไว้ ดกี ็ตาม ชั่วกต็ าม จักเป็น ผรู้ บั ผลแหง่ กรรมนน้ั (กมมฺ สสฺ กา ภกิ ขฺ เว สตตฺ า กมมฺ ทายาทา กมมฺ โยนี กมมฺ พนธฺ ู กมมฺ ปฏสิ รณา ย กมมฺ กโรนตฺ ิ กลยฺ าณ วา ปาปก วา ตสสฺ ทายาทา ภวนตฺ )ิ . 94
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ โรคสองอยา่ ง 29 -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๙๑/๑๕๗. ภิกษทุ ัง้ หลาย โรคสองอย่างเหล่านมี้ ีอยู่ สองอย่าง อะไรบา้ ง คอื โรคทางกายและโรคทางใจ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ยอ่ มเหน็ กนั อยแู่ ลว้ วา่ สตั วท์ ง้ั หลาย (สตฺตา) ท่ียืนยันถึงความไม่มีโรคทางกายตลอด ๑ ปีบ้าง ๒ ปบี า้ ง ๓ ปบี า้ ง ๔ ปบี า้ ง ๕ ปบี า้ ง ๑๐ ปบี า้ ง ๒๐ ปบี า้ ง ๓๐ ปบี า้ ง ๔๐ ปบี า้ ง ๕๐ ปบี า้ ง และทยี่ นื ยนั ถงึ ความไมม่ ี โรคทางกายแมย้ ิ่งกวา่ ๑๐๐ ปบี า้ ง กย็ ังพอมีปรากฏ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย แตห่ มสู่ ตั ว ์ (สตตฺ า) ทจี่ ะกลา้ ยนื ยนั ถงึ ความไมม่ โี รคทางใจแมช้ วั่ เวลาเพยี งครเู่ ดยี ว (มหุ ตุ ตฺ ) เวน้ แต่ ผมู้ ีอาสวะสน้ิ แลว้ นับว่าหาไดแ้ สนยากในโลก. 95
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สัตว์ เบด็ ๖ ตวั เพอ่ื ฆา่ สตั วท์ ง้ั หลาย 30 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๙๗/๒๘๙. ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพรานเบ็ด ซัดเบ็ด ท่ีเกี่ยวเหยื่อลงไปในห้วงนำ้�ลึก ปลาท่ีเห็นแก่เหยื่อตัวใด ตวั หนง่ึ จะพงึ กลนื เบด็ นนั้ เขา้ ไป ภกิ ษทุ งั้ หลาย ดว้ ยอาการ อย่างนี้แหละ ปลาที่กลืนเบ็ดตัวน้ัน ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซ่ึงความฉิบหายเพราะพรานเบ็ด ถูกพรานเบ็ดนั้น ท�ำ ได้ตามความชอบใจ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เบด็ ๖ ตวั เหลา่ นี้ มอี ยู่ ในโลก เพือ่ ความฉิบหายของสตั ว์ทงั้ หลาย (สตตฺ าน) เพื่อฆ่า สัตวท์ งั้ หลาย เบด็ ๖ ตัวน้ันอะไรบา้ ง คือ รูปที่เห็นด้วยตามีอยู่ ซ่ึงเป็นส่ิงที่น่าปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ เปน็ ท่ียวนตายวนใจใหร้ กั เป็นท่เี ขา้ ไป ตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ และเป็นท่ีต้ังแห่งความกำ�หนัด ย้อมใจ ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน พรำ่�สรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปน้ัน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุน้ี เราเรียกว่า ผู้กลืนเบ็ด ของมาร ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซึ่งความฉิบหาย ถูกมารผมู้ บี าปท�ำ ไดต้ ามความชอบใจ. 96
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สัตว์ เสยี งทไ่ี ดย้ นิ ดว้ ยหมู อี ยู่ … กลน่ิ รไู้ ดด้ ว้ ยจมกู มอี ยู่ … รสทรี่ ู้ไดด้ ้วยลิน้ มอี ยู่ … โผฏฐพั พะที่ร้ไู ดด้ ้วยกายมีอยู่ … ธรรมทรี่ แู้ จง้ ดว้ ยใจมอี ยู่ ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทน่ี า่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นท่ีเข้าไปต้ังอาศัย อยู่แห่งความใคร่ และเป็นที่ตั้งแห่งความกำ�หนัดย้อมใจ ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน พร�ำ่ สรรเสริญ เมาหมกอยู่ซ่ึงธรรมนั้น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษนุ ี้ เราเรยี กวา่ ผกู้ ลนื เบด็ ของมาร ถงึ แลว้ ซง่ึ ความพนิ าศ ถงึ แลว้ ซง่ึ ความฉบิ หาย ถกู มารผมู้ บี าปท�ำ ได้ ตามความชอบใจ. 97
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : สตั ว์ สง่ิ ทใ่ี ครๆ ในโลกไมไ่ ดต้ ามปรารถนา 31 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๕๙/๔๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฐานะ ๕ ประการเหลา่ น้ี อนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรอื ใครๆ ในโลก ไม่พึง ไดต้ ามปรารถนา ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่อาจได้ตาม ปรารถนาว่า (๑) ส่งิ ทีม่ คี วามแก่เป็นธรรมดา อย่าแกเ่ ลย (๒) สง่ิ ทม่ี คี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา อยา่ เจบ็ ไขเ้ ลย (๓) สิ่งทีม่ ีความตายเป็นธรรมดา อย่าตายเลย (๔) สงิ่ ทีม่ คี วามสิน้ ไปเป็นธรรมดา อยา่ สิ้นไปเลย (๕) ส่ิงที่มีความวินาศเป็นธรรมดา อย่าวินาศเลย ภกิ ษทุ งั้ หลาย สง่ิ ทม่ี คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มแก่ สำ�หรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อส่ิงท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว เขาก็ไม่พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า ไม่ใช่สิ่งท่ีมี ความแก่เป็นธรรมดา จะแก่สำ�หรับเราผู้เดียวเท่าน้ัน โดย ที่แท้แล้ว สิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแก่สำ�หรับ สัตว์ทั้งปวง (สตฺตานํ) ท่ีมีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เม่ือสิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว เราจะมามัว 98
เปิดธรรมท่ีถูกปิด : สตั ว์ เศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำ�ไรรำ�พัน ทุบอกรำ่�ไห้ ถึงความ หลงใหล แมอ้ าหารกไ็ มย่ อ่ ย กายกเ็ ศรา้ หมอง การงานกห็ ยดุ ชะงกั พวกอมติ รกด็ ใี จ มติ รสหายกเ็ ศรา้ ใจ ดงั น ้ี ปถุ ชุ นนนั้ เม่ือส่ิงที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว ย่อมเศร้าโศก กระวนกระวาย ร�่ำ ไรรำ�พนั เปน็ ผทู้ บุ อกร่�ำ ไห้ ยอ่ มถึงความ หลงใหล ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับน้ี ถูกลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงแล้ว ทำ�ตนเอง ใหเ้ ดือดรอ้ นอย่.ู ภกิ ษทุ งั้ หลาย ขอ้ อนื่ ยงั มอี กี สงิ่ ทม่ี คี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา ก็ย่อมเจ็บไข้สำ�หรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ … ส่ิงท่ีมี ความตายเปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มตายส�ำ หรบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั … สงิ่ ทม่ี คี วามสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มสนิ้ ไปส�ำ หรบั ปถุ ชุ น ผไู้ ม่ไดส้ ดบั … สิ่งทีม่ ีความวินาศเป็นธรรมดา ก็ย่อมวินาศ ส�ำ หรบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื สงิ่ ทม่ี คี วามวนิ าศเปน็ ธรรมดา วนิ าศแล้ว เขากไ็ มพ่ ิจารณาเหน็ โดยประจกั ษ์วา่ ไมใ่ ช่ส่ิงท่ีมี ความวินาศเป็นธรรมดา จะวินาศสำ�หรับเราผู้เดียวเท่าน้ัน โดยท่ีแท้แล้ว ส่ิงท่ีมีความวินาศเป็นธรรมดา ย่อมวินาศ สำ�หรับสัตว์ท้ังปวง ท่ีมีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เม่อื ส่งิ ท่มี ีความวินาศเปน็ ธรรมดา วินาศแลว้ เราจะมามวั 99
พุทธวจน - หมวดธรรม เศร้าโศก กระวนกระวาย รำ่�ไรรำ�พัน ทุบอกรำ่�ไห้ ถึงความ หลงใหล แมอ้ าหารกไ็ มย่ อ่ ย กายกเ็ ศรา้ หมอง การงานกห็ ยดุ ชะงกั พวกอมติ รกด็ ใี จ มติ รสหายกเ็ ศรา้ ใจ ดงั น ้ี ปถุ ชุ นนนั้ เมอ่ื สงิ่ ทมี่ คี วามวนิ าศเปน็ ธรรมดา วนิ าศแลว้ ยอ่ มเศรา้ โศก กระวนกระวาย รำ่�ไรร�ำ พนั เปน็ ผู้ทุบอกร่ำ�ไห้ ย่อมถึงความ หลงใหล ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับนี้ ถูกลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงแล้ว ทำ�ตนเอง ให้เดอื ดร้อนอย.ู่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย สง่ิ ทมี่ คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มแก่ สำ�หรับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อส่ิงท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่ส่ิงท่ีมี ความแกเ่ ป็นธรรมดา จะแกส่ ำ�หรับเราผ้เู ดยี วเท่านนั้ โดยท่ี แท้แล้ว ส่ิงท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแก่สำ�หรับสัตว์ ทง้ั ปวง ทมี่ กี ารมา การไป การจตุ ิ การอบุ ตั ิ กเ็ มอื่ สง่ิ ทมี่ คี วามแก่ เป็นธรรมดา แก่แล้ว เราจะมามัวเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำ�ไรรำ�พัน ทุบอกร่ำ�ไห้ ถึงความหลงใหล แม้อาหารก็ ไมย่ อ่ ย กายกเ็ ศรา้ หมอง การงานกห็ ยดุ ชะงกั พวกอมติ รกด็ ใี จ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังน้ี อริยสาวกนั้น เม่ือส่ิงท่ีมีความแก่ เป็นธรรมดา แก่แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย 100
เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สัตว์ ไม่ร่ำ�ไรรำ�พัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำ�ไห้ ไม่ถึงความหลงใหล ภกิ ษุทั้งหลาย เรากลา่ วว่า อรยิ สาวกผไู้ ด้สดบั นี้ ถอนลูกศร แห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ท�ำ ตนเองใหเ้ ดอื ดรอ้ นอยู่ อรยิ สาวกผไู้ มม่ คี วามโศก ถอนลกู ศร ไดแ้ ลว้ ยอ่ มปรินิพพานด้วยตน. ภิกษุท้ังหลาย ข้ออ่ืนยังมีอีก สิ่งท่ีมีความเจ็บไข้ เปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มเจบ็ ไขส้ �ำ หรบั อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั … สงิ่ ท่ี มีความตายเป็นธรรมดา ก็ย่อมตายสำ�หรับอริยสาวกผู้ได้ สดบั … สง่ิ ทม่ี คี วามสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา กย็ อ่ มสนิ้ ไปส�ำ หรบั อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั … สงิ่ ทมี่ คี วามวนิ าศเปน็ ธรรมดา กย็ อ่ ม วินาศสำ�หรับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็น ธรรมดา วินาศแล้ว อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา จะวินาศสำ�หรับเรา ผูเ้ ดียวเทา่ นั้น โดยท่แี ท้แล้ว สิง่ ท่มี ีความวนิ าศเป็นธรรมดา ย่อมวินาศสำ�หรับสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว เราจะมามวั เศรา้ โศก กระวนกระวาย ร�ำ่ ไรร�ำ พนั ทบุ อกร�ำ่ ไห้ ถงึ ความหลงใหล แมอ้ าหารกไ็ มย่ อ่ ย กายกเ็ ศรา้ หมอง การงาน ก็หยุดชะงัก พวกอมิตรก็ดีใจ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังน้ี 101
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อริยสาวกนัน้ เม่อื ส่งิ ทมี่ ีความวนิ าศเปน็ ธรรมดา วินาศแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำ�ไรรำ�พัน ไม่เป็น ผู้ทุบอกร่ำ�ไห้ ไม่ถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย เรา กลา่ ววา่ อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั น้ี ถอนลกู ศรแหง่ ความโศก อนั มี พิษเสียบแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ทำ�ตนเองให้ เดือดร้อนอยู่ อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ถอนลูกศรได้แล้ว ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นแ้ี ล ฐานะ ๕ ประการ อนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกไม่พึงได้ ตามปรารถนา. 102
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สัตว์ สง่ิ ทค่ี วรพจิ ารณาเนอื งๆ 32 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๘๑/๕๗. ภิกษุท้ังหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการ เป็นอย่างไร คือ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนอื งๆ ว่า (๑) เรามคี วามแก่เปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแก่ ไปได้ (๒) เรามคี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความ เจบ็ ไขไ้ ปได้ (๓) เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ ตายไปได้ (๔) เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทงั้ สนิ้ (๕) เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นที่พึ่ง ท�ำ กรรมใดไว้ ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม เราจะเปน็ ผรู้ บั ผลของกรรมนน้ั ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจประโยชน์อะไร สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ 103
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ภิกษุ ทั้งหลาย ความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวมีอยู่แก่สัตว์ ท้ังหลาย ซ่ึงเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลาย ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เม่ือเขาพิจารณาฐานะน้ันอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวน้ันได้โดยสิ้นเชิง หรือว่าทำ�ให้เบาบางลงได้ ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัย อ�ำ นาจประโยชนน์ แี้ ล สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควร พิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแกไ่ ปได้. ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจประโยชน์อะไร สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ภิกษุท้ังหลาย ความมัวเมาในความไม่มีโรคมีอยู่แก่สัตว์ ทั้งหลาย ซ่ึงเป็นเหตุให้สัตว์ท้ังหลาย ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เมื่อเขาพิจารณาฐานะน้ันอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความไม่มีโรคน้ันได้โดยส้ินเชิง หรือ ว่าทำ�ให้เบาบางลงได้ ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจ ประโยชน์น้ีแล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควร พจิ ารณาเนอื งๆ วา่ เรามคี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความเจ็บไขไ้ ปได.้ 104
เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : สตั ว์ ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจประโยชน์อะไร สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ เรามคี วามตายเปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได ้ ภกิ ษุ ท้ังหลาย ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ท้ังหลาย ซ่ึงเป็น เหตใุ หส้ ตั วท์ ง้ั หลาย ประพฤตกิ ายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมา ในชีวิตนั้นได้โดยส้ินเชิง หรือว่าทำ�ให้เบาบางลงได้ ภิกษุ ทงั้ หลาย เพราะอาศยั อ�ำ นาจประโยชนน์ แ้ี ล สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตาย เปน็ ธรรมดา ไมล่ ่วงพน้ ความตายไปได้. ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจประโยชน์อะไร สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งส้ิน ภิกษุ ทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ในของรักมีอยู่แก่สัตว์ ทั้งหลาย ซ่ึงเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลาย ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เม่ือเขาพิจารณาฐานะน้ันอยู่เนืองๆ ย่อมละความพอใจ ความรักใคร่น้ันได้โดยส้ินเชิง หรือว่า ทำ�ให้เบาบางลงได้ ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจ ประโยชน์น้ีแล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควร พิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจท้ังสิ้น. 105
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยอำ�นาจประโยชน์อะไร สตรี บรุ ษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จงึ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ เรามกี รรมเปน็ ของตน เปน็ ทายาทแหง่ กรรม มกี รรมเปน็ ก�ำ เนดิ มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธุ์ มกี รรมเปน็ ทพี่ ง่ึ ท�ำ กรรมใดไว้ ดกี ต็ าม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ภิกษุทั้งหลาย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย เม่ือ เขาพิจารณาฐานะน้ันอยู่เนืองๆ ย่อมละทุจริตเหล่าน้ัน ได้โดยสิ้นเชิง หรือว่าทำ�ให้เบาบางลงได้ ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศยั อ�ำ นาจประโยชนน์ แ้ี ล สตรี บุรษุ คฤหสั ถ์ หรอื บรรพชติ จึงควรพิจารณาเนอื งๆ วา่ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็น เผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นท่ีพ่ึง ทำ�กรรมใดไว้ ดีก็ตาม ช่ัวก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมน้ัน. ภกิ ษทุ งั้ หลาย อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ไมใ่ ชเ่ ราแตผ่ เู้ ดยี วเทา่ นนั้ ทมี่ คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแก่ไปได้ โดยท่ีแท้ สัตว์ท้ังปวงท่ีมีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแกไ่ ปได ้ เมอ่ื อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาฐานะนน้ั อยเู่ นอื งๆ มรรคยอ่ มเกดิ ขน้ึ อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มเสพ อบรม ท�ำ ใหม้ าก ซ่ึงมรรคน้ัน เมื่อเสพ อบรม ทำ�ให้มากซ่ึงมรรคน้ันอยู่ ย่อมละสงั โยชน์ได้ อนุสยั ย่อมส้นิ ไป. 106
เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : สัตว์ อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังน้ีว่า ไม่ใช่เราแต่ ผู้เดียวเท่าน้ันที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ เจบ็ ไขไ้ ปได ้ โดยทแี่ ท้ สตั วท์ ง้ั ปวงทมี่ กี ารมา การไป การจตุ ิ การอุบัติ ล้วนมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ เจ็บไข้ไปได้ เมื่ออริยสาวกน้ันพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรคยอ่ มเกดิ ขน้ึ อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มเสพ อบรม ท�ำ ใหม้ าก ซ่ึงมรรคนั้น เม่ือเสพ อบรม ทำ�ให้มากซ่ึงมรรคน้ันอยู่ ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด้ อนุสัยยอ่ มสนิ้ ไป. อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังน้ีว่า ไม่ใช่เราแต่ ผเู้ ดยี วเทา่ นนั้ ทม่ี คี วามตายเปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตาย ไปได ้ โดยทแ่ี ท้ สตั วท์ งั้ ปวงทมี่ กี ารมา การไป การจตุ ิ การอบุ ตั ิ ล้วนมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เมอ่ื อรยิ สาวกนน้ั พจิ ารณาฐานะนน้ั อยเู่ นอื งๆ มรรคยอ่ มเกดิ ขน้ึ อริยสาวกน้ัน ย่อมเสพ อบรม ทำ�ให้มากซ่ึงมรรคนั้น เมอื่ เสพ อบรม ท�ำ ใหม้ ากซงึ่ มรรคนน้ั อยู่ ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด้ อนสุ ัยย่อมสนิ้ ไป. อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังน้ีว่า ไม่ใช่เรา แต่ผู้เดียวเท่านั้นท่ีจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ท้ังส้ิน โดยที่แท้ สัตว์ท้ังปวงท่ีมีการมา การไป การจุติ 107
พทุ ธวจน - หมวดธรรม การอบุ ตั ิ ลว้ นจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สน้ิ เม่ืออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะน้ันอยู่เนืองๆ มรรคย่อม เกดิ ขน้ึ อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มเสพ อบรม ท�ำ ใหม้ ากซง่ึ มรรคนน้ั เมอ่ื เสพ อบรม ท�ำ ใหม้ ากซงึ่ มรรคนนั้ อยู่ ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด้ อนสุ ยั ย่อมสน้ิ ไป. อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ ผู้เดียวเท่าน้ันท่ีมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นที่พึ่ง ท�ำ กรรมใดไว้ ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม เราจกั เปน็ ผรู้ บั ผลของกรรมนน้ั โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวงท่ีมีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรม เปน็ กำ�เนดิ มีกรรมเป็นเผ่าพนั ธุ์ มีกรรมเปน็ ทีพ่ ง่ึ ทำ�กรรม ใดไว้ ดีก็ตาม ช่ัวก็ตาม จะเป็นผู้รับผลของกรรมน้ัน เม่ือ อรยิ สาวกนนั้ พจิ ารณาฐานะนนั้ อยเู่ นอื งๆ มรรคยอ่ มเกดิ ขนึ้ อริยสาวกน้ัน ย่อมเสพ อบรม ทำ�ให้มากซ่ึงมรรคน้ัน เมอ่ื เสพ อบรม ท�ำ ใหม้ ากซง่ึ มรรคนนั้ อยู่ ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด้ อนุสัยยอ่ มส้นิ ไป. 108
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สตั ว์ สัตว์ท้ังหลาย ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา มีความ เจ็บไข้เป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเปน็ ไปตามธรรมดา พวกปถุ ุชนยอ่ มเกลียด ถ้าเราพึง เกลยี ดธรรมนน้ั ในพวกสตั วผ์ มู้ อี ยา่ งนนั้ เปน็ ธรรมดา ขอ้ นนั้ ไมส่ มควรแกเ่ ราผเู้ ปน็ อยอู่ ยา่ งน้ี เรานน้ั เปน็ อยอู่ ยา่ งนี้ ทราบ ธรรมที่หาอุปธิไม่ได้ เห็นการออกบวชโดยเป็นธรรมเกษม ครอบงำ�ความมัวเมาท้ังปวงในความไม่มีโรค ในความเป็น หนุ่มสาวและในชีวิต ความอุตสาหะได้มีแล้วแก่เราผู้เห็น เฉพาะซ่ึงนิพพาน บัดน้ี เราไม่ควรเพื่อเสพกามท้ังหลาย จกั เปน็ ผปู้ ระพฤตไิ มถ่ อยหลงั ตงั้ หนา้ ประพฤตพิ รหมจรรย.์ 109
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สตั ว์ สตั วก์ ลบั มาเกดิ เปน็ มนษุ ยม์ นี อ้ ย 33 เพราะไมร่ อู้ รยิ สจั -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗. ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำ�คัญความข้อนี้ ว่าอย่างไร ฝุ่นนิดหน่ึงท่ีเราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บน้ี กับมหาปฐพนี ี้ ข้างไหนจะมากกว่ากัน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาปฐพีน่ันแหละเป็นดินที่มากกว่า ฝนุ่ นดิ หนงึ่ เทา่ ทท่ี รงชอ้ นขน้ึ ดว้ ยปลายพระนขาน้ี เปน็ ของมปี ระมาณนอ้ ย ฝุ่นน้ันเม่ือนำ�เข้าไปเทียบกับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำ�นวณได้ เปรียบเทยี บได้ ไม่เขา้ ถึงแม้ซึ่งสว่ นเสย้ี ว. ภิกษุท้ังหลาย ฉันใดก็ฉันน้ัน สัตว์ (สตฺตา) ที่กลับ มาเกดิ สหู่ มมู่ นษุ ยม์ นี อ้ ย สตั วท์ กี่ ลบั มาเกดิ เปน็ อยา่ งอนื่ จาก หมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้ ข้อน้ันเพราะเหตุอะไรเล่า ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะความทส่ี ตั วเ์ หลา่ นน้ั ไมเ่ หน็ อรยิ สจั ทง้ั ส.่ี อริยสัจท้ังส่ี อะไรบ้าง คือ อริยสัจคือทุกข์ อริยสัจ คือเหตุให้เกิดทุกข์ อริยสัจคือความดับไม่เหลือของทุกข์ อริยสัจคือทางดำ�เนนิ ใหถ้ ึงความดับไม่เหลือของทกุ ข์. ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึง ประกอบโยคกรรม อนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหร้ วู้ า่ ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งน้ี 110
เปิดธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างน้ี ทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอยา่ งนี้ ดังน้.ี ในสูตรอ่นื ๆ ไดต้ รสั ไวโ้ ดยนัยอน่ื อีก ได้แก่ สัตว์ท่ีจุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในหมู่มนุษย์ มนี อ้ ย สตั วท์ จ่ี ตุ จิ ากมนษุ ยไ์ ปแลว้ จะกลบั มาเกดิ ในหมเู่ ทวดา มนี อ้ ย โดยท่แี ท้ สัตว์ที่จุติจากมนษุ ยไ์ ปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำ�เนดิ เดรัจฉาน ในเปรตวิ ิสัย มมี ากกว่า ดังนก้ี ็มี. สัตว์ที่จุติจากเทวดาแล้ว จะกลับมาเกิดในหมู่เทวดา มนี อ้ ย สตั วท์ จ่ี ตุ จิ ากเทวดาแลว้ จะกลบั ไปเกดิ ในหมมู่ นษุ ย์ มนี อ้ ย โดยที่แท้ สัตว์ทจ่ี ุตจิ ากเทวดาไปแล้ว กลับไปเกดิ ในนรก ในก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน ในเปรตวิสัย มมี ากกวา่ ดงั นก้ี ็มี. สัตว์ท่ีจุติจากนรกไปแล้ว จะกลับไปเกิดในหมู่มนุษย์ มนี อ้ ย สตั วท์ จี่ ตุ จิ ากนรกไปแลว้ จะกลบั ไปเกดิ ในหมทู่ วดา มนี อ้ ย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำ�เนิด เดรัจฉาน ในเปรตวสิ ยั มมี ากกว่า ดงั น้กี ม็ .ี สัตว์ที่จุติจากกำ�เนิดเดรัจฉานไปแล้ว จะกลับไปเกิดใน หมมู่ นษุ ย์ มนี อ้ ย สตั วท์ จ่ี ตุ จิ ากก�ำ เนดิ เดรจั ฉานไปแลว้ จะกลบั ไปเกดิ ในหมู่เทวดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ท่ีจุติจากกำ�เนิดเดรัจฉาน ไปแลว้ กลบั ไปเกดิ ในนรก ในก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน ในเปรตวสิ ยั มมี ากกวา่ ดงั นก้ี ม็ ี. 111
พทุ ธวจน - หมวดธรรม สตั ว์ที่จตุ จิ ากเปรตวิสัยไปแล้ว จะกลับไปเกิดในหมู่มนษุ ย์ มีน้อย สัตว์ท่ีจุติจากเปรตวิสัยไปแล้ว จะกลับไปเกิดในหมู่เทวดา มนี อ้ ย โดยทแ่ี ท้ สตั วท์ จ่ี ตุ จิ ากเปรตวสิ ยั ไปแลว้ กลบั ไปเกดิ ในนรก ในก�ำ เนิดเดรัจฉาน ในเปรตวสิ ัย มมี ากกวา่ ดังนีก้ ม็ ี เปน็ ต้น. ทง้ั นี้เป็นเพราะความทส่ี ตั ว์เหลา่ น้ันไมเ่ ห็นอรยิ สัจทั้งส่.ี 112
ปัญหาทีไ่ ม่ควรถาม 113
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : สัตว์ ถา้ มวั รอใหร้ เู้ รอ่ื งทไ่ี มจ่ �ำ เปน็ 34 เสยี กอ่ น กต็ ายเปลา่ -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๔๗/๑๕๐. … มาลุงก๎ยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หน่ึง ถูกยิง ด้วยลูกศรที่อาบด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า มิตร อำ�มาตย์ ญาติสาโลหิต จัดการเรียกแพทย์ผ่าตัดผู้ชำ�นาญมารักษา บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นกล่าวอย่างน้ีว่า ถ้าเรายังไม่รู้จัก ตัวบุรุษผู้ยิงเรา ว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ สูทท์ เสียก่อนแล้ว เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงน้ัน บรุ ษุ ผถู้ กู ยงิ ดว้ ยลกู ศรนนั้ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ถา้ เรายงั ไมร่ จู้ กั ตวั บุรุษผู้ยิงเรา ว่าช่ืออะไร โคตรไหน … เป็นคนสูง ตำ่� หรือ ปานกลาง … เปน็ คนผวิ ด�ำ ผวิ คล�ำ้ หรอื ผวิ สองสี … อยใู่ นบา้ น นคิ ม หรอื นครชอ่ื โนน้ …ธนทู ใ่ี ชย้ งิ เรา เปน็ ชนดิ หนา้ ไม้ หรอื เกาทณั ฑ์ … สายธนทู ใ่ี ชย้ งิ เรา ท�ำ จากปอ ผวิ ไมไ้ ผ่ เอน็ ปา่ น หรือเยื่อไม้ … ลูกธนูที่ใช้ยิงเรา ทำ�ด้วยไม้ที่เกิดเอง หรือ ไม้ปลูก … หางธนูท่ีใช้ยิงเรา เขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกสิถิลหนุ … เกาทัณฑ์ ทเ่ี ขาใชย้ งิ เรา เขาพนั ดว้ ยเอน็ ววั เอน็ ควาย เอน็ คา่ ง หรอื เอน็ ลงิ เสียก่อนแล้ว เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงน้ัน 114
เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : สัตว์ บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรน้ันกล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเรายังไม่รู้จัก ลูกธนูที่ใช้ยิงเรา ว่าเป็นลูกศรธรรมดา ลูกศรคม ลูกศรหวั เกาทณั ฑ์ ลกู ศรหวั โลหะ ลกู ศรหวั เขย้ี วสตั ว์ หรอื ลกู ศรพเิ ศษ เสียก่อนแล้ว เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงนั้น มาลุงก๎ยบุตร เขาไม่อาจรู้ข้อความที่เขาอยากรู้น้ันได้เลย ตอ้ งตายเปน็ แท.้ อุปมาน้ีฉันใด อุปไมยก็ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคล ผนู้ น้ั กลา่ ววา่ เราจกั ยงั ไมป่ ระพฤตพิ รหมจรรยใ์ นส�ำ นกั ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า จนกว่าพระองค์จักแก้ปัญหาทิฏฐิ ๑๐ ประการแกเ่ ราเสยี กอ่ น และตถาคตกไ็ มพ่ ยากรณป์ ญั หานน้ั แก่เขา เขากต็ ายเปล่าโดยแท้ … . มาลุงก๎ยบุตร ท่านจงรู้ซึ่งสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ไว้ โดยความเป็นสิ่งท่ีเราไม่พยากรณ์ รู้ซึ่งส่ิงที่เราพยากรณ์ไว้ โดยความเป็นส่ิงทีเ่ ราพยากรณ.์ อะไรเลา่ ทเี่ ราไมพ่ ยากรณ์ คอื ความเหน็ ๑๐ ประการ วา่ โลกเทย่ี ง โลกไมเ่ ทยี่ ง โลกมที สี่ น้ิ สดุ โลกไมม่ ที สี่ นิ้ สดุ ชีวะก็อันน้ัน สรีระก็อันน้ัน ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ตถาคตภายหลังจากตายแล้ว ย่อมมีอีก ตถาคตภายหลัง จากตายแล้ว ย่อมไม่มีอีก ตถาคตภายหลังจากตายแล้ว 115
พุทธวจน - หมวดธรรม ย่อมมีอีกก็มี ไม่มีอีกก็มี ตถาคตภายหลังจากตายแล้ว ยอ่ มมอี กี กห็ ามไิ ด ้ ไมม่ อี กี กห็ ามไิ ด้ เปน็ สงิ่ ทเี่ ราไมพ่ ยากรณ.์ มาลุงก๎ยบุตร อะไรเล่าท่ีเราพยากรณ์ คือสัจจะว่า นี้เป็นทุกข์ น้ีเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือ ของทุกข์ และน้ีเป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทกุ ข์ ดงั นี้ นี้เปน็ สิง่ ทเ่ี ราพยากรณ์. เหตุใดเราจึงพยากรณ์เล่า เพราะส่ิงๆ นี้ ย่อม ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ เป็นเง่ือนต้นของพรหมจรรย์ เปน็ ไปพรอ้ มเพอ่ื ความเบอ่ื หนา่ ย ความคลายก�ำ หนดั ความดบั ความสงบระงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พรอ้ ม และนพิ พาน. 116
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สัตว์ ตถาคตสอนเรอ่ื งทกุ ข์ 35 และความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข์ -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๒๗๘/๒๘๖. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทงั้ ทเี่ รามถี อ้ ยค�ำ อยา่ งน้ี มกี ารกลา่ ว อย่างน้ี สมณะและพราหมณ์บางพวก ยังกล่าวตู่เราด้วย คำ�เท็จเปล่าๆ อันไม่มีจริง ไม่เป็นจริงว่า พระสมณโคดม เปน็ ผกู้ �ำ จดั ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมม่ ี ของสัตวท์ ่มี ีอยขู่ ึน้ ส่งั สอน ดงั น.้ี ภิกษุท้ังหลาย เราจะกล่าวอย่างใด หรือไม่กล่าว อย่างใดก็ตาม สมณะและพราหมณ์บางพวกเหล่านั้น ก็ยัง กล่าวตู่เราด้วยคำ�เท็จเปล่าๆ อันไม่มีจริง ไม่เป็นจริงว่า พระสมณโคดมเป็นผู้กำ�จัด ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความไม่มีของสัตวท์ ีม่ อี ยู่ข้ึนสง่ั สอน ดงั น.้ี ภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม เราบัญญัติข้ึนสอนแต่เรื่องของทุกข์ และความดับของทุกข์ เทา่ นนั้ . ภิกษุท้ังหลาย ในการกล่าวแต่เร่ืองของทุกข์และ ความดบั ของทกุ ขเ์ ชน่ น้ี แมจ้ ะมใี ครดา่ วา่ บรภิ าษ โกรธเคอื ง เบียดเบียน กระทบกระเทียบ ตถาคตก็ไม่มีความอาฆาต ไม่มคี วามขุน่ เคอื ง ไม่มีความไม่ชอบใจเพราะเหตนุ ้ัน. 117
พุทธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ในเรื่องเดยี วกนั นนั้ เอง แมจ้ ะมีใคร มาสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ตถาคตกไ็ มม่ คี วามยนิ ดี ไมม่ ี ความโสมนสั หรอื เคลมิ้ ใจไปตาม ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ มใี คร มาสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ตถาคตยอ่ มมคี วามคดิ อยา่ งน้ี วา่ กอ่ นหนา้ นเี้ รามคี วามรสู้ กึ ตวั ทว่ั ถงึ อยา่ งไร บดั นเี้ รากต็ อ้ ง ท�ำ ความรู้สกึ ตวั ทั่วถงึ อย่างนั้น ดังน.ี้ 118
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : สตั ว์ 36 ปญั หาทไ่ี มค่ วรถาม (นยั ท่ี ๑) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๕/๓๑. ภิกษุท้ังหลาย อาหาร ๔ เหล่าน้ี ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความด�ำ รงอยขู่ องหมสู่ ตั วผ์ เู้ กดิ มาแลว้ หรอื เพอ่ื อนเุ คราะห์ หมู่สัตว์ผู้แสวงหาท่ีเกิด (จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อาหารา ภูตาน วา สตตฺ าน ติ ิยา สมภฺ เวสนี วา อนุคฺคหาย) อาหาร ๔ อะไรบา้ ง คือ (๑) กวฬกี าราหาร ทห่ี ยาบหรือละเอียด (๒) ผัสสาหาร (๓) มโนสญั เจตนาหาร (๔) วิญญาณาหาร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อาหาร ๔ เหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความด�ำ รงอยขู่ องหมสู่ ตั วผ์ เู้ กดิ มาแลว้ หรอื เพอ่ื อนเุ คราะห์ หมูส่ ัตวผ์ ู้แสวงหาท่ีเกิด. ทา่ นโมลยิ ผคั คนุ ะไดก้ ราบทลู พระผมู้ พี ระภาควา่ ขา้ แตพ่ ระองค์ ผูเ้ จรญิ ใครหนอย่อมกลืนกินวญิ ญาณาหาร. นัน่ เป็นปญั หาท่ีไมค่ วรถาม เราไมไ่ ด้กลา่ ววา่ ยอ่ ม กลนื กนิ ถา้ เรากลา่ ววา่ ยอ่ มกลนื กนิ กค็ วรตงั้ ปญั หาในขอ้ นนั้ ไดว้ า่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ใครหนอยอ่ มกลนื กนิ แตเ่ ราไม่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ ผใู้ ดพงึ ถามเราผไู้ มไ่ ดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ เชน่ น้ี วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ วญิ ญาณาหารยอ่ มมเี พอื่ อะไรหนอ 119
พุทธวจน - หมวดธรรม อนั นเ้ี ปน็ ปญั หาทคี่ วรถาม ในปญั หานนั้ ควรชแี้ จงใหก้ ระจา่ ง ว่า วิญญาณาหารย่อมมี เพ่ือความบังเกิดในภพใหม่ต่อไป (ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ) เม่ือวิญญาณาหารนั้นมีอยู่ สฬายตนะ ยอ่ มมี เพราะมสี ฬายตนะเป็นปจั จัย จงึ มผี สั สะ. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ใครหนอยอ่ มสมั ผัส. นั่นเปน็ ปญั หาท่ไี มค่ วรถาม เราไม่ไดก้ ล่าวว่า ยอ่ ม สมั ผสั ถา้ เรากลา่ ววา่ ยอ่ มสมั ผสั กค็ วรตง้ั ปญั หาในขอ้ นน้ั ได้ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครหนอย่อมสัมผัส แต่เราไม่ได้ กลา่ วอยา่ งนน้ั ผใู้ ดพงึ ถามเราผไู้ มไ่ ดก้ ลา่ วอยา่ งนน้ั เชน่ นวี้ า่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ อันน้ปี ัญหาทค่ี วรถาม ในปญั หานน้ั ควรช้ีแจงให้กระจา่ งวา่ เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปัจจยั จงึ มีผัสสะ เพราะมผี ัสสะเปน็ ปจั จัย จึงมเี วทนา (ความรสู้ กึ ตอ่ อารมณ)์ . ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ใครหนอย่อมรสู้ กึ ต่ออารมณ์. นัน่ เปน็ ปัญหาที่ไมค่ วรถาม เราไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ย่อม รู้สึกต่ออารมณ์ ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ ก็ควร ต้ังปัญหาในข้อน้ันได้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครหนอ ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ แต่เราไม่ได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดพึง ถามเราผไู้ มไ่ ดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ เชน่ นว้ี า่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ 120
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด : สตั ว์ เพราะอะไรเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา อนั นเ้ี ปน็ ปญั หาทคี่ วรถาม ในปญั หานนั้ ควรชแี้ จงใหก้ ระจา่ งวา่ เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มตี ณั หา (ความอยาก). ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ูเ้ จรญิ ใครหนอย่อมอยาก. นนั่ เปน็ ปัญหาท่ีไมค่ วรถาม เราไม่ไดก้ ล่าววา่ ย่อม อยาก ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมอยาก ก็ควรตั้งปัญหาในข้อน้ัน ได้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครหนอย่อมอยาก แต่เราไม่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ ผใู้ ดพงึ ถามเราผไู้ มไ่ ดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ เชน่ น้ี ว่า ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ูเ้ จรญิ เพราะอะไรเปน็ ปัจจยั จึงมีตัณหา อนั นเ้ี ปน็ ปญั หาทค่ี วรถาม ในปญั หานนั้ ควรชแี้ จงใหก้ ระจา่ ง วา่ เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มตี ณั หา เพราะมตี ณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มอี ุปาทาน (ความยดึ มัน่ ). ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจริญ ใครหนอยอ่ มยดึ มนั่ . นั่นเป็นปญั หาท่ีไม่ควรถาม เราไมไ่ ด้กล่าววา่ ย่อม ยึดมั่น ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมยึดม่ัน ก็ควรตั้งปัญหาในข้อน้ัน ได้วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ ใครหนอย่อมยดึ มนั่ แต่เราไม่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ ผใู้ ดพงึ ถามเราผไู้ มไ่ ดก้ ลา่ วอยา่ งนนั้ เชน่ นี้ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมี อปุ าทาน อนั นเ้ี ปน็ ปญั หาทค่ี วรถาม ในปญั หานนั้ ควรชแี้ จง 121
พุทธวจน - หมวดธรรม ใหก้ ระจา่ งวา่ เพราะมตี ณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มอี ปุ าทาน เพราะ มีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ เพราะมีชาติเป็นปจั จยั ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะท้ังหลาย จงึ เกิดข้นึ ครบถ้วน ความเกดิ ขึ้น พรอ้ มแห่งกองทุกขท์ ง้ั สิน้ น้ี ย่อมมดี ว้ ยอาการอย่างน.้ี ผัคคุนะ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แหง่ ผสั สายตนะทง้ั ๖ (บอ่ เกดิ แหง่ ผสั สะทงั้ ๖) นนั้ นนั่ เทยี ว จงึ มี ความดบั แหง่ ผสั สะ เพราะมคี วามดบั แหง่ ผสั สะ จงึ มคี วามดบั แห่งเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับ แหง่ ตณั หา เพราะมคี วามดับแห่งตณั หา จึงมีความดบั แห่ง อปุ าทาน เพราะมีความดับแหง่ อุปาทาน จึงมีความดบั แหง่ ภพ เพราะมคี วามดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาติ เพราะมี ความดับแห่งชาติน่ันแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะทงั้ หลาย จงึ ดบั สนิ้ ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ข์ ท้ังสิ้นน้ี ย่อมมีดว้ ยอาการอย่างน.้ี (พระสูตรนี้ แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีบุคคลท่ีกลนื กนิ วญิ ญาณาหาร ไมม่ บี คุ คลทเ่ี ปน็ เจา้ ของอายตนะ ไมม่ บี คุ คลทก่ี ระท�ำ ผสั สะ ไม่มีบุคคลที่เสวยเวทนา ไม่มีบุคคลที่อยากด้วยตัณหา ไม่มีบุคคล ที่ยึดม่ันถือมั่น มีแต่ธรรมชาติที่เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรมอย่างหนึ่งๆ เป็นปจั จัย สบื ต่อแก่กนั และกนั ตอ่ ไปเท่านัน้ ) 122
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : สตั ว์ 37 ปญั หาทไ่ี มค่ วรถาม (นยั ท่ี ๒) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๗๒/๑๒๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั จงึ มสี งั ขาร ทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จึงมีตัณหา เพราะมีตณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มีอปุ าทาน เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ เพราะมชี าตเิ ปน็ ปจั จัย ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสะทัง้ หลาย จงึ เกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทุกข์ทัง้ ส้ินน้ี ย่อมมดี ว้ ยอาการอยา่ งนี.้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ชรามรณะเปน็ อยา่ งไร และชรามรณะน้ี เป็นของใคร. นั่นเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กล่าวอย่างน้วี ่า ชรามรณะเปน็ อย่างไร และชรามรณะน้ีเป็น ของใคร ดังนี้ หรือว่าบุคคลใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ชรา มรณะเป็นอย่างอ่ืน และชรามรณะน้ีเป็นของผู้อ่ืน ดังน้ี ค�ำ กลา่ วของบคุ คลทงั้ สองนน้ั มอี รรถ (เนอ้ื ความ) อยา่ งเดยี วกนั ตา่ งกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านนั้ . 123
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั นี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเมื่อ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอ่ืน ดังน้ี การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ ตถาคต ยอ่ มแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดท้ังสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดังนี้ว่า เพราะมีชาตเิ ป็นปจั จยั จึงมชี รามรณะ ดงั น้ี. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ชาตเิ ปน็ อยา่ งไร และชาตนิ เี้ ปน็ ของใคร. น่ันเป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ชาตเิ ปน็ อยา่ งไร และชาตนิ เ้ี ปน็ ของใคร ดงั น้ี หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ชาตเิ ปน็ อยา่ งอนื่ และ ชาติน้ีเป็นของผู้อื่น ดังน้ี คำ�กล่าวของบุคคลทั้งสองนั้น มอี รรถอย่างเดียวกัน ตา่ งกันแตเ่ พยี งพยญั ชนะเทา่ น้นั . ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั นี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเม่ือ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองน้ัน คือ ตถาคตย่อม แสดงดงั นว้ี ่า เพราะมีภพเปน็ ปัจจัย จงึ มชี าติ ดังน้ี. 124
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สตั ว์ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ภพเปน็ อยา่ งไร และภพน้ี เปน็ ของใคร. นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กล่าวอย่างน้ีวา่ ภพเปน็ อยา่ งไร และภพนเี้ ปน็ ของใคร ดงั นี้ หรือว่าบคุ คลใดจะพึงกลา่ วอยา่ งนี้ว่า ภพเปน็ อยา่ งอ่นื และ ภพน้ีเป็นของผู้อื่น ดังน้ี คำ�กล่าวของบุคคลท้ังสองนั้น มี อรรถอย่างเดียวกนั ตา่ งกันแต่เพียงพยัญชนะเท่าน้ัน. ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั น้ี การอยู่ประพฤตพิ รหมจรรย์ ย่อมไม่ม ี ภิกษุ หรือว่า เมือ่ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอ่ืน ดังน้ี การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดท้ังสองน้ัน คือ ตถาคตย่อม แสดงดงั น้วี ่า เพราะมีอปุ าทานเปน็ ปัจจัย จงึ มภี พ ดงั น้.ี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานเป็นอย่างไร และอุปาทานน้ี เปน็ ของใคร. นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กล่าวอย่างน้ีว่า อุปาทานเป็นอย่างไร และอุปาทานน้ีเป็น ของใคร ดงั น้ี หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ อปุ าทาน เป็นอย่างอ่ืน และอุปาทานน้ีเป็นของผู้อ่ืน ดังนี้ คำ�กล่าว ของบคุ คลทง้ั สองนนั้ มอี รรถอยา่ งเดยี วกนั ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง พยญั ชนะเท่านัน้ . 125
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษ ุ เมอ่ื มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั นี้ การอยู่ประพฤตพิ รหมจรรย์ ย่อมไมม่ ี ภกิ ษุ หรือว่า เมื่อ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษ ุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดังน้วี ่า เพราะมตี ณั หาเป็นปัจจยั จงึ มอี ปุ าทาน ดงั นี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตัณหาเป็นอย่างไร และตัณหาน้ีเป็น ของใคร. น่ันเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ตณั หาเปน็ อยา่ งไร และตณั หานเ้ี ปน็ ของใคร ดงั นี้ หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ตณั หาเปน็ อยา่ งอนื่ และตณั หานเี้ ปน็ ของผอู้ น่ื ดงั น้ี ค�ำ กลา่ วของบคุ คลทงั้ สองนน้ั มอี รรถอย่างเดยี วกนั ต่างกนั แต่เพียงพยัญชนะเทา่ น้ัน. ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั นี้ การอยปู่ ระพฤติพรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ หรอื ว่า เมือ่ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ ตถาคต ยอ่ มแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองน้ัน คือตถาคตย่อม แสดงดังน้วี า่ เพราะมเี วทนาเป็นปัจจัย จึงมตี ณั หา ดงั น้.ี 126
เปิดธรรมท่ีถูกปิด : สตั ว์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวทนาเป็นอย่างไร และเวทนาน้ีเป็น ของใคร. น่ันเป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ เวทนาเปน็ อยา่ งไร และเวทนานเี้ ปน็ ของใคร ดงั นี้ หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ เวทนาเปน็ อยา่ งอนื่ และเวทนานเ้ี ปน็ ของผอู้ นื่ ดงั นี้ ค�ำ กลา่ วของบคุ คลทง้ั สองนนั้ มอี รรถอย่างเดยี วกนั ตา่ งกนั แตเ่ พยี งพยญั ชนะเท่าน้ัน. ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั น้ี การอยปู่ ระพฤติพรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ หรอื วา่ เมือ่ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังน้ี การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดงั น้วี า่ เพราะมีผสั สะเปน็ ปจั จัย จึงมเี วทนา ดงั น.ี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผัสสะเป็นอย่างไร และผัสสะน้ีเป็น ของใคร. นั่นเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กล่าวอย่างน้ีว่า ผัสสะเป็นอย่างไร และผัสสะนี้เป็นของใคร ดงั น้ี หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ผสั สะเปน็ อยา่ งอนื่ และผสั สะนเ้ี ปน็ ของผอู้ น่ื ดงั นี้ ค�ำ กลา่ วของบคุ คลทงั้ สองนน้ั มอี รรถอย่างเดียวกัน ตา่ งกันแตเ่ พยี งพยัญชนะเท่าน้นั . 127
พุทธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั นี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเม่ือ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษ ุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองน้ัน คือ ตถาคตย่อม แสดงดงั นว้ี า่ เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปจั จยั จงึ มผี สั สะ ดงั น.้ี ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ สฬายตนะเปน็ อยา่ งไร และสฬายตนะน้ี เป็นของใคร. นั่นเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ สฬายตนะเปน็ อยา่ งไร และสฬายตนะนเ้ี ปน็ ของใคร ดงั น้ี หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ สฬายตนะ เป็นอย่างอ่ืน และสฬายตนะนี้เป็นของผู้อ่ืน ดังน้ี คำ�กล่าว ของบคุ คลทงั้ สองนนั้ มอี รรถอยา่ งเดยี วกนั ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง พยญั ชนะเทา่ น้นั . ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั นี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเมื่อ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ ตถาคต ยอ่ มแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดงั นว้ี า่ เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ ดงั น.้ี 128
เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : สัตว์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นามรูปเป็นอย่างไร และนามรูปน้ีเป็น ของใคร. น่ันเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ นามรปู เปน็ อยา่ งไร และนามรปู นเี้ ปน็ ของใคร ดงั น้ี หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ นามรปู เปน็ อยา่ งอน่ื และนามรปู นเี้ ปน็ ของผอู้ น่ื ดงั นี้ ค�ำ กลา่ วของบคุ คลทงั้ สองนนั้ มีอรรถอยา่ งเดยี วกนั ตา่ งกนั แต่เพยี งพยัญชนะเท่านนั้ . ภกิ ษ ุ เมอื่ มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั นี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเม่ือ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังน้ี การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดท้ังสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดังนี้ว่า เพราะมวี ญิ ญาณเป็นปัจจยั จึงมีนามรูป ดังนี.้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิญญาณเป็นอย่างไร และวิญญาณน้ี เปน็ ของใคร. นั่นเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะพึง กล่าวอย่างนี้ว่า วิญญาณเป็นอย่างไร และวิญญาณนี้เป็น ของใคร ดงั นี้ หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ วญิ ญาณ เป็นอย่างอื่น และวิญญาณนี้เป็นของผู้อ่ืน ดังน้ี คำ�กล่าว 129
พุทธวจน - หมวดธรรม ของบคุ คลทงั้ สองนนั้ มอี รรถอยา่ งเดยี วกนั ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง พยัญชนะเท่าน้ัน. ภกิ ษ ุ เมอ่ื มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั น้ี การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเมื่อ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษ ุ ตถาคต ยอ่ มแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อม แสดงดังน้วี ่า เพราะมสี งั ขารเป็นปัจจัย จึงมีวญิ ญาณ ดังนี้. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ สงั ขารทง้ั หลายเปน็ อยา่ งไร และสงั ขาร ทงั้ หลายเหล่าน้ีเป็นของใคร. น่ันเป็นปัญหาท่ีไม่ควรถาม ภิกษุ บุคคลใดจะ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายเป็นอย่างไร และสังขาร ทง้ั หลายเหลา่ นเ้ี ปน็ ของใคร ดงั นี้ หรอื วา่ บคุ คลใดจะพงึ กลา่ ว อย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายเป็นอย่างอื่น และสังขารทั้งหลาย เหล่านี้เป็นของผู้อ่ืน ดังนี้ คำ�กล่าวของบุคคลทั้งสองน้ัน มอี รรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแตเ่ พียงพยญั ชนะเทา่ น้นั . ภกิ ษ ุ เมอ่ื มที ฏิ ฐวิ า่ ชวี ะกอ็ นั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั น้ี การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ หรือว่าเมื่อ มีทิฏฐิว่า ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน ดังนี้ การอยู่ประพฤติ 130
เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : สตั ว์ พรหมจรรย์ ย่อมไม่มี ภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดย สายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดท้ังสองน้ัน คือ ตถาคตย่อม แสดงดังนวี้ า่ เพราะมีอวชิ ชาเปน็ ปัจจยั จึงมสี งั ขารท้ังหลาย ดงั น.้ี ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชานน้ั นัน่ เอง ทฏิ ฐทิ งั้ หลายอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ท่ดี �ำ เนิน ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ด้ินรนไปผิดแล้วว่า ชรา มรณะเปน็ อยา่ งไร และชรามรณะนเี้ ปน็ ของใคร ดงั นี้ หรอื วา่ ชรามรณะเป็นอย่างอ่ืน และชรามรณะน้ีเป็นของผู้อื่น ดังนี้ หรอื วา่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นนั้ ดงั น้ี หรอื วา่ ชวี ะกอ็ นั อนื่ สรีระก็อันอื่น ดังนี้ ทิฏฐิท้ังหมดน้ัน เป็นสิ่งที่บุคคลน้ันละ ไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถงึ ซึ่งความไม่มแี ล้ว มีอันไม่เกดิ ขึน้ อกี ต่อไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชานนั้ น่นั เอง ทิฏฐิทัง้ หลายอยา่ งใดอย่างหนึง่ ทีด่ �ำ เนนิ ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ด้ินรนไปผิดแล้วว่า ชาติ เป็นอย่างไร และชาตินี้เป็นของใคร ดังนี้ หรือว่า ชาติเป็น อย่างอื่น และชาตินเี้ ป็นของผ้อู ืน่ ดังนี้ หรอื วา่ ชีวะก็อนั นัน้ สรรี ะก็อนั นน้ั ดังน้ี หรือว่า ชีวะก็อันอน่ื สรีระก็อนั อืน่ ดังนี้ 131
พุทธวจน - หมวดธรรม ทฏิ ฐทิ งั้ หมดนน้ั เปน็ สง่ิ ทบ่ี คุ คลนนั้ ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ทำ�ให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงซ่ึงความไม่มีแล้ว มอี ันไม่เกิดขึ้นอกี ตอ่ ไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชาน้นั นนั่ เอง ทฏิ ฐิทง้ั หลายอย่างใดอย่างหน่ึง ท่ดี �ำ เนนิ ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ด้ินรนไปผิดแล้วว่า ภพ เปน็ อยา่ งไร และภพนเ้ี ปน็ ของใคร … เปน็ สงิ่ ทบี่ คุ คลนน้ั ละ ไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถึงซึง่ ความไมม่ แี ลว้ มีอันไม่เกดิ ขึ้นอกี ตอ่ ไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานัน้ น่นั เอง ทิฏฐิทั้งหลายอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ทด่ี �ำ เนิน ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ดิ้นรนไปผิดแล้วว่า อุปาทานเป็นอย่างไร และอุปาทานน้ีเป็นของใคร … เป็น สิ่งทีบ่ คุ คลนนั้ ละได้แลว้ ตัดรากขาดแลว้ ท�ำ ให้เป็นเหมือน ตาลยอดด้วนแล้ว ถึงซึ่งความไม่มีแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นอีก ต่อไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชานั้นนนั่ เอง ทฏิ ฐิทั้งหลายอยา่ งใดอย่างหน่ึง ทีด่ ำ�เนนิ ไปผดิ ทาง อนั บคุ คลเสพผดิ แลว้ ดนิ้ รนไปผดิ แลว้ วา่ ตณั หา 132
เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สตั ว์ เปน็ อยา่ งไร และตณั หานเี้ ปน็ ของใคร … เปน็ สงิ่ ทบี่ คุ คลนนั้ ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถงึ ซึ่งความไม่มแี ลว้ มีอันไมเ่ กดิ ขนึ้ อกี ต่อไปเปน็ ธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชาน้ันนัน่ เอง ทฏิ ฐทิ ง้ั หลายอยา่ งใดอย่างหน่ึง ทดี่ �ำ เนนิ ไปผดิ ทาง อนั บคุ คลเสพผดิ แลว้ ดน้ิ รนไปผดิ แลว้ วา่ เวทนา เปน็ อยา่ งไร และเวทนานเี้ ปน็ ของใคร … เปน็ สง่ิ ทบี่ คุ คลนนั้ ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถึงซึ่งความไม่มแี ลว้ มีอนั ไมเ่ กิดขึ้นอีกตอ่ ไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชานั้นน่นั เอง ทิฏฐิท้ังหลายอย่างใดอยา่ งหน่ึง ท่ดี ำ�เนิน ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ดนิ้ รนไปผิดแล้วว่า ผัสสะ เปน็ อยา่ งไร และผัสสะน้ีเปน็ ของใคร … เป็นสงิ่ ท่ีบุคคลนน้ั ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถึงซง่ึ ความไม่มแี ลว้ มีอันไม่เกดิ ขน้ึ อีกต่อไปเปน็ ธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานน้ั นน่ั เอง ทฏิ ฐทิ ง้ั หลายอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทด่ี �ำ เนนิ ไป ผดิ ทาง อนั บคุ คลเสพผดิ แลว้ ดน้ิ รนไปผดิ แลว้ วา่ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไร และสฬายตนะนเ้ี ปน็ ของใคร … เปน็ สง่ิ ทบ่ี คุ คลนน้ั 133
พุทธวจน - หมวดธรรม ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถึงซง่ึ ความไมม่ แี ล้ว มีอันไม่เกิดข้นึ อีกต่อไปเป็นธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานนั้ นั่นเอง ทฏิ ฐทิ ัง้ หลายอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ทด่ี ำ�เนนิ ไปผดิ ทาง อนั บคุ คลเสพผดิ แลว้ ดน้ิ รนไปผดิ แลว้ วา่ นามรปู เปน็ อยา่ งไร และนามรปู นเ้ี ปน็ ของใคร … เปน็ สง่ิ ทบ่ี คุ คลนนั้ ละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถงึ ซง่ึ ความไมม่ ีแลว้ มอี นั ไมเ่ กดิ ข้ึนอีกต่อไปเปน็ ธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานัน้ น่ันเอง ทิฏฐิทงั้ หลายอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ที่ดำ�เนิน ไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว ด้ินรนไปผิดแล้วว่า วิญญาณเป็นอย่างไร และวิญญาณนี้เป็นของใคร … เป็น ส่งิ ทบ่ี ุคคลนัน้ ละได้แลว้ ตัดรากขาดแลว้ ท�ำ ให้เปน็ เหมือน ตาลยอดด้วนแล้ว ถึงซึ่งความไม่มีแล้ว มีอันไม่เกิดข้ึนอีก ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา. ภกิ ษ ุ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชานน้ั นนั่ เอง ทิฏฐทิ ง้ั หลายอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ทด่ี �ำ เนิน ไปผดิ ทาง อนั บคุ คลเสพผดิ แลว้ ดนิ้ รนไปผดิ แลว้ วา่ สงั ขาร ทงั้ หลายเปน็ อยา่ งไร และสงั ขารทงั้ หลายเหลา่ นเ้ี ปน็ ของใคร 134
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สตั ว์ ดงั น้ี หรอื วา่ สงั ขารทง้ั หลายเปน็ อยา่ งอน่ื และสงั ขารทง้ั หลาย เหลา่ นเี้ ปน็ ของผอู้ นื่ ดงั นี้ หรอื วา่ ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นน้ั ดงั น้ี หรอื วา่ ชวี ะกอ็ นั อน่ื สรรี ะกอ็ นั อน่ื ดงั นี้ ทฏิ ฐทิ งั้ หมดนน้ั เป็นสิ่งท่ีบุคคลน้ันละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำ�ให้เป็น เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงซึ่งความไม่มีแล้ว มีอันไม่เกิด ขนึ้ อกี ตอ่ ไปเป็นธรรมดา ดงั นี้. 135
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : สัตว์ พระอรหนั ตไ์ ปเกดิ หรอื ไมไ่ ปเกดิ 38 -บาลี ม. ม. ๑๓/๒๔๕/๒๔๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะไปเกิดใน ทใี่ ด พระเจ้าข้า. วจั ฉะ ทใี่ ช้คำ�พูดวา่ จะไปเกิด นนั้ ไมค่ วรเลย. ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจริญ ถ้าเชน่ น้นั จะไมไ่ ปเกดิ หรือ. วจั ฉะ ท่ีใช้ค�ำ พดู วา่ จะไม่ไปเกดิ นัน้ ก็ไม่ควร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นน้ัน บางทีเกิด บางทีไม่เกิด กระนน้ั หรอื . วัจฉะ ที่ใช้คำ�พูดว่า บางทีเกิด บางทีไม่เกิด นั้นก็ ไม่ควร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะว่าไปเกดิ ก็ไมใ่ ช่ ไม่ไปเกดิ กไ็ ม่ใช่ กระนัน้ หรอื . วัจฉะ ท่ีใช้คำ�พูดว่า จะไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ ไมใ่ ช่ แม้ดังนกี้ ไ็ ม่ควร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระองค์ตรัสตอบน้ี ข้าพเจ้าไม่รู้ เรือ่ งเสียแลว้ ท�ำ ใหข้ า้ พเจ้าวนเวียนเสยี แลว้ แมค้ วามเลื่อมใสทข่ี ้าพเจา้ มี แลว้ ต่อพระองค์ในการตรัสไวต้ อนต้นๆ บดั นก้ี ไ็ ดล้ างเลอื นไปเสียแล้ว. 136
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288