Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน

เอกสารประกอบการสอน

Published by Paphichaya Sinlapaksa, 2016-07-07 04:36:30

Description: เอกสารประกอบกอบการสอน บทที่ 1

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 ศาสตร์ แห่ งการค้ นหาความจริงความนา “ความจริง” เป็นสิง่ ที่มนษุ ยชาตพิ ยายามศกึ ษาและค้นหาคาตอบมาตงั้ แตเ่ ร่ิมมีมนษุ ย์ โดยมีจดุ ม่งุ หมายแตกตา่ งกนั ออกไปตามยุคสมยั เชน่ ในอดีตกาลมนษุ ย์ค้นหาความจริงในธรรมชาติเพื่อหลีกหนีภยั ธรรมชาติ ต่อมามนุษย์ค้นหาความจริงเงพ่ือแสดงออกถึงภูมิปัญญาในฐานะของความรู้ และยงั มีการึน้ หาความจริงเพื่อสนองตอบความต้องการความสขุ ทางด้านเทคโนโลยีตา่ งๆ ที่มนษุ ย์คดิ ขนึ ้ โดยใช้กระบวนการของเหตผุ ลในรูปแบบตา่ งๆ อนั ได้แก่ วิธีการอนุ ยั นิรนยั เป็ นต้น จงึเห็นได้ว่าการค้นหาความจริงดงั กลา่ วมิสามารถค้นบคาตอบท่ีแท้จริงอนั เป็ นระบบได้หากปราศจากหลกั การ ซึ่งในปัจจบุ นั มีการพฒั นาหลกั การดงั กล่าวส่คู วามเป็ นศาสตร์อนั เป็ ฯเคร่ืองมือสาคญั ในการแสวงหาความจริง ดงั นนั้ จึงจาเป็ นอยา่ งย่ิงท่ีจะต้องทาความเข้าใจเรื่องความรู้และศาสตร์เป็ นพืน้ ฐานเบอื ้ งต้นก่อนที่จะศกึ ษาศษสตร์วา่ ด้วยการค้นหาความจริงตอ่ ไปตามลาดบัตอนท่ี 1.1 แนวคดิ เก่ยี วกับศาสตร์และการค้นหาความจริง เร่ืองท่ี 1.1.1 แนวคดิ เก่ียวกับศาสตร์ มนษุ ย์เกิดขนึ ้ มาพร้อมกบั การรับรู้โดยธรรมชาติ การรับรู้ดงั กลา่ วทาให้มนษุ ย์มีความรู้ไปด้วยโดยปริยาย เนื่องเพราะความรู้หมายถึงทกุ ส่ิงทกุ อย่างท่ีมนษุ ย์ประสบพบเห็นหรือรับรู้จดจาบอกเลา่ ถ่ายทอดกนั มา ซง่ึ อาจจะผา่ นการจดั ระบบแล้วหรือไม่ก็ได้ ดงั นนั้ ความรู้จงึ มีความหมายคอ่ นข้างกว้าง เพราะเพียงแตป่ ระสาทสมั ผสั ของเราได้รับรู้บางอย่างอนั เป็ นข้อเท็จจริงท่ีเกิดขนึ ้ ก็จดั ได้วา่ เราได้รับความรู้แล้ว เชน่ เราชมิ เกลือแล้วรู้ว่าเกลือมีรสเค็มก็นบั วา่ เป็ นความรู้ เรารู้วา่ นกั ร้องคนนนั้ ชื่ออะไรก็นบั วา่ เป็นความรู้ เราอา่ นหนงั สือแล้วรู้วิธีการคิดตามทฤษฎีตา่ งๆ ก็จดั เป็ นความรู้เช่นกัน เพียงแต่ความรู้แต่ละอย่างอาจมีที่มาของความรู้ ท่ีแตกต่างกัน ในที่นีค้ วามรู้จึงหมายถึงทกุ สิ่งทกุ อย่างที่มนษุ ย์ได้ประสบพบเห็นอนั ไม่มีขอบเขต ความรู้ในท่ีนีจ้ ึงมีความหมายที่คอ่ นข้างกว้างมากซงึ่ จดั เป็น “ความรู้” โดยทว่ั ไป ความรู้โดยท่ัวไปมักจะเป็ นความรู้เฉพาะเร่ืองลัมีลักษณะจากัดอยู่ท่ีเฉพาะกับปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งท่ีมนษุ ย์ได้ประสบมาซ่ึงยงั ไมม่ ีการเชื่อมโยงในระบบึวามคดิ โดยวิธีการใช้เหตผุ ล ตอ่ เมื่อได้นาความรู้เหล่านนั้ มาผ่านกระบวนการคิดเพื่อหาหลกั การอนั เป็ น

4ระบบระเบยี บอยา่ งเป็นเหตเุ ป็นผลและมีวิธีการท่ีแนน่ อนแล้ว ความรู้ดงั กล่าวจงึ สามารถพฒั นาไปสู่ความเป็น “ศาสตร์” ได้ “ศาสตร์” จึงมีความหมายที่แคบกว่า “ความรู้ทว่ั ไป เพราะศาสตร์ทกุศาสตร์จะต้องเป็ นความรู้ ในขณะท่ีความรู้ทัว่ ไปไม่จาเป็ นที่จะต้องเป็ นศาสตร์ก็ได้ เช่น หากเราสมั ผสั นา้ แล้วรู้สึกเย็น ความเย็นที่เราสมั ผสั ได้ตากนา้ จะเป็ นความรู้ท่ีเกิดจากประสาทสมั ผสั กบั เราเพราะเป็ นเหตกุ ารณ์เฉพาะครัง้ เฉพาะคนท่ีเกิดขนึ ้ โดยมิได้ผ่านกระบวนการพิสจู น์ตามหลกั เหตผุ ลแต่หากมีการกล่าวว่านา้ มีจดุ เยือกแข็งท่ีสนู ย์องศาเซลเซียส ประโยคหลงั นีถ้ อืว่าเป็ นความรู้ที่เป็ นศาสตร์เพราะได้ผา่ นกระบวนการพิสจู น์ตรวจสอบอย่างเป็ นเหตเุ ป็ นผลและเป็ นกฏเกณฑ์ท่ียอมรับกนั ทวั่ ไปแล้ว ซึ่งสามารถกล่าวสรุปได้ว่า “ศาสตร์” ย่อมเป็ นความรู้ที่ได้ผา่ นกระบวนการกลนั่ กรองอยา่ งเป็นระบบและค้นพบข้อสรุปอนั เป็นสากลแล้วนน่ั เอง 1.1.1.1 แนวคดิ เก่ียวกับความจริง ความรู้ และศาสตร์ ความจริง คอื สจั จะท่ีมีธรรมชาตทิ ่ีทรงสภาพของตวั มนั เองบางครัง้ เรียกวา่ “ปรมตั ถสจั จ์” เป็นสภาพที่ไมข่ นึ ้ กบั การรับรู้ของผ้ใู ด เชน่ สภาพเยน็ ร้อน ออ่ น แขง็ฯลฯความจริงชนดิ นีเ้ป็นความจริงที่มนษุ ย์แสวงหาความจริง บางอยา่ งไมใ่ ชร่ ู้ได้จากประสาทสมั ผสัเป็นความจริงท่ีอยเู่ หนือรูปธรรม เชน่ พระเจ้า ปรมาตรมนั นิพพาน ความรู้กับศาสตร์ มีความหมายใกล้เคียงกัน ความรู้หมายถึงส่ิงท่ีมนุษย์รับรู้ประสบการณ์ต่างๆ ท่ีได้พบเห็น และทาความรู้จกั ประสบการณ์ท่ีได้จากการลงมือปฏิบตั ิ การนาประสบการณ์ต่างๆ มาคิด การได้รับจากการบอกเล่า การได้รับจากการศกึ ษาเลา่ เรียน ฯลฯ ความรู้จงึ มีความหมายคอ่ นข้างกว้างอยา่ งที่พระพทุ ธองค์เรียกความรู้เหลา่ นีว้ า่ สตุ มยปัญญา จนิ ตมยปัญญา และภาวนามยปัญญา เช่น เมื่อเราชิมนา้ ตาลก็รู้วา่ มีรสหวาน เมื่อเราเห็นทะเลสีฟ้ าครา เม่ือเราฟังวิทยกุ ็ได้ยินเสียงเพลง ข่าว และโฆษณาตา่ งๆ เมื่อเราคดิ อะไรก็มีแนวคดิ ตา่ งๆ เกิดขนึ ้ ดงั กลา่ วข้างต้นที่เป็นปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหน่ึง หรือเป็ นข้อเท็จจริงอยา่ งใดอยา่ งจงึ จงึ เรียกได้วา่ เป็นความรู้ทวั่ ไป ตอ่ มามนษุ ย์เราได้สงั่ สมประสบการณ์มากขนึ ้ นาความรู้ตา่ งๆมาเชื่อมโยงอยา่ งเป็นระบบระเบยี บ โดยการใช้เหตผุ ลและหลกั การท่ีมีวิธีการแนน่ อนและได้รับการยอมรับ ความรู้ดังกล่าว จึงถูกพัฒนาไปเป็ น “ศาสตร์” “ศาสตร์” จึงมีความหมายที่แคบว่า“ความรู้ทว่ั ไป” เพราะศาสตร์ทกุ ศาสตร์จะต้องเป็นความรู้ทว่ั ไป ในขณะท่ีความรู้ทว่ั ไปไมจ่ าเป็ นที่จะต้องเป็ นศาสตร์ก็ได้

5 1.1.1.2 ศาสตร์เฉพาะกับศาสตร์สากล การแสวงหาความรู้เก่ียวกบั ส่ิงตา่ งๆ ในโลกนนั้ สามารถทาได้ในสองรูปแบบอนั ได้แก่ การแสวงหาความรู้อย่างรอบด้าน และการแสวงหาความรู้เฉพาะส่วน การแสวงหาความรู้อยา่ งรอบด้านเป็ นการพยายามมองทกุ สิ่งทกุ อย่างในโลกนีโ้ ดยภาพรวมและไมแ่ ยกแต่ละส่ิงแต่ละอย่างท่ีปรากฏ รวมทัง้ ท่ีไม่ปรากฏออกจากกัน เพื่อให้เห็นสรรพสิ่งทัง้ หลายในลกั ษณะภาพรวมที่เช่ือมโยงกนั ซึ่งทาให้ง่ายต่อการเห็นปัญหา และง่ายยิ่งกว่าเมื่อต้องการแก้ไขปัญหานนั้ การศกึ ษาหรือแสวงหาความรู้ในภาพรวมทกุ แง่มุมเช่นนีเ้ รียกว่า “ศาสตร์สากล” หรือ“ปรัชญา” นนั่ เอง ในขณะเดียวกันการศึกษาเฉพาะศาสตร์ สากลไม่อาจจะก่อให้ เกิ ดความรอบรู้ได้อย่างถึงที่สดุ เพราะบางครัง้ การศกึ ษาแบบกว้างและรู้เพียงทฤษฎีอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ปัญหาและพฒั นาความคดิ อนั เป็ นศาสตร์ได้ หากความรู้ดงั กลา่ วกว้างมากแตไ่ ม่ลึกพอดงั นนั้ การศึกษาในความรู้เฉพาะเรื่องแบบเจาะลึกสาคญั เฉกเช่นเดียวกับการศึกษาความรู้ในภาพรวม ความรู้ดงั กลา่ วเรียกว่า “ศาสตร์เฉพาะ” ซ่ึงแบง่ ได้เป็ นสาขาตา่ งๆ มากมายอนั ได้แก่วิชาเฉพาะทางตา่ งๆ เชน่ สงั คมศาสตร์ มนษุ ย์ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็ นศาสตร์สากลหรือวิทยาศาสตร์เฉพาะก็ล้วนแล้วแต่เป็ นส่ิงจาเป็ นสาหรับแสวงหาความจริงของชีวิตมนษุ ย์ทงั้ สิน้ จึงจาเป็ นอย่างย่ิงที่จะต้องศกึ ษาศาสตร์ทงั้ สองไปด้วยกนั ศาสตร์สากลท่ีใช้ศกึ ษาเก่ียวกับความจริง การเก็งความจริง และเป็ นพืน้ ฐานในการแสวงหาความจริง ภาษาวิชาการเรียกว่า “ปรัชญา” (philosophy) คือการม่งุแสวงหาธรรมชาตอิ นั แท้จริงของส่ิงทงั้ ปวง ความจริง คืออะไร เป็ นปัญหาที่ถกเถียงกนั มานบั พนั ๆปี เป็ นเร่ืองที่หลายคนมองว่าไร้ สาระ เสียเวลามากมาย เป็ นเรื่องยากเย็น ไม่สนุกสนาน บางคนมองว่า นักปรัชญาเป็ นพวกคิดอะไรเพ้อฝัน แตว่ ่านกั วิชาการทงั้ หลายก็มีความสอดคล้องกันโดยยอมรับว่าการศึกษาทางปรัชญานนั้ ทาให้ทุกคนม่ีทัศนคติท่ีกว้างขวาง รู้จกั มองปัญหา รู้จักที่มาและที่ไปความพยายามทงั้ หมดของมนษุ ย์ ที่จะเข้าถึงความจริงสดุ ท้าย ถือเป็ นปรัชญาทงั้ สิน้ ปรัชญาจงึ กินความไปถึงทกุ เร่ืองที่มนษุ ย์สนใจ ทา่ นอาจารย์จานงค์ ทองประเสริฐ [1] ได้เคยสรุปไว้วา่ ปรัชญาคือความคดิ ที่พิสจู น์ไมไ่ ด้ หรือยงั สรุปไมไ่ ด้ แตถ่ ้าพสิ จู น์ได้จนลงตวั แล้ว ก็จดั วา่ เป็นศาสตร์ ดงั นนั้ เมื่อเราต้องการเข้าถึงความจริงอยา่ งมีเหตผุ ล และหลกั การแล้วจงึ จาเป็นต้องทาความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกบั ปรัชญา

6 เร่ืองท่ี 1.1.2 ศาสตร์แห่งการค้นหาความจริงในบริบททางปรัชญา 1.1.2.1 ความหมายของ \"ปรัชญา\" ก. ปรัชญาในความหมายท่ใี ช้กันท่วั ๆ ไป คนทัว่ ไปใช้คาว่า “ปรัชญา” ในความหมายของโลกทศั น์ทศั นคติ ความคิดเห็นความเช่ือ หลกั เกณฑ์ หลักการ หรืออดุ มคติแนวทางชีวิต ปรัชญาท่ืถือว่า“ทกุ ส่ิงมีการเปลี่ยนแปลง” ปรัชญาถือวา่ “ทกุ สิ่งมีการเปล่ียนแปลง” ปรัชญามิใช่ของสงู ที่จะต้องอยใู่ นตาราของขงจือ้ เพลโต้ อริสโตเตลิ ้ .........ความจริงทกุ คนล้วนมีปรัชญาของตน ความคดิ ของคนท่ัวไปในชีวิตประจาวันเป็ นปรัชญาท่ีกระท่อนกระแท่นไม่เป็ นระบบท่ีสมบูรณ์ไม่แจ่มชัดความรู้สึกนึกคิดของคนได้มาจากการดาเนินชีวิตมกั จะแปรปรวนเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตา่ งๆบางทีก็ขดั แย้งกนั เอง ทงั้ นีอ้ าจจะเน่ืองมาจากไม่ได้เรียนรู้และคดิ อยา่ งมีระบบ จึงสรุปวา่ ปรัชญาเป็ นผลรวมของประสบการณ์ท่ีได้ผา่ นการพิจารณาไตร่ตรองอยา่ งรอบคอบ และได้กลายเป็ นหลกัแนวทางดาเนนิ ชีวิตของแตล่ ะบคุ คล พดู ให้ง่ายขนึ ้ ปรัชญาก็คือ การมองชีวิตของคนเรานน่ั เองการแสวงหาความรู้เก่ียวกับส่ิงต่างๆ ในโลกนนั้ สามารถทาได้ในสองรูปแบบอันได้แก่ การแสวงหาความรู้อย่างรอบด้าน และการแสวงหาความรู้เฉพาะส่วน การแสวงหาความรู้อย่างรอบด้านเป็ นการพยายามมองทุกส่ิงทุกอย่างในโลกนีโ้ ดยภาพรวมและไม่แยกแต่ละส่ิงแต่ละอย่างท่ีปรากฏรวมทงั้ ที่ไมป่ รากฏออกจากกนั เพ่ือให้เห็นสรรพสิ่งทงั้ หลาย ในลกั ษณะภาพรวมท่ีเช่ือมโยงกนั ซ่ึงทาให้ง่ายต่อการเห็นปัญหา และง่ายย่ิงกว่าเมื่อต้องการแก้ไขปัญหานนั้ การศึกษาหรือแสวงหาความรู้ในภาพรวมทกุ แง่มมุ เชน่ นีเ้รียกวา่ “ศาสตร์สากล” หรือ “ปรัชญา” นนั่ เอง ลองสงั เกตดเู มื่อคนเราประสบเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ในชีวิตก็มีการฉกุคิดและถามตวั เองวา่ “มนั คืออะไร” เหตใุ ดจงึ ต้องเป็ นเช่นนนั้ เรามีชีวิตอย่เู พื่ออะไร เราหาเงินไปทาไม อีกหนอ่ ยเราก็ต้องตาย เราจะเก็บเงินไปทาไม สาหรับชาวบ้านธรรมดาอาจจะไม่คิดมาก ตา่ งกบั บคุ คลบางคนท่ีมงุ่ มนั่ ท่ีจะหาคาตอบ เขาเหลา่ นนั้ ได้แก่ บรรดานกั ปรัชญาเมธีทงั้ หลาย บางท่านกลา่ ววา่ “มนั เป็นไปไมไ่ ด้ สาหรับมนษุ ย์ที่จะมีชีวติ อยโู่ ดยปราศจากปรัชญา” [2] ในการดาเนินชีวิตของคนเราต้องอาศยั หลกั ความเชื่อในอะไรบางอย่าง หลกั ความเชื่อเหล่านีจ้ ะเป็นตวั กาหนดคณุ คา่ ตา่ งๆ ในวิถีชีวติ ตงั้ แตก่ ารทางาน การเข้าสมาคม การแสวงหาความเพลดิ เพลิน ฯลฯ หลกั ความเช่ือเหลา่ นีจ้ ะจริงหรือไมเ่ พียงใดหรือจะเข้ากนั ได้กบั โลกและสิง่ แวดล้อมเพียงใด ก็สดุ แล้วแตใ่ ครจะยดึ หลกั อย่างไร ด้วยเหตนุ ีค้ นเราจงึ มีชีวิตในแบบตา่ งๆกนั คนแตล่ ะคนจะดาเนนิ ชีวิตไปตามปรัชญาชีวิตของคนตามทศั นะของตน หากวา่คนเราไมม่ ีหลกั ความเชื่อเหล่านี ้ ชีวิตจะดารงอยไู่ มไ่ ด้ เป็นชีวิตท่ีไร้ความหมายหลกั ความเช่ือหรือหลกั การมองโลก และชีวิตนีศ้ พั ท์ในทางปรัชญาเรียกสนั้ ๆ วา่ “โลกทศั น์” (world view) ปรัชญาใน

7ความหมายนีม้ ีนกั วชิ าการบางทา่ นเรียกวา่ “ปรัชญาทวั่ ไป” (general philosophy) ซง่ึ สว่ นหนงึ่ ได้กลายมาเป็ นหลกั ในการดาเนนิ ชีวิต เรียกว่า “ปรัชญาชีวิต”(philosophy of life) ข. ความหมายของปรัชญาในฐานะท่เี ป็ นศาสตร์ วิชาปรัชญามีวิวฒั นาการมายาวนาน หลกั ฐานแรกท่ีถือเป็นหนงั สือเร่ิมแรกของ วชิ าปรัชญา คอื คมั ภีร์พระเวทของอินเดยี ปรัชญาเริ่มต้นมาจากความสงสยั สิ่งรอบตวัได้แก่ วตั ถสุ ิง่ ของ ชีวติ ธรรมชาติ ความตาย พระเจ้า ความถกู ต้อง ความผิด เป็นต้น ในระยะแรกๆเป็นการแสวงหาคาตอบโดยใช้เหตผุ ลไมซ่ บั ซ้อน กาลตอ่ มากระบวนการคดิ ซบั ซ้อนและลกึ ซงึ ้ ขนึ ้ผลของความพยายามตอบปัญหาเหลา่ นีแ้ หละคอื งานทางปรัชญาก่อนที่จะมีวิชาการใดอบุ ตั ขิ นึ ้ความรู้ของมนษุ ย์ทกุ อยา่ งนนั้ เป็นปรัชญาทงั้ สนิ ้ ทางตะวนั ตกยกยอ่ งวา่ ทาเลส (Thales) เป็นบดิ าแหง่ วชิ าปรัชญา ปรัชญาจงึ เจริญขนึ ้ ท่ีกรีกโบราณเป็นครัง้ แรก ในสมยั นนั้ ไมม่ ีการแบง่ แยกวิชาการตา่ งๆ ออกเป็นสาขาอยา่ งในปัจจบุ นั ปรัชญาเป็นสาขาอยา่ งในปัจจบุ นั ปรัชญาเป็นคารวมของความรู้หลายอยา่ ง นกั วทิ ยาศาสตร์สมยั นนั้ เชน่ ทาเลส อริสโตเตลิ ้ เป็นต้น ก็คอื ปรัชญานนั่ เองภายหลงั วชิ ากากรตา่ งๆ เจริญขนึ ้ มีเนือ้ หากว้างขวางลกึ ซงึ ้ จนเป็นที่ยอมรับกนั ก็แยกตวั ออกมาเป็นวชิ าเฉพาะวชิ าแรกท่ีแยกตวั ออกมา คือ วชิ าศาสนา ในสมยั ฟื น้ ฟแู ละสมยั ใหม่ วิทยาศาสตร์ได้แยกตวั เป็นอสิ ระ ปลายศตวรรษท่ี19 สงั คมศาสตร์ก็ได้แยกออกเป็ นอสิ ระ หลงั สงครามโลกครัง้ ที่ 2จติ วทิ ยาก็แยกตวั ออกเป็ นอิสระ หลงั จากนนั้ ตอ่ มาก็มีวิชาอื่นๆ เกิดขนึ ้ ตามมา ล่าสดุ คาดหมายวา่วิชาตรรกศาสตร์จะแยกตวั เป็นอสิ ระ ค. ความหมายของปรัชญาตามรูปศัพท์ ศัพท์คาว่า “ปรัชญา” นี ้ พระเจ้ าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์(พระองค์วรรณ) ทรงบญั ญตั แิ ทน philosophy ในภาษาองั กฤษปรัชญามีรากศพั ท์เป็น ภาษาสนั สกฤต มาจาก ปร + ชญา ปร แปลว่า สูงสุดหรือประเสริฐชญา แปลว่า รู้ ปรัชญาจึงมีความหมายว่าความรู้สงู สดุ , ความรู้อนั ประเสริฐสุด ความรู้ที่ลึกซึง้ปรัชญาคานีต้ รงกบั ภาษาบาลีว่าปัญญา ซ่ึงแปลว่า ความรอบรู้ส่วน คาว่า philosophy นี ้มีรากศพั ท์มาจากภาษากรีก 2 คา คือ philo กบั Sophia คาวา่ philo หรือ philia แปลว่า รัก, ส่วนคาว่าsophia แปลวา่ ความฉลาด รอบรู้ เมื่อคา 2 คารวมกนั เข้าเป็ น philosophy แปลวา่ the love ofwisdom หมายถงึ ความรักในความรู้หรือความรักในความฉลาด ดงั นนั้ ศพั ท์ philosophy จึงเน้นท่ีกิจกรรมทางปัญญา อปุ นิสยั ใจคอ หรือกระบวนการแสวงหาความรู้ นกั ปรัชญา ได้แก่ ผ้แู สวงหาความใฝ่ รู้ เป็ นผ้ไู มห่ ยุดนิ่งแต่ถ้าเป็ น “ปรัชญา” ตามภาษาสนั สกฤต จะเน้นท่ีตวั ความรู้ที่สิน้ สงสยัแล้วเป็ นความรู้ที่ประเสริฐ มีลกั ษณะเป็ นศาสนาหรือลทั ธิท่ีบรรดาผ้ทู ี่เลื่อมใสศรัทธานบั ถือและ

8ยอมรับวา่ ไมม่ ีความรู้อ่ืนใดยง่ิ กว่า เพราะเป็ นความรู้ที่ถกู เชื่อว่าจะนาคนให้หลดุ พ้นสทู่ างประเสริฐเลิศคณุ มิใช่ “ความรู้เพื่อรู้” อย่างทางตะวนั ตก จานงค์ ทองประเสริฐ [3] ราชบณั ฑิต ได้สรุปไว้ดงั นี ้ “philosophy” กับปรัชญามีความหมายไม่ตรงกันนักก็เพราะว่า“ปรัชญาหมายถึงตัวปัญญา” ซ่ึงเป็ นตัวความรู้ที่เกิดหลังจากสิน้ จากความสงสัยแล้ว ส่วนphilosophy อยใู่ นขา่ ยแหง่ ความประหลาดหรือสงสยั อยู่ แตว่ า่ เม่ือใดความสงสยั ในส่ิงตา่ งๆ หมดไป มนั ก็จะสลายตวั จากความเป็น Philosophy ทนั ที” โดยสรุปจากความหมายตามรากศัพท์ของคาว่า “ปรัชญาไ และ“Philosophy” ดงั กลา่ วข้างต้น จะเห็นได้ถึงความแตกตา่ งระหว่างนิยามดงั กบา่ ว ความหมายของปรัชญาในภาษาไทยหมายถึงความรู้อนั เราควรแสวงหา ในขณะที่ความหมายของปรัชญาในภาษาองั กฤษหมายถึงความปรารถนาในการแสวงหาความรู้ แตอ่ ย่างไรก็ตาม จดุ หมายปลายทางของ “ปรัชญา” ทงั้ ในภาษาไทยและภาษาอกั ฤษ อยทู่ ่ีเป้ าหมายเดียวกนั คือ “ปรีชาญาณ” โดยผ่านกระบนการใช้ปัญญาเพ่ือไตร่ตรองและค้นหาคาตอบในสิ่งท่ียังเป็ นคาถามอยู่ ปรัชญาจึงเป็ นกระบวนการที่ใกล้ชิดอย่กู ับมนุษย์ตลอเวลาเพราะมนษุ ย์มกั จะสงสยั ใคร่รู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้อย่เู สมอมนุษย์มกั จะใช้กระบวนการทางความคิดเพีอแสวงหาคาตอบที่ตนสงสยั อย่ตู ลอดเวลา เพียงแต่วิธีการและกระบวนการอาจเปล่ียนแปลงไปตามยึคสมยั ของการศึกษาและเรียนรู้ปรัขญาเท่านนั้กระบวนการเกิดปรัชญาดงั กลา่ วเกิดขนึ ้ มาพร้อมกบั มนษุ ย์โดยธรรมชาติ โดยเหตดุ งั กลา่ วปรัชญาจงึ เป็ นส่ิงท่ีสมั พนั ธ์กบั มนษุ ย์มาตงั้ แต่อดีตกาล จนปัจจบุ นั และถึงอนาคต จึงอาจกล่าวได้วา่ เมื่อมนษุ ย์เกิดปรัชญาเกิด และในวนั ใดก็ตามที่สิน้ มนษุ ย์จากโลกนี ้ ปรัชญาก็จะดบั ตามมนษุ ย์ไปด้วยเชน่ กนั 1.1.2.2 เหตแุ ห่งการแสวงหาความจริง นกั ปราชญ์ผู้ฝักใฝ่ ในการแสวงหาความจริง เรียกกันว่านักปรัชญามีแรงจงู ใจให้ใฝ่ หาความจริงหลายประการ เชน่ 1) ความประหลาดใจ เมื่อสัตว์ชัน้ สูงตัวแรกพัฒนามาเป็ นมนุษย์ สมองเพ่ิงพฒั นาสงู กว่าสตั ว์ชนั้ สงู นนั้ เล็กน้อย ยงั คดิ อไรมากไม่ได้ จดุ เร่ิมต้นของการคิดคือความแปลกใจตอ่ ส่ิงที่พเห็นเฉพาะหน้าแตล่ ะครัง้ ปัญหาแรกเร่ิมคงเป็ นไปในทานองถามตวั เองว่า “นนั่ อะไร”แล้วก็เลือนหายไปจากความคดิ เม่ือพบอะไรที่เพิ่งเห็นเป็ นครัง้ แรกก็จะรู้สกึ ทานองเดียวกนั อกั เชน่เม่ือแรกเริ่มมนษุ ย์อาศยั อยแู่ ตใ่ นถา้ และออกมาหาอาหารกินในป่ าเป็ นครัง้ คราว การออกมาแตล่ ะ

9ครัง้ ดาเนินไปตามปกติ หาอาหาร ผลไม้ ล่าสตั ว์ป่ าเป็ นอาหารได้แล้วก็กลบั เข้าป่ าไป หากมีอยู่ครัง้ หน่งึ ท่ีเม่ืออกมาหาอาหาร ในขณะท่ีกาลงั จะจบั สตั ว์ป่ าก็เกิดเหตกุ ารณ์ประหลาดเสียงฟ้ าร้องได้เกิดขนึ ้ มนษุ ย์ผ้นู นั้ เกิดความตกใจแตไ่ มไ่ ด้คดิ อะไรมาก จงึ พยายามจะจบั สตั ว์อีกแตใ่ นครัง้ นีฟ้ ้ ากลบั มาผ่าเสียงดงั สนนั่ ทงั้ มนษุ ย์ผ้นู นั้ และสัตว์ป่ าตา่ งวิ่งหนีกระจดั กระจายไปคนละทิศคนละทางมนษุ ย์ผ้นู นั้ ก็ได้ว่ิงหนีเข้าถา้ ไป เปิ ดเป็ นประกายครัง้ แรกของความประหลาดใจก ซ่ึงเปรียบได้กบัมนุษยชาติยามพดบอะไรครัง้ แรกก็จะรู้สึกประหลาดใจเป็ นอันดับแรก แต่ความประหลาดใจดงั กล่าวมิได้หยุดอยู่แค่นัน้ หรือมิได้เลือนหายไปเหมือนดังเช่นสัตว์โลกชนิดอ่ืน เพราะความประหลาดใจดงั กลา่ วเป็นเหตเุ ร่ิมต้นของความสงสยั ใฝ่ รู้ อริสโตเติล้ เมธีผู้ยิ่งใหญ่ของกรีกได้กล่าวไว้ในหนังสือMetaphysics ว่าความประหลาดใจเป็ นเหตุให้มนุษย์ขบคิด ในเบือ้ งแรกมนุษย์เริ่มรู้สึกสนเท่ห์เกี่ยวกบั สิ่ง รอบๆ ตวั ตอ่ มาก็ขยายวงกว้างออกไปถึงปรากฎการณ์ของดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวในท้องฟ้ า ตลอดจนการเกิดของโลกและจกั รวาล ผ้ทู ่ีประหลาดใจจะรู้สกึ วา่ ตนกาลงั ตกอยู่ในความมืดมน สาหรับผ้ทู ่ีรักในปัญญาทงั้ หลายที่สนใจในเร่ืองลีล้ บั มหศั จรรย์ยอ่ มแสวงหาความจริง เพื่อท่ีจะได้รู้ มิใชเ่ พื่อความก้าวหน้า เป็ นที่ทราบกันแล้วว่ามนษุ ย์นอกจากแสวงหาส่ิงจาเป็ นและความสะดวกสบายในชีวิตมนุษย์ยงั มีการแสวงหาความรู้เพ่ือความกระจ่างซึ่งเป็ นความรู้ที่อิสรเสรี คือ เป็ นความรู้เพื่อรู้เท่านนั้ เอง แม้ว่าความรู้ในแขนงอ่ืนจะมีความจาเป็ นมากกว่าก็ตามแตไ่ มม่ ีความรู้ใดที่จะวิเศษไปกว่าปรัชญาเลย [4] ปรัชญาตะวนั ตกได้เร่ิมต้นท่ีประเทศกรีก เพราะทาเลสเกิดความประหลาดใจเกี่ยวกับกาเนิดของโลกและจกั รวาล ทาเลสอยากรู้ความจริง เขาจึงเริ่มตรึกตรองและสงั เกตส่งิ ตา่ งๆ รอบตวั เขาคาดคะเนว่าโลกนีค้ งจะมาจากนา้ นา้ เป็ นแก่นสารของโลก เพราะทกุ อยา่ ง ในโลกนีอ้ าศยั นา้ และเกิดจากนา้ ทงั้ สิน้ เพลโตนกั ปรัชญาคนสาคญั ของกรีกก็เริ่มต้นค้นหาความจริงจากความประหลาดใจเก่ียวกบั โลกและสิง่ ตา่ งๆ ในโลก ในสมยั ดกึ ดาบรรพ์ มนษุ ย์เรามีความเป็ นอยใู่ กล้ชิดธรรมชาตมิ ากต้องตอ่ ส้กู บั ธรรมชาตเิ พ่ือความอยรู่ อดและความรู้ในเรื่องธรรมชาตกิ ็จากดั เชน่ ไมร่ ู้วา่ ลมคืออะไร พระอาทิตย์และดวงดาวคืออะไร อะไรคือต้นสายปลายเหตขุ องปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ มนษุ ย์ได้ใช้ความพยายามหาคาตอบเก่ียวกบั สิง่ เหลา่ นี ้ จดุ นีเ้องท่ีแนวคดิ ปรัชญาเริ่มเตบิ โตขนึ ้ ขนึ ้ ในสมยั โบราณ เมื่อหาคาตอบเก่ียวกบั ธรรมชาตไิ ม่ได้ ก็ยกให้เป็นผลงานของเทพเจ้าและภตู ผิ ี ปี ศาจ เมื่อเวลาลว่ งมาความรู้เจริญขนึ ้ มนษุ ย์ก็เข้าใจกฏเกณฑ์ของธรรมชาตมิ ากขนึ ้ เม่ือมีเวลามนษุ ย์ก็หนั มาสนใจกบั ตวั เอง และหาคาตอบวา่ “ตวั เองคือใคร เกิดมาทาไมตายแล้วจะไปไหน อะไรคือจดุ หมายปลายทางของมนษุ ย์” และเม่ือสงั คมมนษุ ย์เจริญขนึ ้

10วฒั นธรรมและความเป็นอยสู่ ลบั ซบั ซ้อนขนึ ้ ปัญหาตา่ งๆ ก็เกิดมากขนึ ้ เป็ นเงาตามตวั เมื่อมีปัญหามนษุ ย์ก็มกั จะถามวา่ “สง่ิ นนั้ คอื อะไร ทาไมเป็นอยา่ งนนั้ มนั เกิดขนึ ้ มาได้อยา่ งไร” และได้ใช้วริ ิยะและสติปัญญาทาให้เกิดเป็นระบบปรัชญาแขนงตา่ งๆ ขนึ ้ ในโลก 2) ความสงสัยใฝ่ รู้ มนุษย์เรามีความสงสัยในส่ิงที่รู้แล้ว เพ่ือความกระจ่างแนน่ อน มนษุ ย์จงึ ต้องตรวจสอบความจริงและเมื่อย่ิงตรวจสอบก็ทาให้ย่ิงรู้เพ่ิมขนึ ้ ปัญหาหนึ่งก็มีคนคิดเห็นแตกตา่ งกนั ออกไป บางคนเห็นด้วย บางคนก็คดั ค้าน เชน่ เดส์คาร์ตส์ นกั ปรัชญาชาวฝร่ังเศสผ้ไู ด้รับการยกย่องว่าเป็ นบิดาแห่งปรัชญาสมยั ใหม่เร่ิมคิดทฤษฎีปรัชญาจากความสงสยั เขาสงสยั วา่ อะไรเป็ นความรู้ท่ีแท้จริงเขาสงสยั แม้กระทง่ั ส่ิงท่ีเขาเห็นด้วยตานนั้ มนั เป็ นจริงหรือเทจ็ เพราะบางครัง้ สง่ิ ท่ีเราเหน็ เป็นเพียงภาพลวงตา แม้กระทงั่ ความจริงบางอยา่ งท่ีเคยเช่ือกนัก็อาจจะผดิ พลาด เขาจงึ เร่ิมต้นปรัชญาด้วยการสงสยั ทกุ สง่ิ ทกุ อย่าง เป็นต้น ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ก็เริ่มต้นปรัชญาของเขาจากความสงสยั ว่าอะไรคือความจริง เพราะเขาไม่เช่ือมน่ั ในคาสอนของบาทหลวงในศาสนาคริสต์เป็ นเหตุให้ เขาปฏิรูปปรัชญาแบบใหม่ขึน้ โดยเน้ นวิทยาศาสตร์เพราะเขาเชื่อม่ันว่าวิทยาศาสตร์ให้ความจริงท่ีแนน่ อนและต้องอยบู่ นพืน้ ฐานของประสบการณ์ซง่ึ พสิ จู น์และตรวจสอบได้ อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanual Kant) นักปรัชญาคนสาคญั ชาวเยอรมนั อีกผ้หู นง่ึ ที่คดิ ระบบปรัชญาขนึ ้ มาจากความสงสยั ทงั้ นีเ้พราะเขาไม่แน่ใจระบบความจริงแบบประสบการณ์นิยมของเดวิด ฮิวม์ และเชื่อมนั่ ระบบความรู้แบบเหตผุ ลนิยมของเดส์คาร์ตส์ ไลบ์นิช และสปิ โนซา่ ในสมยั ที่มนษุ ย์เจริญขนึ ้ วฒั นธรรมหรือความเป็นอยรู่ วมทงั้ สิง่ ตา่ งๆ รวมตวั มนษุ ย์สลบั ซบั ซ้อนขนึ ้ ทาให้มนษุ ย์เกิดความสบั สนลงั เลใจต้องคดิ ค้นหาคาตอบ มนษุ ย์จงึ หาทางปรับปรุงให้ได้สงิ่ ท่ีดีขนึ ้ การพยายามทาความรู้และความจริงให้กระจา่ งน่ีเอง ทาให้เกิดระบบปรัชญาตา่ งๆมีทงั้ ลกั ษณะที่คล้ายกนั และขดั แย้งกนั จงึ สามารถสรุปได้ว่าผลจากความประหลาดใจเมื่อได้พบบางอย่างในครัง้ แรกนนั้ เป็ นเหตุเริ่ต้นทาให้มนุษย์เกิดความสงสัยใฝ่ รู้ว่าเหตุกาณ์ดงั กล่าวที่ได้ประสบนนั้ เกิดจากสิ่งใด และเกิดขึน้ ได้อย่างไร ความสงสยั ใฝ่ รู้เป็ นการเร่ิมต้นคาถามเพื่อค้นหาคาตอบเม่ือเกิดความสงสยั ใฝ่ รู้จงึ ทาให้มนษุ ย์เกิดการหวนคิดขนึ ้ ตอ่ ไปเป็ นลาดบั ตอ่ ไป

11 3) เกดิ จากกการหวนคิด การเกิดคาถามและความต้องการแสวงหาคาตอบของมนษุ ย์ทาให้เกิดความพยายามในการหวนคดิ ตามสญั ชาตญาณของมนษุ ย์ซง่ึ แตกตา่ งไปจากสตั ว์กลา่ วคือเมื่อสตั ว์พบเจอสงิ่ ใดท่ีผดิ แผกแปลกไปกวา่ ธรรมชาตทิ ่ีควรจะเป็น สตั ว์ก็อาจจะบนั ทึกความทรงจานนั้ ไว้ก แตอ่ ยา่ งไรก็ตามมิได้มีการหวนคิดเพื่อแสวงหาคาตอบดงั เชน่ มนษุ ย์ เพราะเมื่อมนษุ ย์พบเห็นอะไรที่ไมเ่ ข้าใจ แม้เวลาจะผา่ นพ้นไปแล้วก็ยงั รู้จกั หวนคิดทบทวนถึงเหตกุ ารณ์ที่มีประสบการณ์มา แล้วไตร่ตรองเพื่อแสวงหาคาตอบตอ่ ไปโดยใช้เหตผุ ลซง่ึ เป็นความสามารถอนัสาคญั ของมนษุ ยฺ 4) เกิดจากความสามารถในการใช้เหตผุ ล มนุษย์มีความสามารถในการใช้เหตผุ ล (Human is arational being) มีความสามารถในการใช้กระบวนการคิดซง่ึ นาไปส่ปู ัญญา ดงั นนั้ เมื่อมนษุ ย์เกิดความประหลาดใจ สงสยั ใคร่รู้ และหวนคดิ หลายๆ ครัง้ แล้ว ในท้ายที่สดุ มนษุ ย์ก็จะนาเอาประสบกาณ์ตา่ งๆ ทงั้ หลายมาวิเคราะห์และผนวกตามหลกั การของเหตผุ ลจนสามารถหาคาตอบได้ตามกระบวนการท่ีถกู ต้องและเป็นคาตอบท่ีต้องการได้ในท่ีสดุ ปรัขญาจึงมีมูลเหตเุ กิดมาจากความประหลาดใจ ความสงสยั ใฝ่ รู้ การหวนึคิด และการใช้เหตผุ ล ซ่ึงกระกวการเกิดปรัชญาจึงเป็ นไปตามหลกั การอนั เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของมนษุ ย์ ความอยากรู้อยากเห็นดงั กล่าวทาให้เกิดข้อสงสยั และความพยายามหาคาตอบโดยกระบวนการใช้เหตผุ ลซงึ่ มีอยใู่ นตควั อมนษุ ย์ทกุ คนในท้ายที่สดุ 5) การแสวงหาหลักยดึ เกิดขนึ ้ มาเนื่องจากความจาเป็ นในชีวิตท่ีจะต้องแก้ปัญหาเพ่ือความอยรู่ อดหรือประคบั ประคองชีวิตให้ดารงอยู่ เป็นผลสะท้อนให้เกิดหลกั ความจริงท่ีเป็นหลกั ยดึ ในการดารงอยขู่ องคนเราจะต้องมีหลกั ยดึ หรือปรัชญาชีวิตที่ทาให้มนษุ ย์มีท่ีพ่ึง มีความสขุและประสบความสาเร็จในระบบปรัชญาปฏิบตั ิตาม(pragmatism) จะเห็นชดั วา่ มงุ่ แสวงหาหลกัความจริงท่ีเป็ นประโยชน์แก่ชีวิตและการงานของมนษุ ย์ พวกนีเ้หน็ วา่ ความคดิ หรือความเช่ือใดท่ีอานวยประโยชน์หรือแก้ ปัญหาได้เป็ นความจริงแท้ ประเสริฐสดุ

12 1.1.2.3 ลักษณะสาคัญของปรัชญาในการแสวงหาความจริง 1) ปรัชญามีลักษณะวพิ ากษ์ ดงั ได้กล่าวมาแล้วว่าปรัชญาเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ บางทีความอยากรู้อยากเห็นนนั้ เกิดขึน้ เพราะมนุษย์ต้องการหาความรู้เพื่อท่ีจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของชีวิต เช่น เราอยากรู้ว่าทาอยา่ งไรต้นข้าวท่ีปลูกไว้จึงจะให้ผลิตผลมากๆแตบ่ างทีความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์มิได้เกิดขึน้ เพราะความต้องการอย่างนนั้ ทาเลสบิดาแห่งปรัชญาอยากรู้ธาตุแท้ของโลกเพียงเพราะต้องการรู้โดยมิได้หวังผลอะไรเป็ นกิจจะลกั ษณะมนษุ ย์จะกาเนิดมาอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ความจริงท่ีปรากฏอย่กู ็ถือวา่ ความอยากรู้อยากเห็นและการซกั ไซร้ไล่เลียงไปเร่ือยๆ อย่างไม่มีทึ่สิน้ สดุ เป็ นธรรมชาติอนั หนึ่งของคนเรา และปรัชญาก็ได้เกิดขนึ ้ เพราะเหตนุ ี ้ ปรัชญฯจะซกั ถามทกุ อย่างท่ีจะซกั ได้ เหตผุ ลเป็ นเคร่ืองมือของนกั ปรัชญาท่ีจะวิพากษ์วิจารณ์ทกุ ส่ิงทกุ อยา่ ง เดการ์ต(Descartes 1590-1650) เป็ นตวั อย่างท่ีดีอนั หนึ่งที่ชีใ้ ห้เห็นลกั ษณะวิพากษ์และปรัชญา ฮมู (David Hume 1711-1776)ก็เหมือนกนั การวิพากษ์ของฮมู ได้ท้าทายวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นัน้ ตงั้ อยู่บนถืน้ ฐานของวิธีการอุปนัย ถ้าวิธีการนีเ้ ช่ือไม่ได้วทิ ยาศษสตร์ก็ไมม่ ี และฮมู เป็นผ้วู จิ ารณ์ความถกู ต้องของวิธีการอนั นี ้ เราโดยทวั่ ไปเช่ือวา่ สิ่งที่เราเห็นและจบั ต้องได้เทา่ นนั้ ที่เป็ นจริง เพลโต(Plato 427-347 B.C.) ได้วิพากษ์ความเชื่ออนั นี ้ เขาไม่มีเคร่ืองมืออะไรนอจากเหตผุ ล แต่กระนนั้ ก็มีผ้อู ่านเป็ นจานวนไม่น้อยที่ได้อ่านทศั นะของเพลโตแล้วชกั สงสยั ความเชื่อเดมิ ของตวา่ จะเป็นจริงหรือไม่ หรือวา่ โลกของแบบของเพลโตนนั้ จริงกว่า[7] 2) ปรัชญาเป็ นปัญหาพนื้ ฐาน กระบวนการวิพากณษ์ซ฿งมีลักษณะวิพากษ์นัน้ เป็ นการวิพากษ์ในประเด็นปัญหาพืน้ ฐาน ซ่ึงหมายถึงพืน้ ฐานอนั เป็ นสากลของมนุษย์ทุกคน เป็ นปัญหาท่ีมนุษย์ทุกคนต้องเก่ียวข้องด้วย อันได้แก่ ปัญหาในการแสวงหาความจริงของชีวิตว่าความจริงของชีวิตคืออะไร ปัญหาเรื่องเจตจานงเสรีวา่ มนษุ ย์แตล่ ะคนมีเจตจานงเสรีหรือไม่ หรืออุดมคติของชีวิตมนุษย์คืออะไร เป็ นต้น ปัญหาต่างๆ เหล่านีล้ ้วนเป็ นคาถามอนั เกิดขึน้ เพื่อหาคาตอบที่เป็ นพืน้ ฐานอนั จะนาไปสู่กฏเกณฑ์หรือข้อปฏิบตั ิอื่นๆ ในการปฏิบตั ิหรือกระทาในทางสงั คม 3) ลักษณะแสวงหาโลกทัศน์ ปรัชญาเกิดขึน้ เพราะความต้ องการหาคาตอบหรื อแนวทางท่ีเหมาะสมและสมเหตสุ มผลมากท่ีสดุ เม่ือปรัชญาเป็นปัญหาพืน้ ฐาน ดงั นนั้ มนษุ ย์ทกุ คนซง่ึ อย่ใู นโลกของปรัชญาจึงต้องพยายามที่จะตอบคาถามโดยการแสวงหาคาตอบอนั เป็ นพืน้ ฐานตามความคดิ และความเช่ือของตน หลงั จากพยายามหาคาตอบของปัญหาพืน้ ฐานแล้ว บางคนก็

13ยงั ยืนหยดั อยใู่ นความเชื่อเดมิ เพราะคาตอบที่ได้สอดคล้องกบั ความเชื่อเดิม ในยขณะที่หลายคนก็ได้พบว่าความเช่ือเดิมที่เคยมน่ั ใจนนั้ มิได้ทางออกหรือทางเลือกหรือคาตอบที่ถูกต้องที่สุด ยงั มีคาตอบและทางเลือกอื่นอีกมากมายท่ีเป็ นคาตอบท่ีดีได้ ความเชื่อดงั กล่าวนน่ั เองที่เรียกว่าโลกทศั น์ โลกทศั น์คือความเชื่ออนั เป็ นระบบซี่งเป็ นทรรศนะพืน้ ฐานของบคุ คลคนนัน้ หากบคุ คลใดมีโลกทศั น์เป็ นแบบใดแล้วเป้ าหมายในชีวิต การดาเนินชีวิต และกระบวนการคิดของบุคคลนนั้ ก็จะเป็ นไปตามโลกทศั น์ของเขาด้วย ดงั นนั้ โลกทศั น์จึงเป็ นตวั กาหนดทิศทางชีวิตของแต่ละคน ในขณะเดียวกนั โลกทศั น์ก็เป็นตวั กาหนดทิศทางของสงั คมนษุ ย์ด้วย 1.1.2.4 เนือ้ หาและขอบเขตของการแสวงหาความจริงในทางปรัชญา การค้ นหาความจริงในทางปรัชญานัน้ สามารถแบ่งเป็ นประเดน็ หลกั ใหญ่ๆ ได้ 3 ประเดน็ ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) ความจริงคืออะไร (อภปิ รัชญา) ความจริงอาจจะเป็ นปรากฎการณ์ท่ีจบั ต้องได้ในโลกนี ้หรืออาจเป็ นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถจับต้องได้ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ ความจริงท่ีเรียกว่าอภิปรัชญามาจากภาษาองั กฤษว่า metaphysic คาว่า meta แปลว่า หลงั หรือ เลยไป physicหมายถึง สง่ิ ที่เราสามารถรับรู้ทางประสาทสมั ผสั ปัจจบุ นั นิยมแปลคาวา่ อภิปรัชญา วา่ สจั จภาวะหรือความจริงสงู สดุ คาตอบพืน้ ฐานคือ What is reality? ถ้าสิ่งทงั้ หลายมีสภาพตามท่ีมนั ปรากฏก็จะไมเ่ ป็ นปัญหา แตบ่ างครัง้ สิ่งท่ีปรากฏกลายเป็ นภาพลวงตา มีความจริงลกึ ซงึ ้ ซ่อนอยู่ อาจเป็ นอะไรก็ตามเป็นจิตหรือวิญญาณ หรือพระเจ้า ในพระพทุ ธศาสนาเช่ือวา่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือความจริงแท้ เนือ้ หาอภิปรัชญามีขอบเขตกว้างขวางมาก อาจแบง่ เป็ นหลายสาขา มีทฤษฎีอธิบายความจริงแท้ หรือสจั ภาวะหลายทฤษฎี ทฤษฎีสาคญั ได้แก่ ทฤษฎีจิตนิยมทฤษฎีสสารนิยม ทฤษฎีธรรมชาตนิ ยิ ม 2) เรารู้จักความจริงใช้ได้อย่างไร (ญาณวทิ ยา) เรารู้จกั ความจริงได้อย่างไร (How to know the reality?) เม่ือมนษุ ย์เป็นสว่ นหนึง่ ของจกั รวาล หรือโลก ซ่งึ เป็ นความจริงแท้เกี่ยวข้องสมั พนั ธ์กบั ตวั มนษุ ย์มนษุ ย์จะเข้าใจชีวติ ของตวั เองอยา่ งสมบรู ณ์ไมไ่ ด้ ถ้าหากเราไมเ่ ข้าใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ย์กบั โลกญาวิทยาจึงพยายามหาความจริงเก่ียวกับบ่อเกิดของความจริง หรือความรู้ที่ถกู ต้อง โดยสรุปสามารถจาแนกทศั นะสาคญั ได้ 3 ทศั นะ ดงั นี ้ (1) ทศั นะแรก เห็นวา่ มนษุ ย์มีสตปิ ัญญา มนษุ ย์มีลกั ษณะพิเศษโลกและสรรพสิ่งมีอย่สู าหรับมนษุ ย์ท่ีจะใช้ความคดิ โลกและสรรพส่ิงเป็ นท่ีสาหรับมนษุ ย์จะดื่มด่า

14สจั ธรรมอนั อมตะ มนษุ ย์มีเคร่ืองมือ ติดตวั มาตงั้ แต่เกิด สิ่งนนั้ คือ เหตผุ ลและปัญญา จดุ หมายแท้จริงของชีวิตคือ สจั ธรรม สจั ธรรมมิได้เกิดจากร่างกายมนุษย์ทาความสมั พนั ธ์กับโลกวตั ถุแตเ่ กิดจากจิตของมนุษย์ได้หยง่ั รู้สจั ธรรม หรือความจริงอนั มีอย่ใู นโลกอดุ มคติปัญญาที่ดื่มด่าในสจั ธรรม จงึ มีคณุ คา่ สงู สดุ มนษุ ย์มีชีวิตอยเู่ พื่ออยพู่ ้นจากอานาจวตั ถุ และเข้าถึงสจั ธรรม (2) ทศั นะท่ีสอง เห็นวา่ มนษุ ย์สมั พนั ธ์กบั โลกและสรรพส่ิง โดยโลกและสรรพส่ิงนนั้ ช่วยทาให้ชีวิตมนษุ ย์สขุ สบายขนึ ้ วิเคราะห์จากความรู้ที่มนษุ ย์สมั พนั ธ์กบั โลกและสรรพส่ิง มนษุ ย์รู้จกั โลก และสรรพสิ่งจากประสบการณ์ มนษุ ย์มีอายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิน้กายที่สมั ผสั กบั โลก มนษุ ย์ต้องใช้ประสาทสมั ผสั จงึ เข้าถึงความจริง ความจริงนีจ้ ะช่วยให้มนษุ ย์ตกัตวงความสขุ สบาย (3) ทศั นะที่สาม ให้ความสาคญั แก่ความรู้สึกมากกว่าความรู้หรือความจริงพวกนีเ้หน็ วา่ ความรู้สกึ ทาให้มนษุ ย์รู้จกั ความจริงมากกวา่ ความรู้ เขาถือว่าความจริงคือความรู้สึกความรู้สึกเป็ นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างมนุษย์กับโลก ความรู้สึกบางทีก็แสดงออกในรูปของศรัทธาที่มีต่อศาสนา บางทีในรูปของความชื่นชมต่อศลิ ปะ โลกของบุคคลเหลา่ นีเ้ป็นโลกของศลิ ปินกบั นกั บญุ 3) เราควรปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริง อย่างไร (อรรฆวิทยา) เราควรปฏิบตั ิตนให้สอดคล้องกบั ความจริงอยา่ งไร (How toact according to the reality?) เน่ืองจากมนษุ ย์ยงั ต้องสมั พนั ธ์กบั มนษุ ย์ด้วยกนั และยงั สมั พนั ธ์กับส่ิงต่างๆ ในเชิงคุณค่า ในเชิงสุนทรียภาพ รวมถึงวิธีหาเกณฑ์และการตรวจสอบความสมเหตสุ มผลของความเช่ือดงั กล่าวรวมเรียกว่า อรรฆวิทยา (Axiology) ซ่ึงอาจแบ่งเป็ นหวั ข้อสาคญั ดงั นี ้ (1) แสวงหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์กับพฤติกรรมของตนเองเช่นอะไรคือส่ิงดีสาหรับชีวิต อะไรคืออุดมคติชีวิต มนุษย์ควรแสวงหาอะไร มีหลายทัศนะที่มีความเห็นเก่ียวกับประเด็นนี ้เช่น พวกสุขนิยมมีทศั นะว่ามนุษย์เกิดมาพึงแสวงหาความสขุ กลุ่มศานตินิยมมีทศั นะว่า มนษุ ย์ควรแสงหาความสงบ กล่มุ อตั ถิภาวะนิยมมีทศั นะให้มนษุ ย์แสวงหาตนเอง ส่วนกลุ่มมนุษย์นิยมรอมชอมระหว่าง 3 สิ่ง คือ ความสุข ความสงบและความรู้สึกนอกจากนีใ้ นการแสวงหาสิ่งดีให้กบั ตนเองเรายงั ต้องคิดถึงผ้อู ่ืน เกิดประเด็นท่ีจะต้องหาความจริงในประเดน็ ตอ่ มาวา่ เราควรทาอย่างไรกบั ผ้อู ่ืน การแสวงหาความจริงเก่ียวกบั ชีวิตมนษุ ย์ท่ีสมั พนั ธ์กบั ตวั เองและผ้อู ื่นนีเ้รียกวา่ จริยศาสตร์ (Ethics)

15 (2) แสวงหาความจริงเก่ียวกบั สนุ ทรียภาพ ความสวย ความสงบความไพเราะ ความซาบซงึ ้ ถือเป็นคณุ คา่ ทางด้านจิตใจ เรียกวา่ สนุ ทรียศาสตร์ (Aesthics) (3) แสวงหาความจริงเพื่อตรวจสอบความเชื่อ รวมทงั้ คุณค่าท่ียดึ ถือวา่ ถกู ต้อง หรือไม่ มีเหตผุ ลหรือไม่ เรียกวา่ ตรรกศาสตร์ (Logic 1.1.2.5 คุณค่าของการค้นหาความจริง ปรัชญามีคณุ ค่าอย่างไรนนั้ ในที่นีจ้ ะขอนาเสนอทศั นะของเอพคิ วิ รัสซง่ึ เป็นนกั ปรัชญาเมธีคนสาคญั ของกรีกกลา่ ว[5]ดงั นี ้ “เมื่อยงั หน่มุ อยู่ ก็ขออย่าได้ละเลยในการที่จะศกึ ษาปรัชญาเลย และเมื่ออยใู่ นวยั ชราก็ขออยา่ ได้ท้อแท้เบื่อหนา่ ยในการศกึ ษาปรัชญาเชน่ กนั ทงั้ นี ้ก็เพราะว่าไมม่ ีใครเลยที่จะสามารถหาเวลาท่ีเหมาะสม หรือที่สายเกินไปในอนั ที่จะศกึ ษาเก่ียวกบั สขุ ภาพแห่งจิตของเขาได้ และผ้ทู ่ียืนยนั ว่ายงั ไมถ่ ึงเวลาที่จะศกึ ษาปรัชญา หรือกาลเวลาที่จะศึกษาปรัชญาได้ผา่ นพ้นไปเสียแล้วอย่างใดอยา่ งหนงึ่ นนั้ ก็คล้ายๆ กบั คนที่ควรจะพดู ว่ายงั ไม่ถึงเวลาท่ีเราจะได้รับความสขุ สาราญ หรือว่าสายเกินไปเสียแล้ว ท่ีจะมีความสขุ ดงั นนั้ ทงั้ คนหนมุ่ คนสาว คนเฒา่ และคนแก่ ก็ควรจะศกึ ษาปรัชญาด้วยกนั ทงั้ นนั้ คนหนมุ่ สาวศกึ ษาก็เพื่อว่าเมื่อเขาแก่เฒ่าเขาก็จะเป็ นหน่มุ เป็ นสาวกระชุ่มกระชวยในส่ิงที่ดีงามหลายๆ อย่างได้ โดยอาศยั ความพอใจอนั เกิดจากการย้อนระลกึ ถึงความหลงั และสาหรับคนเฒา่ คนแก่ก็เพ่ือวา่ เขาอาจจะเป็ นคนหน่มุ และคนสาว เป็ นคนเฒา่ และคนแกไ่ ด้พร้อมๆ กนั ในเวลาเดียวกนั ได้ ทงั้ นีก้ ็เพราะว่าเขาจะไม่มีความหวาดวิตกใดๆเกี่ยวกบั อนาคตเลย” คณุ คา่ แหง่ ปรัชญานนั้ สว่ นมากเราจะแสวงหาได้ก็ในความไมจ่ ริงจงั แนน่ อนของมนั นนั่ เอง ผ้ทู ่ีไม่มีหวั ในทางปรัชญาเลยจะปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปวนั หน่ึงๆ อย่างเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยากนั ซึ่งเป็ นเรื่องที่เกิดจากสามญั สานึกบ้าง เกิดจากความเชื่อถืออนั ติดเป็ นนิสยัสนั ดานที่มีอยใู่ นยคุ ของเขา หรือในชาตขิ องเขาบ้าง และเกิดจากความแนใ่ จที่เจริญขนึ ้ ในจิตใจของเขา โดยท่ีเหตผุ ลที่สขุ มุ ลกึ ซงึ ้ ของเขามิได้ให้ความร่วมมือหรือยินยอมเห็นชอบด้วยเลยบ้าง สาหรับบุคคลประเภทนีโ้ ลกดเู หมือนจะกลายเป็ นส่ิงท่ีแน่นอน มีท่ีสิน้ สุด ปรากฏเห็นอย่างแจ่มชัด สิ่งสามญั ธรรมดาทงั้ หลายหาได้กอ่ ให้เกิดปัญหาใดๆ ขนึ ้ มาไม่ และความอาจเป็ นไปได้ที่เราไมค่ อ่ ยจะได้ค้นุ หูค้นุ ตานกั นนั้ ย่อมถกู พวกเขาปฏิเสธอย่างเหยียดหยาม แต่ตรงกันข้าม พอเราเร่ิมมองเห็นเป็ นปรัชญาออกมาเราก็จะพบว่า แม้ส่ิงท่ีเราพบเห็นอยู่ทุกๆ วันที่เป็ นธรรมดาอย่างท่ีสุด ก็จะนาไปสปู่ ัญหาตา่ งๆ ซง่ึ แตล่ ะปัญหาจะได้รับคาตอบเพียงแง่เดียวเทา่ นนั้ หาคาตอบท่ีสมบรู ณ์จริงๆไม่ได้เลย ปรัชญาแม้จะไมส่ ามารถบอกความจริงให้เราทราบได้จริงๆ ว่า อะไรคือคาตอบที่ถกู ต้องตอ่ ปัญหาที่ความสงสยั ได้กอ่ ให้เกิดขนึ ้ แตม่ นั ก็สามารถแนะให้เราเห็นความอาจเป็ นไปได้มากมาย

16ซึ่งจะทาให้ความคิดของเราขยายตวั กว้างขวางออกไป และจะปลดเปลีย้ องเราให้เป็ นอิสระจากขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีต่างๆ ที่บีบรัดตวั เราอยู่ ดงั นนั้ เม่ือปรัชญาทาให้ความรู้สึกเกี่ยวกับความจริงแท้ของเราที่วา่ ส่ิงทงั้ หลายคืออะไรกนั แน่ลดน้อยลงได้ มนั ก็ย่อมได้ชื่อว่าเพ่ิมพนู ความรู้ของเราให้มีทวีคณู มากขึน้ ว่า มนั จะขจดั อะไรบางอย่างที่เป็ นความรู้สึกท่ีคอ่ นข้างจะอวดดือ้ ถือดีเกินวิสยั ท่ีจะเข้าใจได้ของผ้ทู ่ีไม่เคยเดนิ ทางเข้าไปสเู่ ขตแดนแหง่ ความสงสยั เสรีให้หมดไปได้ และจะทาให้ความรู้สกึ ประหลาดใจของเรา มีชีวิตชีวาอยเู่ สมอ โดยการแสดงส่งิ ตา่ งๆ ที่เรารู้จกั ค้นุ เคยดีแล้วนนั้ ในแงท่ ี่เราไมค่ อ่ ยจะค้นุ เคยนกั “นอกจากประโยชน์ในการแสดงให้เห็นความอาจเป็ นไปได้ที่คาดไม่ถึงแล้ว ปรัชญายังมีคุณค่าซึ่งบางทีจะนับว่าเป็ นคุณค่าท่ีสาคัญ ย่ิงก็ได้ ทัง้ นีต้ ามความสาคญั ของเร่ืองที่ปรัชญาคิดคานงึ ถึง และโดยอาศยั ความเป็ นอิสระจากวตั ถปุ ระสงค์ท่ีแคบๆเป็ นส่วนตวั ซึ่งเป็ นผลมาจากความคิดคานึงนี ้ชีวิตมนษุ ย์ท่ีดาเนินไปตามสญั ชาตญิ าณนนั้ จะถกูกกั อยใู่ นวฏั จกั รแห่งผลประโยชน์ส่วนตวั นี ้ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงครอบครัวและเพื่อนฝงู ด้วย แต่ทัง้ นีม้ ิได้เพ่งถึงโลกภายนอกเว้นเสียแต่ว่า มันจะช่วยหรือกักส่ิงที่เข้ามาสู่วัฎจักรแห่งความปรารถนาตามสญั ชาตญาณนนั้ ในชีวิตแบบนีม้ ีอะไรบางอย่างที่ไม่คอ่ ยสมบรู ณ์และถูกจากดั จาเขี่ยอยู่ ทงั้ นีเ้ มื่อเอาไปเปรียบเทียบกบั ชีวิตแบบของนกั ปรัชญา ซ่ึงมีอะไรบางอย่างท่ีสงบและเป็ นเสรีแล้ว โลกแห่งผลประโยชน์ส่วนตวั อนั เป็ นไปตามสญั ชาตญาณนนั้ ก็เป็ นโลกเล็กๆ ที่เราเอาไปวางไว้ทา่ มกลางแหง่ โลกที่ทรงอานาจและย่ิงใหญ่นี ้ซ่งึ จาทาลายโลกส่วนตวั ของเราให้เป็ นภสั มธุลีไปได้นอกเสียจากว่าเราจะขยายผลประโยชน์ของเราออกไปครอบคลุมภายนอกไว้ได้ทัง้ หมดเท่านัน้ เราจึงจะคงรักษาตัวอยู่ได้ โลกแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวนัน้ ก็คล้ ายๆ กับกองทหารรักษาการณ์อย่ใู นป้ อมท่ีถูกล้อม ซึ่งทราบดีว่าข้าศึกได้ล้อมไว้ทกุ ด้าน ไม่ให้ตนหลบหนีไปได้ และที่สดุ ก็จะต้องยอมจานนอยา่ งที่จะหลีกเลี่ยงมไิ ด้ ในชีวิตแบบนี ้ยอ่ มหาสนั ตสิ ขุ มิได้ จะมีก็แตก่ ารตอ่ ส้อู ยตู่ ลอดเวลา ระหว่างความรบเร้าแห่งตณั หา และความกะปลกกะเปลีย้ แหง่ พลงั ใจ ถ้าหากว่าชีวิตของเราเป็ นชีวิตที่ย่ิงใหญ่และเป็ นอิสรเสรีละก็ เราก็จะต้องหลบหนีจากท่ีคมุ ขงั นีแ้ ละจากการตอ่ ส้นู ีไ้ ปได้ ไมโ่ ดยวิธีใดก็วิธีหนงึ่ อยา่ งแนน่ อน” [6] เราสามารถประมวลคณุ คา่ ของการแสวงหาความจริงได้ดงั นี ้ 1) ทาให้รู้จักมองปัญหาท่ีปัญหาแรกหรือปัญหาพืน้ ฐาน การดาเนินชีวิตอยู่ในโลกตงั้ แต่ในอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ทาให้มนษุ ย์ได้พบกบั คาถามตา่ งๆ มากมาย ปัญหาที่ยงั เป็ นปัญหาดงั กล่าวเป็ นปัญหาท่ียงั ไม่สามารถหาทางแก้ไขได้วิธีการแก้ปัญหาตา่ งๆ ไม่สามารถหมดไปได้หากเราเพียรพยายามท่ีจะแก้ปัญหาท่ีปลายปัญหาไมพ่ ยายามที่จะมองหาปัญหาแรกหรือปัญหาพืน้ ฐาน แตเ่ มื่อมนษุ ย์ได้ค้นหาคาตอบไปเร่ือยๆ ก็ได้พบปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึน้ นัน้ เป็ นปัญหาอนั สืบเน่ืองมาจากปัญหาแรกหรือปัญหา

17พืน้ ฐาน ดังนัน้ การหาตอ้ งหาคาตอบที่ปัญหาพืน้ ฐานเม่ืออมนุษย์ได้พบปัญหาต่างๆ ในโลกปัจจุบันจึงได้มองปัญหาเพ่ือหาทางแก้ จึงต้องเร่ิมต้นท่ีการมองให้ลงลึกถึงปัญหาพืน้ ฐานเป็ นอนั ดบั แรกมิใชพ่ ยายามหาคาตอบเพ่ือแก้ปัญหานัน้ เท่านนั้ เช่น ในเร่ืองของปัญหาการทาสงครามระหวา่ งประเทศ หากมองโดยทว่ั ๆ ซง่ึ เป็ นปัญหาท่ีต้องแก้ไข หากโดยทวั่ ไปการแก้ปัญหาก็จะต้องระงับการผลิตอาวุธเพ่ือท่ีจะได้ไม่ต้องมีการทาสงคราม แต่เม่ือเราได้ทราบและเรียนรู้ถึงกระบวนการทางปรัชญาแล้วเราจึงพบว่าการแก้ปัญหาด้วยระงบั การผลิตอาวธุ นนั้ ไม่ถกู ต้อง แต่สาเหตขุ องปัญหาหรือปัญหาพืน้ ฐานนนั้ อยทู่ ่ีคาวา่ “เสรีภาพ” คือมนษุ ยชาตติ ้องการเสรีภาพ การแก้ปัญหาจงึ ต้องไปเร่ิมต้นที่คาว่าเสรีภาพว่ามนษุ ย์มีเสรีภาพหรือไม่ควรจะมีขอบเขตแคไ่ หน และยตุ ธิ รรมหรือไมท่ ่ีจะใช้เสรีภาพของตนไปลิดรอนสิทธิของบคุ คลอื่น หากสามารถหาคาตอบร่วมกนัได้ สงครามซง่ึ เป็นปัญหาก็คงไมเ่ กิดขนึ ้ แนน่ อน 2) ทาให้มองเห็นทางเลือกของคาตอบของปัญหาได้ในหลายแง่มุม การได้เรียนรู้ถึงวิชาปรัชญาและกระบวนการคดิ ทางปรัชญานนั้ ทาให้มนษุ ย์มีโลกทศั น์ที่กว้างขนึ ้ เม่ือพบปัญหาจงึ ไม่ทาให้จมอย่กู บั ปัญหานนั้ เพียงปัญหาเดียวโดยลืมมองถึงส่ิงอ่ืน ไม่วา่ จะเป็ นสาเหตหุ รือหนทางแก้ไข ดงั ได้กล่าวแล้ววา่ เป็ นพบปัญหาผ้ทู ี่เรียนรู้ปรัชญาก็จะไม่จมอยู่กับปัญหานัน้ จนลืมเร่ืองอื่นๆ ในทางกลับกันผู้รู้ปรัชญาจะพยายามแสวงหาคาตอบเร่ือยๆ สืบค้นไปจนเจอปัญหาพืน้ ฐาน แล้วเร่ิมแก้ไขในจุดนนั้ กระบวนการสืบค้นไปเรื่อยๆ นนั้ เองที่ทาให้ผ้ศู กึ ษาปรัชญาได้มองเห็นทางเลือกคาตอบของปัญหาท่ีมากมายมากกว่าหนง่ึ คาตอบ เพราะในปัญหาเดียวกนั อาจมีคาตอบที่แตกตา่ งกนั ได้หลายแบบ ซง่ึ แตล่ ะคาตอบก็ล้วนแล้วแตม่ ีเหตผุ ลอย่ใู นตวั เองด้วยกนั ทงั้ นนั้ เม่ือมองเห็นทางเลือกของคาตอบได้หลายแง่มมุหลายคาตอบแล้ว โอกาสท่ีจะเลือกทางออกหรือคาตอบท่ีเหมาะสมจงึ เป็นไปได้มากที่สดุ 3) ทาให้เป็ นคนมีเหตุผล คนทกุ คนยอ่ มมีความคดิ เห็น ความเช่ือ และคา่ นยิ มเป็ นส่วนบคุ คลโดยอาจผ่านกระบวนการขดั เกลาทางสงั คมในแบบแผนตา่ งๆ เช่น จารีต ประเพณี ปทสั ถานทางสงั คม หรือกฎหมายตา่ งๆ เป็ นต้น ความเชื่อตา่ งๆ เหลา่ นนั้ เป็ นสิ่งท่ีได้ถ่ายทอดสืบตอ่ กนั มา แตใ่ นกระบวนการทางปรัชญาช่วยให้บคุ คลมน่ั ใจในความคิดเห็น ความเชื่อ และค่านิยมเหล่านนั้ มากยิ่งขนึ ้ เม่ือได้ผ่านกระบวนการคิดและค้นหาคาตอบ และการตรวจสอบในเชิงปรัชญา การวิจารณ์และตรวจสอบความความเชื่อของตนว่าเป็ นจริงหรือไม่เพียงไร และมีเหตผุ ลเพียงพอหรือไม่ท่ีจะเช่ือเทา่ นนั้ ทาให้เกิดความมน่ั ใจในตวั เองมากขนึ ้ เม่ือพยายามแสวงหาเหตผุ ล หากเราคดิ ก่อนที่จะ

18เชื่อ หาเหตผุ ลก่อนที่จะเช่ือทาให้เรามีหลกั การและเหตผุ ลของตนเอง และสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้วา่ ทาไมจงึ เชื่อเชน่ นนั้ 4) ทาให้มีกระบวนการทางความคดิ ท่เี ป็ นระบบ ปรัชญาไมไ่ ด้สอนให้เชื่อ แตใ่ ห้รู้จกั คิดและใช้เหตผุ ลตรวจสอบหรือวิเคราะห์สิ่งตา่ งๆ ที่เราเชื่อถืออย่วู า่ มีเหตผุ ลหรือไม่ ขดั แย้งในตวั เองหรือไม่ ถ้าเรามีความช่ือสองอย่างท่ีขดั แย้งกบั ความเช่ือทงั้ สองก็ไม่สามารถจะเป็ นจิรงทงั้ ค่ไู ด้ เราก็ต้องตรวจสอบดวู ่าความเช่ือใดมีเหตผุ ลน่าเช่ือถือมากกว่าและเปล่ียนความเช่ือหนึ่งให้สอดคล้องกับอีกความเชื่อหน่ึงท่ีมีเหตผุ ลที่ดีกว่า ซ่ึงจะทาให้ความเชื่อของเราเป็ นระบบเดียวกนั และไม่ขดั แย้งกนั คนบางคนมีความเช่ือหลายๆ อย่างซ่ึงอาจจะขดั แย้งกันเองโดยท่ีเขาไม่รู้ตวั เพราะไม่ได้คิดสกั แต่ว่าเชื่ออย่างเดียว เมื่อความเช่ือสองอย่างขดั แย้งกันเองในคนคนเดียวทาให้เห็นว่าเขาเป็ นคนไม่มีหลกั การหรือความคดิ เป็นของตนเอง แตเ่ ป็นความเชื่ออยา่ งตาบอดหรือเช่ือโดยไมม่ ีความคดิ ทาให้คนอื่นรู้สกึ ว่าการปฏิบตั ิของเขาไม่นา่ เชื่อถือเป็ นคนไมอ่ ยกู่ บั ร่องกบั รอยหรือไม่คงเส้นคงวา นน่ัคือ ปรัชญาจะชว่ ยให้เราเป็นคนที่มีความคดิ ที่เป็นระบบ หรือเป็นคนมีหลกั การของตนเอง การเข้าใจความคิดของตวั เองในเรื่องตา่ งๆ จะทาให้เขาเป็ นคนคงเส้นคงวาในการกระทาสิ่งต่างๆตอบและแก้ปัญหาตา่ งๆ อยา่ งเป็นระบบ ปรัชญาชว่ ยให้เราสร้างและเข้าใจโลกทศั น์ของตนเอง[8] 5) ทาให้สามารถสร้างเป้ าหมายและดาเนินชีวิตตามเป้ าหมายท่ีวางไว้ได้อย่างเหมาะสม ดงั ได้กล่าวมาแล้วา่ ปรัชญาทาให้เรารู้จกั มองปัญหาที่ปัญหาแรกหรือปัญหาพืน้ ฐานทาให้มองเหน็ ทางเลือกของคาตอบของปัญหาได้ในหลายแงม่ มุ ทาให้เป็นคนมีเหตผุ ล ทาให้มีกระบวนการทางความคิดท่ีเป็นระบบ ทงั้ หมดทาให้เราสามารถประมวลทกุ อย่างเป็นเป้ าหมายและสามารถที่จะดาเนนิ ชีวิตตามเป้ าหมายท่ีวางไว้ได้อยา่ งเหมาะสมเพราะมีการใช้กระบวนการคดิ อย่ตู ลอดเวลาด้วยความสมเหตสุ มผล สามารถที่จะวิเคราะห์ได้วา่ สิง่ ใดควรทาหรือไม่ ส่ิงใดควรเช่ือหรือไม่ ด้วยการวิเคราะห์ในเชงิ คณุ คา่ ในเชิงจริยศาสตร์ กระบวนการทางปรัชญาจะชว่ ยวพิ ากษ์ให้เราได้เป็นปัญหาตา่ งๆ ได้ชดั เจนขนึ ้ ทาให้เราได้พจิ ารณาปัญหาตา่ งๆได้อยา่ งรอบคอบก่อนท่ีจะตดั สินใจทาพฤติกรรมให้เราสามารถดาเนินชีวติ ได้ตามเป้ าหมายที่วางไว้ได้อยา่ งเหมาะสม คณุ คา่ ปรัชญาดงั กลา่ วข้างต้นสืบเน่ืองจากแนวคดิ ท่ีวา่ ปรัชญาไมใ่ ชว่ ิชาท่ีเรียนเพ่ือตอบปัญหาใดปัญหาหนงึ่ โดยเฉพาะ เพราะโดยทว่ั ไปแล้วยงั ไมม่ ีใครทราบได้อยา่ งแนน่ อนวา่คาตอบใจจริงแท้ แตเ่ ราเรียนปรัชญาเพ่ือรู้ปัญหา เพราะปัญหาชว่ ยขยายเขตของความคดิ วา่อะไรบ้างท่ีเป็นไปได้ชว่ ยให้จิตสามารถสร้างจินตนาการได้งา่ ย ชว่ ยลดความเชื่องมงายอนั เป็น

19อปุ สรรคตอ่ ความคดิ และเนื่องจากปรัชญาขบคดิ เร่ืองสงู สง่า ก็ยอ่ มจะทาให้จิตที่คิดนนั้ สงู สง่ ไปด้วย ทงั้ อาจจะรวมตวั เข้ากบั เอกภพซง่ึ เป็นคณุ คา่ สงู สดุ ของจิตได้ด้วย ศาสตร์ในการค้นหาความจริงหรือปรัชญามีขอบขา่ ยครอบคลมุ เนือ้ หาและเรื่องราววิชาการอ่ืนๆ ทงั้ หมด เพราะปรัชญาเป็นศาสตร์ที่เกิดจากการใช้ปัญญาการคดิ ค้นปรัชญาจงึ เป็นพืน้ ฐานหรือเป็นมารดาของสรรพศาสตร์ อริสโตเตลิ ้ เรียกวา่ the first principle เม่ือพฒั นามีเนือ้ หามากขนึ ้ ก็เลยแยกตวั ออกมาเป็นวิชาเฉพาะเฮอร์มนั ลอดเซ (Herman Lotze) เป็นวชิ าท่ีครอบคลมุ ไว้ซง่ึ สรรพวิชา วชิ าคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ วิชาฟิสกิ ส์และสรีศาสตร์ก็ล้วนแตเ่ กิดจากวิชา philosophy ไมย่ ิง่ หยอ่ นไปกวา่ จริยศาสตร์และการเมืองเลยแตต่ อ่ มาไมช่ ้าพวกลกูสาวทงั้ หลายเหลา่ นีก้ ็ตงั้ หลกั ฐานของตนเองได้มน่ั คง แตล่ ะวิชาจะพยายามตงั้ หลกั ฐานแตเ่ น่ินๆตามสดั ส่วนของมนั แล้วมนั ก็ได้เจริญพฒั นาไปอย่าง รวดเร็วยงิ่ กวา่ มารดา ทงั้ ท่ีอย่ภู ายใต้อิทธิพลของมารดา คือ philosophy การค้นหาความจริงบริสทุ ธ์ิหรือความจริงท่ีนกั ปรัชญาทงั้ หลายพยายามค้นหาคาตอบนนั้ กว้างขวางมาก แตพ่ อสรุปได้ 3 ประเดน็ เร่ืองท่ี 1.1.3 ววิ ัฒนาการค้นหาความจริง เมื่อมนุษย์เราเริ่มแสวงหาความจริงคาตอบเกี่ยวกับเร่ืองราวต่างๆขนึ ้ มา ความรู้เหล่านีก้ ่อให้เกิดแนวคดิ ตา่ งๆ ขนึ ้ มากก่อนจะได้รับพมั นาเป็ นศาสตร์เฉพาะด้าน เรากล่าวว่าเกิดแนวคิดทางปรัชญาขึน้ ก่อน ดังที่ปราชญ์ทัง้ หลายกล่าวว่า “ปรัชญา คือราชินีแห่งศาสตร์ทงั้ ปวง” ปรัชญาคอื มารดาของศาสตร์ทงั้ ปวง ความคิดทางปรัชญาจงึ ถือกาเนิดขนึ ้ มาตงั้ แต่ดกึ ดาบรรพ์และได้พัฒนาความคิดมามีอิทธิพลต่อโลกและชีวิตอย่างกว้างขวาง มีอิทธิพลอย่างยงิ่ ยวดตอ่ วิถีชีวติ มนษุ ย์ เราเรียกสงิ่ สร้างสรรค์ตา่ งๆ เหลา่ นีว้ า่ อารยธรรมของมนษุ ย์ วิวฒั นาการการค้นหาความจริงท่ีมีอิทธิพลอย่างยิ่งยวดตอ่ อารยธรรมโลกท่ีสาคญั ท่ีสุด มาจากสามกระแสหลัก คือ 1. อินเดีย 2. จีน 3. ตะวนั ตก การค้นหาความจริงของชาวอินเดียก่อให้เกิดอารยธรรมท่ีสาคญั ของโลกมากมาย เช่น แนวคิดทางปรัชญาชีวิตแบบฮินดู แนวคิดเร่ืองอหิงสธรรม ของมหาตมะคานธี ท่ีสาคญั เชน่ แนวคิดทางพระพทุ ธศาสตร์ ชาวอินเดียชอบการค้นหาความจริงท่ีสมั พนั ธ์กับวิถีชีวิตมนุษย์โดยตรง การค้นหาความจริงของชาวอินเดยี จงึ ก่อให้เกิดอทิ ธิพลตอ่ ชาวจีน และโลกนี ้เชน่ หลกั จริยศาสตร์ของขงจือ้ และเหลาจือ้ 1.1.3.1 การค้นหาความจริงของชาวอินเดีย การค้นหาความจริงของชาวอินเดียเกิดมานานแล้ว เริ่มต้นเมื่อประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสตศักราช ได้พบหลักฐานว่าชาวอินเดียเริ่มคิดและหาคาตอบเก่ียวกบั โลกและชีวิตในคมั ภีร์ฤคเวท ชาวอินเดียได้คดิ สืบเนื่องกนั มาโดยลาดบั มีลกั ษณะโดดเดน่

20เป็ นแนวคิดสาคัญปรัชญาอินเดียเป็ นรูปแบบเฉพาะตัว จนก่อให้เกิดอารยธรรมสาคัญต่างๆโดยเฉพาะศาสนาสาคญั ๆ เชน่ ศาสนาประจาชาติ คือ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และศาสนาโลกคือพระพทุ ธศาสนา อาจสรุปลกั ษณะพิเศษแนวคิดเกี่ยวกับความจริงต่างๆ ของชาวอนิ เดีย ดงั นี ้ 1) แนวคดิ ทกุ ระบบเน้นปรัชญาชีวิต 2) แนวคดิ ทกุ ระบบเกิดจากความไม่พอใจสภาพความเป็ นอยู่ของชีวติ นกั คดิ ของอนิ เดยี จงึ พยายามค้นหาความจริง เพ่ือให้มนษุ ย์พ้นทกุ ข์ แนวคิดเกี่ยวกบั ความจริงของชาวอนิ เดียจงึ มีลกั ษณะคอ่ นข้างเป็นทนุ ิยมในตอนต้น แตจ่ บลงด้วยสขุ นิยม 3) แนวคิดเก่ียวกับความจริงทุกระบบเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเชื่อเรื่องทาดีได้ดี ทาชวั่ ได้ชว่ั 4) แนวคิดเก่ียวกับความจริงทุกระบบเห็นว่าอวิชา หรืออวิทยาเป็นเหตแุ หง่ ความตดิ ข้อง และการเวียนวา่ ยตายเกิด สว่ นวิชชา หรือวิทยาเป็ นส่ิงท่ีทาให้หลดุพ้นจากการติดข้องและการเวียนว่ายตายเกิด การติดข้องและการเวียนว่ายตายเกิดเป็ นทุกข์ไม่สนิ ้ สดุ การแสวงหาความจริงของชาวอินเดีย จงึ มีความหลดุ พ้นจากทกุ ข์ทงั้ ปวงเป็นเป้ าหมาย 5) แนวคิดเก่ียวกับความจริงของอินเดียทุกระบบ นิยมการเจริญสมาธิและวิปัสสนา ไม่ปล่อยจิตให้ตกเป็ นทาสของกิเลสตัณหา เป็ นทางขจัดกิเลส ถ้าสามารถขจดั กิเลสได้หมดก็เทา่ กบั การบรรลโุ มกษะ ถ้าสามารถขจดั กิเลสได้หมดก็เท่ากัน การบรรลุโมกษะซงึ่ เป็นบรมสขุ นริ ันดร 1.1.3.2 การค้นหาความจริงของชาวจีน จีนเป็ นชนชาติโบราณและมีอารยธรรมท่ีเก่าแก่ซึ่งมีการสืบทอดอยา่ งตอ่ เนื่องไมข่ าดสายเชน่ เดยี วกบั อินเดีย อารยธรรมจีนมีอิทธิพลตอ่ ชนหลายชาตใิ นเอเชียโดยเฉพาะดนิ แดนอ่ืนๆ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศมีเทือกเขาใหญ่ ทะเลและทะเลทรายขวางกนั้ทาให้จีนมีโอกาสสงั่ สมอารยธรรมอนั โดดเดน่ และมีลกั ษณะเฉพาะของตนเองจีนจึงมีประวตั ิศาสตรวัฒนธรรมปรัชญาท่ีเป็ นของตนเองมานานนบั พันๆ ปี อารยธรรมจีนกาเนิดขึน้ บริเวณแถบลุ่มแม่นา้ ฮวงโห หรือแมน่ า้ เหลืองในตอนเหนือ แม่นา้ แยงซีในตอนกลาง ล่มุ นา้ ทงั้ สองใหลมารวมกันแถบเมืองกวางต้งุ แม่นา้ ทงั้ สองแหง่ เป็ นปัจจยั สาคญั มากในการพฒั นาอารยธรรมจีน ปรัชญาจีนเก่ียวข้องอยา่ งมากกบั ประวตั ศิ าสตร์จีน ภมู ิหลงั ทางประวตั ศิ าสตร์มีส่วนสาคญั ที่ก่อให้เกิดปรัชญาเมธีจีนประวตั ิศาสตร์จีนยุคแรกค่อนข้างกลุมเคลือมาก ตามหลกั ฐานโบราณคดีพบว่าชนเผ่าจีนได้มาตงั้ ถิ่นฐานอยแู่ ถบลมุ่ นา้ ฮวงโหตอนเหนือ เป็นรัฐขนาดเล็กแตก่ ็มีวฒั นธรรมท่ีสงู พอควร จีนยคุ

21นีเ้ป็นสงั คมเกษตรกรรมมีการปลกู พืช เลีย้ งสตั ว์ เลีย้ งไหม ประดษิ ฐ์อกั ษรสร้างสรรค์ศิลปวตั ถดุ ้วยโลหะสมั ฤทธ์ิ ในยคุ นีช้ าวจีนมีการนบั ถือบชู าเทพเจ้าประจาธรรมชาตเิ ช่ือวา่ เทพเจ้าเหลา่ นีเ้ป็ นผ้ดู ลบนั ดาลให้ฝนฟ้ าตกตามฤดกู าล ทาให้พืชพนั ธ์ุธญั ญาหารอดุ มสมบรู ณ์ ซงึ่ เป็ นความเชื่อของมนษุ ย์ยคุ ดกึ ดาบรรพ์ทงั้ หลายที่เช่ือวา่ มีเทพเจ้าให้คณุ และโทษกบั มนษุ ย์ ชาวจีนจะเรียกเทพเจ้าผ้ยู ่ิงใหญ่นีว้ ่า เทียน (แปลวา่ ฟ้ าหรืสวรรค์) ชาวจีนจะตา่ งกบั ศาสนาเทวนิยมอ่ืนก็คือคนจีนไม่คอ่ ยสนใจว่าโลกนีใ้ ครเป็นผ้สู ร้างโลกนี ้และเร่ืองของการบชู าบวงสรวงเทพเจ้า หากผ้ใู ดมีความทกุ ข์ยากต้องไปร้องทกุ ข์กบั พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงทาหน้าที่เป็ นส่ือกลาง จีนเชื่อว่าพรเจ้าปกครองโลกโดยผา่ นพระเจ้าแผ่นดนิ พระเจ้าแผ่นดิน คือตวั แทนของพระเจ้า นีเ้ป็ นเหตสุ าคญั ที่เป็ นเหตใุ ห้สถาบนัทางศาสนาจีนอย่ใู ต้อิทธิพลของการเมือง ซึ่งต่างจากของอินเดียที่สถาบนั การเมืองอย่ใู ต้อิทธิพลของศาสนา สิ่งที่ประชาชนจีนมีสิทธ์ิจะบชู าได้แก่ เทพบริวาร และวิญญาณบรรพชน คนจีนเช่ือว่าบรรพบรุ ุษที่ลว่ งลบั ไปจะไปอยเู่ ป็นบริวารของเทพเจ้า คนจีนมีความเชื่อในเร่ืองการทาความดีจะทาให้ชื่อเสียงของวงศ์สกุลเป็ นอมตะ เม่ือตายไปก็จะได้ไปอยู่เป็ นเทพบริวารและจะมีผู้เซ่นไหว้ตลอดไป เทพเจ้าของคนจีนจึงมกั จะได้แก่วิญญาณวีรบรุ ุษหรือผ้มู ีคุณธรรมเช่น กวนอเู ป็ นเทพเจ้าแหง่ ความซ่ือสตั ย์ ในสมยั ราชวงศ์โจวจีนได้พยายามขยายอาณาเขตกว้างขวางมาก การปกครองจงึ เป็ นระบบเจ้าครองนครที่มีการแบง่ เขตตา่ งๆ การปกครองระบบศกั ดินานีม้ ีผลตอ่ ประเทศจีนอยา่ งมากมายใหญ่หลวง ราชวงศโ์ จวได้ปกครองประเทศจีนเป็ นเวลานานเกือบ 800ปี ในตอนปลายราชวงศ์โจรเรียกว่า สมยั ชนุ ชิวและเลียดก๊ก เป็ นยุคสมยั แห่งการเปลี่ยนแปลงทงั้การเมืองและเศรษฐกิจ สาหรับการเมือง ระบบศกั ดนิ าทาให้อานาจอนั ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ตกไปอยู่กบั เจ้าผ้คู รองนคร การอ้างวา่ กษัตริย์เป็ นโอรสแห่งสวรรค์นนั้ ไม่มีใครเช่ืออีกตอ่ ไป มีสงครามรบพงุ่กนั เพื่อแย่งอานาจระหว่างแคว้นตา่ งๆ เรียกว่ายคุ แห่งการตอ่ ส้รู ะหว่างรัฐ ทาให้ประชาชนได้รับความยากลาบาก กล่าวกันว่าในชวั่ ระยะเวลา 242 ปี มีสงครามระหว่างรัฐถึง 48 ครัง้ ประชาชนวิตกกงั วลกลัวว่าจะถูกเกณฑ์ไปเป็ นทหารไม่เป็ นอนั ทามาหากิน เมื่อข้าศึกมาตีเมืองก็ต้องคอยหลบหนีป้ องกันตวั การทามาหากินก็ยากลาบาก เพราะที่ดินก็เป็ นของเจ้าครองนครเก็บเกี่ยวได้มากก็ถูกเขาเรียกเก็บตามใจชอบ ประชาชนจึงทุกข์ยากมากท่ีสุด จนกระท่ังปี 256 ก่อน ค.ศ.ผู้ปกครองแห่งแคว้นจีนได้รับชัยชนะ ได้สถาปนาตนเองเป็ นจักรพรรดิช่ือว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ สมัยราชวงศ์โจวนี ้เรียกว่า ยุคคลาสสิค หรือ ยุคทองของจีน มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทางด้านต่างๆ อย่างใหญ่หลวง เป็ นยุคสมัยท่ีมีการสร้ างมาตรฐานรูปแบบวิถีชีวิตต่างๆ ทัง้ รูปแบบขนบธรรมเนียมประเพณี ภา วมั นธรรม ระบบปรัชญา รูปแบบทางเศรษฐกิจ การศึกษา วรรณคดี

22ศิลปะ อนั ได้พฒั นาเป็ นแบบอย่างของสงั คมจีน เป็ นรากฐานอารยธรรมจีนที่สาคญั ที่สุด ผลงานสร้ างสรรค์ท่ีสาคัญที่สุด ได้แก่มรดกทางปรัชญา ปรัชญาเมธีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้แก่ ขงจือ้เหลาจือ้ บกั จือ้ เมง่ จือ้ ซนุ่ จือ้ เป็นต้น 1.1.3.3 การค้นหาความจริงของชาวตะวันตก ชาวตะวนั ตกท่ีรู้จักแสวงหาความจริงชาติแรก คือ ชาวกรีกคนกรีกมีนิสยั ชอบใช้เหตผุ ล ชอบใช้สติปัญญาไตร่ตรองค้นหาความจริงมานาน เช่นเดียวกบั ชาวจีน และชาวอินเดีย ชาวกรีกเริ่มรู้จกั ใช้เหตผุ ล แสวงหาความจริงครัง้ แรกเม่ือประมาณ 600 ปี ก่อนค.ศ. ในยคุ นนั้ เป็นยคุ ท่ีกรีกกาลงั เจริญรุ่งเรือง มีอสิ รภาพ มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ทกุ คนมีส่วนร่วม ชาวกรีกต่ืนตวั มากๆ ชอบถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์สิ่งรอบๆ ตัว ปัญหาสงั คม ปัญหาการเมือง เม่ือการแสวงหาความจริงได้เกิดขึน้ จึงเกิดเป็ นปรัชญาค่อยๆ พัฒนากลายมาเป็ นวิชาการต่างๆ เช่น จริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างย่ิงก่อให้เกิดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเจริญทางด้านวตั ถทุ งั้ หลาย การค้นหาความจริงของชาวตะวนั ตกอาจแบ่งระยะเวลาในการววิ ฒั นาการ ดงั นี ้ 1) สมัยโบราณ (600 ปี ก่อน ค.ศ. – ค.ศ. 600) โดยสภาพภูมิศาสตร์ กรี กมีดินแดนเป็ นเกาะต่างๆมากมายและแยกจากดนิ แดนอื่น โดยเดด็ ขาด ชาวกรีกเป็นนกั เดนิ เรือท่ีชอบผจญภยั หล่อหลอมให้เกิดวฒั นธรรมกรีกซึ่งเป็ นต้นตอของอารยธรรมตะวนั ตกท่ีสาคญั ชาวกรีกมีวิธีคิดและวิถีชีวิตแบบเสรีชน ให้ความสาคญั ต่อระบบประชาธิปไตยทาให้ชาวกรีกเป็ นนักคิด ชอบใช้เหตผุ ล และการวิพากษ์วิจารณ์เป็นชีวติ จิตใจ ก) ระยะแรก (ชาวกรีกก็เหมือนชาวอินเดียและชาวจีนท่ีนบั ถือวิญญาณ เช่ือเร่ืองอานาจลกึ ลบั ของเทพเจ้า เชน่ เช่ือว่าเทพเจ้าอพอลโล คือ พระอาทิตย์ ซีอุสเป็ นเทพเจ้าที่มีอานาจสูงสุดอยู่ที่เทือกเขาโอลิมเปี ย ทรงเป็ นผู้ดูแลแทพเจ้าทัง้ หลายและปกครองโลกมนษุ ย์ มนุษย์ท่ีปรารถนาชีวิตท่ีอุดมสมบูรณ์ต้องบูชาบวงสรวงเทพเจ้า ต่อมาเม่ือ600 ปี ก่อน ค.ศ. เกิดมีนักคิดชื่อ ทาลีส (Thales) ได้เริ่มใช้วิธีคิดจากการสงั เกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ เขาไมเ่ ช่ือวา่ ปรากฏการณ์ตา่ งๆ ที่เก่ียวกบั โลกและชีวิต เกิดจากการดลบนั ดาลของเทพเจ้าหรืออานาจลกึ ลบั เขาเช่ือวา่ ปรากฏการณ์โลกและชีวิตเกิดมาจากกฎเกณฑ์เดียวกนั ซ่ึงเป็ นกฎแหง่ เหตผุ ล เม่ือถามวา่ ชีวิตเกิดจากอะไร เขาตอบวา่ “ทุกส่ิงทุกอย่างเกิดจากนา้ ” วิธีคิดของเขาใช้หลักการเดียวกับของพระพุทธเจ้าที่ทรงวางรากฐานวิธีคิดแบบอริยสัจ อันเป็ นหลักการสาคัญของ

23วิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพ่ิงจะกลายเป็ นหลกั การสาคญั ท่ีเกิดภายหลงั ช่วงคริสตศวรรษที่ 16-17 น่ีเอง ด้วยวิธีคิดของทาลีส เขาจึงได้รับยกย่องวา่ เป็ นบิดาของวิชาปรัชญา และเป็ นนกั วิทยาศาสตร์คนแรก เพราะก่อนหน้านี ้มนุษย์ยงั ไม่รู้จกั หลกั การของเหตผุ ลทศั นะของทาลีสท่ีเช่ือว่า “สรรพสิ่งเกิดจากนา้ ” เป็ นทศั นะแบบสสารนิยม ท่ีเป็ นเหตุให้นกั คิดชาวกรีกพากันค้นหา“สาเหตแุ รก” ที่เรียกว่า ปฐมธาตทุ าให้ชาวกรีกถกเถียงเรื่องนีอ้ ย่นู าน ทาให้เกิดวิชา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และกลายเป็นวชิ าฟิสิกส์ เม่ือ ค.ศ. 1600 -1700 ข) ระยะรุ่งเรือง นกั ประวตั ิศาสตร์มกั เรียกยคุ สมยั นีว้ ่า ยุคคลาสสคิ ซง่ึ เป็นยคุ ท่ีกรีกเจริญรุ่งเรืองท่ีสดุ ทงั้ ด้านปรัชญา เศรษฐกิจ และการเมือง ชาวกรีกยคุ นีม้ ีความเป็ นอย่ดู ี มีเวลาที่จะค้นคดิ และพฒั นาระบบคิด รู้จกั พฒั นาการใช้เหตผุ ลสงู ขนึ ้ เริ่มต้นด้วยความสนใจอภิปรายเรื่อง อภิปรัชญาธรรมชาตวิ ทิ ยา ชอบถกเถียงปัญหาที่มาของโลกและชีวิต และวกเข้ามาเก่ียวกบั เรื่องของมนุษย์พฤติกรรมของมนษุ ย์และสงั คม ได้พฒั นาระบบจริยศาสตร์และการเมือง ซ่ึงแนวคิดเหล่านีภ้ ายหลงั ได้กลายเป็ นรากฐานสาคญั ของอารยธรรมตะวนั ตกหลายๆด้าน เชน่ แนวคดิ ของโสกราติส เพลโต และอริสโตเตลิ ้ ชว่ ยในการวางรากฐานของศาสนาคริสต์ มีสว่ นทาให้ศาสนาคริสต์เจริญก้าวหน้ามาก มีสว่ นสาคญั ในการพฒั นาวชิ าการและวทิ ยาศาสตร์ ในระยะที่กรี กเจริ ญรุ่งเรื องมีการปกครอง แบบประชาธิปไตย ศูนย์กลางความเจริญอยู่ท่ีกรุงเอเธนส์ ชาวกรีกทุกคนมีส่วนร่วมที่จะเป็ นนกั การเมือง สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้กว้างขวาง กล่าวกนั ว่าเยาวชนกรีกนิยมฟังการโต้วาทีทางการเมืองเป็ นอนั ดบั แรกๆ ในยคุ นีม้ ีชาวกรีกกลมุ่ หนึง่ ตงั้ ตนเองเป็ นนกั สร้างวาทกรรม มีอาชีพสอนนักการเมืองให้ใช้วาทศิลป์ เพื่อเอาชนะค่แู ข่งทางการเมือง ชาวกรีกเรียกพวกนีว้ ่า พวกโสฟิ ตส์(Sophits) พวกนีช้ อบสอนว่า ไม่มีความจริงสากล “มนุษย์เป็ นเครื่องวัดสรรพส่ิง” ไม่มีหลักจริยธรรมสากล อานาจคือธรรมความยตุ ธิ รรม คือ “ผลประโยชน์ของผ้ทู ่ีแข็งแรงกว่า” แนวคิดแบบนีม้ ีแนวโน้มที่จะทาลายหลกั การทางศลิ ธรรมอนั ดีงาม โสกราติส (Socrates, 470-399 ปี ก่อน ค.ศ.) ซึ่งปรากฏตวั ขึน้ แสดงความคดิ ที่ไม่เห็นด้วย โดยกล่าวตรงข้ามกับพวกโสฟิ ตส์ว่า ธรรมหรือคณุ ธรรมคือ ความรู้ (Virtre isKnowledge) คณุ ธรรมเป็ นความจริงสากลมีอย่ใู นโลกอดุ มคติ หรือโลกแห่งแบบ หรือโลกแห่งความดีงาม ซึ่งเกิดจากการใช้เหตผุ ล การคิดไตร่ตรอง คนที่ทาความดี เขารู้ว่า“ความดีมีอยู่” หากมนษุ ย์รู้จกั ตวั เอง หมน่ั สารวจตวั เองอย่างแท้จริง ก็จะพบความจริง คณุ ธรรมเป็ นส่ิงมีอย่จู ริงและเป็ นสิ่งสากล เป็ นแก่นแท้ของมนุษย์ มนษุ ย์เกิดมาพึงแสวงหาความดีงามซ่ึงเป็ นชีวิตท่ีประเสริฐในยคุ นีย้ งั มีนกั ปรัชญาสาคญั ๆ อีกสองท่าน คือ เพลโต (Plato, 427-347ก่อน

24ค.ศ.) และอริสโตเตลิ ้ (Aristotle, 334-332 ก่อน ค.ศ.) ทงั้ สองท่านนีเ้ป็ นผ้สู ืบทอดแนวคิดของโสกราตสิ โดยพยายามแสวงหาคาตอบที่อธิบายโลกอดุ มคตกิ บั ชีวิตมนษุ ย์ และสงั คมอย่างกว้างขวางแนวคดิ ของเพลโต อธิบายโลกอดุ มคตแิ ละชีวิตท่ีเป็ นอดุ มคติและชีวิตท่ีเป็ นอดุ มคติ มีอิทธพลอยา่ งย่ิงตอ่ วิถีชีวิตของชาวยโุ รปและอิสลามในยคุ กลางตอนต้นๆ สว่ น แนวคดิ ของอริสโตเตลิ ้ อธิบายโลกและชีวิตท่ีสมั พนั ธ์กบัวทิ ยาศาสตร์ธรรมชาตมิ ากขนึ ้ ค. ระยะเส่ือม ถัดจากสมยั อริสโตเติล้ ความรุ่งเรืองของนครรัฐกรีกเริ่มเสื่อมลง ต่อมาก็ล่มสลายในทกุ ๆ ด้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง จริยธรรมกรีกได้ตกเป็ นอาณานิคมของจกั รวรรดิโรมนั อยา่ งไรก็ตาม อารยธรรมกรีกมิได้ล่มสลายไป แตถ่ ูกถ่ายทอดผสมผสานเข้ากับวฒั นธรรมใหมๆ่ สภาพความเป็ นในยคุ นีเ้ ต็มไปด้วยความเลวร้ายจากผลของสงคราม ความแตกแยก ความป่ าเถ่ือน ปรัชญากรีกที่ทรงคณุ ค่า แห่งภูมิธรรมและภูมิปัญญา นกั ค้นหาความจริงความถกู ต้อง นกั คดิ ค้นท่ีสร้างสรรคต์ า่ งๆ ได้อบั แสงลง กลายสภาพเป็ นจิตวิญญาณที่เอาตวั รอด คบั แคบ มองโลกด้านเดียวผู้คนในยุคสมัยนีม้ ุ่งแสวงหาสิ่งท่ีสามารถตอบสนองจิตวิญญาณ เชน่ ความสขุ ความสาราญ ความสงบ การควบคมุ จิตใจ ลกั ษณะวิถีชีวิตแบบนีพ้ บได้ในปรัชญาสุขนิยม ปรัชญาวิมุตินิยม เช่น ลทั ธิเอพิคิวเรียน ลัทธิสโตอิค ลัทธิซีนิกส์(สนุ ขั นิยม) 2) สมัยกลาง (ค.ศ 800-1500) เม่ืออาณาจกั รโรมนั ล่มสลาย ประชาชนก็หวั ใจสลายบอบชา้ จากสงคราม พบแตค่ วามสบั สนว่นุ วาย เต็มไปด้วยความหวาดกลวั ที่พ่ึงทางใจมีเพียงสิ่งเดียวคอื ศาสนาคริสตน์ กั ปราชญ์ในยคุ นีไ้ ด้นาปรัชญากรีกมาช่วยเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เบอทรัล รีสเซลจงึ เรียกปรัชญาในสมยั นีว้ า่ ปรัชญาคาธอลคิ นกั ปรัชญายคุ นีไ้ ด้แกน่ กั เผยแพร่ศาสนา ที่สาคญั และมีชื่อเสียงที่สดุ ได้แก่ นกั บญุ ออกสั ตนิ (St. Augustine, ค.ศ. 354-430) และนกั บุญอะโควนสั (St.Thomas Aguinas ค.ศ. 1225-1274) 3) สมัยใหม่จนกระท่ังสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1600 – ค.ศ.2009) สมยั นีจ้ ิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความจริงกลบั มาจรัสแสงอีกครัง้ หนึ่ง เพราะมีสถานการณ์ตา่ งๆ มากมายท่ีเอือ้ ให้ โดยเฉพาะเร่ืองการฟื น้ ฟูศิลปวิทยาทาให้ชาวยุโรปหันกลับไปศึกษาวิธีคิดและการแสวงหาความจริงของชาวกรีกและโรมัน มีการวพิ ากษ์วิจารณ์เกี่ยวกบั สจั จะและวิธีการค้นหาสจั จะเกี่ยวกบั โลก ธรรมชาติ และชีวิตทาให้ศาสตร์ตา่ งๆ เจริญอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเมืองกับวิทยาศาสตร์ ทาให้วิถีชีวิต และวฒั นธรรมแบบ

25ตะวนั ตกมีอตั ลกั ษณะในตวั เองท่ีโดดเด่น มีหตกุ ารณ์สาคญั เช่น การปฏิรูปศาสนา มีนกั ปรัชญาสาคญั มากได้วิพากษ์วิจารณ์การแสวงหาสจั จะในยุคกลางที่นามาใช้กับศาสนาอย่างรุนแรง คือฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon ค.ศ. 1561-1626) ได้โจมตีพวกนกั บุญที่เอาความรู้นิรนยั ของอริสโตเตลิ ้ วา่ เป็นวิธีการที่ไมส่ ร้างสรรค์ ความรู้และความจริง เขาเสนอแนะวิทยาการสมยั ใหม่ อนัเป็นหลกั การทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นการสารวจ ประสบการณ์ การสงั เกตทดลอง การคิดค้นอย่างมีระเบียบ เราอาจสรุปลกั ษณะของการค้นหาความจริงในยคุ นีไ้ ด้ว่าเป็ นการเน้นการคิดอยา่ งอิสระยึดหลกั เหตผุ ลอธิบายธรรมชาตขิ องปรากฏการณ์โลกและชีวิตอยา่ งมีหลกั เกณฑ์และเหตผุ ล ยึดหลกั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ อาจสรุปลกั ษณะสาคญั ของการค้นหาความจริงในยคุ นีค้ ือให้ใช้เหตผุ ลแทนการใช้ศรัทธา เดส์คาร์ตส์ (Rene Descartes, 1596-1650) เป็ นนกั ปรัชญาชาวฝร่ังเศส ผู้ที่ได้ช่ือว่าเป็ นบิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่ เห็นว่า เหตผุ ลเท่านนั้ ที่จะทาให้มนษุ ย์เข้าถึงความจริง โดยเริ่มต้นวิธีคิดจากการสงสัยไว้ก่อน วิธีคิดของ เดส์คาร์ตส์ ภายหลังก็ถูกนักประสบการณ์นิยมท่ีชื่นชอบวิธีการวิทยาศาสตร์โจมตีว่าไม่ใช่วิธีที่ให้ความจริง และ ความรู้ท่ีสมบูรณ์แบบ เป็ นวิธีการที่คบั แคบเหมือนพายเรือในอ่าง จึงหนั เข้าวิธีการวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างชดั เจน เรียกวิธีการใหม่นีว้ ่า วิธีอุปนยั (Induction) เป็ นการสงั เกต ค้นคว้า ทดลอง ซ่ึงเป็ นความรู้เชิงประจกั ษ์ (Empirical knowledge) ในศตวรรษที่ 17 นี ้วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็ นศาสตร์ใหม่ ท่ีแยกตัวเองจากปรัชญาอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 18-19 วิทยาศาสตร์ได้พัฒนาไปประยุกต์ใช้กบั ศาสตร์ตา่ งๆ เช่นนาไปศกึ ษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสงั คมกลายเป็ นวิชาจิตวิทยาเป็นต้นหลงั สงครามโลกครัง้ ท่ีหนงึ่ ศาสตร์การค้นหาความจริงทางตะวนั ตก ได้พฒั นาเน้นไปในเชิงวเิ คราะห์มากขนึ ้ โดยเข้าไปศกึ ษาประสบการณ์ทกุ ชนิดทกุ แง่ทกุ มมุ ก่อให้เกิดความเจริญทางด้านวชิ าการตา่ งๆ มากมายโดยเฉพาะ ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี และวตั ถธุ รรมตา่ ง

26ตอนท่ี 1.2 ศาสนากับความจริงของชีวติ เร่ืองท่ี 1.2.1. ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับศาสนา 1.2.1.1 ความหมายของศาสนา ในประวตั ิศาสตร์ของมวลมนษุ ยชาติ ไมเ่ คยมีปรากฏวา่ ยคุ ใดสมยั ใด หรือแม้แตช่ นเผ่าใดๆ ท่ีไมม่ ีการนบั ถือเร่ืองที่เก่ียวข้องกบั ความเช่ือ หรือศาสนา ดงั นนั้ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนามีอิทธิพลตอ่ การดารงชีวิตและเป็ นท่ียอมรับนบั ถือกนั อยา่ งแพร่หลายในทว่ัทกุ สงั คมมนษุ ย์ นบั ตงั้ แตย่ คุ ดกึ ดาบรรพ์จนถึงยคุ ปัจจบุ นั ศาสนาจึงเป็ นคาที่ทกุ คนค้นุ เคยและได้ยินมานาน ทัง้ ในมิติของความย่ิงใหญ่ ความลีล้ ับ การมีความหมายต่อความสาคัญของการเป็ นไปของชีวิตมนษุ ย์ ดงั นนั้ จึงมีความจาเป็ นและสาคญั อย่างยิ่งท่ีเราจะต้องศกึ ษาให้เข้าใจภูมิหลงั ของศาสนาตา่ งๆ ท่ีมีมนษุ ย์นบั ถืออยทู่ วั่ ทกุ แหง่ ทวั่ โลกในภาพกว้างดงั ประเดน็ ตอ่ ไปนี ้ คาวา่ ศาสนา นกั ปราชญ์ได้นยิ ามความหมายไว้แตกตา่ งกนั อย่มู าก จึงขอนาเสนอความหมายท่ีควรทราบ ดงั นี ้ ก. ความหมายตามรูปศัพท์ คาว่า \"ศาสนา\" มาจากคาในภาษาสนั สกฤต คือ \"ศาสน\" ในภาษาบาลี คอื \"สาสน\" แปลวา่ คาสง่ั สอน หรือการปกครอง โดยแยกอธิบายตามความหมายของคาได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) คาสง่ั สอน แยกเป็ น คาสง่ั หมายถึง ข้อห้ามทาความชวั่ เรียกว่าศีล หรือ วินยั คาสอน หมายถึง คาแนะนาให้ทาความดี ท่ีเรียกวา่ ธรรม เม่ือรวมคาสงั่ คาสอน จึงหมายถึง ศีลธรรม หรือศีลกบั ธรรม นนั่ คือมีทงั้ ข้อห้ามทาความชวั่ และแนะนาให้ทาความดี คาสง่ัสอน ต้องประกอบหลกั ความเชื่อในอานาจของสิ่งที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตา มีหลักศีลธรรม มีจดุ หมายสงู สดุ ในชีวิต มีพธิ ีกรรม และมีความเข้มงวดกวดขนั ในเรื่อง ความจงรักภกั ดี 2) การปกครอง หมายถึง การปกครองควบคุมจิตใจตนเองอย่เู สมอและรับผิดชอบการกระทาทกุ อย่างของตน การสามารถปกครองจิตใจของตนได้ จะทาให้บคุ คลไม่ทาความชวั่ สว่ นในภาษาองั กฤษ คาวา่ \"ศาสนา\" ตรงกบั คาว่า \"ReligionW ซึ่งมาจากภาษาละตนิ วา่ \"Religio\" แปลวา่ สมั พนั ธ์ หรือ ผกู พนั หมายถงึ ความสมั พนั ธ์หรือความผกู พันระหว่างมนษุ ย์กบั พระเจ้า[9] แตเ่ สถียร พนั ธรังษีกลา่ วว่า คาวา่ Religion ในภาษาองั กฤษ มาจากภาษาละตนิ วา่ Religare หรือ Relegere ตรงกบั คาวา่ Together คือ การรวมเข้าด้วยกนั (ระหว่างส่ิงหน่ึงกับส่ิงหน่ึง) มีความหมายว่า ผูกพันหรือสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง 2 ส่ิง ให้เป็ นส่ิงเดียวกัน

27หมายความว่า ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนษุ ย์กับอานาจเหนือมนษุ ย์ ความหมายโดยตรงในท่ีนี ้คือการสมั พนั ธ์ (ทางวญิ ญาณ) ระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจ้า[10] สรุปได้วา่ ความหมายตามรูปศพั ท์ภาษาบาลีสนั สกฤต คาวา่ ศาสนาหมายถึง คาสงั่ สอนท่ีประกอบด้วยหลกั ศีลธรรมทงั้ ท่ีเป็นข้อห้ามและข้อควรปฏิบตั ิ สว่ นในภาษาองั กฤษ คาวา่ ศาสนา หมายถงึ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจ้า โดยมีการยอมมอบกายถวายชีวิตของตนให้พระเจ้าด้วยความจงรักภกั ดี ต้องมีหลกั ความเช่ือเรื่องพระเจ้า หรืออานาจที่อยเู่ หนือการรับรู้ด้วยประสาทสมั ผสั ในฐานะเป็ นแหลง่ กาเนิดของสรรพสงิ่ ในโลก ข. ความหมายตามทศั นะของชาวตะวันออก ความหมายของคาว่า ศาสนา ตามทศั นะของชาวตะวันออกและชาวตะวนั ตกจะมีความหมายแตกตา่ งกนั โดยชาวตะวนั ออกจะมีทศั นะของศาสนา ดงั ตอ่ ไปนี ้ พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน[11] อธิบายความหมายไว้วา่ศาสนา คือ ลทั ธิ ความเชื่อถือของมนษุ ย์ อนั มีหลกั คือ แสดงกาเนิดและความสิน้ สดุ ของโลก เป็ นต้น อันเป็ นไปในฝ่ ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง พร้ อมทงั้ ลัทธิท่ีจะกระทาตามความเห็นหรือตามคาสง่ั สอน ในความเช่ือถือนนั้ ๆ หลวงวิจิตรวาทการ[12] กล่าวว่า ศาสนาเป็ นเรื่องท่ีถือว่ามีความศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ มีคาสอนทางจรรยา มีศาสดา มีคณะบคุ คลท่ีรักษาความศกั ดสิ์ ทิ ธิ์และคาสอนไว้ เช่นพระหรือนกั บวช และมีการกวดขนั เร่ืองความจงรักภกั ดี แสง จันทร์งาม[13] กล่าวว่า ศาสนาตามความหมายที่ใช้กันอยู่ตามทศั นะของ ชาวตะวนั ออกเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดีย ไม่ว่าจะแฝงตวั อย่ใู นคาว่า ธรรม หรือศาสนา หมายถึงหลกั การอนั ถกู ต้องและสอดคล้องกบั กฎจกั รวาลที่พระศาสดาค้นพบและสง่ั สอนไว้ให้คนปฏิบตั ิตามเพื่อจะได้ดารงชีวิตอย่อู ย่างเป็ นสขุ ในโลกนี ้และเมื่อตายไปแล้ว ก็จะได้บรรลุฝ่ังโลกตุ ตรอนั เป็นนริ ันดร ส่วนตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนา คาวา่ ศาสนาไมม่ ีความหมายตรงกบั คาว่า Religion เพราะศาสนาในคาวา่ พทุ ธศาสนา มีความหมายวา่ คาสง่ั สอนของทา่ นผ้รู ู้ไม่มี หลักความเช่ือว่า พระเจ้าเป็ นผู้สร้ างโลก แต่มีหลักความเชื่อว่า กรรมเป็ นผู้สร้ างโลกและสรรพส่ิง ไมม่ ีหลกั คาสอนให้เชื่อโดยไมผ่ า่ นการพิสจู น์ ไมบ่ งั คบั ให้เชื่อ ไม่มีหลกั การยอมมอบตนให้พระเจ้า

28 ค. ความหมายตามทัศนะของชาวตะวันตก นักวิชาการชาวตะวันตกจะมีทัศนะเก่ียวกับศาสนาต่างจากนกั วิชาการ ชาวตะวนั ออก โดยมีทศั นะว่า ศาสนา คือ การมอบศรัทธาบูชาพระเจ้าผ้มู ีอานาจอยู่เหนือตนด้วยความยาเกรง ศาสนาจะต้องมีลกั ษณะของความเช่ือ 4 ประการ คอื 1) พระเจ้าเป็นผ้สู ร้างโลกและสรรพสิง่ 2) คาสอนทงั้ หมดมาจากโองการของพระเจ้า 3) หลกั ความเชื่อบางอย่างท่ีอย่เู หนือการพิสจู น์นนั้ ศาสนิกจะต้องเช่ือโดยปราศจากข้อสงสยั เพราะเป็นหลกั คาสอนท่ีบริสทุ ธิ์ของพระเจ้า 4) ต้องยอมมอบตน และการกระทาของตนและสิ่งอื่นๆท่ีเกี่ยวข้องกบั ตนเองให้พระเจ้าด้วยความจงรักภกั ดโี ดยปราศจากข้อโต้แย้ง ดังนัน้ ตามทัศนะของชาวตะวันตก ศาสนา หมายถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจ้าเสมอ การปฏิบตั ขิ องศาสนกิ ชนก็เป็ นการเอาอกเอาใจรับใช้พระเจ้าโดยวิธีการต่างๆ เป็ นระบบความเชื่อและการปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างจงรักภักดี หรือความสมั พนั ธ์อนั แนบแนน่ ระหวา่ งมนษุ ย์กบั อานาจศกั ดส์ิ ิทธิ์เหนือธรรมชาติ นน่ั คือ พระเจ้า สรุปได้วา่ เมื่อกลา่ วโดยภาพรวม ตามทศั นะของชาวตะวนั ออกและชาวตะวนั ตก ศาสนา หมายถึง คาสอนท่ีศาสดานามาเผยแผส่ ง่ั สอน แจกแจง แสดงให้มนษุ ย์ละเว้นจาก ความชว่ั กระทาแตค่ วามดี เพ่ือประสบสนั ตสิ ขุ ในชีวิตทงั้ ในระดบั ธรรมดาสามญั และความสขุ สงบนริ ันดร ซง่ึ มนษุ ย์ยดึ ถือปฏิบตั ติ ามคาสอนนนั้ ด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาคาสอนของศาสนาจะมีลกั ษณะเป็นสจั ธรรมท่ีมีอยใู่ นธรรมชาตแิ ล้วศาสดาเป็นผ้คู ้นพบ หรือจะเป็นโองการที่ศาสดารับมาจากพระเจ้าก็ได้ 1.2.1.2 องค์ประกอบของศาสนา ศาสนา มีลกั ษณะหลายประการประกอบกนั ดงั ที่หลวงวิจิตรวาทการได้กลา่ วถึงองค์ประกอบของศาสนา คือ 1) ศาสนาต้องเป็ นเร่ืองที่เช่ือถือโดยความศกั ดิ์สิทธ์ิ และไม่ใช่เช่ือถือเปลา่ ๆ ต้องเคารพบชู าด้วย 2) ศาสนาต้องมีคาสอนทางธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์เกี่ยวกบั ความประพฤตปิ ฏิบตั เิ พ่ือบรรลผุ ลอนั ดงี าม 3) ศาสนาต้องปรากฏตวั ผ้สู อน ผ้ตู งั้ ผ้ปู ระกาศ ท่ีรู้กนั แน่นอนและยอมรับวา่ เป็นความจริงทางประวตั ศิ าสตร์

29 4) ศาสนาต้องมีคณะบคุ คลทาหน้าที่โดยเฉพาะสาหรับรักษาความศกั ด์ิสิทธ์ิและคาสอนนนั้ สืบตอ่ มา บคุ คลคณะนี ้เรียกกนั ว่า พระ ถือเป็ นวรรณะและเป็ นเพศพิเศษ ตา่ งกบั สามญั ชน เรียกวา่ สมณเพศ นอกจากนีแ้ สง จนั ทร์งาม กลา่ วว่า ศาสนาในฐานะเป็ นสถาบนัต้องมีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั 8 ประการ คือ 1) ศาสดาผ้ใู ห้กาเนิด 2) ประมวลคาสอน 3) คมั ภีร์ 4) นกั บวช 5) ศาสนกิ ชน 6) ศาสนสถาน 7) ศาสนวตั ถุ 8) สญั ลกั ษณ์ทางศาสนา 5) ศาสนาต้ องมีการกวดขันเรื่องความภักดี ซึ่งเรียกว่าFidelity หมายความว่าถ้าถือศาสนาหนึ่งแล้วจะไปถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้ แม้แตจ่ ะเคารพปชู นียสถานของศาสนาหรือลทั ธิอ่ืนก็ถือเป็นบาป เดือน คาดี กล่าวไว้ ในลักษณะเดียวกันว่า ศาสนามีองค์ประกอบมากมายหลายอยา่ ง แตท่ ่ีถือวา่ สาคญั ที่สดุ มี 5 ประการ คือ 1) ศาสดา คือ ผ้ตู งั้ ศาสนาหรือผ้สู อนดงั้ เดมิ 2) คมั ภีร์ศาสนา คือ ท่ีรองรับหลกั ธรรมคาสอนในศาสนานนั้ ๆ 3) นกั บวชหรือผ้สู ืบตอ่ ศาสนา 4) ศาสนสถาน คือ สถานที่สาคญั ของศาสนา หรือปชู นียสถาน 5) สญั ลกั ษณ์ คือ เครื่องแสดงออกของศาสนาด้านพิธีกรรมและปชู นียวตั ถุ

30 ตามทัศนะของนักวิชาการที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ส่ิงท่ีเรียกวา่ ศาสนาอยา่ งสมบรู ณ์ต้องมีองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) ศาสดา คอื ผ้กู อ่ ตงั้ ศาสนา ซงึ่ ต้องมีชีวิตอยจู่ ริงในประวตั ศิ าสตร์ 2) ศาสนธรรม คือ คาสอนซงึ่ เป็ นหลกั ของศาสนา มีคมั ภีร์เป็ นท่ีรวบรวมคาสอน 3) ศาสนทายาท คือ บุคคลผู้สืบทอดคาสอนของศาสนา ซึ่งเป็นผ้ปู ฏิบตั ติ ามหลกั คาสอนของศาสนาโดยตรง 4) ศาสนพธิ ี คือ พธิ ีกรรมท่ีเกี่ยวเน่ืองมาจากคาสอนของศาสนา 5) ศาสนสถาน คอื สถานท่ีประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีตา่ งๆ 6) ศาสนกิ ชน คอื บคุ คลผ้นู บั ถือเล่ือมใสศรัทธาในศาสนานนั้ ๆ องค์ประกอบทงั้ หมดนี ้ บางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหน่ึงไปแตก่ ็ยงั ถือวา่ เป็นศาสนา เชน่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ขาดองค์ประกอบข้อท่ีหน่ึง คือ ศาสดาไม่ได้มีชีวติ อยจู่ ริงในประวตั ศิ าสตร์ ศาสนาอิสลามขาดองค์ประกอบข้อ 5 คือ ศาสนบคุ คล เพราะผ้นู บั ถือศาสนาอิสลามไมม่ ีการถือเพศเป็นบรรพชติ คงมีแตเ่ พศฆราวาสเทา่ นนั้ 1.2.1.3 มูลเหตกุ ารเกิดของศาสนา มูลเหตุที่ทาให้เกิดศาสนานนั้ มีมากมายหลายอย่าง แล้วแต่สภาพแวดล้อมของแตล่ ะกลมุ่ ชนและยคุ สมยั นกั การศาสนามีทศั นะที่คล้ายคลงึ กนั เกี่ยวกบั มลู เหตุท่ีทาให้เกิดศาสนา ดงั นีค้ อื 1) ความไม่รู้ ความไมร่ ู้ ได้แก่ ความไมร่ ู้เหตผุ ล เร่ิมตงั้ แตค่ วามไม่รู้เหตผุ ลทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ชีววิทยา และไม่รู้จกั ธรรมชาติอื่นๆที่มีอย่รู อบตวั เม่ือมนษุ ย์ไม่รู้หรือเข้าใจไม่ แจ่มแจ้งในปรากฏการณ์ธรรมชาตริ อบตวั เช่น ฝนตก ฟ้ าแลบ ฟ้ าร้อง ฟ้ าผ่า เป็ นต้น จึงหาคาตอบออกมาในลกั ษณะตา่ งๆ เมื่อไม่ทราบสาเหตทุ ่ีแท้จริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงพากนั คดิ วา่ จะต้องมีส่งิ เหนือธรรมชาตซิ ่ึงอาจเป็นพระเจ้า หรือสิ่งศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิที่มีอานาจเหนือมนษุ ย์ จงึมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอนให้เมตตาปรานี ความคิดเช่นนีจ้ ึงเป็ นมูลเหตทุ าให้เกิดศาสนาขึน้ศาสนาของคนในยคุ โบราณสว่ นใหญ่มีสาเหตมุ าจากความไมร่ ู้

31 2) ความกลัว ความกลวั เป็ นมูลเหตทุ ี่ตอ่ เนื่องจากความไม่รู้ กล่าวคือ เมื่อเกิดความไม่รู้หรือ ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งขึน้ ทาให้เกิดความกลวั ในสิ่งที่ตนไมร่ ู้ไม่เข้าใจ จึงคดิ หาทางเอาอกเอาใจใน ส่ิงนนั้ ในรูปของการเคารพกราบไหว้ เซ่นสรวงบูชา ตลอดจนบนบานศาลกล่าวเพ่ือไมใ่ ห้บนั ดาลภยั พบิ ตั แิ กต่ น แตใ่ ห้บนั ดาลความสขุ สวสั ดีมาให้ เป็นต้น 3) ความภกั ดี ความภกั ดี ได้แก่ ความเช่ือและความเล่ือมใส ด้วยมน่ั ใจวา่ ส่ิงที่ตนเชื่อและเล่ือมใสนนั้ เป็ นสิ่งศกั ด์ิสิทธิ์ที่สามารถอานวยประโยชน์แก่ตนได้ ศาสนาที่มีมูลเหตุเกิดจากความภกั ดไี ด้แกศ่ าสนาประเภทเทวนยิ ม 4) ปัญญา เม่ือมนษุ ย์ทาการศกึ ษาธรรมชาตแิ ละสภาพแวดล้อมทาให้เกิดความรู้ความ เข้าใจความจริงในปรากฏการณ์ทางธรรมชาตมิ ากขนึ ้ ดงั นนั้ มนษุ ย์จงึ พยายามเรียนรู้ธรรมชาตแิ ละหาวธิ ีควบคมุ ธรรมชาติ เพราะมีความเข้าใจแล้ววา่ ความอยรู่ อดปลอดภยั ของมนษุ ย์ไมไ่ ด้เกิดมาจากอานาจดลบนั ดาลของพระเจ้าหรือผีสางเทวดา แตเ่ กิดจากการกระทาของมนษุ ย์เอง จงึ ทาให้เกิดศาสนาประเภทอเทวนยิ มซง่ึ ไมเ่ ชื่อในอานาจศกั ดสิ์ ิทธิ์ของส่ิงท่ีอยเู่ หนือธรรมชาตขิ นึ ้ เป็ นศาสนาท่ีเน้นความรู้ประจกั ษ์แจ้งความจริงเป็นสาคญั เชน่ พทุ ธศาสนา เป็นต้น 1.2.1.4 ความสาคัญของศาสนา ศาสนาไมส่ ามารถแยกออกจากสงั คมได้ เพราะการแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมทางศาสนาของมนษุ ย์เป็ นพฤติกรรมทางสงั คมชนิดหนึ่ง ศาสนานนั้ เป็ นส่ิงที่สาคญัมากตอ่ สงั คมมนษุ ย์ เพราะมีอานาจและอิทธิพลท่ีย่ิงใหญ่และคงเส้นคงวาต่อวิถีชีวิตของมนษุ ย์แตไ่ ม่ว่าศาสนาใดๆ ก็ตาม ล้วนแตม่ ีลกั ษณะร่วมสาคญั คือ การสอนคนให้เป็ นคนดี มีศีลธรรมอยู่ในสงั คมได้อย่างสนั ติสขุ อีกทงั้ ยงั เป็ นท่ียึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีหลกั ในการดาเนินชีวิตที่ถกู ต้องดงั นนั้ ความสาคญั ของศาสนาจงึ มีมากมายนานปั การ พอสรุปได้ ดงั ตอ่ นี ้ 1) ศาสนาทาให้ เกิดความสามัคคี เพราะศาสนาเป็ นสายเชื่อมโยงให้มนษุ ย์ที่มีจานวนมากมายในสงั คมสามารถรวมกลมุ่ กนั ได้ ในทกุ ระดบั หนว่ ยของสงั คมตัง้ แต่ระดับบุคคลครอบครัว ระดับชาติตระกูล เผ่าพันธ์ุ เชือ้ ชาติ กลุ่มบุคคล ตลอดถึงระดบั ประเทศ และระดบั โลก เพราะศาสนาจะชว่ ยสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์อนั ดีตอ่ กนั ช่วยขจดั ช่องว่างทางสงั คม สร้าง ความไว้วางใจซงึ่ กนั และกนั ให้เกิดขนึ ้ เป็ นรากฐานแหง่ ความสามคั คี การร่วมแรงร่วมใจกนั พฒั นาชมุ ชน และสร้างความสงบสขุ ความมน่ั คงให้แก่ชมุ ชน

32 2) ศาสนาเป็ นตวั กาหนดรูปแบบของวฒั นธรรมของแตล่ ะสงั คมมีสว่ นกาหนดรูปแบบของวฒั นธรรม เช่น ภาษา วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี สถาปัตยกรรมศลิ ปกรรม ประตมิ ากรรม 3) ศาสนาเป็ นเคร่ืองสง่ั สอนให้มนษุ ย์ประพฤติปฏิบตั ิในทางที่ถกู ต้องดีงาม เป็ นประโยชน์ต่อตนเอง สงั คม และประเทศชาติ เป็ นเคร่ืองบาบดั ทกุ ข์และบารุงสุขให้แก่มนษุ ย์ ทงั้ ทางด้านร่างกายและจิตใจเปรียบเสมือนดวงประทีปโคมไฟท่ีให้ความสว่างแก่การดาเนินชีวติ ของมนษุ ย์ 4) ศาสนาเป็ นพลังใจให้มนุษย์สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไมห่ วนั่ ไหวตอ่ โลกธรรม ทาให้มีความสงบสุขและผาสกุ ในชีวิต ศาสนาจะช่วยยกระดบัจิตใจ ทาให้เป็ น ผู้ควรแก่การเคารพนบั ถือ อีกทงั้ ยงั ช่วยสร้ างจิตสานึกในคุณค่าของความเป็ นมนษุ ย์ให้กบั คนในสงั คมอีกด้วย 5) ศาสนาทาให้ มนุษย์ดาเนินชีวิตอย่างมีหลักยึด เพราะศาสนามีหลกั ศรัทธาและหลกั เหตผุ ลสาหรับให้ศาสนิกชนยึดเป็ นหลักในการดาเนินชีวิต แม้ว่าศาสนาตา่ งๆ จะมีหลกั การและวิธีปฏิบตั ิท่ีแตกตา่ งกนั แตศ่ าสนาทกุ ศาสนามีจดุ ม่งุ หมายเดียวกันคอื การให้มนษุ ย์ละความชว่ั ประพฤตติ นเป็นคนดี ซง่ึ นบั เป็นเป้ าหมายสงู สดุ ของศาสนิกชนของแต่ละศาสนา 6) ศาสนาช่วยให้มนษุ ย์ได้ประสบความสขุ สงบและสนั ตสิ ขุ ขนั้สงู จนกระทง่ั บรรลถุ ึงเป้ าหมายสงู สดุ ของชีวติ คือ หมดทกุ ข์โดยสนิ ้ เชงิ ได้ 7) ศาสนาเป็ นมรดกลา้ ค่าแห่งมนุษยชาติ เป็ นความหวงั และวิถีทางแหง่ ความอยรู่ อดของมวลมนษุ ยชาติ 8) ศาสนาทาให้เป็ นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เพราะหลักคาสอนในศาสนาม่งุ ให้มนุษย์พฒั นาจากสภาพสตั ว์ประเภทคนไปส่คู วามเป็ นมนษุ ย์ซ่ึงเป็ นสภาพท่ีสงู กว่าสตั ว์ เพราะคนที่ยงั ไม่ได้รับการพฒั นาก็ไม่แตกตา่ งอะไรจากสตั ว์ทว่ั ๆไป แต่มนุษย์แตกตา่ งจากสตั ว์ทวั่ ไปเพราะมีสานกึ ดีชวั่ ซง่ึ เกิดขนึ ้ จากการกล่อมเกลาจากหลกั ธรรมในทางศาสนา สรุปได้วา่ ศาสนามีคณุ คา่ ตอ่ มนษุ ย์ในทกุ ขนั้ ตอนของการดาเนินชีวิต เพราะศาสนาช่วยให้มีหลกั ที่ถกู ต้องในการดาเนินชีวิต ทาให้ชีวิตมีความหมายและความหวงัเป็ นแหล่งกาเนิดศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมท่ีดีงามของสังคม เป็ นสิ่งท่ีก่อให้เกิดเสถียรภาพและความสงบสุขในสังคม และเป็ นส่ิงยึดเหน่ียวจิตใจทาให้มนุษย์เป็ นส่ิงมีชีวิต ที่ประเสริฐกวา่ สิ่งมีชีวิตทงั้ หลายในโลกนี ้

33 เร่ืองท่ี 1.2.2 ประเภทของศาสนา ศาสนาเริ่มเกิดขึน้ เมื่อมีมนุษย์ขึน้ ในโลกและได้มีวิวฒั นาการมาตามลาดบั หลายขนั้ ตอน จึงทาให้ศาสนาแตกแยกออกเป็ นหลายประเภท เพราะความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ส่ิงแวดล้อม และความเชื่อถือ ทาให้เกิดศาสนาหลายรูปแบบขนึ ้ นกั วิชาการศาสนาได้จดั ประเภทของศาสนาไว้หลายลกั ษณะ เช่น จดั ตามสถานท่ีเกิด จดั ตามการมีอยหู่ รือไม่มีอยู่ จดัตามขอบเขตการนบั ถือ เป็ นต้น ในที่นีจ้ ะขอกลา่ วถึงประเภทของศาสนาเพียงบางลกั ษณะเท่านนั้ดงั นี ้ 1.2.2.1 แบ่งตามลักษณะของความเช่ือ ศาสนาท่ีแบ่งตามลักษณะของความเชื่อนัน้ มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ศาสนาเทวนิยม (Theism) คือ ศาสนาท่ีเช่ือมนั่ ในความย่ิงใหญ่และความศกั ดสิ์ ิทธิ์ของพระเจ้า กลา่ วคือ ศาสนาที่เช่ือว่าพระเจ้าสร้างโลกและสรรพส่ิงในโลก ทรงดลบนั ดาลให้สรรพสง่ิ ท่ีพระองค์ทรงสร้างนนั้ เป็ นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ศาสนาประเภทนีแ้ บง่ ยอ่ ยออกไปอีกเป็น 3 ประเภท คือ ก. สพั พตั ถเทวนิยม (Pantheism) ได้แก่ ความเช่ือว่าทุกหนทกุ แหง่ ในโลกและจกั รวาลมีพระผ้เู ป็นเจ้าสถิตอยทู่ งั้ สนิ ้ เชน่ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เป็นต้น ข. พหเุ ทวนยิ ม (Polytheism) ได้แก่ ความเชื่อวา่ พระเจ้ามีหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีความย่ิงใหญ่และคุณสมบตั ิที่แตกต่างกัน เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนากรีกโบราณ เป็นต้น ค. เอกเทวนิยม (Monotheism) ได้แก่ ความเช่ือว่าพระเจ้าท่ียงิ่ ใหญ่มีเพียงองค์เดียวเทา่ นนั้ เชน่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เป็นต้น 2) ศาสนาอเทวนิยม (Atheism) คือ ศาสนาท่ีปฏิเสธความมีอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธอานาจในการสร้ างโลกและสรรพส่ิงของพระเจ้า ไม่ยอมรับนับถือความศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ของ พระเจ้า ได้แก่ พทุ ธศาสนา ศาสนาเชน เป็นต้น 1.2.2.2 แบ่งตามการได้รับการนับถอื ศาสนาแบง่ ตามสถานภาพการได้รับการนบั ถือในปัจจบุ นั มี 2ประเภท[14] คอื 1) ศาสนาท่ีไมม่ ีผ้นู บั ถือแล้ว (Dead Religions) คือ ศาสนาที่เคยมีผ้นู บั ถือมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบนั ไม่มีผ้นู บั ถือแล้ว เหลือแตช่ ่ือในประวตั ิศาสตร์เทา่ นนั้ นกั

34การศกึ ษาศาสนาได้ประมวลไว้ 12 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาในอียิปต์โบราณ ศาสนาของชาวเปรูโบราณ ศาสนาของชาวแม็กซิกนั โบราณ ศาสนามิถรา ศาสนามนีกี ศาสนาของชนเผ่าบาบโิ ลเนียศาสนาของชนเผ่าฟิ นิเซีย ศาสนาของพวกฮิตไตต์ ศาสนาของพวกกรีกโบราณ ศาสนาของพวกโรมนั โบราณ ศาสนาของพวกตวิ ตนั ยคุ แรก ศาสนาของพวกสแกนดเิ นเวีย 2) ศาสนาที่ยงั มีผ้นู บั ถืออยู่ (Living Religion) คือ ศาสนาท่ียงั มีผ้นู บั ถืออยใู่ นปัจจบุ นั นกั การศกึ ษาศาสนา ได้ประมวลไว้ 12 ศาสนา คือ ก. ศาสนาที่เกิดในเอเชียตะวันออก คือ จีน ญี่ป่ ุนจานวน 3 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาเตา๋ ศาสนาขงจ๊ือ และศาสนาชนิ โต ข. ศาสนาท่ีเกิดในเอเชียใต้ คือ อินเดีย จานวน 4ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน ศาสนาพทุ ธ และศาสนาซิกข์ ค. ศาสนาท่ีเกิดในเอเชียตะวนั ตก คอื ปาเลสไตน์เปอร์เซีย และอาหรับ จานวน 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาโซโรอสั เตอร์ ศาสนายดู าย หรือยวิ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาบาไฮ เร่ืองท่ี 1.2.3 ววิ ัฒนาการของศาสนา ไม่ว่ายุคสมัยใด มนุษย์ต่างก็ต้ องการให้ ชีวิตมีความสุข ความปลอดภยั และมีชีวิต ยืนยาว มนษุ ย์ทาทกุ อยา่ งก็เพ่ือจดุ หมายดงั กลา่ ว อนั เป็ นที่มาของการนบั ถือศาสนา โดยมีววิ ฒั นาการ ดงั นี ้ 1.2.3.1 การบูชาธรรมชาติ ศาสนาดงั้ เดิมของมนุษย์เป็ นศาสนาที่ยังไม่มีแนวคิดทางปรัชญาที่ลกึ ซงึ ้ เป็นศาสนาแบบง่ายๆ ไมม่ ีกรรมวธิ ีที่ซบั ซ้อน เป็ นศาสนาเกี่ยวกบั ธรรมชาติและเกิดมาจากความกลวั ต่อปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ศาสนาลกั ษณะนีเ้ รียกว่า ศาสนาบูชาธรรมชาติโดยตรงแบบง่ายๆ เพราะมนษุ ย์ในระยะแรกเร่ิมยงั ไมเ่ จริญด้วยสติปัญญา ไม่สามารถคิดอะไรได้ลึกซงึ ้ ดารงชีวิตอย่ทู า่ มกลางธรรมชาตติ า่ งๆ เมื่อประสบกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตติ า่ งๆ เช่นพายฟุ ้ าคาราม ไฟ เป็ นต้น ก็เกิดความกลวั จึงพากนั เคารพบูชาปรากฏการณ์นนั้ ๆ โดยตรง เพราะสมองยงั ไมเ่ จริญพอที่จะคดิ ถึงพลงั อานาจอนั เป็นนามธรรมที่อยเู่ บือ้ งหลงั ปรากฏการณ์เหล่านนั้ ได้จึงได้พากนั บชู าธรรมชาติ เช่น การบชู าฟ้ าและแผ่นดนิ การบชู าปรากฏการณ์ในท้องฟ้ า การบชู าปรากฏการณ์บนดินและในดิน การบูชาสตั ว์ การบชู าก้อนหินและภูเขา การบชู าป่ าไม้และต้นไม้เป็ นต้น

35 1.2.3.2 การบูชาธรรมชาตวิ ิญญาณนิยม มนษุ ย์ในยคุ แรกนนั้ หวาดกลวั ตอ่ ความโหดร้ายของธรรมชาติและช่ืนชมยนิ ดีตอ่ ความสขุ ท่ีธรรมชาตดิ ลบนั ดาลให้ แตพ่ วกเขาไม่ได้คดิ หาสาเหตวุ า่ เพราะเหตใุ ดธรรมชาติจึงมีอานาจเช่นนนั้ ตอ่ มาเม่ือมนษุ ย์เจริญขึน้ ๆ จึงพากันคิดสงสยั อานาจอนั เหลือล้นของธรรมชาตนิ นั้ แตแ่ ล้วพวกเขาก็ได้ข้อคิดใหมว่ ่าการที่ธรรมชาตมิ ีอานาจเชน่ นนั้ น่าจะมีอานาจลกึ ลบั อะไรสกั อยา่ งสิงห์สถิตอยเู่ บอื ้ งหลงั ของธรรมชาตนิ นั้ แล้วพวกเขาก็เรียกอานาจลึกลบั นนั้ ไปต่างๆกัน ท่ีให้คุณก็เรียกว่า เทวดา ที่ให้โทษก็เรียกว่า ผี ทัง้ เทวดาและผีรวมเรียกว่า วิญญาณต่อมาเมื่อมนุษย์เจริญมากขึน้ ๆ ก็ได้สร้ างสรรค์ศิลปะการวาดภาพเขียนขึน้ มนุษย์ได้วาดภาพเทวดาและผีให้มีรูปร่างแตกตา่ งกนั ได้วาดภาพเทวดาให้สวยงามนา่ รักน่าเล่ือมใสเพราะถือว่าเป็ นสญั ลกั ษณ์แหง่ ความดีงาม แตว่ าดภาพผีให้น่าเกลียด น่ากลัว เพราะเป็ นสญั ลกั ษณ์แหง่ ความชว่ัร้าย และพวกเขาก็บชู าเทวดาท่ีพวกเขาคดิ วา่ มีอานาจดลบนั ดาลให้คณุ และโทษแก่พวกเขาซง่ึ ซอ่ นตวั เองอยเู่ บอื ้ งหลงั ปรากฏการณ์ของธรรมชาตินนั้ ๆ 1.2.3.3 การบูชาธรรมชาตพิ หเุ ทวนิยม เมื่อมนษุ ย์ได้พฒั นาความเข้าใจเร่ืองวิญญาณให้ชดั เจนย่ิงขึน้จึงมีความเข้าใจว่าวิญญาณมีความศักด์ิสิทธ์ิ มีพลังอานาจอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ จึงพากันเรียกช่ือวิญญาณใหม่วา่ เทวดา หรือเทพเจ้า ซึง่ สิงห์สถิตอย่ใู นธรรมชาติทว่ั ไป จงึ เกิดการเรียกชื่อต่างๆ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระวิรุณ พระอคั นี เป็ นต้น แนวความคิดเช่นนีท้ าให้เกิดการพฒั นาเป็นแนวความคดิ แบบพหเุ ทวนิยม คือ การยกยอ่ งเหลา่ วิญญาณตา่ งๆ ให้มีฐานะสงู ขนึ ้ เป็ นเทพเจ้าหรือพระเจ้า ซง่ึ มีอยจู่ านวนมากในปรากฏการณ์ทางธรรมชาตติ า่ งๆ 1.2.3.4 การบูชาธรรมชาตกิ ารนับถือเทพเจ้าประจากลุ่ม คาวา่ เทพเจ้าประจากลมุ่ นี ้คือ การนบั ถือเทพเจ้าประจากล่มุของตนเป็ นสาคญั แตไ่ มไ่ ด้ปฏิเสธวา่ เทพเจ้าของชนกล่มุ อื่นไม่มี พวกเขายืนยนั ว่ามีเหมือนกนั แต่ไมส่ าคญั เทา่ เทพเจ้าประจากล่มุ ของตนเอง แนวความคดิ นีไ้ ด้วิวฒั นาการมาจากกลมุ่ พหเุ ทวนิยมนั่นเอง และอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มพหุเทวนิยม (Polytheism) และกลุ่มเอกเทวนิยม(Monotheism) เชน่ ชาวอินเดียโบราณ แตล่ ะวรรณะจะนบั ถือเทพเจ้าประจาวรรณะของตวั เองเป็ นพเิ ศษ ในขณะเดียวกนั กบั พวกเขาก็จะนบั ถือเทพเจ้าของวรรณะอ่ืนเหมือนกนั แตไ่ มถ่ ือว่าสาคญัเทา่ เทพเจ้าประจากลมุ่ ของตวั เอง เชน่ พวกพราหมณ์จะนบั ถือพระพฆิ เณศร์ คือเทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา พวกไวศยะ คือ ชาวไร่ชาวนาจะนบั ถือพระวิรุณ(ฝน) พระแมธ่ รณีเป็นพเิ ศษ เป็นต้น

36 1.2.3.5 การบูชาธรรมชาติ เอกเทวนิยม คาวา่ เอกเทวนิยม หมายถึง การนบั ถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเป็ นแนวคดิ ที่วิวฒั นาการมาจากการนบั ถือพระเจ้าหลายองค์นนั่ เอง เพราะการท่ีมนษุ ย์มีพระเจ้ามากมายหลายองค์ ทาให้เกิดความแตกแยกเป็นกล่มุ ตา่ งๆ ไม่สามารถรวมกนั เป็ นปึกแผน่ ในสงั คมขึน้ มาได้ ทาให้ผู้เป็ นใหญ่ในกลุ่มพยายามหาส่ิงยึดเหน่ียวจิตใจของคนในกลุ่มต่างๆ เพ่ือจะได้รวมกล่มุ เป็ นอนั หนึง่ อนั เดียวกนั จึงประกาศคาสอนไปในทานองที่ว่ามีพระเจ้าผ้ยู ิ่งใหญ่สงู สุดอยู่เพียงองคเ์ ดียวเทา่ นนั้ ที่ทรงเป็นผ้สู ร้างโลกและสรรพสิ่งทรงดลบนั ดาลทกุ สิ่งทกุ อย่างแนวความคดิเชน่ นี ้เชน่ ทศั นะเรื่องพระเจ้าในศาสนายิว คริสต์ อิสลาม และซกิ ข์ เป็นต้น 1.2.3.6 อเทวนิยม เมื่อมนษุ ย์หมกมนุ่ อย่กู บั ความเชื่อเรื่องพระเจ้ามาเป็นเวลานาน ก็มีมนษุ ย์บางคนคิดแปลกไปจากเดมิ โดยคดิ ในเชงิ ปฏิเสธพระเจ้าและเทพเจ้าตา่ งๆ โดยมีความคดิ ว่า ไมม่ ี พระเจ้าท่ีเป็นผ้สู ร้างโลกและสรรพสง่ิ เพราะสรรพสิง่ เกิดขนึ ้ เองโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เมื่อเกิดขนึ ้ เป็นไปแล้วก็แตกสลายไปตามกระบวนการทางธรรมชาตเิ ชน่ เดียวกนัแนวความคดิ แบบนี ้เชน่ พทุ ธศาสนา และศาสนาเชน และศาสนาเตา๋ เป็นต้น จากท่ีกลา่ วมาข้างต้น สรุปได้วา่ ศาสนามีวิวฒั นาการมาจากความคิดท่ีเรียบง่ายโดยการบูชาธรรมชาติ เช่น การบชู าฟ้ าและแผ่นดิน การบชู าปรากฏการณ์ในท้องฟ้ าเป็ นต้น ต่อมาจึงมีแนวความคิดว่าในปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินนั้ ๆน่าจะมีวิญญาณหรือพลังลกึ ลบั อยเู่ บอื ้ งหลงั หรือแม้กระทง่ั บรรพบรุ ุษที่ตายไปแล้วก็จะมีฐานะเป็นวิญญาณท่ีสิงห์สถิตอย่ใู นธรรมชาติ แนวความคิดเชน่ นีเ้ รียกว่า วิญญาณนิยม ตอ่ มาวิญญาณเหล่านนั้ ก็ถูกเข้าใจว่ามีพลงัอานาจที่อยเู่ หนือวสิ ยั ของมนษุ ย์ธรรมดาทว่ั ไป สามารถดลบนั ดาลความสขุ ความทกุ ข์ให้แก่มวลมนษุ ยชาติจึงทาให้เหล่าวิญญาณเหล่านนั้ มีฐานะเป็ นพระเจ้ าหรือเทพเจ้าต่างๆ ซึ่งมีอย่จู านวนมาก เรียกว่า พหเุ ทวนิยม เมื่อมนษุ ย์อยรู่ วมกนั เป็ นกล่มุ เป็ นเผ่าเป็ นสงั คม ก็พากนั นบั ถือและยกย่องเทพเจ้าที่ให้คุณและโทษเฉพาะแก่กล่มุ ของตนเท่านัน้ เรียกว่า การนบั ถือเทพเจ้าประจากลมุ่ เม่ือมีเทพเจ้าจานวนมากก็ทาให้เกิดความแตกแยกจงึ จาเป็ นต้องมีแนวคิดเร่ือง เทพเจ้าที่เป็ นหน่ึงเพียงองค์เดียว เรียกว่า เอกเทวนิยม และในท่ีสดุ เมื่อมนษุ ย์มีเหตผุ ลมากขนึ ้ จึงพากนั ปฏิเสธอานาจของพระเจ้า โดยมอบอานาจในการสร้างโลกและสรรพสิ่งให้แก่กระบวนการทางธรรมชาติซงึ่ ไมใ่ ชอ่ านาจการสร้างของพระเจ้าอีกตอ่ ไป เพราะพระเจ้าไมม่ ี อยจู่ ริง เรียกวา่ อเทวนยิ ม

37บทสรุป ปรัชญาเป็นศาสตร์เกี่ยวกบั การค้นหาความจริง การค้นหาความจริงเป็ นธรรมชาติของมนษุ ย์เป็ นการตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นอนั เป็ นสติปัญญาสงู ส่ง เป็ นลกั ษณะพิเศษที่ทาให้มนษุ ย์ตา่ งจากสตั ว์ชนิดตา่ งๆ ทาให้เกิดหลกั ปรัชญาอนั เป็ นศาสตร์สากล หรือความจริงทว่ั ไปซง่ึ เป็นความจริงพืน้ ฐานสาคญั สาหรับชีวติ และการเรียนรู้ทางวิชาการตา่ งๆ มนุษย์ได้พยายามค้นหาความจริงเก่ียวกบั โลก ชีวิตและส่ิงตา่ งๆ และได้พฒั นากลายเป็ นอารยธรรมที่มีคณุ ค่าต่อมวลมนษุ ย์ ทางตะวันตกเร่ิมต้ นที่ประเทศกรีก ทางตะวนั ออกเร่ิมต้นที่อินเดีย และจีน ปรัชญาตะวันตกได้พัฒนาจนเกิดองค์ความรู้ต่างๆ ที่สาคัญ เช่น จริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิตศิ าสตร์ จิตวิทยา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ โดยเฉพาะสามารถพฒั นาความจริงทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรัชญาจีนได้พฒั นาปรัชญามาเป็ น ลทั ธิสาคญั ของโลก เช่น ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจือ้ ฯลฯ ซ่ึงมีส่วนสาคัญในการสร้ างอารยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ใครๆ คงไม่อาจปฏิเสธความย่ิงใหญ่ของประเทศจีนได้ ก็ไม่สามารถปฏิเสธลทั ธิขงจือ้ ลทั ธิเตา๋ ได้ สว่ นประเทศอินเดียได้พฒั นาปรัชญามาเป็ นศาสนาสาคญั ทางโลก เช่น ศาสนาพุทธซ่ึงมีส่วนสาคัญต่อวิถีชีวิต และอารยธรรมของโลกซึ่งนับวันมีแต่จะโดดเด่นย่ิงขึน้ เพราะปรัชญาคาสอนท่ีทนตอ่ การพสิ จู น์และวทิ ยาศาสตร์ท่ีไมส่ ามารถหกั ล้างความจริงในหลกั คาสอนนนั้ได้

38 คาถามท้ายบทจงตอบคาถามต่อไปนี ้ 1. ศาสตร์เฉพาะกบั ศาสตร์สากลเหมือนหรือตา่ งกนั อย่างไร จงอธิบายให้เข้าใจและยกตวั อยา่ งโดยละเอียด 2. เหตใุ ดมนษุ ย์จงึ ต้องแสวงหาความจริงของชีวิต และคณุ คา่ ของการแสวงหาความจริงของชีวิตคอื อะไร 3. ลกั ษณะสาคญั ของกระบวนการทางปรัชญาในการแสวงหาความจริงเป็ นเช่นไรจงอธิบาย 4. ปรัชญาบริสทุ ธิ์มงุ่ แสวงหาคาตอบเพ่ือค้นหาความจริงในประเดน็ ใดบ้าง 5. จงสรุปสาระสาคญั วิวฒั นาการการค้นหาความจริงที่มีอิทธิพลตอ่ อารยธรรมโลกกระแสหลกั ได้แก่ อินเดยี จีน และแนวคดิ ทางตะวนั ตกมาพอสงั เขป 6. ความหมายของศาสนาในทางตะวันตกและตะวนั ออกเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร จงวิเคราะห์พร้อมอธิบายให้เข้าใจ 7. องค์ประกอบของศาสนามีอะไรบ้าง แตล่ ะองค์ประกอบมีความสาคญั อย่างไร จงอธิบาย 8. ววิ ฒั นาการของศาสนาเป็นอยา่ งไร จงอธิบายในภาพรวมอยา่ งกว้างๆ 9. จงบอกจงอธิบายความสาคญั ของศาสนากบั การใช้ชีวิตในสงั คมมนษุ ย์ 10. ศาสนาและปรัชญามีความสืบเนื่องและสมั พนั ธ์กนั อยา่ งไร จงอธิบายให้เข้าใจ

39 เอกสารอ้างองิ[1] จานงค์ ทองประเสริฐ. (2526). ปรัชญาตะวันตก สมัยกลาง. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาจฬุ าราชวทิ ยาลยั . หน้า 2.[2] Sharma, Chandradhar. (1964). A Critical Survey of Indian Philosophy, India: Motilal Banarsidass. p. 6.[3] จานงค์ ทองประเสริฐ. (2526). ปรัชญาตะวนั ตก สมยั กลาง. พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาจฬุ าราชวทิ ยาลยั . หน้า 1.[4] จานงค์ ทองประเสริฐ. (2526). ปรัชญาตะวนั ตก สมยั กลาง. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ มหาจฬุ าราชวทิ ยาลยั . หน้า 9.[5] Bakewell, Charles M. (1907) Source Book in Ancient Philosophy, Reprint. London: Forgotten Books, 2013. P. 216-7.[6] จานงค์ ทองประเสริฐ. (2526). ปรัชญาตะวนั ตกสมยั โบราณ. กรุงเทพฯ : พมิ พ์ลกั ษณ์. หน้า 9-11.[7] Kleinman, Paul. (2013). Philosophy 101. Massachusetts, U.S.A.: Adams Media. p. 184.[8] รุ่งธรรม ศจุ ิธรรมรักษ์. (2523). เอกสารการสอนชดุ วิชา มนษุ ย์กบั อารยธรรม. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธิราช, หน้า 215-216.[9] เดือน คาดี. (2541). ศาสนศาสตร์. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, หน้า 4.[10] เสฐียร พนั ธรังษี. (2542). ศาสนาเปรียบเทียบ. พมิ พ์ครัง้ ที่ 8. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ สขุ ภาพใจ, หน้า 8[11] ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2542). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542. กรุงเทพฯ : นานมีบคุ ส์ พบั ลิเคชน่ั ส์, หน้า 84[12] หลวงวจิ ิตรวาทการ. (2546). ศาสนาสากล เลม่ 1. กรุงเทพฯ : อษุ าการพมิ พ์, หน้า 17-19.[13] แสง จนั ทร์งาม, (2545) ศาสนศาสตร์. พิมพ์ครัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ไทยวฒั นาพานชิ , หน้า 10.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook