Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รักษ์โลก รักทรัพยากร

รักษ์โลก รักทรัพยากร

Published by 945sce00471, 2020-12-08 17:28:42

Description: รักษ์โลก รักทรัพยากร

Search

Read the Text Version

ทรัพยากรป่ าไม้และสัตว์ป่ า ป่าไมเ้ป็นทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีความสาคญั อยา่ งยิ่งตอ่ ส่ิงมชี ีวติ ไมว่ า่ จะเป็นมนุษยห์ รือสตั วอ์ น่ื ๆ เพราะป่าไมม้ ปี ระโยชน์ท้งั การเป็นแหลง่ วตั ถุดิบของปัจจยั สี่ คอื อาหาร เครื่องนุง่ หม่ ท่อี ยอู่ าศยั และยา รักษาโรคสาหรบั มนุษย์ และยงั มปี ระโยชน์ในการรกั ษาสมดุลของส่ิงแวดลอ้ ม ถา้ ป่าไมถ้ ูกทาลายลงไปมาก ๆ ยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ สภาพแวดลอ้ มท่ีเกย่ี วข้องอ่ืน ๆ เชน่ สตั วป์ ่า ดิน น้า อากาศ ฯลฯ เมอ่ื ป่าไมถ้ ูก ทาลาย จะสง่ ผลไปถงึ ดินและแหลง่ น้าดว้ ย เพราะเมอื่ เผาหรือถางป่าไปแลว้ พน้ื ดนิ จะโลง่ ขาดพืชปก คลมุ เมอ่ื ฝนตกลงมากจ็ ะชะลา้ งหนา้ ดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป นอกจากน้นั เมอื่ ขาดตน้ ไมค้ อย ดูดซบั น้าไวน้ ้ากจ็ ะไหลบา่ ทว่ มบา้ นเรือน และที่ลมุ่ ในฤดนู ้าหลากพอถงึ ฤดแู ลง้ กไ็ มม่ นี ้าซึมใต้ดินไวห้ ลอ่ เล้ียงตน้ น้าลาธารทาให้แมน่ ้ามนี ้านอ้ ย สง่ ผลกระทบตอ่ มาถึงระบบเศรษฐกจิ และสงั คม เชน่ การขาดแคลน น้าในการการชลประทานทาใหท้ านาไมไ่ ดผ้ ลขาดน้ามาผลิตกระแสไฟฟ้ า ประเภทของป่ าไม้ในประเทศไทย ประเภทของป่าไมจ้ ะแตกตา่ งกนั ไปข้นึ อยูก่ บั การกระจายของฝน ระยะเวลาทีฝ่ นตกรวมทง้ั ปริมาณน้าฝนทา ให้ป่าแตล่ ะแหง่ มคี วามชมุ่ ชนื้ ตา่ งกนั สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ก. ป่าประเภททไ่ี มผ่ ลดั ใบ (Evergreen) ข. ป่าประเภททีผ่ ลดั ใบ (Deciduous) ป่ าประเภทท่ไี มผ่ ลดั ใบ (Evergreen) ป่าประเภทน้ีมองดเู ขยี วชอมุ่ ตลอดปี เน่ืองจากตน้ ไมแ้ ทบท้งั หมดท่ีข้นึ อยเู่ป็นประเภททไี่ มผ่ ลัด ใบ ป่าชนิดสาคญั ซ่งึ จดั อยใู่ นประเภทน้ี ไดแ้ ก ่ 1. ป่ าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่าดงดบิ ทีม่ อี ยูท่ ่ัวในทกุ ภาคของประเทศ แตท่ ่ีมมี ากทสี่ ุด ไดแ้ ก ่ ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออก ใน บริเวณน้ีมฝี นตกมากและมคี วามช้ืนมากในทอ้ งทภ่ี าคอ่ืน ป่าดงดิบมกั กระจายอยูบ่ ริเวณท่ีมคี วาม ชมุ่ ชื้นมาก ๆ เชน่ ตามหุบเขาริมแมน่ ้าลาธาร ห้วย แหลง่ น้า และบนภเู ขา ซ่งึ สามารถแยก ออกเป็นป่าดงดิบชนิดตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1.1 ป่าดิบช้นื (Moist Evergreen Forest) เป็นป่ารกทบึ มองดเู ขยี วชอุม่ ตลอดปี มพี นั ธ์ุไมห้ ลายร้อยชนิดข้ึนเบียดเสียดกนั อยูม่ กั จะพบกระจดั กระจายต้งั แตค่ วามสูง 600 เมตร จากระดบั น้าทะเล ไมท้ สี่ าคญั กค็ อื ไมต้ ระกลู ยางตา่ ง ๆ เชน่ ยางนา ยางเสียน สว่ นไมช้ น้ั รอง คอื พวกไมก้ อ เชน่ กอน้า กอเดือย 1.2 ป่าดบิ แลง้ (Dry Evergreen Forest) เป็นป่าที่อยใู่ นพืน้ ท่ีคอ่ นขา้ งราบมคี วามชมุ่ ช้นื น้อย เชน่ ในแถบภาคเหนือและภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือมกั อยูส่ ูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไมท้ ี่สาคญั ไดแ้ ก ่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลกั และตาเสือ 1.3 ป่าดบิ เขา (Hill Evergreen Forest) ป่าชนิดน้ีเกดิ ข้ึนในพ้ืนทสี่ ูง ๆ หรือบนภเู ขาตง้ั แต่ 1,000-1,200 เมตร ข้ึนไปจากระดบั น้าทะเล ไมส้ ว่ นมากเป็นพวก Gymonosperm ไดแ้ ก ่ พวกไมข้ นุ และสนสามพนั ปี นอกจากน้ียงั มไี มต้ ระกลู กอ ข้ึนอยู่ พวกไมช้ น้ั ทีส่ องรองลงมาไดแ้ ก ่ เป้ ง สะเดาชา้ ง และขมนิ้ ตน้ 2. ป่ าสนเขา (Pine Forest) ป่าสนเขามกั ปรากฎอยตู่ ามภูเขาสูงสว่ นใหญเ่ป็นพนื้ ทซี่ ่งึ มคี วามสูงประมาณ 200-1800 เมตร ข้ึน ไปจากระดบั น้าทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ บางทอี าจปรากฎในพืน้ ทสี่ ูง 200-300 เมตร จากระดบั น้าทะเลในภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามลี กั ษณะเป็นป่าโปรง่ ชนิดพนั ธุ์ไมท้ ่ี สาคญั ของป่าชนิดน้ีคือ สนสองใบ และสนสามใบ สว่ นไมช้ นิดอืน่ ท่ีข้นึ อยูด่ ว้ ยไดแ้ กพ่ นั ธุ์ไมป้ ่ าดิบ เขา เชน่ กอชนิดตา่ ง ๆ หรือพนั ธ์ุไมป้ ่าแดงบางชนิด คือ เตง็ รัง เหียง พลวง เป็นตน้ 3. ป่ าชายเลน (Mangrove Forest) บางทเี รียกวา่ \"ป่าเลนน้าเคม็ \" หรือป่าเลน มตี น้ ไมข้ ้ึนหนาแนน่ แตล่ ะชนิดมรี ากค้ายนั และราก หายใจ ป่าชนิดน้ีปรากฎอยตู่ ามทด่ี นิ เลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้าแมน่ ้าใหญ่ ๆ ซ่งึ มนี ้าเคม็ ทว่ มถงึ ใน พ้ืนที่ภาคใตม้ อี ยูต่ ามชายฝ่ังทะเลทง้ั สองดา้ น ตามชายทะเลภาคตะวนั ออกมอี ยทู่ ุกจงั หวดั แตท่ ี่มากที่สุด คอื บริเวณปากน้าเวฬุ อาเภอขลงุ จงั หวดั จนั ทบรุ ี พนั ธุ์ไมท้ ขี่ ้นึ อยตู่ ามป่าชายเลน สว่ นมากเป็นพนั ธุ์ไมข้ นาดเลก็ ใชป้ ระโยชน์สาหรับการเผาถา่ นและทาฟืน ไมช้ นิดทีส่ าคญั คอื โกงกาง ประสัก ถว่ั ขาว ถว่ั ขา โปรง ตะบนู แสมทะเล ลาพนู และ ลาแพน ฯลฯ สว่ นไมพ้ ้ืนลา่ งมกั เป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ ง เป็นตน้

4. ป่ าพรุหรือป่ าบึงน้าจืด (Swamp Forest) ป่าชนิดน้ีมกั ปรากฏในบริเวณท่ีมนี ้าจืดทว่ มมาก ๆ ดนิ ระบายน้าไมด่ ปี ่าพรุในภาคกลาง มลี กั ษณะ โปรง่ และมตี น้ ไมข้ ้ึนอยหู่ า่ ง ๆ เชน่ ครอเทียน สนุน่ จิก โมกบา้ น หวายน้า หวายโปรง่ ระกา ออ้ และ แขม ในภาคใตป้ ่าพรุมขี ้นึ อยูต่ ามบริเวณท่ีมนี ้าขงั ตลอดปีดนิ ป่าพรุท่ีมเี น้ือที่มากท่สี ุดอยูใ่ นบริเวณจงั หวดั นราธิวาสดินเป็นพที ซ่งึ เป็นซากพืชผุสลายทบั ถมกนั เป็นเวลานานป่าพรุแบง่ ออกได้ 2 ลกั ษณะ คือ ตาม บริเวณซ่งึ เป็นพรุน้ากรอ่ ยใกลช้ ายทะเลตน้ เสม็ดจะข้นึ อยหู่ นาแนน่ พื้นที่มตี น้ กกชนิดตา่ ง ๆ เรียก \"ป่าพรุ เสมด็ หรือ ป่าเสมด็ \" อีกลกั ษณะเป็นป่าที่มพี นั ธ์ุไมต้ า่ ง ๆ มากชนิดข้ึนปะปนกนั ชนิดพนั ธุ์ไมท้ ส่ี าคญั ของ ป่าพรุ ไดแ้ ก ่ อนิ ทนิล น้าหวา้ จกิ โสกน้า กระทุม่ น้ากนั เกรา โงงงันกะทงั่ หนั ไมพ้ ้ืนลา่ ง ประกอบดว้ ย หวาย ตะคา้ ทอง หมากแดง และหมากชนิดอน่ื ๆ 5. ป่ าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าโปรง่ ไมผ่ ลดั ใบข้นึ อยูต่ ามบริเวณหาดชายทะเล น้าไมท่ ว่ มตามฝั่งดนิ และชายเขาริม ทะเล ตน้ ไมส้ าคญั ท่ขี ้ึนอยตู่ ามหาดชายทะเล ตอ้ งเป็นพืชทนเคม็ และมกั มลี กั ษณะไมเ้ป็นพมุ่ ลกั ษณะตน้ คด งอ ใบหนาแข็ง ไดแ้ ก ่ สนทะเล หูกวาง โพธ์ิทะเล กระทิง ตนี เป็ดทะเล หยีน้า มกั มตี น้ เตยและหญา้ ตา่ ง ๆ ข้นึ อยเู่ป็นไมพ้ ้นื ลา่ ง ตามฝ่ังดินและชายเขา มกั พบไมเ้กตลาบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้ หนามชนิดตา่ ง ๆ เชน่ ซงิ ซี่ หนามหนั กาจาย มะดนั ขอ เป็นตน้ ป่ าประเภทท่ผี ลดั ใบ (Declduous) ตน้ ไมท้ ่ีข้ึนอยูใ่ นป่าประเภทน้ีเป็นจาพวกผลดั ใบแทบทง้ั สิ้น ในฤดูฝนป่าประเภทน้ีจะมองดูเขียวชอมุ่ พอถึงฤดแู ลง้ ตน้ ไม้ สว่ นใหญจ่ ะพากนั ผลดั ใบทาให้ป่ามองดูโปรง่ ข้ึน และมกั จะเกดิ ไฟป่าเผาไหมใ้ บไม้ และตน้ ไมเ้ลก็ ๆ ป่าชนิดสาคญั ซ่งึ อยใู่ นประเภทน้ี ไดแ้ ก ่ 1. ป่ าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) ป่าผลดั ใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมลี กั ษณะเป็นป่ าโปรง่ และยงั มไี มไ้ ผช่ นิดตา่ ง ๆ ข้ึนอยูก่ ระจดั กระจายทว่ั ไปพ้นื ท่ดี นิ มกั เป็นดินรว่ นปนทราย ป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือมกั จะมไี มส้ กั ข้ึนปะปนอยู่ ทวั่ ไปครอบคลุมลงมาถงึ จงั หวดั กาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคตะวนั ออก มี ป่าเบญจพรรณนอ้ ยมากและกระจดั กระจาย พนั ธ์ุไมช้ นิดสาคญั ไดแ้ ก ่ สัก ประดู่ แดง มะคา่ โมง ตะแบก เสลา ออ้ ยชา้ ง ส้าน ยม หอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เกด็ ดา เกด็ แดง ฯลฯ นอกจากน้ีมไี มไ้ ผท่ สี่ าคญั เชน่ ไผป่ ่า ไผบ่ ง ไผซ่ าง ไผร่ วก ไผไ่ ร เป็นตน้

2. ป่ าเต็งรงั (Declduous Dipterocarp Forest) หรือทเ่ี รียกกนั วา่ ป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลกั ษณะทวั่ ไปเป็นป่าโปรง่ ตามพนื้ ป่ามกั จะมโี จด ตน้ แปรง และหญา้ เพ็ก พ้ืนทีแ่ หง้ แลง้ ดนิ รว่ นปนทราย หรือกรวด ลูกรงั พบอยูท่ ว่ั ไปในทร่ี าบและที่ภูเขา ใน ภาคเหนือสว่ นมากข้นึ อยูบ่ นเขาท่ีมดี นิ ต้ืนและแห้งแลง้ มากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มปี ่าแดงหรือป่าเตง็ รังน้ีมากทส่ี ุด ตามเนินเขาหรือท่รี าบดนิ ทรายชนิดพนั ธุ์ไมท้ ่ีสาคญั ในป่าแดง หรือป่าเตง็ รงั ไดแ้ ก ่ เตง็ รงั เหียง พลวง กราด พะยอม ติว้ แตว้ มะคา่ แต ประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือด แสลงใจ รกฟ้ า ฯลฯ สว่ นไมพ้ ื้นลา่ งทพ่ี บมาก ไดแ้ ก ่ มะพรา้ วเตา่ ป่มุ แป้ ง หญา้ เพก็ โจด ปรงและหญา้ ชนิดอื่น ๆ 3. ป่ าหญา้ (Savannas Forest) ป่าหญา้ ท่อี ยทู่ ุกภาคบริเวณป่าท่ีถกู แผว้ ถางทาลายบริเวณพืน้ ดนิ ท่ีขาดความสมบูรณ์และถกู ทอดทิง้ หญา้ ชนิดตา่ ง ๆ จงึ เกดิ ข้ึนทดแทนและพอถึงหนา้ แลง้ กเ็ กดิ ไฟไหมท้ าให้ตน้ ไมบ้ ริเวณขา้ งเคยี งลม้ ตาย พื้นท่ีป่าหญา้ จงึ ขยายมากข้ึนทุกปี พชื ที่พบมากที่สุดในป่าหญา้ กค็ อื หญา้ คา หญา้ ขนตาชา้ ง หญา้ โขมง หญา้ เพก็ และป่มุ แป้ ง บริเวณท่ีพอจะมคี วามชนื้ อยบู่ า้ ง และการระบายน้าไดด้ ีกม็ กั จะพบพงและแขม ข้ึนอยู่ และอาจพบตน้ ไมท้ นไฟข้ึนอยู่ เชน่ ตบั เตา่ รกฟ้ าตานเหลอื ง ติ้วและแตว้

ทรพั ยากรนา้ และอากาศ โลกของเราประกอบข้นึ ดว้ ยพนื้ ดินและพืน้ น้า โดยสว่ นท่เี ป็นฝืนน้าน้นั มอี ยปู่ ระมาณ 3 สว่ น (75%) และเป็นพน้ื ดนิ 1 สว่ น (25%) น้ามคี วามสาคญั อยา่ งยง่ิ กบั ชวี ติ ของพืชและสัตวบ์ นโลกรวมท้งั มนุษยเ์ ราด้วย น้าเป็นทรพั ยากรทส่ี ามารถเกดิ หมนุ เวียนไดเ้ ร่ือย ๆ ไมม่ วี นั หมดส้ิน เมอ่ื แสงแดดสอ่ งมาบนพ้ืนโลก น้าจาก ทะเลและมหาสมทุ รกจ็ ะระเหยเป็นไอน้าลอยข้ึนสูเ่ บอื้ งบนเนื่องจากไอน้ามคี วามเบากวา่ อากาศ เมอ่ื ไอน้า ลอยสูเ่ บื้องบนแลว้ จะไดร้ บั ความเยน็ และกลน่ั ตวั กลายเป็นละอองน้าเล็ก ๆ ลอยจบั ตวั กนั เป็นกลุม่ เมฆ เมอ่ื จบั ตวั กนั มากข้นึ และกระทบความเย็นกจ็ ะกลน่ั ตวั กลายเป็นหยดน้าตกลงสูพ่ นื้ โลก น้าบนพื้นโลกจะระเหย กลายเป็นไอน้าอีกเมอื่ ไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไอน้าจะรวมตวั กนั เป็นเมฆและกลนั่ ตวั เป็นหยดน้า กระบวนการเชน่ น้ี เกดิ ข้นึ เป็นวฏั จกั รหมนุ เวยี นตอ่ เนื่องกนั ตลอดเวลา เรียกวา่ วฏั จกั รน้าทาให้มนี ้าเกดิ ข้นึ บนผิวโลกอยสู่ มา่ เสมอ ประโยชน์ของน้า น้าเป็นแหลง่ กาเนิดชีวติ ของสตั วแ์ ละพืชคนเรามชี วี ติ อยโู่ ดยขาดน้าไดไ้ มเ่กนิ 3 วนั และน้ายงั มคี วาม จาเป็นทง้ั ในภาคเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรม ซ่ึงมคี วามสาคญั อยา่ งยิง่ ในการพฒั นาประเทศ ประโยชน์ ของน้า ไดแ้ ก ่  น้าเป็นส่ิงจาเป็นท่ีเราใชส้ าหรับการดม่ื กนิ การประกอบอาหาร ชาระรา่ งกาย ฯลฯ  น้ามคี วามจาเป็นสาหรับการเพาะปลกู เล้ยี งสตั ว์ แหลง่ น้าเป็นท่ีอยอู่ าศยั ของปลาและสัตวน์ ้าอืน่ ๆ ซ่งึ คนเราใชเ้ ป็นอาหาร  ในการอตุ สาหกรรม ตอ้ งใชน้ ้าในขบวนการผลติ ใชล้ า้ งของเสียใชห้ ลอ่ เครื่องจกั รและระบายความ ร้อน ฯลฯ  การทานาเกลือโดยการระเหยน้าเคม็ จากทะเล  น้าเป็นแหลง่ พลงั งาน พลงั งานจากน้าใชท้ าระหดั ทาเข่ือนผลิตกระแสไฟฟ้ าได้  แมน่ ้า ลาคลอง ทะเล มหาสมทุ ร เป็นเสน้ ทางคมนาคมขนสง่ ที่สาคญั  ทศั นียภาพของริมฝั่งทะเลและน้าท่ีใสสะอาดเป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วของมนุษย์ ปัญหาของทรัพยากรนา้ ปัญหาสาคญั ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ คอื 1. ปัญหาการมนี ้าน้อยเกนิ ไป เกดิ การขาดแคลนอนั เป็นผลเนื่องจากการตดั ไมท้ าลายป่า ทาให้ ปริมาณน้าฝนนอ้ ยลง เกดิ ความแหง้ แลง้ เสียหายตอ่ พชื เพาะปลูกและการเล้ยี งสัตว์ 2. ปญั หาการมีนา้ มากเกนิ ไป เป็นผลมาจากการตดั ไมม้ ากเกนิ ไป ทาให้เกดิ น้าทว่ มไหลบา่ ในฤดูฝน สรา้ งความเสียหายแกช่ วี ติ และทรพั ยส์ ิน

3. ปญั หานา้ เสีย เป็นปัญหาใหมใ่ นปัจจบุ นั สาเหตุที่ทาใหเ้ กดิ น้าเสีย ไดแ้ ก ่ - น้าทิ้งจากบา้ นเรือน ขยะมลู ฝอยและสิ่งปฏิกลู ท่ถี ูกท้งิ สูแ่ มน่ ้าลาคลอง - น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม - น้าฝนพดั พาเอาสารพิษที่ตกคา้ งจากแหลง่ เกษตรกรรมลงสูแ่ มน่ ้าลาคลอง การอนรุ ักษ์น้า ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ จะเห็นวา่ น้ามคี วามสาคญั และมปี ระโยชน์มหาศาล เราจึงควรชว่ ยแกไ้ ขปัญหาน้า เสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้าดว้ ยการอนุรักษ์น้า ดงั น้ี 1. การใชน้ ้าอยา่ งประหยดั การใชน้ ้าอยา่ งประหยดั นอกจากจะลดคา่ ใชจ้ า่ ยเกย่ี วกบั คา่ น้าลงไดแ้ ลว้ ยงั ทาใหป้ ริมาณน้าเสียทจี่ ะท้งิ ลงแหลง่ น้ามปี ริมาณน้อย และป้ องกนั การขาดแคลนน้าไดด้ ว้ ย 2. การสงวนน้าไวใ้ ช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะทมี่ นี ้ามากเหลอื ใชค้ วรมกี ารเกบ็ น้าไวใ้ ช้ เชน่ การทา บอ่ เกบ็ น้า การสร้างโอง่ น้า ขดุ ลอกแหลง่ น้า รวมท้งั การสร้างอา่ งเกบ็ น้า และระบบชลประทาน 3. การพฒั นาแหลง่ น้า ในบางพ้นื ทที่ ข่ี าดแคลนน้า จาเป็นทจี่ ะตอ้ งหาแหลง่ น้าเพิ่มเตมิ เพ่ือให้ สามารถมนี ้าไวใ้ ช้ ท้งั ในครัวเรือนและในการเกษตรไดอ้ ยา่ งพอเพียง ปัจจบุ นั การนาน้าบาดาลข้นึ มา ใชก้ าลงั แพรห่ ลายมากข้ึนแตอ่ าจมปี ัญหาเรื่องแผน่ ดนิ ทรุด 4. การป้ องกนั น้าเสีย การไมท่ ิง้ ขยะและส่ิงปฏิกลู และสารพิษลงในแหลง่ น้า น้าเสียทเี่ กดิ จาก โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมกี ารบาบดั และขจดั สารพษิ กอ่ นท่ีจะปลอ่ ยลงสูแ่ หลง่ น้า 5. การนาน้าเสียกลบั ไปใช้ น้าท่ไี มส่ ามารถใชไ้ ดใ้ นกจิ การอยา่ งหน่ึงอาจใชไ้ ดใ้ นอีกกิจการหน่ึง เชน่ น้าทงิ้ จากการลา้ งภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดตน้ ไมไ้ ด้ ความหมายของอากาศ อากาศ (Air) คือ ของผสมทเ่ี กดิ จากกา๊ ซหลายชนิด อากาศบริสุทธ์ิจะไมม่ สี ี ไมม่ กี ล่นิ และไมม่ รี ส สว่ นผสมสาคญั โดยปริมาตร ไดแ้ ก ่ไนโตรเจน จานวนร้อยละ 78.09 ออกซิเจน ร้อยละ 20.94 กา๊ ซเฉ่ือย ซ่งึ สว่ นใหญไ่ ดแ้ ก ่กา๊ ซอาร์กอน รอ้ ยละ 0.93 คาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 0.03 และสว่ นผสมของกา๊ ซฮเี ลียม ไฮโดรเจน นีออน คริปตอน ซีนอน โอโซน มเี ทน ไอน้าและสิ่งอนื่ รวมกนั รอ้ ยละ 0.01 บรรยากาศ (Atmosphere) คอื มวลกา๊ ซที่หอ่ หุม้ ต้งั แตผ่ วิ โลกจนสูงข้นึ ไป ประมาณ 900 กโิ ลเมตร โดยจะเกดิ รว่ มกบั ลกั ษณะทางกายภาพอ่ืน ไดแ้ ก ่อุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชน้ื

ลม และอนุภาคฝ่นุ ผงหรือมลสาร (Pollutant) ซ่งึ อยใู่ นระดบั ต่าและคงอยไู่ ดด้ ว้ ยแรงโนม้ ถว่ งของโลก บรรยากาศท่สี ูงข้นึ ประมาณ 80 กโิ ลเมตรจะมสี ว่ นผสมของกา๊ ซคลา้ ยคลึงกนั คนในสถานทตี่ า่ งๆจงึ หายใจ เอาอากาศเขา้ ไปโดยไมร่ ู้สึกผิดปกติแตอ่ ยา่ งใด ความสาคัญของอากาศและบรรยากาศ 1. มกี า๊ ซทจี่ าเป็นตอ่ การมชี วี ติ ของมนุษย์ สตั วแ์ ละพชื 2. มอี ทิ ธิพลตอ่ การเกดิ ปริมาณ และคณุ ภาพของทรัพยากรอ่ืน เชน่ ป่าไมแ้ ละแรธ่ าตุ ทาใหเ้ กดิ ลมและฝน 3. ชว่ ยปรบั อุณหภูมขิ องโลก โดยเฉพาะไอน้าและคาร์บอนไดออกไซด์ซ่ึงจะชว่ ยป้ องกนั การสูญเสียความ ร้อนจากพืน้ ดนิ ทาให้ความแตกตา่ งของอณุ หภูมริ ะหวา่ งกลางวนั กบั กลางคนื และ ฤดรู ้อนกบั ฤดหู นาวไม ่ แตกตา่ งกนั มาก และทาให้บริเวณผวิ โลกมคี วามอบอุน่ ข้นึ 4. มผี ลตอ่ การดารงชวี ติ สภาพจติ ใจ และรา่ งกายของมนุษย์ ถา้ สภาพอากาศไมเ่หมาะสม เชน่ แห้งแลง้ หรือ หนาวเย็นเกนิ ไปคนจะอยอู่ าศยั ดว้ ยความยากลาบาก 5. ชว่ ยป้ องกนั อนั ตรายจากรงั สีของดวงอาทิตย์ โดยกา๊ ซโอโซนในบรรยากาศจะกรองหรือดูดซบั รงั สี อลั ตราไวโอเลต ซ่งึ ทาให้ผิวไหมเ้กรียม เป็นโรคมะเร็งผิวหนงั และโรคตอ้ กระจก 6. ชว่ ยเผาไหมว้ ตั ถทุ ี่ตกมาจากฟ้ าหรืออุกกาบาตใหก้ ลายเป็นอนุภาคเลก็ ๆ จนไมเ่ป็นอนั ตรายตอ่ มนุษย์และ ทรัพยส์ ิน แหล่งกาเนิดมลพิษทางอากาศ แหล่งทเี่ กดิ จากการกระทาของมนุษย์ 1) ระบบการคมนาคมขนส่ง รถยนตน์ บั วา่ เป็นตน้ เหตุสาคญั ทที่ าใหเ้ กดิ มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในเมอื ง ใหญท่ ีร่ ถยนต์วง่ิ เป็นจานวนมาก และมกี ารจราจรติดขดั เชน่ โตเกยี ว นิวยอร์ค ลอสแองเจลสิ รวมท้งั กรุงเทพมหานคร เป็นตน้ สารมลพษิ ทีจ่ ะระบายทอ่ ไอเสียเป็นส่วนที่มอี นั ตรายและมปี ริมาณมากท่ีสุด ซ่งึ มา จากการเผาไหมท้ ีเ่ กดิ ข้นึ ภายในเครื่องยนต์ ไดแ้ ก ่สารประกอบไฮโดรคาร์บอน เชน่ ออกซิแดนท์ สารอะโร มาตกิ - ไฮโดรคาร์บอน เขมา่ กา๊ ซไนตริกออกไซด์ และกา๊ ซไนโตรเจนไดออกไซด์ รวมทง้ั กา๊ ซ คาร์บอนมอนอกไซด์ 2) การเผาไหม้ของเช้ือเพลิงในบ้าน การเผาไหมเ้ป็นกระบวนการที่มีความจาเป็นอยา่ งยงิ่ ในการดารงชพี ของ มนุษย์ ในการประกอบกจิ กรรมประจาวนั ภายในบา้ น มกี ารเผาไหมเ้ช้ือเพลงิ เพ่อื นามาพลงั งานความร้อนไป ใชใ้ นประโยชน์ตา่ ง ๆ เชน่ การหุงตม้ อาหาร เคร่ืองทาความร้อนในบา้ น ฯลฯ ซ่งึ การเผาไหมข้ องเชอื้ เพลิง ดงั กลา่ วอาจกอ่ ให้เกดิ กา๊ ซที่ไมพ่ ึงประสงคห์ ลายชนิด เชน่ กา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจนได ออกไซด์ สารประกอบไฮโครคาร์บอนและพวกอนุภาคมลสารตา่ งๆ เชน่ ควนั เป็นตน้ 3) โรงงานอุตสาหกรรม เชน่ อตุ สาหกรรมกลน่ั น้ามนั อุตสาหกรรมเคมี อตุ สาหกรรมผลิตอาหาร ฯลฯ กอ่ ใหเ้ กดิ สิ่งเจอื ปนในอากาศไดแ้ ตกตา่ งกนั ท้งั ปริมาณและคณุ ภาพ โดยทวั่ ไปโรงงานอตุ สาหกรรม นับวา่

เป็นแหลง่ กาเนิดของมลพิษทางอากาศที่สาคญั สารมลพิษทางอากาศท่ีเกดิ จากโรงงานอุตสาหกรรมสว่ นมาก ไดแ้ ก ่ฝ่นุ ละออง เขมา่ ควนั กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจนออกไซด์ และกา๊ ซพษิ อืน่ ๆ อีกหลายชนิด 4) โรงไฟฟ้ า การที่โรงงานไฟฟ้ าจะสามารถผลติ กระแสไฟฟ้ าสง่ ออกมาใชไ้ ดน้ ้ัน จาเป็นตอ้ งมกี ารเผาไหม้ เช้อื เพลงิ เชน่ น้ามนั เตา ถา่ นหินชนิดตา่ ง ๆ และเชอ้ื เพลิงชนิดอน่ื ๆ เพือ่ ใหเ้ กดิ พลงั งานความร้อนเพือ่ นาไปใชใ้ นการผลิตกระแสไฟฟ้ าตอ่ ไป การเผาไหมข้ องเชื้อเพลงิ ดงั กลา่ วทาใหเ้ กดิ สารมลพิษทางอากาศที่ สาคญั เชน่ กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจนออกไซด์ และอนุภาคของมลสารตา่ งๆ 5) จากการเผาขยะและส่ิงปฏกิ ูล ในเขตเทศบาลเมอื งใหญ่ หรือชมุ ชนท่มี ปี ระชากรอยอู่ ยา่ งหนาแนน่ ซ่งึ บาง แหง่ อาจจะมกี ารกาจดั ขยะมลู ฝอยโดยการเผา นอกจากน้ีแลว้ ในกจิ การคา้ ตา่ ง ๆ การอุตสาหกรรม รวมถงึ กจิ การของรัฐ กม็ กี ารเผาขยะเป็นประจาในกจิ การของตนดว้ ย เตาเผาขยะไมว่ า่ จะเป็นแบบใดกต็ าม จะ กอ่ ให้เกดิ สารมลพษิ ทางอากาศ อนั เน่ืองมาจากการเผาขยะน้ัน ไดแ้ ก ่สารประกอบไฮโครคาร์บอน ออกไซด์ ของไนโตรเจน ออกไซด์ของกามะถนั คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตน้ แหล่งทเี่ กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตหิ ลายอยา่ งที่เกดิ ข้ึน มสี ว่ นทาให้เกดิ มลพิษทางอากาศไดแ้ ก ่ 1) ภเู ขาไฟระเบิด เมอื่ เกดิ การระเบดิ ของภูเขาไฟจะมเี ถา้ ถา่ นและควนั ถูกปลอ่ ยออกสู่บรรยากาศเป็นจานวน มาก ซ่ึงอนุภาคสารเหลา่ น้ีอาจลอ่ งลอยข้ึนไปได้สูงมากเป็นหมน่ื ฟุตและคงอยูใ่ นอากาศไดน้ านนับปีกวา่ ที่ จะตกกลบั คนื ลงสูพ่ ื้นโลก 2) อนภุ าคมลสารต่าง ๆ จากดิน ลมและพายสุ ามารถพดั พาเอาอนุภาคมลสารจากผิวดินให้ข้นึ ไปแขวนลอย อยูใ่ นบรรยากาศ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงถา้ ผวิ ดินมลี กั ษณะที่ไมจ่ บั กนั แนน่ เชน่ ดินท่เี พิ่งผา่ นการคราดไถ ดินท่ี ปราศจากตน้ ไมใ้ บหญา้ ปกคลุม หรือดินท่ีถกู กระบวนการอน่ื ๆ รบกวน เชน่ มรี ถวง่ิ ไปมา อนุภาคตา่ ง ๆ จากดนิ จะถกู ลมพดั พาเขา้ สู่บรรยากาศไดง้ า่ ย 3) สารอินทรยี ์ทเ่ี น่าเป่ือยผุพงั อินทรีย์วตั ถุตา่ ง ๆ ทีถ่ กู ทิง้ หรือทบั ถมกนั อยู่ เชน่ ซากสัตว์ ขยะมลู ฝอย เศษ อาหาร ฯลฯ จะถกู ยอ่ ยสลายโดยแบคทเี รียในดนิ การยอ่ ยสลายน้ีแบคทีเรียบางชนิดจะทาใหเ้ กดิ กา๊ ซตา่ ง ๆ เชน่ แอมโมเนีย (NH3) กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ซ่ึงมกี ล่นิ เหมน็ เป็นทร่ี บกวนแกผ่ ูอ้ ยอู่ าศยั ในบริเวณ ใกลเ้ คยี ง

การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรอากาศ 1) ลดปริมาณก๊าซเรอื นกระจก เชน่ ไมเ่ผาป่า ฟางขา้ ว หรือขยะมลู ฝอยเพ่อื ลดปริมาณกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ แกไ้ ขรถควนั ดา เพือ่ ลดปริมาณกา๊ ซคาร์บอน-มอนอกไซด์ ลดปริมาณขยะ เปียกและ การทาใหเ้ กดิ การหมกั หมม ของซากอนิ ทรียวตั ถซุ ่งึ ทาใหเ้ กดิ กา๊ ซมเี ทนและไมค่ วรใชป้ ๋ ยุ ไนโตรเจนมากเกนิ ความจาเป็นเพราะจะทาใหเ้ กดิ กา๊ ซไนตรัสออกไซด์ 2) ลดปริมาณก๊าซทท่ี าลายช้นั โอโซน ตามขอ้ ตกลงของประชาคมโลกใน \" พธิ ีสารมอนทรีออล \" ซ่งึ ระบุวา่ แตล่ ะประเทศจะตอ้ งควบคมุ การใชส้ ารท่ีมผี ลทาลายชน้ั โอโซน โดยลดการใชส้ ารซเี อฟซี ต้งั แต่ พ.ศ. 2542 และจะตอ้ งเลกิ ใชต้ ้งั แต่ พ.ศ. 2553 เป็นตน้ ไป ประเทศไทยไดต้ อบสนองขอ้ ตกลงน้ีเป็นอยา่ งดี เชน่ กระทรวงพาณชิ ย์ไดอ้ อกประกาศฉบบั ที่ 120 กาหนดมใิ ห้ผใู้ ดนาตเู้ ยน็ สาเร็จรูปประเภททใ่ี ชใ้ น บา้ นเรือน โดยใชส้ ารซเี อฟซีในกระบวนการผลติ เขา้ มาในราชอาณาจกั ร นบั ต้งั แตว่ นั ท่ี 4 เมษายน 2542 เป็น ตน้ ในฐานะท่ีเราเป็นสว่ นหน่ึงของสังคมจงึ ควรให้ความรว่ มมอื ดว้ ยการเลิกใชผ้ ลิตภณั ฑ์ที่มกี ารใชส้ ารซี เอฟซที ุกชนิด เชน่ โฟม กระป๋ องสเปรย์ ครีมโกนหนวด ใชเ้ ครื่องปรบั อากาศรถยนต์ทีใ่ ชส้ าร R134a แทนซี เอฟซีตลอดจนผลิตสารอื่นเพอ่ื ใชแ้ ทนซีเอฟซี 3. อนุรกั ษป์ ่ าไม้เพอื่ ช่วยลดปัญหาอากาศเสียและวาตภยั ทง้ั น้ี เพราะตน้ ไมจ้ ะใชก้ า๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อการสังเคราะห์แสง การมตี น้ ไมม้ ากจงึ ชว่ ยลดปัญหาภาวะเรือน กระจกทเี่ กดิ จากกา๊ ซน้ีได้ นอกจากน้ี ตน้ ไมย้ งั ชว่ ยกรองฝุ่นผงและละอองตา่ งๆ ที่ทาใหอ้ ากาศเสีย รวมท้งั ชว่ ยปะทะและลดความรุนแรงของลม พายอุ กี ดว้ ย 4. ตรวจสอบอากาศเพอ่ื เตรียมแก้ไขปัญหา การตรวจสอบคณุ ภาพอากาศอยา่ งตอ่ -เน่ือง เพ่อื ใหส้ ามารถ ทราบ และหาทางแกไ้ ขปัญหาไดร้ วดเร็วข้ึน

สาเหตุของการเปล่ียนแปลงส่ิงแวดล้ อมและสิ่งทเ่ี กดิ ขึน้ การเปลย่ี นแปลงของสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง ๑. การกระทาของธรรมชาติ เป็นสิ่งท่ีเกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ เชน่ การเคลื่อนไหวของเปลอื กโลก ภูเขาไฟระเบดิ การเปล่ียนแปลงของอุณหภูมแิ ละอากาศ พายุ น้าทว่ ม ๒. การกระทาของมนษุ ย์ มนุษยส์ ามารถดดั แปลงสิ่งแวดล้อมใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ การดารงชวี ติ ได้ โดย นาเทคโนโลยตี า่ ง ๆ เขา้ มาชว่ ย เชน่ การสร้างเขอ่ื น ทาถนน ขดุ คลอง และการขยายพ้ืนท่ที ากนิ ให้กวา้ งขวาง ออกไป ซ่งึ กจิ กรรมตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ีทาให้สิ่งแวดลอ้ มเปลย่ี นแปลงไป ผลจากกการกระทาของมนษุ ย์ทม่ี ตี ่อส่ิงแวดล้อมในจังหวดั การใชป้ ระโยชน์จากส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งไมร่ อบคอบ และมกี ารใชเ้ ทคโนโลยีทีไ่ ม ่ เหมาะสม ยอ่ มเป็นสาเหตุสาคญั ที่สร้างความเส่ือมโทรมให้กบั ส่ิงแวดล้อม รวมท้งั เป็นปัญหาตอ่ มนุษย์เอง ดงั น้ี ปญั หามลพษิ ๑) มลพษิ ทางนา้ เกดิ จากการปลอ่ ยน้าเสียของโรงงานอตุ สาหกรรม อาคาร บา้ นเรือน การทิ้งขยะหรือ ส่ิงปฏิกลู ลงในแหลง่ น้า จงึ ทาใหน้ ้าสกปรกจนไมส่ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ ๒) มลพษิ ทางอากาศ เกดิ จากการปลอ่ ยฝุ่นละอองหรือกา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซด์จากโรงงาน อุตสาหกรรมหรือยานพาหนะ ซ่งึ เป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพของคน ปัญหาความเส่ือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ๑) ป่ าไม้ถูกทาลาย เกดิ จากการลกั ลอบตัดไม้ การทาไรเ่ ล่อื นลอย การใชป้ ระโยชน์ในพ้นื ทปี่ ่าไม้ ทาให้ เกดิ การชะลา้ งหนา้ ดนิ น้าป่าไหลบา่ จนดนิ ถลม่ เกดิ น้าทว่ มฉับพลนั และการขาดแคลนน้าในฤดูแลง้ ๒) ดนิ เส่ือมคุณภาพ เกดิ จากการปลกู พชื ท่ีไมเ่หมาะสมกบั คณุ สมบัตขิ องดนิ หรือการปลกู พชื ชนิด เดียวซ้ากนั มากเกนิ ไป โดยท่เี กษตรกรไมฟ่ ้ืนฟูสภาพดนิ หลงั การใชป้ ระโยชน์ ๓) ทรพั ยากรชายฝั่งทะเลลดลง เกดิ จากการบกุ รุกพน้ื ทปี่ ่าชายเลน เพื่อใชเ้ ป็นพืน้ ท่ีเล้ยี งกงุ้ ทาให้ สูญเสียแหลง่ เพาะพนั ธ์ุสัตวน์ ้า หรือการลกั ลอบจบั ปลาหรือสัตวน์ ้า โดยใชเ้ ครื่องมอื ท่ีผดิ กฎหมาย เชน่ อวน ตาถี่ ใชไ้ ฟฟ้ าช็อต ทาใหป้ ลาและสตั วน์ ้าอ่นื ๆ ตายหรือใกลส้ ูญพนั ธ์ุ

การดแู ลรักษาทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อมในท้องถ่นิ การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม หมายถึง การใชท้ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม อยา่ งฉลาด โดยใชใ้ ห้นอ้ ย เพื่อให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด โดยคานึงถงึ ระยะเวลาในการใชใ้ หย้ าวนาน และ กอ่ ให้เกดิ ผลเสียหายตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มน้อยที่สุด รวมทง้ั ตอ้ งมกี ารกระจายการใชท้ รัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งทัว่ ถึง อยา่ งไรกต็ าม ในสภาพปัจจบุ นั ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมคี วามเสื่อมโทรมมากข้ึน ดงั น้นั การ อนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มจงึ มคี วามหมายรวมไปถึงการพฒั นาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถกระทาไดห้ ลายวธิ ี ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม ดงั น้ี 1. การอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมโดยทางตรง ซ่งึ ปฏบิ ตั ิไดใ้ นระดบั บุคคล องค์กร และระดบั ประเทศ ทีส่ าคญั คอื 1) การใช้อย่างประหยัด คือ การใชเ้ ทา่ ท่ีมคี วามจาเป็น เพ่อื ให้มที รพั ยากรไวใ้ ชไ้ ดน้ านและเกดิ ประโยชน์อยา่ งคมุ้ คา่ มากที่สุด 2) การนากลับมาใช้ซา้ อกี ส่ิงของบางอยา่ งเมอ่ื มกี ารใชแ้ ลว้ คร้งั หน่ึงสามารถที่จะนามาใชซ้ ้าไดอ้ ีก เชน่ ถงุ พลาสตกิ กระดาษ เป็นตน้ หรือสามารถท่ีจะนามาใชไ้ ดใ้ หมโ่ ดยผา่ นกระบวนการตา่ งๆ เชน่ การนา กระดาษทีใ่ ชแ้ ลว้ ไปผา่ นกระบวนการตา่ งๆ เพื่อทาเป็นกระดาษแขง็ เป็นตน้ ซ่งึ เป็นการลดปริมาณการใช้ ทรพั ยากรและการทาลายสิ่งแวดลอ้ มได้ 3) การบรู ณะซ่อมแซม ส่ิงของบางอยา่ งเมอื่ ใชเ้ ป็นเวลานานอาจเกดิ การชารุดได้ เพราะฉะน้นั ถา้ มี การบูรณะซอ่ มแซม ทาให้สามารถยดื อายุการใชง้ านตอ่ ไปไดอ้ ีก 4) การบาบดั และการฟื้นฟู เป็นวธิ ีการที่จะชว่ ยลดความเส่ือมโทรมของทรพั ยากรดว้ ยการบาบดั กอ่ น เชน่ การบาบดั น้าเสียจากบา้ นเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นตน้ กอ่ นท่ีจะปลอ่ ยลงสูแ่ หลง่ น้าสาธารณะ สว่ นการฟื้นฟเู ป็นการร้ือฟ้ืนธรรมชาติใหก้ ลบั สูส่ ภาพเดิม เชน่ การปลูกป่าชายเลน เพ่ือฟ้ืนฟูความสมดลุ ของป่าชายเลนให้กลบั มาอุดมสมบูรณ์ เป็นตน้ 5) การใช้ส่ิงอ่ืนทดแทน เป็นวธิ ีการทจ่ี ะชว่ ยใหม้ กี ารใชท้ รพั ยากรธรรมชาตนิ ้อยลง และไมท่ าลาย สิ่งแวดลอ้ ม เชน่ การใชถ้ งุ ผา้ แทนถงุ พลาสตกิ การใชใ้ บตองแทนโฟม การใชพ้ ลงั งานแสงแดดแทนแร่ เช้อื เพลงิ การใชป้ ๋ ยุ ชีวภาพแทนป๋ ยุ เคมี เป็นตน้ 6) การเฝ้าระวงั ดแู ลและป้องกัน เป็นวธิ ีการท่จี ะไมใ่ หท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มถกู ทาลาย เชน่ การเฝ้ าระวงั การท้ิงขยะ สิ่งปฏิกลู ลงแมน่ ้า คคู ลอง การจดั ทาแนวป้ องกนั ไฟป่า เป็นตน้

2. การอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี ดงั น้ี 1) การพฒั นาคณุ ภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาดา้ นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ มท่ถี กู ตอ้ งตามหลกั วชิ า ซ่ึงสามารถทาไดท้ ุกระดับอายุ ทง้ั ในระบบโรงเรียนและสถาบนั การศกึ ษา ตา่ งๆ และนอกระบบโรงเรียนผา่ นสื่อสารมวลชนตา่ งๆ เพือ่ ใหป้ ระชาชนเกดิ ความตระหนกั ถงึ ความสาคญั และความจาเป็นในการอนุรกั ษ์ เกดิ ความรักความหวงแหน และให้ความรว่ มมอื อยา่ งจริงจงั 2) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจดั ต้งั กลุม่ ชมุ ชน ชมรม สมาคม เพือ่ การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มตา่ งๆ ตลอดจนการใหค้ วามรว่ มมอื ท้งั ทางดา้ นพลงั กาย พลงั ใจ พลงั ความคิด ดว้ ยจติ สานึกในความมคี ณุ คา่ ของสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรที่มีตอ่ ตวั เรา เชน่ กลมุ่ ชมรมอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มของนกั เรียน นักศกึ ษา ในโรงเรียนและสถาบนั การศึกษาตา่ งๆ มลู นิธิ คมุ้ ครองสัตวป์ ่าและพรรณพืชแหง่ ประเทศไทย มลู นิธิสืบ นาคะเสถยี ร มลู นิธิโลกสีเขียว เป็นตน้ 3) ส่งเสริมใหป้ ระชาชนในทอ้ งถ่นิ ได้มีส่วนร่วมในการอนุรกั ษ์ ชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษาให้คงสภาพเดิม ไมใ่ ห้เกดิ ความเสื่อมโทรม เพือ่ ประโยชน์ในการดารงชีวติ ในทอ้ งถน่ิ ของตน การประสานงานเพือ่ สร้าง ความรู้ความเขา้ ใจ และความตระหนักระหวา่ งหนว่ ยงานของรฐั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ กบั ประชาชน ให้มบี ทบาทหน้าที่ในการปกป้ อง คมุ้ ครอง ฟื้นฟกู ารใชท้ รัพยากรอยา่ งคมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชน์สูงสุด 4) ส่งเสริมการศึกษาวจิ ยั คน้ หาวธิ ีการและพฒั นาเทคโนโลยี มาใชใ้ นการจดั การกบั ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด เชน่ การใชค้ วามรูท้ างเทคโนโลยสี ารสนเทศมา จดั การวางแผนพฒั นา การพฒั นาอปุ กรณ์เคร่ืองมอื เคร่ืองใชใ้ ห้มกี ารประหยดั พลงั งานมากข้ึน การ คน้ ควา้ วจิ ยั วธิ ีการจัดการ การปรับปรุง พฒั นาสิ่งแวดลอ้ มใหม้ ปี ระสิทธิภาพและยงั่ ยนื เป็นตน้ 5) การกาหนดนโยบายและวางแนวทางของรฐั บาล ในการอนุรกั ษ์และพฒั นาส่ิงแวดลอ้ มทง้ั ใน ระยะสัน้ และระยะยาว เพือ่ เป็นหลกั การให้หนว่ ยงานและเจา้ หนา้ ที่ของรัฐที่เกย่ี วขอ้ งยึดถือและนาไปปฏิบตั ิ รวมทง้ั การเผยแพรข่ า่ วสารดา้ นการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มทางตรงและทางออ้ ม

แนวทางการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในปัจจุบนั การนาความร้คู วามเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยที เ่ี หมาะสมมาใช้ในการจดั การ หรอื สร้างแนวทางการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรกั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมีด้วยกันหลายแนวทาง แนวทางหน่ึง คือ แนวทางการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติ 3Rs 1. R : Reduce คอื การลดการใช้ การบริโภคทรพั ยากรท่ีไมจ่ าเป็นลง ลองมาสารวจกนั วา่ เราจะลด การบริโภคทีไ่ มจ่ าเป็นตรงไหนไดบ้ า้ ง โดยเฉพาะการลดการบริโภคทรัพยากรท่ีใชแ้ ลว้ หมดไป เชน่ น้ามนั กา๊ ซธรรมชาติ ถา่ นหิน และแรธ่ าตุ ตา่ ง ๆ การลดการใชน้ ้ี ทาไดง้ า่ ย ๆ โดยการเลือกใชเ้ ทา่ ท่ีจาเป็น เชน่ ปิด ไฟทกุ คร้ังท่ไี มใ่ ชง้ านหรือเปิดเฉพาะจดุ ทีใ่ ชง้ าน ปิดคอมพวิ เตอร์และเครื่องปรับอากาศเมอ่ื ไมใ่ ชเ้ ป็น เวลานาน ๆ ถอดปลกั๊ ของเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้ า เชน่ กระตกิ น้าร้อนออกเมอ่ื ไมไ่ ดใ้ ช้ เมอ่ื ตอ้ งการเดินทางใกล้ ๆ ก็ ควรใชว้ ธิ ีเดนิ ขีจ่ กั รยาน หรือนัง่ รถโดยสารแทนการขบั รถไปเอง เป็นตน้ เพยี ง-เทา่ น้ีเรากส็ ามารถเกบ็ ทรัพยากรดา้ นพลงั งานไวใ้ ชไ้ ดน้ านข้นึ ประหยดั พลงั งานและอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มอีกดว้ ย 2.R : Reuse คือ การใชท้ รพั ยากรให้คมุ้ คา่ ทีส่ ุด โดยการนาสิ่งของเครื่องใช้ มาใชซ้ ้า ซ่ึงบางอยา่ ง อาจใชซ้ ้าไดห้ ลาย ๆ คร้ัง เชน่ การนาชดุ ทางานเกา่ ทีย่ งั อยูใ่ นสภาพดีมาใสเ่ ลน่ หรือใสน่ อนอยูบ่ า้ นหรือนาไป บริจาค แทนที่จะท้งิ ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ การนากระดาษรายงานที่เขียนแลว้ 1 หน้า มาใชใ้ นหน้าทีเ่ หลอื หรืออาจนามาทาเป็นกระดาษโน๊ต ชว่ ยลดปริมาณการตดั ตน้ ไมไ้ ดเ้ ป็นจานวนมาก การนาขวดแกว้ มาใสน่ ้า รบั ประทานหรือนามาประดิษฐ์เป็นเคร่ืองใชต้ า่ งๆ เชน่ แจกนั ดอกไมห้ รือท่ใี สด่ ินสอ เป็นตน้ นอกจากจะชว่ ย ลดคา่ ใชจ้ า่ ย ลดการใชพ้ ลงั งานพลงั งานแลว้ ยงั ชว่ ยรักษาส่ิงแวดลอ้ มและยงั ไดข้ องนา่ รักๆ จากการประดษิ ฐ์ ไวใ้ ชง้ านอีกดว้ ย 3.R : Recycle คือ การนาหรือเลอื กใชท้ รพั ยากรทส่ี ามารถนากลับมารีไซเคิล หรือนากลบั มาใช้ ใหม ่เป็นการลดการใชท้ รพั ยากรในธรรมชาติจาพวกตน้ ไม้ แรธ่ าตตุ า่ ง ๆ เชน่ ทราย เหล็ก อลมู เิ นียม ซ่งึ ทรัพยากรเหลา่ น้ี สามารถนามารีไซเคลิ ไดย้ กตวั อยา่ งเชน่ เศษกระดาษสามารถนาไปรีไซเคิลกลับมาใชเ้ ป็น กลอ่ งหรือถุงกระดาษ การนาแกว้ หรือพลาสตกิ มาหลอมใชใ้ หมเ่ป็นขวด ภาชนะใสข่ อง หรือเคร่ืองใชอ้ ่ืนๆ ฝากระป๋ องน้าอดั ลมกส็ ามารถนามาหลอมใชใ้ หมห่ รือ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook