คู่มอื นทิ รรศการ “โลกล้านป”ี ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมเพือ่ การศึกษาร้อยเอ็ด สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
1. การกาเนดิ เอกภพ การกาเนิดเอกภพ ทฤษฏที ่ยี อมรบั กันมากที่สุดคอื ทฤษฎีบ๊ิกแบง เสนอโดย Lemaitre เมื่อปี พ.ศ.2470 (ค.ศ. 1927) ต่อมาทฤษฎดี ังกลา่ วถูกพฒั นาโดยจอร์จกามอฟ ( George Gamow) และนักคิดอีกหลายท่าน ซึ่ง กล่าวว่า ในชว่ งเริม่ ตน้ ของเอกภพ สสารทกุ อยา่ งจะอยรู่ วมตวั กันอย่างหนาแนน่ มากๆ จนความหนาแน่นของเอกภพมี คา่ เป็นอนันตใ์ นปรมิ าตรท่ีเล็กมากๆ เรียกว่า ซิงกูลาริต้ี (singularity) ในบริเวณซิงกูลาริตี้นั้นมีพลังงานสูง มากจนมีอุณหภูมิมหาศาลกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางฟสิ ิกสท์ ี่ใช้ อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่สามารถอธิบายเอก ภพในช่วงนั้นได้ รวมไปถึงเวลาที่ถูกกาหนดเป็นศูนย์ ทันใดน้ันการระเบิดอย่างรุนแรงของซิงกูลาริตี้ ทาให้ สสารทรี่ วมอยใู่ นปรมิ าตรเล็กๆ น้นั เกิดการ กระจายตวั ออกและเรมิ่ ตน้ นบั เวลาตัง้ แตก่ ารระเบดิ สน้ิ สุดลง การ ระเบดิ ใหญ่เมื่อ 14,000 ล้านปีที่แลว้ ทาให้พลังงานส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็นเนื้อสาร มี วิวัฒนาการต่อเน่ืองจน เกดิ เปน็ กาแลก็ ซีเนบวิ ลา ดาวฤกษ์ ระบบสรุ ิยะ โลก ดวงจันทร์ มนุษย์ และส่งิ มี ชีวติ ตา่ งๆ หลังจากการระเบดิ คร้ังใหญ่ของเอกภพการกระจายตัวออกของสสารจะทาให้ความหนาแน่นและ อณุ หภูมิมีคา่ ตา่ ลงเร่อื ยๆ เมอื่ เวลาผ่านไปประมาณ 10-43 วินาทีเอกภพร้อนจดั และมีความหนาแน่นสูงมาก ขณะนั้นจึง อยู่ในรูปของ \"พลาสมา\" (plasma) ซึ่งเป็นสถานะท่ีสสารมีพลังงานสูงมาก มีการแผ่รังสีอย่าง หนาแนน่ จึงเรียกเอกภพลกั ษณะดังกลา่ ววา่ ยุคแหงการแผร่ ังสขี อง เอกภพ (Radiation Era) เมอ่ื เวลาผ่าน ไปประมาณ 10-12 วินาทีจึงเร่ิมต้นเกิดอนุภาคว่ิงพล่านไปทั่วเอกภพ โดยเอกภพใน ขณะน้ันจะมีอุณหภูมิ ประมาณ 1015 เคลวนิ เรียกวา่ อยู่ในยคุ แหง อนุภาค (Particle Era) ซ่ึงอนุภาค พวกนนั้ คือควารก (Quark) อเิ ลก็ ตรอน (Electron) นวิ ทริโน (Neutrino) และโฟตอน (Photon) ซ่ึงเป็นพลังงานด้วย เม่ือเกิดอนุภาคก็ จะเกิดปฏิอนุภาค (Anti-particle) ที่มีประจุไฟฟ้าตรงข้าม ยกเว้นนิวทริโน และแอนตินิวทริโน ไมมีประจุ ไฟฟ้าหลงั บิกแบงเพยี ง 10-6 วนิ าทีอณุ หภมู ขิ องเอกภพลดลงเป็น 1013 เคลวิน (สิบลานลานเคลวิน) ทาให้ ควารก์ เกดิ การรวมตวั กัน กลายเป็นโปรตอน (นิวเคลียสของไฮโดรเจน) และนิวตรอน หลังบิกแบง 3 นาที อณุ หภูมิของเอกภพลดลงเปน 108 เคลวนิ (รอ้ ยลานเคลวิน) มีผลให้โปรตอน และนิวตรอนเกิดการรวมตัว เป็นนิวเคลียสของฮีเลียม หลังบิกแบง 300,000 ป อุณหภูมิลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน นิวเคลียสของ ไฮโดรเจนและฮีเลียม ดงึ อิเล็กตรอนเข้ามาอยู่ในวงโคจรเกิดเป็นอะตอมไฮโดรเจนและฮีเลียมตามลาดับ
กาแล็กซีต่างๆ เกิดหลังบิกแบงอย่างน้อย1,000ลานปภายในกาแล็กซีมีธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นสาร เบอ้ื งต้นซึ่งก่อกาเนิดเป็นดาวฤกษ์รุ่นแรกๆ ส่วนธาตุต่างๆ ที่มีมวลมากกว่าฮีเลียมเกิดจาก ดาวฤกษ์ขนาด ใหญ่ 2. การกาเนดิ โลก ทฤษฎีเนบลู า (nebular hypothesis) อธบิ ายวา่ สารทเี่ ปน็ ตน้ กาเนิดของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์เปน็ กลมุ่ ของเนบลู าซ่ึงประกอบด้วย แก๊สและฝนุ่ ในทอ้ งฟ้า ต่อมากลมุ่ เนบลู าเหล่านไี้ ด้หดตัวและเกดิ การหมนุ ข้นึ อย่างชา้ ๆ ในระยะแรก และทวี ความเรว็ ขนึ้ ในระยะหลงั ทาใหเ้ กดิ จดุ ศนู ย์กลางและมวี งแหวนหมุนรอบจุดศนู ย์กลางไดม้ วลสารรวมกันเป็น ดวงอาทติ ยข์ น้ึ ตรงจดุ ศูนย์กลาง การหดตัวเนือ่ งจากแรงดึงดดู น้ีทาให้เกิดความรอ้ นขน้ึ กลุ่มแกส๊ แตล่ ะกล่มุ แต่ละวงแหวนได้กอ่ กาเนดิ เป็นดาวเคราะหบ์ ริวารของดวงอาทิตย์ กรณีนีโ้ ลกอายเุ ทา่ กับดวงอาทติ ย์ แสดงการกาเนดิ โลกตามทฤษฎเี นบลู าร์ทฤษฎีพลาเนตติซมิ ัล (planetesimal hypothesis) อธบิ ายวา่ โลกแยกตวั จากดวงอาทิตย์ โดยเกิดจากการโคจรผา่ นเขา้ มาของดาวขนาดใหญม่ ากดวงหนงึ่ แรง ดึงดูดของดาวดวงนไ้ี ด้ดงึ เอาส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์แยกออกไปเกดิ เปน็ ดาว เคราะหต์ ่างๆ ขนึ้ กรณนี ี้โลก ของเรามอี ายนุ ้อยกว่าดวงอาทติ ย์ ทฤษฎีพลาเนตตซิ มิ ลั
โครงสรา้ งของโลก เปลอื กโลก (crust) เปน็ ชั้นนอกสุดของโลกที่มีความหนาประมาณ 60-70 กิโลเมตร ซ่ึงถือว่าเป็น ชั้นที่บางที่สุดเม่ือเปรียบกับชั้นอื่นๆ เสมือนเปลือกไข่ไก่หรือเปลือกหัวหอม เปลือกโลกประกอบไปด้วย แผน่ ดินและแผ่นน้า ซ่ึงเปลือกโลกส่วนท่ีบางที่สุดคือส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนเปลือกโลกท่ีหนาที่สุดคือ เปลือกโลกส่วนทีร่ องรับทวปี ทมี่ เี ทอื กเขาทส่ี งู ทีส่ ดุ อยู่ด้วย แมนเทลิ (mantle หรอื Earth’s mantle) หรือช้นั เนือ้ โลก คอื ช้นั ท่ีอยถู่ ดั จากเปลอื กโลกลงไป มี ความหนาประมาณ 3,000 กโิ ลเมตร บางสว่ นของหนิ อยใู่ นสถานะหลอมเหลวเรยี กวา่ หนิ หนดื (Magma) ทา ให้ชน้ั แมนเทลิ น้ีมคี วามรอ้ นสงู มาก เนอื่ งจากหินหนืดมีอุณหภูมิประมาณ 800-4300°C ซ่ึงประกอบด้วยหิน อคั นีเปน็ ส่วนใหญ่ เชน่ หินอัลตราเบสิก หนิ เพริโดไลต์ แกน่ โลก (core) มอี งค์ประกอบเป็นธาตเุ หลก็ ถึง 80%, รวมถงึ นิกเกลิ และธาตทุ ่ีมนี า้ หนักท่ีเบากว่า อนื่ ๆ แตใ่ นขณะทีส่ สารทีม่ ีความหนาแนน่ สงู อืน่ ๆ เช่นตะกั่วและยเู รเนยี ม มอี ยู่นอ้ ยเกินกวา่ ทจ่ี ะผสานรวมเขา้ กบั ธาตทุ ี่เบากว่าได้ และทาให้สสารเหลา่ นน้ั คงทอ่ี ยบู่ นเปลอื กโลก แกน่ โลกแบง่ ได้ออกเป็น 2 ชั้นได้แก่ แก่น โลกชั้นนอก (outer core) มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 – 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตุ เหล็กและนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย และมีความร้อนสูง มีอุณหภูมิประมาณ 6200 – 6400 มีความ หนาแนน่ สมั พทั ธ์ 12.0 และสว่ นนมี้ ีสถานะเปน็ ของเหลว แก่นโลกชัน้ ใน (inner core) เป็นส่วนที่อยู่ใจกลาง โลกพอดี มีรศั มีประมาณ 1,000 กิโลเมตร มีอุณหภูมิประมาณ 4,300 – 6,200 และมีความกดดันมหาศาล ทาให้สว่ นนจ้ี งึ มีสถานะเป็นของแข็ง ประกอบดว้ ยธาตุเหล็กและนิกเกิลท่ีอยู่ในสภาพที่เป็นของแข็ง มีความ หนาแน่นสัมพทั ธ์ 17.0
3. การกาเนดิ ส่งิ มีชวี ติ กาเนิดส่งิ มชี วี ิต นกั ชวี วทิ ยาเชือ่ วา่ สิง่ มชี วี ิตถอื กาเนดิ ขึ้นมานานกว่าสามพนั ล้านปี ชีวิตแรกท่อี บุ ตั ขิ ึน้ นา่ จะอยใู่ นน้ามี ลกั ษณะคล้ายสาหร่าย ดารงชีวติ โดยอาศยั พลังงานจากกระบวนการหมัก(Fermentation) ซ่งึ มปี ระสทิ ธิภาพ ตา่ กวา่ กระบวนการหายใจที่ใช้ออกซเิ จน (Aerobic Respiration) ชวี ติ แรกจงึ ไม่สามารถพัฒนาก้าวไกลเกิน กวา่ สิง่ มชี วี ิตเซลล์เดยี ว นอกจากน้ีชวี ิตแรกมอี าหารจากัด เพราะสารอินทรียท์ ่ีถกู สังเคราะห์ที่ผิวน้าจมลงช้า มาก ดงั นั้นววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ ระยะแรกจึงใช้ เวลาเป็นล้านๆ ปสี นั นิษฐานว่าการขาด แคลนอาหารเป็น ตัวกาหนดการคัดเลอื กโดยธรรมชาติ ตามทฤษฎีวิวฒั นาการของ ชาร์ล ดาวิน ทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ดารงชีวิต โดยการสงเคราะหแ์ สงขึน้ มาแทนท่ี ผลพลอยไดค้ ือออกซิเจนทเี่ กิดจากการสงั เคราะหแ์ สงสะสมในน้ามากขึ้น จนในที่สุดกแ็ พร่ขึ้นสู่บรรยากาศ ทาให้บรรยากาศบนผิวโลกเปล่ียนไป สิ่งมีชีวิตก็เปล่ียนแปลงรูปร่างและ ขนึ้ มาอยู่บนผิวนา้ และบนบกได้ พบว่าสัตว์ท่ีใช้ออกซเิ จนในการหายใจอบุ ตั ขิ ึน้ ในโลกเมื่อประมาณ 600 ล้าน ปีมาแลว้ ซงึ่ ตรงกับ ยุคแคมเบรยี น (Cambrian period) เชน่ ปะการงั ฟองน้า หอย หนอน สาหร่ายทะเล และต้นตระกูลของพืชมีเมล็ดและสัตว์มีกระดูกสนหลัง ท้ังนี้เพราะพืชเขียวเร่ิมมาอยู่บนบก โดย ทาให้มี ออกซิเจนและอาหารเพียงพอสาหรับสัตว์บกขนาดใหญ่ เช่น ไดโนเสาร์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์
มหายุคของสงิ่ มชี ีวิตในยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ ววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ แบ่งไดเ้ ป็น 4 ช่วง ไดแ้ ก่ 1. มหายุคพรแี คมเบรียน (Precambrian era) 2. มหายคุ พาเลโอโซอกิ (Paleozoic era) 3. มหายุคเมโสโซอิก (Mesozoic era) 4. มหายคุ เซโนโซอิก (Cenozoic era) 4. วิวฒั นาการของสิง่ มีชวี ติ ในยคุ กอ่ นประวตั ิศาสตร์ มหายคุ ของสิง่ มชี วี ติ ในยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ ววิ ฒั นาการของส่ิงมีชวี ติ แบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ชว่ ง ได้แก่ 1. มหายคุ พรแี คมเบรียน (Precambrian Era) เป็นช่วงของ 4,600 – 543 ล้านปีก่อน โลกก่อกาเนิดขึ้น เมื่อโลกเริ่มเย็นตัวลง จึงเกิด สง่ิ มชี วี ิตพวกแบคทเี รีย และเริ่มมีออกซิเจนในบรรยากาศซึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ด้วยแสงในพวก แบคทเี รยี สเี ขียวแกมน้าเงิน มีการเกดิ ขึน้ ของสตั ว์หลายเซลล์ท่ีไม่มีกระดูกสันหลังในน้า เช่น ฟองน้า ฟอสซิลทด่ี กึ ดาบรรพ์ทสี่ ดุ คอื แบคทเี รยี โบราณอายุ 3.5 พันล้านปี
2. มหายคุ พาลีโอโซอิก (Paleozoic Era) เปน็ ช่วงของ 543 – 245 ลา้ นปกี อ่ น เร่มิ มสี ตั วพ์ วกท่ไี ม่มีกระดูกสันหลังซึ่งมีท้ังท่ีอาศัยอยู่ใน น้าจืดและน้าเค็ม เช่น ไตรโลไบต์ (trilobite) แอมโมไนต์ (ammonite) หอย ปลา รวมทั้งแมลง สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน และสตั ว์ครึ่งบกคร่ึงนา้ เริ่มพบสาหรา่ ย เห็ดรา พืชบกชั้นต่า เริ่มจากพืชไม่มีเนื้อเย่ือ ลาเลยี ง เฟริ ์น ไปจนถึงพชื มเี นอ้ื เยื่อลาเลยี ง มหายคุ พาลีโอโซอิกส้ินสุดลงเม่ือมีการสูญพันธ์ุครั้งใหญ่ ซึง่ อาจเกิดเนอ่ื งจากการเกิดยุคน้าแขง็ ฉบั พลนั หรอื เกดิ ภูเขาไฟระเบิด ทาใหม้ ีการสญู พนั ธข์ุ องสงิ่ มีชีวติ ทงั้ ในทะเลและบนพน้ื ดนิ จานวนมาก 3. มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic Era)
เปน็ ช่วงของ 245 – 65 ลา้ นปีก่อน ไดโนเสาร์ชนิดแรกเกิดขึน้ และกลายเปน็ กลุ่มเด่น ในยุคน้ี เร่ิมมีสัตว์เลย้ี งลกู ดว้ ยนมพวกมีกระเปา๋ หน้าทอ้ งและรก รวมท้งั แมลงตา่ งๆ และเกิดการกระจายพันธุ์ อย่างมากมายของพชื ในช่วงแรกของมหายุคมีโซโซอกิ มีพชื เมล็ดเปลือยมาก ท้ังเฟิร์นและสน เกิดพืช ดอกชนิดแรก เช่ือกันว่าภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่หรือการพุ่งชนของอุกกาบาต ทาให้มีการสูญพันธ์ุ จานวนมากและมหายคุ มีโซโซอิกสิ้นสดุ ลง 4. มหายคุ ซีโนโซอิก (Cenozoic Era) เป็นช่วงของ 65 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เปิดทางให้เกิดการ กระจายพนั ธ์ขุ องสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนานาชนิดท้ังขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ เช่น ม้า สุนัข และหมี พบลิงไม่มีหาง (ape) และในราว 5-1.8 ล้านปีก่อน พบบรรพบุรุษของมนุษย์ ส่วนบรรพบุรุษของ มนุษย์ปจั จุบนั นั้นพบในชว่ ง 1.8 ล้านปี - 11,000 ปีก่อน ในมหายุคซีโนโซอิกน้ีพืชดอกกลายเป็นพืช กลมุ่ เด่น ตัวอย่างไดโนเสารท์ ่พี บในประเทศไทย
1. สยามโมไทรนั นสั อสิ านเอนซิส (Siamotyrannus isanensis) ไดโนเสาร์ตระกลู ใหม่ของไทยถกู คน้ พบท่บี ริเวณหินลาดยาว อาเภอภูเวียง จังหวัด ขอนแก่น เม่ือเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2536 ไดโนเสารเ์ ทอโรพอด (ไดโนเสาร์ที่เดิน 2 เท้า) ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 6.5 เมตร มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อประมาณ 130 ล้านปีก่อน มีขาหลังท่ี ใหญ่และแขง็ แรงมาก พบกระดูกสนั หลงั สะโพกและหางทมี่ ีสภาพค่อนขา้ งสมบูรณ์ฝังในช้ันหินทราย จากการศึกษาพบวา่ อยใู่ นวงศ์ไทรนั โนซอรเิ ดทีเ่ ก่าแกท่ ่ีสุด ทาใหส้ ันนิษฐานไดว้ ่ากลุม่ ของ ไทรันโนซอร์ เร่ิมวิวัฒนาการครง้ั แรกในเอเชียแลว้ คอ่ ยแพร่กระจาย ไปทางเอเชียเหนือ และส้ินสุดที่อเมริกาเหนือ ก่อนทีส่ ญู พันธไ์ุ ป 2. ภูเวยี งโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosaurus sirindhornae) ไดโนเสารซ์ อโรพอด (ไดโนเสารท์ เ่ี ดนิ 4 เท้า คอและหางยาว กนิ พืชเปน็ อาหาร) ชนดิ แรกของไทยถูกค้นพบท่บี ริเวณประตตู หี มา อาเภอภเู วียง จังหวัดขอนแก่น มักอยู่รวมกนั เปน็ ฝงู พบกระดูกของพวกวยั เยาวร์ วมอยดู่ ้วย ซึ่งมขี นาดยาว 2 เมตร และสงู เพยี งครง่ึ เมตรเทา่ นนั้ ไดโนเสาร์ชนดิ น้ีมีชีวิตอยใู่ นยุคครีเทเชีย สตอนตน้ เมื่อประมาณ 130 ลา้ นปกี ่อน ได้รบั การตง้ั ชือ่ เพือ่ เป็นการเทิดพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
3. กินรมี มิ สั (Kinnareemimus) กนิ รีไมมสั (Kinnareemimus) เป็นชื่อทตี่ ้งั ขึ้นมาอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการของไดโนเสาร์ สกุลหน่ึงทย่ี ัง ไมไ่ ดร้ บั การบรรยายลกั ษณะ ของไดโนเสารเ์ ทอรโ์ รพอดพบในหนิ ทรายหมวดหินเสา ขวั ยคุ ครเี ทเชียส จากหลมุ ขุดคน้ ที่ 5 อุทยานแหง่ ชาตภิ เู วยี ง อาเภอเวียงเก่า จงั หวัดขอนแก่น ลกั ษณะ กระดูกทีไ่ ด้มคี วามละม้ายคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์พวกออร์นิโธมิโมซอเรียน หลักฐานที่พบเป็นเพียง กระดกู อุ้งตีนขอ้ ทีส่ ามที่มสี ภาพทไ่ี มส่ มบรู ณแ์ ต่มีลกั ษณะของพนิ ชิง่ ด้านขา้ งท่เี ดน่ ชัดซึง่ พบได้ใน ออร์นิ โถมิโมซอร์ ไทรันโนซอรอยด์ ทรูดอนติดส์ และ ครีแนกนาธิดส์ หากมีอายุยุคครีเทเชียสตอนต้นจริง จะถือว่าเป็นออร์นิโถมิโมซอร์รุ่นแรกๆที่มีความเก่าแก่กว่าที่เคยพบเห็นมา ชื่อกินรีไมมัส ได้รับการ ตีพิมพ์คร้ังแรกโดย ริวอิชิ คาเนโกะ (Ryuichi Kaneko) ด้วยชื่อว่า \"Ginnareemimus\" ในปี ค.ศ. 2000 ทง้ั นย้ี งั ไม่ถอื ว่าเป็นสงิ่ ตพี ิมพท์ างวชิ าการ ตอ่ มา Buffetaut et al, 2009 ไดศ้ ึกษากระดูกหลาย ชนิ้ ประกอบดว้ ยกระดกู หัวหน่าว กระดูก ขาหลงั ทอ่ นลา่ ง กระดกู นอ่ ง กระดูกฝ่าตนี และกระดกู นิว้ จากหลมุ ขุดคน้ ที่ 5 ในอุทยานแหง่ ชาติภเู วียงพบว่าเป็นไดโนเสาร์พวก Ornithomimosaur เป็นสกุล และชนดิ ใหมแ่ ละได้ต้ังช่ือว่า Kinnareemimus khonkaenensis (กินรีไมมัส ขอนแก่นเอนซิส) การ ค้นพบสกลุ และชนดิ ใหมใ่ นยุคครีเทเชียสตอนตน้ นี้กลา่ วได้วา่ ornithomimosaur รุน่ ถัดๆมาอาจมีถน่ิ กาเนิดและแพร่กระจายพันธ์ุไปทั่วเอเชีย กินรีไมมัส มาจากชื่อสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายไทยซึ่งมีชื่อ เรยี กว่า กินรี 4. ธรณวี ิทยาประเทศไทยและแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวทิ ยาทมี่ ีความโดดเดน่ ทางกลุ่มหนิ และซาก บรรพชีวินในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
ธรณวี ทิ ยาประเทศไทยและภาคอีสาน โครงสรา้ งทางธรณีวทิ ยาของประเทศไทย ลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศไทย เป็นโครงสร้างทางธรณีวิทยาแบบโค้งงอ (Folded Belt) และถูกตัดด้วยรอยเลือ่ น ( Faulte ) และมกี ารแทรกซ้อนของหนิ แกรนติ ตามชอ่ งว่าง ต่อมาบริเวณรอยคดโค้งเหล่าน้ัน ถูกแปรสภาพด้วยความร้อนและแรงกดดัน ทาให้ชิ้นหินบางส่วน กลายเปน็ หินแกรนิต เขตทิวเขาทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ตกและภาคใต้ เป็นภูเขาท่ีประกอบด้วยหิน ชั้นและหินแปรทเ่ี ปน็ แบบโครงสรา้ งคดโค้ง (Folded Belt ) ซึ่งสว่ นใหญ่มอี ายใุ นมหายุคพาลีโอโซอิก ( Palaozoie ) ท่ีราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณที่ประกอบด้วยหินทราย และชั้น หนิ ดนิ ดานของมหายุค พาลโี อโซอกิ ( Palaozoie ) ส่วนบรเิ วณตามขอบตะวันตกและตะวนั ตกเฉียงใต้ของทรี่ าบสูงโคราช และทิวเขา ภาค ตะวนั ออกจะมชี ั้นหินท่มี โี ครงสร้างโค้งงอ ของมหายุคพาลีโอโซอิก ( Palaozoie ) บริเวณภาคกลาง ของประเทศไทยเป็นแอ่งแผน่ ดนิ ( Basin ) ขนาดใหญ่เป็นท่สี ะสมของ ชน้ั ตะกอน อายุอ่อนคอื ชั้นหิน มหายุคซีโนโซอิค ( Cenozoic ) ซึ่งประกอบด้วยชั้นตะกอนของยุคเทอร์เชียรี ( Tertiary ) และ ตอนบนของชั้นตะกอนเหล่าน้ีจะถูกปกคลุมทับถม ด้วยตะกอน กรวด หิน ของยุคควอเตอร์นารี( Quaternary ) ลกั ษณะทางธรณีวทิ ยาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ พ้ืนท่สี ่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหนิ ทราย ซ่งึ มีอายตุ ้ังแต่ตอนปลายยุคไทแอสซิกถึงยุคครี เทเซียส – เทอรเ์ ชียรี เรยี กช่ือหินยุคนว้ี ่า หม่หู นิ โคราช ประกอบดว้ ยหินทรายแป้ง หินทราย หินโคลน เปน็ ส่วนใหญ่ มีช้นั ของหนิ กรวดมน หินดนิ ดาน และเกลอื หนิ แทรกอยเู่ ป็นตอน ๆ จากอายขุ องหินทา ใหท้ ราบวา่ ในตอนปลายมหายุคมโี ซโซอกิ ท่ีราบสงู โคราช มตี ะกอนทบั ถมซึง่ บางช่ัวเวลาแอ่งแผ่นดินนี้ ไดย้ บุ จมลงเปน็ ทะเลต้นื นา้ ทะเลทข่ี ังอยู่ในแอง่ ก็เกดิ การระเหยตวั กลายเป็นชั้นของเกลือหินแทรกอยู่ ในช้ันหนิ ชนิดอนื่ ๆ หมหู่ นิ โคราช มีความหนาประมาณ 4,000 เมตรวางตัวอยู่บนผิวที่เกิดจากการผุ กร่อนของหินมหายุคพาลีโอโซอกิ ตอนบนช้นั หินเอียงลาดสใู่ จกลางแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร ตอน
ใต้ของทร่ี าบสงู โคราชมหี นิ บะซอลต์ยุค ควอเทอรน์ ารไี หลคลมุ กลุ่มหนิ โคราช ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของจังหวัดเลยมคี วามซบั ซ้อนทางธรณีมากมกี ารแทรกตัวของหินหินแกรตนิตเป็นหย่อมๆ และมีหิน อัคนีภายนอกคือหินไรโอไลต์ หินแอนดีไซด์ หินบะซอลต์พุข้ึนมาเป็นหย่อมๆ เป็นลักษณะเนิน ภูเขาไฟ
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: