Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรการปลูกพืชผักสมุนไพรอาหารป้องกัน covid - 19

หลักสูตรการปลูกพืชผักสมุนไพรอาหารป้องกัน covid - 19

Published by 945sce00471, 2021-05-20 06:56:29

Description: หลักสูตรการปลูกพืชผักสมุนไพรอาหารป้องกัน covid - 19

Search

Read the Text Version

หลกั สูตรการปลกู พืชสมุนไพร ที่มีศกั ยภาพใชเ้ ป็ นอาหารป้องกนั COVID-19””” กศน.อาเภออาจสามารถ สานกั งาน กศน.จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภออาจสามารถ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ

หนงั สอื รบั รองเหน็ ชอบหลกั สตู ร การปลกู พชื สมนุ ไพรทม่ี ศี กั ยภาพใชเ้ ปน็ อาหารปอ้ งกนั COVID-19 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภออาจสามารถ ตามที่ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภออาจสามารถ มีความประสงค์จะ ดาเนนิ การจัดฝึกอบรมประชาชน โดยการจัดกจิ กรรมมเี น้อื หาเก่ยี วกับกจิ กรรมพัฒนาทักษะชีวิต กจิ กรรมเพ่ือ พฒั นาสังคมและชมุ ชน และการสง่ เสริมการดาเนินชวี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เพื่อตอบสนอง นโยบายการดาเนินงานของสานักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ประจาปี งบประมาณ ๒๕๖๓ ด้านการศึกษาเพือ่ พฒั นาสังคมและชุมชน ท่ีมุงใชกระบวนการศกึ ษาเป็น เครื่องมือใน การพฒั นาสังคมและชุมชนใหมคี วามเขมแขง็ พึง่ ตนเองไดต้ ามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง มคี วาม เอ้อื อาทร มี คุณธรรม จรยิ ธรรม สืบทอดวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญา ประชาชนมีสวนร่วมในการดูแล ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดลอม โดยดาเนินการในรูปโครงการ กศน.อาเภออาจสามารถจงึ ไดจ้ ดั ทาโครงการปลูกพืชสมุนไพรที่มี ศกั ยภาพใชเ้ ป็นอาหารป้องกนั COVID-19 ขนึ้ และเพอ่ื ให้เปน็ ไปตามเกณฑ์การจัดกิจกรรมฝึกอบรมประชาชน ของสถานศึกษา สังกัดสานกั งาน กศน.ตามหนงั สอื กรมบญั ชีกลาง ด่วนทีส่ ดุ ที่ กค 0406.4/06606 ลงวนั ที่ 18 กมุ ภาพันธ์ 2559 และหนงั สือสานกั งาน กศน. ท่ี ศธ 0210.117/3198 ลงวนั ท่ี 15 มนี าคม 2559 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภออาจสามารถ จงึ ขอเสนอหลกั สตู รการปลกู พชื สมุนไพรทมี่ ศี กั ยภาพใชเ้ ปน็ อาหารป้องกัน COVID-19 เพอื่ ขอความเห็นชอบใหด้ าเนนิ การตามวตั ถปุ ระสงค์ ของโครงการตอ่ ไป ลงช่ือ .......................................................... ผู้เสนอหลกั สูตร (นางสาวราเพย สัตยาคณุ ) ครู กศน.ตาบล ลงช่ือ .......................................................... ผูอ้ นุมัติหลกั สูตร (นางสาวสดุ าวดี ดีอินทร์) ผู้อานวยการ กศน.อาเภออาจสามารถ ลงชือ่ .......................................................... ผู้เหน็ ชอบหลักสูตร (........................................................) ผู้อานวยการสานักงาน กศน.จงั หวดั ร้อยเอด็

คานา หลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพใช้เป็นอาหารป้องกัน COVID-19 เล่มน้ี จัดทำข้ึนโดยมี จุดมุ่งหมำย เพ่ือเพิ่มพูนควำมรู้เร่ืองพืชผักสมุนไพรที่มีศักยภาพใช้เป็นอาหารป้องกนั COVID-19 และส่งเสริม กำรปลูกพืชสมุนไพรท่ีมีศักยภาพใช้เป็นอาหาร กำรอนุรักษ์และรักษำธรรมชำติ ตลอดจนให้ผู้เรียนสำมำรถ นำไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ซ่ึงรูปแบบกำรจัดทำหลักสูตรน้ัน จะเน้นเนื้อหำสำระและข้ันตอนในกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีมีควำม สอดคล้องกับสถำนะกำรณ์ในช่วงวิกฤตโควิด ๑๙ ท่ีเน้นให้ผู้เรียนสำมำรถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และหวังเป็น อย่างยงิ่ ว่าหลกั สตู รการปลูกพชื สมนุ ไพรท่ีมศี กั ยภาพใช้เป็นอาหารปอ้ งกนั COVID-19 เลม่ นี้ จะเป็นประโยชน์ตอ่ ผู้อา่ น และผสู้ นใจนาหลักสูตรไปใช้ได้ กศน.อาเภออาจสามารถ

สารบญั หนา้ เรอื่ ง 1 1 ควำมเปน็ มำ 1 หลักกำรของหลกั สูตร 1 จดุ มุ่งหมำย 1 กล่มุ เป้ำหมำย 2 ระยะเวลำ 2 โครงสร้ำงหลักสตู ร 2 แหลง่ เรยี นร/ู้ สอ่ื /วสั ดุ/อปุ กรณ์ประกอบกำรเรยี นรู้ 2 กำรวัดและประเมนิ ผล 2 เงอ่ื นไขกำรจบหลักสตู ร 3 หลักฐำนกำรผ่ำนกำรอบรม 4 แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 5 ภาคผนวก 7 18 - แบบทดสอบก่อนเรียน 25 - บทเรยี น “คมู่ ือวัคซีนสโู้ ควดิ ” 28 - ใบความรู้ เรอื่ งพืชสมุนไพรทมี่ ศี กั ยภาพใช้เป็นอาหาร 29 - ใบงานท่ี 1 - แบบทดสอบหลงั เรียน - เฉลยแบบทดสอบ ก่อน - หลงั เรียน

1 หลกั สตู รการปลกู พชื สมนุ ไพรทมี่ ศี กั ยภาพใชเ้ ปน็ อาหารปอ้ งกนั COVID-19 จำนวน 3 ช่ัวโมง กศน.อำเภออำจสำมำรถ สำนกั งำน กศน.จงั หวัดรอ้ ยเอด็ ควำมเป็นมำ จากนโยบายการดาเนินงานของสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ประจาปีงบประมาณ 2564 มุ่งเน้นจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาสังคมและชุมชน ท่ีมุงใชกระบวนการศึกษาเป็น เคร่ืองมือในการพัฒนาสังคมและชุมชนใหมีความเขมแข็ง พึ่งตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีความ เออ้ื อาทร มีคุณธรรม จริยธรรม สืบทอดวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญา ประชาชนมสี วนรว่ มในการดแู ล ทรพั ยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ดาเนินการในรูปโครงการที่ใหความสาคัญกับหลักของการพัฒนา 4 ด้าน คือ ด้าน เศรษฐกิจ (วิสาหกิจชุมชน) ด้านการเมืองการปกครอง (ประชาธิปไตย) ด้านสังคม (วัฒนธรรมชุมชนและ ศิลปวัฒนธรรม) และดานสิ่งแวดลอม ตลอดจนการสั่งสอนอบรมเผยแผ่ธรรมมะและคุณธรรม จริยธรรม ตาม หลักของศาสนาในแตล่ ะทองถิ่นโดยบูรณาการการเรยี นรูเขากบั สภาพจรงิ ของชมุ ชน เพือ่ ตอบสนองนโยบายการดาเนนิ งานของสานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อธั ยาศัย กศน.อาเภออาจสามารถจงึ ได้จัดทาหลักสูตรการปลูกพชื สมุนไพรทีม่ ีศักยภาพใชเ้ ปน็ อาหารปอ้ งกัน COVID-19 ข้ึน ซึง่ กจิ กรรมนี้ ถอื เปน็ ส่วนหน่งึ ในการพัฒนาสังคมและชมุ ชนใหมีความเขมแขง็ พ่งึ ตนเองได้ตาม แนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตลอดจนสง่ เสรมิ ให้ประชาชนมสี วนรว่ มในการดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอม หลกั การของหลกั สูตร 1. เปน็ หลกั สูตรทเ่ี น้นการส่งเสรมิ ความรเู้ กีย่ วกบั พชื ผกั สมนุ ไพรท่ีมีศักยภาพใชเ้ ปน็ อาหารป้องกนั COVID-19 2. เป็นหลักสูตรทเี่ นน้ การปลูกพชื สมุนไพรท่มี ศี กั ยภาพใช้เปน็ อาหาร และส่งเสรมิ การอนุรกั ษ์และ รกั ษาธรรมชาติ 3. เป็นหลักสูตรทีส่ ามารถเรยี นรไู้ ด้ทุกเพศทุกวัย จดุ มงุ่ หมาย 1. เพ่ือเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับ พืชผักสมนุ ไพรทม่ี ศี กั ยภาพใชเ้ ปน็ อาหารป้องกนั COVID-19 ใหก้ บั ประชาชน 2. เพ่ือเพม่ิ พูนความร้เู ร่ืองการปลกู พืชสมุนไพรท่มี ศี กั ยภาพใช้เปน็ อาหาร และส่งเสริมการอนรุ ักษแ์ ละ รักษาธรรมชาติ ให้กบั ประชาชน 3. เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้อย่างเหมาะสม กลมุ่ เป้าหมาย ประชาชนทั่วไป ระยะเวลา ระยะเวลาการเรยี นร้ขู องหลักสูตร จานวน 3 ชัว่ โมง

2 โครงสรำ้ งหลกั สูตร จดุ ประสงค์กำร เนื้อหำ กำรจัดกระบวนกำร จำนวนชว่ั โมง ท่ี เรือ่ ง เรยี นรู้ เรยี นรู้ ทฤษฎี ปฏิบัติ 1 การปลูกพืชสมุนไพร 1.เพือ่ ให้ผู้เรียนมี 1.พชื ผักสมนุ ไพร 1.ลงทะเบียน 12 3 ชวั่ โมง ท่มี ศี ักยภาพใช้เปน็ ความรู้เร่ืองพืช ผัก ทม่ี ศี กั ยภาพใช้ 2.ทาแบบทดสอบ อาหารปอ้ งกัน สมนุ ไพรทม่ี ี เปน็ อาหาร กอ่ นเรยี น COVID-19 ศกั ยภาพใช้เปน็ ป้องกนั COVID- 3.ศกึ ษาจากใบ อาหารป้องกนั 19 ความรู้ สือ่ เอกสาร COVID-19 2.การปลูกพชื สอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ 2.เพ่อื สง่ เสริมการ สมุนไพรทมี่ ี (บทเรียนออนไลน)์ อนรุ ักษ์และรักษา ศักยภาพใชเ้ ปน็ 4.ปฏบิ ตั ิตามใบงาน ธรรมชาติสาหรับ อาหาร 5.ทาแบบทดสอบ ชมุ ชนดว้ ยการปลูก หลังเรยี น พชื สมนุ ไพรทม่ี ี ศักยภาพใชเ้ ปน็ อาหาร รวม แหลง่ เรยี นรู้/ส่ือ/วัสดุ/อปุ กรณป์ ระกอบกำรเรยี นรู้ 1. บทเรียน On-Line 2. เอกสารประกอบการเรียนรู้ 3. วัสดุสำหรับภำคปฏบิ ตั ิ กำรวัดและประเมนิ ผล 1. การประเมนิ ความรูภ้ าคทฤษฎี 2. ตรวจแบบทดสอบ 3. ประเมินผลภำคปฏิบัติ (ตรวจใบงำน) เง่ือนไขกำรจบหลักสตู ร มผี ลงำนกำรประเมนิ ภำคทฤษฎีและภำคปฏบิ ัติ ร้อยละ 60 หลกั ฐำนกำรผำ่ นกำรอบรม 1. หลักฐำนกำรประเมินผล ๒. ทะเบยี นคุมวฒุ ิบัตร

แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ หลกั สูตรการปลกู พชื สมนุ ไพรทมี่ ศี กศน.อำเภออำจสำมำรถ สำน สมรรถนะ สมรรถนะย่อย เน้ือหำ ตวั ช้วี ัด เวล หลัก 3 ชว่ั โ 1.เพอ่ื ให้ผู้เรียนมี 1.พืชผกั สมนุ ไพรท่ี 1.ผู้เรียนสามารถ การปลกู พชื ความรู้เรอื่ งพืช มศี กั ยภาพใช้เป็น อธบิ ายเร่ืองพชื ผกั สมุนไพรท่มี ี ผกั สมุนไพรทีม่ ี อาหารป้องกัน สมุนไพรท่ีมี ศกั ยภาพใช้ ศกั ยภาพใชเ้ ปน็ COVID-19 ศักยภาพใช้เป็น เปน็ อาหาร อาหารปอ้ งกัน 2.การปลูกพชื อาหารป้องกนั ปอ้ งกัน COVID-19 COVID-19 ได้ COVID-19 2.เพอ่ื ส่งเสรมิ สมุนไพรท่ีมี 2.ผ้เู รยี นสามารถ จานวน 3 อธบิ ายเรอื่ งการ ชั่วโมง การอนุรกั ษ์และ ศักยภาพใช้เปน็ ปลกู พชื สมนุ ไพรท่ี มีศกั ยภาพใชเ้ ป็น รกั ษาธรรมชาติ อาหาร อาหาร ได้ สาหรบั ชมุ ชน ดว้ ยการปลกู พืช สมุนไพรท่ีมี ศักยภาพใชเ้ ปน็ อาหาร ลงชือ่ ......................................................... ผู้เสนอแผน (นำงสำวรำเพย สตั ยำคุณ) ตำแหน่ง ...........ครู กศน.ตำบล................

ศกั ยภาพใชเ้ ปน็ อาหารปอ้ งกนั COVID-19 จำนวน 3 ช่ัวโมง นกั งำน กศน.จังหวัดร้อยเอด็ ลำ ขนั้ ตอนกำรจัดกิจกรรม ส่ือ/วัสดุ กำรวัด/ ประเมนิ ผล โมง 1.ผู้สอนชแ้ี จงและอธบิ ายขนั้ ตอนการเรียนรู้ 1.เอกสาร 1.แบบทดสอบ ด้วยตนเองแกผ่ ู้เรยี น ประกอบการ กอ่ นเรียน 2.แบบทดสอบ 2.ผเู้ รยี นศกึ ษาจดุ มงุ่ หมายของบทเรียนและ เรยี นรู้ หลงั เรยี น (ผู้ ผา่ นรอ้ ยละ 60 วางแผนการเรียนของตนเอง 2.ศึกษาจาก จะไดร้ บั วุฒบิ ัตร) 3.ผู้เรยี น เรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง จากเอกสาร บทเรยี น On- ประกอบการเรียนรู้ หรอื จาก Line https://pubhtml5.com/homepage/pruj 3.วัสดุสำหรับ \"หอ้ งเรียน Online\" ปฏิบัติจริง และทำแบบทดสอบออนไลน์ (ปลูกพชื https://forms.gle/rNXfKfHXAWiaCfjJ6 สมนุ ไพร) ตามข้ันตอน ดงั นี้ 3.1 ลงทะเบียน 3.2 ทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3.3 ศึกษาบทเรียน 3.4 ทาแบบทดสอบหลงั เรียน ลงชื่อ ......................................................... ผ้อู นมุ ัตแิ ผน (นำงสำวสุดำวดี ดีอนิ ทร์) ตำแหน่ง ผู้อำนวยกำร กศน.อำเภออำจสำมำรถ

4 ภำคผนวก

5 แบบทดสอบก่อนเรียน คำชแี้ จง : ให้ผเู้ รยี นทำแบบทดสอบออนไลนผ์ ำ่ นเว็บไซต์ https://forms.gle/EVjFdiEYy6nojx8q8 และจงเลือกคำตอบทถ่ี ูกตอ้ งทีส่ ุดเพียงข้อเดียว 1. พืชผกั สมนุ ไพร กลุ่ม ที่แนะนำให้บริโภคในชว่ งโรค COVID-19 ระบำด ได้แก่? ก. กลุ่มที่มีวิตำมินซี และสำรต้ำนอนุมูลอิสะสูง (สำรกลุ่มโพลีฟีนอล, ไบโอเฟลโวนอยด์ กลุ่มแอนโทไซยำนนิ ) ข. กลุ่มท่ีว่ำมีงำนวิจัยเบ้ืองตน้ ว่ำมีสำรสำคัญท่ีอำจช่วย ลดโอกำสติดเชื้อ COVID-19 ค. กลุ่มท่ีมีฤทธ์ิกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ง. แนะนำให้บริโภคท้ัง 3 กลุ่ม 2. พืชผกั สมุนไพรท่ีจัดอยู่ในกลุ่ม มีฤทธก์ิ ระต้นุ ภมู ิคุ้มกนั คือข้อใด? ก. เห็ดนำงฟ้ำ ข. มะระขน้ี ก ค. ผักหวำน ง. ฟักข้ำว 3. เห็ดชนิดใด มีสำรเบต้ำกลูแคนช่วยกระตนุ้ ภูมิคุ้มกัน ? ก. เห็ดหูหนู ข. เห็ดออรินจิ ค. เห็ดหลินจือ ง. ทุกข้อท่ีกล่ำวมำ 4. ผักผลไม้กลุ่มที่มงี ำนวิจยั เบ้ืองต้นว่ำ มสี ำรสำคัญที่อำจชว่ ยลดโอกำสกำรตดิ เช้ือ COVID-19 ได้แก่ขอ้ ใด ก. ผักผลไม้ท่ีมีสำรเฮสเพอริดนิ (hesperidin) และรูตนิ (rutin) สูง ได้แก่ ผิวและเยอ่ื หุ้มด้ำนในเปลือกผลของ พืชตระกูลส้ม (citrus fruit เช่น ส้ม มะนำว มะกรูด ส้มซ่ำ) ข. ผักผลไม้ท่ีมีสำรเคอร์ซีติน (quercetin) สูง ได้แก่ พลูคำวหรอื ผักคำวตอง หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม แอปเป้ิล ใบหม่อน ค. ผักที่มีสำรโอเรียนทิน (orientin) เช่น กะเพรำ ง. ทุกข้อท่ีกล่ำวมำ 5.ผกั ผลไมแ้ ละผักพน้ื บ้ำน ในข้อใด ที่จัดอย่ใู นกลมุ่ ท่ีมีวิตำมินซีสูงช่วยกระตนุ้ ภูมิคุม้ กัน ต้ำนกำรติดเช้ือ ไวรัส? ก. ดอกขี้เหลก็ ยอดมะยม ฟักข้ำว ข. ดอกแค อญั ชัญ ถัว่ ฝักยำว ค. มะม่วง มะพร้ำว มะดัน ง. ผักบุง้ ตำลึง กวำวเครือ 6.ผลไม้ที่มีวิตำมินซีและมีสำรกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์สงู คือข้อใด ก. ส้ม ข. ส้มโอ ค. มะกรูด ง. มะขำมป้อม

6 7. \"ตรีผลำ\" มีสรรพคุณช่วยปรับธำตุปรับสมดุลของร่ำงกำย ควบคุมและกำจดั สำรพษิ ในร่ำงกำย และข้อมูล จำกกำรศึกษำวิจัย พบว่ำตรีผลำมีฤทธ์ิตำ้ นอนุมูลอิสระ ท่แี รงและมีฤทธิก์ ระตุ้นภูมิคุ้มกนั ท่ีดี ตรีผลำ มี ส่วนประกอบใดบ้ำง? ก. สมออนิ เดีย สมอน้ำ สมอไทย ข. สมอไทย สมอพิเภก มะขำมป้อม ค. สมอไทย มะขำมปอ้ ม มะขำมแขก ง. มะขำมป้อม มะขำมแขก มะขำมเทศ 8. พืชในขอ้ ใด ที่ปัจจุบันมกี ำรศึกษำวิจัยแล้วพบว่ำ มีกลไกต้ำนไวรัส เพ่มิ ภูมิค้มุ กัน รวมถงึ ลดกำรอักเสบ ที่ ปลอดจำกเช้ือไวรัส ก. ขมนิ้ ชัน ข. กระเทียม ค. มะขำมปอ้ ม ง. ฟ้ำทะลำยโจร 9. กำรขยำยพันธ์สมอภเิ ภกสำมำรถทำได้ ก่ีวิธี ก. 1 วธิ ี ข. 2 วิธี ค. 3 วิธี ง. 4 วิธี 10. กำรปลูกมะขำมป้อม ควรปลกู ในช่วงเดอื นใด จงึ จะเหมำะสมท่สี ุด ก. พฤษภำคม ข. มิถุนำยน ค. กรกฎำคม ง. สิงหำคม

บท

ทเรยี น



8



9



10



11



12



13



14



15



16

17 พชื สมนุ ไพรทมี่ ศี กั ยภาพใช้เปน็ อาหาร 1. มะขามปอ้ ม เป็นพืชสมุนไพรประจาบ้าน ท่มี ีสรรพคณุ ทางยาสูง ในตาราแพทย์แผนไทยใช้มะขามป้อม เป็นส่วนผสม สาคญั ในตารบั ยามากกว่า 100 ตารับ เช่น ตารบั ยา “ สมนุ ไพรตรีผลา ” ซึ่งเป็น กลุ่มยาอายวุ ัฒนะ ผลงานวจิ ัยทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยืนยันตรงกนั ว่า มะขามป้อมจดั เปน็ ผลไม้ที่มปี ริมาณ ของสารแทนนินสงู เป็นชนดิ ที่มีฤทธ์ใิ นการต่อตา้ น อนมุ ูลอิสระตา้ นสารกอ่ มะเรง็ เพม่ิ ภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง กาจัดสารพษิ จากโลหะหนักออกจากรา่ งกายและในผล ของมะขามปอ้ มมปี ริมาณวิตามนิ ซสี งู มากกว่าส้มถึง 20 เทา่ ประโยชนม์ ะขามปอ้ ม 1. มะขามป้อมนามารับประทานสด ใหร้ สเปรีย้ วอมฝาด และรสจัดมาก จงึ ต้องจิ้มเกลือจึงจะดี 2. ผลมะขามปอ้ มนามาแปรูปเปน็ มะขามปอ้ มดองและมะขามป้อมแชอ่ ม่ิ เป็นตน้ 3. ผล และใบใชผ้ สมในตารบั ยาสมุนไพรหรือรับประทานเพือ่ ประโยชน์ในด้านสมนุ ไพร 4. ลาตน้ ขนาดเล็ด และกง่ิ นามาทาโครงดักจบั ปลา เช่น สวิง เพราะเนื้อไม้เหนยี ว สามารถโค้งงอไดง้ ่าย 5. เปลือก และใบ ใช้ต้มย้อมผ้า ให้สนี ้าตาลแกมเหลอื ง และหากผสมเกลอื จะใหส้ นี ้าตาลอมดา และหาก ย้อมเสือ่ ด้วยเปลือกจะได้สดี า 6. ลาต้น และกง่ิ นามาทาฟนื 7. ต้นมะขามป้อมตามปา่ หรือตามหัวไร่ปลายนา จัดเป็นอาหารสาหรับสัตวป์ า่ 8. ชาวฮินดูนยิ มใชใ้ บมะขามปอ้ มสาหรับประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา การปลกู มะขามปอ้ ม การปลูกมะขามปอ้ มในปัจจุบนั สามารถปลกู ไดด้ ้วยเมลด็ แต่ด้วยความสะดวกจึงนยิ มซอ้ื ตน้ พนั ธ์ุจากการ ตอนกิง่ และการต่อยอดมาปลูกเปน็ หลกั และต้นพนั ธุช์ นดิ นี้ยงั สามารถออกผลได้ทนั ทีหรือเพียงไมก่ ปี่ ีก็ใหผ้ ลได้ ไมเ่ หมอื นกบั ต้นพันธทุ์ ่ีปลกู ดว้ ยเมล็ดทต่ี อ้ งใชเ้ วลานาน 3-5 ปีกวา่ จะให้ผลได้ การเตรยี มแปลง สาหรบั การปลูกตามสวนหลงั บา้ นหรือหวั ไร่ปลายนาทีป่ ลูกเพยี งไมก่ ต่ี น้ สามารถนาต้นลงปลกู ไดเ้ ลยโดย ไม่ตอ้ งเตรยี มดนิ แต่อยา่ งใด สาหรบั ระยะหา่ งระหวา่ งตน้ ควรปลกู ท่รี ะยะ 4 x 4 เมตร สาหรบั ตน้ พนั ธุ์ตอนก่ิง และระยะ 6-8 x 6-8 เมตร สาหรับตน้ กลา้ เพาะเมล็ด โดยขุดหลุมกวา้ ง และลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ส่วนการปลูกในแปลงจานวนมากเพื่อการคา้ ควรเตรยี มแปลงดว้ ยการไถ และกาจัดวัชพืชให้ตายหมดเสยี กอ่ น ส่วนระยะหลมุ ที่ขุดจะใช้ในระยะทีก่ ล่าวขา้ งตน้

18 การปลกู การปลกู นัน้ ให้ปลูกในชว่ งเดอื นพฤษภาคมท่ีหน้าดินชมุ่ จากฝน โดยก่อนปลกู ใหโ้ รยดว้ ยปุ๋ยคอกประมาณ 3-5 กามือ และอาจใส่ปยุ๋ เคมีร่วมด้วยก็ได้ พร้อมเกลยี่ ดนิ คลุกผสมให้เข้ากัน กอ่ นนาตน้ พันธุล์ งปลูก และกลบดนิ ใหแ้ น่น การดแู ล สาหรับการปลูกเพื่อรับประทานเองเพยี งไม่ก่ีต้น มักไม่ค่อยพิถพี ถิ ันในการดแู ล เพยี งปลูกใหต้ รงในช่วงฤดู ฝน และปลอ่ ยให้โตตามธรรมชาติ แตค่ วรถากกาจัดหญ้าใหเ้ ปน็ ระยะ ส่วนการปลูกเพ่อื การคา้ นั้น หลงั จาการปลูกแล้ว หากไมม่ ฝี นตก ใหร้ ดนา้ เป็นระยะจนกวา่ ตน้ พนั ธุ์จะต้ัง ตน้ ได้ และเมื่อถงึ ชว่ งแล้งจะให้นา้ เป็นระยะ 3-5 ครงั้ /เดอื น ด้วยระบบนา้ หยดหรอื ตกั น้ารด การใสป่ ๋ยุ ใหใ้ ส่ปุย๋ คอกอตั รา 3 กามือ/ต้น ทกุ ๆ 4 เดือน ร่วมกบั ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 สาหรบั ระยะ 1-2 ปี ท่ี ยงั ไม่ตดิ ผล ในความถี่ 2-3 ครั้ง/ปี แตห่ ากช่วงออกดอกให้เปล่ียนเป็นสตู ร 12-12-24 แทน การกาจัดวชั พชื ใหใ้ ช้ระบบการไถพรวนดิน ร่วมกบั การใช้จอบถาก ใน 1-2 ปแี รก หลังจากนน้ั จึงใชจ้ อบถาก เปน็ ระยะ

19 2. สมอไทย เปน็ ไม้ปา่ ยนื ต้นที่มถี ิ่นกาเนิดอย่ใู นแถบเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ เชน่ ประเทศไทย พม่า และลาว พบมกี ารเจรญิ เติบโต อย่มู ากในแถบภาคกลาง อีสาน และภาคเหนอื ของไทย ใน บริเวณท่ีเป็นป่าเต็งรงั และป่าเบญจพรรณ ผลมีรสฝาดเปร้ยี ว นิยมนาผลสดมารับประทาน หรอื นาไปแปรรปู เป็นสมอดอง หรอื สมอแช่อ่มิ มีสรรพคณุ ในการกระตนุ้ ใหอ้ ยากกนิ อาหาร และชว่ ยบารงุ ร่างกายให้เกิดภมู ิตา้ นทานโรค การขยายพนั ธ์ุ สามารถทาได้ดว้ ยวิธีการเพาะเมล็ด การตอน หรือการปักชา สมอไทยเป็นไม้เนือ้ แข็งส่วนใหญ่จึงนยิ ม ขยายพนั ธุ์ด้วยการเพาะเมลด็ เนือ่ งจากอาจไม่ได้ผลมากนกั หากใชว้ ิธีอน่ื ๆ โดยนาเมล็ดพนั ธท์ุ ี่ร่วงจากตน้ มาตาก ใหแ้ ห้ง แล้วค่อยนาไปเพาะต่อในถงุ ชา ซึ่งกวา่ เมล็ดสมอไทยจะแห้งกต็ อ้ งใชเ้ วลานานพอสมควร เนื่องจากมีเนือ้ ผลท่ีค่อนข้างหนาและแขง็ เมล็ดพนั ธุท์ ่ีแหง้ แลว้ สามารถเกบ็ ไวไ้ ด้นานถงึ 2 ปี มีอตั ราการงอกประมาณ 70-80% หากเก็บเมล็ดพนั ธ์ุไว้นานกวา่ นี้กจ็ ะทาให้เปอรเ์ ซ็นต์การงอกลดลงได้ การปลกู ก่อนนาเมลด็ ลงเพาะในถงุ ชาหรอื แปลงสาหรับเพาะ ควรตัดเปลอื กหุ้มเมล็ดให้แตกเสียก่อนเพอ่ื ให้เมล็ด สามารถงอกได้ดีข้ึน ใช้ดนิ ร่วนกลบหลังจากนาเมลด็ ลงปลูกใหห้ นาประมาณ 1 ซม. เม่ือปลูกไปได้ประมาณ 3-4 สัปดาห์เมลด็ ก็จะเริ่มงอก ย้ายตน้ กล้าที่มีความสงู ประมาณ 5-7 ซม. ไปชาในแปลงตอ่ ไป สมอไทยสามารถเจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ แทบทกุ ชนิดไมว่ า่ จะเป็นดนิ ทรายหรือดนิ เหนยี ว พ้ืนทท่ี ่ีเหมาะสมในการ เพาะปลกู จะอยู่สงู กว่าระดบั น้าทะเลประมาณ 2,000 เมตร มฝี นตกเฉล่ียปีละประมาณ 700-3,300 มม. สามารถเติบโตไดใ้ นสภาพแวดล้อมทีม่ อี ุณหภูมสิ งู ถงึ 45 องศาเซลเซยี ส และต่าถงึ 10-15 องศาเซลเซียส ประโยชน์ ผล-มีรสเปร้ยี วอมฝาดใช้รับประทานเปน็ ผลไม้สด หรอื นาไปดอง แชอ่ มิ่ กไ็ ด้ เปลือกตน้ -ใชย้ ้อมผ้า ยอ้ มแห จะให้สดี าอมแดง ใบ-ใชย้ ้อมผ้า ใบออ่ นให้สีเขยี วขมี้ ้า ใบแก่ใหส้ ีเหลืองอมนา้ ตาล หรือนาใบอ่อนมาห่นั ตากแห้งใช้เป็นยาสบู หรือชงดม่ื เป็นชาได้ เน้ือไม้-มคี วามแข็งแรงทนทาน สามารถนาไปสร้างบ้านเรอื น หรืออุปกรณเ์ คร่ืองมือเคร่ืองใชต้ ่างๆ ได้ สว่ นกิง่ สมอกใ็ ชท้ าเป็นไม้ฟนื สรรพคณุ ทางยา ใบ-เปน็ ยาสมานแผล บารงุ ถงุ นา้ ดี ผลออ่ น-ใช้เป็นยาระบาย ลดไข้ ขบั เสมหะ แก้บิด ขับลม ผลแก-่ ใช้เป็นยาแกท้ ้องเสีย ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยแกอ้ าหารทอ้ งเดนิ ชว่ ยชาระล้างลาไส้ให้สะอาด ผลแหง้ -ใช้ ต้มกบั น้าเปน็ ยาแก้ไอ

20 3. สมอพเิ ภก เปน็ ไม้พ้ืนเมืองของประเทศไทย การกระจายพันธุ์ ตามธรรมชาติพบไดใ้ นทุกภาคของประเทศไทย สามารถข้นึ ได้ ในดนิ แถบทกุ ชนดิ ดังน้นั ในเรอ่ื งพนื้ ทป่ี ลูกจงึ ไม่ค่อยมีปญั หา สาหรับไม้ชนดิ นี้ การปลกู สมอพิเภกด้วยตน้ กล้านั้น สามารถ ยา้ ยตน้ กล้ามาปลูกได้โดยวิธไี มม่ ีดินหุ้มราก ขนาดของตน้ กล้า ที่เหมาะสมในการยา้ ยปลกู ควรมีอายุ 6-7 เดอื น มีความสงู ประมาณ 40 ซม. กอ่ นย้ายปลกู ควรลดิ ใบและราก การย้าย ต้นไม้จากแปลงเพาะไปปลกู ควรย้ายในขณะอากาศชุ่มชื้น แตไ่ มค่ วรย้ายขณะฝนตกหนกั เพาะดินอาจแฉะเกนิ ไป ดนิ อาจแน่นอากาศถา่ ยเทไมไ่ ด้ สาหรับอัตราการเจริญเตบิ โตและการปรับปรุงพันธไ์ุ มส้ มอพิเภกนัน้ ยังไม่มกี าร ศกึ ษาและบนั ทกึ ข้อมูลไว้ สว่ นใหญแ่ ล้วจะปลูกไวเ้ พือ่ เป็นไม้ใช้สอย โดยเฉพาะการใชป้ ระโยชน์ทางดา้ นสมุนไพร การขยายพนั ธ์ุ การขยายพันธุ์สมอพเิ ภกสามารถทาได้ 2 วิธี คอื การขยายพันธโุ์ ดยอาศยั เพศ โดยการเพาะเมล็ด และ การขยายพันธุ์โดยวธิ ไี มอ่ าศัยเพศ โดยการปกั ชาและตอนก่ิง ในการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมลด็ นน้ั ชว่ งเวลาที่ เหมาะสมในการเก็บเมล็ด ควรเก็บประมาณชว่ งเดือนมกราคมจนถึงเดอื นพฤษภาคม วิธกี ารเกบ็ เมล็ด ใชว้ ธิ ีเกบ็ ผลทีร่ ว่ งหล่นใหม่ ๆ ผลแก่จะมสี ีน้าตาลเขม้ คุณภาพของเมล็ด เมล็ดที่เกบ็ ใหม่ ๆ จะมีอตั ราการงอก 85% เมลด็ ที่เก็บไว้นานจะมเี ปอร์เซ็นต์การงอกลดลง การปลกู นาเมล็ดที่เกบ็ ไดม้ าเพาะลงในแปลงเพาะทเ่ี ตรียมไว้ ใชด้ นิ ร่วนกลบหนาประมาณ 0.5 น้วิ เมล็ดจะเร่ิมงอก ประมาณ 45 วนั หลงั จากเพาะ การผสมพนั ธแุ์ บบปักชาและตอนก่ิงทากันนอ้ ย เนอื่ งจากความต้องการกล้าไม้ ชนดิ น้ียงั มไี มม่ ากนัก สรรพคณุ : ประเทศพมา่ : ใช้ผลแห้งรกั ษาอาการไอ และโรคตา ในอนิ โดจีนใชเ้ ปน็ ยาฝาดสมาน และยาบารุง ผลสด เป็นยาถ่าย ตารายาไทย: ผลอ่อน แกไ้ ขเ้ พ่ือเสมหะ และไข้เจอื ลม เปน็ ยาระบาย ยาถ่าย ผลแก่ แก้เสมหะจกุ คอ ทาให้ ช่มุ คอ แกโ้ รคตา แกธ้ าตกุ าเริบ บารุงธาตุ แก้ไข้ แกร้ ดิ สีดวง แกท้ ้องรว่ งท้องเดิน รกั ษาโรคทอ้ งมาน เมล็ดใน แก้ บิด แกบ้ ดิ มูกเลือด รปู แบบและขนาดวธิ ใี ชย้ า ยาระบายถ่ายท้อง ใช้ผลอ่อน 2-3 ผล ตม้ กบั น้า 1 ถว้ ยแกว้ ใส่เกลือเลก็ น้อย รับประทานครง้ั เดียว แกท้ ้องรว่ ง ทอ้ งเดิน ใช้ผลแก่ 2-3 ผล ต้มกบั นา้ 2 ถว้ ยแกว้ ใสเ่ กลือเล็กน้อย เค่ยี วจนเหลอื 1 ถว้ ยแกว้ รบั ประทาน

21 4. กระชาย เป็นพืชล้มลกุ มีเหงา้ หรือลาต้นอยใู่ ต้ดิน ซ่งึ มีลักษณะ เรียว ยาวอวบนา้ ตรงกลางเหง้าจะพองคลา้ ยกระสวย ออกเกาะกลุ่มกนั เป็นกระจุก มีสนี า้ ตาลหรือสีน้าตาลแกมสม้ เน้อื ขา้ งในเปน็ สเี หลอื งมีกล่นิ หอม ใบเป็นใบเด่ยี วออกสลับกัน สคี อ่ นข้างแดง ใบมีขนาดยาวรรี ปู ไข่ ปลายใบแหลมมขี นาดใหญ่ สเี ขยี วอ่อน โคนใบเป็นกาบหมุ้ ซอ้ นกัน ออกดอกเป็นชอ่ ทยี่ อด ดอกมีสีขาวหรอื สีขาวปนชมพู ผลของกระชาย เป็นผลแหง้ กระชาย มี 3 ชนดิ คือ 1. กระชายเหลอื ง หรือกระชายขาว 2. กระชายแดง 3. กระชายดา ฤดปู ลกู ปลูกไดท้ ั้งปี แต่ฤดูปลกู ท่ีเหมาะสมอยใู่ นระหวา่ งเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ขน้ั ตอนการปลกู กระชาย 1. ไถพรวน หรือขดุ ดนิ เพอ่ื กาจัดวชั พืชและปรบั ปรุงโครงสร้างดิน 2. นาขเ้ี ถา้ แกลบผสมกับแกลบ อตั ราส่วน 1:1 หว่านให้ทั่วแปลงปลกู พ้นื ท่ี 1 ไร่ ใช้ขี้เถา้ 100 กระสอบ แกลบ 100 กระสอบ พรวนให้เข้ากนั 3.นาหวั พนั ธุ์กระชายปลกู ในแปลงปลกู ให้เปน็ แถว 4.ใชเ้ ศษฟางหญ้า หรือทางมะพรา้ วแหง้ ปดิ คลุมไว้ 5.ประมาณ 1-2 เดอื น หว่านป๋ยุ คอก หรอื ป๋ยุ หมกั ใหท้ ่ัวแปลง 6.การเก็บเกีย่ วผลผลติ 8-12 เดือน หรือปลอ่ ยให้ตน้ กระชายฟักตัว การปลกู ลงแปลง ต้องเตรยี มแปลงปลูก โดยการพรวนดนิ ตากแดดทิ้งไวน้ าน 5 - 7 วัน เพือ่ ปรับสภาพดิน ยกร่องกว้าง ประมาณ 1.50 เมตร ขุดหลมุ ลึกประมาณ 10 - 15 ซม.ใสป่ ยุ๋ คอกให้พอเหมาะ แลว้ ทาการปลูก ระยะห่าง ระหวา่ งหลมุ และแถวประมาณ 30 X 30 ซม. ใส่หัวหรือเหง้า 2 -3 หวั (แงง่ ) ตอ่ หลมุ แล้วกลบหลมุ รดนา้ ใหช้ ่มุ การเตรยี มเหงา้ พนั ธกุ์ ระชาย - คัดเลือกหวั พนั ธ์ทุ ม่ี ีอายุ 7-9 เดอื น มีตาสมบรู ณ์ ไมม่ โี รคแมลงทาลาย - แบ่งหวั พันธโุ์ ดยการหน่ั ขนาดของเหงา้ ควรมตี าอยา่ งน้อย 3-5 ตาหรอื แงง่ มีน้าหนัก 15-50 กรัม - แบ่งหัวพนั ธโุ์ ดยการห่นั ขนาดของเหง้าควรมตี าอยา่ งน้อย 3-5 ตาหรือแงง่ มนี ้าหนกั 15-50 กรมั

22 - แช่ทอ่ นพันธด์ุ ้วยสารเคมปี ้องกันกาจัดแมลง มาลาไธออน หรือคลอไพรฟี อส 1-2 ชั่วโมง ตามอตั รา แนะนา - ชบุ ท่อนพันธดุ์ ้วยสารเคมีป้องกัน กาจัดเชอื้ ราก่อนปลกู การเตรยี มหวั พนั ธกุ์ ระชาย การปลูกใช้ทอ่ นพันธุ์มี 2 ลกั ษณะคอื หัวแม่และแง่ง - การปลูกโดยหวั แม่ควรมีน้าหนักประมาณ 15-50 กรัม/ หัว - การปลูกดว้ ย แง่งพันธุม์ ปี ลอ้ ง 7-9 ปล้อง / ช้นิ น้าหนกั 15-30 กรมั ยาว 8-12 ซม. ก่อนปลูกกระชาย หวั พนั ธ์ุควรแชด่ ว้ ยยาปอ้ งกนั เชอ้ื รา และยาฆ่าเพล้ียโดยแชไ่ ว้ประมาณ 30 นาที การปลูกควรรองกน้ หลุมดว้ ยปุ๋ยสตู ร 13-13-21 อัตรา 50 กก. / ไร่ และวางทอ่ นพันธ์ุ กลบดนิ หนาประมาณ 5-10 ซม. ขมนิ้ จะใช้เวลาในการงอก ประมาณ 30-70 วัน หลังปลกู การดแู ลรกั ษา เม่อื ตน้ กระชายอายไุ ด้ 1 เดอื น ควรดายหญา้ กาจัดวชั พืชพร้อมท้งั ใสป่ ๋ยุ คอกหรือปยุ๋ หมักในอัตรา 1,000 กก./ไร่ ไม่ควรใสป่ ุ๋ยเคมเี พราะจะทาใหห้ น่อกระชายท่เี กดิ ใหม่ยาว และสขี องหัวกระชายดาไมด่ า ทาให้ คณุ ภาพเปลี่ยนไป และเมื่อต้นกระชายอายุได้ 2 เดอื น ให้พรวนดินกลบโคนต้นควรมีการปลกู ซ่อมในหลมุ ท่ีไม่งอก วธิ กี ารเก็บเกย่ี ว เมื่อกระชายอายไุ ด้ 10 -12 เดอื น สังเกตจากใบและลาตน้ จะเริ่มเหยี่ วแห้งและหลุดออกจากตน้ 1. ใชว้ ธิ ขี ดุ การใช้ขี้เถา้ และแกลบผสมจะทาให้ขุดงา่ ย ดินรว่ นซยุ หวั กระชายโต อวบอว้ น ขาว เป็นท่ี ตอ้ งการของตลาด 2. การใชข้ เี้ ถ้าแกลบผสมกับแกลบ เป็นการปรบั โครงสรา้ งดนิ เหนียวทด่ี วี ธิ หี น่งึ 3. เปน็ การประหยดั และทางา่ ยต่อเกษตรกร แหลง่ ท่ีมา : กรมวชิ าการเกษตร

23 ในชั่วยามนี้ กระแสการนาพืชผลมาช่วยบารงุ และ ตอ่ ต้านโรคโควดิ -19 โดยหลาย ๆ คน อาจจะเชอ่ื ว่า จะเป็นอกี ชอ่ งทางหน่งึ ในการชว่ ยต้านโรคดงั กลา่ วได้ ซ่งึ รวมไปถงึ ‘กระชาย’ ทเี่ ป็นอีกหนึ่งตวั ช่วยหนง่ึ ในการ ชว่ ยตอ่ ต้านโรคนี้ โดยความสาเร็จเบอื้ งตน้ พบว่า “สารสกดั กระชายขาว” มีฤทธิต์ ้าน COVID-19 ในหลอดทดลอง นักวิจัย ม.มหดิ ล เร่งพัฒนาสารสกดั กระชายขาวเพ่ือใชเ้ ปน็ ยาสาหรับโรค COVID-19 คาดว่าใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี ในการวิจยั และพฒั นาใหส้ าเรจ็ โดยโครงการวจิ ยั ต้านเชอ้ื ไวรัสโคโรนาจากสมนุ ไพรไทย เปน็ ความร่วมมอื ระหว่าง คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหดิ ล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล และศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านชวี วิทยาศาสตร์ (องคก์ ารมหาชน) หรอื TCELS (ขอ้ มูลจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramaclinic/article/09sep2020-1522) **แตท่ ง้ั นก้ี ารใชใ้ บกระชายในการตา้ นโควดิ -19 นน้ั ยงั คงเปน็ การศกึ ษาในหอ้ งทดลอง** แต่ในขณะเดยี วกันพชื ชนดิ นี้มีสรรพคุณทม่ี ากกวา่ การต้านโรคโควิดอกี ดว้ ย สาหรับ ‘กระชาย’ น้ัน เป็นพชื ล้มลกุ ทมี่ ักนิยมนาเหงา้ มาใชป้ ระกอบอาหาร แต่พชื ชนดิ นีม้ ีสรรพคุณตั้งแต่ รากไปถึงใบ -ใบกระชาย ใช้ในการบารุงธาตุ แกโ้ รคในปาก คอ ถอนพิษ และแก้โลหิตเปน็ พิษ -เหงา้ และรากกระชาย แกโ้ รคบิด ขบั ปัสสาวะ และใชเ้ ปน็ ยารกั ษาภายนอกทารกั ษาข้ีกลาก -เหงา้ ใตด้ นิ กระชาย จะชว่ ยในการแก้ปวดท้อง แก้มวนท้อง บารุงกาลงั และ รักษาริดสีดวง ประโยชน์จาก “กระชาย” -แกท้ อ้ งรว่ ง : ใชเ้ หง้ากระชายดา 1-2 หัว แล้วนาไปปิง้ ไฟ จากนนั้ มาตาหรือฝนผสมกับนา้ ปนู ใสค้ันมา รับประทาน 1-2 ช้องแกง -แกท้ อ้ งอดื จุกเสยี ด ปวดมวนทอ้ ง : ใชร้ าก และ เหง้า ครึง่ กามอื นามาตม้ เอาน้าหรือใช้ปรงุ อาหาร -แกโ้ รคบดิ : ใชเ้ หงาสด 2 เหง้าบดละเอียดผสมน้าปนู ใส คัน้ แตน่ ้าดมื่ -แกร้ ดิ สีดวง : ใชเ้ หง้าสด 6-8 เหงา้ ทาการผสมเนอ้ื มะขามเปียก และเกลือแกง จานวน 3 ช้อนชา แลว้ นามาตาและตม้ กับน้า 6 แก้ว ทาการเคี่ยวจนเหลือ 2 แก้ว นามารับประทานคร้งั ละครง่ึ แกว้ ติดตอ่ กัน 1 เดอื น จนกว่ารดิ สดี วงทวารจะหาย -บารงุ หวั ใจ : ใหใ้ ชเ้ หง้าและรากกระชายมาปอกเปลอื ก จากน้ันกล็ า้ งนา้ ให้สะอาด และหนั่ ตากจนแหง้ แลว้ กม็ าบดเป็นผง นาผงแห้งมาชงน้าร้อนครึ่งถ้วยชา ดม่ื ใหห้ มดในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ในการบริโภคกระชายนนั้ กม็ ขี อ้ ควรระวงั เชน่ เดียวกัน ซึ่งถา้ รบั ประทานมากเกนิ ไป อาจจะมี ปญั หาในเรื่องของเหงือกรน่ , ใจสั่นได้ อกี ทง้ั ยงั มผี ลต่อการทางานของตับ ซ่งึ ผู้ท่ีป่วยโรคนี้ จะตอ้ งมคี วาม ระมัดระวงั เป็นพเิ ศษ นอกจากน้ีกไ็ ม่ควรรบั ประทานอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพราะกระชายมฤี ทธร์ิ ้อน อาจจะทาให้เกดิ โรครอ้ นใน หรอื แผลในปากตามมาได้

24 วธิ ที านา้ กระชาย 1. การทานา้ กระชายให้เตรยี มวัตถุดบิ ดงั นี้ กระชายเหลอื งสดครึ่งกโิ ล (หรือจะใช้สตู รผสมก็ได้ โดยใช้ กระชายเหลอื ง 5 สว่ น กระชายดา 1 ส่วน และกระชายแดง 1 ส่วน) / น้าผึง้ / น้ามะนาว / นา้ เปล่าต้มสุกท่ที ง้ิ ไว้จนเยน็ 2. ขั้นตอนแรกให้นากระชายมาลา้ งให้สะอาด ตดั รากทร่ี กรุงรงั ออก ตดั หัวและท้ายทิ้งไป ถา้ ขดู เปลือก ออกบา้ งกจ็ ะดีมาก 3. เม่อื เสร็จแลว้ นามาห่ันเปน็ ท่อน ๆ เพ่ือให้งา่ ยต่อการนามาปน่ั 4. ให้เตรยี มผ้าขาวบางรองด้วยกระชอนไวใ้ หพ้ รอ้ ม 5. นากระชายที่เตรยี มไวใ้ ส่ในโถป่ันและผสมกับน้าเปล่าต้มสุกพอประมาณ แลว้ ปน่ั จนละเอยี ด 6. เสรจ็ แลว้ ให้เทใส่กระชอนทเี่ ตรยี มไว้ ถา้ น้าน้อยก็ให้ผสมน้าเปล่าลงไปอีก แล้วค้ันเอาแต่นา้ เท่าน้นั 7. ท่นี ้เี ราก็จะไดน้ า้ กระชายเหลืองสด ๆ ซงึ่ สามารถเกบ็ ไวใ้ นตเู้ ยน็ ได้นานเป็นเดือน 8. เมอ่ื จะด่มื กเ็ พยี งแคน่ ามาผสมกับนา้ มะนาว นา้ ผ้งึ ในถว้ ยแลว้ คนให้เข้ากนั แลว้ จงึ ใสน่ ้ากระชายตาม ลงไป 9. เมื่อผสมจนรสชาติกลมกลอ่ มตามทตี่ อ้ งการแล้วกเ็ ปน็ อันเสรจ็ 10. แตถ่ ้ากลัววา่ กลิ่นกระชายจะแรงไป ก็สามารถใชใ้ บบัวบกหรือใบโหระพามาปั่นรวมกันก็ไดต้ ามใจชอบ เพราะไมม่ สี ว่ นผสมท่เี ปน็ สูตรตายตัวเท่าไหร่ Tip : นา้ กระชายไมค่ วรเก็บไวน้ านมาก เพราะจะทาให้ความซา่ และความหอมของกระชายลดนอ้ ยลง ทาให้เกิด ตะกอนที่กน้ ถ้าจะใหด้ ีท่ีสุดก็ควรด่ืมใหห้ มดภายใน 1 อาทติ ย์ จะไดท้ ั้งรสชาติท่ีซ่า ดืม่ แล้วชน่ื ใจ พรอ้ มสรรพคณุ อกี เต็ม ๆ ดว้ ย แต่สาหรบั ผทู้ ่ีดื่มน้ากระชายแลว้ มีอาการแปลก ๆ รอ้ นวูบวาบ หรือมอี าการเหงือ่ ออกหรอื เรอ ออกมากไ็ ม่ตอ้ งตกใจ เพราะเปน็ อาการปกตทิ ี่อาจเกิดขน้ึ ได้ หากดืม่ ไปสกั พกั เด๋ยี วก็ชินไปเอง แหล่งอา้ งองิ : เวบ็ ไซตส์ านกั งานโครงการอนรุ ักษพ์ ันธุกรรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี, ช่ือพรรณไม้แห่งประเทศไทย สานกั งานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช (เต็ม สมิตินนั ทน)์ , เว็บไซต์เทคโนโลยีชาวบ้าน, เวบ็ ไซต์มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, เว็บไซต์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวดั พะเยา, เว็บไซต์หมอชาวบ้าน (รศ.ดร.สุธาทิพ ภมร ประวัติ), สถาบนั วิจัยวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เรียบเรยี งข้อมูลโดยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (Medthai)

25 ใบงานที่ 1 ใหผ้ เู้ รยี นปลกู พชื สมนุ ไพร 3 ชนดิ อธบิ ายถงึ สถานทท่ี ปี่ ลกู และวธิ กี ารปลกู พอสงั เขป พรอ้ มแสดงภาพพชื สมนุ ไพร ทปี่ ลกู สาเรจ็ 1. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ภำพพชื สมุนไพรท่ปี ลกู

26 2. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ภำพพชื สมุนไพรท่ปี ลูก

27 3. ..............................................................................................................................................................7... ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ภำพพืชสมุนไพรที่ปลูก หมำยเหตุ เกณฑก์ ำรประเมิน : ผเู้ รยี นต้องส่งแบบบันทกึ กำรเรียนรเู้ ป็นรำยบุคคล จงึ จะถอื ว่ำ “ผำ่ น” หลกั สตู ร

28 แบบทดสอบทดสอบหลงั เรียน คำชี้แจง : ใหผ้ ้เู รียนทำแบบทดสอบออนไลนผ์ ่ำนเว็บไซต์ https://forms.gle/eUzh8LhbhSUPTgsv7 และจงเลอื กคำตอบทถี่ กู ต้องทส่ี ดุ เพยี งข้อเดียว 1. พืชผกั สมนุ ไพร กลุ่ม ทีแ่ นะนำให้บริโภคในช่วงโรค COVID-19 ระบำด ได้แก่? ก. กลุ่มที่มีวิตำมินซี และสำรต้ำนอนุมูลอิสะสูง (สำรกลุ่มโพลีฟีนอล, ไบโอเฟลโวนอยด์ กลุ่มแอนโทไซยำนนิ ) ข. กลุ่มท่ีว่ำมงี ำนวิจัยเบื้องต้นว่ำมีสำรสำคัญที่อำจช่วย ลดโอกำสติดเชื้อ COVID-19 ค. กลุ่มที่มีฤทธ์ิกระตนุ้ ภูมิคุ้มกัน ง. แนะนำให้บรโิ ภคทั้ง 3 กลุ่ม 2. พืชผักสมุนไพรท่ีจัดอยู่ในกลุ่ม มีฤทธิ์กระต้นุ ภมู ิคุ้มกนั คือข้อใด? ก. เห็ดนำงฟ้ำ ข. มะระข้ีนก ค. ผักหวำน ง. ฟกั ข้ำว 3. เห็ดชนิดใด มีสำรเบต้ำกลูแคนช่วยกระตนุ้ ภูมิคุ้มกนั ? ก. เห็ดหูหนู ข. เห็ดออรินจิ ค. เห็ดหลินจือ ง. ทุกข้อท่ีกล่ำวมำ 4. ผกั ผลไม้กล่มุ ท่ีมีงำนวิจัยเบอ้ื งตน้ ว่ำ มีสำรสำคัญท่อี ำจช่วยลดโอกำสกำรตดิ เช้ือ COVID-19 ได้แก่ข้อใด ก. ผักผลไม้ที่มีสำรเฮสเพอริดนิ (hesperidin) และรูตนิ (rutin) สูง ได้แก่ ผิวและเยือ่ หุ้มด้ำนในเปลือกผลของ พืชตระกูลส้ม (citrus fruit เช่น ส้ม มะนำว มะกรูด ส้มซ่ำ) ข. ผักผลไม้ที่มีสำรเคอร์ซีตนิ (quercetin) สูง ได้แก่ พลูคำวหรือผักคำวตอง หอมแดง หอมหวั ใหญ่ มะรุม แอปเปิ้ล ใบหม่อน ค. ผักท่ีมีสำรโอเรียนทิน (orientin) เช่น กะเพรำ ง. ทุกข้อท่ีกล่ำวมำ 5.ผกั ผลไมแ้ ละผักพน้ื บ้ำน ในข้อใด ท่ีจัดอยใู่ นกลมุ่ ท่ีมีวิตำมินซีสูงช่วยกระต้นุ ภูมิคุ้มกัน ต้ำนกำรตดิ เช้ือ ไวรัส? ก. ดอกข้ีเหลก็ ยอดมะยม ฟักข้ำว ข. ดอกแค อัญชัญ ถวั่ ฝักยำว ค. มะมว่ ง มะพร้ำว มะดัน ง. ผักบุ้ง ตำลึง กวำวเครือ 6.ผลไม้ท่ีมีวิตำมนิ ซีและมีสำรกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์สูง คอื ข้อใด ก. ส้ม ข. ส้มโอ ค. มะกรูด ง. มะขำมป้อม

29 7. \"ตรีผลำ\" มีสรรพคุณชว่ ยปรับธำตุปรับสมดุลของร่ำงกำย ควบคุมและกำจดั สำรพิษในร่ำงกำย และข้อมูล จำกกำรศึกษำวิจัย พบว่ำตรีผลำมีฤทธ์ิต้ำนอนุมูลอิสระ ท่แี รงและมฤี ทธิ์กระตนุ้ ภูมิคุ้มกนั ที่ดี ตรผี ลำ มี ส่วนประกอบใดบ้ำง? ก. สมออนิ เดีย สมอนำ้ สมอไทย ข. สมอไทย สมอพิเภก มะขำมป้อม ค. สมอไทย มะขำมปอ้ ม มะขำมแขก ง. มะขำมป้อม มะขำมแขก มะขำมเทศ 8. พืชในขอ้ ใด ท่ีปัจจุบันมีกำรศึกษำวิจัยแล้วพบว่ำ มีกลไกต้ำนไวรัส เพ่มิ ภูมิคุ้มกัน รวมถงึ ลดกำรอักเสบ ที่ ปลอดจำกเช้อื ไวรัส ก. ขม้นิ ชัน ข. กระเทียม ค. มะขำมป้อม ง. ฟ้ำทะลำยโจร 9. กำรขยำยพนั ธ์สมอภิเภกสำมำรถทำได้ ก่ีวิธี ก. 1 วธิ ี ข. 2 วิธี ค. 3 วิธี ง. 4 วิธี 10. กำรปลูกมะขำมป้อม ควรปลูกในชว่ งเดือนใด จึงจะเหมำะสมท่สี ุด ก. พฤษภำคม ข. มิถุนำยน ค. กรกฎำคม ง. สิงหำคม หมำยเหตุ เกณฑ์กำรประเมิน : ผู้เรียนตอ้ งทาแบบทดสอบหลงั เรียนผ่านร้อยละ 60 จึงจะถอื ว่ำ “ผำ่ น” หลักสูตร

30 เฉลยแบบทดสอบ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ง กง ง กง ขง ขก



ตวั อยา่ งใบประกาศ ผ้ผู า่ นการอบรม

คณะทปี่ รกึ ษำ คณะผูจ้ ดั ทำ 1. นำงสำวสดุ ำวดี ดีอินทร์ ผอ. กศน.อำเภออำจสำมำรถ 2. นำงสำวเจยี มจิตร มงคลเมือง ครู 3. นำงสำวสำวิตรี แผ่นศิลำ ครผู ูช้ ว่ ย คณะทำงำน ครอู ำสำสมคั รฯ ครูอำสำสมคั รฯ 1. นำยจำนงค์ สงครินทร์ ครู กศน.ตำบลขเี้ หล็ก 2. นำงสมำพร ศรหี นิ กอง ครู กศน.ตำบลบำ้ นดู่ 3. นำยไพจติ สมมำตย์ ครู กศน.ตำบลอำจสำมำรถ 4. นำงนรินทรท์ พิ ย์ วงศเ์ สนำ ครู กศน.ตำบลโหรำ 5. นำงสำวกฤษณำ สงิ ห์จันทร์ ครู กศน.ตำบลหนองบัว 6. นำงสำวรำเพย สตั ยำคณุ ครู กศน.ตำบลโพนเมอื ง 7. นำงธญั ญำรกั ษ์ สวสั ดิพ์ ำณิชย์ ครู กศน.ตำบลบำ้ นแจง้ 8. นำยคณิศร แวดโส ครู กศน.ตำบลหนองหม่ืนถ่ำน 9. นำงอำภัทยำ พันธมุ ติ ร ครู กศน.ตำบลหนองขำม 10. นำงสำววรภำพร บุตรสที อง ครู กศน.ตำบลหน่อม 11. นำงณฐั ธยำน์ นำวำรี ครู ศรช.ตำบลโหรำ 12. นำงชมยั พร เคนหำญ ครู ศรช.ตำบลหนองหมน่ื ถำ่ น 13. นำงสำวพชั รำ เวชแพทย์ ครูผสู้ อนคนพิกำร 14. นำงสำวรุ่งฟ้ำ กำบินทอง 15. นำงรตั ติยำ ไหวดี ครู กศน.ตำบลโหรำ ครู กศน.ตำบลหนองหมื่นถ่ำน ผ้จู ดั พมิ พ์/ตรวจสอบ/เขำ้ เลม่ ครู กศน.ตำบลหน่อม 1. นำงสำวรำเพย สัตยำคุณ 2. นำงสำววรภำพร บุตรสที อง 3. นำงชมยั พร เคนหำญ

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภออาจสามารถ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook