Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาการพัฒนาจิตและปัญญา สค22004

วิชาการพัฒนาจิตและปัญญา สค22004

Description: วิชาการพัฒนาจิตและปัญญา สค22004

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาเลอื ก สาระการพัฒนาสังคม รายวชิ า สค22004 การพัฒนาจิตและปญั ญา จำนวน 2 หนว่ ยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551



คำนำ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด มหาสารคาม ร่วมกับสถานศึกษาในสังกัด ได้ดำเนินการจัดทำหนังสือเรียนรายวิชาเลือก สาระการพัฒนาสังคมรายวิชาการพัฒนาจิตและปัญญา สค22004 หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา ผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ ตามโครงการรายวิชาการพัฒนาจิตและปัญญา บรรลุตาม กรอบสาระและมาตรฐานการเรียนรทู้ ี่กำหนดไวต้ ามหลักสูตร ในการดำเนินงานจัดทำแบบเรียน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากผู้บริหาร คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยจังหวัดมหาสารคาม ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการ จัดทำหนังสือเรียนรายวิชาเลือกสาระการพัฒนาสังคม เร่ืองการพัฒนาจิตละปัญญา หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มาในโอกาสน ี้

สารบัญ หน้า ก ข ค คำนำ ง สารบญั 1 คำแนะนำการใชแ้ บบเรยี น 2 โครงสรา้ งรายวชิ าการพฒั นาจิตและปัญญา 2 บทที่ 1 จติ ในทางพระพทุ ธศาสนา 5 ความหมายของจิตในทางพระพุทธศาสนา 6 การบริหารจติ 7 แบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 1 10 บทท่ี 2 สมาธเิ พอื่ พฒั นาจิตและปัญญา 12 ความหมายของคำวา่ “สมาธ”ิ 14 เวลาและอริ ิยาบถในการปฏิบัติสมาธิ 17 ลักษณะต่อต้านสมาธิ 19 ประโยชน์ของการฝึกสมาธ ิ 21 แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 2 24 บทที่ 3 การเจรญิ สต ิ 25 การพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ กับ ขนั ธ์ 5 26 วญิ ญาณขนั ธ์ (กองวิญญาณ) 28 สญั ญา และ สงั ขาร 29 การพิจารณาธาตุ 4 32 พระนพิ พาน 34 แนวทางการฝกึ สมาธิและการเจรญิ สติ มาปรับใช้ในการดำรงชวี ิต 35 แบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 3 43 บรรณานกุ รม ภาคผนวก คณะผจู้ ัดทำ

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ ค คำแนะนำในการใช้บทเรียนรายวิชา การพฒั นาจิตและปัญญา 1. เอกสารประกอบการเรียนน้ีเป็นสื่อที่ผู้เรียนสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และเวลาในการเรียน 2. อา่ นคำอธิบายรายวชิ า วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ และสาระการเรียนรูใ้ ห้เข้าใจชดั เจน 3. ทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพ่ือวดั พ้ืนความรู้ของผเู้ รียนกอ่ นลงมือศึกษาเนอื้ หาในแตล่ ะบท 4. อ่านและทำความเข้าใจกับเน้ือหาไปตามลำดับ ขณะศึกษาบทเรียนควรมีการจดบันทึกย่อไว้ด้วยเพื่อ เป็นการทบทวนเนอื้ หาไปพร้อมกัน 5. ทำแบบทดสอบหลังเรียนอีกครั้งเพื่อวัดความรู้ของผู้เรียนหลังจากศึกษาเนื้อหาว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่ม มากขน้ึ มากน้อยเพียงใด 6. หากมีเวลาก่อนสอบให้ผู้เรียนอ่านทบทวนได้อีกหลายครั้งแล้วลองทำแบบทดสอบใหม่จนกว่าจะได้ คะแนนสงู สุด 7. การพฒั นาจิตและปญั ญา เป็นรายวชิ าทต่ี ้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คณุ คา่ และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณขี องประเทศในทวปี เอเชยี

ง ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา คำอธบิ ายรายวชิ า สค22004 การพัฒนาจติ และปัญญา จำนวน 2 หน่วยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คณุ คา่ และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณขี องประเทศในทวปี เอเชยี ศึกษาและฝกึ ทกั ษะเก่ียวกบั เรื่องต่อไปน ้ี 1. จิตในทางพระพุทธศาสนา 2. จุดประสงค์การทำสมาธเิ พอ่ื พัฒนาจติ และปญั ญา 3. อริ ิยาบถสำหรบั การทำสมาธ ิ 4. ขนั้ ตอนการทำสมาธอิ ยา่ งงา่ ย 5. สมาธกิ ับการเรยี นและการทำงาน 6. ลกั ษณะตอ่ ตา้ นสมาธิ 7. ประโยชนก์ ารทำสมาธ ิ 8. การเจริญสติด้วยการพิจารณาอนิจจา ทุกข์ขงั อนัตตา 9. วธิ กี ารทำสมาธพิ ฒั นาจติ และปญั ญาในชวี ิตประจำวันอยา่ งตอ่ เนือ่ ง การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ จัดกิจกรรมการศึกษาความรู้จากส่ือ เอกสาร ส่ือเทคโนโลยี ภูมิปัญญา องค์กร สถาบันสถานศึกษา จัดให้ ผู้เรียนฝึกปฏิบัติการทำสมาธิเป็นหมู่คณะและเด่ียว ร่วมกิจกรรมทางศาสนา การเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมนอกสถานท ่ี จัดกลุม่ อภปิ ราย แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ เผยแพร่และจดั ปฏบิ ตั ิการเรยี นรู้ การทำสตใิ หก้ บั กลมุ่ /ชุมชนในพน้ื ที ่ การวดั และประเมนิ ผล ประเมินจากการทดสอบภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ประเมินการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมและตรวจสอบ ผลการปฏบิ ตั ิ การทำสมาธิเดยี่ ว

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ จ รายละเอียดคำอธบิ ายรายวชิ า สค22004 การพฒั นาจิตและปัญญา จำนวน 2 หน่วยกิต ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คณุ คา่ และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณขี องประเทศในทวปี เอเชยี จำนวน ที ่ หัวเรือ่ ง ตวั ช้วี ัด เน้ือหา (ชวั่ โมง) 1 การพัฒนาจิตและปญั ญา 1. อธิบายเกี่ยวกบั 1. จติ ในทางพระพทุ ธศาสนา 80 การวิวฒั นาการด้าน เทคโนโลยี และ 2. จดุ ประสงค์การทำสมาธิ เพ่อื สิ่งแวดลอ้ มทีม่ ีผล พฒั นาจติ และปัญญา กระทบตอ่ การดำรงชีวติ 2.1 สมาธติ ื้นและสมาธลิ ึก และการอยรู่ ่วมกันอย่าง สนั ติสขุ ได้ 3. อริ ยิ าบถสำหรบั การทำสมาธ ิ 2. อธบิ ายและเหน็ คณุ คา่ จุดประสงคก์ ารทำสมาธิ 4. ข้นั ตอนการทำสมาธิอย่างงา่ ย เพอ่ื พัฒนาจติ ใจและ ปญั ญาได้ 5. สมาธิกบั การเรยี น และ 3. อธิบายเกีย่ วกับอิริยาบถ การทำงาน สำหรับการทำสมาธิได้ 4. อธิบายเกยี่ วกับข้ันตอน 6. ลกั ษณะตอ่ ต้านสมาธ ิ การทำสมาธิอยา่ งงา่ ย และสามารถปฏิบัตไิ ด้ 7. การทำสมาธอิ ยา่ งง่าย 5. อธบิ ายและเห็นคณุ ค่า 8. การเจรญิ สติตามหลกั ไตรลกั ษณ์ ประโยชน์การทำสมาธิ เพ่อื การอยู่รว่ มกนั อยา่ ง อนจิ จัง ทกุ ข์ขัง อนัตตา สันติสขุ 8.1 การพิจารณาธาตุ 4 8.2 การละขนั ธ์ 5 6. อธบิ ายและตระหนัก 8.3 จิต−วมิ ตุ ต−ิ พระนพิ พาน การเจริญสติดว้ ย 9. วิธกี ารทำสมาธพิ ัฒนาจติ และ การพิจารณา ปญั ญาในชวี ติ อยา่ งตอ่ เนื่อง อนจิ จงั ทุกขข์ ัง อนตั ตา 9.1 จติ พระอรหันต ์ 9.2 อยู่ด้วยวหิ ารธรรม

ฉ ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ท่ ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนอื้ หา จำนวน 7. นำความรู้เกี่ยวกับ (ชั่วโมง) การพัฒนาจติ และ ปัญญามาปรับใชใ้ นการ ดำรงชวี ิตและการอยู่ รว่ มกันอยา่ งสันตสิ ุข และสามารถแนะนำ การทำสมาธอิ ยา่ งง่าย ใหก้ ับกลมุ่ /ชมุ ชนได ้

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 1 บ ทที่ 1 จิตในทางพระพุทธศาสนา ขอบขา่ ยเน้ือหา 1. จิตในทางพระพุทธศาสนา 2. การบริหารจติ 3. ประโยชน์ของสมถวิปสั สนา วัตถุประสงคร์ ายวชิ า 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายเก่ียวกบั จิตในทางพระพุทธศาสนา 2. ผเู้ รียนสามารถอธบิ ายเกี่ยวกับความหมายของการบรหิ ารจติ 3. ผูเ้ รยี นอธบิ ายขนั้ ตอนการเตรียมการบรหิ ารจิต

2 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา จติ ในทางพระพทุ ธศาสนา ความหมายของจติ ในทางพระพุทธศาสนา บทเรียน บทท่ีน้ี จะเป็นเรื่องเก่ียวกับคำว่า “จิต ในทางพระพุทธศาสนา” อันจัดอยู่ในพระไตรปิฎกหมวด “พระอภิธรรมปฎิ ก” เพ่อื ใหท้ า่ นทั้งหลายท่สี นใจศึกษา ในดา้ นพทุ ธศาสนา ไดศ้ กึ ษาและทำความเข้าใจ เก่ยี วกับเรื่อง ของจิต เพื่อให้เกิดความรู้ ที่ถูกต้อง เพราะส่วนใหญ่ จะเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองของ “จิต” ไปในทางที่ผิดๆ จิต ในทาง พุทธศาสนา หมายถึง “อวัยวะและระบบการทำงานของสรีระร่างกายทุกส่วน” อันทำให้เกิดธรรมชาติในการรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และอ่ืนๆท่ีเกี่ยวข้องกับสรีระร่างกาย การรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดฯ ล้วน ย่อมแบ่งออกเป็น การกระทำ ท้ังทางกาย วาจา และใจ ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี อีกทั้งยังแบ่งแยกไปตามที่ปรากฏ มีอยู่ในพระไตร ปิฎก ได้อีกมากมาย ในที่น้ีจะไม่กล่าวถึงเนื่องจากเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน และต้องใช้สมองมาก อาจ เกินกำลังของท่านทั้งหลายได้ ท่านทั้งหลายโปรดได้รู้ และจดจำเอาไว้ อย่าได้คิดว่า จิต ในทางพุทธศาสนา เป็นเร่ือง เหนอื ธรรมชาติ หรอื เป็นเร่ืองท่ลี ้ีลบั คำว่า “จติ ” ในทางพทุ ธศาสนา เปน็ หลกั วิทยาศาสตร์ หมายรวมถงึ อวยั วะต่างๆ ตั้งแต่ขนาดเล็กท่ีสุด ที่ทางวิทยาศาสตร์ (สาขาชีวะวิทยา) เรียกว่า “นิวเคลียส” “เซล” “อวัยวะ” ต่างๆ รวมไปถึง ระบบการทำงานของสรีระร่างกายแห่งสรรพสิ่งท่ีมีชีวิต ดังนั้น การปรุงแต่ง ทั้งหลายที่เกิดข้ึน ย่อมเกิดจากการได้รับ การสัมผัส ทางอายตนะภายใน และภายนอก อายตนะภายในได้แก่ หู ตา จมูก ล้ิน กาย ใจ ส่วนอายตนะภายนอก ไดแ้ ก่ รูป รส กลน่ิ เสยี ง แสง สี โผฏฐพั พะ คำว่า ใจ ในทางพุทธศาสนานั้น หมายถงึ หวั ใจ และสมอง รวมไปถึงระบบ การทำงานที่เก่ียวข้อง กับหัวใจ และสมอง อย่างน้ีเป็นต้นดังน้ัน ไม่ว่า การรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ใดใด ก็ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับจิต คือ เก่ียวข้องกับ “อวัยวะและระบบการทำงานของสรีระร่างกายทุกส่วน” มิได้เกิดขึ้นจาก อวยั วะใด อวยั วะหนึ่ง แต่จะเกีย่ วขอ้ งกนั ในหลายๆอวยั วะในบทเรยี นน้ี จะนับวา่ เปน็ หลักวิชชาการ ท่ีให้ท่านท้ังหลาย ไดเ้ รียนรู้ และทำความเขา้ ใจ เกย่ี วกับคำว่า “จติ ” ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และเปน็ แนวทางเดียวกัน เปน็ บรรทัดฐานเดยี วกนั ไมค่ ดิ แตกแยก เอาคำวา่ “จติ ” ไปบิดเบอื นจากสงิ่ ทขี่ ้าพเจา้ สอนไว้น้ถี งึ แม้ว่า ข้าพเจา้ จะอธิบายได้ไมล่ ะเอยี ดนกั แต่ก็ ยอ่ มเพียงพอต่อการได้รู้ และเกดิ ความเขา้ ใจ ไดอ้ ย่างถอ่ งแท้ สรุป แลว้ คำว่า “จติ ในทางพุทธศาสนา” เปน็ หลกั การ ทางวทิ ยาศาสตร์ สาขาชีวะวิทยา (หมายเอาเฉพาะด้าน ซึ่ง ความจรงิ แล้ว จะเกยี่ วขอ้ งสมั พันธ์ กบั สาขาวิชาการด้าน อ่ืนๆอีกหลายด้าน) อันมีความหมายถึง “อวัยวะและระบบการทำงานของสรีระร่างกายทุกส่วน” อันทำให้เกิด ธรรมชาติ ในการรับรู้ อารมณ์ ความรสู้ ึก ความคดิ และอน่ื ๆทีเ่ กย่ี วข้องกบั สรีระรา่ งกาย” การบริหารจิต พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องการฝึกจิตเป็นสำคัญ เพราะมนุษย์มีจิตเป็นตัวนำการ กระทำทุกอย่าง จะต้องมีการ พิจารณา คิดนกึ ตรกึ ตรองเสียก่อน การฝกึ จติ หรอื การบริหารจติ จึงเป็นการกระทำเพือ่ ใหจ้ ิตมสี ภาพต้ังมั่น มีสตริ ะลกึ ได้ มสี ัมปชญั ญะรูส้ ึกตัวทัว่ พร้อมตลอดเวลา การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้เจริญและประณีตย่ิงขึ้น มีความปลอดโปร่ง มีความหนักแน่น ม่ันคง โดยเริ่มจากการฝึกฝนจิตให้เกิดสติและสมาธิให้เกิดขึ้นในจิต ในการท่ีจะให้จิตเกิดสติได้น้ัน ผู้ฝึกต้องมีวิธีการ ดังน้ีคือ การต้ังใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ การคบกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคงการไม่คบคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วน

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 3 และการมใี จน้อมไปในการมีสติคืออยากมีสติมั่นคง กลา่ วคือ 1. การต้ังใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คือ ผู้ฝึกฝนจะต้องมีความตั้งใจกำหนดรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะไม่ว่าจะทำ อะไรอยู่ก็ต้องมสี ติระลกึ ใคร่ครวญทำช้าๆ อยา่ รวดเรว็ จนเกนิ ไป เชน่ ในขณะเดนิ ยืน นัง่ นอน จะตอ้ งพยายามให้ตัวมี สติระลึกอยู่เสมอตลอดเวลาทกุ ๆอิริยาบถ และมี และมสี ตสิ ัมปชัญญะรูต้ ัวอยู่เสมอ เมอ่ื ตงั้ ใจปฏบิ ัตติ ามวธิ ีดังกล่าวก็จะ ทำให้ผู้น้นั มีสติสมั ปชญั ญะสมบรู ณ ์ 2. การคบกับคนผู้มีสตปิ ญั ญามัน่ คง คือ พยายามเข้าสมาคมกับคนผู้มสี ตสิ ัมปชญั ญะม่ันคงดว้ ยการทำการพดู และการแสดงออกอื่นๆ ยกตัวอย่าง เช่น การเข้าไปพบปะสนทนากับพระสงฆ์ผู้ฝึกสมาธิดีแล้ว โดยพิจารณาจากการ พูดและการกระทำ ท่านจะอยู่ในลักษณะสำรวมทั้งร่างการ วาจา และใจ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราผู้เข้าร่วมสมาคม ดว้ ยเกิดการต้งั สติและมสี ตสิ ัมปชัญญะรู้ตวั สำรวมระมัดระวงั ตวั เชน่ เดยี วกับท่าน 3. การไมค่ บคนทม่ี ีจติ ใจฟงุ้ ซา่ นป่ันป่วน คอื คนใดท่ีสติฟ่นั เฟือน หลงๆ ลืมๆ ซงึ่ มีการกระทำการ พดู ผดิ ถูกๆ อยู่ตลอดนั้น เราไมค่ วรจะไปคบด้วย เพราะการสมาคมกับคนประเภทน้บี ่อยๆเข้าบางทจี ะทำให้เราตดิ นสิ ัย และคลอ้ ยตามโดยไมร่ ู้สกึ ตวั 4. การมีใจน้อมไปในการมีสติ คือ อยากเป็นคนมีสติมั่นคง โดยตัวเราเองต้องพยายามขวนขวาย ปลุกใจ ให้เห็นค่าในการมีสติสัมปชัญญะแล้วปฏิบัติธรรมเพื่อนำจิตของตนให้เป็นสมาธิเม่ือในขั้นต้น แม้เพียงขณิกสมาธ ิ อันเป็นสมาธิช่ัวขณะท่ีเกิดข้ึนกับคนท่ัวๆไปในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวัน เท่านี้ก็จะทำให้เราเป็นผู้มีสติ สมั ปชัญญะอยา่ งแนน่ อน นอกจากน้แี ล้วพระพทุ ธเจา้ ยังไดท้ รงแสดงวธิ กี ารฝึกสตใิ ห้สมบูรณไ์ วใ้ นสตปิ ัฏฐาน 8 อยา่ ง กล่าวคอื การดำรง สตไิ ว้ที่ฐานมี 4 อย่าง ไดแ้ ก่ กาย เวทนา จิต ธรรม และกำหนดพจิ ารณาฐานทง้ั 4 เหล่านั้น เชน่ กายานุปัสสนา ต้งั สติ กำหนดพิจารณากายเป็น อารมณ์ เวทนานุปัสสนา ต้ังสติกำหนดพิจารณาเวทนาเป็นอารมณ์ จิตตานุปัสสนา ตั้งสติ กำหนดพิจารณาจติ เป็นอารมณ์ และธมั มานุปสั สนา ต้งั สตกิ ำหนดพิจารณาธรรมเปน็ อารมณ์ สมถวปิ สั สนาจำแนกออกเป็น 2 วธิ ีคือ 1. สมถกัมมัฏฐาน คืออุบายสงบใจหรอื วธิ ีฝกึ อบรมจิตใหเ้ ปน็ สมาธิ เพือ่ เป็นการระงบั นวิ รณ์เปน็ สิง่ ปิดกั้นจิตไว้ ไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี 2. วิปัสสนากัมมัฏฐานโดยการพิจารณาให้เห็นถึงนามรูป ซึ่งจะสามารถทำลาย อวิชาลงได้ สมถะ วิปัสสนา ต่างกเ็ ป็นปัจจัยซึ่งกันและกนั กล่าวคือ เมื่อปฏิบัติสมาธจิ นสงบจติ ใจไม่ฟุ่งซ่านซ่ึงจะเป็นพนื้ ฐานให้อบรมปัญญาได้ เมื่อ เกิดปญั ญารู้แจง้ กจ็ ะกำจดั อวิชาลงได้ ซ่งึ จะส่งผลมายังจติ สงบ เยอื กเย็นยง่ิ ข้ึน ประโยชนข์ องสมถวปิ สั นา ผู้เจริญสมถกัมมัฏฐาน ย่อมเกิดสมาธิ ส่วนผู้ท่ีเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานย่อมเกิดปัญญา ประโยชน์ของ สมถวิปสั สนา แยกได้ 2 ประการคือ 1. ประโยชน์ของสมาธิ ผู้ท่ีมีสมาธิม่ันคงยอมมีจิตใจที่พร้อมจะกระทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้โดยง่าย เช่น ทางด้านการศึกษาเล่าเรียน เม่ือมีสมาธิท่ีต้ังมั่นการศึกษาย่อมจะได้ผลดีขึ้นนอกจากน้ียังมีประโยชน์ในการทำงาน ควบคุมกิเลส และที่สำคัญคือ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ท้ังน้ีเพราะเมื่อสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ ์

4 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ก็จะส่งผลใหส้ ุขภาพจิตคณุ ภาพดียิ่งข้ึน เช่นเดยี วกนั 2. ประโยชนข์ องปญั ญา จิตที่สงบดีแลว้ ย่อมเห็นส่ิงทง้ั หลายตามความเป็นจริง คอื การเกิดปญั ญาซึง่ ประโยชน์ ของปัญญาน้ันมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น ก่อให้เกิดความเจริญแก่โลก โดยการสร้างวิทยาการสมัยใหม่ข้ึนมาจากน้ี ยังก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในชีวิตคือสามารถท่ีจะวิเคราะห์วางแผนเพื่อปฏิบัติให้สำเร็จตาม เป้าหมายของชีวิต และ ประการสุดท้าย ปัญญาทำให้เกิดความสุขในชีวิต คือสามารถท่ีจะรู้ถึงเหตุการณ์ความ เปลย่ี นแปลงท่ีเกิดข้นึ เมื่อเกิดปญั ญาผูท้ ่มี ีปัญญาก็สามารถทีจ่ ะแก้ไขให้สำเรจ็ ไปไดด้ ว้ ยดี การบริหารจิตตามหลักพระพุทธศาสนามีวิธีปฏิบัติมากถึง 40 วิธี แต่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ให้ฝึก ปฏิบัติการบริหารจิตตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือการตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งท้ังหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามท่สี ง่ิ นนั้ ๆ มนั เป็นของมันเองดงั น ้ี 1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การต้ังสติกำหนดพิจารณากาย ให้รู้ว่ามันเป็นของไม่เที่ยงมันเป็น องคป์ ระกอบของธาตุ ดนิ น้ำ ลม ไฟ ไม่นานก็แตกดบั สลายไป 2. เวทนานุปสั สนาสติปฏั ฐาน คอื การตง้ั สตกิ ำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตรมเป็นจรงิ วา่ เป็นเพยี งเวทนาชัด เวทนา ไมใ่ ชส้ ัตวบ์ ุคคลตัวตนเราเขา 3. จิตตานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน คือการตงั้ สติกำหนดจิต ให้รเู้ หน็ ตามความเป็นจรงิ ว่า เป็นแต่เพยี งจติ ไมม่ โี มหะ โทสะ ไม่มเี ศร้าหมองและผอ่ งแผ้ว 4. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การต้ังสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริง ว่าเป็นเพียงธรรม มีสติรู้ชดั ธรรมทัง้ หลายไดแ้ ก่ นิวรณ์ 5 ขนั ธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อรยิ สจั 4 วา่ คืออะไร เป็นอย่างไรมใี นตนหรอื ไม่ เกิดข้ึนแล้วดับไป เจรญิ แลว้ เสื่อมลงอยา่ งไร เป็นตน้ ตามความเป็นจริงของมนั อยา่ งไร

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 5 แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี 1 จงตอบคำถามต่อไปนม้ี าพอสังเขป 1. ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายความหมายของคำว่า “ววิ ัฒนาการ” พรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2. ใหน้ ักศกึ ษายกตวั อย่าง และวธิ ฝี ึกจิตตามหลกั สติปฏั ฐาน 4 มาพอสังเขป ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................

6 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา บทท่ี 2 สมาธิเพื่อพัฒนาจิตและปัญญา กรอบแนวคิด 1. ความหมายของการทำสมาธิ 2. จุดประสงคข์ องการทำสมาธิ 3. การทำสมาธิต้นื และสมาธลิ กึ 4. เวลาและอริ ิยาบถในการปฏบิ ตั สิ มาธ ิ 5. ขัน้ ตอนวิธีการทำสมาธิ 6. ลักษณะการต่อตา้ นสมาธ ิ 7. ประโยชน์ของการทำสมาธิท่มี ตี อ่ รา่ งกายและจติ ใจ วตั ถปุ ระสงค์รายวิชา 1. ผู้เรียนบอกความหมายของการทำสมาธเิ พ่อื พฒั นาจิตและปญั ญาได้ 2. ผู้เรียนบอกจดุ ประสงคข์ องการทำสมาธิ วิธีการฝกึ ปฏิบัติการทำสมาธิต้นื และ สมาธิลึกได ้ 3. ผเู้ รยี นอธบิ ายอริ ิยาบถในการปฏบิ ตั สิ มาธไิ ด ้ 4. ผเู้ รียนอธบิ ายข้ันตอนของการทำสมาธอิ ย่างง่ายได้ 5. ผู้เรียนอธบิ ายลกั ษณะของการตอ่ ต้านสมาธไิ ด้ 6. ผู้เรยี นบอกประโยชน์ของการทำสมาธทิ มี่ ตี อ่ ร่างกาย, จติ ใจและสมาธิ ตอ่ การเรียน การทำงานได้อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 7 สมาธิเพือ่ พฒั นาจติ และปญั ญา ความหมายของคำว่า “สมาธิ” 1. ความหมายในเชิงลกั ษณะผลของสมาธิ สมาธิ คือ อาการที่ใจตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างต่อเนื่อง หรืออาการที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่ซัดส่ายไป มา เปน็ อาการที่ใจสงบรวมเปน็ หน่งึ มีแตค่ วามบริสุทธิผ์ ่องใส สว่างไสวผุดข้นึ ในใจจนกระท่ังสามารถเห็นความบรสิ ทุ ธิ์ นนั้ ด้วยใจตนเอง อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ทัง้ กำลังใจ กำลงั ขวัญ กำลังปญั ญา และความสุขแกผ่ ปู้ ฏิบตั ิในเวลาเดยี วกนั 2. ความหมายในเชิงลกั ษณะการปฏิบัต ิ กล่าวอกี นัยหนงึ่ ในเชิงลกั ษณะการปฏิบัติ สมาธิ แปลวา่ ความตัง้ มั่นของจติ หรือภาวะที่จติ แนว่ แนต่ อ่ สิง่ ที่ กำหนด หรอื การท่ีจติ กำหนดแนว่ แนอ่ ย่กู ับสิ่งใดสง่ิ หน่งึ จุดประสงคข์ องการทำสมาธิ พระพุทธเจ้าทรงแสดงจุดประสงค์ไว้ 4 ประการ ดงั นี้ 1. เพ่ืออยู่เป็นสุขในปัจจุบนั คอื การทำจิตใจให้สงบเยือกเยน็ เปน็ ความสขุ ทป่ี ระณีต แม้แต่พระพุทธเจา้ และ พระอรหันต์นิยมเข้าสมาธใิ นโอกาสว่างเพ่อื เป็นการพกั ผ่อน 2. เพื่อให้ได้ญาณทัศนะ คือ การฝึกจิตจนได้ฌานแล้วเกิดความรู้พิเศษที่ไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัส เช่น การแสดงฤทธิ์ ตาทพิ ย์ หทู ิพย์ อ่านใจผ้อู ่ืนได้ ระลกึ ได ้ 3. เพ่ือให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ สติเมื่อเข้าคู่กับสัมปชัญญะ หมายถึง ระลึกก่อนพูด การทำ สัมปชัญญะรู้ตัวในขณะท่ีกำลังพูด ถ้าทำสมาธิอยู่เสมอจิตจะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดต่างๆ สามารถตดั ความคดิ ท่ีชัว่ ทำความคิดที่ดีใหเ้ จรญิ 4. เพ่ือทำลายอาสวะ คือ ทำกิเลสให้สิ้น ได้แก่ การใช้สมาธิเป็นประโยชน์ในทางปัญญา เป็นอุปกรณ์ในการ เจริญวิปัสสนา คือ เม่ือได้บรรลุสมาธิเพียงข้ันต้นเท่าที่จำเป็นในการปฏิบัติหรือได้บรรลุฌาน 4 แล้ว ใช้สติจับยึดส่ิงท่ี ตอ้ งการกำหนด อันได้แก่ อารมณ์ วิปัสสนา เช่น ขันธ์ 5 เปน็ ต้น แลว้ ใช้ปญั ญาพิจารณาตรวจสอบจนสามารถกำจดั อาสวะได้ มีการเปรียบเทียบไว้ว่า สมาธิเป็นเสมือนการลับมีดให้คม วิปัสสนา อันได้แก่ การใช้ปัญญาพิจารณา เป็น เสมอื นการใช้มดี นั้นฟันต้นไม้ คือ กิเลสใหข้ าดลงได้

8 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา สมาธิ แบ่งเปน็ 2 แบบ คือ 1. สมาธิตน้ื 2. สมาธลิ ึก สมาธติ น้ื ทำไดใ้ นทกุ ท่าอิรยิ าบถ ทุกสถานที่ (เช่น การเดินจงกรม) สมาธลิ ึก ต้องอยูใ่ นทา่ นงั่ /นอน (เช่น การนัง่ สมาธ)ิ สมาธติ ื้น เนน้ เพม่ิ สต ิ สมาธลิ ึก เนน้ เพ่ิม พลังจิต ทั้ง สมาธติ ้นื และ สมาธลิ ึก จึงมผี ลเก้ือกลู ซ่งึ กนั และกัน อย่างมาก ดงั นน้ั นกั สมาธิ จำเป็นต้องทำสมาธิท้งั 2 แบบน้ี ควบคกู่ ันไป สมาธติ ื้น สมาธิท่ีมีความเป็นไปต่างๆน้ัน ย่อมมีข้อสังเกตว่า การเข้าสมาธิคร้ังแรกๆ แม้จะมีความนึกคิดอยู่ แต่อย ู่ ในกรอบ หมายความว่า เราพูดเราคุยก็ถือว่าเป็นสมาธิ เพราะความที่เรามีสติอยู่ ความเป็นเช่นนี้เราเรียกว่า สมาธิต้ืน จงเข้าใจว่า สมาธิตื้นนี้มีความสำคัญต่อกิจการประจำวัน เพราะสมาธิชนิดนี้เป็นผลมาจากการที่ได้ทำสมาธิมามาก เพราะเราไดส้ ะสมพลังจติ ไวม้ ากแลว้ เมือ่ เป็นเช่นนั้น เวลาเราทำงานเราจะมี สมาธิ หมายถึง สติ การงานนน้ั ๆ กจ็ ะไม่ ใคร่พลาดพลั้ง หรือพูดก็ไม่พลาดพล้ัง สมาธิควบคุมไปในตัว เหตุท่ีเป็นเช่นนี้ เน่ืองจากสติท่ีได้พัฒนาขึ้นมาจากที่ได้ อบรมมาตามลำดบั ดว้ ยเหตอุ ยา่ งน้ี ก็จะทำใหแ้ ม้จะลืมตาหลบั ตาก็จะเป็นสมาธิ เวลาเดินจงกรม โดยมากจะเป็นสมาธิ ตื้น อบรมสมาธิตื้น ความจริงถ้าจะเปรียบสมาธิตื้นเหมือนกับพลังงาน ท่ีได้กำลังใช้งาน การใช้งานนั้นเพ่ือทดสอบ สมรรถภาพของเครอ่ื งยนต์ หรือการดำเนนิ งานของเครอื่ งยนต์กลไกตา่ งๆ แม้บคุ คลผมู้ จี ติ เป็นสมาธสิ ูงแล้ว เวลาจะใช้ ดำเนินวิปัสสนาก็ใช้ได้ ถ้าจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนการสะสมเงินและการใช้เงิน การได้เงินมาโดยการแสวงหา ทรพั ยส์ นิ สมบตั มิ ากขึน้ ๆ คอื การสะสม สะสมได้มากเท่าไรกถ็ อื วา่ ดี การใช้เงนิ ท่ถี ูกตอ้ งก็ถือวา่ ดี สมาธิลกึ ซึ้งจงึ เปรยี บ ด้วยการสะสมเงิน สมาธิตื้นจึงเปรียบเหมือนกับการใช้เงิน คนที่สะสมเงิน ก็เพราะต้องการความมั่นคงของชีวิต จึงจำเป็นต้องหาอาชีพที่เหมาะกับตน ดังน้ัน จึงเกิดอาชีพนานัปการ แต่ว่าก่อนจะไปประกอบอาชีพในสาขาต่างๆ นั้น จำเป็นต้องเรียนวิชานานัปการเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นระบบพลโลกข้ึน ทุกสังคมโลกจึงต้องมีการ จัดการกับแนวทางเพื่อความก้าวหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศในโลก ก็ต้องการความสงบสุขเป็นประการสำคัญ รวมลงมาที่สดุ คือ เศรษฐกิจ หมายถึงการเงินนน่ั เอง ดังนนั้ ขณะทำการงานทุกสาขาอาชพี จงึ ตอ้ งใช้ท้งั สติ ทั้งปญั ญา ท้ังความม่ันใจ ประกอบกับความช่วงชิงความได้เปรียบ การแข่งขันต่อสู้ในเชิงวิชาการ ตลอดถึงกำหนดราคาค่างวด เหล่านี้ท้ังหมด ล้วนอยู่ในความเคร่งขรึม กวดขัน เคร่งเครียด กดดันสมอง โดยการแข่งขันกันนั้น เศรษฐกิจคืออาวุธ สำคัญ หรือปญั ญาคืออาวุธสำคญั ด้วยเหตุนี้ ถา้ หากจะใชส้ มาธิ กจ็ ะสามารถทำให้กจิ การเหลา่ นีน้ น้ั เพิ่มประสิทธิภาพ ขึ้นอย่างมากมายทีเดียว คนบางคนอาจจะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ที่จริงแล้วน้ัน ตามหลักการหรือตามธรรมชาติมัน เป็นไปได้จริง เพราะอะไร เพราะว่าสมาธิคือความหยุด ความหยุดทำให้เกิดกำลัง เพราะมนุษย์เรานั้น หากไม่ม ี การหยุด จะต้องเสยี เส้นประสาท เพียงไมก่ ี่เดอื นอาจจะตอ้ งพิการไปตลอดชีวติ แต่เพราะมีการหยุดพักได้ จงึ มีชวี ิตอยู่ มาได้ไม่เสียหาย สมาธิช่วยให้หยุดได้ตามต้องการ นอกจากจะหยุดใจได้แล้ว ยังทำใจให้เย็นเป็นสุขอีกด้วย เท่ากับ

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 9 สง่ เสรมิ ใหใ้ จมีประสทิ ธภิ าพนนั่ เอง นีค้ ือ สมาธิตืน้ สมาธิตน้ื นัน้ คอื การบริกรรมหรอื การสงบอยใู่ นระยะของกายหยาบ จะมีความรู้สึกตัวอยู่แต่จิตนั้นมีสติ ถึงจะมีความนึกคิด ก็เป็นสมาธิอยู่น่ันเอง ยกเว้นแต่ปล่อยเลยไปตามอารมณ ์ ในทุกกรณี สนุกเพลิดเพลิน มิได้คิดว่าจะต้ังใจอย่างนี้ จึงเรียกว่าไม่มีสมาธิแม้จะเป็นสมาธิตื้น คำว่าสมาธิตื้น จงึ หมายถงึ การกำหนดจติ ด้วยต้งั ใจวา่ จะทำสมาธิ แมจ้ ะเป็นธรรมดามีความกำหนดอยู่ ก็จะทำงานใดๆ กไ็ ด้ แต่สมาธิ ลึกจะผ่านกายหยาบถึงกายละเอียด เกิดความสบายน่ันคือสมาธิลึก และจะได้มีการสะสมพลังจิตไว้ในจิตอยู่ทุกๆ ครั้ง ของการทำสมาธิ และสมาธิลึกนเ้ี อง เมือ่ เสริมพลังจิตมากขน้ึ ก็ทำใหส้ มาธิต้ืนนี้ดำเนนิ งานทำกิจกรรมตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพขณะท่ีเรากำลังทำงานทุกๆ อย่างอยู่และมีกำลังใจไม่ย่อท้อ เกิดปฏิภาณแก้ปัญหาได้ประสบผลสำเร็จ นีแ้ หละ สมาธติ ้นื ไดป้ รากฏแลว้ สมาธลิ กึ สมาธลิ กึ นน้ั คอื ความสงบจนเกดิ ความนง่ิ ในทส่ี ุดก็เขา้ ภวงั คไ์ ป เพราะสมาธิลกึ น้ันเป็นสว่ นของความเสวยผล และเปน็ แหลง่ ใหเ้ กดิ ศรัทธายงิ่ ๆข้นึ เนือ่ งจากได้พบความสุขทม่ี ากย่ิง ในการสมั ผัสความรสู้ ึกของสมาธทิ ล่ี กึ ซ้งึ น้นั จะมี ความซาบซ้ึงเป็นอย่างย่ิง การเกิดขึ้นของความสุขตรงนี้จะมีการหย่ังลึกเข้าสู่ความเชื่อมั่น สมาธิลึกเกิดจากสมาธิตื้น ที่ได้ก่อตัวข้ึนมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดพลังจิตที่ได้ถูกสะสมขึ้นมามากพอสมควรจึงจะทำให้สมาธิลึกก่อตัวขึ้นได้ ด้วยเหตุน้ีทั้งสมาธิลึกและสมาธิตื้นจึงมีส่วนเก่ียวพันกัน สมาธิตื้นเป็นสมาธิใช้งาน สมาธิลึกเป็นส่วนช่วยแรงสนับสนุน พร้อมกันนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงแห่งความสุขที่ได้สัมผัสเป็นเครื่องบ่งบอกว่ามีความสุขจริง เนื่องจาก เป็นความประสงคแ์ ละความปรารถนาของทกุ ๆคนทจี่ ะมีความสขุ อยา่ งไรก็ตาม ความสุขแม้จะเปน็ ความตอ้ งการก็จริง แต่ความสุขนี้จะไมป่ รากฏอยตู่ ลอดไป จะมกี ารหดตวั ลงหรืออาจจะหายไปเลย จงึ เปน็ การเสียใจประการหน่ึงซึง่ เกิดขน้ึ ได้ ในท่ีนี้จึงจำเป็นทจ่ี ะตอ้ งเข้าใจในตนเองว่า เมือ่ ความสขุ หายไปต้องทำใจ หมายถงึ ตอ้ งทราบข้อเทจ็ จริง เพราะความ สุขจะอยู่ได้ด้วยกำลังสมาธิ พอหมดกำลังแล้วจะสลายตัวไปเอง ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงคือไม่ต้องเกิดความเสียใจ เมื่อความสุขน้ันหมดไป และแล้วการสร้างข้ึนของสมาธิก็จะสร้างความสุขนี้ขึ้นมาได้อีก ตรงน้ีจะต้องพูดถึงจุดประสงค์ ของสมาธิว่าจุดประสงค์ของสมาธิคือ “ต้องการพลังจิต” การสะสมพลังจิตให้ถาวรมีพลังเพิ่มขึ้นนั้นคือ ความจริงของ หลกั การ ด้วยเหตุดงั กลา่ ว การจะเป็นสมาธิตืน้ และสมาธิลึกเป็นสว่ นแหง่ การสะสมพลงั จิตท้ังสิน้ เพราะการสะสมพลงั จนมากเพียงพอแห่งความต้องการได้แล้วในแต่ละข้ัน ก็จะแสดงออกซึ่งอิทธิพลของจิตตามความประสงค์ของผู้นั้นๆ ในกรณีน้ันๆ ส่วนสมาธลิ กึ ทใี่ หป้ รากฏการณ์ต่างๆมอี าการเปน็ สุขอย่างซาบซง้ึ เป็นภาพนิมติ นานัปการเกดิ ความมคี วาม เป็นเหนือธรรมชาติเหล่าน้ีนั้น เป็นอาการกิริยาของจิตทำให้ปรากฏการณ์เหล่าน้ีเกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องไม่เอาใจใส่นัก ปลอ่ ยให้เกิดขึ้นโดยมสี ตริ ะลกึ รู้ อยา่ คดิ เอาเองไปตามอาการกริ ยิ าเหลา่ นน้ั เพราะนน่ั คอื ปรากฏการณข์ องอาการกิริยา ของจิต เช่นเรารับประทานอาหาร รสอิ่มอร่อยมีความสุข ล้วนเป็นอาการกิริยาของการรับประทานอาหารทั้งนั้น ส่วนสำคัญอยู่ตรงอาหารและรับประทานเข้าสู่ร่างกาย จิตที่เป็นสมาธิลึกจึงมีปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเช่ือมีอยู่มากมาย แตต่ ้องถือวา่ เป็นเพยี งอาการกริ ยิ าเทา่ น้ัน แต่ตอ้ งมีสติปัญญาจงึ คิดได้ และไม่หลงตามอาการกริ ิยาน้นั ๆ การพยายาม ทำสมาธิให้เป็นแบบต่อเนื่องนั้น ท่านท้ังหลายจะต้องผ่านเส้นทางนี้กันทั้งนั้น คือสมาธิต้ืนและสมาธิลึก จึงไม่แปลก อะไรที่บางคนขาดสติปัญญาจะต้องหลงไปตามอาการกิริยาของจิตสมาธิตื้น - ลึก ดังน้ันจึงควรท่ีจะทำสมาธิไปตาม โอกาสที่เราจะทำได้ เพราะการทำสมาธิน้ันทางมันยาวทำไปกว่าจะพบกับสมาธิตื้นและลึกก็ใช้เวลาไม่น้อย เราจึงไม่ ต้องกลัว หรือกังวลที่จะต้องลังเลใจหรือหวาดกลัว เม่ือถึงเวลาเป็นสมาธิต้ืน - ลึก ข้ึนมาก็แก้ไขได้ เช่นเดียวกันกับ

10 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา การได้มาซึ่งเงิน ได้เท่าไรก็ไม่เป็นไร ได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีขอให้ได้มาและแล้วเราก็ใช้สติปัญญาใช้เงินก็จะประสพ ความสำเร็จในชีวิต สมาธิต้ืน−ลึกก็เช่นกัน ขอให้มันเกิดขึ้นมา มากเท่าไรก็ย่ิงดี และแล้วเราก็ใช้สติปัญญาแก้ไข ก็จะ สำเรจ็ ผลสมประสงคไ์ ด ้ จากคำสอนของ.............พระเทพเจติยาจารย(์ หลวงพอ่ วิริยงั ค์ สริ นิ ธฺ โร) “การทำสมาธแิ บบบรกิ รรม” การบริกรรม ทำใหจ้ ิตเปน็ หนึ่ง จติ เป็นหนึง่ ทำให้เกดิ ความสงบ ความสงบ ทำใหจ้ ติ มีพลัง จิตมพี ลงั ทำให้มีสตริ ะลึกรู้ มสี ติระลกึ รู้ ทำใหเ้ กิดสตปิ ัญญา มีสติปญั ญา ทำใหร้ ู้ทนั อารมณ ์ การร้ทู ันอารมณ์ ทำให้จติ เป็นกลางได ้ เวลาและอริ ยิ าบถในการปฏบิ ัตสิ มาธ ิ เร่ืองเวลาท่ีจะปฏิบัติสมาธิน้ันมีหลักการอย่างเดียวกับการออกกำลังกาย นั่นคือ ต้องเลือกเวลาท่ีท้องว่าง ( หลังจากอาหารถกู ย่อยหมดแลว้ ) เวลาดังกลา่ วเปน็ เวลาที่อวยั วะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร ทำงานเสรจ็ ไดพ้ ักผ่อนแลว้ ดังน้ัน จึงไม่เป็นการเพิ่มปัญหาให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายโดยไม่จำเป็น ส่วนจะเป็นเวลากลางวัน หรือกลางคืน ก็ตามแต่สะดวกของแตล่ ะบคุ คล สำหรับอิริยาบถของการทำสมาธิน้ัน ทำได้ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะน่ัง ยืน นอน แม้กระทั่งในขณะท่ีนั่งรถทุกประเภท ท่ีเราไม่ได้ขับเอง เรียกว่า สมาธิทุกโอกาส อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน แบบชาวพุทธ น้ัน ท่านนิยมให้นั่งขัดสมาธิ คือ เอาเท้าขวาวางไว้บนเท้าซ้าย และวางมือ ซอ้ นอย่บู นตกั มือขวาทบั มอื ซา้ ย ทสี่ ำคญั คือ หลังตอ้ งต้งั ใหต้ รง เงยหน้า ให้สายตาขนานกบั พ้นื

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 11 ข้ันตอนวิธีการทำสมาธคิ วรเรม่ิ อย่างไร การทำสมาธิ ตามหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้แสดงพระธรรมเทศนาไว ้ ถึง 40 วธิ ี ทุกวธิ ลี ว้ นเป็นไปเพ่ือจดุ หมายเดยี ว คอื การทำใหใ้ จหยุดน่งิ แตท่ ี่วิธกี ารมเี ยอะ น้ัน เพื่อให้เหมาะสมกับพ้ืนฐานนิสัยของแต่ละคน โดยพระพุทธองค์ทรงแบ่งพ้ืนฐาน นิสัยไว้ 6 ประเภท เรยี กว่า จริต 6 อาทเิ ชน่ คนที่มรี าคะจริต คือหลงไหลในของสวยงาม ง่าย ควรพิจารณาความไม่เท่ียง ความไม่แน่นอนในสังขารต่างๆ เพ่ือให้ใจไม่ติดในราคะ ได้ง่าย จะได้ทำสมาธิได้ง่าย เพราะเมื่อหลับตาทำสมาธิแล้ว ใจเราชอบอะไร คุ้นอะไร ก็จะมีภาพนน้ั ปรากฏขึ้นมาในใจ การทำสมาธิ ไมต่ ้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำไดท้ กุ ที่ ทกุ เวลา แต่ถา้ ตอ้ งการความต่อเน่อื งยาวนาน และให้ ไดผ้ ลการปฏิบัติที่ดนี ้ัน มหี ลกั วธิ กี ารนัง่ สมาธิ ดังนี้ 1. กราบบูชาพระรัตนตรัย เป็นการเตรียมตัว เตรียมใจให้นุ่มนวลไว้ เป็นเบ้ืองต้น แล้วสมาทานศีล 5 หรือ ศลี 8 เพ่อื ย้ำความมัน่ คงในคณุ ธรรมของตนเอง 2. ให้น่ังขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้น้ิวช้ีของมือข้างขวาจรดน้ิวหัวแม่มือข้าง ซา้ ย 3. ผ่อนคลายกลา้ มเนื้อทุกสว่ นในร่างกายให้หมด ตง้ั แต่กลา้ มเนื้อทเ่ี ปลือกตา กลา้ มเน้อื ทีศ่ ีรษะ ต้นคอ บา่ ไหล่ แขนทั้งสอง ลำตวั ตลอดจนกระท่ังขาทัง้ สองถึงปลายนิว้ เทา้ ให้ผอ่ นคลายใหห้ มด 4. หลับตาของเราเบาๆ คล้ายกับเวลาเรานอนหลับ โดยปิดผนังตาเพียงเบาๆ อย่าเม้มตาแน่น อย่าบีบหัว ตา และอย่ากดลกู นยั นต์ า หลบั ตาสกั ครึง่ ลูก ปรือๆ สบายๆ หรอื หลบั ตาประมาณ 80 - 90% 5. ให้น่ังต้ังกายตรงม่ันคง ประดุจขุนเขาที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ไม่โยกไม่คลอน แม้จะมีลมมาปะทะท้ัง 4 ทิศ หรอื รอบทศิ ก็ไม่หว่นั ไหว การท่นี ั่งได้เชน่ น้ี ถอื ว่าเปน็ ทา่ นัง่ ที่ถกู สว่ น คอื ไม่ง่อนแงน่ ไมโ่ ยกคลอน แตผ่ ่อนคลายสบาย หมดทกุ สว่ น และจะทำให้น่งั ไดน้ าน 6. ทำใจให้ว่างๆ ให้น่ิงๆ ให้เฉยๆ ปลดปล่อยวางจากภารกิจ วิธีนี้เป็นวิธีลัดและเร็วท่ีสุดในการปรับใจ เพราะใจที่เหมาะตอ่ การเขา้ ถงึ ธรรมน้ัน จะตอ้ งเปน็ ใจทป่ี ลอดโปรง่ วา่ งเปล่าจากภารกิจท้ังหลายไม่ว่าจะเป็นการศกึ ษา เลา่ เรียน ธรุ กิจการงาน เรอ่ื งครอบครวั หรอื เรือ่ งอะไรท้งั หมดในโลกนี้ ให้ปลดใหป้ ลอ่ ยใหว้ างไวช้ ่ัวขณะ ทำประหนึง่ วา่ เราอยู่คนเดยี วในโลก ไมม่ ีภารกิจเครื่องกังวลใจ แลว้ ทำใจใหเ้ บิกบานแชม่ ช่นื สะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ ผ่องใส 7. การใชค้ ำภาวนาในการทำสมาธิ มคี ำภาวนาให้เลือกใชไ้ ด้มากมาย เช่น พุทโธ สมั มา - อะระหัง ยุบหนอ - พองหนอ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคำล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ เป็นอุปกรณ์เพ่ือช่วยให้ใจหยุด ซ่ึงในการใช้คำภาวนา แต่ละอย่างนั้น ส่วนใหญผ่ ปู้ ฏิบัตมิ กั จะเลอื กใช้ถ้อยคำทไี่ ด้ยนิ ไดฟ้ งั แล้ว ทำใหใ้ จสงบ หยดุ นงิ่ คือ ถ้อยคำทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ส่งิ ท่ดี งี าม 8. การกำหนดนึกนิมิต นมิ ิต คือ เคร่อื งหมายสำหรับให้จติ กำหนดหรอื ภาพท่เี หน็ ใจ ซ่งึ เป็นตวั แทนของสิ่งที่ ใชเ้ ป็นอารมณ์กรรมฐาน (พระธรรมปฎิ ก : 2540) แบ่งเป็น 3 อย่าง คอื 1. บริกรรมนิมติ คือ นมิ ิตขัน้ เตรียมหรอื เริม่ ตน้ ได้แก่ สง่ิ ใดก็ตามทีก่ ำหนดเปน็ อารมณ์ในการเจรญิ กรรม ฐาน เช่น ดวงกสณิ ทีเ่ พง่ ดู ลมหายใจทก่ี ำหนด หรอื พุทธคุณที่กำหนดนกึ เปน็ อารมณ์ว่าอยใู่ นใจเป็นต้น

12 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา 2. อคุ คหนิมิต คือ นิมิตท่ีใจเรียนหรอื นมิ ิตตดิ ตา ได้แก่ บริกรรมนมิ ติ ท่ีเพง่ หรอื กำหนดจนเห็นแม่นยำกลาย เปน็ ภาพตดิ ตาตดิ ใจ เช่น ดวงกสณิ ทเ่ี พง่ จนตดิ ตาหลับตามองเห็น เป็นต้น 3. ปฎิภาคนิมิต คือ นิมิตเสมือน นิมิตคู่เปรียบ หรือ นิมิตเทียบเคียง ได้แก่ นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของ อุคคหนมิ ิต แตต่ ดิ ลกึ เขา้ ไปอีก จนเป็นภาพที่สามารถนึกขยายหรือยอ่ ส่วนได้ตามปรารถนา การกำหนดนึกนิมิตจะทำให้มีที่ยึดที่เกาะ ทำให้ใจไม่ซัดส่าย ซึ่งนิมิตท่ีใช้น้ันจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ควรเป็นสิ่งที่ ทำให้ใจเป็นกุศล เช่น พระพุทธรูป พระสงฆ์ท่ีเคารพ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว วงดินที่ทำขึ้นเป็นวงกสิณ เป็นต้น ซงึ่ ท้งั หมดน้ันลว้ นสามารถเปน็ ทีน่ ำใจไปต้ังไว้ ซง่ึ เม่ือใจตัง้ ม่ันอยู่ ณ นมิ ิตนนั้ ใจกจ็ ะสงบหยุดน่ิงไดง้ า่ ย ลกั ษณะต่อต้านสมาธ ิ ความเจ็บปวด เมื่อย เหนอ่ื ย หวิ อันความต่อต้านในเรื่องของสมาธินี้ เป็นเร่ืองสำคัญ เพราะการเกิดปฏิกิริยา ต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้เกิดการพอดี เพราะจิตสำนึกในขณะทำสมาธิน้ันมีหลายๆอย่าง เม่ือเกิดขึ้นก็กระทบกับ ร่างกาย อย่างบางคนคิดมาก ยับย้ังใจไม่ค่อยจะได้ ก็จะเกิดโรคลำไส้พิการ ทำความปั่นป่วนให้แก่ร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก หรือมีความเป็นวิตกจริต โดยคดิ แต่ความกังวลสิง่ เลก็ กลายเป็นสง่ิ ใหญ่ ก็จะทำให้เกิดการปัน่ ปว่ นกระทบ กระเทือนไปยังสมอง เกิดเป็นโรคสมองพิการ บางคนมีความคิดนอกลู่นอกทาง เป็นไปกับด้วยความสับสน จะทำให้เกิดเป็นโรคเส้นประสาทพิการ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้สำหรับบุคคลที่ไม่ พยายามหาทางแกไ้ ข ดังน้ันเมอื่ มีการแก้ไขด้วยสมาธิ จึงต้องเกดิ ปฏิกิริยาต่อตา้ นข้นึ มา ความเจบ็ - ปวด - เม่ือย - เหนอื่ ย - หิว ถือเปน็ ทกุ ขเวทนา หมายถงึ ความเสวยทุกข์ คอื ความรู้สกึ สัมผัส ทเ่ี ปน็ ทกุ ข์ ความทกุ ข์หากไมม่ ากถือวา่ พอทน ถา้ มากถือว่าทนไมไ่ หว มากจริงๆเรยี กว่าสุดท่ีจะทน จงึ เป็นสิ่งท่ที ำให้จติ เกิดความกระวนกระวาย คนเราทุกๆคนถ้าประสบกับความทุกข์มาก หมายถึงทุกขเวทนาจนถึงตลอดเวลากลายเป็น เจ้าทกุ ข์ ดว้ ยเหตผุ ลหลายๆ ประการเช่นน้ี จงึ ถือว่าบุคคลทำสมาธิจะถูกต่อต้านและจะเกดิ ปฏิกิริยา อันจะต้องทราบ เพื่อเป็นการแก้ไขเพราะว่าร่างกายคือส่วนประกอบท่ีมีความสำคัญ ในอันที่จะส่งความเป็นไปต่างๆ ทั้งสิ้นเข้าสู่ใจ จึงต้องเป็นภาวะรองรับเอาในหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ความสัมพันธ์ต่างๆ เข้าสู่ความรู้สึก เรียกว่า กายสัมผัส ความ สัมผัสน้ีจะต้องมีความรู้สึกถึงใจทุกๆ คร้ัง ดังนั้น นาที วินาที ตลอดเวลากายจึงต้องทำงานรองรับเอาส่ิงที่จะเข้ามา กระทบ รู้สกึ รนุ แรงกเ็ กดิ ปญั หาทำให้ตอ้ งแกไ้ ข เชน่ ความเปน็ โรคภัยไข้เจบ็ ต่างๆ จะก่อให้เกิดความผิดปกตขิ องกายจน เกดิ ความเจ็บปวด เม่อื ย เหนอ่ื ย หวิ ขนึ้ อาการเหล่าน้ถี อื วา่ เรม่ิ จะเกดิ การขวางกัน้ ต่อต้านสมาธิ ถ้าแกไ้ ขไดก้ ร็ อดตัวไป แก้ไขไม่ได้ก็จนปัญญา อนั เปน็ การขวางกั้นตอ่ ต้านสมาธิเปน็ ข้นั ๆ ไป เพราะร่างกายเกี่ยวพันกับชวี ติ เม่อื ความกระทบ กระเทือนมากชวี ติ กอ็ ยู่ในอันตราย ความเปน็ สมาธติ ่างๆ จะเกดิ ข้นึ ได้กอ็ าศัยกาย น้เี องคอื มหี ไู ว้ฟงั มตี าไว้ดู มีกายมือ เท้าไว้ทำ จึงจะเกิดสมาธิได้ และก็สามารถทำสมาธิให้เกิดได้ต้ังแต่ต้นจนถึงที่สุด ก็เพราะความสมบูรณ์ของกายนี้เอง การปรับปรุงร่างกายให้คงทนและปกติอยู่เสมอ จึงจะสามารถช่วยความเป็นสมาธิได้ดังประสงค์ ความจริงการเดิน - การยืน - การนอน - การน่ัง ล้วนกายเป็นผู้ประสานให้บังเกิดสมาธิทั้งน้ันดังนั้นทั้งคุณท้ังโทษจึงมีอยู่ท่ีกายน้ีเป็น สว่ นหนงึ่ มีคณุ คือใหช้ ีวติ มคี วามสขุ ไดส้ มาธิ มีบญุ มโี ทษเอารา่ งกายไปทำร้ายคนอ่ืน ฆ่าคนฆ่าสตั ว์ มกี ารสร้าง คำดา่ คำนินทา คำส่อเสียด คำข่าวลือ เป็นบาป มีโทษ ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงจำเป็นต้องรักษาชีวิตด้วยการรักษากายให้มี

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 13 ความปกติโดยไม่อคติอยู่ในความดูแลตามอัตภาพแห่งความเป็นอยู่ เมื่อต้องการสมาธิก็พึงพยายามหาความพอดีให้แก่ รา่ งกาย สว่ นการท่จี ะทำใหเ้ กดิ สมาธิ มีความเจ็บ - ปวด - เมอื่ ย - หิว ก็ใช้ความอดทนตามสมควร คำว่าสมควรนัน้ คอื การเดินสายกลาง อย่าทรมานมากจนเกินไป อย่ายอมแพ้แก่มารง่ายๆ จงพยายามดูความสำเร็จแต่ละคร้ังที่ได้ทำมา และพยายามแก้ไขเพ่มิ เตมิ ความแกรง่ ให้ตน ถา้ เอาแตข่ ี้เกียจ เกยี จครา้ น ยอมแพ้แก่มารงา่ ยๆ ก็คงยากแก่ความสำเร็จ รวมความคอื เดินสายกลางนน่ั เองดีท่สี ุดส่งิ ทีขวางก้ันสมาธทิ ีเ่ รียกว่านิวรณ์ 5 นั้น นอกจากนัน้ คือความกระวนกระวาย ในทนี่ ี้ หมายถงึ จิตเป็นทีต่ งั้ เพราะความสะสมอารมณ์นานปั การ เกบ็ ไวใ้ นใจจนล้น จงึ ทำใหเ้ ปน็ ชนวนทจ่ี ะคอยก่อตัว เมือ่ ไดจ้ งั หวะ เพราะแตล่ ะจังหวะนนั้ แตกต่างกนั ไป ตามธรรมดาถ้ามีอะไรมากอ่ กวนย่อมมกี ารแสดงออก เชน่ ขณะมี คนมากล่าวร้ายใส่ความ หรือมาแสดงอาการกิริยาเย้ยหยัน หรือใช้อำนาจแบบไม่สามารถจะกระดุกกระดิกได้ หรือ ข่มเหงน้ำใจในสิ่งท่ีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือตบหัวแล้วลูบหลัง หรือถือว่าตนมีอำนาจศักด์ิศรี แล้วลอยชายหยาม ด้วยพธิ กี ารหรือวิธีการ ทำให้เกดิ ความเสยี ใจแกผ่ ู้ด้อยกวา่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คอื ชนวนทอ่ี ารมณ์สิงเข้าส่จู ติ ซึง่ จติ ไดส้ ะสม ความมีกิเลสเครื่องเศร้าหมองล้นเหลืออยู่แล้ว พอจังหวะอารมณ์เหล่านี้บังเกิดข้ึน ความกระวนกระวายใจจะเพ่ิมพลัง ขน้ึ ทันที และทันทีน้ันกจ็ ะเริ่มรวมกลมุ่ เกา่ กลุ่มใหม่ สะสมเป็นตวั กเิ ลสใหญ่ขึ้น สิง่ นจี้ ะแปรสภาพออกมาเป็น ทิฐมิ านะ - อาฆาต - พยาบาท - จองเวร ซึ่งเป็นส่ิงเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตน้ัน เพราะความกระวนกระวายตัวนี้มี ความร้อนแรงมาก เผาผลาญจิตใจจนสุดจะยั้งได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า “คลุ้มคล่ัง” จุดน้ีเองท่ีก่อความไม่สงบให้แก่ โลก”จนถึงขั้นมิคสัญญี” จุดตรงน้ีเองที่สมาธิจะมีบทบาทสำคัญในการที่จะต้องแก้ไขเพราะสมาธิจะอยู่จุดตรงกันข้าม กับความกระวนกระวาย ดังนั้นจึงต้องมีการต่อต้านกองทัพระหว่างความกระวนกระวายกับสมาธิด้วยความสามารถ ของแตล่ ะฝ่าย ถา้ จะเปรยี บกเ็ หมือนน้ำร้อนกบั นำ้ เย็น ซง่ึ มีเตาไฟเปน็ ผูก้ ่อให้เกิดความเดือด “เมื่อนำ้ น้อยย่อมแพ้ไฟ” “เมื่อน้ำมากย่อมชนะไฟ” ดังน้ันการที่จะดับการกระวนกระวายก็ต่อเมื่อเร่งความสงบ จะดับความร้อนของน้ำเดือดก็ ต้องเติมน้ำให้มากจนเกิดความเย็น น้ำใจของคนเราก็ช่ือว่าเป็นน้ำสมาธิท่ีบังเกิดขึ้นแก่ทุกๆ คนได้นั้น คือน้ำดับไฟ เพราะเมือ่ มสี มาธทิ ท่ี ำขึ้นจนเปน็ ผลแลว้ ก็พอจะมองเห็นทางออกว่ายงั มีทางออกไดอ้ ยู่ แตถ่ า้ ไม่มสี มาธเิ ลยกจ็ นปัญญา เพราะหาทางออกไมไ่ ด้ เนอื่ งดว้ ยสมาธิเป็นจุดสำคัญทีจ่ ะแก้ไข ดว้ ยเหตทุ วี่ ่าใจน้ีเป็นตัวสงั่ การ การเรยี กว่าผบู้ ญั ชาการ ทหารสูงสุดในใจของแต่ละบุคคล ใจเป็นส่ิงให้เป็นไปในทุกๆ อย่าง หากว่ามีสมาธิ แสดงว่ายังมีทางออกท่ีดีปลอดภัย แก่ตนและแก่บุคคลอื่นและแก่โลกด้วย คุณค่าอันนี้คือสมาธิ จึงยิ่งใหญ่โดยแท้ แต่อย่างไรก็ตามสงครามระหว่างสมาธิ กบั ความกระวนกระวายนี้ จะต้องเกดิ ขนึ้ ในตวั ของมนั จงึ สมควรที่จะต้องศึกษาหาวิธีให้ฝา่ ยสมาธิชนะใหไ้ ด้ ด้วยอบุ าย วิธีการอันมีกัลยาณมิตร - ครูบาอาจารย์ - นักปราชญ์ แห่งพุทธสาวก ให้เป็นผู้คอยช้ีแนะจนกว่าจะมีกำลังเป็นของ ตนเอง จุดนี้หมายถึง ผู้ท่ียังต้องการมีชีวิตอยู่ในโลก เป็นผู้ครองเรือนอันเป็นแนวทางสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ตาม ฐานานรุ ูปแห่งโลกาภิวฒั น์ วิธกี ารทีจ่ ะเสรมิ กำลงั แก้ความกระวนกระวายที่มาต่อตา้ นสมาธิ จงึ ต้องมี เช่น 1. ศรัทธาในคำสอน 2. มีความม่ันใจ 3. ใช้ความเพยี รตลอดไป 4. ต่อสู้ทางความนกึ คดิ ด้วยอบุ าย 5. จดจำส่งิ ทท่ี ำให้ชะล่าใจ 6. อดทนเปน็ อย่างย่ิง 7. เม่อื ได้ผลแลว้ ตอ้ งรกั ษา

14 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา ประโยชนข์ องการฝึกสมาธิ สมาธิมปี ระโยชนท์ ง้ั ตอ่ รา่ งกายและจติ ใจ โดยสามารถสรปุ ได้ดังน้ ี 1. ผลตอ่ ตนเอง 1.1 ดา้ นสุขภาพจติ - ส่งเสรมิ ให้คุณภาพของใจดีขน้ึ คือ ทำใหจ้ ิตใจ ผอ่ งใส สะอาด บรสิ ุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสตปิ ญั ญาดีข้นึ - สง่ เสรมิ สมรรถภาพทางใจ ทำใหค้ ดิ อะไรไดร้ วดเร็ว ถูกต้อง และเลอื กคดิ แต่ในสิง่ ทด่ี ีเท่านั้น 1.2 ด้านพัฒนาบคุ ลิกภาพ - จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณ ผ่องใส - มีความมน่ั คงทางอารมณ์ หนกั แน่น เยอื กเยน็ และเชอ่ื มม่ันในตนเอง - มีมนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะเป็นผู้มีเสน่ห์เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตา กรุณาตอ่ บุคคลท่ัวไป 1.3 ดา้ นชีวติ ประจำวนั - ชว่ ยใหค้ ลายเครียด เปน็ เครือ่ งเสรมิ เสริมประสทิ ธภิ าพในการทำงานและการศึกษาเล่าเรียน - ช่วยเสริมให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเปน็ ภูมติ า้ นทานโรคไปในตัว 1.4 ด้านศลี ธรรมจรรยา - ยอ่ มเปน็ ผมู้ ีสมั มาทิฏฐิ เชอื่ กฎแหง่ กรรม สามารถ คุ้มครองตนไดพ้ ้นจากความชวั่ ทั้งหลายได้ เปน็ ผู้ มีความพระพฤติดี เนือ่ งจากจิตใจดี ทำให้ความพระพฤตทิ างกายและวาจาดตี ามไปด้วย - ยอ่ มเป็นผูม้ ีความมกั นอ้ ย สนั โดษ รกั สงบและขนั ติเป็นเลศิ - ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟ้ือ เผ่ือแผ่ เห็นประโยชน์ ส่วนร่วมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นผู้มี สัมมาคารวะ และมคี วามออ่ นน้อมถอ่ มตน 2. ผลต่อครอบครวั 2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเป็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สาสามัคคี เป็นน้ำ หน่งึ ใจเดียวกัน 2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าท่ีของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้มี ใจคอหนกั แนน่ เมอ่ื มปี ญั หาครอบครัวหรอื มอี ุปสรรคอนั ใด ยอ่ มรว่ มใจกันแก้ไขปญั หานั้นๆ ให้ลลุ ่วงไปได ้

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 15 3. ผลต่อสังคมและประเทศชาต ิ 3.1 ทำใหส้ ังคมสงบสุข ปราศจากปัญหาอาชญากรรม และปัญหาสงั คมอ่นื ๆ เพราะปัญหาท้งั หลายทีเ่ กดิ ขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหาหารฆ่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริตคอรัปช่ัน ล้วนเกิดข้ึนมาจากคนที่ขาดคุณธรรม เป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหว ต่ออำนาจสิ่งยั่วยวน หรือกิเลสได้ง่าย ผู้ท่ีฝึกสมาธิย่อมมีจิตใจเข้มแข็ง มีคุณธรรมใน ใจสงู ถา้ แตล่ ะคนในสังคมจ่างฝึกฝนอบรมใจของตนให้หนกั แน่น ม่นั คง ปัญหาเหล่านก้ี ็จะไม่เกดิ ขนึ้ ส่งผลให้สงั คมสงบ สุขได้ 3.2 ทำให้เกิดความมีระเบียบวินัย และเกิดความประหยัด ผู้ที่ฝึกใจให้ดีงานด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รกั ความมีระเบียบวนิ ยั รกั ความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้านเมอื ง ดงั น้นั บ้านเมอื งเรากจ็ ะสะอาด น่าอยู่ ไม่มีคนมักง่ายท้ิงขยะลงบนพื้นถนน จะข้ามถนน ก็เฉพาะตรงทางข้าม เป็นต้น เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่ต้อง ส้ินเปลืองงบประมาณ เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่ ท่ีต้องใช้ไปในการแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากความไม่มีระเบียบวินัยของ ประชาชน 3.3 ทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า เม่ือสมาชิกในสังคมมีสุขภาพจิตดีรักความเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ ในการทำงานสูง ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และเม่ือมีกิจกรรมของส่วนร่วม สมาชิกในสังคมก็ย่อม พรอ้ มท่จี ะสละความสุขส่วนตัว ให้ความรว่ มมือกบั สว่ นรว่ มอย่างเต็มท่ี แม้มผี ไู้ ม่ประสงค์ต่อสงั คมมายแุ หยใ่ หเ้ กิดความ แตกแยก ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสมาชกิ ในสังคมเปน็ ผู้มจี ิตใจหนกั แน่น มเี หตผุ ล และเปน็ ผรู้ กั สงบ 4. ผลตอ่ ศาสนา 4.1 ทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง และรู้ซ้ึงถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา รวมทั้งรู้เห็นด้วย ตัวเองวา่ ฝึกสมาธิไม่ใช่เรอื่ งเหลวไหลหากแต่เป็นวธิ เี ดียวทท่ี ำใหพ้ ้นทุกขเ์ ข้าสู้นิพพานได้ 4.2 ทำใหเ้ กดิ ศรทั ธาตั้งม่นั ในพระรตั นตรยั พร้อมท่ีจะเป็นทนายแก้ตา่ งให้กนั พระศาสนา อันจะเป็นกำลงั สำคญั ในการเผยแผก่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมท่ถี ูกตอ้ ง ใหแ้ พรห่ ลายไปอยา่ งกว้างขวาง 4.3 เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องตลอดไปเพราะตราบใดท่ีพุทธศาสนิกชน ยังต้ังใจ ปฏบิ ัตธิ รรม เจรญิ ถาวนาอยู่ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญร่งุ เรืองอยู่ตราบนน้ั 4.4 จะเป็นกำลังส่งเสริมทะนุบำรุงศาสนา เพราะเม่ือเข้าใจซาบซึ้งถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมด้วย ตนเองแล้ว ยอ่ มจะชกั ชวนผ้อู ่นื ใหท้ ำทานรกั ษาศีล และเจริญภาวนาไปด้วยเม่ือใดทที่ กุ คนตัง้ ใจปฏบิ ตั ิธรรม ทำทาน ประโยชนข์ องสมาธใิ นการประกอบกิจการงานและการดำเนนิ ชวี ติ ผู้ที่ประสบความสำเรจ็ ในชวี ิต ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน หรือ ภาครัฐ จะพบว่า เขาไดร้ ับมอบหมายงานหลายๆ เรื่อง แต่ ก็สามารถทำงานน้ันๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ตรงกันข้าม บางคน แม้ได้งานช้ินเดียว ก็ยังไม่สามารถ ทำงานให้ สำเร็จได้เลย ถ้าจะศึกษาให้ดจี ะพบวา่ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่าน้นั เปน็ ผู้มีสมาธิ เหนือคนธรรมดาด้วย กันท้งั นนั้ และเป็นท่ียอมรับกันว่า สมาธทิ ่ีได้รบั การฝกึ ฝน ปฏิบตั โิ ดยสม่ำเสมอนนั้ ใหผ้ ลได้ดีกว่า ผ้ทู ีม่ สี มาธโิ ดยกำเนิด และไมไ่ ดร้ ับการฝกึ ฝน ซ่ึงบางคนเปรยี บเทียบเหมือนกับ การวดั ตวั ตดั เส้ือ เราจะได้เส้อื ท่ีรัดรูปเหมาะเจาะดีกว่า ที่จะ ใช้เสื้อสำเรจ็ รูป

16 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา ประโยชนข์ องสมาธใิ นการศกึ ษาเล่าเรยี น การเลา่ เรียนนน้ั จำเป็นตอ้ งอาศัยสมาธิเราจะเห็นได้ง่ายๆว่าถ้านักศึกษาคนใดที่ เอาใจใส่ในการเล่าเรียนนักศึกษาคนน้ันก็จะประสบความสำเร็จมีความเข้าใจในวิชาน้ัน และท่านจะสามารถสังเกตได้ว่า ถ้าระยะใดก็ตามท่ีเรามีปัญหาทางครอบครัว ระยะนั้น เราจะไม่มีสมาธิการการเล่าเรียน ผลการเรียนจะตกต่ำลงอย่างชัดเจน ดังนั้นสมาธิจึง เป็นสิ่งสำคัญอย่างย่ิงท่ีจะช่วยให้การศึกษาของนักศึกษาดีขึ้น นักศึกษาบางคนมีสมาธิดี แต่กำเนิดก็จริงอยู่แต่ถ้า ได้รับการฝึกปฏิบัติด้วยก็จะช่วยให้การศึกษาเล่าเรียนหรือ แม้แตค่ วามประพฤตติ ่างๆเปลย่ี นแปลงไปในทางท่ดี ีข้ึนอย่างชดั เจน ประโยชนข์ องสมาธิในการรักษาโรคบางชนดิ โรคที่เกิดกับมนุษย์น้ันมีมากมายหลายชนิด บางชนิดเช่นมะเร็งก็ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพราะยังไม่รู้ สาเหตูแน่ชัด โรคบางชนิดไม่อาจจะหาสาเหตุได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรบางทีเราเรียกว่า “โรคนามรูป” หรือ “โรค แห่งกรรม” ซ่ึงถือว่าเป็นโรคจิตประสาทแปรปรวนประเภทหน่ึง โรคดังกล่าวบางคร้ังใช้ยาไม่ได้ผลแต่ปรากฏว่า ผู้ฝึกปฏิบัติสมาธิท่ีเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวนี้ อาการต่างๆ จะหายไปหมดหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิจนครบกำหนด เวลา การปฏบิ ตั ิสมาธแิ ลว้ ทำใหโ้ รคภัยตา่ งๆ หายไปน้ี พอจะอธบิ ายไดด้ งั น้ ี 1. ผลของความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นการอุ่นเคร่ืองหรือเตรียมใจ และถ้ายิ่งถือศีล 8 นับแต่การรับ ประทานอาหารน้อยลง (ตามปกติมักจะรับประทานมากเกินไป) การเดินจงกรม (การออกกำลังกาย) เข้าตำราจิต นิรามยั คอื จติ จะแจ่มใสกต็ ้องอาศยั กายทีแ่ ข็งแรงปราศจากโรคภยั เปน็ สร้างความตา้ นทานหรือพลังให้แก่รา่ งกาย และ ทำใหเ้ กิดความสขุ กายสบายใจ 2. ผลของการทำสมาธิภาวนาหรือวิปัสสนากรรมฐานน้ันสามารถสร้างกำลังกายหรือพลังจิตที่แข็งแรง และมี กำลังใจท่จี ะต่อสโู้ รครา้ ยทกุ ชนิดอยา่ งไม่กลวั ตาย และผลของสมาธินีเ่ องจะทำให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจ คือ รดู้ ีรู้ชั่ว 3. ผลของการวปิ สั สนากรรมฐาน ทำใหเ้ ราแจม่ แจ้งและเข้าใจในไตรลักษณ์ คอื อนจิ จงั ทุกขข์ ัง และอนัตตา โดยเฉพาะอย่างย่ิงเห็นว่า อันตัวเรานี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนทำความเข้าใจกับกายและจิตของตนได้ดียิ่งข้ึน และรู้เท่าทันกับ โรคาพยาธิที่เข้ามาเบียดเบียนกายและจิตของตนได้เป็นอย่างดีจากเหตุผลทั้ง 3 ประการนี้ จึงทำให้ประสาทท่ีรู้สึกไป ต่างๆ เชน่ ปวดหวั ปวดทอ้ ง นอนไม่หลับ หนาวๆ รอ้ นๆ ชาตามมอื ตามเท้า ฯลฯ กอ็ าจจะหายไปหมด ประโยชนข์ องสมาธิในการเปลีย่ นวถิ ีชวี ิตใหม่ การทำสมาธิน้ันจะทำให้เราได้รับความสงบ ใจเย็น เต็มไปด้วยเหตูผลและการควบคมุ ตนเอง ไม่ทำอะไรตามใจ ตัวและขาดเหตุผล คิดให้เห็นคุณและโทษต่อผู้อื่นและตนเองอยู่เสมอ จะทำให้เป็นผู้ไม่มีความรู้สึกทุกข์หม่นหมอง ประจำใจ ใจกม็ หี ลกั ไมเ่ ลอ่ื นลอย ดงั ทเี่ คยเปน็ มา เหมอื นมอี าชพี เปน็ หลกั หรอื มอี าคารบา้ นเรอื น มที อ่ี ยอู่ าศยั ไมเ่ ดอื ดรอ้ น

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 17 แบบฝกึ หัดท้ายบท คำชีแ้ จง ให้ผู้เรียนทำเคร่ืองหมาย X คำตอบท่ถี ูกตอ้ งทส่ี ดุ เพียงคำตอบเดยี ว 1. ความหมายของสมาธิตรงกับขอ้ ใด ก. ความสงบ ข. ความไมฟ่ ุง้ ซา่ น ค. ความตงั้ ม่ันแหง่ จิต ง. ความจดจอ่ อยกู่ บั ส่ิงใดสิง่ หนึ่ง 2. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ข้อดขี องการฝึกสมาธิ ก. มีฐานะทางสังคมรำ่ รวย ข. สตสิ มั ปชญั ญะสมบูรณ์ ค. สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ดี ง. ทำงานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 3. การสมาทานศลี กอ่ นฝกึ สมาธมิ วี ัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื อะไร ก. ทำให้สมาธเิ กิดความศกั ดส์ิ ิทธ ์ิ ข. ทำใหป้ ระสบผลสำเร็จ ค. เปน็ การเสรมิ กำลงั ใจ ง. ทำให้จิตใจบรสิ ุทธิ ์ 4. สมาธมิ ปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ก. ทำให้สงบเยอื กเยน็ ข. ทำใหเ้ ป็นคนตรงฉนิ ค. ทำใหจ้ ิตใจออ่ นไหว ง. ทำให้เปน็ คนแขง็ แกร่ง 5. ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ของสมาธิทม่ี ีผลตอ่ ตนเอง ก. มีความมนั่ คงทางอารมณ ์ ข. มีบคุ ลกิ ภาพดี กระฉับกระเฉง ค. ทำให้จิตใจ ผอ่ งใสและสตปิ ญั ญาดีขึ้น ง. ทำให้สงั คมสงบสุข ปราศจากปัญหาตา่ งๆ

18 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา 6. บคุ คลในขอ้ ใดปฏบิ ตั ติ นในการฝึกสมาธไิ ด้อย่างเหมาะสม ก. วริ ัตนน์ งั่ สมาธติ ลอดเวลา ข. สุปราณีน่งั สมาธิก่อนนอน ค. อนุชาทำงานพร้อมกบั นง่ั สมาธ ิ ง. สัญชยั นัง่ สมาธิพรอ้ มกบั ฟงั เพลง 7. จงเรยี งข้นั ตอนในการฝกึ ปฏิบัตสิ มาธิ 1. เลอื กหามมุ สงบ ไมเ่ สยี งดงั ไม่มีการรบกวนจากภายนอก ได้งา่ ย มอี ุณหภมู ิพอดีๆ 4. เริ่มลงมอื ปฏบิ ัติสมาธภิ าวนา 3. เม่ือเสร็จสน้ิ การปฏบิ ตั สิ มาธิให้แผเ่ มตตา อุทิศสว่ นกุศล 2. ชำระร่างกายให้สะอาด เตรยี มรา่ งกายใหเ้ รียบรอ้ ย สวมเสอื้ ผา้ ใหส้ บาย ก. 1 2 3 4 ข. 2 3 1 4 ค. 2 1 4 3 ง. 4 1 3 2 8. การแผ่เมตตาทกุ คร้ังทีป่ ฏิบตั ิสมาธิเสร็จส้ินขอ้ ใดนยิ มปฏบิ ตั ิกันมากทีส่ ดุ ก. การกรวดน้ำอทุ ิศสว่ นกุศลให้ตนเองและบดิ ามารดา ข. กล่าวแผ่เมตตาให้ตนเอง ญาติ บคุ คลอนื่ −สตั วอ์ น่ื ค. กลา่ วแผเ่ มตตาให้ชาตบิ ้านเมอื งสงบรม่ เยน็ ง. กล่าวแผ่เมตตาให้เจา้ กรรม นายเวร 9. การบรหิ ารจิตชว่ ยในดา้ นการเรียนอย่างไร ก. อารมณม์ น่ั คงหนกั แน่น ข. ความจำดี เรยี นดี ค. ไมโ่ กรธงา่ ย ง. สุขภาพด ี 10. ข้อใด ไมใ่ ช่ วิธีการฝกึ สมาธอิ ย่างง่ายสำหรับบคุ คลท่ัวไป ก. การกำหนดลมหายใจ พทุ - โธ ข. การกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ค. การกำหนดลมหายใจ หนึง่ - สอง ง. การกำหนดลมหายใจสุข - ทุกข์

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 19 บทที่ 3 การเจริญสติ ขอบขา่ ยเน้ือหา 1. หลกั การเจริญสติในชีวิตประจำวนั 2. การเจริญสตติ ามหลกั ไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขข์ ัง อนัตตา 3. การพจิ ารณาธาตุ 4 4. ขนั ธ์ 5 และการละขนั ธ์ 5 5. จติ -วมิ ุตติ-พระนิพพาน 6. วิธีการทำสมาธพิ ฒั นาจติ และปัญญาในชีวติ วตั ถุประสงคร์ ายวิชา 1. ผเู้ รยี นอธบิ ายและตระหนักการเจรญิ สติด้วยการพจิ ารณาหลักไตรลักษณ์ อนจิ จงั ทุกขข์ งั อนตั ตา ได้อยา่ งวิธ ี 2. ผเู้ รยี นสามารถนำความรู้เกี่ยวกับพฒั นาจติ และปญั ญามาปรับใช้ในการ ดำรงชีวิต และการอย่รู ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ขุ ได ้

20 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา การเจริญสติ “พุทธธรรมกับเป้าหมายชีวิตมนุษย์นั้นถือได้ว่าเป็นอันเดียวกัน” ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการพัฒนาจิตเจริญสติ ให้มีความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม จนเป็นวิปัสสนาญาณ รู้เท่าทัน ความคิด ไม่เข้าไปอยู่ในความคิด ออกจากความคิดได้อย่าง ส้ินเชิง มีปัญญาทำลายอุปาทานน้ันเสีย หายสงสัยไม่หลง สรา้ งสมมตุ ิ ภพ ชาติ ไว้เปน็ กบั ดักกักขงั จิตตวั เองตอ่ ไป การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้ พูดง่าย ฟังง่าย แต่ เข้าใจยาก เพราะความเข้าใจในวิธีการน้ีเน้นองค์ความรู้ที่ได้ แบบประจักษ์แจ้งผุดขึ้นจากจิตชนิดท่ีมันเป็นเอง อันสืบ เน่ืองมาจากการที่ได้เจริญสติปัฏฐานสี่อย่างจริงจังต่อเน่ือง และถูกต้อง “เฝา้ ดูอาการกายเคล่ือนไหว เฝา้ ดอู าการใจที่ คิดนึก” ฝึกสติให้ทำหน้าท่ีรู้ทุกข์โดยตรง ให้รู้เท่าทันแบบ เป็นธรรมชาติ จนกระทั่งตัวรู้นี้ตื่นโพลง จิตใจสว่างรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง อายตนะเปิดกว้าง จิตจะเห็นความจริงในจิต เข้าใจจติ เดมิ แทข้ องตวั เองทไี่ ม่ถูกปรงุ แต่งวา่ มันเปน็ อยา่ งไร ทีม่ ันทุกขเ์ พราะอะไร ทกุ ขท์ ่ีเกดิ แล้วจะดับอย่างไร และที่ ยังไม่เกดิ จะปอ้ งกันได้อยา่ งไร จะรู้เองเหน็ เอง ผู้ร่วมปฏิบัติในวิธีการน้ีมีผลการตอบรับเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในระยะเวลาอันใกล้ แม้ว่าจะแตกต่างกัน ดว้ ยสมมุติสถานภาพทางสงั คม เพศ วยั การศึกษา อาชพี หรือแมก้ ระทัง่ ความเขา้ ใจพืน้ ฐานตอ่ เปา้ หมายของการปฏบิ ตั ิ แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อการรู้ธรรมอย่างใดไม่ ส่งผลต่อคุณภาพของการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมากเพราะเหมือนชีวิต ได้ประทีปส่องทาง หรือของที่ปิดมานานแล้วถูกเปิดเผย ของท่ีคว่ำกลับทำให้หงายได้หรือเหมือนดังเช่นผู้หลงทางแล้ว ได้รับการชี้บอก ซ่ึงหากน้อมใจ ลงมือพิสูจน์กันจริงจังอย่างต่อเน่ืองและถูกต้อง ย่อมได้รับอานิสงส์คือความส้ินทุกข์ อยา่ งแน่นอนการพิจารณา ธรรม ....เช่น นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 อริยสจั 4 โพชฌงค์ 7 เป็นต้น...เห็นแต่ละอย่าง เห็นแต่ละตัว เห็นความเกดิ ของ ธรรม ขอ้ นนั้ ๆ ชดั เห็นความดับ ของธรรมขอ้ น้ันๆ ชัด....ธรรมนนั้ ๆ เป็นเพียง “ สิง่ อะไรอยา่ งหนึ่ง” ท่ี กำลงั มไี ฟเกดิ ข้นึ ทีก่ ำลังดบั ไฟลงธรรม คือ น้ำ วิเศษ ดับไฟเพลงิ กเิ ลส บาป ไฟโลภ ไฟ โกรธ ไฟหลง ให้หายร้อน .....ไฟบาป ที่กำลังเกิดขึ้น... ท่ีกำลังดับลง... ไม่เป็นเป็นส่ิงท่ีเรารู้ ไม่ใช ่ สงิ่ ทีเ่ ราได้ มนั เปน็ อย่างนั้นเอง เกดิ ๆขึ้น ดบั ๆ ลง...มีธรรมอยู่ จริง ก็สักว่าเป็นเครื่องรู้ของสติเท่านั้นเอง.............. “สุดท้าย เหน็ สง่ิ อะไร รูอ้ ะไร มนั กม็ เี กดิ ขน้ึ มนั ก็มีดับลง มันกเ็ ปน็ อยา่ ง นั้นเอง “.....การพิจารณาน้ัน พิจารณาเพียงอย่างเดียวให้ ชำนาญเห็นความเกิดขึ้น เห็นความดับลงชัดเจน แล้ว อย่าง อน่ื ที่ผา่ นมา กเ็ ปน็ เพียง “เคร่อื ง รู้ ของสติ “เท่านน้ั ทกุ อยา่ ง ก็จะเป็น ไปอย่าง ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 21 การพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ กับ ขนั ธ์ 5 ไตรลักษณ์ (อนจิ จัง ทุกขงั อนัตตา) เป็นลกั ษณะตามธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง คอื มีการเกิดขน้ึ ตั้งอยู่ และ ดับไป (อนิจจัง ไม่เท่ียง ทุกขัง เปล่ียนแปลงไป อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้) อยู่ทุกขณะ ตัวอย่าง ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ท่ีมีการเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดับไป ของแต่ละประจุ แต่ละขณะ อย่างรวดเร็ว จนเป็นเป็น ปรากฏการณ์ฟา้ ผ่า ชีวิตของมนุษย์ กเ็ ป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดหนึง่ เป็นการสง่ ผ่านของพลงั งานแตล่ ะขณะ เช่นพลังงานแสง พลังงานเสยี ง และพลงั งานอืน่ ๆ แต่ละขณะจงึ เปน็ การเกดิ ดบั อยา่ งสมบูรณแ์ ตล่ ะขณะ เมอ่ื เปน็ เชน่ นี้ ในสัจธรรม อดีตจึงไม่มีแล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าอดีตไม่มี? ถามว่าสิ่งท่ีเห็นในอดีต ทำให้เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือ ไม่ ตอบว่าไม่ เพราะ ส่ิงเดียวกันท่ีเห็น คนหน่ึงกับบอกว่าสุข คนหนึ่งกลับบอกว่าทุกข์ คนหนึ่งอาจบอกว่าเป็นส่ิงน้ัน คนหนงึ่ กลบั บอกวา่ เป็นสิ่งน้ี คนหนง่ึ บอกว่าเปน็ เพียงธาตุ 4 คนหนึ่งบอกวา่ เปน็ พลังงานแสงเทา่ นนั้ คนหน่ึงบอกว่าสิ่ง น้ันไม่มี จึงได้ข้อสรุปว่า ทุกสิ่งเกิดจากการปรุงแต่งของจิตเท่าน้ัน จิตท่ีปรุงแต่งความบริสุทธ์ิของพลังงานให้เป็นส่ิงน้ัน ส่ิงนเี้ มื่อแจ้งในไตรลกั ษณแ์ ลว้ ทกุ ข์ในขันธ์ 5 กจ็ ะลดลงนอ้ ยลง จนถึงขน้ั หมดไป เพราะเมอื่ อดีตดบั ไปอย่างส้ินเชิงด้วย จิตที่รู้ในไตรลักษณ์ แล้ว จะเอาอะไรมาเทียบให้เป็น สุข หรือทุกข์ เป็น สิ่งน้ัน สิ่งนี้ ท่ีเหลือก็เพียง การกระทบของ พลังงานที่บริสุทธิ์ โดยปราศจากความรู้ แต่เต็มไปด้วยสติ เป็นการกระทบตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่ละขณะ ตามธรรมชาติ (เข้าถงึ ความเปน็ ปรมตั ถธรรม)เมื่อเรามคี วามปรารถนา ในการเหน็ เราจงึ มพี ลงั แสงเม่ือเรามี ความปรารถนา ในการได้ยิน เราจึงพลงั งานเสยี งเมอ่ื เรามีความปรารถนา ในการรกู้ ล่ิน รู้รส เราจงึ มพี ลงั งานในรปู แบบ ตา่ งๆเมื่อเรามีความปรารถนา ในการสมั ผัส เราจงึ มธี าตุ 4 เมอื่ เรามีความปรารถนาครบทง้ั หมดเช่นน้ี จงึ สง่ ผลให้ เรา ต้องมาอยู่บนโลกมนุษย์ ท่ีมีความปรารถนาในขันธ์ทั้ง 5 และ ธาตุ 4 ร่วมกันเมื่อเราหมดความปรารถนา ในการเห็น เราจะ มีเพียงพลังงานเสียง พลังงานในรูปต่างๆ และพลังงานกล(การสัมผัส)เม่ือเราหมดความปรารถนา ในการเห็น การได้ยิน เราจึง มีเพียงพลังงานในรูปแบบต่างๆ และและพลังงานกล(การสัมผัส)เมื่อเราหมดความปรารถนา ในการ เหน็ การได้ยนิ ในการรูก้ ลิน่ รู้รส เราจึง มีเพยี งพลงั งานในรูปแบบและพลังงานกล(การสมั ผัส)แลว้ ทำไมเราจึงมีขนั ธ์ 5 และธาตุ 4 ทีเ่ ป็นทกุ ข์ กเ็ พราะเรามคี วามปรารถนา ในขนั ธ์ 5 และธาตุ 4 ความปรารถนานเี้ กิดจากอวชิ ชาความไม่รู้ ของจิด คือความไม่รู้ในความเป็นไปในสัจจธรรม ของชีวิต ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ของเรา มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติในรูปแบบหน่ึงเท่านั้น (คือการไม่แจ้งในไตรลักษณ์ และปรมัตถธรรมนั้นเอง) จึงก่อให้เกิด การปรุงแต่งใน พลังงานที่เกิดดับอย่างบริสุทธิ์ และเกิดการสร้างพลังงานด้วยจิตท่ีไม่แจ้งในไตรลักษณ์ อยู่ตลอดเวลาและความไม่รู้ว่า ชีวิตเป็นเพียงปรากฏธรรมชาติ ตกอยู่ภายใต้ครรลองของพลังงาน นี้เองที่ก่อให้เกิดความกลัว ทั้งท่ีจริง ตามครรลอง ของพลงั งานแล้ว อะไรจะเกดิ ก็ต้องเกดิ อะไรจะไม่เกดิ ก็จะไมเ่ กดิ แต่เพราะความไม่รู้ นี้ จึงก่อให้เกิดการปรงุ แตง่ เพ่อื ใหไ้ ด้มา และเพ่ือหลบเลีย่ ง ซึง่ ทำไปก็เท่าน้นั อะไรจะเกดิ หากเปน็ ไปตามครรลองของพลงั งานแลว้ มนั ก็ตอ้ งเกิด อะไรไม่ อยากให้เกิด หากเป็นไปตามครรลองของพลังงานแล้วมันก็จะไม่เกิดดังนั้น เมื่อแจ้งในไตรลักษณ์บ้างแล้ว เราก็จะมี ความกล้าหาญ ในความเป็นไปของชีวิตเพ่ิมมากข้ึนและเม่ือแจ้งในไตรลักษณ์บ้างแล้ว ความปรารถนาในรูปแบบต่างๆ ลดนอ้ ยลง ควรหม่ันพจิ ารณาอยเู่ รื่อยๆเมอ่ื จติ ไมห่ วนถงึ อดีต อยูก่ บั ปจั จุบัน รับและทุกสรรพส่ิง ดว้ ยความบริสทุ ธต์ าม ธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง ความรู้ เป็นหนงึ่ เดยี วกับธรรมชาติ ซ่งึ แทจ้ ริงชีวติ ก็เปน็ ธรรมชาตอิ ย่แู ลว้ แตข่ อใหร้ ู้ “มจี ุดต่อมแหง่ ผ้รู ู้เมื่อใด นนั่ และคือตวั ทุกข์”แต่เมือ่ เราพยายามศกึ ษาไตรลกั ษณ์ ในขณะท่ียังมีธาตุ 4 และขนั ธ์ 5 อยู่ จะทำอย่างไร?จิตบรสิ ุทธเ์ ปน็ ธรรมชาติก็อยู่ส่วนจติ ส่วนธาตุ 4 และขันธ์ 5 ก็ปล่อยให้เปน็ ไปตามควาธรรมชาตขิ องมนั ตามการเกดิ ดบั ของพลังงานแต่ละขณะ

22 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา หลักไตรลกั ษณ ์ ประกอบดว้ ย (อนจิ จงั ทุกข์ขงั อนัตตา) อนิจจัง คือความไม่เท่ียงเร่ิมต้นพระพุทธองค์ให้ดูความไม่เท่ียงของสรรพสิ่งลงท้ายน้อมเข้ามาท่ีกายใจโดย กำหนด “มมุ มอง” ไว้วา่ กายคอื สว่ นท่เี ป็นธาตแุ ข็ง ธาตนุ ำ้ ธาตไุ ฟ ธาตุลมดงู า่ ยๆ วา่ ไออุน่ ในร่างเราคงที่ไหม ดูวา่ สว่ น ที่แขง็ จะขืนอยใู่ นสภาพเดิมไดไ้ หส้ ่วนใจนัน้ ให้กำหนดมุมมองไวเ้ ป็นความสุข ทุกข์ เฉย ไม่เทีย่ งเหมือนกันหรือกำหนด มุมมองไว้เป็นความหมายรู้หมายจำ ไม่เที่ยงเหมือนกันหรือกำหนดมุมมองไว้เป็นความตั้งใจทำดี ทำช่ัว ทำกิจปกติ ไม่เที่ยงเหมือนกันหรือกำหนดมุมมองไว้เป็นความรู้ชัดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจคิด ไม่เท่ียงเหมือนกันเรียกว่า มองกายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ทกุ ขงั คือความทนอยใู่ นสภาพใดๆ ถาวรไมไ่ ดเ้ มอื่ เห็นกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยงนานเข้าก็ย่อมตระหนัก และเกิดความเห็นแจ้ง ประจักษ์ชัดว่ากายใจน้ี จะอยู่ใน สภาพใดๆก็ตาม ย่อมทนรักษาสภาพนั้นๆ ไม่ได้เลย อนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตน ไม่มีเจ้าของ สักแต่มีองค์ประกอบ ประชุมกันเม่ือเห็นความไม่เท่ียง ความเป็นทุกข์ของกายใจย่อมเกิดความรู้ ความมีสติที่จะเห็นตามจริงว่ากายใจไม่ใช่ ตัวตน ไม่มีเจ้าของไม่มีใครบัญชาว่าจงคงสภาพอย่างนี้ตลอดไป จงจำให้ได้อย่างน้ีถาวรอีกประการหนึ่ง พระพุทธองค์ ให้กำหนดรู้ความเป็นอนัตตาโดยตรงผ่านการเหน็ แบบแยกแยะ ว่าอย่างนี้ตา อย่างน้รี ปู ท่ตี าเห็น อยา่ งนอ้ี าการเหน็ เม่ือ เห็น ได้ยิน ไดก้ ล่นิ ได้ลม้ิ ไดแ้ ตะ ไดค้ ิดนึกกเ็ หมือนไม้สกี ันเกิดไฟ ไฟไม่เป็นตวั ของตวั เอง แยกไมอ้ อกไฟก็ดับเหมอื น กบั สุข ทกุ ข์ เฉย ยอ่ มไมเ่ กดิ ข้ึนเองลอยๆ แตม่ เี หตุคอื การประชมุ กันของอายตนะเม่ือเห็นแจ้งก็เบอ่ื หนา่ ย คลายความ ยึดติดเสียได้ว่านั่นเป็นตัวเป็นตนแต่ทราบชัดว่าสักว่ามีปรากฏการณ์เพราะเหตุปัจจัยประชุมกันเท่านั้นผู้เห็นแจ้งคือจิต ผเู้ ป็นอิสระคือจิต ผู้หลดุ พ้นคอื จิต ขนั ธ์ 5 ขันธ์ แปลวา่ กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตวั ในท่นี ้ี เราจะเรยี กขนั ธ์ว่ากอง ดังน้ันขันธ์ 5 จึงน่าจะแปลได้ว่า ของ 5 กองน่ันเอง หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า เบญจขันธ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กอง คอื 1. รปู ขันธ์ (กองรปู ) 2. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา) 3. สญั ญาขนั ธ์ (กองสัญญา) 4. สังขารขันธ์ (อา่ นวา่ สงั −ขา−ระ−ขนั ) (กองสังขาร) 5. วญิ ญาณขันธ์ (กองวิญญาณ) นอกจากน้แี ลว้ ขันธ์ 5 ยังจำแนกออกไดเ้ ป็น 2 อย่างคอื 1. รูปธรรม ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ 2. นามธรรม ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ ์ เพราะว่า รูป คือ ส่ิงท่ีไม่ สามารถรับรอู้ ะไรได้ หรือคอื สภาพธรรมที่มลี ักษณะไม่รู้ ประกอบดว้ ยธาตทุ ้งั สี่ ได้แก่ เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ ถกู ต้องไดด้ ว้ ยกาย) เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เปน็ ตน้ สว่ นนาม คอื สง่ิ ทส่ี ามารถรบั ร้สู ภาพธรรมได้ หรือคอื สภาพธรรมท่ีมลี กั ษณะรู้ ไดแ้ ก่ สภาพรู้ อาการรู้ ธาตุรู้ จิตใจ ปญั ญา ความสุข ความทุกข์ ความพอใจ ความดใี จ ความเสียใจ ความหดหู่ เป็นตน้ ตัวอย่างเช่น การเหน็ เป็น นามธรรม เปน็ วิญญาณขนั ธ์ ตาเปน็ รูปธรรม เป็นธาตดุ ิน ภาพหรอื รูปหรือสที ่ีเห็น เปน็ รูปธรรม เป็นต้น รูปขันธ์ (กองรูป) หมายถึง ส่ิงที่จะต้องสลายไป เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ รูปประกอบจากธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตไุ ฟ และ ธาตุลม อนั ได้แก่ รา่ งกาย โต๊ะ เก้าอี้ เปน็ ต้น ลองมาจำแนกดแู ต่ละตัวอยา่ ง รา่ งกายเราประกอบ ไปดว้ ยธาตุ 4 คือ

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 23 1. ธาตุดนิ ได้แก่ กระดูก เน้ือ หนงั เส้นผม เปน็ ตน้ 2. ธาตนุ ำ้ ได้แก่ นำ้ เลอื ด น้ำหนอง น้ำเหลือง นำ้ ย่อย นำ้ ดี หรือ ของเสียท่เี ปน็ ของเหลวในรา่ งกาย เป็นตน้ 3. ธาตลุ ม ได้แก่ ลมหายใจเข้าและออก เปน็ ตน้ 4. ธาตไุ ฟ ก็คอื อุณหภูมคิ วามรอ้ นในรา่ งกาย เปน็ ตน้ แตค่ วามจรงิ แล้วการรับร้ธู าตุทัง้ 4 นน้ั ต้องอาศัยจติ หรอื ตวั รู้ หรอื สภาพธรรมทมี่ ีลักษณะรู ้ รู้สภาพของธาตุ น้ันๆ ซึ่งธาตุนั้นถือว่าเป็นสภาพธรรมเหมือนกัน แต่เป็นสภาพธรรมท่ีมีลักษณะไม่รู้ อ่านๆ ไป ก็อาจมีคนสงสัยได้ว่า จิตคืออะไร และสภาพธรรมคอื อะไรละ่ กจ็ ะขออธิบายย่อๆ เพียงวา่ จิตคือตวั รู้ หรืออย่างทกี่ ล่าวไปวา่ สภาพธรรมที่มี ลกั ษณะรู้ หรือคอื การท่เี รารูต้ ัว นั่นเอง สว่ นสภาพธรรมทมี่ ลี กั ษณะไมร่ ู้ กค็ ือสิง่ ท่ีมีอยจู่ รงิ ในโลกน้ี ยงิ่ อธบิ ายอาจจะยงิ่ งงกันไปใหญ่ ลองมาดูตวั อย่างให้เข้าใจยิ่งขึ้น ที่ว่าตัวร้ ู ยกตัวอย่างงา่ ยๆ เชน่ รูต้ วั วา่ เหน็ ตัวหนังสอื รตู้ วั วา่ กำลงั อ่าน รู้ตัววา่ กำลังหายใจเขา้ รูต้ วั วา่ กำลังหายใจออก รู้ตัววา่ เบอ่ื รตู้ วั ว่าอ่านแล้วไม่ชอบ หรอื รู้ตัวว่าอยากจะเลกิ อ่าน เป็นต้น ทีนี้มาดูถึงสภาพธรรมท่ีมีลักษณะไม่รู้ ตัวอย่างของสภาพธรรมท่ีมีลักษณะไม่รู้ เช่น สภาวะท่ีแข็ง สภาวะที่ อ่อน (น่ิม) สภาวะท่ีร้อน สภาวะที่เย็น สภาวะตึง (เช่น การตึงกล้ามเน้ือ เป็นต้น) หรือ สภาวะท่ีไหวหรือหย่อน เป็นต้น ก่อนที่จะไปไกลกว่าน้ี เรากลับมายังเรื่องของรูป รูป คือสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ เพราะรูปไม่สามารถรับรู้ สภาพนน้ั ๆ ได้ เช่น ธาตุดนิ จะมีลกั ษณะแข็ง แตธ่ าตดุ นิ จะไม่สามารถรบั รูต้ วั เอง ได้ว่ามลี กั ษณะแขง็ เป็นต้น หรือ ธาตุ น้ำ ก็จะมีลักษณะอ่อนหรือนม่ิ ธาตุลมจะมีลกั ษณะตึงหรือหยอ่ น ส่วนธาตุไฟกจ็ ะมลี ักษณะรอ้ นหรือเย็น นจี่ ะเหน็ ไดว้ ่า รปู น้ัน เป็นไปตามสภาพต่างๆ แต่ไม่สามารถรลู้ ักษณะตา่ งๆ ไดใ้ นตอนทา้ ยของบทความน้ี เราจะมาสรุปในเรือ่ งรูปกนั อกี ที สำหรับรูปน้ันจะเหน็ ไดว้ า่ รปู กค็ อื ตวั เรานนั่ เอง เวทนาขันธ ์ (กองเวทนา) หมายถึง ความเสวยอารมณ์ ความรสู้ กึ สุขหรือทุกข์ ไดแ้ ก่ ความเจบ็ ปว่ ย ความดีใจ ความเสียใจ เป็นต้น ซ่ึงความรู้สึกสุขทกุ ขน์ ้ีสามารถแบ่งย่อยออกไดเ้ ป็น 3 อยา่ งคอื 1. สขุ เวทนา หรือ ความร้สู กึ สุขสบาย เชน่ ความสบายกาย ความสบายใจ 2. ทุกขเวทนา หรอื ความรสู้ ึกไมส่ บาย เช่น ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ 3. อทุกขมสุขเวทนา (อ่านว่า อะ−ทุก−ขะ−มะ−สุก) หรือ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ คือรู้สึกเฉยๆ น่ันเอง สามารถเรียกไดอ้ ีกอยา่ งหนงึ่ วา่ อุเบกขาเวทนา บางหมวดสามารถจดั แบง่ เวทนาขนั ธน์ อ้ี อกได้เปน็ 5 อย่างคอื 1. สขุ หรือ ความสบายกาย 2. ทกุ ข์ หรอื ความไมส่ บายกาย 3. โสมนัส หรือ ความสบายใจ 4. โทมนัส หรือ ความไมส่ บายใจ 5. อเุ บกขา หรือ ความรสู้ กึ เฉยๆ เวทนาเก่ียวขอ้ งกบั ตัวเราตรงท่ีเราสามารถร้มู นั ไดด้ ว้ ยใจ ดังนั้นเวทนาจึงเป็นสภาพธรรมท่ีมีลักษณะรู้ นั่นเองสัญญาขันธ์ (กองสัญญา) หมายถึง การกำหนดหมาย ความจำไดห้ มายรู้ ได้แก่ เร่อื งราวในอดีต หรอื หมายร้ไู ว้ซึง่ รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ (สัมผัส หรือ สิ่งที่ตอ้ งกาย) และอารมณ์ท่ีเกิดกับใจ เช่นว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบา เสียงคน เสียงแมว เสียงระฆัง กลิ่นทุเรียน รสมะปราง เป็นตน้ และจำได้ คือ รู้จักอารมณน์ นั้ ว่าเป็นอย่างนั้นๆ ในเมอ่ื ไปพบเข้าอีก สญั ญาสามารถจำแนกออกได้เปน็ 6 อย่าง ตามอารมณท์ ่หี มายรนู้ ้นั ได้แก่

24 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา 1. รูปสญั ญา หมายรรู้ ูป 2. สทั ทสญั ญา หมายรูเ้ สยี ง 3. คนั ธสญั ญา หมายร้กู ลิ่น 4. รสสัญญา หมายรรู้ ส 5. โผฏฐพั พสัญญา หมายรูส้ ง่ิ ต้องกาย 6. ธัมมสญั ญา หมายรู้อารมณท์ ่เี กดิ กบั ใจ หรือ สิ่งท่ใี จรู้ ตัวอย่างของสัญญา เช่น รู้ว่าผงสีขาว รสเค็ม นั้นเรียกว่า เกลือในภาษาไทย เป็นต้น ดังน้ัน จะเห็นได้ว่า สญั ญาเปน็ สภาพธรรมทีม่ ีลักษณะรู้ และมีอยู่ในตัวเรา สังขารขนั ธ์ (กองสงั ขาร) หมายถึง สิ่งท่ีถูกปัจจยั ปรงุ แต่ง สงิ่ ที่ เกิดจากเหตุปัจจัย อันได้แก่ ความคิด ที่ส่งผลให้พูดดีหรือพูดชั่ว เป็นต้นสังขาร อาจแปลได้ว่า สภาพที่ปรุงแต่งใจ ซ่งึ สามารถแบง่ ย่อยออกได้เปน็ 3 อย่างคือ 1. สภาพทีป่ รุงแต่งใจให้ดี หรือเป็นตวั สรา้ งกุศล เรียกอีกชอื่ หน่ึงไดว้ า่ กุศลเจตสิก 2. สภาพที่ปรงุ แตง่ ใจให้ชวั่ หรือเป็นตัวสรา้ งอกศุ ล เรียกอีกช่ือหน่งึ ไดว้ า่ อกศุ ลเจตสิก 3. สภาพที่เป็นกลาง เรยี กอีกช่ือหนง่ึ ไดว้ ่า อัพยากฤต สังขาร อาจใช้ได้ในความหมายของเจตนาท่ีแต่งกรรมหรือปรุงแต่งการกระทำนั้นๆ จำแนกออกได้เป็น 3 อย่าง คอื 1. กายสงั ขาร คือ สภาพทปี่ รงุ แตง่ การกระทำทางกาย หรือ กายสัญเจตนา 2. วจีสงั ขาร คือ สภาพทปี่ รุงแตง่ การกระทำทางวาจา หรอื วจีสัญเจตนา 3. จิตตสังขาร หรอื มโนสังขาร คือ สภาพทป่ี รงุ แต่งการกระทำทางใจ หรือ มโนสัญเจตนา ไมว่ า่ จะจำแนกสังขารตามแบบใด สงั ขารกเ็ ป็นสภาพธรรมทมี่ ลี กั ษณะรู้ และมอี ยใู่ นตวั เรา นอกจากนี้แล้ว สังขารยังอาจหมายความถึง สังขตธรรม หรือ ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มักใช้กับ ความหมายท่ีวา่ สงั ขารทัง้ หลายทัง้ ปวงไมเ่ ทยี่ ง ซง่ึ สงั ขารในกรณีหลงั นี้หมายรวมถึงท้งั ขันธ์ 5 นั่นเอง ดังน้นั สังขารขันธ์ จงึ เป็นสมาชกิ ยอ่ ย ของคำวา่ สังขารในกรณนี ้ี วิญญาณขนั ธ์ (กองวญิ ญาณ) หมายถงึ ความรูแ้ จ้งอารมณ์ จติ ความรู้ทเี่ กดิ ขน้ึ เมอื่ อายตนะภายใน (อินทรียท์ ั้ง 6 อันไดแ้ ก่ จกั ขุ - ตา, โสต - หู, ฆาน - จมูก, ชิวหา - ลิน้ , กาย และ มโน - ใจ) และอายตนะภายนอก (อารมณ์ 6 ไดแ้ ก่ รูป, สทั ทะ - เสยี ง, คนั ธะ - กลิน่ , รส, โผฏฐพั พะ - สงิ่ ตอ้ งกาย และ ธัมมะ - ธรรมารมณ์ หรอื อารมณ์ที่เกดิ กับใจ) กระทบกนั บางตำรา กล่าวว่า คือ ธาตุรู้ หรือ ธาตุสภาวะที่รู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ การรับรู้การเห็น การได้ยิน เป็นต้นในปัจจุบันนี้ คำว่า วิญญาณ น่าจะหมายถึงประสาทรับสมั ผัส นนั่ เอง วิญญาณสามารถแบ่งย่อยออกไดเ้ ป็น 6 อย่าง คอื 1. จักขวุ ญิ ญาณ หรือ ความรู้อารมณท์ างตา (เหน็ ) 2. โสตวิญญาณ หรอื ความรอู้ ารมณ์ทางหู (ไดย้ ิน) 3. ฆานวิญญาณ หรือ ความรอู้ ารมณท์ างจมกู (ได้กล่นิ )

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 25 4. ชิวหาวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น (ร้รู ส) 5. กายวิญญาณ หรือ ความรูอ้ ารมณ์ทางกาย (รสู้ ิง่ ต้องกาย) 6. มโนวิญญาณ หรอื ความรู้อารมณท์ างใจ (รเู้ รื่องในใจ) นัน่ คอื จะเห็นไดว้ ่า วิญญาณจดั เปน็ สภาพธรรมทีม่ ีลักษณะรู้ และมีอยใู่ นตวั เราด้วยเช่นเดียวกับ รูป เวทนา สัญญา และ สังขาร เมื่ออา่ นมาถึงตรงนี้ ผ้อู ่านคงพอจะเข้าใจคำว่าขันธ์ 5 ไม่มากก็น้อย และคงพอจะมองเห็นได้วา่ รา่ งกายหรือ ขันธ์ 5 ของเรานี้เอง ที่ทำให้เราต้องรับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะโทษจากกรรม อาการป่วย หิว กระหาย หรือชราก็ตาม ถ้าเพียงแต่เรารับรู้อาการนั้นๆ และยอมรับตามสภาพความเป็นจริงได้ จิตใจของเราก็จะไม่เศร้าหมองไปตามสภาพ ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ส่ิงที่สำคัญที่สุดที่เป็นสาเหตุให้เราเศร้าหมอง ก็เน่ืองมาจากโทษของการไปยึดม่ันถือมั่นใน ร่างกายของเรา ในรา่ งกายของเขา นัน่ เอง กล่าวโดยสรุปก็คอื ขันธ์ 5 ทปี่ ระกอบไปด้วย รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ จดั ว่าเป็นมาร เพราะ เป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่งข้ึน เป็นท่ีต้ังแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ถูกปัจจัยต่างๆ บีบค้ันเบียดเบียน จึงเป็นเหตุขัดขวาง หรือรอนโอกาส มิให้สามารถทำความดีงามได้เต็มที่ หรืออาจตัดโอกาสน้ันโดยส้ินเชิง สาเหตุที่สำคัญก็ได้กล่าวไปแล้ว แต่จะข้อเน้นอีกที สาเหตนุ ั้นก็คือ การยึดมัน่ ถอื มนั่ ในขนั ธ์ 5 ว่ามตี วั ตนนนั่ เองถา้ เราปลอ่ ยวางเสยี ได้ ก็จะทุกข์น้อยลง เพราะขันธ์ 5 ย่อมเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์คือ อนิจจังหรือไม่เท่ียง มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น การเจ็บ ป่วย การหลงลืม เป็นต้น ทุกขังหรือเป็นทุกข์ เพราะเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว และเราไม่สามารถรับได้กับส่ิงที่ไม่คาดฝัน เกิดขึ้น ก็ก่อให้เกิดทุกข์ และเป็นอนัตตาหรือความไม่มีตัวตน ได้แก่ ไม่มีความเป็นเจ้าของ ไม่มีสภาพบุคคล สัตว์ ส่ิงของ เรา เขา เป็นตน้ ซงึ่ สิ่งเหล่านี้ไมม่ ใี ครทจี่ ะสามารถควบคุมหรือหลกี เลย่ี งไม่ให้เกิดขึ้นได้ เมอ่ื รโู้ ทษของการยดึ ม่ัน ถอื ม่ันอย่างน้ีแลว้ เรากค็ วรที่จะคลายความยดึ ม่นั ถอื มัน่ นั้น และยอมรบั มนั ใหไ้ ด ้ การละขันธ์ 5 ....ส่ิงทั้งหลายทั้งปวงในโลกน้ีไม่มีมาแต่เดิม พอมันมีขึ้นมามันก็ตั้งอยู่ช่ัวขณะ แล้วก็ดับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิม ทงั้ ตัวผเู้ ข้าไปรู้และสง่ิ ต่างๆ ท่ถี กู รู้ และส่ิงท่ีเข้าใจ และ ตัวผูเ้ ขา้ ใจ ตัวผู้รกู้ เ็ กิด - ดับ สิง่ ต่างๆ ทถี่ ูกรูก้ ็เกิด - ดับ ผทู้ ี่ เข้าใจก็เกดิ - ดับ สง่ิ ที่ถกู เข้าใจกเ็ กดิ - ดับ เพราะฉะนน้ั ปญั ญากเ็ กดิ - ดับ ความไมม่ ปี ญั ญากเ็ กิด - ดับ ตวั รู้กเ็ กดิ - ดบั ตวั ไมร่ กู้ ็เกิด - ดับ เหน็ โดยแยบคายเช่นนจี้ งึ ไมม่ ีทใ่ี ห้หลง ......ตัวรู้ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงอาการของขันธ์ ถ้าเรารู้ว่าทั้งหมดคือขันธ์ มันจึงจบตรงน้ี ไม่มีอะไรให้เอาแพ้ เอาชนะ เราไปเอาแพ้ เอาชนะมันไม่ได้ มันเกิดของมันเองและดับของมันเอง พอรู้ที่มาท่ีไปของมันท้ังหมด มันจึงสิ้นสลาย ทงั้ หมด .....ธรรมคอื ความจรงิ อยคู่ กู่ ับโลกมานาน เปน็ อกาลิโก ไม่มกี าลเวลา สถานที่ จะอยทู่ ่ีใดกศ็ ักดิ์สทิ ธ์ิ อย่ทู ่ีวัดกศ็ ักดส์ิ ิทธิ์ อยู่ท่บี า้ นกศ็ ักดิส์ ิทธ์ิ ธรรมในครง้ั พุทธกาลก็ศักด์สิ ทิ ธิ์ แมใ้ นปจั จบุ ันก็ศักด์สิ ิทธ์ิ ผูเ้ ข้าไปรูเ้ ห็นความจรงิ คือการเกิด - ดับ

26 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา ของทกุ ส่ิง เห็นว่าไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ ไมใ่ ชต่ วั ตน จงึ สามารถเหน็ ธรรมได้ พริกไม่ว่าสมัยใดกเ็ ผด็ พริกครั้งพุทธกาลก็เผ็ด พริกสมัยน้ีก็เผ็ด เกลือสมัยพุทธกาลก็เค็ม สมัยนี้เกลือก็ยังคงเค็มอยู่ แม้ในอนาคตข้างหน้าพริกหรือเกลือก็เผ็ดก็เค็ม ธรรมจึงศักด์ิสทิ ธเ์ิ มื่อเขา้ ไปรแู้ ล้ว ตอ้ งละความยดึ ม่ันถอื มัน่ ได้เช่นกัน .....ลงท่ขี ันธ์ท้งั หมด ถ้าเราตขี ันธ์ 5 จนละเอียดแลว้ รู้ต้นแบบทัง้ หมดแล้ว เราจะไม่หลงอะไรอกี เลย จะสามารถเข้าโยง หากันไดท้ นั ที คอื สงิ่ ทั้งหมดมนั มาจากตวั แม่ แมข่ องมนั คอื ตวั ขันธน์ น้ั เอง เปรยี บเสมอื นใบไม้มนั กม็ าจากต้นไมน้ ัน้ เอง มันจะออกมากี่ใบมันก็มาจากต้นไม้ อาการท้ังหมดมันจะออกมาซักก่ีอาการ มันก็ออกมาจากขันธ์ทั้งหมด อาการ ท้ังหมดล้วนแต่ออกมาจาก ขันธ์ท้ัง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันออกมาจากต้นเดียว คือ ต้นขันธ ์ ถา้ ไมม่ ีตน้ ใบมนั จะออกมาไดอ้ ย่างไร .... ถ้าเราถอนขันธ์ออกเสียแล้ว อาการของขันธ์ท้ังปวงจะไม่มีความหมายเลย เหมือนเราถอนต้นไม้แล้ว ใบมันจะไปมี ได้ยังไง ....ตัวขันธ์เรายังไม่ยึด แล้วอาการของขันธ์ท้ังปวงเราจะไปยึดได้อย่างไร ถ้ารู้เร่ืองของขันธ์ 5 และไม่ยึดม่ันใน ขนั ธ์ 5จึงจะได้ชอื่ วา่ รถู้ ูกทางและละไดถ้ กู ทาง.... การพิจารณาธาตุ 4 ธาตุสี่ ซ่ึงเป็นของพื้นเดิมของธาตุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงหมดในโลกนี้ประกอบด้วยธาตุส่ีท้ังน้ัน เป็นพ้ืนฐานของ มนุษย์และสัตว์ทั้งปวง คนเราเกิดมาทุกคนต้องมีธาตุสี่ประจำตัวอยู่ ถ้าหากธาตุสี่แปรปรวนแล้ว มนุษย์ก็แปรปรวนไป ดว้ ย พวกเราอย่กู บั ธาตุสี่ไมร่ ู้เร่ืองธาตสุ ่ีจงึ ไม่รู้จกั พ้นื ฐานเดิมของตน จึงควรมาพจิ ารณาถงึ เรอ่ื งของธาตสุ ี่ ซง่ึ จะอธบิ าย ตอ่ ไป คำวา่ ธาตสุ ่ี ในที่นี้ แจกออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ ธาตดุ ิน กค็ ือของท่มี ลี กั ษณะเปน็ ของแขง็ เหมอื นดินมอี ยู่ 20 หรือ 19 ธาตุ เชน่ ผม ขน ฟัน เล็บ หนัง เปน็ ตน้ ธาตุนำ้ ก็คอื ของที่มีลกั ษณะเหลวเหมือนน้ำ เช่น นำ้ ดี เสลด เป็นต้น มี 12 ธาตุ ธาตุไฟ กค็ อื ของรอ้ น ท่ใี หค้ วามอบอนุ่ ในรา่ งกาย ธาตลุ ม ก็คอื ของที่พดั ไปพดั มาในตวั ของเราเชน่ ลมหายใจ ถ้าไม่มีลมเรากต็ ้องตาย การพิจารณาธาตุท้ังสี่ ให้เพ่งพิจารณาแต่ธาตุเดียว เรียกว่าเพ่งด้วยฌาน หรือเพ่งด้วยอำนาจของสมาธ ิ ในการพิจารณาธาตุดิน เพ่งให้เห็นตัวของเรา เป็นก้อนดินท้ังหมดหรือละลายเป็นดินไปเลย ธาตุอื่นไม่ต้องพิจารณา เพ่งดินอย่างเดียว ให้จิตแน่วแน่ลงไป แล้วมันก็เป็นภาพปรากฏเอง ลงถึงสภาพเป็นดินท้ังหมด เรียกว่า หมดเร่ือง พจิ ารณา พจิ ารณาธาตนุ ำ้ กเ็ ช่นเดยี วกันไม่ต้องพจิ ารณาเรื่องอ่นื ดิน ลม ไฟ ไม่ตอ้ งพจิ ารณา พจิ ารณาเพง่ เอาแตน่ ำ้ มันก็จะเกิดนิมิตปรากฏข้ึนเห็นตัวเราเป็นน้ำท้ังหมด ตัวของเราจะละลายเป็นน้ำหมด พิจารณาธาตุลม ก็ให้พิจารณา เพง่ ดลู มในตัวของเราน่ีแหละ เพง่ แต่ลมอยา่ งเดยี วจนเกดิ นมิ ติ ปรากฏเห็นกายของเรานี่ เบา ว่างไปหมด จนกระท่งั ไมม่ ี ตัว มีแต่อากาศ พจิ ารณาธาตไุ ฟ กท็ ำอย่างเดยี วกัน เพง่ พิจารณาดูแตค่ วามร้อนในกายเราอยา่ งเดยี ว ในเบอ้ื งต้นมันจะ ร้อนข้ึน ถ้าเพ่งพิจารณาเพียงพอแล้วจะเกิดนิมิตปรากฏเห็นไฟโพลงขึ้นหมดท้ังตัว ไม่มีตน ไม่มีตัว ลุกโพลงขึ้นเป็น ไฟหมด การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่า พิจารณาธาตุสี่ พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ แต่กายก็เป็นกายอยู่ตามเดิม นน่ั แหละ ไมใ่ ช่แปรปรวนไปตามการพิจารณา

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 27 การพิจารณาเป็นส่วนของใจ เห็นชัดภายในใจของเราเองคนอ่ืนไม่เห็นด้วย หากวาสนาบารมีของคนๆ น้ัน เคยสร้างสมอบรมมาแต่ก่อน บางทีอาจจะปรากฏภาพให้คนอ่ืนเห็นด้วยก็ได้ แต่ไม่ใช่เป็นท่ัวไป เป็นแต่ละบุคคล เร่ืองเหลา่ นม้ี นั เปน็ เรอื่ งของสมาธิ ของฌาน พระโยคาวจรแต่กอ่ นท่านพิจารณาเพอื่ ใหเ้ หน็ วา่ มแี ต่ธาตุเท่าน้นั ไม่มี คน ไม่ใหเ้ ป็นตัว เป็นตน เป็นสัตวบ์ ุคคลเราเขา ทา่ นพจิ ารณาเปน็ เคร่อื งอย่ขู องทา่ น เรยี กว่า วหิ ารธรรม เพราะจิต คนเรา ถา้ หากวา่ ไมพ่ จิ ารณาอยา่ งน้ัน มนั จะคดิ จะนึกจะส่งสา่ ยออกไปภายนอก ไปตามรูป รส กลนิ่ เสยี ง โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ไปตามสมบัญญตั ิ เหน็ วา่ เป็นคน เปน็ ตวั เปน็ ตน เหน็ วา่ เราว่าเขา เหน็ ว่าหญิงว่าชาย เห็นวา่ หนมุ่ ว่า แก่ เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเช่นเดียวกนั ทา่ นจึงใหพ้ ิจารณา ใหเ้ ห็นชัดวา่ เปน็ ธาตุ มันกจ็ ะวา่ งเสยี จากคน ยังคงเหลือ แต่บัญญัติ ท่ีเรียกว่าคน เห็นเป็นตัวเป็นตนเราเขา หรือเรียกว่าหญิงว่าชาย ว่าหนุ่มว่าแก่ น้ันเป็นสมมติ ถ้าเห็นเป็น สภาวะหรอื เห็นว่าเปน็ ธาตตุ ามที่ไดอ้ ธิบายมาแล้ว เรียกวา่ บญั ญตั ิ บัญญตั นิ ี่ก็ต้องสมมติอกี ทีหนึ่งเพราะถ้าไม่บญั ญัติก็ จะไมร่ ้วู ่าจะพูดให้ทราบความหมายไดอ้ ยา่ งไร เช่นเหน็ กอ้ นดนิ กบ็ ญั ญตั ิไว้ว่าเหน็ อย่างนี้เรยี กว่าดิน เพราะถ้าไม่บญั ญตั ิ ว่าเรียกว่าอะไร ก็ไม่ทราบว่าจะพูดกันให้เข้าใจความหมายได้อย่างไร ธาตุดินน้ันกลับกลายเป็นมนุษย์ดังอธิบายให้ฟัง แล้ว เป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตน เราเขา เป็นหญิงเป็นชายเป็นหนุ่มเป็นแก่ แท้ท่ีจริงก็ธาตุดินนั่นแหละมาเป็น มากลาย เป็นอะไร จึงค่อยสมมติขึ้น คนเราก็เลยติดสมมตบัญญัติ ติดสมมตจึงได้ถืออยู่ไม่แล้วไม่รอดสักที อย่างเช่นตัวเรา ถือตัวถือตนน่ีแหละ ถือว่าตัวของเรา เจ็บก็ถือว่าตัวของเราเจ็บ ป่วยก็ถือว่าตัวของเราป่วย สบายดีก็ตัวของเรา แต่ถ้าพิจารณาลงไปจริงๆแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นอยู่ตามสภาพของมัน ซ่ึงมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น ธรรมดาๆ นัน้ กเ็ ปน็ ธรรม อาศัยบัญญัตนิ แี่ หละพูดจึงค่อยถูก นค่ี อื ธรรมที่พระองคเ์ ทศนาอย ู่ ขอให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ พิจารณาอยู่อย่างน้ันให้มันชำนิชำนาญเราจะเข้าถึงฌาน เข้าถึงสมาธิ ต้องเข้าให้ มันถึงท่ี จนลงเปน็ สภาพเดมิ ของมนั ถงึ แม้ว่า ออกมา แล้วไม่เปน็ อย่างนนั้ ยงั ถือสมมตบิ ญั ญัตอิ ยู่กช็ ่างมนั แต่ใหร้ เู้ ร่ือง ความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ใครจะเรียกว่าอย่างไรก็ว่าไปเถอะ แท้ที่จริงมันก็เป็นเพียงธาตุ เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตทุ ง้ั สอี่ ย่างนี้ประกอบกันข้นึ เป็นตัวตนขนึ้ มา เคล่อื นไหวไปมาได้ ถ้าธาตุทงั้ สี่วิกลวิการอยา่ งใดอย่างหนึ่ง แล้วอาการเคลื่อนไหวก็ไม่มี เมื่อเคลื่อนไหวไม่ได้ล้มตายลงก็ต้องเปื่อยเน่าเฟะลงเป็นธรรมดา ไปตามเรื่องของมัน เราจึงควรหัดพิจารณาให้มันพิจารณาให้ถึงสภาวะตามความเป็นจริงของสังขารให้ชัดเจนอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ลมุ่ หลงมวั มวั ในสง่ิ ตา่ งๆ ถา้ หาดเรามัวเมาในสิ่งตา่ งๆ กเ็ รียกว่า มัว กบั เมา นง่ั เอง มวั เมามนั ก็หลงนะ่ ซี หลงสม มติวา่ เป็นคน เป็นตัวเปน็ ตน หลงว่าหญิงชายว่าหนมุ่ วา่ แก่ หลงวา่ เป็นสตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขาตา่ งๆ จงพิจารณาให้มัน ชัดตามความเป็นจริงว่า ท่ีว่าคน ว่าเป็นตัวเป็นตนว่าเขาว่าเราว่าหญิงว่าชายนั้นเป็นจริงไหม แท้ที่จริงสภาวะของ สงั ขารมันเป็นอยา่ งน้ัน เป็นเพยี งสักแต่ว่าธาตุ เกดิ มาแล้วกด็ บั ไป ลงอันเดียวกันเม่ือดับเทา่ นนั้ แหละ ท่านจงึ ยอ่ ยรวม ความว่า พิจารณาความเกิดดับ ขยวยธมมา สงข ารา สงั ขารคอื สิ่งท่ีปรงุ แต่งขนึ้ มาแล้ว มนั ตอ้ งมคี วามเกิดและความดับ ทรงสภาพตามเปน็ จรงิ อย่างน้นั เรามาหลง มวั เมา ต่างหาก

28 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา จิต-วมิ ุตต-ิ พระนิพพานจิตคืออะไร จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติท่ีทำหน้าท่ี เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทาง กาย และรู้สึกนกึ คดิ ทางใจ จติ นไี้ ม่ว่าจะเกิดแก ่สัตว์เดรจั ฉาน มนุษย์ เทวดา หรอื พรหมก็ตาม ย่อมมีการรอู้ ารมณเ์ ปน็ ลักษณะ เหมอื นกันทัง้ สน้ิ จิต เป็นธรรมชาติชนิดหน่ึงท่ีมองไม่เห็น สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะใดๆ แต่เป็น ธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติฝ่ายนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ไปอย่าง รวดเร็ว โดยอาศยั เหตุอาศยั ปจั จยั ตา่ งๆ ทำให้เกดิ ข้นึ ตง้ั อยู่ และดับไปตามกฎของธรรมชาติ อำนาจของจติ มอี ย่มู ากมาย เชน่ มีอำนาจในการกระทำ การพูด การคิด การสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว นอกจาก นี้ยงั มีอำนาจในการสรา้ งฤทธ์ิ ทำสมาธิ ทำฌาน ทำอภิญญา และอื่น ๆ ให้เกิดขึน้ ไดอ้ ยา่ งมหัศจรรย์ จิต จะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ชั่วเวลาลัดน้ิวมือเดียว จิตจะมีการเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ 1,000,000,000,000 คร้ัง (หน่ึงล้านล้านครง้ั ) จงึ เปน็ การยากท่บี คุ คลจะรู้เท่าทันได้ ดังน้ัน จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงส่ิงเดียวกัน นอกจากนี้ จิต ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น หทัย, ปญั ฑระ, มโน, มนัส, มนนิ ทรยี ,์ มโนธาตุ, มโนวญิ ญาณธาต,ุ วญิ ญาณขนั ธ,์ มนายตนะ เปน็ ต้น จงึ ขอใหเ้ ข้าใจว่า แมจ้ ะเรียกช่ืออยา่ งไรก็ตาม ชอื่ เหล่าน้ันกค็ อื จิต น่นั เอง วิมตุ ติสขุ .....วิมุตติสขุ แปลว่า สขุ เกดิ จากวิมตุ ติ สุขเกิดจากความหลดุ พ้น .....วิมุตติสุข หมายถึง ความสุขของพระอริยบุคคลระดับพระอรหันต์ซ่ึงมีจิตหลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้ง ปวงแล้ว เป็นความสุขท่ีไม่อิงวัตถุ ไม่อิงกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่เป็นความสุขที่เกิดจากความโปร่ง เบาสบายทางใจ ดว้ ยไม่ยดึ มน่ั ถือมัน่ ในอะไรๆ .....วิมุตติสุข ใช้เรียกว่าเสวยสุขตลอด 7 สัปดาห์ของพระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้วว่า รวม เสวยวิมุตติสุข โดยเสด็จประทับอยู่ ณ ท่ีต่างๆ รวม 7 แห่งๆ ละ 1 สัปดาห์ สถานท่ีเหล่านั้นยังมีช่ือเรียกมาตราบเท่าทุกวันนี้ เช่น อนิมิสเจดยี ์ รัตนจงกรมเจดยี ์ เป็นตน้ พระนิพพาน นพิ พาน คอื อะไร 1. นิพพาน มีคำแปลได้หลายแบบ เชน่ แปลว่า ความดบั คือ ดบั กเิ ลส ดบั ทกุ ข ์ แปลว่า ความพ้น คือ พน้ ทกุ ขพ์ ้นจากภพสาม นิพพาน โดยความหมาย หมายได้ 2 นยั ใหญ่ๆ คอื 1. หมายถึง สภาพจติ ท่หี มดกิเลสแลว้ 2. หมายถึง สถานท่ีทีผ่ ู้หมดกิเลสแล้ว ไปเสวยสุขอนั เปน็ อมตะอยู่ ณ ทน่ี ัน้ ๆ

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 29 นิพพาน เป็นท่ีซ่ึงความทุกข์ท้ังหลายเข้าไปไม่ถึง อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีแก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างเป็นสุขัง เป็นนิจจัง เป็นอัตตา เป็นตัวตนที่แท้จริง บังคับบัญชาได้ เที่ยงแท้แน่นอนไม่มีการ เปล่ียนแปลง เกิดขึ้นด้วยอำนาจการปฏิบัติธรรม มีพระพุทธพจน์ท่ีกล่าวถึงนิพพานไว้หลายคร้ัง อาทิ นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพพานสญู อย่างยิง่ คอื สูญกิเลส สูญทุกข์ นพิ พฺ านํ ปรมํ สุขํ นพิ พานสุขอย่างย่งิ ทหารเมือ่ อยใู่ นหลุมหลบภัย ย่อมปลอดภัยจากอาวธุ ร้ายของศตั รฉู นั ใดผทู้ ี่มใี จจรดนิง่ อยูใ่ นพระนพิ พาน กย็ อ่ มปลอดภยั จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงฉนั น้ัน แนวทางการฝึกสมาธิและการเจริญสติ มาปรบั ใช้ในการดำรงชวี ติ มีแนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ท่ีจะเริ่มต้นฝึกปฏิบัติใหม่ เพื่อทดลองฝึกปฏิบัติพอจะรวบรวมได้ 16 ข้อ ดังนี้ คอื 1. เร่ิมจากต่ืนนอนในแต่ละวัน ให้ฝึกทำสมาธิอย่างน้อยประมาณ 15 - 30 นาที แล้วจึงค่อยเพ่ิมจนถึง 1 ช่วั โมงเป็นประจำ (อาจมกี ารสวดมนตไ์ หว้พระด้วยหรือไมก่ ็ได)้ การทำสมาธจิ ะอยใู่ นอิรยิ าบถใดก็ได้ และคำบรกิ รรม ทใ่ี ชแ้ ลว้ แต่ถนัด เพอ่ื เริม่ ฝึกจิตใหม้ ีคุณภาพ 2. ตอ่ ดว้ ยการเจริญสติ คือระลกึ รูใ้ นการทำกิจสว่ นตวั เช่น อาบนำ้ แปรงฟนั รับประทานอาหาร หรอื พบปะ พูดจา ฯลฯ ทำกิจได้ก็ให้มีสติระลึกรู้และต่ืนตัวอยู่เสมอทุกๆ อิริยาบถ “เดินนับเท้า นอนนับท้อง จับจ้องลมหายใจ เคลอ่ื นไหวดว้ ยสต”ิ หดั รสู้ ึกตัวบ่อยๆ 3. ให้ฝึกทำสมาธิ สลับกับการเจริญสติเช่นน้ี ทุกๆ 1 - 3 ชั่วโมง (ระยะเวลาอาจปรับส้ันยาวได้ตามความ เหมาะสม) ท้ังนีต้ อ้ งแนใ่ จว่า เปน็ การปฏิบตั ิในแนวทางท่ีถูก เปน็ สมั มาทฏิ ฐิ เมอื่ เจรญิ สตไิ ด้คลอ่ งขนึ้ ใหเ้ พม่ิ การเจริญ สติใหม้ ากกว่าการทำสมาธิ 4. ศีลห้าและกุศลกรรมบถสิบอย่าให้ขาด และให้งดเว้นอบายมุขทุกชนิดตลอดชีวิต หากศีลข้อใดขาดให้ สมาทานศีลห้าใหมท่ ันทีโดยวธิ ีสมาทานวริ ตั ดิ ้วยตนเอง เอาเจตนาเวน้ เปน็ ท่ตี งั้ เพราะศลี เปน็ บาทฐานของการปฏบิ ตั ิ 5. ทา่ นทีม่ ีภารกจิ มากและตอ้ งทำกจิ การงานตา่ งๆ ทจ่ี ะตอ้ งพบปะตดิ ตอ่ กับบุคคลอ่นื ๆ ให้หม่ันสำรวม กาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ ให้มสี ติระลกึ รู้ อยู่กับงานนน้ั ๆ ขณะพูดเจรจากใ็ หม้ สี ตริ ะลึกรู้อยู่กับการพูดเจรจานั้นๆ ตลอดเวลา เมอ่ื อยู่ตามลำพงั ก็ใหเ้ รมิ่ สมาธิหรือเจรญิ สติต่อไป 6. เม่ือเร่ิมฝึกใหม่ๆ จะมีอาการเผลอสติบ่อยมาก และบางทีเจริญสติไม่ถูก หลงไปทำสมถะเข้า เร่ืองน้ีใน หนังสือวิมุตติปฏิปทาของท่านปราโมทย์ สันตยากร ท่านกล่าวว่า “ผู้ท่ีเจริญสติปัฏฐานได้ จะต้องเตรียมจิตให้มี คุณภาพเสียก่อน ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ คือรู้ตัวไม่เป็น จะรู้ปรมัตถธรรมไม่ได้ เมื่อไปเจริญสติเข้าก็จะกลายเป็นสมถะทุก คราวไป ฯลฯ” ดังนนั้ จึงตอ้ งฝกึ รูต้ วั ใหเ้ ปน็ และเม่ือใดทเ่ี ผลอหรือคิด ใจลอยฟงุ้ ซ่านไป ก็ใหก้ ลบั มามีสติระลึกรอู้ ยู่กับ สภาวะปจั จุบัน ขณะทีร่ วู้ า่ เผลอหรอื รู้วา่ คิดฟุ้งซา่ น ขณะนั้นกเ็ กดิ การร้ทู ถ่ี ูกต้องแล้ว แตต่ ้องไมใ่ ชก่ ารกำหนดหรือนอ้ ม และไมใ่ ช่ตั้งท่าหรือจอ้ งหรือเพง่ หากจิตมีอาการเกิดกามราคะ หรือโทสะทร่ี นุ แรง ใหห้ นั กลบั มาอยกู่ ับการทำสมาธแิ ทน จนกว่าอาการจะหายไป แล้วเริ่มเจริญสติต่อไปใหม่ถ้าอาการยังไม่หายแสดงว่า ท่านไม่ได้อยู่กับสมาธิ ให้ต้ังใจปฏิบัติ สมาธใิ หม้ ่นั ใหมอ่ ีกครงั้ จนกว่าจะสงบ ความสงบอยูท่ ีก่ ารปลอ่ ยวางจติ ใหพ้ อดี ตงึ ไปกเ็ ลย หย่อนไปก็ไมถ่ ึง ต้องวางจิต ให้พอดๆี 7. ขณะท่ีเข้าหอ้ งนำ้ ถ่ายทุกข์หนกั - เบา หนาว - ร้อน หิว - กระหาย ก็ให้เจรญิ สตริ ะลกึ รู้ทกุ ครง้ั ไป

30 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา 8. ตอนกลางวัน ควรหาหนังสอื ธรรมะมาอ่าน หรอื ฟังเทปธรรมะสลับการปฏบิ ัติ ถา้ เห็นว่ามอี าการเบอื่ หรือ อ่อนลา้ อาการดงั กลา่ วอาจเกดิ จากการตั้งใจเกินไป หรืออาจปฏิบัติไมถ่ ูกทางก็เปน็ ได้ ใหเ้ ฝา้ สังเกตและพจิ ารณาดว้ ย 9. ใหม้ องโลกแงด่ เี สมอๆ ทำจติ ใจให้ร่าเรงิ แจ่มใสตลอดทงั้ วนั ไม่คิด พูด หรอื ทำในสง่ิ อกศุ ล ไมก่ ลา่ วรา้ ยผอู้ ่นื ใหพ้ ูด คิด แต่สว่ นทดี่ ีของเขา การพดู การคิดและทำ ก็ใหเ้ ป็นไปในกุศล คือ ทาน ศีล สมาธิ และภาวนาเท่าน้นั (ไม่พดู ดิรัจฉานกถา) พยายามประคับประคองรักษากุศลธรรมให้เกิดและให้เจริญย่ิงๆ ข้ึนเร่ือยๆ บางทีบางโอกาสอาจเห็น ความโกรธโดยไม่ตั้งใจ และเห็นการดับไปของความโกรธ ซึ่งความโกรธจะเกิดข้ึนเร็วมากแต่ตอนจะหายโกรธ กลับ ค่อยๆ เบาลงๆ แล้วหายไปอย่างช้าๆ เปรียบได้เหมือนกับการจุดไม้ขีดที่เริ่มจุดเปลวไฟจะลุกสว่างเร็วมาก แล้วจึง ค่อยๆมอดดับลงไป น่ันแหละคือการเจริญวิปัสสนา และต่อไปจะทำให้กลายเป็นคนท่ีมีความโกรธน้อยลง จนการ แสดงออกทางกายนอ้ ยลงๆ จะเห็นแต่ความโกรธที่เกดิ อยู่แตใ่ นจติ เท่าน้นั 10. ให้ประเมินผลทุกๆ 1 - 3 ช่ัวโมง หรือวันละ 3 - 4 ครั้งและให้ทำทุกวัน ให้สังเกตดูตัวเองว่า เบากาย เบาใจกวา่ แต่กอ่ นหรือไม่เพราะเหตใุ ด 11. ก่อนนอนทุกคืน ให้อยู่กับสมาธิในอิริยาบถนอนตะแคงขวา(สีหไสยาสน์) หรือเจริญสติจนกว่าจะหลับทุก ครั้งไป ถ้าไม่หลับใหน้ อนดู “รปู นอน” จนกว่าจะหลบั 12. เมอื่ ประเมินผลแล้วให้สำรวจตรวจสอบ เปา้ หมาย คอื การเพยี รใหม้ สี ตริ ะลึกรอู้ ยู่อยา่ งตอ่ เน่ืองสม่ำเสมอ ให้สังเกตดูว่ามีความก้าวหน้าอย่างไรบ้างหรือไม่ หากยังไม่ก้าวหน้า ต้องค้นหาสาเหตุแท้จริงแล้วรีบแก้ไขให้ตรวจสอบ ดูว่าท่านได้ปฏิบัติถูกทางหรือไม่ หาสัตบุรุษผู้รู้หรือกัลยาณมิตรเพื่อขอคำแนะนำ ไม่ควรขอคำแนะนำจากเพื่อนนัก ปฏบิ ตั ดิ ้วยกัน เพราะอาจหลงทางได้ 13. ใหพ้ ยายามฝึกทำความเพียร เฝา้ ใส่ใจในความร้สู ึกให้แยบคาย(โยนโิ สมนสิการ) พยายามแลว้ พยายามอีก ใหเ้ พิ่มมากข้ึนเร่อื ยๆ จากท่ีคดิ วา่ ยากมากๆ จนกลายเปน็ ง่าย และเกิดเปน็ นสิ ัยประจำตัว 14. จงอย่าพยายามสงสัย ให้เพียงแต่พยายามเฝ้าระลึกรู้ในปัจจุบันธรรมอยู่ในกายในจิต (รูป - นาม) กลุ่ม ปัญหาข้อสงสัยก็จะหมดความหมายไปเอง (หลวงปู่เทียน จิตฺตสุโภ ท่านว่า “คิดเป็นหนู รู้เป็นแมว”) อย่าพยายาม อยากได้ญาณ หรอื มรรคผลนพิ พานใดๆ ท้ังส้นิ ตวั ของเราเองมีหน้าทีเ่ พียงแต่ สร้างเหตุทดี่ ีเท่านน้ั นักปฏิบตั ิทคี่ ดิ มาก มีปญั หามาก เพราะไมพ่ ยายามรู้ตัว และยงั รูต้ วั ไมเ่ ป็น ไมม่ ีสติพิจารณาอยู่ในกายในจติ ของตนเอง เอาแตห่ ลงไปกบั สิ่ง ที่ถูกรู้ หรือไม่ก็ไปพยายามแก้อาการของจิต ดังนั้นจึงให้พยายามรู้ตัวให้เป็นถ้ารู้เป็นจะต้องเห็นว่ามีส่ิงท่ีถูกรู้กับมีผู้รู้ และให้พยายามมีสติพิจารณาอยู่แต่ภายในจิตของตนก็พอ ประการที่สำคัญอีกประการหน่ึงโปรดจำไว้ว่าให้รู้อารมณ์ เทา่ น้นั อย่าพยายามไปแก้อารมณท์ เี่ กดิ ข้ึน (วมิ ุตติปฏิปทา) 15. จงอย่าคิดเอาเองว่า ตนเองยังมีบุญวาสนาน้อย ขอทำบุญทำทานไปก่อน หรืออินทรีย์ของตัวยังอ่อนเกิน ไป คิดเช่นน้ีไม่ถูกต้อง จงอย่าดูหมิ่นตัวเอง เม่ือเริ่มฝึกปฏิบัติหรือเจริญสติใหม่ๆ จะเกิดการเผลอสติบ่อยๆจะเป็นอยู่ หลายเดือน หรือบางทีอาจหลายปี แต่ฝึกบ่อยๆ เข้าก็จะค่อยๆระลึกรู้ถ่ีขึ้นเรื่อยๆ ขอให้พยายามทำความเพียรต่อไป ถ้าผดิ ก็เริ่มใหม่เพราะขณะใดท่รี ้วู ่าผิด ขณะน้ันจะเกิดการรู้ทีถ่ ูกต้องโดยอตั โนมัติอยูแ่ ลว้ ประการทส่ี ำคญั คือ ตอ้ งเลกิ เชือ่ มงคลตนื่ ขา่ ว และตอ้ งไมแ่ สวงบุญนอกศาสนา จงอยู่แต่ใน ทาน ศีล สมาธแิ ละภาวนา (บญุ กิริยาวัตถุสิบ) กพ็ อ 16. จงพยายามทำตนให้หนักแน่นและกว้างใหญ่ดุจแผ่นดินและผืนน้ำท่ีสามารถรองรับได้ทั้งสิ่งของท่ีสะอาด และโสโครก ซ่ึงแผ่นดินและผืนนำ้ รักชังใครไม่เปน็ คือท้ังไม่ยินดี (สิ่งของทส่ี ะอาด) และไม่ยินรา้ ย (ของโสโครก) ใดๆ วางใจใหเ้ ป็นกลางๆ ให้ได้ ความสำเรจ็ กอ็ ยู่ท่ีตรงนีท้ า่ นทีร่ ูต้ ัวได้ชำนิชำนาญขึน้ แลว้ การเจริญสตนิ ั่นแหละจะเปน็ เคร่อื ง มือท่ีสำคัญที่จะหาอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์มาเป็นเครื่องมืออยู่ท่ีถนัด (วิหารธรรม) ให้จิตมีสติเฝ้ารู้อย่างต่อเน่ืองหลวงพ่อ ชา สุภัทโท ทา่ นเคยกลา่ วไว้วา่

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 31 “ท่อนซุงที่ลอยล่องไประหว่างสองฝ่ัง ถ้าไม่ติดอยู่ข้างฝั่งใดฝ่ังหนึ่ง ไม่ช้าก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่าง แน่นอน” แต่ถ้าลอยไปติดอยู่กับฝ่ังใด (กามสุขัลลิกานุโยค หรือความยินดี) ฝั่งหนึ่ง (อัตตกิลมถานุโยค หรือความ ยินร้าย) ไม่ชา้ ก็คงกลายเปน็ ซงุ ผุใช้การไมไ่ ดเ้ ปน็ แน ่ เห็นกายในกายภายในและเห็นกายในกายภายนอก อธิบายว่า พิจารณาเห็นกายในกายภายใน คือมองเห็นกายย่อยในกายใหญ่ คือ พิจารณาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ของกายใหญ่ของตนเอง ส่วนเห็นภายในกายภายนอก คือ เห็นกายย่อยในกายใหญ่ของผู้อื่น คือ พิจารณาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ของกายใหญ่ของผู้อ่ืน การไม่ถือม่ันอะไรๆในโลก คือ การมองเห็นกายในฐานะเพียงแค่ส่ิงท่ีระลึกเท่าน้ัน ไม่ยึดมั่นว่าเป็นกายเรา กายเขา ไม่ติดตามสมมติ

32 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 3 คำชี้แจง ใหผ้ เู้ รยี นทำเคร่อื งหมาย X คำตอบท่ีถูกต้องท่ีสดุ เพยี งคำตอบเดยี ว 1. ข้อใดเป็นองค์ประกอบของหลกั ไตรลกั ษณ์ ก. ทกุ ข ์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค ข. อนจิ จัง ทกุ ข์ขัง อนัตตา ค. ศีล สมาธิ ปัญญา ง. ทาน ศีล ภาวนา 2. คำวา่ “สัญญา” หมายถงึ ข้อใด ก. การจำได้ , หมายร้ ู ข. สงิ่ ทปี่ รุงแต่ง ค. ความรสู้ กึ ง. ส่งิ ทร่ี บั รู้ 3. ในส่วนของรปู ขันธ์ มธี าตุ 4 คอื ธาตุดิน ธาตนุ ้ำ ธาตลุ มและธาตไุ ฟ สว่ นประกอบของธาตุดิน คือขอ้ ใด ก. น้ำดี น้ำตา นำ้ เลอื ด นำ้ หนอง ข. อณุ หภมู ใิ นร่างกาย ค. ลมในท้อง ลมหายใจ ง. ผม หนงั กระดูก เอน็ 4. เมอื่ นักศึกษาเขา้ ใจเรื่องขันธ์ 5 แล้วจะทำใหเ้ ปน็ คนเชน่ ไร ก. ไม่หลงมวั เมา และยดึ มนั่ ถือม่ันในสิง่ ตา่ ง ๆ ข. ไมม่ ีความรู้สกึ ในอารมณต์ ่าง ๆ ค. ไมป่ ระพฤตดิ ไี ม่ประพฤติช่วั ง. ไม่ทำให้ผ้อู น่ื เดอื ดรอ้ น 5. ขอ้ ใดกอ่ ให้เกดิ ความสขุ มากทีส่ ุด ก. ทำบุญตักบาตร ข. บรจิ าคทรพั ย์ สิง่ ของต่าง ๆ ค. ทำบุญอทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้ผมู้ อี ุปการะคุณ ง. ทำจติ ใหม้ น่ั เป็นอิสระจากสง่ิ ทง้ั ปวง

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 33 6. ท่เี รียกวา่ “พระนิพพาน” เพราะเหตุผลข้อใด ก. เพราะละความโลภได้ ข. เพราะละตัณหาได ้ ค. เพราะละความโกรธได ้ ง. เพราะปลอ่ ยวางเสยี ได ้ 7. บุคคลมีพฤติกรรมใดต่อไปนีท้ ี่เขา้ ใจใน ธาตุ 4 ก. นายคนองไม่สนใจดูแลสภาพรา่ งกายของตนเอง ข. นายณรงคม์ ีร่างกายทอ่ี ้วนเกนิ ไป ตอ้ งลดน้ำหนัก โดยการอดอาหาร ค. นางสาวเกศินีไม่วติ กกงั วลกบั รูปร่างของตนเองปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ ง. นางสาวเสาวนยี ์เขา้ ไปใชบ้ ริการสถานทอี่ อกกำลงั กายเพ่อื ให้รา่ งกายแขง็ แรง สมส่วน 8. กายกบั ใจ แบง่ ออกเปน็ กอง เรยี กวา่ อะไร ก. ขนั ธ์ ข. สัญญา ค. สงั ขาร ง. วิญญาณ 9. การกระทำข้อใดจดั ว่าเป็นความสุขทางกายและ ความสขุ ทางใจ ก. เกไ๋ ด้รบั คำชมจากคุณคร ู ข. ก้องเป็นหัวหน้างานทีล่ ูกน้องรกั ค. กาญจน์ดใี จมากที่รวู้ า่ ปใี หมน่ ี้มีของขวัญ ง. แกว้ อยใู่ นครอบครวั ท่ีมฐี านะด ี และสมาชิกทุกคนรักใคร่ปรองดองกัน 10. จากปญั หาวกิ ฤติในสงั คมไทยในปจั จุบัน ไมว่ ่าจะ เป็นปัญหายาเสพติด การพนนั โสเภณี ฯลฯ ก่อใหเ้ กดิ ความเสื่อมถอยของสังคม และไมพ่ ฒั นาเทา่ ทค่ี วร นกั ศกึ ษาคิดว่านา่ จะมาจากสาเหตุใด เป็นดา้ นหลกั ก. รฐั บาลไม่มีเสถยี รภาพ ขาดคณุ ธรรมในการปกครอง ข. คนไทยส่วนใหญ่หลงมัวเมาในอบายมขุ ค. คนไทยส่วนใหญ่ขาดความสามคั คกี นั ง. มีการประพฤติทจุ รติ และคอรปั ช่นั กนั มาก

34 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา บรรณานุกรม พทุ ธทาสภกิ ขุ. คำบรรยายธรรมะศึกษาธรรมะอยา่ งถกู วธิ ี หรือ ธรรมวภิ าค นวกภูมิ ในพรรษา. สำนกั พมิ พส์ ขุ ภาพใจ,2500  คณะทำงานจัดทำหลกั สูตรการพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา สำนกั งานเลขาธิการคุรุสภา. “หลักสูตรการเสริมสร้างคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา” สำนักงานเลขาธิการครุ สุ ภา กรุงเทพ, 2554. พระธรรมปิฏก. (2540). สมาธิ ฐานสสู่ ุขภาพจติ และปัญญาหยัง่ ร.ู้ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 7 กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์ศยาม.

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 35 ภาคผนวก แบบฝึกหดั ท้ายบท และเฉลยแบบฝึกหดั ท้ายบท

36 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 1 จงตอบคำถามต่อไปน้ีมาพอสังเขป 1. ให้นกั ศึกษาอธบิ ายความหมายของคำวา่ “วิวฒั นาการ” พร้อมใหเ้ หตุผลประกอบ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. ใหน้ ักศกึ ษายกตวั อย่าง และวิธีฝกึ จติ ตามหลกั สติปฏั ฐาน 4 มาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 37 แบบฝกึ หัดท้ายบทที่ 2 คำช้แี จง ใหผ้ เู้ รยี นทำเครอ่ื งหมาย X คำตอบท่ีถกู ตอ้ งที่สดุ เพยี งคำตอบเดยี ว 1. ความหมายของสมาธิตรงกับขอ้ ใด ก. ความสงบ ข. ความไม่ฟุ้งซา่ น ค. ความตั้งมัน่ แห่งจติ ง. ความจดจ่ออยกู่ บั สง่ิ ใดสงิ่ หนง่ึ 2. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ข้อดีของการฝกึ สมาธิ ก. มฐี านะทางสงั คมรำ่ รวย ข. สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ค. สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตดี ง. ทำงานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. การสมาทานศีลก่อนฝึกสมาธมิ ีวัตถุประสงคเ์ พ่อื อะไร ก. ทำให้สมาธิเกดิ ความศกั ดิส์ ทิ ธ์ ิ ข. ทำใหป้ ระสบผลสำเรจ็ ค. เป็นการเสริมกำลังใจ ง. ทำให้จติ ใจบรสิ ทุ ธ ์ิ 4. สมาธิมปี ระโยชน์อยา่ งไร ก. ทำให้สงบเยอื กเยน็ ข. ทำให้เป็นคนตรงฉิน ค. ทำใหจ้ ติ ใจออ่ นไหว ง. ทำให้เปน็ คนแขง็ แกรง่ 5. ข้อใด ไมใ่ ช่ ประโยชน์ของสมาธทิ ่ีมีผลตอ่ ตนเอง ก. มีความม่ันคงทางอารมณ์ ข. มีบุคลกิ ภาพดี กระฉับกระเฉง ค. ทำให้จติ ใจ ผ่องใสและสตปิ ญั ญาดีขึ้น ง. ทำให้สงั คมสงบสุข ปราศจากปญั หาตา่ งๆ

38 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา 6. บคุ คลในขอ้ ใดปฏบิ ตั ติ นในการฝึกสมาธิได้อย่างเหมาะสม ก. วริ ัตนน์ งั่ สมาธิตลอดเวลา ข. สปุ ราณีนั่งสมาธิกอ่ นนอน ค. อนุชาทำงานพรอ้ มกบั น่งั สมาธิ ง. สัญชัยนั่งสมาธพิ ร้อมกับฟงั เพลง 7. จงเรียงขัน้ ตอนในการฝึกปฏบิ ตั สิ มาธิ 1. เลอื กหามุมสงบ ไมเ่ สียงดัง ไมม่ ีการรบกวนจากภายนอก ได้ง่าย มีอณุ หภูมิพอดีๆ 4. เริม่ ลงมอื ปฏิบตั ิสมาธิภาวนา 3. เม่อื เสร็จสิน้ การปฏิบัติสมาธิให้แผเ่ มตตา อทุ ศิ ส่วนกศุ ล 2. ชำระรา่ งกายใหส้ ะอาด เตรียมรา่ งกายใหเ้ รยี บร้อย สวมเสื้อผา้ ใหส้ บาย ก. 1 2 3 4 ข. 2 3 1 4 ค. 2 1 4 3 ง. 4 1 3 2 8. การแผเ่ มตตาทุกครง้ั ท่ปี ฏิบตั ิสมาธเิ สร็จส้ินข้อใดนิยมปฏบิ ตั กิ ันมากทสี่ ดุ ก. การกรวดนำ้ อทุ ศิ สว่ นกุศลให้ตนเองและบิดามารดา ข. กล่าวแผเ่ มตตาให้ตนเอง ญาติ บุคคลอนื่ −สตั ว์อนื่ ค. กล่าวแผเ่ มตตาให้ชาตบิ ้านเมอื งสงบรม่ เย็น ง. กล่าวแผเ่ มตตาให้เจา้ กรรม นายเวร 9. การบรหิ ารจติ ช่วยในดา้ นการเรียนอยา่ งไร ก. อารมณม์ น่ั คงหนกั แน่น ข. ความจำดี เรียนดี ค. ไมโ่ กรธง่าย ง. สขุ ภาพดี 10. ข้อใด ไม่ใช่ วธิ กี ารฝึกสมาธอิ ย่างงา่ ยสำหรับบุคคลทว่ั ไป ก. การกำหนดลมหายใจ พุท - โธ ข. การกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ค. การกำหนดลมหายใจ หน่ึง - สอง ง. การกำหนดลมหายใจสุข - ทุกข ์

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 39 เฉลยแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที ่ 2 1. ค 2. ก 3. ง 4. ก 5. ง 6. ข 7. ค 8. ข 9. ข 10. ง

40 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา แบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 3 คำชแ้ี จง ใหผ้ ู้เรียนทำเคร่ืองหมาย X คำตอบที่ถูกตอ้ งท่สี ุดเพยี งคำตอบเดียว 1. ข้อใดเปน็ องคป์ ระกอบของหลักไตรลักษณ ์ ก. ทุกข ์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค ข. อนิจจัง ทกุ ข์ขัง อนตั ตา ค. ศีล สมาธิ ปญั ญา ง. ทาน ศีล ภาวนา 2. คำว่า “สัญญา” หมายถงึ ข้อใด ก. การจำได้ , หมายร ู้ ข. สิง่ ทปี่ รงุ แตง่ ค. ความร้สู กึ ง. สงิ่ ทีร่ บั ร้ ู 3. ในส่วนของรูปขนั ธ์ มธี าตุ 4 คอื ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตลุ มและธาตไุ ฟ สว่ นประกอบของธาตดุ นิ คือข้อใด ก. น้ำดี นำ้ ตา นำ้ เลอื ด นำ้ หนอง ข. อณุ หภูมิในรา่ งกาย ค. ลมในทอ้ ง ลมหายใจ ง. ผม หนัง กระดูก เอน็ 4. เม่อื นักศกึ ษาเขา้ ใจเร่ืองขันธ์ 5 แลว้ จะทำใหเ้ ปน็ คนเชน่ ไร ก. ไมห่ ลงมัวเมา และยดึ มนั่ ถอื มั่นในส่ิงตา่ ง ๆ ข. ไม่มคี วามรสู้ กึ ในอารมณต์ า่ ง ๆ ค. ไม่ประพฤติดไี ม่ประพฤตชิ ่ัว ง. ไม่ทำให้ผ้อู ่นื เดือดรอ้ น 5. ขอ้ ใดกอ่ ใหเ้ กิดความสขุ มากทสี่ ดุ ก. ทำบญุ ตักบาตร ข. บริจาคทรพั ย์ สง่ิ ของตา่ ง ๆ ค. ทำบุญอุทศิ ส่วนกศุ ลใหผ้ ูม้ อี ุปการะคุณ ง. ทำจติ ให้มน่ั เปน็ อิสระจากส่ิงทงั้ ปวง

รายวิชา การพัฒนาจิตและปัญญา ❘ 41 6. ที่เรียกวา่ “พระนพิ พาน” เพราะเหตผุ ลขอ้ ใด ก. เพราะละความโลภได้ ข. เพราะละตัณหาได้ ค. เพราะละความโกรธได้ ง. เพราะปลอ่ ยวางเสยี ได้ 7. บคุ คลมีพฤตกิ รรมใดตอ่ ไปน้ที เ่ี ขา้ ใจใน ธาตุ 4 ก. นายคนองไม่สนใจดแู ลสภาพร่างกายของตนเอง ข. นายณรงค์มีรา่ งกายที่อว้ นเกินไป ต้องลดน้ำหนัก โดยการอดอาหาร ค. นางสาวเกศนิ ีไม่วติ กกงั วลกับรูปรา่ งของตนเองปล่อยใหเ้ ป็นไปโดยธรรมชาติ ง. นางสาวเสาวนียเ์ ข้าไปใชบ้ รกิ ารสถานท่ีออกกำลงั กายเพอ่ื ให้รา่ งกายแขง็ แรง สมสว่ น 8. กายกับใจ แบ่งออกเป็นกอง เรียกว่าอะไร ก. ขันธ์ ข. สญั ญา ค. สงั ขาร ง. วิญญาณ 9. การกระทำข้อใดจัดว่าเปน็ ความสุขทางกายและ ความสุขทางใจ ก. เก๋ได้รับคำชมจากคุณคร ู ข. ก้องเปน็ หวั หน้างานทล่ี ูกน้องรกั ค. กาญจน์ดีใจมากท่ีร้วู า่ ปใี หมน่ ม้ี ีของขวญั ง. แกว้ อยใู่ นครอบครัวที่มีฐานะด ี และสมาชกิ ทกุ คนรักใคร่ปรองดองกัน 10. จากปญั หาวกิ ฤตใิ นสงั คมไทยในปัจจุบัน ไมว่ า่ จะ เปน็ ปัญหายาเสพติด การพนนั โสเภณี ฯลฯ กอ่ ใหเ้ กิดความเส่อื มถอยของสังคม และไม่พัฒนาเทา่ ที่ควร นกั ศึกษาคดิ ว่านา่ จะมาจากสาเหตใุ ด เปน็ ด้านหลกั ก. รัฐบาลไม่มีเสถยี รภาพ ขาดคณุ ธรรมในการปกครอง ข. คนไทยส่วนใหญ่หลงมัวเมาในอบายมขุ ค. คนไทยส่วนใหญข่ าดความสามคั คีกัน ง. มกี ารประพฤติทจุ ริตและคอรัปช่นั กันมาก

42 ❘ รายวิชา การพัฒนาจิตและป ัญญา เฉลยแบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 3 1. ข 2. ก 3. ง 4. ก 5. ง 6. ข 7. ค 8. ก 9. ง 10. ข