Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แหล่งอารยธรรมโบราณภูมิภาคเอเชีย

แหล่งอารยธรรมโบราณภูมิภาคเอเชีย

Published by luxsika0329, 2018-02-08 01:08:19

Description: แหล่งอารยธรรมโบราณภูมิภาคเอเชีย

Search

Read the Text Version

แหล่งอารยธรรมโบราณ ในภูมภิ าคเอเชยี ราคา30บาท

สารบญั หนา้เร่ือง 1อารยธรรมลุ่มนา้ ไทกรีส-ยเู ฟรตีส 2อารยธรรมชาวมุสลิมอารยธรรมของชาวมอไรตเ์ ละ 3อารยธรรมของของแอสซีเรียอารยธรรมของชาวคาลเดียลและ 4อารยธรรมของชาวเปอร์เชียอารยธรรมของชาวฮิบรู ลุ่มแม่นา้ สินธุเละ 5ยคุ พระเวท 6ยคู มหากาพยแ์ ละฮินดูเก๋า 7สมยั พระพทุ ธศาสนา 8อินเดียภายในการปกครองขององั กฤษ 9-12อารยธรรมจีน

ภมู ิภาคเอเชยี เปน็ ดินแดนท่มี ีอารยธรรมทเ่ี กา่ แก่แห่งหนึ่งของโลกมแี หลง่ อารยธรรมทสี่ าํ คัญไดแ้ ก่อารยธรรมลมุ่ แม่น้าไทกรีส-ยเู ฟรตสี ในเอเชียตะวันตกเฉยี งใต้ อารยธรรมในล่มุ แม่นํ้าฮวงโหในประเทศจีนและอารยธรรมลุ่มแมน่ ํ้าสนิ ธใุ นประเทศอนิ เดยี ซง่ึ อารยธรรมในแตล่ ะแห่งเหลา่ น้มี ีววิ ฒั นการมาต้ังแต่สมัยยคุ หินลกั ษณะสาํ คญั ของอารยธรรมทวปี เอเชียมีลกั ษณะทสี่ ําคัญดังนี้*อารยธรรมล่มุ นํา้ ไทกรีส-ยูเฟรตสี หรืออารยธรรมเมโสโปเตเมยี ตง้ั อยบู่ ริเวณของที่ราบล่มุ ไทกรีสและแมน่ า้ํ ยเู ฟนตีสทม่ี ีความอดุ มสมบูรณใ์ นภูมภิ าคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้หรือในประเทศอิรกั ป๎จจุบนั ไดม้ ชี นเผ่าต่างๆผลดั เปลย่ี นกันเข้ามาสรา้ งความเจริญทางอารยธรรมให้กับดนิ แดนนีม้ าตั้งแตค่ รั้งโบราณโดยอารยธรรมของชนเผา่ ทไี่ ด้สรา้ งความเจริญรุง่ เรอื งให้กบั เมโสโปเตเมียทสี่ าํ คญัไดแ้ ก่ ชาวสเุ มเรยี น ชาวอมอไรต์ ชาวแอสซเี รีย ชาวเปอรเ์ ชีย ชาวฮบิ รเู ปน็ ต้น 1

1.อารยธรรมของชาวสเุ มเรยี น ชาวสเุ มเรยี นเปน็ ชนเผ่าแรกทีเ่ ข้าตั้งถ่นิ ฐานในเมโสโปเตเมยี เม่ือประมาณ4000ปีก่อนครสิ ตศ์ ักราชมพี ฒั นาการทางการเมอื งเริ่มจากหมู่บ้านก่อนจะขยายตัวเปน็ ชมุ ชนวัดมพี ระเป็นผู้ปกครอง ศูนยก์ ลางปกครองอยทู่ ่ีวดั ต่อมาเม่อื ชุมชนขยายตวั เป็นชมุ ชนขนาดใหญ่เกิดองคก์ ารเมืองแบบนครรัฐ แตล่ ะนครรฐั เปน็ อสิ ระไมข่ ึน้ แกก่ ัน มีกษัตรยิ เ์ ปน็ ผนู้ าํ ชาวสุเมเรียนนับถือเทพเจา้ หลายองคแ์ ตล่ ะนครรฐั จะมีเทพเจา้ ประจํานครรัฐ ชาวสเุ มเรียนไดม้ กี ารประดษิ ฐ์ตัวอกั ษรลิม่ หรือคนู ิฟอรม์ (Cuniform) ขนึ้ เพื่อใช้ในการติดตอ่ สอื่ สารกันโดยไดบ้ นั ทึกลงในแผน่ ดนิ เหนยี ว วรรณกรรมของชาวสเุ มเรยี นคอื มหากาพยเ์ อนลิล(Enlil) พรรณถงึ การสร้างโลกและน้ําท่วมโลก นอกจากน้ันชาวสเุ มเรียนยงั ร้จู ักการสร้างระบบชลประทานอย่างง่ายเชน่ การสร้างอา่ งเก็บนาํ้ เพอ่ื ใช้ในการเกษตรกรรมเป็นต้น รู้จักคดิ เลขด้วยการบวกลบคณู หารการทําปฎทิ นิ แบบจันทรคตทิ ีม่ คี วามสัมพันธ์กบั การเคล่ือนท่ีของดวงจันทรก์ ารรูจ้ กั วนั เละเวลาโดยกําหนดให้60นาทีเ่ ปน็ 1ช่วั โมงและ24ชวั่ โมงเป็น1วนั เปน็ ต้น 2

2.อารยธรรมของชาวอมอไรต์ ชาวอมอไรต์ที่เปน็ ชนเผา่ ได้เข้ามาสรา้ งความเจรญิ รุ่งเรอื งในดินแดนเมโสโปเตเมียต่อจากชนเผ่าสุเมเรยี นและขยายอาณาจกั รออกไปอยา่ งกว้างขวางสถานปาจักรวรรดิบาโลเนยี ข้นึ ประมาณ2000ปีกอ่ นครสิ ตศ์ ักราชมีนครบาบโิ ลน(Babylon)เป็นศนู ย์กลางการปกครองกษตั ริย์ที่สาํ คัญคอื พระเจา้ ฮมั มูราบี (Hammurabi) ผลงานสาํ คญั ของพระองคค์ อื ประมวลกฎหมายฮมั บูราบถี อื เปน็ ประมวลกฎหมายฉบับแรกของโลกมีบทลงโทษเป็นแบบสนองตอบคอื ”ตอ่ ตอ่ ตา ฟน๎ ต่อฟ๎น”มีการแบง่ ชนชนั้ ในสังคมเปน็ ชนชัน้ สงู ชนช้ันกลางและชนชั้นต่ํา 3.อารยธรรมของชาวแอสซีเรยี ชาวแอสซีเรียไดส้ ถาปนาจักรวรรดแิ อสซีเรียข้นึ เมอ่ืประมาณ1100ปีกอ่ นคริสต์ศกั ราชมีศนู ย์กลางการปกครองอยู่ทเี่ มืองนิเนอเวห(์ Nineveh)ชาวแอสซีเรียมคี วามสามรถในการรบสามรถขยายอาณาเขตไปไดอ้ ยา่ งกว้างขวางและมีกองทัพที่แข็งแกร่งมีระเบยี บวินยั ความเจรญิ ของชาวแอสซีเรยี ได้แกก่ ารป้น๎ ทงั้ แบบนูนและลอยตัว มกัแสดงให้เห็นถงึ สัดสว่ นของรา่ งกายท่เี ปน็ จรงิ การแกะสละภาพนูนตา่ํ ท่แี สดงการเคลือ่ นไหวเหมือนธรรมชาตเิ ปน็ ตน้ 3

4.อารยธรรมของชาวคาลเดยี นพวกแคลเดยี นสถานสถาปนาจักวรรดคิ าลเดียลหรือบาบโิ ลเนียใหม(่ New Babilonai)โดยมกี รุงบาบโิ ลเนนียเปน็ ศนู ยก์ ลางการปกครองเมือ่ ประมาณ612ปีกอ่ นครสิ ตศ์ ักราชมีอารยธรรมทสี่ ําคญั คือการสรา้ งสวนลอยแห่งบาบิโลนทเี่ ป็นสง่ มหศั จรรย์สงิ่ หนึง่ ของโลกนอกจากน้นั ชนเผ่าคาลเดียยังเปน็ ผทู้ ่ีมีความรดู้ า้ นดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตร์เป็นอยา่ งดี 5.อารยธรรมของชาวเปอรเ์ ชยี พวกเปอร์เชยี เป็นชนเผา่ หนึ่งทไ่ี ด้สรา้ งความเจรญิ รุ่งเรอื งให้กับดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นบรรพบรุ ษุ ของชาวอหิ ร่านป๎จจุบนั ได้มกี ารสถาปนาอานาจักรเปอรเ์ ชยี มาต้งั แตป่ ระมาร600ปีกอ่ นครสิ ต์ศกั ราชมคี วามเจรญิ ร่งุ เรืองสูงสุดในสมยั ของพระเจา้ ดารอิ ุสคงามเจรญิ ของชนเผา่ เปอร์เชียไดแ้ ก่ การรู้จกั สร้างถนนขึ้นระหว่างเมืองหลวงกบั ดนิ แดนตา่ งๆในอาณาจกั รมคี วามยาวถงึ 2500กดิ ลเมตร เพอื่ ควบคมุ มลฑลตา่ งๆภายในจกั รวรรดแิ ละเพอื่ ความสะดวกในดารตดิ ตอ่ คา้ ขายนอกจากน้ันชาวเปอรเ์ ชยี ยงั รจู้ ักการประดษิ ฐต์ิ ัวอกั ษรเพ่อื ใชใ้ นการตดิ ต่อสอ่ื สารกันนับถอื ศาสนาโซโรแอสเตอรซ์ ่งึ นบั ถอื ไฟเป็นตน้ 4

6.อารยธรรมของชาวฮบิ รู ชาวฮิบรหู รือชาวยวิ เปน็ ชนเผ่าทไี่ ด้สร้างความเจริญรงุ่ เรืองในดนิ แดนเมโสโปเตเมียอกี เผ่าหน่ึงเป็นชนเผา่ เร่รอ่ นเผา่ หนึ่งในเอเชียตะวันตกเฉียงใตพ้ ระเจ้าเดวิด(David)จึงสถาปนาอาณาจักรฮิบรูขน้ึ ซ่ึงมคี วามเจรญิ ระหว่างมศี นู ย์กลางการปกครองทก่ี รุงเยรซู าเลม็และมคี วามเจริญสูงสดุ ในสมยั กษตั ริย์โซโลมอน(Solomon)ซึง่ มีความเจรญิ ระหว่าง973-933 ปกี อ่ นคริสต์ศกั ราชความเจริญรุง่ เรอื งของชนเผา่ ฮบิ รูไดแ้ กค่ วามเจรญิ ทางด้านศาสนา โดยศาสนายดู ายของชาวฮบิ รูไดก้ ลายมาเป็นศาสนาครสิ ตท์ ีม่ ผี ูน้ บั ถอื มากท่ีสุดในโลกปจ๎ จุบัน 7.อารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสนิ ธุ เปน็ อารยธรรมท่ีเก่าแกแ่ หง่ หน่งึ ของโลกมีความเจรญิ อยรู่ ะหวา่ ง4000-25000 ปกี ่อนครสิ ต์ศกั ราชมีการค้นพบซากเมอื งโบราณในที่ราบลมุ่ แม่นํ้าสนิ ธุคือเมอื งฮารปั ปา(Harrappa) และเมอื งโมเฮนโจดาโร (Mohenjodaro) โดยสง่ิ ทไ่ี ด้ค้นพบท่สี ําคัญไดแ้ กซ่ ากเมอื งท่ีมกี ารวางผังเมอื งเป็นอยา่ งดตี ักถนนอยา่ งเปน็ ระเบยี บ มที อ่ ระบายน้ํา และบอ่ นํา้ สาธารณะอาคารบ้านเรือนของราษฎรมกี ารสร้างระเบียบ เครื่องมอื ทําดว้ ยกระดูกสตั ว์ อารยธรรมในดนิ แดนเอเชียใต้ที่สร้างสรรค์โดยชนเผ่าอารยันสามารถแบง่ ออกเปน็ ยคุ ต่างๆดังน้ี *ยคุ พระเวท(ประมาณ2000-1000ปกี ่อนครสิ ตศ์ ักราช) คอื ชว่ งแรกท่ชี าวอารยนั เริ่มเข้ามาในอินดกี ล่าวถึงความเปน็ มาและวถิ ีชวี ติ ของชาวอารยนั วา่ สังคมจะมกี ารแบง่ แยกระหว่างพวกชาวอารยนั และพวกดราวิเดยี น มกี ารรวบรวมคมั ภยี ์คฤเวทซ่ึงเป็นบทสวดออ้ นวอนพระเจ้าของชนเผา่อารยนั และมีการกาํ เนดิ ศาสนาพราหมณ์ 5

*ยคุ มหากาพย(์ ประมาณ100-500ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช)คือช่วงท่ชี าวอารยันไดข้ ยายอํานาจไปยังแควน้ ตา่ งๆมีการกอ่ ต้ังเมืองตา่ งๆท้งั ขนาดใหญ่และขนาดเลก็ มลี กั ษณะคล้ายนครรัฐเป็นอิสระไมข่ ึน้ แกก่ ันแต่ละเมืองมกี ษัตริยป์ กครองมกี ารนาํ ระบบขบวนวรรณะมาใช้เพือ่ แบง่ แยกชาวอารยนั และพวกดราวเิ ดยี นโดยแบง่ เป็น4วรรณะคอื พราหมณ์ หรอื นกั บวช พระมหากษัตริย์หรือพวกนักรบ แพศย์ หรอื พอ่ ค้า ชาวนา เจา้ ของท่ีดินและศูทรหรือพวกทาส จัณฑาล คือผูท้ าํ ปดิ กฎเกณฑข์ องระบบวรรณะมีการประดิษฐ์ภิ าษาสันสกฤษและเกิดวรรณคดีขน้ึ หลายเร่ืองเช่น มหากาพยม์ หาภารตะและมหากาพย์มหารยณะเปน็ ต้นเช่ือในเรอ่ื งตรีมลู ติ(ผูท้ าํ ลาย)เกิดคัมภยี อ์ ีก3เลม่ คอื เรียกวา่ ไตรเวท ประกอบด้วยคัมภยี ส์ ามเวทยชุรเวทและอาถรรเวท *ฮนิ ดเู กา่ (ประมาณ550-320ปีกอ่ นคริสต์ศักราช) เปน็ ยุคที่มคี วามเชอ่ื ในเร่อื งท่ีพระมหากษัตริยเ์ ปน็ สมมุตเิ ทพมีการกําเนดิ พระพุทธศาสนาใหม้ คี วามรุ่งเรืองต่อมาเป็นยคุ ท่ีมีการเผยแพรค่ ําสอนไปยงั เอเชยี ตะวันออกไดแ้ ก่ จนี ญปี่ ุนเป็นต้น 6

สมัยพระพทุ ธศาสนา(ประมาณ320-100ปกี อ่ นครสิ ต์ศกั ราช)เป็นช่วงที่พระพทุ ธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมากท่สี ดุ ในสมัยจักรวรรณดิเมาริยะก่อตง้ั โดยพระเจา้ จันทรคปุ ต์และในสมยัของพระเจา้ อโศกมหาราช ทรงสนบั สนุนพระพทุ ธศาสนาโดยส่งสมณทตู ออกไปเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนต่างๆเปน็ ช่วงเวลาที่พระพทุ ธศาสนามีความเจรญิ รุ่งเรอื งมากท่สี ดุ สมัยพระราชวงคพ์ ระเจา้ กนษิ กะทรงทาํ นุบาํ รงพระพุทธศาสนาให้มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งต่อมาเป็นยคุ ที่มีการเผยแพรค่ ําสอนไปยงั เอเชยี ตะวนั ออกได้แก่ จนี ญ่ีปุน เป็นตน้ *ยคุ ฮนิ ดใู หม(่ ประมาณ ค.ศ.320-550)สมยั จกั รวรรดคิ ุปตะเปน็ ช่วงเวลาที่อนิ เดียมีการฟน้ื ฟูศาสนาพราหมณ์ข้นึ มาใหม่เปน็ ยุคทองของอนิ เดียท่มี ีความเจริญสูงสุดทางดา้ นการปกครองเศรษฐกจิ สังคม การปกครองอาณาจักรมีความเปน็ หน่ึงเดยี วกันทงั้ จกั รวรรดิ ศาสนาพราหมณ์ไดร้ ับการปรบั ปรงุ ฟ้ืนฟคู ําสอนและศาสนาพทุ ธยังมคี วามงามเจริญรงุ่ เรืองอยดู่ า้ นวรรณคดีวา่ เป็นยุคทองดา้ นวรรณคดสี ันสฤตเทพนิยาย นิทาน สภุ าษิต *สมยั ราชวงค์โมกุล (ค.ศ.1526-1858)เปน็ ยคุ สมัยท่อี นิ เดยี ตกอยู่ภายใตก้ ารปกครองของชาวมสุ ลมิ มคี วามเจริญรุง่ เรอื งสงู สุดในสมัยพระเจ้าอกั บาร์มหาราชเปน็ ยุคสดุ ท้ายก่อนจะตกเปน็อาณานคิ มของประเทศองั กฤษมคี วามเจรญิ ท่สี ําคญั ไดแ้ ก่งานทางสถาปนากรรม เปน็ ศิลปะผสมฮินดูและมองโกลทมี่ ีชื่อเสยี งคอื ทชั มาฮาล 7

*อนิ เดยี ภายใตก้ ารปกครองของประเทศองั กฤษ ในยุคของการล่าอาณานคิ มอินเดีย ไดต้ กเป็นเมอื งข้นึ ของอังกฤษมาเปน็ เวลานานได้นาํ วิทยาการของชาตติ ะวันตกมาเผยแพร่ในอนิ เดยี การผ่อนคลายกฎระเบียบทางสงั คมและมีการยกเลิกประเพณที ีไ่ ม่ไดม้ ีการยอมรับเชน่ การใช้มนุษยบ์ ชู ายัญ เป็นตน้ สภาพสงั คม ระบบวรรณะทเ่ี คยเขม้ งวดในสงั คมอนิ เดยี ได้ผอ่ นคลายลงมีการเลยี นแบบวฒั นธรรมตะวนั ตก ทัง้ แตง่ กาย การศกึ ษาภาษาองั กฤษกลายเป็นภาษาทางราชการใช้ในอินเดยี องั กฤษได้ประกาศอิสรภาพแกอ่ นิ เดยี หลังสงครามโลกครงั้ ท2่ี ในปี ค.ศ.1948 8

อารยธรรมจนี อารยธรรมจเี ริ่มปรากฏในบริเวณล่มุ แม่นํา้ เหลือง(แม่นาํ้ ฮวงโห)ประมาณ2000ปกี อ่ นคริสต์ศักราช ได้พฒั นาระดบั ความเจริญจากชมุ ชนยุคหินใหมไ่ ปสคู่ วามเป็นปกึ แผน่ ของรัฐเล็กๆก่อนจะรวมตัวกันในทางการเมอื งเป็นอาณาจกั รและเป็นจักวรรดใิ นที่สดุ อารยธรรมจนี ในสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ดนิ แดนที่มนุษย์เขา้ มาอาศัยต้ังแต่ดึกดาํ บรรพ์ประมาณค.ศ.1972 คือโครงกระดกู มนษุ ย์ปก๎ ก่ิง(Peking man) ซง่ึ มอี ยปู่ ระมาณ400000ปีสว่ นอารยธรรมยคุ ใหมข่ องจีน ไดป้ รากฏจากการขดุ พบโบราณคดี2แห่งคือ 1.วัฒนธรรมหยางเซา(Yang-Shao) เปน็ แหล่งอารยธรรมแหง่ แรกของจนี ต้ังอยใู่ นเขตที่ราบลุ่มแม่นํา้ ฮวงโหจนถงึ แมน่ าํ้ แยงซเี ถยี งมีการขุดพบซากโบราณคดเี คร่ืองปน้๎ ดินเผาทม่ี สี ีแดงประดับประดาลวดลายเปน็ เส้นตรง ร้จู กั เคร่อื งมอื เครื่องใช้จากทองแดง 2.วฒั นธรรมลุงซาน(Lung-Shan) พบในพื้นที่มลฑลชานตงุ ทางตะวันออกเฉียงเหนอืของจีนมีการขุดพบเคร่ืองป้๎นดนิ เผาชนิดสามขาสดี าํ ขัดมนั เปน็ เงา 9

อารยธรรมจนี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ยุคที่มนษุ ยม์ คี วามสามารถในการประดิษฐติ์ วั อักษรเพอื่ ใช้ในการติดต่อสือ่ สารกนั โดยเริ่มตน้ จากสมยั ราชวงคช์ างเป็นตน้ มา *ราชวงค์ชาง(ประมาณ1766-1122กอ่ นคริสตศ์ กั ราช)เปน็ ราชวงค์แรกทป่ี กครองจนี มีความเจริญรุ่งเรอื งท่ีสาํ คญั ไดแ้ กก่ ารปกครองเปน็ แบบนครรฐั กษัตริย์ผนู้ าํ การปกครองการทหารและเศรษฐกจิ มอี ํานาจการปกครองเหนอื แค้วนตา่ งๆมกี ารประดษิ ฐิป์ ฎิทนิ ในระบบจันทรคตมิ กี ารประดษิ ฐ์ิตวั อักษรการรูจ้ ักใช้สาํ ริดมาประดิษฐเ์ ปน็ เคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้เป็นตน้ *ราชวงคโ์ จว(ประมาณ1122-249ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช)ยคุ สมัยของราชวงคโ์ จวแบง่ เป็น2ชว่ งคอื โจวตะวนั ตก(1122-770ปกี ่อนคริสต์ศักราช)มีศนู ยก์ ลางการปกครองอยบู่ รเิ วณเมืองฉางอนั และโจวตะวนั ออก(770-256ปีก่อนคริสตศ์ ักราช)มศี นู ยก์ ลางการปกครองครองอยู่ทีเ่ มืองล่อหยางมีความเจรญิ รงุ่ เรืองท่ีสาํ คญั ได้แก่แนวคิกท่ยี กยอ่ งจักรพรรดใิ หเ้ ป็นโอรถแห่งสวรรคม์ ีการนาํ ระบบศักดินามาใช้ในสงั คมจนี คร้งั แรกและเปน็ ยตุ ที่ถอื กําเนิดลทั ธิขอวจอื๋ ผูใ้ หก้ าํ เนดิ คอื ขงจ๋อื ซ่งึ สอนในเร่ืองคณุ ธรรมจรยิ ธรรมเนน้ การปฏบิ ัตติ นให้ถูกตอ้ งตามฐานะในสงั คมบุคคลมีหนา้ ทป่ี ฏิบตั ติ อ่ สงั คมท่ีตนอย่ใู ห้ดีที่สดุ ตามหน้าทข่ี องตนคือผปู้ กครองทําหน้าทป่ี กครอง ประชาชนทาํ หน้าทขี่ องประชาชนเปน็ ตน้ พิธกี รรมและการบชู าเปน็ การแสดงออกท่ีดขี องมนษุ ยค์ อื ความกตัญํูรู้คณุ และความเกรงกลวั ต่ออาํ นาจของธรรมชาติการทําพิธนี าํ มาซึ่งความเป็นอนั หนึง่ อนั เดยี วกนั ลัทธเิ ตา๋ ก่อต้งั ลัทธิเต๋าคอื เลา่ จ้ือมีคําสอนใหร้ จู้ กั รกั ความสงบสันโดษดําเนนิ ชวี ติ สอดคลอ้ งกับธรรมชาติ 10

*ราชวงค์ฉนิ (221-206กอ่ นคริสตส์ กั ราช)การปกครองยกเลกิ การปกครองแบบศักดินานําการปกครองแบบรวมอํานาจเขา้ สศู่ ูนยก์ ลางเมอื งเซยี นหยางเปน็ เมืองมคี วามเจรญิ รุง่ เรืองท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่การผลิตเงนิ ตราแบบเดยี วกนั มีการสํารวจสํามะโนประชากรคร้งั แรกเพื่อทราบจํานวนไพร่พลทแ่ี ท้จริงสรา้ งพระราชวังใหญ่โตมโหฬารรูปปน๎้ ทหารและม้าทาํ ดว้ ยเคร่ืองป๎้นดนิ เผามลี กั ษณะเหมือนส่งมชี ีวิตและการสรา้ งกาํ แพงเมอื งจนี เพ่อื ปกปอู งกันการรกุ รานชาวชนแผ่แร่ร่อนทางเหนอื เปน็ ต้น *ราชวงคฮ์ ่นั (202ก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.220)เจริญร่งุ เรอื งสงู สดุ ในสมยั พระเจ้าหวู่ต้ี(141-87ปีก่อนคริสต์ศกั ราช)พระองคท์ รงขยายดินแดนจนี ออกไปกว้างขวางมีการสอบคัดเลือกบคุ คลเปน็ข้าราชการอาศยั ความรคู้ วามสามารถส่วนบคุ คลเปน็ หลกั เป็นยคุ ทองทางการคา้ ของจีนมกี ารคา้ กบัต่างประเทศโดยใช้เส้นทางสายไหมและเป็นยุคทพ่ี ระพทุ ธศาสนารงุ่ เรอื งในแผน่ ดนิ จนี *ราชวงค์ถงั (ค.ศ.960-1279)มคี วามเจริญกา้ วหน้าในการเดินเรอื สาํ เภาค้าขายทางทะเลและงานศลิ ปกรรมแขนงต่างๆมีความก้าวหนา้ ในวทิ ยาการใหมห่ ลายอยา่ งกอ่ นชาตติ ะวนั ตกเชน่ การใช้ลูกคิดการใชเ้ ขม็ ทิศในการเดนิ เรือ การประดิษฐิ์แทน่ พมิ พห์ นังสอื มกี ารประดิษฐป์ิ นื ผลิตถ้วยกระเบอ้ื งที่มีความงดงามเป็นตน้ 11

*ราชวงค์หยวน(ค.ศ.1279-1368) เปน็ ราชวงคข์ องชนเผ่ามองโกลทเ่ี ข้ามาปกครองจีนกษตั รยิ ์ที่มชี ่อื เสียงคอื หงวนสโี จว๊ ฮอ่ งเต้(หรือกุบไลข่าน)เปน็ สมยั ที่จนี มคี วามเขม้ แขง็ ทางด้านการปกครองเปน็ จักรวรรดทิ ่ียงิ่ ใหญ่มคี วามเจริญทางด้านศิลปะการละครคอื งวิ้ *ราชวงค์หมงิ หรอื เหมง็ (ค.ศ.1368-1644)สมัยที่จีนรุ่งเรืองดา้ นการคา้ และมกี ารฟนื้ ฟูศลิ ปะวัฒนธรรมสมยั ราชวงค์ถงั ข้ึนใหมอ่ กี ครั้งมคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งทางด้านการคา้ กับตางประเทศความเจริญทางดา้ นวรรณกรรมท่ีนยิ มเขยี นนวนิยายท่ีใช้ภาษาพดู มากกวา่ ภาษาเขยี นเป็นต้น *ราชวงคเ์ ชง็ หรอื ชิง (ค.ศ.1644-1912) เป็นชนเผา่ แมนจทู ี่เขา้ มาปกครองจีนแฃะเป็นราชวงค์สดุ ท้ายของจนี ก่อนทจ่ี ะถกู ดร.ซุน ยัตเซน ปฏวิ ัติเปลย่ี นแปลงการปกครองเปน็ ระบอบสาธารณะรฐั ในปีค.ศ.1911 เปน็ ยคุ สมัยทีจ่ ีนมีความเสื่อมถอยในทกุ ดา้ น 12


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook