Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระบรมราโชบายด้านการศึกษารัชกาลที่10

พระบรมราโชบายด้านการศึกษารัชกาลที่10

Published by วันวิสา โกษาจันทร์, 2019-09-05 22:46:59

Description: พระบรมราโชบายด้านการศึกษารัชกาลที่10

Search

Read the Text Version

พระบรมราโชบายดา้ นการศกึ ษารัชกาลท1่ี 0

ดา้ นที่ ๑ มีทศั นคติทถี่ กู ต้องตอ่ บา้ นเมอื ง ดา้ นที่ ๒ มีพื้นฐานชีวติ ทม่ี ่นั คง ดา้ นที่ ๓ มงี านทา มอี าชพี ดา้ นท่ี ๔ เปน็ พลเมืองดี

\"ต้องมคี วามรู้ความเข้าใจท่ีมตี อ่ ชาติบ้านเมือง ยดึ มั่นในศาสนา ม่ันคงในสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ และมีความเอ้ืออาทรตอ่ ครอบครัว และชมุ ชนของตน\" มีความเอื้ออาทรต่อครอบครวั และชมุ ชนของตน

\"ให้รจู้ ักแยกแยะสิ่งทผี่ ิด-ทีถ่ กู ส่งิ ช่วั -ส่งิ ดี เพ่ือปฏบิ ตั ิแตส่ ิ่งท่ชี อบ ทดี่ ีงาม ปฏเิ สธสง่ิ ทผี่ ิดที่ช่ัว เพอ่ื สร้างคนดใี หแ้ ก่บา้ นเมือง\" มีคณุ ธรรม ปฏบิ ัตแิ ตส่ ่ิงทชี่ อบ ส่ิงที่ดงี าม ปฏิเสธสง่ิ ทผ่ี ิด สิ่งทชี่ ่ัว

\"ต้องใหเ้ ด็กรักงาน สู้งาน ทางานจนสาเร็จ อบรมใหเ้ รียนรกู้ าร ทางาน ให้สามารถเลี้ยงตวั และเลย้ี งครอบครวั ได“้ การเล้ยี งดูลกู หลานในครอบครัว หรอื การฝกึ ฝนอบรมในสถาน ศึกษาต้องมุง่ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนรักงาน สูง้ าน จนทางานสาเรจ็ การฝึกฝนอบรมทง้ั ในหลกั สตู รและนอกหลักสูตรตอ้ งมี จุดมุง่ หมายให้ผู้เรยี น ทางานเป็นและมีงานทาในทส่ี ดุ ตอ้ งสนับสนนุ ผูส้ าเรจ็ หลักสตู รมีอาชพี มงี านทา จนสามารถ เลีย้ งตัวเองและครอบครวั

การเป็นพลเมืองดีเป็นหน้าทขี่ องทกุ คน สถานศึกษาและสถาน ประกอบการ ตอ้ งสง่ เสรมิ ใหท้ ุกคนมโี อกาสทาหนา้ ทพี่ ลเมอื งดี การเปน็ พลเมอื ง ดีหมายถึง การมนี า้ ใจ มคี วามเอื้ออาทร ตอ้ งทางานอาสาสมคั ร งานบาเพ็ญ ประโยชน์ “เห็นอะไรทจ่ี ะทาเพ่อื บ้านเมอื งไดก้ ็ต้องทา” ครอบครัว - สถานศึกษาและสถานประกอบการ ต้องส่งเสริมให้ทุก คนมีโอกาสทาหน้าท่ีเปน็ พลเมอื งดี การเป็นพลเมืองท่ีดี เชน่ งานอาสาสมคั ร งานบาเพญ็ ประโยชน์ งานสาธารณกศุ ล ให้ทาด้วยความมนี า้ ใจ และความเอื้ออาทร

ความหมายกวา้ งกวา่ ทฤษฎีใหม่ โดยท่เี ศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ กรอบ แนวคดิ ท่ีชบ้ี อกหลกั การ และแนวทาง ปฏิบัตขิ องทฤษฎใี หม่ ในขณะที่ แนวพระราชดาริเกยี่ วกบั ทฤษฎีใหม่ หรือ เกษตรทฤษฎีใหม่ เปน็ แนวทางการพฒั นาการเกษตรอยา่ งเป็นขั้นตอนนนั้ เปน็ ตัวอย่าง การใชห้ ลกั เศรษฐกิจ พอเพียงในทางปฏบิ ัติ ทีเ่ ป็นรปู ธรรม เฉพาะในพื้นทีท่ เี่ หมาะสม ทฤษฎีใหมต่ ามแนวพระราชดาริ อาจเปรียบเทียบกบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คอื แบบพ้ืนฐาน กบั แบบก้าวหน้า ดงั นค้ี วามพอเพียงในระดบั บคุ คล และครอบครวั โดยเฉพาะ เกษตรกรเป็นเศรษฐกิจพอเพยี งแบบพืน้ ฐาน เทียบได้กับทฤษฎีใหม่

ประมาณ 30% ให้ขุดสระเกบ็ กักนา้ เพ่ือใช้ เก็บกักนา้ ฝนในฤดูฝน และใช้ ตลอดจนการเลย้ี งสัตว์และ พืชน้าตา่ งๆ พนื้ ทส่ี ว่ นทีส่ อง ประมาณ 30% ให้ปลกู ขา้ วในฤดูฝนเพือ่ ใช้ เป็นอาหารประจาวนั สาหรบั ครอบครวั ให้ เพยี งพอตลอดปี เพ่ือตดั ค่าใช้จา่ ยและสามารถพึ่งตนเองได้ ประมาณ 30% ใหป้ ลกู ไม้ผล ไม้ยนื ตน้ พชื ผกั พชื ไร่ พชื สมนุ ไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็นอาหารประจาวนั หากเหลือบรโิ ภคกน็ าไปจาหนา่ ย . ประมาณ 10% เปน็ ท่อี ยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอน่ื ๆ

เมอ่ื เกษตรกรเขา้ ใจในหลักการและได้ปฏิบตั ใิ นที่ดนิ ของตนจน ไดผ้ ลแล้ว ก็ ตอ้ งเร่ิมขัน้ ที่สอง คอื ใหเ้ กษตรกรรวมพลงั กันในรปู กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดาเนนิ การในดา้ น การผลิต (พนั ธุ์พชื เตรยี มดิน ชลประทาน ฯลฯ) การตลาด (ลานตากข้าว ยงุ้ เครอื่ งสีขา้ ว การจาหน่าย) การเป็นอยู่ (กะปิ น้าปลา อาหาร เครือ่ งนุ่งหม่ ฯลฯ) สวัสดกิ าร (สาธารณสขุ เงินกู้) การศกึ ษา (โรงเรยี น ทุนการศึกษา) สงั คมและศาสนา

เม่ือดาเนนิ การผ่านพ้นขั้นท่ีสองแลว้ เกษตรกร หรือกลมุ่ เกษตรกรก็ ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขน้ั ท่สี ามตอ่ ไป คอื ตดิ ต่อประสานงาน เพ่ือจดั หาทุน หรอื แหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วย ในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชวี ิต ท้งั นี้ ทงั้ ฝา่ ยเกษตรกรและฝ่าย ธนาคาร หรือบรษิ ทั เอกชนจะไดร้ บั ประโยชน์รว่ มกนั กล่าวคือ.......

เกษตรกรขายข้าวไดร้ าคาสงู (ไมถ่ ูกกดราคา) ธนาคารหรอื บริษัทเอกชนสามารถซอ้ื ขา้ วบรโิ ภคในราคาตา่ (ซื้อ ขา้ วเปลอื กตรงจากเกษตรกรและมาสี เอง) เกษตรกรซอ้ื เครอ่ื งอปุ โภคบริโภคไดใ้ นราคาต่า เพราะรวมกนั ซ้อื เปน็ จานวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคา ขายสง่ ) ธนาคารหรือบริษทั เอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพอื่ ไป ดาเนนิ การในกจิ กรรมต่างๆ ใหเ้ กดิ ผลดียง่ิ ข้นึ



พระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 10 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บณั ฑิตวิทยาลยั วิชาการศกึ ษา ประสานมติ ร ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๐๓ ความรู้กับคุณธรรมจะต้องเปน็ เร่อื งเดยี วกัน “ใหม้ คี วามวิตกไปว่า เด็กชนั้ หลงั จะหา่ งเหนิ จากศาสนาเลยกลายเปน็ คนไมม่ ธี รรมในใจมากข้ึน คนที่ไมม่ ธี รรมเปน็ เคร่ืองด าเนินตาม คงจะหันไปทางทจุ รติ โดยมาก ถา้ รูน้ อ้ ยก็โกงไม่ใคร่คลอ่ ง ฤาโกงไม่ สนิท ถ้ารมู้ ากกโ็ กงคลอ่ งข้นึ แลโกงพิสดารมากขึ้น การท่ีหัดใหร้ ู้อา่ นอกั ขรวิธี ไม่เป็นเคร่ืองฝกึ หัดใหค้ นดแี ลคนชวั่ เป็นแต่ได้วิธสี าหรบั จะเรยี นความดีความชัว่ ไดค้ ล่องขน้ึ ” (พระราชหตั ถเลขา ลน้ เกล้า ร.5 พ.ศ. 2441) พระราชกระแสรับสัง่ ด้านการศกึ ษา ของรัชกาลท่ี 9 1.1 “ครตู อ้ งสอนให้เด็กนักเรยี นมนี ้ าใจ เชน่ คนเรียนเกง่ ชว่ ยตวิ เพอื่ นที่เรยี นลา้ หลัง ใชส่ อนใหเ้ ด็ก คดิ แต่จะแข่งขนั (Compete) กบั เพ่ือน เพื่อให้คนเกง่ ได้ล าดบั ดๆี เชน่ สอบได้ท่หี นง่ึ ของช้ัน แตต่ อ้ งให้เด็ก แข่งขันกบั ตนเอง” (11 ม.ิ ย. 55)

2.1 “เรอื่ งครูมคี วามส าคัญไม่นอ้ ยกวา่ นักเรยี น ปัญหาหนง่ึ คือ การขาดครู เพราะจ านวนไม่ พอ และครูยา้ ยบ่อย ดังนนั้ กอ่ นคดั เลือกเดก็ ทจี่ ะพฒั นาตอ้ งพฒั นาครูกอ่ น ให้พรอ้ มท่ีจะสอนเด็ก ใหไ้ ด้ผลตาม ทต่ี ้องการ จึงจะตอ้ งคดั เลอื กครแู ละพัฒนาครู ตอ้ งตงั้ ฐานะในสงั คมของครใู หเ้ หมาะสม และ ปลกู จิตส านึกโดย ใช้ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง วธิ กี ารคอื การให้ทนุ และอบรม กล่าวคอื ต้องมคี วามรทู้ าง วชิ าการในสาขา ทีเ่ หมาะสมทีจ่ ะสอน ต้องอบรมวิธีการสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพ มีความเป็นครูท่แี ท้จรงิ คอื มี ความรกั ความเมตตาตอ่ เด็ก ควรเป็นครทู อ้ งที่เพ่อื จะได้มีความผกู พนั และคดิ ท่จี ะพัฒนาท้องถิ่นทเ่ี กดิ ของตน ไม่คิดยา้ ยไปยา้ ยมา” (11 มิ.ย. 55)

พระราชกระแสรบั สั่งของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี เก่ยี วกับการทรงงาน ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ก. พระเจ้าอยูห่ ัวทรงยึดมัน่ ในหนา้ ที่ ข. หน้าทีข่ องพระเจ้าอย่หู วั ต้องดูแลราษฎร เห็นอะไรท่จี ะท าเพือ่ บา้ นเมืองได้ก็ ตอ้ งท า (วารสารมลู นธิ ิชัยพัฒนา, ธ.ค. 2557). พระบรมราโชบาย/ พระราชกระแสรับสัง่ สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลท่ี 10 สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกรู ทรง ตอบรบั เป็นพระมหากษัตรยิ ์ เม่อื วนั ท่ี 1 ธันวาคม 2559 “เพ่ือสืบสานพระราชปณิธาน และเพอ่ื ประโยชน์ของประชาชนชาว ไทยทัง้ ปวง”

พระบรมราโชบายทั้งหมดนี้ ไม่ใชส่ ่ิงทยี่ ากเกนิ กวา่ ครจู ะทาและสั่งสอนศษิ ยใ์ ห้ ทาได้ หากครูตง้ั ใจสร้างศิษย์ให้ไดผ้ ลตามพระบรมราโชบายท้ัง ๔ ขอ้ นกี้ จ็ ะทา ใหช้ าตบิ ้านเมืองเจริญ ไม่มคี นทีน่ ิง่ ดูดายปลอ่ ยให้เกิดความชว่ั ความไม่ดใี น บ้านเมอื ง ทีส่ าคญั ประการหน่งึ คอื การรู้จักแยกแยะสงิ่ ทีถ่ ูกทผี่ ดิ สงิ่ ท่ดี ที ช่ี ั่ว และเลอื กรบั เลือกทาแต่ทางทถ่ี กู ทดี่ ี เดก็ ไทยควรรจู้ ักใชว้ จิ ารณญาณของตน ไม่ตามแฟชน่ั ตามสงั คมโดยไรส้ ติ. อีกประการหนงึ่ ที่ควรนอ้ มนามาใส่เกลา้ ฯ คอื พระบรมราโชบายท่ีวา่ เหน็ อะไรที่ควรทาเพอื่ บ้านเมอื งกต็ อ้ งทา คนไทย เห็นอะไรที่ควรทาเพอ่ื บ้านเมอื งกต็ อ้ งลงมอื ทา ไมป่ ลอ่ ยใหผ้ า่ นไปดว้ ย ความคดิ วา่ “ธรุ ะไมใ่ ช่” ดิฉันขอฝากพระบรมราโชบายน้ีให้ครูภาษาไทยใชเ้ ปน็ แนวทางการปฏบิ ตั ิตนและ เป็นแนวทางการสอนศษิ ย์ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามเพ่ือความม่นั คงก้าวหนา้ ของสงั คมไทย

จดั ทำโดย นำงสำว วันวสิ ำ โกษำจันทร์ ชั้น ปวช.2 เลขท่ี 13 โรงเรยี นน้ำรนิ พทิ ยำคม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook