Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged

ilovepdf_merged

Published by จุฑามาศ ตาสาย, 2021-01-27 12:26:53

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

โครงงานภาษาไทย การศึกษากลวิธีการสรางคํา ในบทเพลงราํ วงมาตาฐาน จดั ทําโดย ๑. นางสาวพชรนาฏ วังสด า น เลขที่ ๑๔ ๒. นางสาวธญั วรัตม รตั นา เลขท่ี ๑๘ ๓. นางสาวจุฑามาศ ตาสาย เลขท่ี ๒๔ ๔. นางสาวชนัญชิดา สังขแ กว เลขท่ี ๒๙ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี ๖/๒ เสนอ คณุ ครูธิรพงศ คงดวง รายงานโครงงานฉบบั นีเ้ ปน สวนหน่ึงของรายวิชาภาษาไทย (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรียนที่ ๒ ปก ารศกึ ษา ๒๕๖๓ โรงเรียนทปี ราษฎรพ ทิ ยา



โครงงานภาษาไทย เรอ่ื ง การศกึ ษากลวิธีการสร้างคำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จัดทำโดย ๑. นางสาวพชรนาฏ วังสด์ า่ น เลขท๑ี่ ๔ ๒. นางสาวธญั วรัตม์ รตั นา เลขที่ ๑๘ ๓. นางสาวจุฑามาศ ตาสาย เลขท่ี ๒๔ ๔. นางสาวชนัญชิดา สังขแ์ กว้ เลขท่ี๒๙ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖/๒ เสนอ คุณครู ธริ พงศ์ คงด้วง รายงานโครงงานฉบบั น้เี ปน็ ส่วนหนึ่งของรายวิชา ภาษาไทย (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ โรงเรียนทีปราษฎรพ์ ทิ ยา

ก คำนำ รายงานโครงงานฉบับนี้เป้นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย (ท๓๓๑๐๒) โดยมีจุดประสงค์เพ่ือ การศึกษากลวิธีการสร้างคำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน ทั้งนี้ในรายงานโครงงานฉบับนี้มีเนื้อหา ซึ่ง ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับการสร้างคำ ซึ่งได้แก่ การใช้คำซ้อน และการใช้ภาพพจน์ได้แก่ คำอุปมา อุป ลกั ษณ์ และบคุ คลวตั ผูจ้ ัดทำได้เลอื กหวั ข้อน้ใี นการศึกษา เนอ่ื งมาจากเป็นเรอ่ื งทน่ี ่าสนใจ เปน็ เรอ่ื งทใ่ี กลต้ วั เพราะบทเพลง รำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ นั้น เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนในรายวิชานาฏศิลป์ ผู้จัดทำตัวขอขอบคณุ ครูธิรพงษ์ คงด้วง ผู้ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา หวังว่ารายงานโครงงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็น ประโยชน์แกผ่ ูอ้ ่านทุกๆทา่ น หากมีขอ้ เสนอแนะประการใด ทางผจู้ ดั ทำขอรบั ไวด้ ว้ ยความขอบพระคุณยิ่ง คณะผู้จัดทำ

ข กิตติกรรมประกาศ รายงานโครงงานฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้นั้น คณะผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณ นายธิรพงศ์ คงด้วง คุณครูที่ปรึกษารายวชิ าภาษาไทย(ท๓๓๑๐๒) ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษาและขอ้ เสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ เพ่ือ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขรายงานโครงงานฉบบั น้ีใหเ้ หมาะสมมคี วามถกู ตอ้ งสมบูรณม์ ากยิง่ ขึ้น ขอขอบพระคุณคุณครูอัญชรีย์ มีแสง คณุ ครรู ายวิชาภาษาไทยที่ไดใ้ ห้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลอื ในการดำเนนิ การต่างๆอยา่ งดยี งิ่ สุดทา้ ยขอขอบคุณ พ่อ แม่ พี่ และนอ้ งทกุ คน รวมทัง้ ญาตๆิ และบุคคลรอบขา้ งทุกคนทคี่ อยช่วยเหลอื ให้กำลังใจ และให้การสนับสนนุ ในเร่ืองต่างๆ แก่คณะผู้จัดทำ ด้วยดีเสมอมาและเขา้ ใจในสิง่ ทีเ่ ป็นอุปสรรคที่ เกดิ ขนึ้ ระหว่างการศึกษาโครงงานจนทำให้รายงานโครงงานฉบับนี้สำเร็จลงได้อย่างสมบรู ณ์ คณะผู้จัดทำขอ กราบขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงมา ณ โอกาสนีด้ ว้ ย คณะผ้จู ัดทำ

สารบัญ หนา้ เรอื่ ง ก ข คำนำ ๑ กิตติกรรมประกาศ ๑ บทท่ี ๑ บทนำ ๑ ๒ - ความเป็นมาและความสำคญั ของการศึกษาค้นคว้า ๒ - วัตถปุ ระสงคใ์ นการศึกษาค้นคว้า ๒ - ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ ๓ - ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ ๑๒ - นิยามศัพทเ์ ฉพาะ ๑๒ บทที่ ๒ เอกสารและงานวจิ ยั ๑๓ บทที่ ๓ วธิ ีดำเนนิ การจัย ๑๓ - แหล่งขอ้ มูล ๑๓ - เกณฑ/์ ประเดน็ ในการวเิ คราะห์ ๑๔ - การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๑๕ - การวิเคราะห์ข้อมลู ๑๙ - ระยะเวลาในการดำเนินการ ๑๙ บทที่ ๔ การวิเคราะห์ ๑๙ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ๒๐ - การสรปุ ผลข้อมลู ๒๑ - อภปิ รายผล - ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาคน้ คว้าคร้งั ตอ่ ไป บรรณานกุ รม

๑ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของการศึกษาค้นควา้ ในยุคปัจจุบันนั้นการแสดงมีหลายอย่างทำให้มนุษย์ได้รับความบันเทิง หลายครั้งที่เพลงได้เข้าไป ประกอบอยู่ในการแสดง ทั้งการแสดงละคร การแสดงเต้น การแสดงร้อง การแสดงรำ ล้วนแล้วแต่เป็นการ สรา้ งสรรค์ข้ึน เพ่ือเน้นให้ความบนั เทงิ แก่ผู้ชมทเ่ี ข้ามาดกู ารแสดง บทเพลงจงึ เปน็ ส่ิงทท่ี ำให้การแสดงดูมีสีสัน มากขึ้น ทำให้การส่ือความหมายไดม้ ากขึ้นอีกดว้ ย ซึ่งบทเพลงตา่ งๆท่ีเราฟังน้ันเปน็ สิ่งที่มนุษยส์ ร้างสรรค์ขน้ึ เพื่อประกอบการแสดงใหด้ มู ีสีสนั มอี รรถรสในการรับชมการแสดงแต่ละชดุ ที่จดั แสดง การสื่อความหมายของ เพลงแต่ละเพลงขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องที่จะแสดง เพลงประกอบเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นความหมายที่ ชัดเจนย่งิ ข้นึ บทเพลงประกอบการแสดงมหี ลายรูปแบบ ทง้ั เพลงช้า เพลงเรว็ เพลงที่ให้ความหมายตา่ งๆ ท้ังนี้ เลยจะยกตัวอย่างเป็นบทเพลงที่ประกอบการแสดงรำ การแสดงรำนั้นต้องใช้บทเพลงในการเล่าเรื่อง ใช้บท เพลงในการส่อื ความหมายถงึ ท่าทางท่ีใช้ประกอบการแสดง ใช้ให้การให้จังหวะแก่คนแสดง ในที่น้ีจะกล่าวถึง บทเพลง “รำวงมาตรฐาน” ซึ่งมคี วามหมาย ถึงการแสดงรำโทนที่ชาวบ้านทัง้ ชายและหญิงได้นำมาแสดงกัน เปน็ คๆู่ ลอ้ มวงกนั รำโทนนนั้ เปน็ การแสดงของชาวบ้านจนเป็นทนี่ ยิ ม จากบทการขบั รอ้ งท่ีไม่มรี ูปแบบแผนที่แน่ ชัดจนกลายเปน็ เพลงรำวงมาตรท่ีมที ง้ั ท่ารำการขับร้องอย่างเป็นแบบแผน ทั้งนี้เพอ่ื ให้เกิดความสนุกในแต่ละ ทา่ แตล่ ะเพลง การแสดงรำวงมาตรฐานนน้ั จดั ข้นึ เพือ่ สรา้ งความบนั เทงิ สรา้ งสีสัน โดยทเ่ี พลงรำวงมาตรฐานนั้น ประกอบด้วยเพลงจำนวน ๑๐ เพลง อันเป็นเพลงที่ไพเราะและท่ารำประกอบยังเป็นท่าที่สามารถฝกึ ได้ง่าย และมคี วามหมายส่ือไปตามเน้อื เพลงจนไดร้ ับความนิยมใหเ้ ป็นการใชท้ ่ารำและขบั ร้องจนทกุ คนทีไ่ ดเ้ หน็ ตา่ งพา กนั ยกให้เป็นเพลงมาตรฐานในการฝกึ หัดรำ ทง้ั น้ีเพลงแต่ละเพลงล้วนมีความหมายและมกี ารใช้คำที่แต่ต่างกัน ออกไป ดังน้นั คณะผู้จดั ทำจงึ สนใจและต้องการศกึ ษาการใช้คำ การสร้างคำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน 10 เพลง โดยประเด็นที่จะทำการศึกษา ได้แก่ คำซ้อนในแต่ละเพลงมีกี่ครั้ง การใช้ภาพพจน์ได้แก่ อุปมา อุป ลักษณ์ และบุคคลวัต วา่ ภาพพจน์ท่ีไดก้ ำหนดนัน้ มกี ี่ครง้ั ท่ีประกอบในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จนนำแต่ละคร้ัง ที่ศึกษามาหาความถ่ีในการใช้คำซ้อน อุปมา อุปลักษณ์ และบุคคลวัต จึงเป็นที่มาและความสำคัญของ การศกึ ษา วัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นควา้ ๑. เพื่อศกึ ษากลวธิ กี ารใช้คำซ้อนในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ๒. เพ่ือศกึ ษาการใชภ้ าพพจน์ได่แก่ อปุ มา อปุ ลักษณ์ และบุคคลวัตทีป่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง

๒ ขอบเขตของการศกึ ษาค้นคว้า ๑. เน้ือหาทีใ่ ช้ในการครัง้ น้ี คือ เน้อื เพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ๒. การวิเคราะหก์ ลวธิ กี ารใชค้ ำทป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตร ผ้จู ดั ทำไดใ้ ช้เกณฑก์ ารวเิ คราะหก์ ารใช้คำ ของ คุณครภู าทิพ ศรีสทุ ธิ์ จากการวเิ คราะห์ “การสรา้ งคำในภาษาไทย”๑ มาเปน็ แนวทางในการ วเิ คราะห์การใชค้ ำ โดยเกณฑก์ ารวิเคราะห์การใช้ ‘คำซอ้ น’ ๓. การวิเคราะห์ภาพพจน์ที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน ผู้จัดทำได้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์การใช้ ภาพพจน์ของ รงุ่ ภัสสรณ์ ศรทั ธาธนพฒั น์ และ ประเทือง ทินรัตน์ จากการวิเคราะห์ โวหารภาพพจน์ ในวรรณกรรมร้อยแกว้ ในรัชกาลพระบาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยู่หวั มาเป็นแนวทางในการวเิ คราะห์ การใช้คำ โดยเกณฑ์การวเิ คราะห์การใชค้ ำ ดงั น้ี ๑. อปุ มา ๒. อปุ ลกั ษณ์ ๓. บุคคลวตั ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รับ ๑. ไดศ้ ึกษากลวิธีการใช้คำซ้ำในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ๒. ได้ศึกษาการใช้ภาพพจน์ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ และบุคคลวัตที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ๑. รำวงมาตรฐาน หมายถงึ เปน็ การแสดงทีม่ วี วิ ัฒนาการมาจาก รำโทน เป็นการรำและการร้องของ ชาวบ้าน ซงึ่ จะมผี ูช้ ายและผู้หญิงรำกันเป็นคูๆ่ รอบๆ และรำกนั เป็นวงกลม ๒. เพลงรำวงมาตรฐาน หมายถงึ เพลงทีใ่ ชป้ ระกอบการแสดงรำวงมาตรฐานท่จี ำนวน ๑๐ เพลง ซง่ึ ประกอบไปด้วยเพลง เพลงงามแสงเดอื น เพลงชาวไทย เพลงราํ ซมิ าราํ เพลงคนื เดอื นหงาย เพลงดวง จันทร์วันเพญ็ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญงิ ไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ เพลงบชู านกั รบ ๓. เพลง หมายถึง การจดั กระทำต่อเสยี งให้อยูใ่ นรปู แบบใดรปู แบบหนง่ึ อาจมีเนอ้ื ร้องหรือไม่มีก็ได้ โดย มีผลต่อผู้ที่ได้รับฟังในรูปแบบต่าง ๆ กันไปตามประเภทและรูปแบบของเพลง โดยเพลงสามารถ สร้างสรรคจ์ ากเคร่อื งดนตรีและหรอื การขบั ร้องก็ได้ ๔. กลวิธกี ารใชค้ ำ หมายถึง รปู แบบการเลือกใชค้ ำ เพ่อื มหเ้ กดิ ความไพเราะหรือมีความหมายทีล่ ึกซ้งึ กิน ใจมากขึน้ เช่น การเลน่ คำ การซ้ำคำ เปน็ ตน้

๓ ๕. คำซอ้ น หมายถงึ คำทม่ี ีคำเด่ียว ๒ คำ อนั มีความหมายหรอื เสยี งคลา้ ยกนั ใกล้เคียงกัน หรือเปน็ ไปใน ทำนองเดียวกัน ซอ้ นเขา้ คูก่ นั เมอ่ื ซอ้ นแล้วจะมีความหมายใหมเ่ กดิ ขึ้น ๖. ภาพพจน์ หมายถึง ถ้อยคำท่ีเปน็ สาํ นวนโวหารทาํ ให้นกึ เหน็ เป็นภาพ ถอ้ ยคำที่เรยี บเรยี งอยา่ งมชี ั้นเชงิ เป็นโวหาร มีเจตนาใหม้ ีประสิทธิผลต่อความคดิ ความเข้าใจ ให้จินตนาการและถ่ายทอดอารมณไ์ ด้ อย่างกว้างขวางลึกซง้ึ กว่าการบอกเล่าทต่ี รงไปตรงมา ๗. อุปมา หมายถึง การเปรียบเทียบของสองสิ่ง ซึ่งอาจไม่ใช่ของชนิดเดียวกันหรือเรื่องเดียวกันว่า เหมือนกัน คำที่ใช้ในการเปรียบเทียบคือ คำว่า เหมือน คล้าย ดุจ ดูราว กล ประหนึ่ง เพียง ราวกบั ดง่ิ เฉก ดงั แมน้ ละม้าย เป็นตน้ ๘. อุปลกั ษณ์ หมายถงึ การเปรียบเทียบของสองส่ิงซ่ึงอาจไมใ่ ชข่ องชนิดเดียวกันหรือเร่ืองเดียวกนั วา่ เป็น สิ่งเดียวหรือเทา่ กันทกุ ประการโดยใชค้ ำวา่ เปน็ เทา่ คือในการเปรียบเทยี บ ๙. บคุ คลวัต หมายถงึ การใช้ภาษาในลกั ษณะท่ที ำใหด้ เู หมอื นวา่ สรรพสิ่งทง้ั หลายที่ไม่ใช่คนเป็นคน

๔ บทที่ ๒ เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง ในการวิจัยเร่อื ง การศกึ ษากลวธิ ีการสรา้ งคำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน ครั้งนี้ผู้วจิ ยั ไดศ้ ึกษาเอกสาร และงานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง โดยจำแนกเป็นความรหู้ ลกั ๆได้ดงั น้ี ๑. ความรเู้ กี่ยวกับบทเพลงรำวงมาตรฐาน ๒. ความรเู้ รื่องแนวคดิ ทีป่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน ๓. ความรเู้ รือ่ งการใชก้ ลวธิ ีการใช้ คำซ้อน ๔. ความรู้เรื่องการใชภ้ าพพจน์ไดแ้ ก่ อุปมา อปุ ลักษณ์ และบคุ คลวัตทป่ี รากฏในบทเพลงรำวง มาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ๑. ความรู้เก่ยี วกบั บทเพลงราวงมาตรฐาน บทเพลง คอื การทำเสียงแตล่ ะเสยี งมตี ่อกนั จนทำใหเ้ กิดเพลง อาจมเี นือ้ ร้องหรอื ไม่มีกไ็ ด้ โดยการต่อ เพลงนั้นต้องแล้วแต่ผู้ที่ได้ฟังบทเพลงนั้น โดยบทเพลงนั้นสามารถใช้เครื่องดนตรีและหรือการขับร้องมา ประสานกัน บทเพลงสามารถใช้ในรายรูปแบบรวมทั้งการใช้ในการแสดงต่างๆ รวมไปจนถงึ การรำ รำน้ันต้อง ใชด้ นตรใี นการประกอบการแสดงรำไม่กระท่ังการท่ีมเี พยี งแค่เสียงดนตรแี ค่หนง่ึ ชิ้นกต็ ามจนไปถงึ การเป็นรำที่ มีดนตรหี ลายแบบ การขับรอ้ งจนไปถึงการแสดงให้มใี นรปู แบบของบทเพลง พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน (๒๕๕๔) ได้ให้ความหมายของ “เพลง” ไวว้ า่ “…..น. สำเนียงขับรอ้ ง, ทำนองดนตร,ี บทประพนั ธด์ นตรี, กระบวนวิธีรำดาบรำทวนเปน็ ตน้ , ชอ่ื การ ร้องแก้กนั มีชอื่ ตา่ ง ๆ เช่น เพลงปรบไก่ เพลงฉ่อย.” “…..น. โดยปริยายหมายถึง แบบอย่าง เชน่ ต่างกนั ไปคนละเพลง (พระราชหตั ถเลขา ร. ๕ ถึงสมเด็จ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส), ชนั้ เชิง เชน่ ร้อยภาษามาสู่เคยรู้เพลง (อภยั ).” (วกิ ีพเิ ดยี สารานุกรมเสร)ี ได้ให้ความหมายของ “เพลง” ไวว้ ่า “….. “เพลง” หมายถงึ การจัดกระทำตอ่ เสียงให้อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจมีเนอื้ รอ้ งหรือไม่มี ก็ได้ โดยมีผลต่อผู้ที่ได้รับฟังในรูปแบบต่าง ๆ กันไปตามประเภทและรูปแบบของเพลง โดยเพลงสามารถ สร้างสรรค์จากเครอ่ื งดนตรีและหรอื การขบั ร้องกไ็ ด้” สรุปไดว้ า่ “เพลง”หมายถงึ บทเพลงทีผ่ ูแ้ ต่งต้องการแต่งขึ้น บทเพลงมที งั้ ทม่ี ีเนื้อรอ้ งและไม่มีเนื้อร้อง มีทั้งจังหวะและทำนองดนตรีสร้างสีสันในบทเพลง เพื่อสร้างความสนุกให้แก่ผู้ที่ฟัง หรือให้ความรู้นำไป ดำรงชีวติ ตามบทเพลงทีไ่ ดฟ้ ังเพอ่ื ทำปรบั ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนม์ ากข้นึ เพลงรำวงมาตรฐาน หมายถึง บทเพลงที่ผู้แต่งได้แต่งข้ึนเพื่อประกอบการรำในบทเพลงรำวง มาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง แตล่ ะเพลงสื่อความหมายของเพลงไดด้ ีและท่ารำประกอบน้ันสามารถเข้ากับเน้ือ

๕ เพลงท่แี ตง่ ขน้ึ ได้ เพลงรำวงมาตรฐานยงั มีชือ่ ท่สี อดคลอ้ งกับเน้อื รอ้ ง เชน่ เพลงงามแสงเดอื น เนอ้ื เพลงกลา่ วถึง ยามท่ีแสงจนั ทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ ดูสวยงาม ผคู้ นทม่ี าเล่นรำวงยามทีแ่ สงจนั ทร์ส่องกม็ ีความงดงามดว้ ย การรำวงนีเ้ พอื่ ให้มีความสนกุ สนาน มีความสามคั คีกัน และละท้ิงความทุกขใ์ ห้หมดสิน้ ไป เป็นตน้ ๒. ความรู้เรือ่ งแนวคิดทีป่ ราฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน ธรี ารตั น์ งามปลงั่ (๒๕๕๑) ไดอ้ ธบิ ายแนวคิด (แนวคดิ ในทน่ี ้ีคือความหมายของบทเพลงรำวงมาตรฐาน) ไว้วา่ ๑. เพลงงามแสงเดือน มคี วามหมายว่า ยามเมือ่ แสงจันทร์ส่องมายังโลกทําให้โลกน้ีดูสวยงาม ผู้คนทมี่ า เล่นราํ วงยามท่แี สงจันทร์ส่องกม็ ีความงดงามดว้ ย การราํ วงนีเ้ พื่อให้มีความสนกุ สนาน มีความสามัคคี กันและละทงิ้ ความทุกข์ให้หมดส้ินไป ๒. เพลงชาวไทย มีความหมายว่า หน้าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทํา อย่าได้ละเลยไปเสียในการที่เราได้มาเล่นรําวงกันอย่างสนุกสนาน ปราศจากทุกข์โศกทั้งปวงนี้ก็ เพราะว่า ประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมีเสรีในการจะคิดจะทําสิ่งใด ๆ ดังนั้น เราจึงควร ชว่ ยกันเชดิ ชชู าติไทยให้เจรญิ รุ่งเรืองต่อไป เพอ่ื ความสุขยงิ่ ๆ ขึน้ ของไทยเราตลอดไป ๓. เพลงรําซิมารํา มีความหมายว่า ขอพวกเรามาเล่นรําวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้ คลายทุกข์ ถึงเวลางานก็จะทํางานกันจริง ๆ เพื่อจะได้ไม่ลําบาก และการรําก็จะรําอย่างมีระเบียบ แบบแผนตามวฒั นธรรมไทยของเราแล้วจะดงู ดงามยงิ่ ๔. เพลงคืนเดือนหงาย มคี วามหมายวา่ เวลากลางคนื เป็นคนื เดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่ก็ ยังไม่สบายใจเท่ากับการทีไ่ ด้ผูกมิตรกับผู้อ่ืน และที่ร่มเย็นไปท่ัวทกุ แห่งย่ิงกว่าน้ำฝนท่โี ปรยลงมาก็คือ การที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเอกราช มีธงชาตไิ ทยเป็นเอกลกั ษณ์ ทาํ ให้รม่ เย็นทัว่ ไป ๕. เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ มีความหมายว่า พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั่นช่างดูสวยงาม เพราะเป็นพระจนั ทร์ทรงกลด คือมแี สงเล่ือมกระจายออกรอบดวงจนั ทร์ทัง้ ดวง แต่ถึงจะงามอย่างไรก็ ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้าหญิงสาว ที่ดูผุดผ่องมีน้าํ มีนวล อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน กิริยาวาจาก็ ออ่ นหวานไพเราะ สมแล้วกับที่เปรยี บว่าหญงิ ไทยนีค้ อื ดอกไม้ของชาตไิ ทยเรา ๖. เพลงดอกไม้ของชาติ มีความหมายว่า ผู้หญิงไทยเปรยี บได้กับเป็นดอกไม้ของชาติ ยามที่กรีดกราย ร่ายรํากด็ ูอ่อนช่อยงดงามมีเสน่ห์ตามแบบแผนของนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า ชาติไทยเรา เป็นชาติที่เจรญิ รุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรม หญิงไทยเรานี้นอกจากจะมคี วามสวยงามแล้ว ด้านการงานก็ สามารถทาํ ได้ทกุ อย่าง ยอมเหน่ือยยากลาํ บากเพือ่ ช่วยชายสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรอื งตามนโยบายของ ชาติ ๗. เพลงหญงิ ไทยใจงาม มคี วามหมายว่า ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ามีความงดงามมาก และยง่ิ ได้ แสงอันระยิบระยบั ของดวงดาวด้วยแล้ว ยิ่งทําให้ดวงจันทร์นัน้ งามเด่นยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนกับดวง

๖ หน้าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว ถ้ามีคุณความดีด้วย ก็จะทําให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ ผู้ หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญดังที่มี ช่ือเสยี งปรากฏอยู่ท่ัวไป ๘. เพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า มคี วามหมายว่า ในเวลาคาํ่ คืนท้องฟ้ามีดวงจนั ทร์ประจาํ อยู่ ในใจของชายก็มี หญงิ อนั เป็นสุดท่รี ักประจาํ อยู่เช่นกนั สงิ่ ท่เี ทดิ ทูนยกย่องไว้กค็ อื ชาตไิ ทยทเี่ ป็นเอกราช มีอิสระแก่ตนไม่ ข้นึ กบั ใคร และส่งิ ทแี่ นบสนทิ อยู่ในใจของชายก็คอื หญิงอันเป็นสดุ ท่ีรัก ๙. เพลงยอดชายใจหาญ มคี วามหมายวา่ ขอผูกมติ รไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ และจะขอมสี ่วนในการทาํ ประโยชน์ทําหน้าทข่ี องชาวไทย แม้จะลําบากยากแค้น ก็จะขอช่วยเหลอื จนเต็มความสามารถ ๑๐.เพลงบูชานักรบ มีความหมายว่า น้องรักและบูชาพี่ เพราะพี่มีความกล้าหาญ เป็นนักสู่ที่เก่งกล้า สามารถสมกับเป็นชายชาตนิ ักรบที่มคี วามมานะอดทน แม้วา่ จะยากเย็นแสนเข็ญ พี่ก็ตอ่ สู้จนชื่อเสียง เลื่องลือไปท่ัว นอกจากนี้พี่ยังขยนั ขันแข็งในงานทุกอย่าง อุตส่าห์สร้างหลกั ฐานให้ม่ันคง และพี่ยังมี ความรกั ในชาติบ้านเมอื งยิ่งกว่าชวี ติ ยอมสละได้แม้ชวี ิตและเลือดเนอื้ เพ่ือให้ชาตไิ ทยคงอยู่คโู่ ลกต่อไป ๓. ความรเู้ รอ่ื งการใชก้ ลวิธีการใชค้ ำซ้อน คุณครภู าทิพ ศรสี ุทธิ์ (๒๕๔๐) ไดอ้ ธิบายการใชค้ ำในการวเิ คราะห์ การสร้างในภาษาไทย : กรณีศกึ ษา คำซอ้ น ในเพลงรำวงมาตรฐาน โดยใหค้ วามหมายการใชค้ ำในแตล่ ะลกั ษณะไวว้ ่า คำซ้อน หมายถึง คำทม่ี ีคำเดีย่ ว ๒ คำ อนั มีความหมายหรือเสียงคล้ายกนั ใกล้เคยี งกัน หรือเปน็ ไปใน ทำนองเดียวกัน ซอ้ นเขา้ ค่กู นั เมอ่ื ซ้อนแลว้ จะมีความหมายใหม่เกิดขนึ้ หรอื มคี วามหมายและท่ีใชต้ ่างออกไป บ้าง คำซ้อนแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื ๑)คำซอ้ นเพ่อื ความหมาย วิธสี รา้ งคำซอ้ นเพอ่ื ความหมาย ๑. นำคำเดย่ี วทมี่ ีความหมายสมบูรณ์ มีทใ่ี ชใ้ นภาษามาซอ้ นเขา้ คู่กนั คำหนึ่งเปน็ คำต้น อีกคำหน่ึงเป็น คำท้าย คำตน้ กบั คำทา้ ยมีความหมายคลา้ ยกันใกลเ้ คียงกนั หรอื ไปในทำนองเดยี วกัน อาจเปน็ คำไทยด้วยกนั หรือคำต่างประเทศดว้ ยกันหรือเปน็ คำไทยกับคำตา่ งประเทศซอ้ นกนั เข้ากนั กไ็ ด้ ๒. ซ้อนกันแล้วต้องเกิดความหมายใหม่ ซึ่งอาจไม่เปลี่ยนไปจากความหมายเดิมมากนัก หรืออาจ เปลี่ยนไปเป็นอันมาก แต่ถึงจะเปลี่ยนความหมายหรือไม่เปลี่ยนอย่างไรก็ตาม ความหมายใหม่ย่อมเนือ่ งกบั ความหมายเดิม พอเห็นเค้าความหมายได้

๗ ประโยชนข์ องคำซอ้ นเพื่อความหมาย ๑.ทำใหไ้ ด้คำใหมห่ รือคำท่ีมคี วามหมายใหม่ขน้ึ ในภาษา เชน่ คำ แน่น กับ หนา 2 คำ อาจสรา้ งให้เป็น หนาแน่น แนน่ หนา ๒.ช่วยแปลความหมายของคำที่นำมาซ้อนกนั คำท่ีนำมาซอ้ นกนั ต้องมคี วามหมายคลา้ ยกัน ๓.ช่วยทำให้รู้หน้าทีข่ องคำและความหมายของคำได้สะดวกขึ้นเช่น คำ เขา อาจเป็นได้ทั้งนามและ สรรพนาม ความหมายก็ต่างกันไปด้วยถา้ ซ้อนกนั เป็น เขาหนัง (ดงั ที่กลา่ วว่า จบั ไดค้ าหนังคาเขา หรือในโคลง ที่วา่ โคความวายชีพดว้ ยเขาหนัง) ย่อมรู้ได้ว่า เขา เป็นคำนาม หมายถงึ อวยั วะส่วนหน่งึ บนหวั ของสัตว์บางชนิด แต่ถ้าซ้อนกันเป็น ของเรา (เช่นที่พูดว่าถือเขาถือเรา) เช่นนี้ เขาต้องเป็นสรรพนาม หมายถึงผู้ที่เราพดู ถึงถ้า หากวา่ ใช้คำเด่ยี วๆ ๔.ชว่ ยกำหนดเสยี งสงู ตำ่ ใหไ้ ด้ และทำใหร้ ูค้ วามหมายไปได้พร้อมกัน เชน่ นา้ อา หน้าตา หนาแน่น ลกั ษณะของคำซ้อนเพ่อื ความหมายทีเ่ ปน็ คำไทยซอ้ นดว้ ยกนั ๑.ซอ้ นแล้วความหมายจะปรากฏอยู่ท่ีคำตน้ หรือคำท้ายตรงตามความหมายนัน้ เพียงคำใดคำเดียว อีก คำหนึง่ ไม่มคี วามหมายปรากฏ เชน่ ที่ความหมายปรากฏอยู่ท่คี ำตน้ ไดแ้ กค่ อเหนียง (ในความ คอเหนียงแทบ หกั )ใจคอ (ในความ ใจคอไม่อยู่กบั เนือ้ กบั ตัว)แกม้ คาง (ในความ แกม้ คางเปือ้ นหมด) หัวหู (ในความ หัวหยู งุ่ )ท่ี ความหมายปรากฏอย่ทู ค่ี ำท้าย ไดแ้ ก่หูตา (ในความ หูตาแวววาว)เนือ้ ตัว (ในความ เน้อื ตัวมอมแมม) ๒.ความหมายของคำซอ้ นปรากฏทค่ี ำใดคำเดียวตรงตามความหมายนน้ั ๆ เช่นขอ้ ๑ ตา่ งกันกแ็ ตค่ ำ ทมี่ าซ้อนเข้าคู่กันเป็นคำตรงกันขา้ มแทนทีจ่ ะมคี วามหมายเนือ่ งกับคำตรงกนั ข้ามนน้ั ๆ กลบั มีความหมายที่คำ ใดคำเดยี วอาจเป็นคำต้นกไ็ ด้คำท้ายกไ็ ด้ทป่ี รากฏทค่ี ำต้น ไดแ้ ก่ ผิดชอบ (ในคำ ความรับผดิ ชอบ)ท่ปี รากฏทีค่ ำ ทา้ ย ไดแ้ ก่ ไดเ้ สีย (เชน่ เล่นไพ่ไดเ้ สยี กนั คนละมากๆ) ๓.ความหมายของคำซ้อนที่ปรากฏอยู่ที่คำทั้งสอง ทั้งคำต้นและคำท้าย แต่ความหมายต่างกับ ความหมายของคำเด่ียวอยู่บ้าง เช่น พ่ีนอ้ งหมายถงึ ผ้ทู ีอ่ ยใู่ นวงศ์วานเดียวกันเป็นเชอื้ สายเดียวกันใครอายุมาก นบั เป็นพ่ี ใครอายนุ ้อยนบั เป็นน้อง ถ้าใชค้ ำว่าพีน่ ้องทอ้ งเดียวกนั จึงถอื เปน็ ผูร้ ่วมบดิ ามารดาเดยี วกันลูกหลาน กเ็ ช่นกัน มไิ ด้หมายเจาะจงว่า ลกู และหลาน หรอื ลกู หรือหลาน เชน่ เขาเป็นลกู หลานครู ย่อมหมายถึงผู้ที่สืบ เช้ือสายมาจากครู อาจเป็นลกู หรือหลายหรือเหลน กไ็ ด้ ไมไ่ ด้ระบุลงไปแน่ ๔.ความหมายของคำซอ้ นปรากฏเด่นอยู่ท่ีคำใดคำเดยี ว ส่วนอีกคำหนึง่ ถงึ จะไม่มีความหมายปรากฏ แต่กช็ ว่ ยเน้นความหมายยงิ่ ข้ึนเชน่ เงยี บเชยี บ เชยี บไม่มคี วามหมาย แต่ชว่ ยทำใหค้ ำ เงียบเชียบมคี วามหมายว่า เงยี บ มากย่ิงกวา่ เงยี บ คำเดย่ี วคำเดยี วดือ้ ดงึ กม็ ลี ักษณะ ด้ือ มากกวา่ ดื้อดึง ขนาดใครว่าอย่างไรก็ไม่ฟัง จะ ทำตามใจตนใหไ้ ดค้ ลา้ ยคลึง มลี กั ษณะ เหมือน มากกวา่ คล้าย ๕.ความหมายของคำซอ้ นกับคำเดยี่ วต่างกนั ไป บางคำอาจถึงกบั เปลี่ยนไปเปน็ คนละความ ท่ีใดควรใช้ คำเดยี ว กลบั ไปใช้คำซอ้ นหรือกลับกนั ทใ่ี ดควรใชค้ ำซอ้ นกลับไปใชค้ ำเดี่ยว เช่นน้ี ความหมายย่อมผิดไป คำ

๘ ซ้อนลกั ษณะนไ้ี ด้แกพ่ รอ้ ม กับ พรอ้ มเพรยี ง เชน่ เด็กมีความพรอ้ มทีจ่ ะเรียนหมายความว่า ประสาทตา่ งๆ ถึง เวลาจะทำงานได้ครบถว้ น เพราะพรอ้ ม แปลวา่ เวลาเดยี วกนั ครบครัน ฯลฯ หากใช้ว่าเดก็ มีความพร้อมเพรยี ง ที่จะเรียน ตอ้ งหมายว่ามีความรว่ มใจกนั เป็นอันหนึ่งอนั เดียวกันในการเรียน เพราะพรอ้ มเพรยี ง มีความหมาย เช่นน้ันแขง็ กบั แข็งแรง แข็งอาจใชไ้ ดท้ ั้งกายและใจ เชน่ เป็นคนแข็งไมย่ อมออ่ นข้อให้ใคร หรอื ใจแขง็ ไม่ สงสาร ไมย่ อมตกลงดว้ ยง่ายๆ สว่ นแข็งแรง ใช้แตท่ างกายไมเ่ ด่ียวกับใจ คนแข็งแรงคือคนร่างกายสมบรู ณม์ ี เรยี่ วแรงมาก ๖.คำซอ้ นท่คี ำตน้ เปน็ คำคำเดียวกนั แต่คำทา้ ยต่างกัน ความหมายย่อมตา่ งกนั ไป เช่นจดั จา้ น (ปากกล้า ปากจัด) กับ จัดเจน (สันทดั ชำนาญ)เคลือบแคลง (ระแวง สงสัย) กบั เคลอื บแฝง(ช่วนสงสัยเพราะความจริงไม่ กระจา่ ง)ขดั ข้อง (ติดชะงกั อยู่ ไมส่ ะดวก) กับ ขดั ขวาง (ทำใหไ้ มส่ ะดวกไปได้ไม่ตลอด) ๗.ความหมายของคำซอ้ นขยายกว้างออก ไมไ่ ดจ้ ำกดั จำเพาะความหมายของคำเดยี่ วสองคำมาซอ้ นกัน ไดแ้ กเ่ จบ็ ไข้ ไมไ่ ดจ้ ำกดั อยูแ่ ต่เพียงเจ็บเพราะบาดแผลหรอื ฟกชำ้ และมีอาการความร้อนสูงเพราะพิษไข้ แต่ หมายถึงอาการไม่สบายเพราะสุขภาพไมไ่ ดีเรอื่ งใดๆ ก็ได้ทุบตี หมายถงึ ทำรา้ ยดว้ ยวธิ ีการต่างๆ อนั อาจเปน็ เตะ ตอ่ ย ทุบ ถอง ฯลฯ ไม่ไดห้ มายเฉพาะทำร้ายดว้ ยวิธที ุบและตเี ทา่ นน้ั ฆา่ ฟัน ไม่จำเป็นตอ้ งทำให้ตายด้วยคมดาบ อาจใช้ปืนหรืออาวธุ อยา่ งอื่นทำให้ลม้ ตายกไ็ ด้ ๒)คำซอ้ นเพือ่ เสยี ง ดว้ ยเหตุท่คี ำซ้อนเพ่ือเสยี ง มุง่ ทเ่ี สียงยิ่งหว่าความหมาย คำท่เี ข้ามาซ้อนกนั จึงอาจจะไม่มคี วามหมาย เลย เช่น โล กับ เล หรอื มคี วามหมายเพียงคำใดคำเดียว เชน่ มอมกับแมม มอม มคี วามหมายแต่ แมม ไมม่ ี ความหมาย บางทแี ตล่ ะคำมคี วามหมาย แต่ความหมายไม่เน่อื งกับความหมายใหม่เลย เชน่ งอแง งอ หมายวา่ คด โคง้ แต่ แง หมายถึงเสียงรอ้ งของเดก็ ส่วนงอแง หมายว่า ไม่สู้ เอาใจยาก วธิ กี ารสรา้ งคำซอ้ นเพ่อื เสียง จึง ต่างกบั คำซ้อนเพื่อความหมายดังน้ี วธิ ีสรา้ งคำซ้อนเพื่อเสยี ง ๑.นำคำท่ีเสยี งมีทเี่ กิดระดับเดียวกนั หรือใกลเ้ คยี งกนั ซอ้ นกนั เข้า ๒.ซ้อนกนั แล้ว จะเกดิ ความหมายใหม่ ซ่งึ โดยมากไมเ่ นอื่ งกบั ความหมายของคำเด่ียวแต่ละคำ แต่ท่ีมี ความหมายเนื่องกันก็มี สระหน้ากับกลาง อิ + อะ เช่น จริงจัง ชิงชัง เอะ เอ + อะ อา เช่น เกะกะ เปะปะ เบะบะ เละละ เกง้ กา้ ง เหงง่ หง่าง แอะ แอ + อะ อา เช่น แกรกกราก สระกลางกับกลาง อึ + อะ เช่น ขึงขัง ตึงตัง กึงกงั ตึกตกั ทกึ ทัก หงึกหงกั เออะ เออ + อะ อา เช่น เงอะงะ เทอะทะ เร่อร่า เซอ่ ซา่ เลก่ิ ล่กั เยิบยาบ สระหลังกับกลาง อุ + อะ อา เช่น ตุ๊ต๊ะ ปุปะ กุกกัก รุงรัง ปุบปับ งุ่นง่าน ซุ่มซา่ ม รุ่มร่าม โอะ โอ + อะ อา เชน่ โด่งดัง กระโตกกระตากโครง่ ครา่ ง โผงผาง เอาะ ออ + อะ อา เช่น หมองหมาง

๙ เสยี งของคำท่ีมาซ้อนกนั มีเสียงที่เกิดระดับเดียวกนั ดังกล่าวแล้วในเรอื่ งเสียงสระ เสียงระดับเดยี วกันคอื เสียงท่เี กิดเมื่อโคนลิ้นหรอื ปลายล้ินกระดกข้ึนได้ ระดบั เดยี วกัน เสยี งสระหนา้ กับสระหลังท่ถี ือวา่ อยู่ในระดับเดียวกัน ไดแ้ ก่ อิ กับ อุ เอะ กบั โอะ แอะกับ เอาะ แตค่ ำท่ีนำมาซอ้ นกัน เสียงสระหลังจะเป็นคำตน้ เสียงสระหนา้ เป็นคำทา้ ย ที่เป็นเช่นนีค้ งเปน็ เพราะเมอ่ื เวลา ออกเสยี งลมหายใจจะตอ้ งผ่านจากดา้ นหลังของปากมาทางด้านหน้า คำท่ีซอ้ นเพ่ือเสียงลักษณะนมี้ ดี งั นี้ อุ อู + อิ อี เช่น ดุกดกิ ยุ่งยิ่ง กรุม้ กริ่ม อุบอบิ อู้อี้ บบู้ ้ี จู้จ้ี สสู ี โอะ โอ + เอะ เอ เชน่ โงกเงก โอนเอน โยง่ เยง่ บง๊ เบง๊ โอเ้ อ้ โยเ้ ย้ โผเผ เอาะ ออ + แอะ แอ เชน่ ง่อกเงก่ จ๋องแจง๋ กรอบแกรบ กล้อมแกลม้ ออ้ แอ้ งอแง รอ่ แร่ วอแว ทีเ่ ปน็ สระผสมกม็ ี ส่วนมากเปน็ สระผสมกบั หลงั ดงั นี้ สระหนา้ กบั หน้า เอยี + ไอ อาย เชน่ เร่ยี ไร เรีย่ ราย เบ่ยี ง บา่ ย เอยี งอาย ไอ + เอีย เช่น ไกลเ่ กลี่ย ไลเ่ ล่ีย สระหลังกบั หลัง อัว + เอา เชน่ ย่ัวเย้า มวั เมาสระหลงั กบั หน้า เอา อาว + ไอ อาย เชน่ เมามาย ก้าวก่าย อัว + เอีย เชน่ อ้วั เอ้ยี ย้งั เย้ยี กลั้วเกลี้ย ต้วมเตีย้ ม ปว้ นเป้ยี น เสยี งของคำทมี่ าซอ้ นกันมีทเ่ี กดิ อ่ืนๆ นอกจากทก่ี ลา่ วแล้ว คำที่มีตวั สะกด ตวั สะกดคำต้นกับคำท้ายต่างกันกม็ ี ดงั น้ี สระกลางกบั หน้า อะ + เอยี เชน่ พบั เพียบ ยดั เยียด ฉวัดเฉวยี น สระกลางกับหลาง เอือ + อา เช่น เจอื จาน สระกลางกบั หลงั อะ + อัว เช่น ผันผวน สระ หน้ากบั กลาง เอีย + อา เชน่ เรย่ี ราด ตะเกยี กตะกาย สระหน้ากบั หลงั เอ + ออ เชน่ เรร่ อ่ น สระหลังกบั กลาง อัว + อา เชน่ ชั่วช้า ลวนลาม สระหลังกับหน้า อัว + เอ เช่น รวนเร สรวลเส เอา + อี เชน่ เซ้าซ้ี สระหลังกับ หลัง โอ + เอา เชน่ โงเ่ ง่า คำท่ีนำมาซ้อนกนั มสี ระเดียวกันแตต่ วั สะกดตา่ งกัน มี ๒ ลกั ษณะด้วยกนั คือ ก.ตัวสะกดตา่ งกนั ในระหวา่ งแมต่ วั สะกดวรรคเดียวกันคือระหวา่ ง แม่กก กบั กง แม่กด กับ กน และ แมก่ บ กบั กม ดังนี้ แมก่ ก กับ แม่กง เชน่ แจกแจง กักขงั แมก่ ด กบั แม่กน เช่น อัดอ้ัน ออดออ้ น เพลดิ เพลิน จัดจ้าน คดั คา้ น แม่กบ กบั แมก่ ม เช่น รวบรวม ปราบปราม ข.ตัวสะกดต่างกันไม่จำกัดวรรค ได้แก่ แม่กก กบั แม่กม เช่น ชุกชุม แมก่ ก กบั แมก่ น เช่น แตกแตน ลักล่นั ยอกยอ้ น แมก่ ก กับ แม่เกย เชน่ ทกั ทาย ยกั ยา้ ย หยอกหย็อย แมก่ ด กับ แมก่ ง เช่น สอดสอ่ ง คำที่นำมาซอ้ นกนั ตา่ งกันท้ังเสยี งสระ และตวั สะกด แม่กก กับ แมก่ ง เชน่ ยงุ่ ยาก ยักเยอื้ ง กระดากเดือ่ ง แม่กก กบั แม่กน เช่น รกุ ราน บกุ บนั่ ลกุ ลน แม่ กก กับ แมก่ ม เชน่ ขะมกุ ขะมอม แมก่ ก กับ แม่เกย เช่น แยกย้าย โยกยา้ ย ตะเกยี กตะกาย แม่กง กบั แมเ่ กย เชน่ เบ่ียงบาย เอยี งอาย มงุ่ หมาย แมก่ ง กับ แมก่ น เช่น ค่ังแค้น กะบึงกระบอน แมก่ ด กับ แมก่ ง เช่น ปลด เปลอ้ื ง ตปุ ัดตปุ อ่ ง เริดร้าง ตะขิดตะขวง แมก่ ด กับ แม่กน เชน่ อดิ เอือ้ น ลดหลนั่ แม่กน กับ แมก่ ง เช่น เหนิ ห่าง พรั่นพรึง หมน่ หมอง แค้นเคอื ง แมก่ น กบั แม่กม เช่น รอนแรม ลวนลาม แม่กบ กับ แมก่ ม เชน่ ควบคมุ แมก่ ม กบั แมก่ ง เชน่ คล้มุ คลง่ั แมก่ ม กับ แมเ่ กย เช่น ฟมุ่ เฟอื ย ท่ี คำทา้ ย เปน็ คำท่ีไม่มีเสียงตัวสะกดเลยก็มี

๑๐ เชน่ ลบหลู่ ปนเป เชอื นแช พนื้ เพ หม่นิ เหม่ ลาดเลา หดหู่ เขม็ดแขม่ เตรด็ เตร่ โรยรา ตะครัน่ ตะครอ ทุลกั ทุเล คลุกคลี คำทซี่ ้อนกนั มสี ระเดียวกนั แตต่ วั สะกดคำทา้ ยกรอ่ นเสียง หายไป คำเหลา่ น้ีเชอื่ วา่ คงจะเป็นคำซ้ำ เมอื่ เสยี งไปลงหนกั ท่ีคำต้น เสยี งคำทา้ ยท่ีไมไ่ ด้เนน้ จึงกรอ่ นหายไป น่า สังเกตว่าเมื่อตัวสะกด กร่อนหายไป เสียงสูงต่ำจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพื่อชดเชยกับเสียง กร่อนนั้นๆ ไดแ้ ก่ จอนจอ่ (จากจอนๆ) งอนหง่อ ร่อยหรอ เลนิ เล่อ เตินเตอ่ เทินเถอ่ โยกโย้ ทนโท่ ดนโด่ (ในคำกระดกกระ ดนโด)่ การใชค้ ำซ้อนเพ่ือเสียง มใี ชแ้ ต่เปน็ คำวิเศษณ์เสียโดยมาก มที ง้ั วเิ ศษณ์ขยายนามและขยายกรยิ า ท่ีใชเ้ ปน็ กริยากม็ ีบ้าง แตท่ ่ี เป็นคำนามมนี ้อย ท่ใี ชเ้ ป็นคำขยายนาม ได้แก่ เกะกะ เงอะงะ รงุ รัง ซมุ่ ซา่ ม ทใี่ ชเ้ ป็นคำขยายกริยา ได้แก่ ยว้ั เยย้ี ง่อกแง่ก ต้วมเต้ยี ม อุบอบิ ทใ่ี ชเ้ ปน็ คำกรยิ า ได้แก่ สสู ี เบยี่ งบ่าย ตะเกยี กตะกาย ยั่วเยา้ ที่ใช้เปน็ นาม ได้แก่ ผลหมากรากไม้ รูปโฉมโนมพรรณ ประโยชน์ของคำซ้อนเพอื่ เสยี ง ๑. ทำให้ได้คำใหม่ทส่ี รา้ งไดง้ า่ ยกว่าคำซอ้ นเพอื่ ความหมาย ๒. ไดค้ ำทม่ี ีเสยี งกระทบกระทั่งกัน เหมาะทจ่ี ะใชใ้ นการพรรณาลกั ษณะให้ไดใ้ กล้เคียงความจริง ทำให้ เห็นจริงเหน็ จงั ยิง่ ขนึ้ ๓. ได้คำทม่ี ีทัง้ เสยี งและความหมายใหม่ โดยอาศยั คำเดมิ ทีม่ อี ยูแ่ ล้ว ๔. ความรู้เรื่องการใชภ้ าพพจนท์ ป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง (วกิ พี เิ ดีย สารานกุ รมเสรี) ไดใ้ หค้ วามหมายของ “ภาพพจน์” ไวว้ า่ “….. “ภาพพจน์” หมายถงึ ถอ้ ยคำทเ่ี ปน็ สำนวนโวหารทำใหน้ กึ ถึงความหมาย มโนภาพ หรอื เหน็ เป็น ภาพทน่ี อกเหนอื จากส่งิ ที่เขียนลงไป หรือถ้อยคำที่เรียบเรียงอย่างมชี นั้ เชงิ เปน็ โวหาร มเี จตนาให้มีประสิทธิผล ต่อความคิด ความเข้าใจ ให้จินตนาการและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งกว่าการบอกเล่าท่ี ตรงไปตรงมา” ในดา้ นของความหมายและการแบง่ ประเภทของภาพพจน์นั้น มนี กั วิชาการหลายท่านทไ่ี ด้แบ่งประเภท ของภาพพจนไ์ ว้ ซง่ึ จะแตกต่างกันออกไปตามเกณฑท์ ีแ่ ต่ละท่านใช้ ดังนี้ รุ่งภัสสรณ์ ศรัทธาธนพฒั น์ และ ประเทือง ทนิ รตั น์ (๒๕๕๗: ๘๑-๘๔) แบ่งประเภทของภาพพจน์ไว้ ๑๙ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑.อปุ มา คือ การเปรียบเทยี บของสองสง่ิ ซงึ่ อาจไม่ใช่ของชนดิ เดียวกันหรอื เรอื่ งเดียวกันว่าเหมอื นกัน คำทีใ่ ชใ้ นการเปรียบเทียบคือ คำว่า เหมือน คล้าย ดจุ ดูราว กล ประหน่งึ เพยี ง ราวกับ ดง่ิ เฉก ดงั แมน้ ละม้าย

๑๑ ๒.อปุ ลักษณ์ คือ การเปรยี บเทยี บของสองสิ่งซง่ึ อาจไม่ใช่ของชนิดเดียวกนั หรือเรือ่ งเดียวกันวา่ เปน็ สิ่ง เดยี วหรอื เท่ากันทุกประการโดยใช้คำวา่ เปน็ เท่าคอื ในการเปรยี บเทยี บ ๓.บคุ คลวัต คอื การใชภ้ าษาในลกั ษณะทที่ ำให้ดเู หมือนวา่ สรรพสิง่ ทัง้ หลายที่ไมใ่ ช่คนเปน็ คน สรปุ ได้วา่ ภาพพจน์ หมายถงึ ถ้อยคำทีเ่ รียบเรียงขน้ึ แล้วทำใหเ้ กิดภาพในใจ โดยใชก้ ลวิธหี รอื ชนั้ เชิงใน การเรยี บเรียงถอ้ ยคำทีใ่ หอ้ ารมณส์ ะเทอื นใจและทำให้ผอู้ ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้ง มากกว่าถอ้ ยคำท่ีกลา่ วอยา่ ง ตรงไปตรงมา เช่น อุปมา อุปลกั ษณ์ และบคุ คลวตั

๑๒ บทท่ี ๓ วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั การศกึ ษาเร่อื ง การศกึ ษากลวิธกี ารใชค้ ำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง มวี ัตถุประสงค์ เพื่อ ศึกษาแนวคิดที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานและวิเคราะห์กลวิธีการใช้คำซ้อน โดยมีขั้นตอนการ ดำเนินการวิจัยดังน้ี ๑. เลอื กหวั ขอ้ ศกึ ษาคน้ คว้าท่ีทางกล่มุ สนใจ ๒. ศึกษาเอกสาร ตำรา ที่เกยี่ วขอ้ งกบั บทเพลงรำวงมาตรฐาน ๓. วางแผนขอบเขตของข้อมูลและขอบเขตของหัวขอ้ ทีศ่ กึ ษาค้นคว้า ๔. รวบรวมข้อมูล บทเพลงรำวงมาตรฐาน จากสอ่ื อินเทอร์เน็ต แลว้ บันทกึ ตามหมวดหมทู่ ไี่ ดจ้ ัดไว้ ๕. ดำเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูลตามหวั ข้อทศ่ี กึ ษาคน้ ควา้ ๖. สรุปและอภิปรายผลขอ้ มูลการศึกษาค้นคว้า ๗. จดั ทำรปู เล่มรายงานการศึกษาคน้ คว้า ๘. นำเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า แหลง่ ข้อมูล แหลง่ ขอ้ มลู ทใี่ ช้ในการศกึ ษาค้นคว้าครงั้ น้ี ไดแ้ ก่ บทเพลงประกอบรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง โดยมรี ายชอื่ บทเพลงเรียงลำดับตามการแต่งในแตล่ ะบทเพลง ๑. เพลงงามแสงเดอื น ๒. เพลงชาวไทย ๓. เพลงราํ ซิมารํา ๔. เพลงคนื เดือนหงาย ๕. เพลงดวงจันทร์วนั เพญ็ ๖. เพลงดอกไม้ของชาติ ๗. เพลงหญิงไทยใจงาม ๘. เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ๙. เพลงยอดชายใจหาญ ๑๐.เพลงบูชานกั รบ

๑๓ เกณฑ์/ประเดน็ ในการวเิ คราะห์ เกณฑใ์ นการวเิ คราะห์ บทเพลงรำวงมาตรฐาน มที ั้งหมด ๒ เกณฑ์ แบง่ เปน็ เกณฑก์ ารวเิ คราะห์การ ภาพพจนท์ ป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง และเกณฑก์ ารวเิ คราะห์กลวธิ กี ารใชค้ ำ ๑. เกณฑก์ ารวเิ คราะห์คำซอ้ นทปี่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน เกณฑ์การวิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาใช้วิเคราะห์การใช้คำในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง ได้แก่ เกณฑก์ ารวิเคราะหก์ ารใช้คำของ คณุ ครูภาทิพ ศรีสทุ ธ์ิ จากการสรา้ งคำในภาษาไทย คือการ ใช้ คำซ้อน ๒. เกณฑก์ ารวิเคราะห์ภาพพจน์ท่ีปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน เกณฑก์ ารวเิ คราะหข์ อ้ มูลท่ศี ึกษาใช้ภาพพจน์ท่ีปรากฏในเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง ได้แก่ เกณฑ์การวเิ คราะหก์ ารใช้คำของ รุ่งภัสสรณ์ ศรทั ธาธนพฒั น์ และ ประเทอื ง ทนิ รตั น์ จาก โวหาร ภาพพจน์ในวรรณกรรมรอ้ ยแก้วในรัชกาลพระบาลสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ วั ดังนี้ ๑. อุปมา ๒. อุปลักษณ์ ๓. บคุ คลวตั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ในการศึกษาคน้ คว้าครง้ั น้ี คณะผ้จู ัดทำไดร้ วบรวมขอ้ มลู ที่ใช้ในการวิเคราะห์กลวิธีการใช้คำในบทเพลง รำวงมาตรฐาน ซึง่ มขี ั้นตอนการดำเนนิ การดังต่อไปน้ี ๑. ศกึ ษาเอกสาร ตำรา เว็บไซตท์ ีเ่ ก่ียวข้องกับเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง เอกสารทีเก่ียวข้อง กบั กลวิธี การใช้ คำซอ้ น และการใช้ภาพพจน์ไดแ้ ก่ อุปมา อุปลกั ษณ์ และบุคคลวตั เพอื่ ใช้เปน็ แนวทางในการศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูล ๒. อา่ นและศึกษาบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ๓. วเิ คราะห์กลวิธกี ารใชค้ ำ ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ ๔. รวบรวมผลการวเิ คราะห์แล้วบนั ทึกไวต้ ามหมวดหมู่ เพื่อใช้สรุปและอภิปรายผลตอ่ ไป การวิเคราะหข์ อ้ มลู ๑. นำบทเพลงรำวงมาตรฐานที่เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดม้ าวิเคราะหข์ อ้ มูลตามเกณฑท์ ่ีกำหนดไว้ในเคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษา ๒. นำขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการวิเคราะห์กลวิธีการใช้ คำซอ้ น และการใชภ้ าพพจนไ์ ดแ้ ก่ อปุ มา อปุ ลกั ษณ์ และ บคุ คลวัต มาเรียบเรยี งแบบอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ ๓. สรุปผลและอภปิ ราย เสนอแนวทางการนำไปประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนรายวชิ าภาษาไทย

๑๔ ระยะเวลาในการดำเนินการ ในการศึกษาเรื่อง การศึกษากลวิธีการสร้างคำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน มีระยะเวลาในการ ดำเนินการซึง่ แบ่งได้ ดงั น้ี ลำดบั ท่ี ขนั้ ตอนการศึกษา ชว่ งเวลา ผ้รู ับผิดชอบ ๑ ๒ รวบรวมข้อมลู เอกสารและ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ นางสาวพชรนาฏ วงั สด์ ่าน ๓ ๔ การศกึ ษาท่ีเก่ยี วข้อง จนถึง และ ๕ ๖ วันท่ี ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ นางสาวธัญวรตั ม์ รัตนา ๗ รวบรวมข้อมลู เกีย่ วกับการ วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๖๓ นางสาวจุฑามาศ ตาสาย สรา้ งคำในภาษาไทย จนถงึ และ วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๖๓ นางสาวพชรนาฏ วงั สด์ ่าน วิเคราะหข์ อ้ มูล วันท่ี ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ นางสาวธัญวรัตม์ รตั นา จนถึง นางสาวชนญั ชดิ า สังข์แกว้ วันท่ี ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ นางสาวจฑุ ามาศ ตาสาย สรุปและอภิปรายผลข้อมูล วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ นางสาวชนัญชดิ า สงั ข์แกว้ จนถึง นางสาวธัญวรตั ม์ รตั นา วนั ที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ นางสาวจุฑามาศ ตาสาย ตรวจทานและแก้ไขข้อมูล นางสาวชนัญชิดา สังขแ์ ก้ว จดั ทำรูปเล่มรายงาน วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ และ การศึกษาค้นควา้ นางสาวธัญวรัตม์ รัตนา นำเสนอผลการศึกษา นางสาวชนญั ชดิ า สังขแ์ ก้ว คน้ ควา้ นางสาวธัญวรัตม์ รตั นา วนั ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ นางสาวจฑุ ามาศ ตาสาย นางสาวพชรนาฏ วังส์ด่าน สง่ รายงานการศกึ ษาค้นควา้ นางสาวชนญั ชดิ า สงั ขแ์ กว้ ฉบบั สมบูรณ์ วนั ท่ี ๒๖-๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๔ นางสาวธัญวรัตม์ รตั นา นางสาวจฑุ ามาศ ตาสาย นางสาวพชรนาฏ วังสด์ ่าน

๑๕ บทที่ ๔ การวิเคราะห์ การศึกษาค้นคว้าเร่ือง การศึกษากลวิธกี ารใชค้ ำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง คณะ ผู้จัดทำได้แบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น ๒ ประเด็น ตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ การ วิเคราะห์คำซ้อนที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง และการวิเคราะห์ภาพพจน์ได้แก่ คำ อุปมา อุปลักษณ์ และบุคคลวัต ที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลงซึ่งมีรายละเอียดการ วิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้ ๑. การวิเคราะห์คำซ้อนท่ปี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง การวิเคราะห์คำซอ้ นทป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลงน้ี คณะผจู้ ดั ทำไดใ้ ชเ้ กณ์การ วเิ คราะหข์ อง คุณครภู าทพิ ศรสี ทุ ธ์ิจากการวิเคราะห์ การสร้างในภาษาไทย โดยมีหัวข้อการวิเคราห์ ได้แก่ ๑.๑ การใชค้ ำซอ้ นเพือ่ ความหมาย ๑.๒ การใชค้ ำซ้อนเพ่อื เสียง โดยรายละเอยี ดการวิเคราะห์น้ัน ผูศ้ ึกษาจะใชก้ ารหาความถ่ีของจำนวนการใชค้ ำทีพ่ บในแต่ละหวั ข้อ และนำบคำวา่ มีก่คี ำในแต่งละบทเพลง ซึ่งมรี ายละเอียดการวิเคราะห์ดงั นี้ ๑.๑ การใชค้ ำซอ้ นเพอื่ ความหมาย จากการวิเคราะหพ์ บวา่ บทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ทเ่ี ลือกศึกษานม้ี กี ารใชค้ ำซอ้ นเพ่อื ความหมายหลายบทเพลง ซ่งึ ชว่ ยแปลความหมายของคำทน่ี ำมาซอ้ นกนั คำทนี่ ำมาซอ้ นกนั ตอ้ งมีความหมาย คล้ายกนั พบการใช้คำซอ้ นเพือ่ ความหมาย จำนวน ๒๗ ครัง้ ตวั อย่าง “…..รำซมิ ารำ เรงิ ระบำกันให้สนกุ ยามงานเราทำงานจริง ๆ ไม่ละไมท่ ิ้งจะเกดิ เขญ็ ขลกุ ถึงยามวา่ งเราจึงรำเล่น ตามเชิงเชน่ เพื่อให้สรา่ งทุกข์ ตามเยยี่ งอยา่ งตามยคุ เล่นสนกุ อยา่ งวัฒนธรรม เลน่ อะไรใหม้ รี ะเบยี บ ใหง้ ามใหเ้ รยี บจึงจะคมขำ มาซมิ าเจ้าเอย๋ มาฟ้อนรำ มาเล่นระบำของไทยเราเอย…..” (เพลงรำมาซิมารำ)

๑๖ ตัวอย่าง “…..น้องรกั รักบูชาพี่ ที่มน่ั คงที่มนั่ คงกลา้ หาญ เปน็ นกั สู้เชี่ยวชาญ สมศกั ดิ์ชาตนิ ักรบ นอ้ งรักรกั บชู าพ่ี ท่มี านะที่มานะอดทน หนกั แสนหนกั พ่ผี จญ เกียรตพิ ข่ี จรจบ นอ้ งรักรักบูชาพี่ ท่ขี ยนั ท่ีขยันกิจการ บากบน่ั สร้างหลกั ฐาน ทำทกุ ดา้ น ทำทกุ ด้าน ครนั ครบ น้องรักรกั บชู าพี่ ทรี่ ักชาติทร่ี กั ชาตยิ ่งิ ชีวิต เลือดเน้อื พ่ีพลอี ุทศิ ชาติยงอยู่ ชาติยงอยู่ คพู่ ิภพ…..” (เพลงบูชานกั รบ) ๑.๒ การใชค้ ำซอ้ื นเพอ่ื เสยี ง จากการวเิ คราะห์พบว่า บทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ที่เลือกศกึ ษาน้ีมกี ารใชค้ ำซ้อนเพอ่ื เสยี งหลายบทเพลง ซ่ึงได้คำทม่ี ที ้ังเสยี งและความหมายใหม่ โดยอาศัยคำเดมิ ทมี่ อี ยแู่ ล้ว พบการใช้คำซอ้ นเพ่อื เสยี ง จำนวน ๗ ครัง้ ตัวอย่าง “…..ชาวไทยเจ้าเอย๋ ขออยา่ ละเลยในการทำหนา้ ที่ การที่เราไดเ้ ล่นสนกุ เปลือ้ งทุกขส์ บายอย่างน้ี เพราะชาติเราได้เสรี มเี อกราชสมบรู ณ์ เราจงึ ควรช่วยชูชาติ ให้เก่งกาจเจิดจำรญู เพอื่ ความสขุ เพิม่ พนู ของชาวไทยเรา เอย…..” (เพลงชาวไทย) ตัวอยา่ ง “…..เดอื นพราว ดาวแวววาวระยับ แสงดาวประดับ ส่องใหเ้ ดอื นงามเดน่ ดวงหนา้ โสภาเพียงเดือนเพ็ญ คณุ ความดที เ่ี ห็น เสรมิ ให้เดน่ เลศิ งาม ขวัญใจ หญงิ ไทยสง่ ศรีชาติ รปู งามวลิ าส ใจกล้ากาจเรืองนาม เกียรตยิ ศ กอ้ งปรากฏทวั่ คาม

๑๗ หญิงไทยใจงาม ยิง่ เดือนดาวพราวแพรว…..” (เพลงหญิงไทยใจงาม) จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า การใช้คำซ้อนที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง มกี ารใช้คำซ้อเพอื่ ความหมายมกี ารใชท้ งั้ หมด ๒๗ ครัง้ และมีการใชค้ ำซอ้ นเพอื่ เสียงมกี ารใชท้ ้ังหมด ๗ ครั้ง ดังน้ันเปอร์เซน็ ตข์ องการใชค้ ำซอ้ นเพ่อื ความหมายได้ ๗๙.๔๑% และการใชค้ ำซ้อนเพอื่ เสียงได้ ๒๐.๕๙% ๒. การวิเคราะห์ภาพพจน์ทปี่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง การวิเคราะห์ภาพพจน์ได้แก่ คำอุปมา อปุ ลกั ษณ์ และบคุ คลวัต ทีป่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลงนี้ คณะผูจ้ ดั ทำไดใ้ ชเ้ กณฑก์ ารวิเคราะห์ของ ร่งุ ภัสสรณ์ ศรัทธาธนพฒั น์ และ ประเทอื ง ทนิ รัตน์ จากโวหารภาพพจนใ์ นวรรณกรรมรอ้ ยแก้วในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั โดยมีหัวข้อ การวเิ คราะห์ ไดแ้ ก่ ๑.๑ การใชค้ ำอุปมา ๑.๒ การใช้คำอปุ ลกั ษณ์ ๑.๓ การใช้คำบคุ คลวตั โดยรายละเอยี ดการวิเคราะหน์ ั้น ผู้ศึกษาจะใช้การหาความถี่ของจำนวนการใช้คำทีพ่ บในแต่ละหัวขอ้ และนับคำว่ามกี ่คี ำในแต่ละบทเพลง ซงึ่ มรี ายละเอยี ดการวเิ คราะหด์ งั น้ี ๑.๑ การใช้คำอปุ มา จากการวิเคราะหพ์ บว่า การใช้คำอปุ มา ในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง อาจเนื่องดว้ ยเนอ้ื เพลงรำวงมาตรฐานมักเปน็ เพลงทีไ่ มม่ ีการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดเจน พบการใช้คำอุปมาจำนวน ๑ ครัง้ ตัวอยา่ ง “…..เดือนพราว ดาวแวววาวระยับ แสงดาวประดับ ส่องใหเ้ ดอื นงามเดน่ ดวงหนา้ โสภาเพียงเดือนเพญ็ คุณความดีทเี่ ห็น เสริมให้เด่นเลิศงาม ขวัญใจ หญงิ ไทยสง่ ศรชี าติ รปู งามวิลาส ใจกล้ากาจเรอื งนาม เกียรติยศ กอ้ งปรากฏทัว่ คาม หญงิ ไทยใจงาม ยง่ิ เดอื นดาวพราวแพรว…..” (เพลงหญิงไทยใจงาม) ๑.๒ การใชค้ ำอปุ ลักษณ์ จากการวเิ คราะห์พบว่า บทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ทเี่ ลอื กศกึ ษานม้ี ีการใชค้ ำอุปลักษณ์ หลายบทเพลง คำอปุ ลกั ษณ์ท่ีพบได้แก่ คำว่า เท่า เป็น และคือ พบการใชค้ ำอุปลกั ษณ์จำนวน ๖ คร้ัง

๑๘ ตัวอยา่ ง “…..ยามกลางคนื เดือนหงาย เย็นพระพายโบกพริว้ ปลิวมา เย็นอะไรกไ็ มเ่ ยน็ จิต เท่าเยน็ ผูกมิตรไมเ่ บอื่ ระอา เย็นรม่ ธงไทยปกไปทวั่ หล้า เยน็ ยงิ่ น้ำฟ้ามาประพรมเอย…..” (เพลงคืนเดือนหงาย) ตวั อย่าง “…..ดวงจนั ทรว์ ันเพ็ญ ลอยเดน่ อยู่ในนภา ทรงกลดสดสี รศั มที อแสงงามตา แสงจนั ทรอ์ รา่ ม ฉายงามสอ่ งฟา้ ไม่งามเท่าหน้า นวลน้องยองใย งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย งามวงพักตรย์ งิ่ ดวงจนั ทรา จริตกิรยิ านิม่ นวลละไม วาจากังวาน ออ่ นหวานจบั ใจ รูปทรงสมส่วนยั่วยวนหทัย สมเป็นดอกไมข้ วัญใจชาตเิ อย…..” (เพลงดวงจนั ทรว์ นั เพญ็ ) ๑.๓ การใชค้ ำบคุ คลวัต จากการวิเคราะห์พบว่า บทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ไม่ปรากฏการใช้คำบุคคลวัตคือ การใช้ภาษาในลักษณะท่ีทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิง่ ท้ังหลายท่ีไม่ใช่คนให้เปน็ คน จากการศึกษาและวิเคราะห์ บทเพลงรำวงมาตรฐาน จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า การใช้ภาพพจน์ที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง มกี ารใช้ภาพพจนซ์ ง่ึ ได้แก่ การใช้คำอปุ มามกี ารใชท้ ้งั หมด ๑ ครั้ง การใชค้ ำอุปลกั ษณม์ กี ารใชท้ ั้งหมด ๖ ครัง้ และการใชค้ ำบคุ คลวัตไมป่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน

๑๙ บทท่ี ๕ สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ การศกึ ษาคน้ คว้าเร่อื ง การศกึ ษากลวธิ ีการใช้คำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง มี วตั ถุประสงค์ในการศกึ ษาคน้ คว้า เพ่อื ศกึ ษาการใชค้ ำซอ้ นและภาพพจนไ์ ดแ้ ก่ คำอุปมา อุปลกั ษณ์ และบุคคล วัต ที่ปรากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐาน. โดยแหล่งขอ้ มลู หรือกล่มุ ตัวอยา่ งที่ใชใ้ นการศกึ ษาครงั้ น้ี คือ บทเพลงรำ วงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ซ่งึ ไดก้ ำหนดวิธกี ารศึกษา ตามข้นั ตอนดงั น้ี การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและ การศกึ ษาจากบทเพลงรำวงมาตรฐาน. การวเิ คราะห์ข้อมลู เป็นการวเิ คราะห์ข้อมลู และสรุปผลของข้อมลู แบบ พรรณนา โดยมุง่ วิเคราะห์เกย่ี วกับวัตถุประสงค์ของการศกึ ษา เพ่ือวิเคราะหก์ ลวิธกี ารสร้างคำ โดยการใช้คำ ซอ้ น และภาพพจนไ์ ด้แก่ คำอุปมา อุปลกั ษณ์ และบุคคลวัตทป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง การสรปุ ผลขอ้ มลู ๑. ผลการศึกษาการใช้คำซอ้ นในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง คณะผู้วิจัย พบว่า ในบท เพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง ได้แก่ ๑)คำซ้อนเพอ่ื ความหมาย พบมากทสี่ ดุ ทั้งหมด ๒๗ ครั้ง ๒) คำ ซ้อนเพือ่ เสยี ง พบทัง้ หมอ ๗ ครง้ั ดงั น้นั เปอรเ์ ซน็ ตข์ องการใช้คำซอ้ นเพ่อื ความหมายได้ ๗๙.๔๑% และการใช้ คำซ้อนเพอื่ เสยี งได้ ๒๐.๕๙% ๒. ผลการศึกษาการใช้ภาพพจนไ์ ด้แก่ คำอปุ มา อุปลกั ษณ์ และบุคควัต ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง คณะผูว้ ิจยั พบว่า ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง ไดแ้ ก่ ๑) อุปมาพบทัง้ หมด ๑ ครง้ั ๒) อปุ ลักษณ์ พบทัง้ หมด ๖ ครงั้ ๓) บุคคลวัต ไมพ่ บในบทเพลงรำวงมาตรฐานอาจเปน็ เพราะการใช้ ภาษาในลักษณะท่ที ำใหด้ เู หมอื นวา่ สรรพสิ่งทง้ั หลายทไี่ ม่ใชค่ นใหเ้ ป็นคน ดงั น้นั พบคำอุปลักษณม์ ากทีส่ ดุ จำนวน ๘๕.๗๒% คำอปุ มาจำนวน ๑๔.๒๘% และคำบุคคลวัตจำนวน ๐% อภปิ รายผล การศกึ ษาคน้ คว้าเรื่อง การศกึ ษากลวิธีการใชค้ ำ ในบทเพลงรำวงมาตรฐาน จำนวน ๑๐ เพลง มี ประเด็นท่ีสามารถนำมาอภิปรายผลได้ ดงั น้ี ๑. การใช้คำซอ้ นทป่ี รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ผจู้ ดั ทำมกี ารศึกษาเกี่ยวกับคำ ซ้อน และคำซอ้ นเพอื่ เสียง ผู้จัดทำไดม้ ีความรูใ้ นสว่ นคำซอ้ นเพอ่ื ความหมายคอื การทำให้ไดค้ ำใหมห่ รอื คำท่ีมี ความหมายใหมข่ ึน้ ในภาษา ช่วยแปลความหมายของคำทนี่ ำมาซอ้ นกนั คำทนี่ ำมาซอ้ นกนั ต้องมีความหมาย คล้ายกนั ชว่ ยทำใหร้ ้หู น้าทข่ี องคำและความหมายของคำไดส้ ะดวกขึ้น และมคี วามรู้ในสว่ นคำซอ้ นเพือ่ เสยี งคือ การทำให้ไดค้ ำใหม่ทีส่ ร้างไดง้ ่ายกวา่ คำซอ้ นเพื่อความหมาย ไดค้ ำท่ีมเี สยี งกระทบกระทง่ั กัน เหมาะทจี่ ะใชใ้ น

๒๐ การพรรณาลกั ษณะใหไ้ ดใ้ กล้เคียงความจรงิ ทำใหเ้ หน็ จรงิ เหน็ จังยงิ่ ขึ้นได้คำท่ีมที งั้ เสยี งและความหมายใหม่ โดยอาศยั คำเดมิ ทมี่ ีอยแู่ ล้ว ๒. การใช้ภาพพจน์ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ และบุคคลวัตทีป่ รากฏในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง ผู้จัดทำมีการศึกษาเกี่ยวกับภาพพจน์ได่แก่ อุปมา อุปลักษณ์ และบุคคลวัตได้อย่างสมบูรณ์จาก งานวิจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์. แต่ยังมีจุดบกพร่องในบางส่วนที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้คือ การใช้คำอุปมา เพราะว่าในบทเพลงรำวงมาตรฐานจำนวน ๑๐ เพลง นั้นไม่ปรากฏคำอุปมาอยู่เลย แต่ในการใช้คำแปลักษณ์ และบุคคลวัตนั้นยังสามรถวิเคราะห์ออกมาได้ ทางผุ้จัดทำได้ความรู้ในส่วนของการใช้คำอุปมา ที่เป็นการ เปรียบเทยี บของสองส่ิง ซ่งึ อาจไมใ่ ช่ของชนิดเดียวกันหรือเรื่องเดียวกันว่าเหมอื นกัน ไดค้ วามรู้ในส่วนของการ ใช้คำอุปลักษณ์ที่เปรียบเทียบสองสิ่ง ซึ่งอาจไม่ใช่ของชนิดเดียวกันหรือเรื่องเดียวกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือ เท่ากันทุกประการ และได้ความรู้ในส่วนของการใช้คำบุคควัตที่มีการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่า สรรพสงิ่ ท้งั หลายทไ่ี ม่ใช่คนให้เปน็ คนได้ ข้อเสนอแนะในการศึกษาคน้ คว้าคร้งั ตอ่ ไป ๑.ควรศึกษาวเิ คราะห์บทเพลงรำวงมาตรฐานในการเรอื่ งการใช้คำประสม คำซำ้ ๒.ควรศึกษาวิเคราะหบ์ ทเพลงรำวงมาตรฐานในเร่อื งการใช้คำสมาธและสนธิ

๒๑ บรรณานกุ รม คุณครภู าทิพ ศรสี ุทธิ. ๒๕๔๐. การสรา้ งคำในภาษาไทย. (ออนไลน์). แหล่งท่ีมา http://www.st.ac.th/bhatips/thaiword01.htm ธีรารัตน์ งามปลงั่ . ๒๕๕๑. การสร้างแบบวดั ภาคปฏิบัติ รําวงมาตรฐานของนักเรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6. ปริญญานิพนธ์. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. รงุ่ ภสั สรณ์ ศรทั ธาธนพฒั น์ และ ประเทอื ง ทินรัตน์. ๒๕๕๗. โวหารภาพพจนใ์ นวรรณกรรมรอ้ ยแก้ว ในรชั กาลพระบาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยูห่ วั . งานวจิ ยั . มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. วิกพี ีเดีย สารานุกรมเสรี. (ม.ป.ป.). เพลง. (ออนไลน์). แหลง่ ท่มี า https://th.m.wikipedia.org วกิ พี ีเดยี สารานกุ รมเสรี. (ม.ป.ป.). ภาพพจน์ (ออนไลน์). แหล่งทีม่ า https://th.m.wikipedia.org




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook