Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใช้งาน

ใช้งาน

Published by SATANG OFFICIAL, 2022-06-10 08:30:55

Description: ใช้งาน

Search

Read the Text Version

ศาสตร์พระราชา หลกั ปรชั ญา \"เศรษฐกิจพอเพียง\" เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนนิ ชีวิตแก่พสกนิกรชายไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเม่ือ ภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้ กระแสโลกาภวิ ฒั นแ์ ละความเปลีย่ นแปลงต่างๆ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง๑ “เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy คำว่า Sufficiency Economy นี้ไม่ได้มีในตำรา เศรษฐกิจ. จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ ...Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา เพราะ หมายความว่าเรามีความคิดใหม่... และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่าเราก็สามารถที่จะไป ปรับปรงุ หรอื ไปใชห้ ลักการ เพ่ือทีจ่ ะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึน้ .” พระราชดำรสั เนือ่ งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ ๑ www.dol.go.th/ethics/Pages/องค์ประกอบปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ ระดับครอบครวั ระดับชุมชนจนถงึ ระดับรัฐ ทั้งในการพฒั นาและบริหารประเทศใหด้ ำเนนิ ไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมี ผลกระทบใดๆ อัน เกดิ จากการเปลยี่ นแปลงทงั้ ภายนอกและภายใน ทัง้ นี้จะตอ้ งอาศัยความรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวงั อย่างยิ่ง ในการนำวิชาการตา่ งๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทกุ ขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มี สำนึกในคุณธรรม ความซอ่ื สัตย์สจุ ริต และใหม้ ีความรอบรู้ท่เี หมาะสม ดำเนนิ ชีวิตดว้ ยความอดทน ความเพียร มสี ติ และความรอบคอบ เพอื่ ใหส้ มดลุ และพรอ้ มตอ่ การรองรบั การเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเรว็ และกว้างขวางท้ัง ด้านวตั ถุ สงั คม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เปน็ อย่างดี หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง “อนั น้เี คยบอกว่า ความพอเพยี งน้ีไมไ่ ดห้ มายความว่า ทุกครอบครวั จะตอ้ งผลติ อาหารของตวั จะต้องทอผา้ ใสเ่ อง อย่างน้นั มนั เกินไป แตว่ า่ ในหมบู่ ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพยี งพอสมควร บางสงิ่ บางอย่างทผี่ ลิตไดม้ ากกวา่ ความตอ้ งการ กข็ ายได้ แต่ขายในทไ่ี ม่ห่างไกลเทา่ ไร ไมต่ ้องเสียคา่ ขนสง่ มากนกั ” พระราชดำรสั เนอื่ งในโอกาส วันเฉลมิ พระชนมพรรษา ๔ ธนั วาคม ๒๕๔๐ ๒

“ถ้าไม่มเี ศรษฐกิจพอเพยี ง เวลาไฟดับ... จะพงั หมด จะทำอยา่ งไร. ทีท่ ีต่ ้องใช้ไฟฟา้ กต็ ้องแยไ่ ป. ...หากมีเศรษฐกจิ พอเพยี งแบบไม่เตม็ ท่ี ถ้าเรามเี คร่อื งปัน่ ไฟ กใ็ ชป้ ั่นไฟ หรอื ถ้าข้ันโบราณกว่า มดื ก็จดุ เทยี น คอื มที างทีจ่ ะแก้ปัญหาเสมอ. ...ฉะนน้ั เศรษฐกิจพอเพยี งน้ี ก็มเี ปน็ ข้ันๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกจิ พอเพยี งนี้ ใหเ้ พยี งพอเฉพาะตัวเองรอ้ ยเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นสง่ิ ทท่ี ำไมไ่ ด.้ จะต้องมีการแลกเปลีย่ น ต้องมีการช่วยกนั . ...พอเพียงในทฤษฎหี ลวงน้ี คือให้สามารถท่ีจะดำเนนิ งานได.้ ” พระราชดำรสั เนื่องในโอกาส วนั เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ ประมาท โดยคำนึงถงึ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกนั ท่ีดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความ รอบคอบ และคณุ ธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ มีหลักพิจารณาอยู่ ๕ สว่ น ดงั น้ี ๑. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติคนในทางที่ควรจะเป็น โดยมี พื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิง ระบบท่มี กี ารเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา มงุ่ เน้นการรอดพ้นจากภยั และวกิ ฤต เพือ่ ความมั่นคงและความย่ังยืน ของการพัฒนา ๒. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนไดใ้ นทุกระดับ โดยเน้นการ ปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอยา่ งเป็นข้ันตอน ๓

๓. คำนิยาม ความพอเพียงจะตอ้ งประกอบด้วย ๓ คณุ ลักษณะ พร้อมๆ กันดังนี้ • ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อ่นื เช่น การผลิตและการบรโิ ภคท่อี ย่ใู นระดับพอประมาณ • ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่าง รอบคอบ • การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่ จะเกิดข้นึ โดยคำนงึ ถึงความเปน็ ไปไดข้ องสถานการณ์ต่างๆ ท่คี าดวา่ จะเกดิ ข้นึ ในอนาคตท้งั ใกล้และไกล ๔. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคณุ ธรรมเป็นพน้ื ฐาน กลา่ วคอื • เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรูเ้ ก่ียวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบดา้ น ความรอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้น ปฏบิ ัติ • เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วยความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมี ความอดทน มคี วามเพยี รใชส้ ตปิ ัญญาในการดำเนินชีวิต ๕. แนวทางปฏบิ ัต/ิ ผลที่คาดวา่ จะได้รับ จากการนำปรชั ญาของเศรษกจิ พอเพียงมาประยกุ ต์ใช้ คือ การ พัฒนาท่ีสมดุลและยัง่ ยนื พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกดา้ น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม ความรู้ และเทคโนโลยี เศรษฐกิจพอเพียงกบั ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ “ขอให้ทกุ คนมีความปรารถนาทจ่ี ะใหเ้ มอื งไทยพออยู่พกนิ มคี วามสงบและทำงานต้งั อธิษฐาน ตัง้ ปณธิ าน ในทางนี้ ที่จะใหเ้ มืองไทยอยแู่ บบพออยู่พอกนิ ไม่ใช่วา่ จะรุ่งเรืองอยา่ งยอด แตว่ า่ มคี วามพออยพู่ อกิน มีความ สงบ เปรยี บเทยี บกับประเทศอนื่ ๆ ถา้ เรารักษาความพออยพู่ อกินนไ้ี ด้ เรากจ็ ะยอดยง่ิ ยวดได.้ .. ฉะนั้นถา้ ทุกทา่ นซงึ่ ถอื วา่ เป็นผ้ทู ี่มีความคดิ และมอี ิทธพิ ล มพี ลังทจี่ ะทำใหผ้ อู้ น่ื ซง่ึ มีความคิดเหมอื นกนั ช่วยกนั รกั ษาส่วนรวมใหอ้ ยดู่ กี ินดพี อสมควร ขอยำ้ พอควร พออยพู่ อกิน มคี วามสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่ง คุณสมบัตินจี้ ากเราไปได้ ก็จะเป็นของขวัญวนั เกดิ ท่ีถาวรทจ่ี ะมีคุณคา่ อยตู่ ลอดกาล” พระราชดำรสั เน่ืองในโอกาส วนั เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ ๔

เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ ความสามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของ ธรรมชาติ หรือการ เปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้าง ภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียรและความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความ สามัคคี เศรษฐกจิ พอเพยี งมีความหมายกวา้ งกว่าทฤษฎีใหม่ โดยท่ีเศรษฐกิจพอเพยี งเป็นกรอบแนวคิดท่ีช้ีบอก หลักการและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่ แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือเกษตรทฤษฎี ใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการ ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ในทางปฏิบตั ิ ทเ่ี ปน็ รูปธรรมเฉพาะในพ้ืนทที่ ี่เหมาะสม ทฤษฎใี หมต่ ามแนวพระราชดำริ อาจเปรยี บเทียบกบั หลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ซ่งึ มีอยู่ ๒ แบบ คือ แบบ พน้ื ฐานกับแบบกา้ วหนา้ ไดด้ งั นี้ ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน เทียบได้กับทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๑ ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกร ที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ ต้องพึ่งน้ำฝนและประสบ ความเสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า ที่ที่ดิน พอเพียงในการขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว จากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำจะทำให้เกษตรกร สามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วนอื่นๆ สนองความต้องการพื้นฐานของ ครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๑ ก็ จำเป็นท่ีเกษตรกรจะต้องได้รับความชว่ ยเหลือจากชุมชน ราชการ มลู นธิ ิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม ความพอเพียงในระดับชุมชนและระดับองค์กรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุม ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๒ เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ธรุ กิจ ตา่ งๆ รวมตวั กนั ในลักษณะเครอื ขา่ ยวิสาหกจิ กลา่ วคอื เมอ่ื สมาชกิ ในแตล่ ะครอบครัวหรอื องค์กรตา่ งๆ มีความพอเพยี งข้นั พ้ืนฐานเปน็ เบือ้ งตน้ แล้วก็ จะรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่าย วิสาหกิจนั้นๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง ความพอเพียงในระดับประเทศ เป็นเศรษฐกิจ พอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๓ ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชนหรือเครือข่าววิสาหกิจสร้างความ ร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย เป็นต้น การสร้างเครือข่าย ความร่วมมือในลักษณะเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และ บทเรียนจากการพัฒนา หรือร่วมมือกันพัฒนา ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อัน ประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง กลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงท่ี เช่ือมโยงกนั ด้วยหลักไม่เบยี ดเบยี น แบ่งปนั และช่วยเหลอื ซงึ่ กนั และกันไดใ้ นทส่ี ุด ๕

เศรษฐกิจพอเพยี ง ประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะ ๓ หว่ ง ๒ เงอื่ นไข ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจำเป็น และเหมาะสมกับฐานะของตนเอง สังคม สิ่งแวดลอ้ ม รวมทั้งวัฒนธรรมในแตล่ ะทอ้ งถ่นิ ไมม่ ากเกนิ ไป ไมน่ อ้ ยเกินไป และต้องไมเ่ บียดเบยี นตนเองและ ผู้อ่นื ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดำเนินการเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ หลัก กฎหมาย หลักศีลธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน คำนงึ ถึงผลทค่ี าดว่าจะเกิดขนึ้ จากการกระทำน้นั ๆ อย่างรอบรแู้ ละรอบคอบ ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงใน ดา้ นต่าง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นด้านเศรษฐกิจ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรม เพื่อให้สามารถปรบั ตวั และรับมือได้ อยา่ งทนั ทว่ งที เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การตัดสินใจ และการกระทำเป็นไปพอเพียง จะต้องอาศัยทั้งคุณธรรมและ ความรู้ ดงั นี้ เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องสร้างเสริมให้เป็น พื้นฐานจิตใจของคนในชาติ ประกอบด้วย ด้านจิตใจ คือ การตระหนกั ในคณุ ธรรม ร้ผู ิดชอบชวั่ ดี ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต ใช้ สติปัญญาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในการดำเนินชีวิต และด้านการกระทำ คือมีความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่ โลภ ไม่ตระหนี้ รู้จักแบ่งปัน และรับผิดชอบในการอยู่ รว่ มกบั ผูอ้ ่ืนในสังคม เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วยการฝึกตนให้มี ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบ ด้าน มคี วามรอบคอบ และความระมดั ระวงั ทจี่ ะนำความรู้ ต่าง ๆ เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อ ประกอบการวางแผน และในขน้ั ปฏิบัติ ๖

หลกั การทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว รชั กาลที่ ๙ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่นอกจากจะทรงด้วยทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงยังเป็น พระราชาที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และการทำงานแก่พสกนิกรของพระองค์ และนานาประเทศอีก ดว้ ย ผู้คนตา่ งประจกั ษถ์ งึ พระอัจฉริยภาพของพระองค์ และมคี วามสำนกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ เปน็ ลน้ พ้น อัน หาที่สุดมิได้ ซึ่งแนวคิดหรือ หลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีความน่าสนใจ ที่สมควรนำมา ประยกุ ต์ใชก้ ับชีวติ การทำงานเป็นอย่างยิ่ง หากท่านใดต้องการปฏิบตั ติ ามรอยเบ้ืองพระยคุ ลบาท ท่านสามารถ นำหลกั การทรงงานของพระองค์ไปปรับใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ได้ ดงั นี้ หลักการทรงงาน ๒๓ ขอ้ ๑. ศกึ ษาขอ้ มูลอย่างเปน็ ระบบ ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลเบื้องต้น ทั้งเอกสาร แผนที่ สอบถามจาก เจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้ จรงิ อยา่ งถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามเปา้ หมาย ๒. ระเบดิ จากภายใน จะทำการใดๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความ เข้าใจและอยากทำ ไม่ใช่การสั่งให้ทำ คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ทำก็เป็นได้ ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือ ประชุมกบั ลกู น้อง เพ่ือนร่วมงาน หรือคนในทีมเสียกอ่ น เพอ่ื ให้ทราบถึงเปา้ หมายและวธิ ีการตอ่ ไป ๓. แกป้ ญั หาจากจดุ เลก็ ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมื่อจะลงมือแก้ปัญหานั้น ควรมองในสิ่งที่คนมักจะมองข้าม แล้วเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทีละจุด เราสามารถ เอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ โดยมองไปที่เป้าหมายใหญ่ของงานแต่ละชิ้น แล้วเริม่ ลงมอื ทำจากจดุ เล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ไปทีละจุด งานแต่ละชิ้นก็จะลุลวงไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ “ถ้าปวดหัวคิดอะไร ไมอ่ อก กต็ อ้ งแกไ้ ขการปวดหวั นี้ก่อน มนั ไม่ไดแ้ กอ้ าการจรงิ แตต่ ้องแกป้ ัญหาท่ที ำใหเ้ ราปวดหัวให้ได้เสียก่อน เพ่ือจะให้อยู่ในสภาพทด่ี ไี ด้…” ๔. ทำตามลำดับข้นั เรมิ่ ต้นจากการลงมือทำในสงิ่ ทจ่ี ำเป็นก่อน เม่อื สำเร็จแล้วก็เริ่มลงมือส่งิ ทีจ่ ำเปน็ ลำดบั ต่อไป ดว้ ยความ รอบคอบและระมดั ระวัง ถ้าทำตามหลักนไ้ี ด้ งานทกุ สง่ิ กจ็ ะสำเร็จไดโ้ ดยง่าย… ในหลวงรัชกาลท่ี ๙ ทรงเริ่มต้น จากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากนั้นจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐาน และสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เน้นการ ปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด “การพัฒนาประเทศ จำเป็นตอ้ งทำตามลำดับขัน้ ต้องสร้างพืน้ ฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้น ก่อน ใช้วธิ กี ารและอุปกรณท์ ่ีประหยดั แตถ่ กู ตอ้ งตามหลักวิชา เมื่อไดพ้ ้ืนฐานท่มี ั่นคงพรอ้ มพอสมควร สามารถ ๗

ปฏบิ ัตไิ ดแ้ ลว้ จึงค่อยสร้างเสรมิ ความเจรญิ และฐานะเศรษฐกิจข้นั ท่สี ูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” พระบรมราโชวาท ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เมือ่ วนั ท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ๕. ภมู สิ งั คม ภูมศิ าสตร์ สังคมศาสตร์ การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับ ลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน “การพัฒนาจะต้อง เป็นไปตามภมู ปิ ระเทศทางภูมิศาสตร์และภมู ปิ ระเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวทิ ยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขา เข้าใจหลักการของการพัฒนาน้กี ็จะเกดิ ประโยชนอ์ ย่างยิ่ง” ๖. ทำงานแบบองคร์ วม ใช้วิธีคิดเพื่อการทำงาน โดยวิธีคิดอย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร ทุกสิง่ ทุกอยา่ งมีมิติเชอ่ื มต่อกนั มองสิง่ ทเ่ี กดิ ขึ้นและแนวทางแก้ไขอยา่ งเชอ่ื มโยง ๗. ไม่ตดิ ตำรา เมื่อเราจะทำการใดนั้น ควรทำงาน อย่างยืดหยุ่นกับสภาพและสถานการณ์นั้นๆ ไมใ่ ชก่ ารยึดติดอยูก่ ับแคใ่ นตำราวชิ าการ เพราะ บางที่ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครั้งเรา ยึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เราทำบางครั้งต้องโอบอ้อมต่อสภาพ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และจติ วิทยาดว้ ย ๘. รู้จักประหยัด เรียบง่าย ได้ ประโยชน์สงู สดุ ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ใน หลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหา ด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎร สามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่นและ ประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไข ปรบั ปรุง โดยไมต่ อ้ งลงทุนสงู หรอื ใช้เทคโนโลยที ่ียุง่ ยากมากนัก ดังพระราชดำรัสตอนหน่ึงว่า “…ให้ปลูกป่าโดย ไม่ตอ้ งปลูกโดยปล่อยให้ข้ึนเองตามธรรมชาติจะได้ประหยัดงบประมาณ…” ๙. ทำใหง้ ่าย ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแกไ้ ขงาน การพฒั นาประเทศตามแนวพระราชดำรไิ ปได้โดยงา่ ย ไม่ ยุ่งยากซบั ซ้อนและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ สอดคลอ้ งกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนเิ วศโดยรวม “ทำให้ง่าย” ๘

๑๐. การมีสว่ นรว่ ม ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิด โอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าทีท่ ุก ระดับได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น “สำคัญที่สุด จะต้องหัดทำใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับ ฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์ จากผู้อื่นอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือ การระดม สติปัญญาละประสบการณ์อันหลากหลายมา อำนวยการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบผลสำเร็จ ทสี่ มบรู ณน์ ัน่ เอง” ๑๑.ต้องยดึ ประโยชนส์ ว่ นรวม ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเปน็ สำคญั ดังพระราชดำรสั ตอนหนึง่ ว่า “ใคร ต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบือ่ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครมากบ็ อกวา่ ขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เป็น เพอ่ื ส่วนรวมน้ัน มไิ ด้ใหส้ ว่ นรวมแตอ่ ย่างเดยี ว เปน็ การให้เพื่อตวั เองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้” ๑๒.บรกิ ารที่จุดเดียว ทรงมีพระราชดำริมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ให้บริหารศูนย์ศึกษาการพัฒนาหลายแห่งทั่วประเทศโดยใช้ หลักการ “การบริการรวมทีจ่ ุดเดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเรื่องรู้รักสามัคคีและการร่วมมือร่วม แรงรว่ มใจกนั ดว้ ย การปรบั ลดชอ่ งว่างระหวา่ งหน่วยงานท่เี กีย่ วขอ้ ง ๑๓.ใช้ธรรมชาตชิ ว่ ยธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาตแิ ละต้องการให้ประชาชนใกลช้ ิดกับ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ ธรรมชาติเขา้ ชว่ ยเหลือเราดว้ ย ๑๔. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม ทรงนำความจริงในเรื่องธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวทางปฏิบัติในการ แก้ไขปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติเข้าสู่ระบบที่ปกติ เช่น การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยให้ผักตบชวา ซึ่งมี ตามธรรมชาตใิ หด้ ดู ซมึ สง่ิ สกปรกปนเป้อื นในน้ำ ๙

๑๕.ปลกู ป่าในใจคน การจะทำการใดสำเร็จต้องปลูกจิตสำนึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์กับสิ่งที่จะ ทำ…. “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบน แผน่ ดนิ และจะรกั ษาต้นไมด้ ้วยตนเอง” ๑๖. ขาดทุนคอื กำไร หลักการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่มีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การ เสียสละ” เป็นการกระทำอันมีผลเปน็ กำไร คอื ความอย่ดู ีมีสขุ ของราษฎร ๑๗. การพ่งึ พาตนเอง การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อ การแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นด้วยการแก้ไข ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีความแข็งแรง พอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพฒั นาให้ประชาชนสามารถอยใู่ นสังคมได้ ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ พึ่งตนเองได้ ในทสี่ ุด ๑๘.พออยพู่ อกิน ให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พอ อยู่พอกิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับ ขยายให้มขี ีดสมรรถนะทกี่ ้าวหนา้ ตอ่ ไป ๑๙.เศรษฐกิจพอเพียง เปน็ ปรชั ญาทีใ่ นหลวงรัชกาลท่ี ๙ พระราชทานพระราชดำรสั ชีแ้ นะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้ดำเนิน ไปบน “ทางสายกลาง” เพื่อให้รอดพน้ และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และการเปล่ียนแปลงตา่ งๆ ซึง่ ปรัชญานีส้ ามารถนำไปประยุกต์ใชไ้ ดท้ ้งั ระดับบุคคล องค์กร และชุมชน ๒๐.ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจตอ่ กนั ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มี ความร้มู าก แต่ไม่มีความสจุ รติ ไม่มีความบริสทุ ธิใ์ จ ๒๑.ทำงานอยา่ งมีความสุข ทำงานต้องมีความสุขด้วย ถ้าเราทำอย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุก กับการทำงานเพยี งเท่านน้ั ถอื วา่ เราชนะแลว้ หรือจะทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ ให้กับผู้อื่นก็สามารถทำได้ “…ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำ ประโยชนใ์ หก้ บั ผ้อู นื่ …” ๑๐

๒๒.ความเพียร การเริ่มต้นทำงานหรือทำสิ่งใดนั้นอาจจะไม่ได้มีความพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งม่ัน ดังเช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่ เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลาและไมไ่ ดพ้ บกบั เทวดาทชี่ ่วยเหลือมิใหจ้ มน้ำ ๒๓. รู้ รัก สามัคคี๒ รู้ คือ ร้ปู ัญหาและรวู้ ธิ แี กป้ ญั หานั้น รัก คอื เมื่อเรารู้ถึงปัญหาและวธิ ีแกแ้ ล้ว เราตอ้ งมคี วามรกั ทีจ่ ะลงมือทำ ลงมอื แกไ้ ขปญั หานนั้ สามัคคี คอื การแกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ไมส่ ามารถลงมือทำคนเดยี วได้ ต้องอาศัยความรว่ มมือรว่ มใจกนั ๒ ภาพจาก สสส., Twitter.com ๑๑

ทฤษฎีดนิ การบริหารจัดการดินการฟ้นื ฟูคณุ ภาพดนิ จำนวน 5 ศาสตร์ ดิน “...ดนิ นนั้ พัฒนาข้ึนมาไดโ้ ดยไม่ยากนัก ดินจะเคม็ จะเปรย้ี วจะจืดอะไรกต็ าม สามารถท่ีจะทำให้ดขี น้ึ ได้ ภายในไม่ก่ปี ี โดยใชเ้ ทคนิคแบบโบราณคือ ใชป้ ุ๋ยหมักหรอื ใช้ตะกอนท่ีลงมาตามลำห้วย มาพฒั นาดนิ อนั นี้ เปน็ วธิ ที ี่ง่าย...”๓ พระราชดำรสั เมื่อวนั ที่ 14 มนี าคม พ.ศ. 2536 ณ พระตำหนกั ภูพิงคราชนิเวศน์ ต.สเุ ทพ อ.เมือง จ.เชยี งใหม่ ๑. ดินเสอ่ื มโทรมคุณภาพตำ่ การปรับสภาพดนิ เส่ือมโทรมจากการใชด้ ินที่ผดิ วิธี การใชด้ นิ ผดิ วธิ ที ำให้มกี ารพังทลายของหนา้ ดนิ ดินขาดแรธ่ าตุ หรือเกดิ จากธรรมชาตทิ ำลาย หน้าดนิ เช่น พายุ ฝน การแก้ไขปญั หาที่เกิดกบั สภาพดินทเ่ี สือ่ มโทรมโดยการปรบั ปรงุ ดนิ มี 3 วิธกี ารตาม สภาพของดินทำไดโ้ ดย 1. ทำการปรบั ระดับผิวหน้าดินใหส้ ามารถระบายน้ำทีใ่ ช้ในการชะลา้ งความเป็นกรดของดนิ 2. การใชป้ นู คลุกหน้าดนิ เพ่อื ลดความเปน็ กรด เชน่ ปูนมารล์ 3. ปลูกพชื ลม้ ลกุ หรือพืชหมนุ เวียนกนั เพอื่ ไมใ่ หด้ นิ ขาดสารอาหารและปอ้ งการการชะล้างของ หนา้ ดิน ๓ พระราชดารสั เมื่อวนั ท่ี 14 มีนาคม พ.ศ. 2536 ณ พระตาหนกั ภพู ิงคราชนเิ วศน์ ต.สเุ ทพ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ 12

๒.หญ้าแฝก การปลูกหญ้าแฝก จะต้องปลูกให้ชิดติดกันเป็นแผงและวางแนวให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ เปน็ ตน้ ว่าบนพื้นทส่ี งู จะต้องปลูกตามแนวขวางของความลาดชันและรอ่ งน้ำ บนพื้นที่ราบจะต้องปลกู รอบแปลง หรือปลูกตามร่องสลบั กบั พชื ไร่ ในพื้นที่เก็บกักน้ำจะต้องปลูกเป็นแนวเหนือแหล่งน้ำ หญ้าแฝกทีป่ ลูกโดยหลัก วิธนี ี้ จะชว่ ยปอ้ งกันการพังทลายของหน้าดนิ รกั ษาความชมุ่ ชน่ื ในดนิ เก็บกกั ตะกอนดนิ และสารพิษต่างๆ ไมใ่ ห้ ไหลลงแหล่งน้ำ ซึ่งจะอำนวยผลเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การอนุรักษด์ ินและน้ำ ตลอดจนการฟื้นฟูดินและปา่ ไม้ ใหส้ มบรู ณข์ ้นึ ๔ ๓.การบำรงุ ดิน ราษฎรน่าจะหนุมเวียนปลูกพืชประเภทถัวสลับกับการปลูกข้าวเพื่อการบำรุงดินและการใช้ที่ดิน สำหรับการนำมาหาเลย้ี งชีพใหเ้ ป็นประโยชน์ตลอดปี๕ ๔.แกลง้ ดนิ เปน็ การแกป้ ญั หาดินเปร้ียว หรอื ดินเป็นกรด โดยมกี ารขงั นำ้ ไวใ้ นพ้ืนที่ จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทำ ให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ำออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดี พอทจี่ ะใชใ้ นการเพาะปลกู ได้ ๕.การหม่ ดิน การห่มดิน เป็นวิธีการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน หรือเป็นการปรับปรุงดินก่อนการเพาะปลูก ดินที่ดี สังเกตจะมีเชื้อราเกิดขึ้น และต้องใช้ร่วมกับ น้ำหมักชีวภาพ จะทำให้ดินมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ปลูกหญ้าแฝก ด้วย ใบแฝกก็ตัดมาห่มดินได้ ก็เป็นการดี การห่มดินเพ่ือให้จุลินทรีย์ในดินมคี วามอุดมสมบูรณ์ ถ้าเปลือยดินไว้ จะทำให้จลุ ินทรยี ์ตาย ตน้ ไมจ้ ะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ๔ พระบรมราโชวาท เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ๕ พระราชดารสั เม่ือวนั ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ 13

ทฤษฎนี ้ำ การจดั การนำ้ ทว่ มและน้ำเสีย จำนวน ๘ ศาสตร์ ๑. คลองไสไ้ ก่ คือ การขุดรอ่ งนำ้ ในท่ดี นิ เปน็ หน่งึ ในรูปแบบหลุมขนมครกเพอ่ื กกั เกบ็ น้ำและกระจาย ความชุ่มชื้นไปทั่วบริเวณพื้นที่เพาะปลูก เปรียบเสมือนลำธารที่มีความคดเคี้ยว มีการไหลตก กระทบ นำ้ ที่ไหลผ่านจะซมึ ลงสู่พืน้ ดนิ ทำให้เกดิ ความช่มุ ช้นื ๒. แก้มลิง โครงการแก้มลิงสร้างขึ้นเพ่ือแก้ปัญหานำ้ ท่วมขงั โดยใช้หลักการทางธรรมชาติคือกักเก็บ นำ้ ฝนเอาไว้ เพอื่ รอเวลาระบายออก ซ่ึงลักษณะการดำเนนิ งานของแก้มลงิ จะมีข้นั ตอนดังต่อไปนี้ ลกั ษณะและวิธีการของโครงการแก้มลงิ 1. ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบนให้ไหลไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ ลงคลองพักน้ำขนาด ใหญ่ที่บริเวณชายทะเล เช่น คลองชายทะเลของฝั่งตะวันออก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ แก้มลิง ตอ่ ไป 2. เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ทำการระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตู ระบายนำ้ โดยอาศยั ทฤษฎแี รงโนม้ ถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ 3. สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่ “แก้มลิง” ให้ระบายออกในระดับต่ำที่สุดออกสู่ทะเล เพื่อจะได้ทำให้ น้ำตอนบนคอ่ ยๆ ไหลมาเองอย่างตอ่ เนอื่ ง ส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นทีล่ ดนอ้ ยลง 4. เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลองให้ทำการปิดประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเล ไหลยอ้ นกลบั โดยยดึ หลักน้ำไหลทางเดียว (One Way Flow) 14

๓. ระบบบำบดั นำ้ เสยี แบบบ่อเตมิ อากาศ เป็นระบบบำบดั นำ้ เสยี ทอี่ าศยั การเติมออกซิเจนจากเครอื่ งเติมอากาศ (Aerator) ทีต่ ิดตงั้ แบบทุ่นลอย หรือยึดติดกับแท่นก็ได้ เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำให้มีปริมาณเพียงพอ สำหรับจุลินทรีย์สามารถนำไปใช้ย่อย สลายสารอนิ ทรยี ใ์ นนำ้ เสยี ได้เรว็ ขนึ้ กวา่ การปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ ทำให้ระบบบำบดั น้ำเสียแบบบ่อ เติมอากาศสามารถบำบัดน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดปริมาณความสกปรกของน้ำเสียในรูปของ ค่าบโี อดี (Biochemical Oxygen Demand; BOD) ได้รอ้ ยละ 80-95 โดยอาศยั หลักการทำงานของจุลนิ ทรยี ์ ภายใตส้ ภาวะที่มอี อกซเิ จน (Aerobic) โดยมเี ครื่องเติมอากาศซง่ึ นอกจากจะทำหน้าเพ่ิมออกซิเจนในน้ำแล้วยัง ทำใหเ้ กิดการกวนผสมของน้ำในบ่อดว้ ย ทำให้เกดิ การยอ่ ยสลายสารอนิ ทรียไ์ ดอ้ ยา่ งท่วั ถึงภายใน ๔. ระบบบำบัดนำ้ เสียแบบบงึ ประดิษฐ์ (CONSTRUCTED WETLAND) บึงประดิษฐ์ คือ ระบบบำบัดน้ำเสียทีอ่ าศยั กระบวนการทางธรรมชาติ และกำลังเป็นที่นยิ มมากขึ้นใน ปัจจบุ ัน ซ่งึ ข้อดขี องระบบน้ี คอื ไม่ซับซอ้ นและไมต่ อ้ งใช้เทคโนโลยีในการบำบดั สูง เมื่อน้ำเสียไหลเข้ามาในบึงประดิษฐ์ สารอินทรีย์ส่วนหนึ่งจะตกตะกอนจมตัวลงสู่ก้นบึง และถูกย่อย สลายโดยจุลินทรีย์ ส่วนสารอินทรยี ์ที่ละลายน้ำจะถูกกำจัดโดยจุลินทรีย์ที่เกาะติดอยู่กับพืชน้ำหรือชั้นหนิ และ จุลินทรีย์ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ พืชที่ปลูกในระบบจะเป็นพืชตระกูลกก ธูปฤาษี พุทธรักษา ปักษาสวรรค์ ซึ่งพืช เหล่านี้มีหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการถ่ายเทก๊าซออกซิเจนจากอากาศเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่น้ำเสีย นอกจากนี้ ยงั สามารถกำจดั ไนโตรเจนและฟอสฟอรสั ได้โดยการนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของพืชได้อีก 15

๕. ฝายชะลอนำ้ หรือฝายชะลอความชมุ่ ชื้น ซ่งึ หมายถึง ส่งิ กอ่ สร้างท่ขี วางทางกั้นลำน้ำขนาดเล็กในบริเวณต้นน้ำ หรือ พื้นที่ที่มีความลาดชันสูง เพื่อให้น้ำที่ไหลมาแรงสามารถที่จะชะลอการไหลช้าลงและเก็บกักตะกอน เพื่อไม่ให้ ลงไปสู่บรเิ วณลุ่มนำ้ ตอนล่าง ประเภทของฝายชะลอน้ำหรอื ฝายชะลอความชุ่มชนื้ แบง่ ได้ ๒ ประเภท ๑. ฝายต้นน้ำลำธาร หรือฝายชะลอความชุ่ม ชื้น เป็นฝายที่กักเก็บน้ำให้ไหลช้าลง และสามารถซึม ลงใตผ้ ิวดิน เพือ่ สร้างความชุ่มชืน้ ให้แก่พนื้ บริเวณนนั้ ๒. ฝายดักตะกอนดิน ทราย เป็นฝายที่ดัก ตะกอนดินและทรายไมใ่ หไ้ หลลงสแู่ หลง่ นำ้ เบื้องลา่ ง ๖. เข่ือนเก็บกักน้ำ เขื่อนที่สร้างปิดกั้นลำน้ำธรรมชาติระหว่างหุบเขา หรือเนินสูง เพื่อกักกั้นน้ำที่มีไหลมามากในฤดูฝน เก็บไว้ทางด้านเหนือเขื่อน ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ เรียกว่า \"เขื่อนเก็บกักน้ำ\" น้ำที่เก็บกักไว้น้ี จะ นำออกมาทางอาคารท่ตี วั เขือ่ นไดท้ ุกเวลา ท่ตี อ้ งการ โดยอาจระบายลงไปตามลำน้ำใหแ้ กเ่ ข่ือนทดนำ้ ทส่ี รา้ งอยู่ ทางตอนล่าง หรืออาจส่งเข้าคลองส่งน้ำ สำหรับโครงการชลประทานท่ีมีคลองส่งน้ำรับน้ำจากเขื่อนเก็บกักนน้ั โดยตรง เขื่อนเก็บกักน้ำที่สร้างกันโดยทั่วไป มีหลายประเภท หลายขนาดแตกต่างกัน เขื่อนเก็บกักน้ำขนาด ใหญ่บางแห่ง อาจจะใหป้ ระโยชน์ได้หลายด้าน เช่น การผลิตไฟฟา้ การชลประทาน การคมนาคม การบรรเทา อุทกภัย และการเพาะเลีย้ งปลา ในอ่างเก็บน้ำ เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า \"เขื่อนอเนกประสงค์\" ได้แก่ เขื่อนภูมิพล ที่ จังหวดั ตาก เขื่อนสิรกิ ิติ์ ท่ีจังหวดั อตุ รดติ ถ์ และ เขื่อนอุบลรัตน์ ที่จังหวดั ขอนแก่น เปน็ ต้น ๗. คนั กั้นนำ้ เลียบลำนำ้ เป็นวิธีการป้องกันน้ำท่วมที่นิยมทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการก่อสรา้ งคันดินกั้นนำ้ ขนาด เล็กซ่งึ มีขนาดความสูงไม่มากนัก ใหม้ แี นวขนานกับลำนำ้ และอยหู่ ่างจากขอบตลิง่ เข้าไปเป็นระยะพอประมาณ เพื่อกั้นน้ำที่มีระดับสูงกวา่ ตลิ่งไม่ให้ไหลบ่าเข้าไปท่วมพื้นที่ต่างๆ ตามที่ต้องการการป้องกันน้ำท่วมโดยวิธีการ ก่อสร้างคันกั้นน้ำเลียบลำน้ำ จึงนับเป็นวิธีการป้องกันน้ำมิให้ไหลล้นตลิ่งออกไปท่วมพื้นที่ให้ได้รับความ เสยี หายโดยตรง เหมอื นกับการเสรมิ สรา้ งขอบตล่ิงของลำน้ำในบริเวณน้ันให้มรี ะดับความสูงมากขึ้นกว่าเดิม 16

เพื่อเพิม่ เนื้อทีห่ น้าตัดของลำนำ้ ให้มขี นาดใหญ่พอทจี่ ะระบายน้ำไหลหลากจำนวนมาก ให้ไหลผ่านพื้นท่ีบริเวณ น้ันไปโดยไมท่ ว่ มพน้ื ทด่ี ังกลา่ วให้ไดร้ ับความเสียหายเช่นแตก่ อ่ น ในการวางโครงการก่อสร้างคันกั้นน้ำมีหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่สมควรพิจารณาดำเนินการให้ เหมาะสม ดงั น้ี 1. ความสงู ของคันก้นั น้ำ คนั กนั้ นำ้ ท่สี รา้ งจะต้องมรี ะดับหลังคันสูงพ้นระดับน้ำทว่ มสงู สุด ซ่ึงคาดว่า จะเกดิ ขน้ึ ตามรอบปีที่กำหนดในการออกแบบเสมอ สำหรับในกรณที ม่ี ีการกอ่ สรา้ งคนั ก้ันนำ้ เลียบตามแนวสอง ฝั่งลำน้ำ ขนาดความสูงและระยะห่างของคันกั้นน้ำที่บริเวณสองฝั่งลำน้ำจะต้องมีการพิจารณาร่วมกัน ให้มี ความเหมาะสมในด้านต่างๆ กล่าวคือ ในกรณีก่อสร้างคันกั้นน้ำเลียบไปตามแนวสองฝั่งลำน้ำ คันกั้นน้ำที่มี ขนาดความสูงไม่มาก จะต้องสร้างให้มีแนวที่ห่างจากตัวตลิ่งของลำน้ำเข้าไปมากๆ โดยให้มีพื้นที่ที่จะถูกน้ำ ท่วมตามบริเวณสองฝั่งลำน้ำเป็นบริเวณกวา้ งมากกว่าการก่อสร้างคันกั้นน้ำที่ มีขนาดความสูงมากซึ่งสร้างอยู่ ตามแนวใกล้ ขอบตลิ่ง ส่วนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและค่าดูแลรกั ษา คันกั้นนำ้ ท่ีมีขนาดความสงู มากยอ่ มจะเสยี ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างรวมทั้งค่าดูแลรักษามากกว่าคันกั้นน้ำที่มีขนาดความสูงไม่มากนักดังนั้นในการ วางโครงการจึงต้องมีการพิจารณาทางด้านเศรษฐกิจศาสตร์ร่วมกับทางด้านวิศวกรรมเพื่อเปรียบเทียบถึงค่า ลงทุนในการกอ่ สรา้ ง กบั ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั จากการป้องกนั พื้นทข่ี อบตล่งิ ในกรณกี อ่ สรา้ งคนั กน้ั น้ำซึ่งมี ขนาดความสงู แตกต่างกันด้วย เพอื่ พิจารณากำหนดขนาดความสงู และแนวคนั กน้ั น้ำไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. ขนาดของคันกั้นน้ำ คันกั้นน้ำส่วนใหญ่จะก่อสร้างด้วยดินถมบดอัดแน่น โดย มีรูปร่างลักษณะ เหมือนกับเขื่อนดิน แต่คันกั้นน้ำจะทำหน้าที่กักกั้นน้ำอยู่เป็นครั้งคราว จึงมีความแตกต่างไปจากเขื่อนดินท่ี ต้องกักกั้นน้ำไว้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ คันกั้นน้ำจึงมีลักษณะคล้ายกับคันดินถนนทั่วไปที่ทำหน้าที่กักกั้นน้ำไว้ ด้วยเป็นครั้งคราวนัน่ เอง ในการออกแบบเพื่อกำหนดขนาดและรูปร่างของคันกั้นน้ำ มีหลักเกณฑ์โดยทั่วไปว่า จะต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของตวั คนั ก้ันนำ้ เพ่ือให้มีสภาพคงทนใชง้ านไดน้ านปี ตวั คันกน้ั นำ้ จะต้องมีขนาด และความเอยี งลาดของคันดินทัง้ สองด้านที่มีสภาพมั่นคง แข็งแรงในการทรงตัวอยูไ่ ด้เสมอ โดยไม่เล่ือนทลาย ทั้งในช่วงเวลาที่ทำการกักกั้นน้ำและในขณะที่น้ำมีระดับลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ขนาดของคันกั้นน้ำที่มีความ มั่นคงแข็งแรงเพียงพอนั้น โดยทัว่ ไปควรมคี วามลาดเทในอัตราส่วน ต้งั :ราบ = ๑:๓ สำหรับลาดคนั ด้านท่ีก้ัน นำ้ และต้ัง:ราบ = ๑:๒.๕ สำหรบั ลาดคันอกี ดา้ นหนง่ึ ส่วนความกว้างของหลัง คนั กั้นน้ำในกรณีให้รถยนต์วิ่ง ไดค้ วรมขี นาดกว้างไมน่ อ้ ยกว่า ๔.๐๐ เมตร แตส่ ามารถลดขนาดความกว้างให้เหลอื เพยี ง ๒.๕ เมตร ได้ เม่ือ ไมต่ อ้ งการใช้หลังคนั เป็นทางรถวิ่ง 3. ระบบระบายน้ำภายในพื้นที่หลังคันกั้นน้ำ เนื่องด้วยคันกั้นน้ำที่ก่อสร้างมักจะตัดผ่านร่องน้ำและ ทางน้ำต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างท่อระบายน้ำหรือประตูระบายน้ำเพื่อการระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้ สะดวก พร้อมกับติดตั้งบานประตูบังคับน้ำไว้ทุกแห่ง เพื่อป้องกันน้ำจากภายนอกเข้าไปท่วมพื้นที่ด้านในอีก ด้วย 17

๘. โคก-หนอง-นา โมเดล คอื การจัดการพ้ืนทซี่ ึ่งเหมาะกับพืน้ ทีก่ ารเกษตร ซงึ่ เป็นผสมผสานเกษตรทฤษฎใี หม่ เขา้ กบั ภูมิปัญญา พื้นบ้านท่ีอยู่อย่างสอดคล้องกบั ธรรมชาตใิ นพ้ืนทีน่ ัน้ ๆ โคก-หนอง-นา โมเดล เป็นการที่ให้ธรรมชาตจิ ดั การตวั มนั เองโดยมี มนุษย์เป็นส่วนสง่ เสริมให้มนั สำเร็จเร็วขึ้น อยา่ งเป็นระบบ โคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นแนวทาง ทำเกษตรอินทรยี แ์ ละการสร้างชีวติ ทย่ี ่งั ยืน โดยมีองคป์ ระกอบดังน้ี 1. โคก : พืน้ ทส่ี ูง • ดินที่ขุดทำหนองน้ำนั้นให้นำมาทำโคก บนโคก ปลูก “ป่า 3อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ตาม แนวทางพระราชดำริ • ปลูกพชื ผัก สวนครวั เลย้ี งหมู เล้ยี งไก่ เลี้ยงปลา ทำให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น เป็น เศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู่ข้ัน ก้าวหน้า คือ ทำบุญ ทำทาน เก็บรักษา ค้าขาย และเชือ่ มโยงเปน็ เครือขา่ ย • ปลูกที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพภูมิ ประเทศ และภมู อิ ากาศ 2. หนอง : หนองนำ้ หรือแหลง่ นำ้ • ขุดหนองเพ่ือกักเก็บน้ำไว้ใชย้ ามหน้าแล้งหรือจำเป็น และเป็นที่รับน้ำยามน้ำท่วม (หลุมขนม ครก) • ขุด “คลองไส้ไก่” หรือคลองระบายน้ำรอบพ้นื ทต่ี ามภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยขดุ ให้คดเค้ียวไป ตามพื้นทีเ่ พื่อให้น้ำกระจายเตม็ พนื้ ทีเ่ พ่ิมความช่มุ ช้นื ลดพลังงานในการรดน้ำตน้ ไม้ ทำ ฝายทดน้ำ เพื่อเก็บน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่โดยรอบไม่มีการกักเก็บ นำ้ นำ้ จะหลากลงมายังหนองนำ้ และคลองไสไ้ ก่ ให้ทำฝายทดน้ำเก็บไวใ้ ชย้ ามหน้าแล้ง • พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ทั้งการขดุ ลอก หนอง คู คลอง เพื่อกกั เก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และ เพ่ิมการระบายน้ำยามนำ้ หลาก 3. นา • พื้นที่นานั้นให้ปลูกข้าวอินทรีย์พื้นบ้าน โดยเริ่มจากการฟื้นฟูดิน ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ ยั่งยืน คืนชีวิตเล็กๆ หรือจลุ ินทรยี ์กลบั คนื แผ่นดินใช้การควบคุมปริมาณน้ำในนาเพ่ือคุมหญ้า ทำให้ปลอดสารเคมีได้ ปลอดภัยทัง้ คนปลกู คนกิน • ยกคนั นาใหม้ คี วามสูงและกวา้ ง เพ่อื ใชเ้ ป็นท่รี ับนำ้ ยามน้ำทว่ ม ปลูกพืชอาหารตามคันนา 18

ทฤษฎีปา่ จำนวน 8 ศาสตร์ 1. ปลูกป่า 3 อย่างไดป้ ระโยชน์ 4 อย่าง พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรสั ความวา่ “...ป่าไม้ที่จะปลูกนั้น สมควรที่จะปลูกแบบป่าใช้ไม่หนึ่ง ป่าสำหรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นฟืน อย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้างๆใหญ่ๆ การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของ กรมป่าไม้รู้สึกจะไม่ใช่ป่าไม้ แต่ในความหมายของการช่วยเหลือเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวย ผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนมฟืนก็ตามนั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่า คือ เป็นต้นไม้และทำ หน้าทีเ่ ป็นทรัพยากรในด้านสำหรับให้ผลทม่ี าเป็นประโยชน์แกป่ ระชาชนได.้ ..” ประโยชน์ที่ได้รับ ในการปลูกป่า 3 อย่างนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพติ รทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชาธบิ ายถงึ ประโยชน์ในการปลูกป่าตามพระราชดำรวิ า่ “...การปลกู ปา่ 3 อยา่ ง แต่ใหป้ ระโยชน์ 4 อยา่ ง ซ่ึงได้ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน และไมฟ้ ืนนัน้ สามารถให้ประโยชน์ ไดถ้ งึ 4 อย่าง คือ นอกจากประโยชน์ในตัวเองตามชื่อแล้ว ยังสามารถใหป้ ระโยชน์อนั ที่ 4 ซึ่งเป็นขอ้ สำคัญ คือ สามารถชว่ ยอนรุ ักษด์ ินและตน้ นำ้ ลำธารด้วย...” และได้มพี ระราชดำรสั เพม่ิ เติมวา่ “...การปลูกป่าถา้ จะใหร้ าษฎรมปี ระโยชน์ใหเ้ ขาอยไู่ ด้ ใหใ้ ช้วธิ ีปลูกไม้ 3 อยา่ ง แต่มปี ระโยชน์ 4 อยา่ ง คือ ไม้ ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ โดยรองรบั การชลประทาน ปลูกรับซับน้ำ และปลูกอุดช่วงไหล่ตามร่องห้วย โดย รับนำ้ ฝนอยา่ งเดยี ว ประโยชน์อย่างที่ 4 ไดร้ ะบบอนุรักษ์ดินและน้ำ...” พระราชดำริเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ดำเนินการในหลายส่วนราชการ ทั้งกรมป่าไม้และศูนย์ศึกษา การพฒั นาอันเนือ่ งมาจากพระราชดำริทกุ แห่ง คอื การปลูกปา่ ใช้สอย โดยดำเนนิ การปลูกพนั ธ์ไุ มโ้ ตเร็วสำหรับ ตัดกิง่ มาทำฟืนเผาถ่าน ตลอดจนไมส้ ำหรับใช้ในการกอ่ สร้างและหัตถกรรมส่วนใหญ่ไดม้ กี ารปลูกพันธ์ุไม้โตเร็ว เปน็ สวนปา่ เชน่ ยูคาลิปตัส ขี้เหล็ก ประดู่ แค กระถนิ ยกั ษ์ และสะเดา เปน็ ต้น แปลความสรุปอยา่ งเขา้ ใจงา่ ย ปลกู ไมใ้ หพ้ ออยู่ พอกนิ พอใช้ อนรุ กั ษ์สงิ่ แวดลอ้ มและระบบนิเวศ • พออยู่ หมายถึง ไมเ้ ศรษฐกิจปลูกไวท้ ำท่ีอยูอ่ าศัย และจำหน่าย • พอกนิ หมายถึง ปลูกพืชเกษตรเพื่อการกนิ และสมนุ ไพร • พอใช้ หมายถงึ ปลูกไม้ไว้ใช้สอยโดยตรงและพลังงาน เช่น ไม้ฟืน, และไม้ไผ่ เป็นตน้ • ประโยชน์ต่อระบบนิเวศ สรา้ งความสมบูรณแ์ ละก่อใหเ้ กิดความหลากหลายทางชีวภาพในพืน้ ทปี่ ่า 19

2. การปลูกป่าทดแทน ในขณะน้ปี ระเทศไทยเรามีพื้นทปี่ ่าไม้เหลอื อยูเ่ พียงรอ้ ยละ 25 ของพ้ืนท่ีประเทศประมาณการได้เพียง 80 ล้านไร่เท่านั้น หากจะเพิ่มเนื่องที่ป่าไม้ให้ได้ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศแล้ว คนไทยจะต้อง ชว่ ยกันปลูกป่าถึง 48 ล้านไร่ โดยใชก้ ลา้ ไม้ปลูกไมต่ ำ่ กวา่ ปลี ะ 100 ล้านตน้ ใช้เวลาถึง 20 ปี จงึ จะเพิ่มป่าไม้ ได้ครบเปา้ หมายท่กี ำหนดไวเ้ ทา่ น้ัน การปลูกป่าทดแทนเป็นแนวทฤษฎีการพัฒนาปา่ ไมอ้ ันเนือ่ งมาจากพระราชดำรทิ ี่พระบาทสมเดจ็ พระ เจ้าอยู่หัวได้พระราชทานมรรควิธีในการปลูกป่าทดแทน เพื่อคืนธรรมชาติสู่แผ่นดนิ ด้วยวิถีทางแบบผสมผสาน กันในเชิงปฏิบตั ิดังพระราชดำริความตอนหน่ึงว่า การปลูกป่าทดแทนจะต้องทำอย่างมีแผนโดยการดำเนินการ ไปพรอ้ มกับการพัฒนาชาวเขาในการนเี้ จา้ หนา้ ที่ปา่ ไม้ ชลประทาน และฝ่ายเกษตรจะต้องร่วมมือกนั สำรวจต้น นำ้ ในบรเิ วณพืน้ ทร่ี บั ผิดชอบ เพ่ือวางแผนปรบั ปรงุ ตน้ นำ้ และพัฒนาอาชพี ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง วธิ กี ารปลูกป่าทดแทน 1.ปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกแผ้วถางและพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม การปลูกป่าทดแทนในพื้นท่ี เสือ่ มโทรมหรอื พ้นื ทีต่ น้ น้ำลำธารที่ถูกบกุ รกุ แผว้ ถางจนเป็นภูเขาหัวโล้น แลว้ จำต้องปลกู ป่าทดแทนเร่งด่วนนั้น ควรจะทดลองปลูกต้นไม้ชนิดโตเร็วคลุมแนวร่องน้ำเสียก่อน เพื่อทำให้ความชุ่มชื้นค่อยๆ ทวีขึ้นแผ่ขยาย ออกไปทั้งสองร่องน้ำ ซึ่งจะทำให้ต้นไม้งอกงามและมีส่วนช่วยป้องกันไฟป่า เพราะไฟจะเกิดง่ายหากป่าขาด ความชุ่มชื้น ในปีต่อไปก็ให้ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ถัดขึ้นไป ความชุ่มชื้นก็จะแผ่ขยายกว้างต่อไปอีก ต้นไม้จะงอก งามดตี ลอดทัง้ ปี 2. การปลูกป่าทดแทนตามไหล่เขา จะต้องปลูกต้นไม้หลายๆ ชนิด เพื่อให้ได้ประโยชน์อเนกประสงค์ คือ มที ัง้ ไม้ผล ไม้สำหรบั กอ่ สร้างและไม้สำหรบั ทำฟืน ซง่ึ เกษตรกรจำเป็นต้องใชเ้ ป็นประจำ ซ่ึงเมอื่ ตดั ไม้ใช้แลว้ กป็ ลูกทดแทนหมนุ เวยี นทนั ที 3. การปลูกป่าทดแทนบริเวณต้นน้ำบนยอดเขาและเนินสูง ต้องมีการปลูกป่าโดยปลูกไม้ยืนต้นและ ปลูกไม้ฟืน ซึ่งไม้ฟืนนั้นราษฎรสามารถตัดไปใชไ้ ด้ แต่ต้องมีการปลูกทดแทนเป็นระยะ ส่วนไม้ยืนต้นจะชว่ ยให้ อากาศมีความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของระบบการให้ฝนแบบธรรมชาติ ทั้งยังช่วยยึดดินบนเขาไม่ให้ พังทลายเมื่อเกดิ ฝนตกอกี ดว้ ย 4.ให้มีการปลูกป่าที่ยอดเขา เนื่องจากสภาพป่าบนที่เขาสูงทรุดโทรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำ ตอนลา่ ง และคดั เลือกพนั ธไ์ุ ม้ทมี่ เี มล็ดเป็นฝกั เพอื่ ใหเ้ ปน็ กระบวนการธรรมชาติปลูกตอ่ ไปจนถงึ ตนี เขา 5.ปลูกปา่ บรเิ วณอา่ งเก็บนำ้ หรือเหนืออา่ งเก็บนำ้ ที่ไม่มีความชุ่มชื้นยาวนานพอ 6.ปลูกป่าเพ่ือพัฒนาลุ่มนำ้ และแหลง่ น้ำใหม้ นี ำ้ สะอาดบริโภค 20

7.ปลูกป่าให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มข้ึน โดยให้ราษฎรในท้องท่ีน้ันๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกและดแู ล รักษาต้นไม้ใหเ้ จรญิ เตบิ โต นอกจากนีย้ ังเปน็ การปลูกฝังจติ สำนึกให้ราษฎรเห็นความสำคัญของการปลูกป่า 8.ปลกู ปา่ เสริมธรรมชาติ เพื่อเปน็ การเพม่ิ ทีอ่ ย่อู าศยั แก่สัตว์ป่า 3. ป่าเปียก ปา่ เปยี ก เป็นทฤษฎกี ารพัฒนาปา่ ไมโ้ ดยใชท้ รัพยากรน้ำให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดในการสร้างแนวป้องกัน ไฟเปียก (wet fire break) ความชุ่มชื้นที่เกิดขึ้นทำให้ไฟป่าเกิดยากส่งผลให้การพัฒนาและอนุรักษ์ฟื้นฟูง่าย และไดผ้ ลมากขึน้ วธิ ีการสร้างปา่ เปยี ก ๑. ใชแ้ นวคลองส่งน้ำ ๒. สรา้ งระบบควบคุมไฟด้วยแนวกันไฟอาศยั น้ำชลประทานและนำ้ ฝน ๓. ปลกู ไมโ้ ตเรว็ คลมุ ร่องนำ้ ๔. สรา้ งฝายชะลอความชมุ่ ช้ืน check dam ๕. สูบน้ำด้วยพลังงานธรรมชาติขึ้นที่สูงแล้วปล่อยลงมาให้ไหลซึม ช่วยเร่งรัดการปลูกป่าไม้ช่วยแปร สภาพโครงการภูเขาปา่ ให้เปน็ ปา่ เปียก ๖. ปลกู กล้วยเป็นแนวปะทะ 2 เมตร เพราะกล้วยสามารถอุม้ นำ้ ไว้ได้มาก 4.ปลกู ปา่ ในใจคน ปลูกต้นไม้ในใจคน หมายถึง ประการแรก ต้องเข้าใจว่าเราปลูกต้นไม้ทำไมต้องให้เห็นประโยชน์ว่า ประโยชน์คืออะไร จำเป็นต่อชีวิตอย่างไร ประการที่สองปลูกต้นไม้เป็นการปลูกจิตสำนึกเกี่ยวกับ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ดนิ น้ำลมไฟที่อยู่รอบตัวเรา จงึ ทำใหเ้ กิดโครงการ การปลูกป่า 3 อยา่ ง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง ดังน้ี “การ ปลกู ป่าถา้ จะให้ราษฎรมีประโยชน์ใหเ้ ขาได้ให้ใช้วิธีปลูกไม้ 3 อย่าง แต่มีประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ โดยปลูกรองรับการชลประทาน ปลูกรับซับน้ำ และปลูกอุดช่วงไหล่ตามร่อง หว้ ยโดยรบั นำ้ ฝนอยา่ งเดียว ประโยชน์อย่างท่ี 4 คอื สามารถช่วยอนรุ กั ษ์ดนิ และน้ำ” แปลความสรปุ อยา่ งเข้าใจงา่ ย ปลูกไมใ้ ห้พออยู่ พอกิน พอใช้ และระบบนิเวศน์ ๑. พออยู่ หมายถึง ไมเ้ ศรษฐกจิ ปลกู ไว้ทำทอี่ ยู่อาศยั และจำหนา่ ย ๒. พอกนิ หมายถงึ ปลกู พืชเกษตรเพอื่ การกินและสมุนไพร ๓. พอใช้ หมายถึง ปลูกไม้ไว้ใช้สอยโดยตรงและพลังงาน เช่น ไม้ฟืน, และไม้ไผ่ เป็นต้น ประโยชน์ต่อ ระบบนิเวศน์ สร้างความสมบรู ณ์และกอ่ ให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นทป่ี ่า 21

5.ปลูกป่าโดยไมต่ ้องปลูก ทฤษฎีการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกตามหลักการฟื้นฟูสภาพป่าด้วยวัฏธรรมชาติ ( Natural Reforestation) ป่าต้นน้ำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในปัญหาปริมาณป่าไม้ลดลงเป็นอย่างมาก จึงทรง พยายามค้นหาวิธีนานาประการที่จะเพิ่มปริมาณป่าไม้ของประเทศไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและถาวร โดย วธิ ีการท่เี รียบงา่ ย และประหยดั ในการดำเนินงาน ตลอดจนเปน็ การส่งเสรมิ ระบบวงจรปา่ ไมใ้ นลักษณะอันเป็น ธรรมชาติด่ังเดมิ ซงึ่ ไดพ้ ระราชทานพระราชดำริหลาย วิธีการ คอื วธิ ีท่ี 1 ปลูกปา่ โดยไม่ต้องปลูก ดว้ ยวิธีการ 3 วธิ ี คือ 1) “ถ้าเลือกได้ที่เหมาะสมแล้ว ก็ทิ้งป่านั้นไว้ตรงนั้น ไม่ต้องไปทำอะไรเลย ป่าจะเจริญเติบโตขึ้นมา เป็นป่าสมบูรณ์ โดยไม่ตอ้ งไปปลูกสกั ตน้ เดยี ว” 2) “ไม่ไปรงั แกป่าหรอื ตอแยต้นไม้ เพียงแต่คมุ้ ครองใหข้ นึ้ เองเทา่ นัน้ ” 3) “ในสภาพป่าเต็งรงั ป่าเสอื่ มโทรมไมต่ ้องทำอะไรเพราะตอไมจ้ ะแตกกิ่งออกมาอกี ถึงแม้ต้นไม่สวย แต่กเ็ ป็น ต้นไมใ้ หญไ่ ด้” วธิ ีที่ 2 ปลูกป่าในท่ีสงู ทรงแนะวิธีการ ดงั น้ี “...ใช้ไม้จำพวกที่มีเมล็ดทั้งลายขึ้นไปปลูกบนยอดที่สูง เมื่อโตแล้วออกฝักออกเมล็ดก็จะลอยตกลง มาแลว้ งอกเอง ในทต่ี ำ่ ตอ่ ไป เป็นการขยายพันธโ์ุ ดยธรรมชาต.ิ ..” วิธที ี่ 3 ปลูกป่าต้นนำ้ ลำธาร หรือ การปลูกป่าธรรมชาติ ทรงเสนอแนวทางปฏิบตั วิ า่ 1) ปลูกต้นไม้ที่ขึ้นอยู่เดิม คือ “...ศึกษาดูก่อนว่าพืชพันธุ์ไม้ดั่งเดิมมีอะไรบ้าง แล้วปลูกแซมตาม รายการชนดิ ตน้ ไม้ท่ีศกึ ษามาได้...” 2) งดปลูกไมผ้ ดิ แผกจากถิ่นเดิม คือ “...ไม่ควรนำไม้แปลกปลอมตา่ งพันธุต์ ่างถิ่นเข้ามาปลูกโดยยังไม ได้ศกึ ษาอยา่ งแนช่ ัดเสียก่อน...” วธิ ที ่ี 4 การปลูกป่าทดแทน ในขณะที่ประเทศไทยเรามพี น้ื ทปี่ า่ ไม้เหลืออยู่เพียงรอ้ ยละ 25 ของพน้ื ทป่ี ระเทศประมาณการได้เพยี ง 80 ล้านไรเ่ ท่าน้นั หากจะเพิม่ เน้ือที่ป่าไมใ้ ห้ได้ประมาณร้อยละ 40 ของพ้ืนทป่ี ระเทศแล้ว คนไทยต้องช่วยกัน ปลูกป่าถึง 48 ล้านไร่ โดยใช้ กล้าปลูกไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านต้น ใช้เวลาถึง 20 ปี จึงจะเพิ่มป่าไม้ได้ครบ เป้าหมายที่กำหนดไว้เท่านั้น การปลูกป่า ทดแทนจึงเป็นแนวทฤษฎีการพัฒนาป่าไม้อันเนื่องมาจาก 22

พระราชดำรทิ ่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ได้พระราชทานมรรควิธี ในการปลกู ปา่ ทดแทน เพื่อคืนธรรมชาติสู่ แผ่นดนิ ดว้ ยวิธีทางแบบผสมผสานกันในเชงิ ปฏบิ ัตดิ งั พระราชดำริตอนหน่งึ วา่ “...การปลูกปา่ ทดแทนจะต้องทำอย่างมีแผนโดยการดำเนินการไปพร้อมกับการพฒั นาชาวเขา ในการ นี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ชลประทานและฝ่ายเกษตรจะต้องร่วมมือกันสำรวจต้นน้ำในบริเวณพื้นที่รับผิดชอบ เพ่ือ วางแผนปรบั ปรุงตน้ น้ำและพฒั นาอาชพี ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง...” 6.การอนรุ กั ษ์พันธุ์พชื การอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืช มีความสำคัญต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากรในอนาคตเป็น อย่างยิ่ง พันธุกรรมพืชถือเป็น ทรพัยากรที่มีค่าและมีความสำคัญต่อการปรับปรุงพันธุ์พืชในอนาคต ความ หลากหลายทางพันธุกรรมของทรัพยากรเหล่านี้อาจจะสูญหาย ไป เนื่องจากความไม่รู้ของมนุษย์ในการใช้ ทรพั ยากรเหลา่ นี้ วทิ ยาการในการจำแนกและการอนรุ กั ษ์พนั ธุกรรมพืชจึงมีบทบาทสำคัญ ท่จี ะดำรงทรัพยากร นใ้ี ห้ยงั่ ยืนและถกู ต้องตามหลักวิชาการ เราอาจจำแนกพชื โดยดจู ากลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยาท่แี ตกตา่ งกนั แต่ บางคร้ังเราก็ไม่สามารถจำแนกพืชได้ถูกตอ้ ง ดว้ ยลกั ษณะดังกล่าวจงึ จำเปน็ ต้องใช้เทคนคิ ต่าง ๆ มาประกอบใน การช่วยจำแนก เช่น chemotaxonomy, phyto-biochemistry หรอื molecular biology การเกบ็ รักษา เทคนคิ การเกบ็ รกั ษาเชอ้ื พนั ธุกรรมพชื ในปัจจบุ นั สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ๑. การเกบ็ รักษาในสภาพธรรมชาตดิ ง้ั เดมิ เป็นการนำชิ้นสว่ นของสายพันธหุ์ รือกอพนั ธ์จุ ากแหล่งปลกู มาเลี้ยงดูในสภาพ อาหารสังเคราะห์และปลอดเชื้อ ถือเป็นการลดการเสี่ยงจากศัตรูพืชและดิน ฟ้า อากาศ รวมท้ังประหยัดพืน้ ทีใ่ นการเก็บรักษา ๒. การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชในสภาพปลอดเชื้อนั้น ทางฝ่ายปฏิบัติการวิจัยฯ ได้ทำการศึกษา และพัฒนาเทคนิคเพื่อ ให้เหมาะสมกับชนิดของพืช โดยแบ่งช่วงระยะเวลาการเก็บรักษาได้ 3 ระยะ ตามความเหมาะสมดังนี้ การเก็บรักษาในระยะสั้นคือการเก็บรักษาชิ้นส่วนหรือเนื้อเย่ือในอาหารสังเคราะห์ที่ควบคุมการ เจริญเติบโต เมื่อ เนื้อเยื่อเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่งต้องเปลี่ยนอาหารใหม่และตัดแยกเนื้อเยื่อ วิธีนี้ทำให้ เสียเวลาในการตัดแยกเนื้อเยื่อและเปลี่ยนอาหาร ่บ่อย ๆ ดังนั้นจึงต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรักษาในระยะ ปานกลาง มาชว่ ยชะลอการเจริญเตบิ โตอยา่ งช้าหรือการเก็บรกั ษาในอุณหภมู ิ ตำ่ เพอ่ื ยืดระยะเวลาการเปลี่ยน อาหารและวิธีการหยุดการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในสภาพเย็นยิ่งยวด ซึ่งสามารถเก็บรักษาได้เป็น เวลานาน โดยไม่ต้องเปลีย่ นอาหารใหม่ 23

7.ป่าไมส้ าธติ ป่าไม้สาธิต พระราชดำริเริ่มแรกส่วนพระองค์ ในระยะต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ เสด็จพระราชดำเนนิ แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหวั หิน จังหวัดประจวบคีรีชันธ์ เป็นประจำแทบทุกปี โดยในระยะแรกจะเสด็จฯ ด้วยรถไฟพระที่นั่ง ต่อมาเมื่อมีการปรับปรงุ เส้นทางคมนาคม ดีขึ้น จึงเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่ง ประมาณปี พ.ศ. 2503-2504 ขณะเสด็จพระราชดำเนินผ่านจังหวัด นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่านอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีนั้น มีต้นยางขนาดใหญ่ ปลูกเรียงรายทั้งสองข้างทาง จึงได้มพี ระราชดำริทจี่ ะสงวนบริเวณป่ายางน้ีไวใ้ ห้เป็นสว่ นสาธารณะ แต่ในระยะ นั้นไม่อาจดำเนินการได้เน่ืองจากต้องจา่ ยเงินค่าทดแทนในอัตราที่สูง เพราะมีราษฎรมาทำไร่ทำสวนในบริเวณ น้ันจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ไดท้ รงเริ่มทดลองปลูกต้นยางด้วยพระองค์เอง โดยทรงเพาะเมล็ดยางใน กระถางบนพระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล และได้ทรงปลูกต้นยางนั้นในแปลงป่าไม้ทดลองใน บรเิ วณแปลงทดลองปลูกต้นยางนาพรอ้ มข้าราชบรพิ าร เม่ือวนั ท่ี 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 จำนวน 1,250 ต้น ตอ่ มาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหน้ ำพนั ธุ์ไมต้ า่ งๆ ทั่วประเทศมาปลูกในบรเิ วณท่ีประทับสวนจิตรลดาใน ลักษณะป่าไม้สาธิต นอกจากนี้ยงั ได้สรา้ งพระตำหนกั เรือนต้นในบริเวณป่าไม้สาธิตน้ันเพ่ือทรงศกึ ษาธรรมชาติ วิทยาของป่าไม้ดว้ ยพระองค์เองอยา่ งใกลช้ ดิ และลกึ ซ้ึงในปี พ.ศ. 2508 8.ปา่ ต้นน้ำ ป่าต้นน้ำ จะหมายถึง ป่าธรรมชาติที่ปรากฎอยู่บริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ในพื้นที่สูง จากระดับนำ้ ทะเล 700 เมตรขึ้นไป หรือเปน็ พ้นื ที่ลาดชนั มากกวา่ 35% ชนิดของปา่ ไม้ทมี่ กั จะปรากฎให้เห็น ในพื้นที่ต้นน้ำ ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ทั้งนี้พื้นที่ต้นน้ำแห่งหน่ึง อาจถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้เพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดปะปนกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ อุณหภูมิ ปรมิ าณน้ำฝน ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ชนิดของดิน เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศของปา่ ตน้ นำ้ มีความหลากหลาย แตกต่างกันไปตามชนดิ ปริมาณ และประเภทของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในผืนป่า แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ คุณค่าของป่า ต้นน้ำ ที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบการดูดซับและเก็บกักน้ำฝนตามธรรมชาติ ตลอดจนการควบคุมการกัดชะ พังทลายของดิน รวมทั้งการช่วยลดความร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ และช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่ง เป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่ง ผลการศึกษาของสถานีวิจัยต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พบว่าป่าต้นน้ำชนิด ต่างๆ จะให้น้ำไหลในลำธาร เฉลยี่ รอ้ ยละ 30.73 และถูกต้นไม้ดึงกลับขึน้ ไปใช้ในการระเหย เฉ โดยปกติแล้ว ธรรมชาติการดำรงอยขู่ องดิน น้ำ และป่าไม้ จะเปน็ ไปในลักษณะทีส่ มดุลและเก้ือกูลกัน ตลอด หากปัจจยั ใดปัจจยั หนงึ่ จะถกู ทำลายลงไปในจำนวนที่ไมม่ ากนกั ปจั จยั ทีเ่ หลอื อยจู่ ะช่วยกันฟน้ื ฟูปัจจัยที่ ถกู ทำลาย ใหก้ ลับคนื สู่สภาพเดมิ อยา่ งรวดเร็ว อาทิ เมอ่ื ตน้ ไม้ถูกลมพายพุ ดั ล้มลงไปหนึ่งต้น ดินที่สมบูรณ์และ นำ้ ทีช่ มุ่ ชื้นจะช่วยใหต้ น้ ไม้ทอ่ี ยู่ข้างเคียง เจริญเตบิ โตข้นึ มาแทนท่ีอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกนั ขา้ ม หากปา่ ไม้ถูก ทำลายลงไปเป็นบริเวณกว้างอย่างต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนาน จะส่งผลให้ปัจจัยอื่นๆ ที่เหลืออยู่ เสื่อมสภาพลงตามไปด้วย กล่าวคือ การทำลายป่าไม้ เป็นการเปิดโล่งของผิวดิน ทำให้ผิวดินถูกอัดแน่นข้ึน 24

ความสามารถในการดูดซับน้ำฝนจึงมีน้อยลง เมื่อดินดูดซับน้ำฝนได้น้อย น้ำฝนที่ตกลงมาส่วนใหญ่จึงเอ่อนอง ตามผิวดนิ และไหลลงสู่ที่ต่ำอยา่ งรวดเรว็ ซ่ึงการไหลอย่างรวดเรว็ ท่ีผิวดนิ นี้ ทำให้เกิดการกัดชะและพัดพาเอา ผิวหน้าดินทีอ่ ุดมไปด้วยธาตุอาหารไปด้วย เมื่อฝนหยุดตก น้ำฝนที่ซึมลงไปในดินน้อย ทำให้ไม่มีน้ำเอื้ออำนวย ให้กระบวนการระเหยน้ำ พลังงานจากรังสีดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่จึงเพิ่มความร้อนในดินและอากาศ ทำให้ อณุ หภมู ิสูงขนึ้ อากาศจะขยายตวั และรองรับไอน้ำมากข้ึน โอกาสที่ฝนตกจงึ มนี ้อยลง เป็นวงจรที่เช่ือมโยงและ ส่งผลกระทบถึงกนั ท้งั หมด ทฤษฎีฅน จำนวน 7 ศาสตร์ 1. การศึกษา การศึกษาในท่ีน้ีหมายถึง เมื่อเราจะทำธุรกิจอะไรเราก็ต้องมีความรู้ในด้านน้ันกอ่ น ใน การทำเกษตรก็เช่นกนั ก่อนที่จะลงมือทำต้องมีความรู้ความเข้าใจ เช่น เกษตรแบบพอเพียง โดย นำหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้ในการดำเนนิ ชีวิต เป็นตน้ 2. สหกรณ์ การทำสหกรณ์ถายในครวั เรอื นเป็นการจัดการระบบเงินถายในครัวเรอื น เพื่อใหร้ ู้รายรับ และรายจ่ายว่าแต่ละเดอื นใช้ตน้ ทุนในการทำเกษตรไปเทา่ ไหรแ่ ละได้รับกำไรจากผลผลติ เท่าไหร่ 3. การพัฒนามนุษย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการนำศักยภาพของแต่ละบุคคลมาใช้ ในการ ปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างให้แต่ละบุคคลเกิดทัศนคติที่ดีต่อองค์การ ตลอดจน เกิดความตระหนกั ในคุณคา่ ของตนเอง เพ่อื นรว่ มงานและองค์กร 4. ทำแบบคนจน หมายถึงการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพอมาใช้ในการทำเกษตร ยึดหลัก ทางสายกลาง ลดต้นทนุ เพ่ิมผลผลติ นำเศษอาหารและใบไมม้ าทำเป็นปยุ๋ เปน็ ต้น 5. ปลูกข้าว พน้ื ท่ปี ระมาณ 30 % ใหป้ ลูกข้าวในฤดูฝน เพือ่ ใช้เปน็ อาหารประจำวันสำหรับครวั เรือน ให้เพยี งพอตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เปน็ การลดคา่ ใชจ้ ่าย และสามารพ่ึงตนเองได้ 6. พลงั งานทดแทน การนำพลงั งานทดแทนมาใช้ในการทำเกษตรก็เป็นอีกวธิ ที ใี่ ช้ให้ลดต้นทุนในการ ใชพ้ ลงั ไฟฟา้ เชน่ กังหันชัยพฒั นา เป็นต้น 7. เศรษฐกจิ พอเพียง ใชห้ ลักการ 3 ห่วง 2 เงอื่ นไง ตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้ 25


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook