-1- หนว ยท่ี 1 ความรเู บอื้ งตนเก่ียวกบั การวจิ ัย 1. วธิ กี ารเสาะแสวงหาความรู (Methods of acquiring knowledge) มนษุ ยม ีความสนใจในสงิ่ ตาง ๆ ท่ีอยูรอบตัวมานานนบั ตัง้ แตยุคเรม่ิ แรกมาแลว โดยเฉพาะความรู ตาง ๆ เพ่ือท่ีจะนํามาแกไขปญหาตาง ๆที่อยูรอบตัว ความรูตาง ๆ ของมนุษย ในปจจุบันน้ีประกอบดวย ขอเท็จจริงและ ทฤษฎีตาง ๆ ซ่ึงนับวันจะมีขอคนพบมากยิ่งข้ึนไปตามระยะเวลา ซึ่งความรูเหลานี้ชวยให มนุษยมีความรู ความเขาใจ สามารถท่ีจะอธิบาย ควบคุมหรือพยากรณเหตุการณตาง ๆ ในสถานการณที่ กําหนดใหได การเสาะแสวงหาความรูของมนุษยมิใชกระบวนการที่เกิดข้ึนเองโดยอัตโนมัติ แตเปน กระบวนการทีต่ อ งอาศัยสติปญญา และการฝกฝนตาง ๆ ซ่ึงมีวิธีการเสาะแสวงหาความรูของมนุษยจําแนก ไดดงั นี้ 1. วธิ ีโบราณ (Older methods) ในสมัยโบราณมนษุ ยไ ดความรมู าโดย 1.1 การสอบถามผูรูหรือผูมีอํานาจ (Authority) เปนการไดความรูจากการสอบถามผูรู ผูเชี่ยวชาญท่ีมีความรูเฉพาะสาขา หรือผูมีอํานาจท่ีไดรับการยอมรับ ไดแก กษัตริย นักปราชญ และผูนํา ทางศาสนา เปน ตน ตัวอยางเชน ในสมัยโบราณเกิดโรคระบาด ผูคนก็จะถามจากผูที่มีอํานาจวาควรทํา อยางไร ซ่ึงในสมัยนั้นผูมีอํานาจก็จะแนะนําใหทําพิธีสวดมนตออนวอนตอสิ่งศักด์ิสิทธ์ิตาง ๆ ใหชวยคลี่คลาย เหตกุ ารณตาง ๆ คนจึงเชอื่ ถือโดยไมมีการพิสูจน 1.2 ความบังเอิญ (Chance) เปนการไดความรูมาโดยไมต้ังใจ ซ่ึงไมไดเจตนาท่ีจะศึกษา เรื่องนนั้ โดยตรง แตบังเอิญเกิดเหตกุ ารณหรอื ปรากฏการณบ างอยางทาํ ใหมนษุ ยไดร บั ความรูน ้นั เชน เพนนซิ ิลนิ จากราขนมปง 1.3 ขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) นั้นคลายกับการถามผูรู เพียงแตการถามผูรู เปนการถามโดยตรงแตวิธีน้ีเปนการไดความรูมาจากสิ่งท่ีคนในสังคมประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเปน ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม ผูท่ีใชวิธีการน้ี ควรตระหนักดวยวาส่ิงตาง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในอดีตจน เปน ขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น ไมใชจะเปนสิ่งที่ถูกตองและเที่ยงตรงเสมอไป ดังน้ันผูท่ีใชวิธีการนี้ควรจะ ไดนํามาประเมินอยางรอบคอบเสียกอนที่จะยอมรับวาเปนขอเท็จจริง เชน การแตงกาย หรือการปฏิบัติ ตัวในพิธีการตา งๆ เปน ตน 1.4 ผูเชี่ยวชาญ (Expert) เปนการไดความรูจากผูเชี่ยวชาญเฉพาะเร่ือง เม่ือมีปญหา หรอื ตองการคาํ ตอบเกยี่ วกับเรอ่ื งใดกไ็ ปถามผเู ชี่ยวชาญ เฉพาะเร่ืองน้ัน เชน เรื่องดวงดาวตาง ๆ ในทองฟา จากนักดาราศาสตร เร่อื งความเจ็บปว ยจากนายแพทย
-2- 1.5 ประสบการณสวนตัว (Personal experience) เปนการไดความรูจาก ประสบการณที่ตนเคยผานมา ประสบการณของแตละบุคคลชวยเพ่ิมความรูใหบุคคลนั้น เม่ือประสบ ปญ หาก็พยายามระลกึ ถึงเหตุการณ หรือวิธีการแกปญหาในอดีตเพ่ือเปนแนวทางในการแกปญหาท่ีประสบ อยู 1.6 การลองผิดลองถูก (Trial and error) เปนการไดความรูมาโดยการลอง แกปญหา เฉพาะหนา หรือปญหาที่ไมเคยทราบมากอน เมื่อแกปญหาน้ันไดถูกตองเปนที่พึงพอใจ ก็จะกลายเปน ความรใู หมท ีจ่ ดจาํ ไวใ ชตอไป ถา แกป ญ หาผดิ กจ็ ะไมใชว ิธกี ารน้อี กี 1.7 การหยั่งรู (Intuition) เปนการไดความรูโดยไมมีเหตุผล หรือกระบวนการใดๆ เหมือนกับเปนเร่ืองอัศจรรยซ่ึงการหาความรูวิธีนี้ท่ีคนไทยคุนเคยดีก็คือ การไดความรูดวยการตรัสรูของ พระพุทธเจา 2. วิธีการอนุมาน (Deductive method) คิดข้ึนโดยอริสโตเติล (Aristotle) เปนวิธีการคิด เชิงเหตุผล ซ่ึงเปนกระบวนการคิดคนจากเรื่องทั่ว ๆ ไปสูเรื่องเฉพาะเจาะจง หรือคิดจากสวนใหญไปสู สว นยอยจากสิ่งที่รูไ ปสู สง่ิ ท่ไี มร ู วธิ ีการอนมุ านนีจ้ ะประกอบดวย 2.1 ขอเท็จจริงใหญ ซ่ึงเปนเหตุการณท่ีเปนจริงอยูในตัวมันเอง หรือเปนขอตกลงที่ กําหนดข้นึ เปน กฎเกณฑ 2.2 ขอเท็จจริงยอย ซึ่งมีความสัมพันธกับขอเท็จจริงใหญ หรือเปนเหตุผลเฉพาะกรณีที่ ตอ งการทราบความจริง 2.3 ผลสรุป เปนขอ สรปุ ทไี่ ดจากการพจิ ารณาความสัมพนั ธข องเหตใุ หญและเหตุยอย ตวั อยา งการหาความจริงแบบนี้ เชน ตัวอยางที่ 1 ขอ เท็จจริงใหญ : สตั วท ุกชนดิ ตอ งตาย ขอ เท็จจริงยอ ย : แมวเปนสัตวชนดิ หน่ึง ผลสรปุ : แมวตองตาย ตวั อยา งที่ 2 ขอ เทจ็ จรงิ ใหญ : ถาโรงเรยี นถูกไฟไหม ครูจะเปนอันตราย ขอ เท็จจริงยอย : โรงเรยี นถกู ไฟไหม ผลสรปุ : ครเู ปน อนั ตราย ถงึ แมว าการแสวงหาความรูโดยวิธีการอนุมาน จะเปนวิธีการท่ีมีประโยชนอยางย่ิง แตก็มี ขอ จาํ กัด ดังนี้ 1. ผลสรุปจะถูกตองหรือไม ขึ้นอยูกับขอเท็จจริงใหญกับขอเท็จจริงยอย หรือท้ังคู ไม ถูกตองก็จะทําใหขอสรุปพลาด ไปดวย ดังเชนตัวอยางท่ี 2 นั้น การท่ีโรงเรียนถูกไฟไหม ครูในโรงเรียน อาจจะไมเปน อนั ตรายเลยก็ได
-3- 2. ผลสรปุ ที่ไดเปนวธิ ีการสรุปจากส่ิงท่ีรูไปสูสิ่งที่ไมรู แตวิธีการนี้ไมไดเปนการยืนยันเสมอ ไปวา ผลสรุปที่ไดจะเชื่อถือไดเสมอไป เน่ืองจากถาสิ่งที่รูแตแรกเปนขอมูลที่คลาดเคลื่อนก็จะสงผลให ขอสรปุ นน้ั คลาดเคลอ่ื นไปดวย 3. วิธีการอุปมาน (Inductive Method) เกิดข้ึนโดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) เนื่องจากขอจํากัดของวิธีการอุมานในแงที่วาขอสรุปน้ัน จะเปนจริงไดตอเมื่อขอเท็จจริงจะตองถูกเสียกอน จึงไดเสนอแนะวิธีการเสาะแสวงหาความรู โดยรวบรวมขอเท็จจริงยอย ๆ เสียกอนแลวจึงสรุปรวบไปหา สว นใหญ หลกั ในการอุปมานนนั้ มีอยู 2 แบบดวยกนั คือ 3.1 วิธีการอปุ มานแบบสมบูรณ (Perfect inductive method) เปนวิธีการแสวงหาความรู โดยรวบรวม ขอ เท็จจรงิ ยอย ๆ จากทุกหนวยของกลุมประชากร แลวจึงสรุปรวมไปสู สวนใหญ วิธีน้ีปฏิบัติ ไดยากเพราะบางอยางไมสามารถนํามาศึกษาไดครบทุกหนวย นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองเวลา แรงงาน และ คา ใชจ ายมาก 3.2 วิธีการอุปมานแบบไมสมบูรณ (Imperfect inductive method) เปนวิธีการ เสาะ แสวงหาความรู โดยรวบรวมขอเท็จจริงยอย ๆ จากบางสวนของกลุมประชากร แลวสรุปรวมไปสูสวนใหญ โดยท่ีขอมูลท่ีศึกษาน้ันถือวาเปนตัวแทนของสิ่งท่ีจะศึกษาท้ังหมด ผลสรุปหรือ ความรูที่ไดรับสามารถ อางอิงไปสูกลุมที่ศึกษาท้ังหมดได วิธีการน้ีเปนที่นิยมมากกวาวิธีอุปมานแบบสมบูรณ เน่ืองจากสะดวกใน การปฏบิ ตั ิและประหยดั เวลา แรงงานและคาใชจา ย ตัวอยา งการหาความจริงแบบนี้ เชน ขอเทจ็ จรงิ ยอ ย : คนท่เี ปนโรคเอดสแตล ะคนรักษาไมห ายในทสี่ ุดจะตายทกุ คน ดังนั้น : กลมุ คนทีเ่ ปนโรคเอดสตองตายทุกคน ขอ บกพรองของวธิ ีอปุ มาน คือ หากเก็บรวบรวมขอ มูลหรือขอ เท็จจรงิ คลาดเคล่ือนกจ็ ะทําใหการลง สรปุ ความรูใหมผ ดิ พลาดไป 4. วิธีการทางวิทยาศาสตร (Scientific method) เปนการเสาะแสวงหาความรูโดยใช หลักการของ วธิ ีการอนุมานและวธิ ีการอปุ มานมาผสมผสานกัน Charles Darwin เปนผูริเร่ิมนําวิธีการน้ีมา ใช ซ่ึงเมือ่ ตองการคนควา หาความรู หรือแกปญหาในเร่ืองใดก็ตองรวบรวมขอมูลเกี่ยวกับเร่ืองน้ันกอน แลว นําขอมูลมาใชในการสรางสมมติฐาน ซึ่งเปนการคาดคะเนคําตอบลวงหนา ตอจากน้ันเปนการตรวจสอบ ปรับปรุงสมมติฐาน การเก็บรวบรวมขอมูล และการทดสอบสมมติฐาน และJohn Dewey ปรับปรุงใหดีข้ึน แลวใหชื่อวิธีน้ีวา การคิดแบบใครครวญรอบคอบ (reflective thinking) ซ่ึงตอมาเปนที่รูจักกันในช่ือของ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร วิธีการทางวิทยาศาสตร เปนวิธีการเสาะแสวงหาความรูที่ดีในการแกปญหาตาง ๆ ไมเพียงแต ปญหาที่เกิดขึ้นในหองปฏิบัติการวิทยาศาสตรเทานั้น แตยังสามารถนํามาประยุกตใชในการแกปญหาทาง การศึกษาดว ย
-4- ขั้นตอนของวธิ ีการแกปญ หาทางวทิ ยาศาสตร 1. ขัน้ ปญหา (Problem) เปน การกาํ หนดลงไปวา ปญ หาที่ แทจ รงิ คอื อะไร 2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) เปนการคาดคะเนคําตอบที่คิดวานาจะเปนอยางมี เหตุผล เพื่อหาคําตอบ 3. ข้ันรวบรวมขอมูล (Gathering Data) เปนข้ันรวบรวมขอมูลหรือหลักฐานดวยวิธีการตางๆ ไดแ ก สังเกต สอบถาม สัมภาษณ ทดสอบ และทดลอง 4. ข้ันวิเคราะหขอมูล (Analysis) ขั้นนี้เปนการวิเคราะหขอมูลเพื่อทดสอบสมมุติฐานท่ีตั้งขึ้นมา วาตรงกับทก่ี ําหนดไวหรือไม 5. ขัน้ สรปุ (Conclusion) เปนการนําผลการวิเคราะหมาสรุปวา ขอเทจ็ จรงิ ของปญ หาคืออะไร ข้นั ตอนของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรท ใี่ ชแ กป ญหาทางการศกึ ษา 1. การตระหนกั ถงึ ปญหา ขั้นน้ีผูเสาะแสวงหาความรูมีความรูสึก หรือตระหนักวาปญหาคืออะไร หรอื มคี วามสงสัยใครร เู กดิ ขึ้นวาคาํ ตอบของปญหานั้นคอื อะไร 2. กําหนดขอบเขตของปญหาอยางชัดเจนและเฉพาะเจาะจง ข้ันนี้จะตองกําหนดขอบเขตของ ปญหาทตี่ นจะศึกษาหาคําตอบน้นั มขี อบเขตกวา งขวางแคไหน 3. กาํ หนดสมมติฐาน ผูแสวงหาความรู คาดคะเนคาํ ตอบของปญหาโดยการสังเกตจากขอเท็จจริง ตาง ๆ ท่มี อี ยู 4. กําหนดเทคนิคการรวบรวมขอมูล รวมทั้งการพัฒนาเคร่ืองมือท่ีมีคุณภาพไวใชในการรวบรวม ขอมลู ท่จี ะตอบปญ หาทีต่ องการ 5. รวบรวมขอมูล ผูเสาะแสวงหาความรู นําเคร่ืองมือที่พัฒนาไวในข้ันที่ 4 มารวบรวมขอมูลท่ีจะ ตอบปญ หาทต่ี อ งการทราบ 6. วเิ คราะหข อ มูล นาํ ขอ มลู ท่รี วบรวมไดใ นขนั้ ที่ 5 มาจัดกระทาํ เพื่อหาคาํ ตอบ 7. สรุปผลการวิเคราะหขอมูล ผูเสาะแสวงหาความรู สรุปผลการวิเคราะหขอมูลที่ เกี่ยวของกับ สมมตฐิ านทค่ี าดคะเนไวบ นพ้นื ฐานของผลท่ไี ดจ ากการวิเคราะหขอมลู การใชว ธิ กี ารทางวิทยาศาสตรห าความรูน น้ั มขี อ ตกลงเบื้องตนทส่ี าํ คัญ 2 ประการ คือ 1. ขอตกลงเบื้องตนเก่ียวกับรูปแบบของธรรมชาติ (Assumption of the Uniformity of nature) มีหลักวา ปรากฏการณธ รรมชาตทิ กุ ชนดิ ตองมสี าเหตุอยา งคงเสน คงวา ไมใชความบังเอิญ หรือ ผลยอ มเกิดจากเหตุ 2. ขอตกลงเบ้ืองตนเก่ียวกับกระบวนการทางจิตวิทยา (Assumption of the Psychological Process) มีหลักวาบุคคลไดรับความรูตางๆ โดยอาศัยการรับรู (Perceiving) การจํา (Remembering) และการใชเหตุผล (Reasoning) ไดโยหาขอเท็จจริง สังเกตหรือทดลองดวยตนเองอยางมีความเช่ือม่ัน ไมใชการฟง จากผูอน่ื
-5- 2. การวจิ ัย (Research) การวจิ ยั (Research) เปนวิธกี ารหาความรโู ดยใชหลักการของวธิ ีการทางวิทยาศาสตรซ่ึงเปน ระบบและมีแบบแผนสมบูรณ ทําใหความรูท่ีไดมีความนาเช่ือถือไดรับการยอมรับ และใชกันมากท่ีสุดใน ปจจุบัน ซ่ึงรายละเอียดท่ีเก่ียวของกับการวิจัยเก่ียวกับความหมาย จุดมุงหมาย ประโยชน ประเภท ลักษณะของงานวิจัยท่ีดี ลักษณะของนักวิจัยท่ีดีจรรยาบรรณนักวิจัย และขั้นตอนของการวิจัย มีสาระ โดยสรุป ดังนี้ 2.1 ความหมายของการวิจัย มผี ูก ลา วถึงความหมายของ “การวจิ ยั ” หรอื “Research” ไวมากมาย จดั เปน กลมุ ไดดงั น้ี ก. ใหค วามหมายตามคําศัพท เปนการใหความหมายโดยพิจารณาจากคําศัพท เชน คําวา “การ วิจัย” ซ่งึ ตรงกับภาษาองั กฤษวา “Research” ซง่ึ สามารถแยกออกไดเปน “Re” + “Search” Re แปลวา ทาํ อีกหรอื ทาํ ซาํ้ Search แปลวา การคน ควา ดงั นนั้ Research จงึ หมายถงึ การคน ควา หาความรูความจริงซ้ําแลวซํ้าอีก จนกระท่ังไดผลสรุปหรือ ขอ ยุติท่พี งึ พอใจ นอกจากน้ียังมีการใหความหมายโดยนําเอาอักษรแตละตัวของคําวา RESEACH มากําหนด ความหมาย เชน R = Recruitment & Relationships หมายถึง การฝกคนใหมีความรู รวมทั้งการรวบรวมผูมี ความรูแ ละการปฏบิ ตั งิ านรวมกนั ตดิ ตอ สมั พนั ธแ ละการประสานงานกัน E = Education & Efficiency หมายถึง ผูวิจัยจะตองมีการศึกษา มีความรูและความสามารถ ทางการวจิ ัยสงู S = Science & Stimulation หมายถึง เปนศาสตรที่ตองพิสูจน เพ่ือคนหาความจริงและผูวิจัย จะตอ งมีความกระตอื รอื รนและมพี ลังกระตนุ ในการทํางาน E = Evaluation & Environment หมายถึง ผูวิจัยจะตองรูจักการประเมินผลวามีประโยชน สมควรจะทาํ ตอ ไปหรอื ไม และจะตองรูจกั ใชเ คร่ืองมอื อุปกรณตางๆ ในการวจิ ยั A = Aim & Attitude การดําเนินการวจิ ยั ผูวิจัยจะตองมีจุดมุงหมาย หรือ เปาหมายที่แนนอน และตอ งมเี จตคติทดี่ ตี อ การตดิ ตามผลของการวิจัย R = Result ผลของการวิจัยที่ไดมาไมวาจากแหลงใดก็ตาม จะตองยอมรับผลของการวิจัยน้ันๆ เพราะเปน ผลทไี่ ดมาจากการคน ควา อยางมีระบบ
-6- C = Curiousity ผูวิจัยจะตองมีความอยากรูอยากรูอยากเห็น มีความสนใจและขวนขวายใน งานวจิ ัยตลอดเวลา H = Horizon เมื่อผลการวิจยั ปรากฏมาแลวยอมทําใหทราบ และเขา ใจถงึ ปญหาเหลาน้ันได และ ผลการวิจยั จะตอ งกอ ประโยชนแ ละความรูใหม ตลอดจนเกิดสันติสุขแกสงั คม ข. ใหความหมายตามลักษณะและธรรมชาติของการวจิ ยั มีการใหความหมายที่หลากหลาย มีท้ัง ความหมายทั่วไปและลักษณะเฉพาะสาขาวิชา ความหมายที่จาํ กดั และความหมายระดับกวาง และความหมายท่ีไม ครอบคลมุ เพยี งพอ ตวั อยา งความหมายท่จี ํากัด เชน เบสท (Best, 1981 อางถงึ ใน บุญเรียง ขจรศลิ ป , 2533 : 5) ไดใ หความหมายของการวจิ ยั ไววาเปนวิธีการ ทเ่ี ปน ระบบระเบียบ และมจี ุดมุงหมายในการวิเคราะห และคิดบันทึกการสังเกตท่ีมีการควบคุมเพ่ือนําไปสูขอสรุป อา งอิง หลกั การหรือทฤษฎีซึ่งจะเปน ประโยชนในการทํางานและการควบคมุ เหตุการณตา ง ๆ ได เซลลติส (selltiz et al. 1967 อางถึงใน ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม , 2552 : 4) ไดใหความหมายของการวิจัยไววาเปนการพยายามตอบคําถามโดยวิธีที่เปน วทิ ยาศาสตร รัตนะ บัวสนธ (2543, 3) ไดใหความหมายของการวิจัยไววา เปนการหาความจริงเชิง สาธารณะดวย วิธีการทเี่ รียกวากระบวนการวจิ ยั ซ่ึงมลี กั ษณะเปน ระบบมขี ั้นตอน ผองพรรณ ตรัยมงคลกูล (2543 : 21) สรุปความหมายของการวิจัยไววา การวิจัยคือการศึกษาคนควา อยา งมีระบบระเบียบเพ่อื ทําความเขา ใจปญหาและแสวงหาคาํ ตอบ เปนกระบวนการท่ีอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร เปน หลกั บุญเรยี ง ขจรศิลป (2533 : 5) ไดใหความหมายของคําวา การวิจัยทางดานวิชาการ หมายถึง กระบวนการ เสาะแสวงหาความรูใหม ๆ หรือกระบวนการเสาะแสวงหาความรูเพื่อตอบปญหาที่มีอยูอยางมีระบบ และมี วัตถุประสงคท ีแ่ นนอน โดยอาศยั วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร ตัวอยางความหมายระดับกวาง เชน จริยา เสถบุตร (จริยา เสถบุตร 2526 อางถึงในภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลยั มหาสารคาม , 2552 : 4) ไดใหค วามหมายวา การวจิ ยั คือ การคนควา หาขอ มูลอยางเปนระบบและมี แบบแผน เพ่อื ใหเ กิดความกาวหนาทางวชิ าการ หรอื เกิดประโยชนแกมนษุ ยโ ดยอาศัยวิธีการที่เปนที่ยอมรับในแต ละสาขาวชิ า ดังนั้น การวิจัยทางการศึกษาจึงหมายถึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรูใหม ๆ ท่ีเปนความจริงเชิง ตรรกะ (Logical) หรือความจริงเชิงประจักษ (Empirical) เพ่ือตอบปญหาทางการศึกษาอยางมีระบบ และมี วัตถุประสงคท ี่แนน อน โดยอาศยั วิธีการทางวิทยาศาสตรเปน หลกั
-7- 2.2 จุดมุง หมายของการวิจัย จดุ หมายท่สี าํ คญั ของการวิจยั มี 4 ประการ ไดแ ก 1. เพื่อการบรรยาย (Description) เปนการนําความรูจาการวิจัยมาบรรยายปรากฏการณที่เกิดข้ึนวามี คุณลกั ษณะความเปน มาอยางไร โดยการใหร ายละเอยี ดตา งๆ ซง่ึ ทาํ ใหป รากฏการณช ดั เจนข้นึ 2. เพอ่ื การอธิบาย (Explanation) เปนการนําความรูจากการวิจัยมาอธิบายถึงปรากฏการณที่เกิดข้ึนใน เชงิ เหตุผลท่ีวา มคี วามเกี่ยวของสัมพันธกนั ในเชงิ เหตุผลอยางไร 3. เพ่ือการทํานาย (Prediction) เปนการนําความรูจากการวิจัยมาทํานายเหตุการณท่ีจะเกิดข้ึนใน อนาคต เชน การทํานายแนวโนมจาํ นวนนกั เรียนในอีก 5 ปข างหนาของโรงเรียนสริ ินธร เปนตน 4. เพื่อการควบคุม (Control) เปนการนําความรูทางการวิจัยมาควบคุมปรากฏการณท่ีไมพึงปรารถนา หรือสง เสรมิ เหตุการณท่พี งึ ปรารถนา เชน การควบคมุ ไมใหเกดิ โรคตดิ ตอ หรือการใหอาหารเสรมิ ทเี่ ปน ประโยชน แกเดก็ เปนตน 2.3 ประโยชนข องการวจิ ยั 1. ชวยใหไดค วามรใู หม ทง้ั ทางทฤษฎีและปฏบิ ตั ิ ผลการวจิ ัยมคี วามรใู หมๆ เกิดข้ึน มากมาย 2. ชว ยพิสจู น หรอื ตรวจสอบความถูกตองของกฎเกณฑ หลกั การ และทฤษฎีตางๆ 3. ชว ยใหเขาใจสถานการณ ปรากฏการณ และพฤตกิ รรมตางๆ 4. ชวยพยากรณผลภายหนาของสถานการณ ปรากฏการณ และพฤตกิ รรมตางๆ ไดอยางถูกตอง 5. ชวยแกไขปญ หาไดอยา งถกู ตองและมปี ระสทิ ธภิ าพ 6. ชวยการวนิ จิ ฉัย ตดั สนิ ใจไดอยา งเหมาะสม 7. ชว ยปรับปรงุ การทํางานใหมีประสิทธิภาพมากขึน้ 8. ชว ยปรับปรุงพฒั นาสภาพความเปน อยู และวิถีดํารงชวี ติ ใหดียงิ่ ขน้ึ 9. ชวยสง เสริมความรทู างดานวิชาการและศาสตรสาขาตา ง ๆ ใหมกี ารคนควาขอ เทจ็ จรงิ มากยิง่ ขึน้ ทั้งนี้ เพราะวา การวิจยั จะทาํ ใหม ีการคนควาหาความรูใหมๆ เพ่ิมเติมซึ่งทําใหวิทยาการตาง ๆ เจริญกาวหนามากยิ่งขึ้น ทง้ั ตวั ผูว ิจัยและผนู าํ เอาเอกสารการวจิ ยั ไปศกึ ษา 10. นําความรูที่ไดจากการวิจัยไปใชป ระโยชนในการปฏิบัติ หรือแกปญหาโดยตรง ชวยทําใหผูปฏิบัติได เลือกวธิ ีปฏบิ ตั ิท่ดี ที ีส่ ดุ กอใหเ กดิ การประหยัด 11. ชวยในการกําหนดนโยบาย หรือหลักปฏิบัติงานตาง ๆ เปนไปดวยความถูกตอง เหมาะสมและมี ประสิทธภิ าพ 12. ชว ยใหค น พบทฤษฎีและสิ่งประดิษฐใหม ๆ เพ่ือใหม นุษยไ ดดําเนนิ ชวี ติ อยใู นโลกอยางมีความสขุ สบาย 2.4 ประเภทของการวจิ ยั
-8- สามารถจําแนกไดห ลายลักษณะขน้ึ กับวาใชเ กณฑใ ดในการจาํ แนก ดังนี้ 1. ใชร ะเบยี บวธิ วี จิ ยั เปนเกณฑในการแบง - เชงิ ประวตั ิศาสตร - เชิงบรรยาย - เชิงทดลอง 2. ใชจดุ มุง หมายของงานวิจยั เปนเกณฑใ นการแบง - บรสิ ุทธ์ิ - ประยุกต - เชิงปฏบิ ตั ิการ 3. ใชล กั ษณะและวิธกี ารวเิ คราะหขอมลู เปนเกณฑในการแบง - เชิงปรมิ าณ - เชงิ คณุ ภาพ 4. ใชล ักษณะศาสตรแ ละสาขาวชิ าทีเ่ กี่ยวขอ งกับการวจิ ัยเปนเกณฑในการแบง - วิทยาศาสตร - สงั คมศาสตร - มนุษยศาสตร 5. ใชว ธิ ีการควบคุมตัวแปรเปนเกณฑในการแบง - เชงิ ทดลอง - เชิงกึง่ ทดลอง - เชงิ ธรรมชาติ ใชระเบยี บวิจัยเปน เกณฑใ นการแบง 1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร (Historical research) เปนการวิจัยท่ีเนนถึงการศึกษา คน ควา รวบรวมขอมูลหรือเหตุการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแลวในอดีต (what was ?) ประโยชนของการวิจัย ชนิดน้ีก็คือ สามารถนํามาใชเปนแนวทางในการศึกษาเหตุการณตาง ๆ ในปจจุบัน หรือสามารถนํามาใช ประกอบการตดั สนิ ใจ เพ่ือแกไ ขปญ หา ตา ง ๆ ทเี่ กิดขน้ึ ในปจจุบันไดด วย 2. การวจิ ัยเชงิ บรรยาย หรอื การวิจยั เชงิ พรรณนา (Descriptive research) เปนการวิจัยที่เนนถึง การศกึ ษารวบรวมขอมลู ตา ง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นในปจ จุบัน (what is ?) ในการดําเนินการวิจัย นักวิจัยไมสามารถที่ จะไปจัดสรางสถานการณหรือควบคุมตัวแปรตาง ๆ ไดตามใจชอบ การวิจัยแบบนี้เปนการคนควาหา ขอเทจ็ จริงหรือเหตุการณต า ง ๆ ท่ีเกิดข้ึนอยูแลว เชน การศึกษาความสัมพันธระหวางเพศ และความสนใจ ตอ การเมอื ง มีการวิจยั หลายชนิดทจี่ ดั ไววาเปน การวิจยั เชงิ บรรยายไดแ ก 2.1 การวิจยั เชงิ สาํ รวจ (Survey research) 2.2 การวจิ ัยเชงิ สงั เกต (Observational research)
-9- 2.3 การวิจยั เชิงเปรยี บเทยี บสาเหตุ (Causal Comparative) 2.4 การวิจยั เชงิ สหสัมพนั ธ (Correlational research) 2.5 การศกึ ษาเฉพาะกรณี (Case study) 3. การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เปนการวิจัยเพื่อพิสูจนความสัมพันธเชิง เหตผุ ลของ ปรากฏการณต า ง ๆ (what will be ?) โดยมกี ารจัดกระทํากับตัวแปรอิสระเพ่ือศึกษาผลท่ีมีตอ ตัวแปรตาม และมีการควบคุมตัวแปรอื่นมิใหมีผลกระทบตอตัวแปรตาม ซ่ึงนิยมมากทางดานวิทยาศาสตร สําหรับทางดานการศึกษา คอนขางลําบาก ในแงของการควบคุมตัวแปรเกินลักษณะท่ีสําคัญของการวิจัย เชงิ ทดลองคอื 3.1 ควบคุมตวั แปรเกนิ ได (Control) 3.2 จดั การเปล่ยี นแปลงคา ของตัวแปรอสิ ระได (Manipulation) 3.3 สังเกตได (Observation) 3.4 ทาํ ซา้ํ ได (Replication) ใชจดุ มงุ หมายของการวจิ ัยเปน เกณฑใ นการแบง 1. การวิจัยบริสุทธิ์ (Pure research) หมายถึง การวิจัยที่มีจุดมุงหมายเพ่ือการตอบสนอง ความอยากรูหรือมุงที่จะหาความรูเทาน้ัน โดยไมไดคํานึงวาจะนําผลการวิจัยที่ไดไปใชไดหรือไม การวิจัย ประเภทน้ีกอ ใหเ กดิ ทฤษฎีใหม ๆ ตามมา 2. การวิจัยประยุกต (Applied research) หมายถึง การวิจัยท่ีมีจุดมุงหมายเพ่ือนํา ผลการวิจยั ทไ่ี ดไปใชใ น การแกป ญ หา หรอื ปรับปรงุ ความเปนอยูและสังคมของมนุษยใหดีขึ้นไดแก การวิจัย ทางดา นเศรษฐกิจ การเมอื ง การศกึ ษาเปน ตน 3. การวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารหรือวิจัยเฉพาะกจิ (Action research) เปนการวิจัยเพื่อนําผลมาใช แกปญ หาอยางรีบดว นหรือปจ จบุ นั ทนั ที ซ่ึงมีจุดมุงหมายเฉพาะเพ่ือจะนําผลท่ีไดมาใชแกปญหาเฉพาะเร่ือง ในวงจํากัด โดยไมไ ดสนใจวาจะใชประโยชนหรอื แกป ญ หาอน่ื ไดห รือไม 4. การวิจัยสถาบัน (Institutional research) เปนการวิจัยท่ีมุงนําผลการวิจัยมาใชเพ่ือ ปรับปรุงงานดานการบริหารของหนวยงานหรือ สถาบันนั้น ๆ โดยไมมีจุดมุงหมายในการนําผลการวิจัยไป ใชกบั หนวยงานหรอื สถาบนั อื่น ใชลักษณะและวธิ กี ารวเิ คราะหขอ มูลเปนเกณฑใ นการแบง 1. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เปนการวิจัยที่มุงคนควาหาขอเท็จจริงตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณตาง ๆ ตามธรรมชาติ โดยพยายามท่ีจะศึกษาขอมูลดานตาง ๆ มาบรรยายถึง ความสมั พันธข อง เงอ่ื นไขตาง ๆ ทีเ่ กดิ ขึ้นกบั สภาพแวดลอมทเ่ี ปน อยู การวจิ ยั เชิงคุณภาพน้ันเปนการศึกษา คน ควา ในแนวลกึ มากกวาแนวกวา ง การรวบรวมขอ มลู จะใหความสําคัญกับขอมูลที่เกี่ยวกับประวัติสวนตัว แนวคิด ความรูสึกตาง ๆ ของแตละบุคคล วิธีการรวบรวมขอมูล ไดแกการสังเกตอยางมีสวนรวม การ
- 10 - สัมภาษณแบบไมเปนทางการจะเปนวิธีการหลักของการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิเคราะหขอมูล จะใชวิธีการ สรปุ บรรยายทฤษฎีและแนวคิดตา ง ๆ ในการอธบิ ายและวิเคราะหเหตุการณตาง ๆ 2. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เปนงานวิจัยท่ีมุงคนควาขอเท็จจริง ตาง ๆ เพื่อหาขอสรุปในเชิงปริมาณ เปนการศึกษาในแนวกวางมากกวาแนวลึก เพื่อท่ีจะนําขอสรุปตาง ๆ ท่ีได จากกลุมตัวอยางอางอิงไปใชกับกลุมประชากร โดยอาศัยวิธีการทางสถิติ การรวบรวมขอมูล เนนหนักไป ในทางปรมิ าณหรอื คาตา ง ๆ ท่ีสามารถวัดไดใ นเชงิ ปริมาณ วิธกี ารรวบรวม ขอมูล มีหลายรูปแบบ เชน การ สง แบบสอบถาม การสัมภาษณ การสงั เกต การสรางสถานการณสมมติการทดลองและการทดสอบ เปนตน การวเิ คราะหขอ มูล จะใชวธิ กี ารทางสถิตเิ ขามาใชใ น การวเิ คราะหข อ มูล ใชล กั ษณะศาสตรและสาขาวชิ าท่ีเกย่ี วกบั การวิจัยเปน เกณฑใ นการแบง 1. การวิจัยทางสังคมศาสตร ไดแ ก การวิจัยเก่ียวกับสังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ เปนตน 2. การวิจัยทางมนุษยศาสตร ไดแก การวิจัยเก่ียวกับคุณคาของมนุษย เชน ภาษาศาสตร ดนตรี ศาสนา โบราณคดี ปรชั ญา เปนตน 3. การวิจัยทางวิทยาศาสตร ไดแก การวิจัยทางชีววิทยา เคมี ฟสิกส วิศวกรรม แพทย พยาบาล เทคนคิ การแพทย เภสัชศาสตร เปนตน ใชว ิธกี ารควบคมุ ตวั แปรเปน เกณฑใ นการแบง 1. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) เปนการวิจัยเพ่ือพิสูจนความสัมพันธเชิง สาเหตุ โดยมกี ารจัดสถานการณท ดลอง ดวยการควบคุมระดับของตัวแปรตน และกําจัดอิทธิพลของตัวแปร ภายนอกตา ง ๆ ทีไ่ มเ กีย่ วของแลว วดั ผลตัวแปรตามออกมา 2. การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experimental research) เปนการวิจัยที่สามารถควบคุมตัวแปร ภายนอกที่ไมต องการไดเ พยี ง บางตัว เนื่องจากไมส ามารถสุมตวั อยางใหเทากันได 3. การวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic research) เปนการวิจัยที่คนหาความจริงของ สภาพการณในสงั คม ใชการสงั เกตการณเปนสาํ คัญ และสรปุ ผลโดยใชการวิเคราะห สังเคราะห ประเมินคา อนมุ าน และอุปมาน 2.5 ลักษณะที่สําคัญของการวจิ ยั เบสท (Best , 1981อา งถึงใน บญุ เรียง ขจรศลิ ป , 2533 : 5) ไดส รุปลักษณะท่ีสําคัญของการวิจัย ไวด ังนี้ 1. เปาหมายของการวิจัยมุงท่ีจะหาคําตอบตาง ๆ เพ่ือจะนํามาใชแกปญหาท่ีมีอยูโดยพยายามท่ี จะศึกษาถึงความสัมพันธ ระหวา ง ตัวแปรในลักษณะความเปนเหตเุ ปนผลซงึ่ กันและกนั
- 11 - 2. การวิจัยเนนถึงการพัฒนาขอสรุป หลักเกณฑหรือทฤษฎีตาง ๆ เพื่อท่ีจะเปนประโยชนในการ ทาํ นายเหตุการณตาง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต เปาหมายของการวิจัยน้ันมิได หยุดอยูเฉพาะกลุมตัวอยางท่ี นาํ มาศึกษาเทา นนั้ แตข อสรุปที่ไดมงุ ทีจ่ ะอางอิงไปสูกลุมประชากร เปาหมาย 3. การวิจยั จะอาศัยขอมูล หรือเหตุการณตาง ๆ ท่ีสามารถสังเกตไดรวบรวมได คําถามท่ีนาสนใจ บางคําถามไมส ามารถทาํ การวิจยั ได เพราะไมสามารถรวบรวมขอมูลมาศึกษาได 4. การวจิ ัยตองการเครือ่ งมือและการรวบรวมขอ มูลที่แมน ยํา เท่ยี งตรง 5. การวิจัยจะเกี่ยวของกับการรวบรวมขอมูลใหม ๆ จากแหลงปฐมภูมิหรือใชขอมูลท่ีมีอยูเดิม เพอ่ื หาคาํ ตอบของวัตถปุ ระสงคใ หม 6. กิจกรรมท่ีใชใ นการวจิ ยั เปน กจิ กรรมท่กี าํ หนดไวอ ยา งมรี ะบบแบบแผน 7. การวิจยั ตอ งการผูรจู ริงในเนือ้ หาทจี่ ะทาํ การวิจยั 8. การวิจยั เปนกระบวนการท่ีมเี หตุผล และมีความเปน ปรนัยสามารถที่จะทําการตรวจสอบความ ตรงของวธิ ีการทใี่ ชขอ มูลทรี่ วบรวมมา และขอสรุปทไ่ี ด 9. สามารถท่ีจะทําซ้ําได โดยใชวิธีเดียวกัน หรือวิธีการท่ีคลายคลึงกันถามีการเปลี่ยนแปลงกลุม ประชากร สถานการณ หรือระยะเวลา 10. การทาํ วจิ ยั นัน้ จะตอ งมีความอดทนและรีบรอนไมได นักวิจัยควรจะเตรียมใจไวดวยวา อาจจะ ตองมีความลาํ บากในบางเร่อื ง ในบางกรณที ่ีจะแสวงหาคาํ ตอบ ของคาํ ถามท่ียาก ๆ 11. การเขียนรายงานการวิจัยควรจะทําอยางละเอียดรอบคอบ ศัพทเทคนิคท่ีใชควรจะบัญญัติ ความหมายไว วิธีการท่ีใชในการวิจัยอธิบายอยางละเอียด รายงายผลการวิจัยอยางตรงไป ตรงมาโดยไมใช ความคดิ เหน็ สว นตัว ไมบิดเบอื นผลการวจิ ัย 12. การวิจยั นั้นตองการความซอ่ื สัตยแ ละกลา หาญในการรายงานผลการวิจัยในบางคร้ัง ซึ่งอาจจะ ไปขัดกับความรูส กึ หรือผลการวิจัยของคนอ่ืนกต็ าม 2.6 ลักษณะของวจิ ยั ทด่ี ี 1. มวี ตั ถปุ ระสงคช ัดเจน วา ตอ งการหาคาํ ตอบในเรื่องใด 2. ความรูทีไ่ ดเปนความรูใหมๆ หรือปรับ เปลย่ี น เพมิ่ เติมความรเู ดิม 3. มคี วามตรงภายใน ผลการคน พบไดจ ากตวั แปรที่ศึกษาจรงิ ๆ ตามกระบวนการวจิ ัย 4. มีความตรงภายนอก ผลการคนพบท่ีไดสามารถสรุปอางอิงไปยังประชากรเปาหมายภายใต สถานการณทวั่ ไปได 5. การเขียนรายงานตรงไปตรงมาไมมอี คติ 2.7 คณุ ลกั ษณะของนกั วจิ ัยทีด่ ี นักวิจัยที่ดีควรมีคุณลักษณะที่สําคัญ 3 ดาน ไดแก ดานความรู การปฏิบัติ และจิตใจ ดังน้ี
- 12 - 1. ดานความรู 1.1 มคี วามคดิ รเิ ร่มิ ท่ีจะแสวงหาสง่ิ ใหมๆ เนือ่ งจากงานวิจัยเปน การหาความรูใ หม 1.2 มีความรใู นเนื้อหาของเร่ืองทจ่ี ะวิจัย 1.3 มคี วามรใู นการเลอื ก พัฒนาหรือสรา งเคร่อื งมือในการวจิ ยั 1.4 มคี วามรใู นเรอ่ื งของระเบียบวธิ ีวิจัย 1.5 มีความรทู างสถิติ 1.6 มคี วามสามารถในการคิดวิเคราะห สังเคราะห วิพากษวจิ ารณเ ชงิ เหตุผล 2. ดา นการปฏิบตั ิ 2.1 มที ักษะการวางแผนและทํางานอยา งเปนระบบ 2.2 มีทกั ษะในการสงั เกต 2.3 มีทกั ษะในการสอ่ื สารทั้งทางวาจาและลายลักษณอ ักษร 2.4 มีทกั ษะในการใชคอมพวิ เตอรแ ละการคนควา ดว ยเทคโนโลยีใหมๆ 2.5 มีทักษะในการประเมิน การวิจัยตองมีการเลือกส่ิงใดสิ่งหนึ่งเสมอ นักวิจัย ตออาศัยขอมูลสารสนเทศตา งๆ ประกอบการพิจารณาประเมินเลอื กส่ิงตา งๆ อยา งมีเหตุผล 2.6 มีทกั ษะในการเขียน เนอ่ื งจากงานวิจัยจะนาํ เสนอดว ยลายลกั ษณอ กั ษร 3. ดานจิตใจ 3.1 มีความกระตอื รือรน มงุ ม่ันใฝร อู ยูตลอดเวลา 3.2 มคี วามละเอยี ดรอบคอบ 3.3 มีความกลาในการตัดสินใจเกี่ยวเนื่องกับการประเมินตองกลาตัดสินใจใน สารสนเทศท่ีมี 3.4 มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ ทกุ สว นท่เี กี่ยวขอ ง 3.5 มีความเช่ือมั่นตอ สิง่ ท่ีคน พบ แมจ ะขดั แยงกบั ความรูเดิมกต็ าม 3.6 มคี วามขยันอดทนในการหาความรู เนือ่ งจากการวจิ ัยตอ งใชเวลานาน 3.7 มีจิตใจกวางขวางยอมรบั ฟง ความคิดเหน็ ผอู ่ืน 3.8 รกั ความจริง มจี รรยาบรรณ การวิจบั เปน การหาความรูความจริง นักวิจัย ตอ งพอใจในสงิ่ ท่คี น พบโดยไมมีอคติ แมจะไมเปนไปตามคาดหวงั ก็ตาม 3.9 มีมนษุ ยสัมพันธท ด่ี ี 2.8 จรรยาบรรณนกั วิจัย ในการประชุมเม่ือวันที่ 8 เมษายน 2541 คณะกรรมบริหารสภาวิจัยแหงชาติไดกําหนด จรรยาบรรณนักวจิ ัยข้ึน เพ่ือใชเ ปน แนวหลกั เกณฑค วรประพฤติของนักวจิ ัยทว่ั ไป ไมว าสาขาวิชาการใดๆ โดยใหมี ลักษณะเปน ขอพึงสังวรคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการทํางานของนกั วิจัยไทย ดงั นี้
- 13 - “นกั วจิ ยั ” หมายถึง ผูท ด่ี ําเนนิ การคนควา หาความรูอยางเปนระบบ เพ่ือตอบประเด็นท่ีสงสัย โดยมีระเบยี บวธิ อี ันเปนทีย่ อมรบั ในแตล ะศาสตรท่เี กย่ี วขอ ง ระเบียบวธิ ดี ังกลา วจงึ ครอบคลมุ ท้ังแนวคิด มโนทัศน และวธิ กี ารทีใ่ ชในการรวบรวมและวิเคราะหข อ มลู “จรรยาบรรณ” หมายถึง หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมใน การประกอบอาชีพ ท่ีกลุมบุคคลแตละสาขาวิชาชีพประมวลข้ึนไวเพื่อเปนหลักใหสมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นๆ ยดึ ถือปฏบิ ัตเิ พอ่ื รกั ษาช่ือเสียงและสงเสริมเกยี รติคุณของสาขาวชิ าชพี ของตน จรรยาบรรณในการวิจัย จัดเปนองคประกอบท่ีสําคัญของระเบียบวิธีวิจัย เนื่องดวยใน กระบวนการคนควาวิจัย นักวิจัยจะตองเขาไปเก่ียวของใกลชิดกับส่ิงที่ศึกษา ไมวาจะเปนสิ่งมีชีวิตหรือไมมีชีวิต การวิจัยจึงอาจสงผลกระทบในทางลบตอส่ิงที่ศึกษาได หากผูวิจัยขาดความรอบคอบระมัดระวัง การวิจัยเปน กิจกรรมทมี่ คี วามสําคัญอยางยง่ิ ตอการวางแผนและกาํ หนดนโยบายในการพัฒนาประเทศทกุ ดา น โดยเฉพาะในการ พฒั นาคุณภาพชวี ิตของคนในประเทศ ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพข้ึนอยูกับความรูความสามารถของนักวิจัยในเรื่องที่ จะศึกษา และขึ้นอยูกับคุณธรรมจริยธรรมของนักวิจัยในการทํางานวิจัยดวย ผลงานวิจัยท่ีดอยคุณภาพดวย สาเหตุใดกต็ าม หากเผยแพรออกไปอาจเปนผลเสยี ตอวงการวิชาการและประเทศชาติได ดว ยเหตุนี้สภาวิจัยแหงชาติจึงกําหนด “จรรยาบรรณนักวิจัย” ไวเปนแนวทางสําหรับนักวิจัย ยดึ ถือปฏิบตั ิ เพื่อใหการดาํ เนินงานวิจยั ต้งั อยูบนพ้นื ฐานของจริยธรรมและหลกั วชิ าการทเ่ี มหะสมตลอดจนประกัน มาตรฐานของการศึกษาคนควา ใหเ ปน ไปอยางสมศกั ด์ศิ รแี ละเกียรตภิ ูมิของนักวจิ ยั ไว 9 ประการ ดังน้ี 1. นักวิจยั ตองซ่อื สตั ย และมคี ณุ ธรรมในทางวชิ าการ และการจัดการ นักวจิ ัยตอ งมคี วามซ่ือสัตยตอตนเอง ไมนาํ ผลงานของผูอน่ื มาเปน ของตน ไมล อกเลียนงานของผูอื่น ตองใหเกียรติ และอา งถงึ บุคคล หรอื แหลงท่มี าของขอมูล ทีน่ ํามาใชใ นงานวิจยั ตองซ่อื ตรง ตอ การแสวงหาทนุ วจิ ยั และมคี วาม เปนธรรม เกี่ยวกับผลประโยชนท ีไ่ ดจากการวิจยั 2. นกั วิจยั ตองตระหนกั ถึง พันธกรณีในการทาํ งานวจิ ัย ตามขอ ตกลงที่ทําไว กบั หนวยงาน ที่ สนบั สนุนการวจิ ัย และตอหนวยงานทีต่ นสังกดั นกั วจิ ัยตองปฏิบตั ติ ามพนั ธกรณี และขอตกลงการวิจัย ท่ีผูเก่ียวขอ งทุกฝา ย ยอมรับรว มกัน อทุ ศิ เวลาทาํ งานวิจัย ใหไ ดผลดที ีส่ ุด และเปน ไปตามกาํ หนดเวลา มีความรับผิดชอบ ไมละท้งิ งานระหวา งดาํ เนนิ การ 3. นกั วจิ ยั ตองมพี ้นื ฐานความรใู นสาขาวิชาการที่ทาํ วิจยั นกั วจิ ัยตองมีพ้นื ฐานความรู ในสาขาวชิ าการท่ที ําวิจยั อยา งเพยี งพอ และมคี วามชาํ นาญ หรือมีประสบการณ เก่ยี วเน่ืองกับเรอื่ งทท่ี าํ วิจยั เพอ่ื นาํ ไปสูงานวิจัยทมี่ คี ุณภาพ และเพ่ือปองกันปญ หาการวเิ คราะหก ารตคี วาม หรือ การสรปุ ทผ่ี ดิ พลาด อันอาจกอใหเกดิ ความเสยี หายตอ งานวจิ ัย 4. นกั วิจยั ตองมีความรับผิดชอบตอส่งิ ทศ่ี กึ ษาวจิ ัย ไมวา จะเปน ส่ิงที่มีชีวิตหรอื ไมม ีชีวิต นักวิจยั ตอ งดาํ เนนิ การดว ยความรอบคอบ ระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทาํ วิจยั ที่เกีย่ วขอ งกับคน สตั ว พชื ศลิ ปวัฒนธรรม ทรพั ยากร และส่ิงแวดลอม มจี ิตสํานึก และมปี ณธิ านท่ีจะอนุรักษศิลปวฒั นธรรม ทรพั ยากร และ สิง่ แวดลอม
- 14 - 5. นักวิจัยตองเคารพศักดศิ์ รี และสิทธิของมนุษยท่ีใชเ ปนตวั อยา งในการวจิ ัย นกั วิจยั ตองไมคํานงึ ถงึ ผลประโยชนท างวิชาการ จนละเลยและขาดความเคารพในศักดศ์ิ รีของเพือ่ นมนุษย ตองถือ เปน ภาระหนา ทท่ี ีจ่ ะอธบิ ายจุดมงุ หมายของการวจิ ัยแกบุคคลที่เปนกลมุ ตวั อยาง โดยไมหลอกลวง หรือบบี บงั คบั และไมละเมิดสทิ ธิสวนบคุ คล 6. นักวิจัยตองมอี ิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกข้นั ตอนของการทาํ วิจยั นกั วิจัยตองมีอิสระทางความคิด ตอ งตระหนักวา อคติสวนตน หรอื ความลําเอียงทางวิชาการ อาจสง ผลใหมกี าร บิดเบือนขอ มูล และขอคน พบทางวชิ าการ อันเปน เหตุใหเกดิ ผลเสยี หายตอ งานวิจยั 7. นักวจิ ยั พึงนาํ ผลงานวจิ ัยไปใชประโยชนใ นทางทีช่ อบ นักวจิ ัยพงึ เผยแพรผ ลงานวิจยั เพื่อประโยชนท างวิชาการและสงั คม ไมขยายผลขอ คนพบจนเกนิ ความเปนจริง และ ไมใชผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ 8. นกั วิจยั พึงเคารพความคดิ เห็นทางวิชาการของผูอืน่ นกั วจิ ัยพึงมใี จกวาง พรอมที่จะเปด เผยขอ มูล และขน้ั ตอนการวจิ ยั ยอมรบั ฟง ความคดิ เหน็ และเหตุผลทางวชิ าการ ของผอู ื่น และพรอ มทีจ่ ะปรับปรงุ แกไขงานวิจัยของตนใหถ ูกตอง 9. นกั วิจยั พงึ มคี วามรับผิดชอบตอสงั คมทกุ ระดับ นกั วิจัยพึงมจี ติ สาํ นึกที่จะอุทศิ กาํ ลังสตปิ ญญาในการทาํ วิจยั เพ่อื ความกา วหนา ทางวชิ าการ เพ่ือความเจริญและ ประโยชนสขุ ของสงั คมและมวลมนุษยชาติ 2.9 ข้นั ตอนในการวิจัย ในการวิจัยแตละประเภท อาจมีขั้นตอนแตกตางไป ในท่ีนี้จะกลาวถึงขั้นตอนในการวิจัยซ่ึง ไมไ ดห มายคลุมไปถงึ วาการวจิ ยั ทกุ ประเภท ตอ งมขี น้ั ตอนตามทจี่ ะกลาว ตอไปน้ี ทกุ ประการ 1. เลือกหัวขอปญหา เปนการตอบคําถามที่วาเราจะทําวิจัยเรื่องอะไร ซึ่งจะตองพิจารณาให รอบคอบดว ยความมนั่ ใจและเขียนชือ่ เร่ืองท่ีจะวจิ ยั ออกมา 2. การกําหนดขอบเขตของปญหา เมื่อไดปญหาท่ีจะทําการวิจัยแนนอนแลวควรจะกําหนด ขอบเขตของ ปญ หาใหชัดแจง เนอื่ งจากการกาํ หนดปญ หาท่ีแนน อนชว ยผวู ิจัยไดดังน้ี 2.1 วางแผนรวบรวมขอมลู ดว ยวิธกี ารตาง ๆ ท่เี หมาะสม 2.2 รูถึงเทคนิคตางๆ ที่เหมาะสมในการเลือกกลุมตัวอยาง สถิติท่ีใชในการวิเคราะห ขอมูล ตลอดจน การแปลผลการวิจยั 2.3 มองเหน็ ภาพอยา งแจมชัดวา จะตองทําอะไรบาง 3. การศึกษาเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวของ โดยการศึกษาสาระความรู แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวกับเร่ืองน้ันในตํารา หนังสือ วารสาร รายงานการวิจัยและเอกสาร อ่ืน ๆ ซ่ึงจะมี ประโยชนตอผูวิจยั ในขอตอไปนี้ 1) ชว ยใหไมเกิดการซํา้ ซอนในการวจิ ยั 2) ชว ยใหก ําหนดขอบเขตของการทําวจิ ยั ไดถูกตองชัดเจน (กรอบแนวคิด)
- 15 - 3) ไดแนวทางในการกาํ หนดสมมตุ ิฐาน (กรณที ่มี ีสมมุติฐาน) 4) ไดแ นวทางในการสรางเครื่องมอื เพื่อรวบรวมขอมลู 5) ไดแ นวทางในการสุมตัวอยาง 6) ไดแ นวทางในการใชค าสถติ ใิ นการวิเคราะหขอ มูล 7) ไดแ นวทางการแปลผลการวิจยั และการเขียนรายงานการวิจยั 4. การกําหนดสมมุติฐาน หมายถึง การเขียนขอความท่ีเปนขอคาดหวังเก่ียวกับความแตกตาง ทอี่ าจเปนไปได ระหวางตวั แปรตา ง ๆ ซ่ึงสมมตุ ฐิ านน้นั ไมจําเปนวา จะตองเปนจริงเสมอไป 5. เลอื กรปู แบบการวจิ ัย 6. การเขยี นเคาโครงการวจิ ัย การเขยี นเคา โครงการวิจัยเปนข้ันตอนที่สําคัญขั้นหนึ่ง เนื่องจาก เคา โครงการวจิ ัยน้นั จะเปนแบบแผนในการดําเนินงานวจิ ยั อยา งมีระบบควรจะประกอบดว ย 1) ชื่องานวจิ ัย 2) ภมู ิหลงั หรือท่ีมาของปญหา 3) วัตถปุ ระสงค 4) ขอบเขตของการวิจัย 5) ตวั แปรตาง ๆ ทวี่ จิ ัย 6) คํานยิ ามศพั ทเ ฉพาะ (ในกรณีท่จี ําเปน ) 7) สมมตุ ฐิ าน (ถา ม)ี 8) วธิ ดี ําเนินการวจิ ัย 9) รูปแบบของงานวิจยั 10) การสมุ ตัวอยาง 11) เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ นการเก็บรวบรวมขอมูล 12) การวิเคราะหข อ มลู 13) แผนการทํางาน 14) งบประมาณ 7. การสรางเครือ่ งมอื รวบรวมขอ มลู กอ นท่ีจะดําเนินการรวบรวมขอมูล ผูวิจัยจะตองทราบวา จะใชเครื่องมืออะไรในการเกบ็ รวบรวมขอมูล และเคร่ืองมือน้ันมีหรือยัง ถายังไมมีตองดําเนินการสรางและ นําเคร่ืองมอื นนั้ ไป ทดลองใช เพอื่ หาคุณภาพของเคร่อื งมือ อยา งไรก็ตาม ผวู ิจัยไมจ าํ เปนตองสรางเครื่องมือ รวบรวมขอมูลเองเสมอไป กรณีที่ทราบวามีเคร่ืองมือท่ีสรางข้ึนอยางเปนมาตรฐานเหมาะสมกับการท่ีจะ นําไปใชในการเก็บรวบรวมขอมูล ก็อาจยืมเคร่ืองมือดังกลาวมาใชไดถาสงสัยในเรื่องคุณภาพของเคร่ืองมือ เน่อื งจากสรางไวนานแลวกอ็ าจนาํ มาทดลองใชแ ละวิเคราะหหาคณุ ภาพใหมอีกคร้ังหน่ึงเมื่อพบวามีคุณภาพ เขาเกณฑก็นํามาใชเก็บรวบ รวมขอมูลได (การวิจัยบางเรื่องอาจไมใชเครื่องมือรวบรวมขอมูลท่ีเปนแบบ แผนก็จะตดั ขน้ั ตอนน้ีออกไป)
- 16 - 8. เลือกกลุมตัวอยาง ในกรณีที่ไมไดศึกษาจากประชากร แตจะศึกษาจากกลุมตัวอยางก็ทํา การเลอื กกลุมตัวอยาง 9. ขน้ั ดาํ เนนิ การเก็บรวบรวมขอ มูล ในการดําเนินการเก็บรวบรวมขอมูลผูวิจัยจะตองทราบวา ในการทําการวิจัยนั้นสามารถจะรวบรวมขอมูลจากกลุม ประชากรท้ังหมด หรือ สุมตัวอยาง ซึ่งในการสุม ตวั อยางน้ันก็ตองทราบวาจะตองสุมตัวอยางโดยวิธีการใดที่จะใหไดกลุมตัวอยางท่ีเปนตัวแทนที่ดีของ กลุม ประชากร ขอมูลท่ีผูวิจัยจะทําการรวบรวมนั้นมาจากไหน ปฐมภูมิ (Primary Source) หรือทุติยภูมิ (Secondary Source) วธิ ีการรวบรวมขอ มลู ทนี่ ิยมใชในการวิจัยทางการศกึ ษา ไดแ ก 1. การใชแ บบทดสอบ 2. ใชแบบวัดเจตคติ 3. การสง แบบสอบถาม 4. การสมั ภาษณ 5. การสงั เกตการณ 6. การใชเทคนคิ สังคมมิติ 7. การทดลอง 8. การจดั กระทาํ ขอมูล (Data Processing) การจัดกระทาํ ขอ มูลเปน วธิ ีการดาํ เนนิ การ อยา งมีระบบตามลําดับขน้ั กบั ขอ มลู ตาง ๆ เพื่อใหบรรลผุ ลสําเรจ็ ตามความมุงหมาย 10. การจัดกระทําขอมลู 1. Input เปนการจัดเตรียมขอมูลเพื่อการวิเคราะห เชน การบันทึกรอยคะแนน การลงรหัส ขอมูล การถายขอมูล ลงคอมพวิ เตอร เปน ตน 2. Processing เปน ขนั้ ตอนของ การจัดแบงประเภทของขอมูล สําหรับการวิจัย เชิงคุณภาพ และเปน ข้นั ตอนการคํานวณ สาํ หรับการวจิ ยั เชิงปรมิ าณ ซ่ึงในขนั้ ตอนนอี้ าจจะคํานวณดวยมือ ใชเคร่ืองคิด เลข หรอื ใชเคร่อื งคอมพวิ เตอรขนึ้ อยูกับปรมิ าณของขอมูลและปจ จยั เอื้ออาํ นวย 3. Output เปนข้ันตอนที่นําผลจากการขั้นตอนท่ีไดจากขั้น Processing มาเขียนเปน รายงาน หรือเสนอในรูปแบบของตารางหรือแผนภูมติ างๆ แลวแปลความหมายของผลที่ได 4. การสรุปผลการวิจัยและเขียนรายงาน ขั้นนี้จะเปนข้ันสุดทายของการวิจัย โดยการสรุป ผลการวิจยั และเขียนรายงานการวจิ ัย ซง่ึ โดยทัว่ ไปในรายงานการวิจยั จะประกอบดว ย 1) บทนํา ซ่ึงประกอบดวยความสําคัญและความเปนมาของปญหา วัตถุประสงคในการ วิจัย สมมติฐานในการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ขอตกลงเบื้องตน ความไมสมบูรณของการวิจัยและคํา นยิ ามศัพทเฉพาะ 2) การตรวจสอบเอกสาร 3) วิธีการดําเนินการวิจัย ซึ่งประกอบดวย กลุมประชากร กลุมตัวอยาง วิธีการสุม ตัวอยาง เคร่ืองมือที่ใชในการรวบรวมขอมูล และขั้นตอนการดําเนินการรวบรวมขอมูล ตลอดจนวิธีการ วิเคราะหข อมูลผลการวจิ ัย 4) สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผลและขอ เสนอแนะ
- 17 - กจิ กรรมท่ี 1 ความรเู บื้องตนเกย่ี วกับการวิจยั --- >>> ใหนกั เรียนตอบคาํ ถามตอไปน้ี <<< ----- 1. การหาความรดู ว ยวธิ ีการอนุมานและอปุ มานแตกตา งกนั อยางไร 2. การวิจยั เปน วิธีการหาความรทู ่ีเชือ่ ถือไดกวา วิธอี ื่นหรอื ไม เพราะเหตุใด 3. จงบอกประโยชนข องงานวิจัยมา 5 ขอ 4. งานวจิ ยั ท่ีดคี วรมลี ักษณะสาํ คัญอะไรบาง 5. นักเรยี นคดิ วา นกั เรยี นมีคณุ สมบัติอะไรบา งทจ่ี ะเปน นักวจิ ยั ท่ดี ี และยังขาดคุณสมบัติใดบาง สามารถปรับปรงุ ไดห รอื ไม อยา งไร 6. จรรยาบรรณของนักวิจยั มีอะไรบาง จงอธิบาย 7. ถา นักวิจัยไมม จี รรยาบรรณ จะเกดิ ความเสียหายอยา งไรบาง จงใหเหตุผลพรอมยกตัวอยา ง 8. การจดั แบงประเภทการวิจยั คํานงึ ถงึ หลกั การอะไรบา ง จงระบุ 9. นกั เรียนคดิ วา เกณฑการแบง ประเภทวจิ ยั แบบใดเหมาะสมทส่ี ดุ เพราะเหตุใด 10. จงสรุปสาระสาํ คัญของการวจิ ยั ตอไปนี้ 10.1 การวิจัยเชงิ ประวัติศาสตร 10.2 การวจิ ยั เชิงบรรยาย 10.3 การวจิ ัยเชิงทดลอง 10.4 การวจิ ยั เชิงคุณภาพ 10.5 การวจิ ัยเชิงปรมิ าณ 11. จงเปรยี บเทียบความแตกตา งระหวางการวจิ ัยเชิงปริมาณและการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ
- 18 - เอกสารอางอิง [1] http://wbc.msu.ac.th/wbc/edu/0504304/lesson2.htm [2] www.edu.tsu.ac.th [3] http://secondary.kku.ac.th/research/res02/miscon/miscon6.htm [4] http://www.bcnr.ac.th/e_le/f_res/les1.htm [5] http://www.bestwitted.com/?p=244 [6] http://www.spu.ac.th/~patrapan/Tip11.htm [7] พิสณุ ฟองศรี. วจิ ัยทางการศึกษา. พมิ พครง้ั ที่ 6. กรงุ เทพฯ : ดา นสุธาการพมิ พ, 2552 [8] ภาควิชาวจิ ยั และพัฒนาการศกึ ษา. คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พิมพครั้งท่ี กาฬสินธุ : 2552
- 19 -
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: