เกยี่ วกบั สโุ ขทยั \"มรดกล้ำเลศิ กำ้ เนิดลำยสอื ไทย เล่นไฟลอยกระทง ม่งั คงพระพทุ ธศำสนำ งำนตำผำ้ ตนี จก สงั คโลกทองโบรำณ สักกำรเเมย่ ำ่ พอ่ ขนุ รุ่งอรุณเเห่งควำมสขุ \" สโุ ขทยั ในอดตี เคยเปน็ รำชธำนแี หง่ แรกของชำติไทย เมอ่ื 700 ปมี ำแลว้ ปัจจุบันเป็น จงั หวัดหนึ่งในเขตภำคเหนอื ตอนลำ่ ง มีพนื ทีร่ วมประมำณ 6,596 ตำรำงกโิ ลเมตร อยู่ หำ่ งกรุงเทพฯ 427 กโิ ลเมตรและห่ำงจำกเชียงใหม่ 298 กโิ ลเมตร โดยสุโขทยั ปัจจุบัน แบ่งกำรปกครองออกเปน็ 9 อำ้ เภอ คอื อำ้ เภอเมอื งสโุ ขทยั อำ้ เภอกงไกรลำศ อ้ำเภอครี ี มำศ อำ้ เภอทุง่ เสลย่ี ม อำ้ เภอบำ้ นด่ำนลำนหอย อ้ำเภอศรสี ชั นำลยั อำ้ เภอศรี ส้ำโรง อำ้ เภอสวรรคโลก และอำ้ เภอศรนี คร คำ้ ว่ำ สโุ ขทยั มำจำกค้ำสองคำ้ คอื สุข+อทุ ัย หมำยควำมวำ่ รงุ่ อรณุ แห่งควำมสขุ สโุ ขทยั ได้เรมิ่ กอ่ ตงั ขึนเม่ือประมำณปี พ. ศ. 1800 มีกำรสถำปนำรำชวงศพ์ ระรว่ งขนึ ปกครองสโุ ขทยั โดยมี พ่อขุนศรีอนิ ทรำทติ ยเ์ ปน็ ปฐมกษตั ริย์ ตลอดระยะเวลำ 120 ปี รำชวงศ์สโุ ขทัย มกี ษัตรยิ ป์ กครองหลำยพระองค์ ที่สำ้ คญั คอื \"พอ่ ขนุ รำมคำ้ แหง มหำรำช\" ผ้ทู รงประดิษฐอ์ ักษรไทย และ วำงรำกฐำนกำรเมอื ง กำรปกครอง ศำสนำ ตลอดจนขยำย อำณำเขตออกไปอยำ่ งกว้ำงขวำง และด้วยควำมส้ำคัญในฐำนะ ท่เี ปน็ เอกลกั ษณท์ ำงศลิ ปะของไทยในสมยั เรม่ิ สร้ำง อำณำจักร ทยี่ งั หลงเหลอื อยู่ในอทุ ยำน ประวัตศิ ำสตรส์ โุ ขทยั ได้รับกำร ยกย่องใหเ้ ปน็ มรดกโลก โดยองค์กำร UNESCO เมื่อ เดอื น ธนั วำคม พ.ศ. 2534 อุทยำนประวตั ศิ ำสตรส์ โุ ขทยั อุทยำนประวัติศำสตร์สโุ ขทยั ครอบคลมุ พนื ทโ่ี บรำณสถำน กรงุ สุโขทยั ศูนยก์ ลำงกำรปกครองของอำณำจกั รสโุ ขทยั ซง่ึ มอี ้ำนำจ อยู่บรเิ วณ ภำคเหนอื ตอนลำ่ งของประเทศไทยในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 18-19 ตังอยู่ทตี่ ้ำบลเมืองเกำ่ (เขตเทศบำลต้ำบลเมอื งเก่ำ) อ้ำเภอเมอื งสุโขทยั จงั หวดั สุโขทยั ห่ำงจำกตวั เมอื งสโุ ขทยั ปัจจุบัน (เขตเทศบำลเมอื งสโุ ขทยั ธำนี) ไปทำงทิศตะวนั ตกประมำณ 12 กโิ ลเมตร ตำม ทำงหลวงแผน่ ดนิ หมำยเลข 12 (ถนนจรดวิถีถอ่ ง) ผังเมืองสโุ ขทยั มลี ักษณะเปน็ รปู สเ่ี หลยี่ มผืนผำ้ มีควำมยำวประมำณ 2 กิโลเมตร กวำ้ ง ประมำณ 1.6 กโิ ลเมตร มีประตเู มอื งอย่ตู รงกลำง กำ้ แพงเมอื งแต่ละดำ้ น ภำยในยังเหลือ
รอ่ งรอยพระรำชวังและวัดอกี 26 แหง่ วดั ทีใ่ หญ่ทีส่ ดุ คอื วัดมหำธำตุ อทุ ยำนแห่งนีไดร้ ับ กำรบรู ณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปำกรด้วยควำมชว่ ยเหลือจำกองค์กำรยเู นสโก มผี ้เู ยยี่ ม ชมหลำยแสนคนตอ่ ปี ซงึ่ สำมำรถเดนิ เทำ้ หรือขจ่ี ักรยำนเทย่ี วชมได้ อุทยำนประวตั ศิ ำสตร์สโุ ขทัยได้รับกำรประกำศคมุ้ ครองครงั แรกตำมประกำศรำชกจิ จำ นเุ บกษำ เลม่ ที่ 92 ตอนที่ 112 ลงวนั ท่ี 2 สิงหำคม พ.ศ. 2504 ต่อมำในปี พ.ศ. 2519 โครงกำรฟน้ื ฟอู ทุ ยำนแหง่ นีกไ็ ด้รับกำรอนมุ ัติ และเปดิ อย่ำงเป็นทำงกำรในเดือน กรกฎำคม พ.ศ. 2531 โดยในวันที่ 12 ธนั วำคม พ.ศ. 2534 องค์กำรยเู นสโกได้ประกำศ ให้อุทยำนแหง่ นีเปน็ แหล่งมรดกโลกรว่ มกบั อุทยำนประวัตศิ ำสตร์ทก่ี ้ำแพงเพชรและ ศรีสัชนำลยั ภำยใต้ชอื่ วำ่ \"เมืองประวตั ิศำสตรส์ ุโขทัยและเมอื งบริวำร\" (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) สถานท่เี ที่ยวที่ตอ้ งมาเม่อื มาเทย่ี วสุโขทัย อทุ ยานประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั อำณำจักรสุโขทัยเรม่ิ ต้นประวัตศิ ำสตรโ์ ดยมหี ลกั ฐำนชัดเจนในสมยั พอ่ ขนุ ศรี อินทรำทิตย์(พ่อขนุ บำงกลำงหำว พ.ศ.1781 - 1822) ต่อมำอำณำจักรสโุ ขทยั เจริญรงุ่ เรอื งสูงสุดในรัชสมัยของพอ่ ขุนรำมคำ้ แหงมหำรำช อ้ำนำจของอำณำจกั รสโุ ขทัย ในชว่ งรชั สมยั ของพระองคม์ ีควำมมั่นคงจำก ทรงแผ่อำณำเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยไดเ้ จรญิ ขนึ ทกุ สำขำ ดงั ปรำกฎในศิลำจำรกึ หลกั ท่ี 1 ซึง่ เจริญ ทังดำ้ น ประวัตศิ ำสตร์ กำรสงครำม ภมู ศิ ำสตร์ กฎหมำย ประเพณี กำรปกครอง กำรเศรษฐกจิ กำรสังคม ปรชั ญำ พระพุทธศำสนำ กำรประดษิ ฐ์อกั ษรไทย รำชวงศพ์ อ่ ขุนศรอี ินทรำ ทิตย์ (พระร่วง หรอื สโุ ขทัย) ไดป้ กครองอำณำจกั รสโุ ขทยั สืบตอ่ มำเปน็ เวลำ 200 ปี ก็ ถูกรวมเข้ำกบั อำณำจักรอยุธยำ ผงั เมอื งสุโขทยั มลี ักษณะเปน็ รูปสเี่ หลยี่ มผนื ผำ้ มคี วำมยำวประมำณ 2 กิโลเมตร กวำ้ งประมำณ 1.6 กิโลเมตร มปี ระตูเมืองอยู่ตรงกลำงกำ้ แพงเมืองแต่ละดำ้ น ภำยในยังเหลือรอ่ งรอยพระรำชวัง และวัดมำกถึง 26 แห่ง วดั ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ คอื วดั มหำธำตุ อทุ ยำนประวตั ศิ ำสตรแ์ ห่งนี ได้รับกำรบรู รปฏิสงั ขรณโ์ ดยกรมศลิ ปำกร ซึง่ ไดร้ บั ควำม
ชว่ ยเหลือจำกองค์กำรยเู นสโก มผี เู้ ยยี่ มชมหลำยแสนคนตอ่ ปี นกั ทอ่ งเทย่ี วสำมำรถเดิน เทำ้ นง่ั รถรำง หรือ ขจ่ี กั รยำน เทยี่ วชมไดอ้ ยำ่ งสะดวกปลอดภยั ในวันที่ 12 ธนั วำคม พ.ศ.2534 องคก์ ำรยเู นสโก ได้ประกำศให้อทุ ยำนแห่งนี เปน็ แหลง่ มรดกโลก รว่ มกบั อุทยำนประวัติศำสตร์กำ้ แพงเพชร และ อทุ ยำนประวตั ิ ศำตร์ศรีสัชนำลัย ภำยใตช้ อื่ วำ่ “เมืองประวตั ศิ ำสตร์สโุ ขทยั และเมอื งบรวิ ำร” (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) เนื่องจำกหลักฐำนทีป่ รำกฎ แสดงให้เหน็ ถึงผลงำนทำงสถำปตั ยกรรมทโ่ี ดดเด่นนับเป็น ตัวแทนของศลิ ปกรรมไทยยุค แรก และเปน็ ตน้ ก้ำเนิดของกำรสรำ้ งประเทศไทย ..................................................... อทุ ยานประวัตศิ าสตรศ์ รสี ชั นาลยั เมอื งศรสี ชั นำลัยมีฐำนะเปน็ เมอื งลูกหลวงของเมอื งสโุ ขทยั ตอ่ มำเมืองสโุ ขทยั ตกอยภู่ ำยใต้อำ้ นำจของกรุงศรีอยธุ ยำ จึงไดเ้ ปลี่ยนชอ่ื เรยี กว่ำ เมอื งสวรรคโลก ภำยหลงั เสียกรงุ ศรอี ยุธยำแกพ่ มำ่ ครังที่ 2 (พ.ศ.2310) เมืองศรสี ัชนำลัย หรอื สวรรคโลก ถูกปลอ่ ยทงิ รำ้ ง ตอ่ มำเมอื งสวรรคโลกได้จัดตังขึนใหม่ทบ่ี ้ำนท่ำชยั อยดู่ ้ำนทศิ ใต้ของเมืองเดิม และในสมยั รัตนโกสินทร์ได้ยำ้ ยไปอยทู่ บี่ ำ้ นวังไม้ขอน ซง่ึ คือทตี่ ังของ อำ้ เภอสวรรคโลกในปจั จุบนั ส่วนชอื่ เมอื งศรสี ชั นำลัย ถูกน้ำไปตงั เป็นช่ือของอำ้ เภอ ศรสี ัชนำลยั โดยไดร้ วมเอำเขตพืนท่เี มอื งศรสี ชั นำลัยโบรำณไว้ดว้ ย เมอื งโบรำณศรสี ัชนำลยั มีขอบเขตของผังเมอื งทกี่ อ่ สรำ้ งทบั ซอ้ นอย่บู นบรเิ วณ เมืองเชลยี งเดิม คือ แนวก้ำแพงเมืองเชลยี งเดมิ ทำ้ เป็นคนั ดินยำวขนำนไปตำมล้ำนำ้ ยม ซง่ึ ยังคงปรำกฎหลกั ฐำนคันดินให้เห็นอยู่เปน็ ระยะๆ ต่อมำเมอื่ มกี ำรกอ่ สรำ้ งเมอื งศรสี ัช นำลัยขึน จงึ ไดพ้ ิจำรณำเลือกบริเวณทม่ี สี ภำพภูมปิ ระเทศเป็นท่รี ำบเชงิ เขำก้ำหนด ขอบเขต กำรกอ่ สรำ้ งกำ้ แพงเมอื งจำกศลิ ำแดง ลกั ษณะผงั เมอื งเปน็ รปู หลำยเหลยี่ ม ไม่ สม่ำ้ เสมอตำมทศิ ทำงของแม่นำ้ ยม ในชว่ งนลี กั ษณะของก้ำแพงเมอื งศรีสัชนำลยั มหี ลำย แนว เพรำะมีกำรผสมผสำนเอำแนวกำ้ แพงคันดินในสมัยที่เปน็ เมอื งเชลยี งเขำ้ มำใช้ ประโยชนด์ ้วย
โบรำณสถำนในอทุ ยำนประวัตศิ ำสตรศ์ รสี ัชนำลยั มที งั ภำยใน และภำยนอก ก้ำแพงเมอื ง ซ่งึ รวมทงั หมดมีไม่นอ้ ยกว่ำ 215 แหง่ รวมทังสสุ ำนวดั ชมชืน่ และเตำสังค โลกโบรำณ อุทยำนประวตั ศิ ำสตรศ์ รสี ชั นำลยั ถอื ได้วำ่ เปน็ โบรำณสถำนแหล่งเรียนรู้ วฒั นธรรม ควำมเป็นมำของบรรพชนชำวไทยทส่ี ้ำคญั มำกอกี แหง่ หนงึ่ ทน่ี กั ท่องเทย่ี วควร เดนิ ทำงไปเทยี่ วชมเมอื่ เดินทำงมำเยอื นจังหวดั สุโขทยั งานประเพณที ่ีสุโขทยั ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ เมอื่ ถึงฤดนู ำ้ หลำกเดอื นสบิ สอง วถิ ซี ีวติ ไทยรมิ สองฟำกฝงั่ แมน่ ้ำ ล้ำคลองต่ำงเฝ้ำรอคอย คนื วันจนั ทรเ์ ตม็ ดวง หรอื ทีเ่ รยี กกันวำ่ คนื เดอื นเพ็ญ เพรำะแสงนวลของดวงจนั ทรจ์ ะสอ่ ง ประกำยลงมำบนผิวนำ้ อันใสสะอำด สร้ำงบรรยำกำศสวยงำมสช่ืนเยือกเย็น กลำยมำ เปน็ ประเพณลี อบกระทงบูชำขอขมำพระแมค่ งคำ บ้ำงเป็นกำรสะเดำะเครำะห์ตำมคติ ควำมเชอื่ ของศำสนำพรำหมณ์ จังหวัดสโุ ขทยั ถอื เปน็ ตน้ กำ้ เนิดของประเพณีลอยกระทง เนอ่ื งจำกมีกำรจดั งำนประเพณีสอื ทอดตดิ ต่อกันมำหลำยสิบปี จนกลำยเปน็ ประเพณรี ะดบั ประเทศ และ สรำ้ งช่ือเสยี งใหป้ ระเทศไทยเปน็ ทรี่ จู้ ักกันไปทวั่ โลกในชอ่ื “งำนประเพณลี อยกระทง เผำ เทยี น เล่นไฟ จังหวดั สโุ ขทยั ” ในทกุ ปจี งั หวัดสุโขทยั ได้จดั งำนประเพณลี อยกระทง เผำเทยี น เลน่ ไฟ แบบ โบรำณ ขนึ บรเิ วณอุทยำนประวัตศิ ำสตรส์ ุโขทยั เอกลกั ษณ์ประเพณีนเี ป็นท่เี ลอ่ื งลือโดย มีทังกระทงทรงพมุ่ ขำ้ วบณิ ฑ์งำนฝมี อื อันวิจติ รท่ีสะทอ้ นควำมประณตี ของชำ่ งศลิ ปเ์ มอื ง สุโขทยั ตลำดโบรำณ หรอื ตลำดแลกเบีย กำรจ้ำลองบรรยำกำศกำรซอื ขำยแบบโบรำณ ให้นกั ทอ่ งเทีย่ วไดส้ มั ผสั ถงึ กลิ่นอำยวัฒนธรรม ด้วยกำรแลหอยเบยี แทนเงนิ สด เพอื่ ใช้ ซอื ขำยอำหำรพนื เมือง และกำรแสดงแสงสี เสยี ง สัมผัสเร่ืองรำว ประวตั ศิ ำสตรม์ นต์ เสน่หแ์ ห่งอำรยธรรมเมอื งมรดกโลก
กจิ กรรมในภำคกลำงวนั จะมีขบวนแห่นำงนพมำศ และกำรออกรำ้ น กำรจดั นทิ รรศกำรต่ำงๆ สว่ นในเวลำกลำงคืนจะมีกำรประดบั ไฟจดุ เที่ยนตำมโบรำณสถำนต่ำงๆ ซ่งึ มคี วำมสวยงำม และเป็นเอกลักษณข์ องงำนประเพณีลอยกระทง เผำเทียน เลน่ ไฟ จงั หวัดสุโขทัย กำรจัดประกวดกระทง กำรประกวดโคมชกั โคมแขวน พนมหมำก พนม ดอกไม้ กำรแสดงแสงเสยี งเกีย่ วกับประวัตศิ ำสตรก์ รงุ สุโขทยั ณ บริเวณวดั มหำธำตุ ตลอดจนกำรแสดงนำฏศิลป์ และ มหรสพต่ำงๆ ทบ่ี ่งบอกถงึ ควำมละเอยี ดอ่อนของ ควำมเปน็ ไทยอีกมำกมำยน่ำเดินทำงไปสมั ผสั เทย่ี วชม โดยกำ้ หนดจดั ขนึ เป็นประจำ้ ทกุ ปี ในชว่ ง วนั ขนึ 15 คำ้่ เดอื น 12 .............................................. ประเพณีสงกรานตส์ โุ ขทัยเทีย่ วได้ครง่ึ เดือน วนั สงกรำนต์ ถอื เปน็ วนั ขนึ ปีใหม่ของชำวไทยมำตงั แตส่ มยั กรุงสโุ ขทัย แตเ่ ดิมแล้ววนั สงกรำนต์มีชือ่ เรยี กว่ำ “ตรษุ สงกรำนต”์ ซึง่ ค้ำว่ำตรุษนันเปน้ ภำษำทมฬิ แปลว่ำ ตดั หรือ กำรสนิ ไป วันตรษุ จงึ ถอื เป็น วนั สนิ ปีของคนไทยมำแตโ่ บรำณ โดยมีกิจกรรมประเพณี สอื ทอดมำตังแตส่ มยั สุโขทยั คู่กบั ประเพณสี งกรำนต์ จึงมกั เรยี กรวมกันวำ่ ประเพณีตรษุ สงกรำนต์ ประเพณตี รษุ สงกรำนต์ มกี ำ้ หนดคอื วันแรม 14-15 คำ้่ เดอื น 4 ถือวำ่ เปน็ วัน สนิ ปี และวันขึน 1 ค่ำ้ เดอื น 5 เป็นวนั ขึนปีใหม่ไทย ทังนคี นไทยแตโ่ บรำณมคี วำมเชอ่ื ว่ำ ในวันนีประตูนรก และสวรรค์จะเปิดให้บรรพบรุ ุษออกมำรับสว่ นบญุ ได้ จึงมีกำรจัด กิจกรรมทำ้ บญุ ตกั บำตร เพ่ืออทุ ิศส่วนกศุ ลให้แกบ่ รรพบรุ ุษท่ลี ่วงลบั ในวนั ดังกล่ำว ปัจจุบันจังหวดั สโุ ขทัย ไดท้ ้ำกำรจัดงำนประเพณีสงกรำนตเ์ พ่อื สอื สำน วัฒนธรรมไทยมำอยำ่ งตอ่ เน่ืองเป็นประจำ้ ทกุ ปี และถือได้ว่ำจังหวดั สโุ ขทยั นันเปน็ ตน้ แบบของประเพณสี งกรำนตอ์ ันงดงำมทุกปีเมอื่ ถงึ ช่วงเวลำของกำรจดั งำน เช่น “ประเพณสี รงน้ำโอยทำนสงกรำนตศ์ รสี ชั นำลยั ” จัดขึนบรเิ วณอทุ ยำนประวัติศำสตร์ ศรสี ชั นำลัย ภำยในงำนมีกิจกรรมทีน่ ำ่ สนใจ ไดแ้ ก่ พิธีบวงสรวงพระมหำธรรมรำชำที่ 1
และบรู พกษตั รยิ ์ กำรประกวดสำวเทพสี รงนำ้ โอยทำน ขบวนแห่ชำ้ งพอ่ เมอื ง และขบวน วฒั นธรรมกำรออกรำ้ นเทศกำลอำหำรพนื เมือง และงำนประเพณสี งกรำนต์เมอื งสโุ ขทยั “สงกรำนต์เสือลำยดอกถนนข้ำวตอกสุโขทัย” จดั ขึนบรเิ วณสวนสำธรำรณะเฉลมิ พระ เกียรตฯิ ริมแมน่ ำ้ ยม อำ้ เภอเมอื ง เป็นกจิ กรรมสงกรำนตท์ ีส่ นุกสนำน ผูร้ ว่ มกจิ กรรมทกุ คนจะสวมเสอื ลำยดอกเขำ้ รว่ มงำน เป็นภำพที่สวยงำม แสดงออกถึงวถิ ชี วี ิตของชำวไทย รว่ มสรงน้ำพระภิกษสุ งฆ์ และรูปหลอ่ พระแมย่ ำ่ องค์จ้ำลอง ชมขบวนแห่สืบสำน วัฒนธรรมทย่ี ิ่งใหญส่ วยงำมของตำ้ นำนนำงสงกรำนต์ สนกุ สนำนกบั ร้ำวงย้อนยุค และ ชมกำรแสดงดนตรีทส่ี นกุ สนำน งำนยอ้ นอดตี มหำสงกรำนต์กรุงสโุ ขทยั ณ อทุ ยำน ประวตั ิศำสตร์สโุ ขทยั ชมกำรแข่งขนั กอ่ กองทรำย ขบวนแหล่ อ้ เกวยี นโบรำณ งำน ประเพณแี ห่นำ้ ขึนโฮ้ง สรงน้ำเจ้ำหม่ืนด้ง ชมขบวนแห่วฒั นธรรม และบำยศรสี ู่ขวญั ชำ้ ง และเลียงอำหำรชำ้ ง เรยี กไดว้ ่ำ สงกรำนต์สุโขทัย เทย่ี วไดค้ รง่ึ เดอื น หำกท่ำนเปน็ นกั ท่องเท่ียวที่สนใจชน่ื ชมควำมงดงำมของวฒั นธรรมประเพณี สงกรำนต์ ตำมแบบฉบับดังเดิมของวิถไี ทย เมอื่ ถึงชว่ งเทศกำลประเพณวี นั สงกรำนต์ครัง ตอ่ ไป ขอเชญิ ทำ่ นเดินทำงมำยังจังสโุ ขทยั แลว้ ทำ่ นจะพบกับควำมสขุ ประทบั ใจดินแดน แหง่ รุ่งอรณุ ........................................................ อาหารพ้นื ถิน่ สุโขทยั กว๋ ยเตย๋ี วสุโขทยั “กว๋ ยเตีย๋ วสุโขทัย”อีกหน่ึงเอกลกั ษณข์ องวิถสี โุ ขทยั ควำมอร่อยท้ำให้มีชอ่ื เสยี ง โดดเดน่ คุณสำมำรถเลือกหำรับประทำนได้ทว่ั ไปในจังหวดั สโุ ขทยั ควำมพิเศษตำมแบบ ฉบบั ดังเดิม ของกว๋ ยเต๋ียวสโุ ขทัยนันอยทู่ ก่ี ำรใช้เส้นเลก็ เหนียวเนอื แปง้ นุม่ ใสเ่ นือหมู และเครอื่ งในหัวไชโป๊วหัน่ ชนิ เลก็ ใช้มะนำวแทนกำรใช้นำ้ สม้ สำยชทู ส่ี ำ้ คญั ตอ้ งใส่ ถัว่ ฝักยำวหนั่ เฉยี งเปน็ ชินบำงๆ รวมรสแล้วออกเปรยี วหวำนจะเคม็ หรอื เผ็ดบ้ำงเพยี ง เลก็ นอ้ ย ถอื เป็นเมนอู ำหำรท่ไี มค่ วรพลำดเมอื่ เดนิ ทำงมำเยือนจังหวัดสุโขทยั อำหำรกำรกินของชำวสโุ ขทัย ถอื ไดว้ ำ่ มีควำมเปน็ เอกลักษณโ์ ดดเด่น ทัง วตั ถดุ ิบทใ่ี ชน้ ันมีควำมสดสะอำดมีคณุ คำ่ ทำงโภชนำกำร รูปแบบกำรผลติ พิถพี ิถนั ใส่ใจใน
ทกุ ขนั ตอนกำรปรงุ รสอรอ่ ยจนสง่ กลนิ่ หอมหวนชวนรบั ประทำน นับเป้นเสน่ห์อีกอยำ่ ง หนึ่งของวิถีชีวติ ของชำวสโุ ขทยั ...................................................... ขนมผงิ / ทองมว้ น อ้ำเภอกงไกรลำสตงั อย่ทู ำงด้ำนทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ของจังหวดั สุโขทยั อยใู่ น เขตพนื ทร่ี ำบลมุ่ นำ้ ยมตอนล่ำงทมี่ คี วำมคดเคยี วของสำยน้ำเป็นธรรมชำติน่ำชื่นชม วิถี ชีวติ ของผูค้ นในบรเิ วณนีแบง่ เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มคนไทยเชอื สำยจีน (แต้จ๋ิว และ ไหหล้ำ) และลำวโซ่งทเ่ี ขำ้ มำคำ้ ขำย มกี ำรกอ่ สรำ้ งท่ำเรือขนส่งสินคำ้ ปจั จุบนั ยังคง ด้ำเนินไปด้วยควำมสุขสงบบนควำมเรยี บง่ำย ตำมแบบฉบับของชนบทไทยหำปลำกำร ท้ำปลำแดดเดียว ปรำรำ้ ปลำจ่อม จนเป็นโรงงำนผลิตปลำร้ำแหง่ ใหญใ่ นจงั หวดั สโุ ขทัย ดว้ ยจดุ เดน่ ดังกล่ำวปจั จบุ นั ชมุ ชนแหง่ นไี ด้ทำ้ กำรเปดิ ให้นักท่องเที่ยวไดถ้ วลิ หำ บรรยำกำศสงบเรยี บงำ่ ย โดย เทศบำลต้ำบลกงไกรลำศได้เปดิ ตลำด “ริมยม 2437” ให้ นักท่องเท่ียวได้สมั ผสั อำหำรหลำกชนดิ ทงั อำหำรพืนบ้ำนโบรำณ อำหำรทอ้ งถิน่ ในทกุ วัน เสำร์แรกของเดือน เสน่หอ์ กี อย่ำงหน่งึ ของชุมชนแหง่ นที ีส่ ่งตอ่ อำชพี ทส่ี บื ทอดกนั มำเป็น อุตสำหกรรมเล็กๆ และสรำ้ งชอ่ื เสยี งให้กับคนกงไกรลำส คอื กำรทำ้ ขนมทองมว้ น ทอง พกั สง่ ขำยไปยังแหล่งทอ่ งเท่ยี วต่ำงๆ ในละแวกใกล้เคยี ง โดยเฉพำะขนมผงิ ทผ่ี ลิตสง่ ขำยกันแทบไมพ่ อขำยในแตล่ ะวนั ดว้ ยควำมอรอ่ ยแบบโบรำณ ใช้เตำถำ่ นในกำรผลิต ทำ้ ให้มกี ลนิ่ และรสชำตหิ วำน หอม กรอบ อร่อยแบบเดิมตำมสูตรโบรำณ ซึ่งมีอย่ดู ้วยกัน หลำยรำ้ น เชน่ ร้ำนทองมว้ นแมส่ งวน รำ้ นปำ้ มำลี ร้ำนแม่ต๋มิ (ขนมผงิ แง้มประตขู ำย) ฯลฯ ........................................................... ขา้ วเปิ๊ป สโุ ขทยั “ข้ำวเปิ๊ป” เช่ือวำ่ หลำยท่ำนคงไม่คนุ้ กบั ชอ่ื นีนัก เพรำะขำ้ วเป๊ปิ เป็น เมนูอำหำรทมี่ ีกำรผลติ และจ้ำหนำ่ ยแบบดังเดมิ อยแู่ ค่เพียงในพืนท่บี ้ำนนำตน้ จั่น อำ้ เภอ ศรีสชั นำลยั จงั หวดั สโุ ขทัย เทำ่ นัน ขำ้ วเปปิ๊ ก็คอื อำหำรทม่ี ีลักษณะคล้ำยกับก๋วยเตีย๋ ว มกี รรมวิธีกำรผลติ เส้นคล้ำยคลงึ กบั ขำ้ วเกรยี บปำกหมอ้ โดยใชผ้ ำ้ ขำวบำงขึงตึงบนปำก หมอ้ ดนิ ภำยในหมอ้ มนี ำ้ ตม้ จนเดอื ด จำกนนั ละเลงแป้งขำ้ วเจำ้ ลงบนปำกหมอ้ ไอนำ้ เดือดจะท้ำให้แปง้ สกุ อยำ่ งรวดเร็ว ขันตอ่ ไปใสว่ นุ้ เส้น ผักบุ้ง กะหลำ่้ ปลี ถัว่ งอก หรอื ผัก อื่น ตำมฤดูกำลลงไปบนผ่ำนแปง้ ปิดฝำอกี ครงั กะเวลำจนผกั สกุ เมอ่ื ได้ท่ี ใช้ตะหลิวพลิก
พบั แปง้ ไปมำเพอ่ื ห่อหุ้มไส้ผกั ไว้ขำ้ งใน เสร็จแลว้ ตกั ใสช่ ำม ตำมดว้ ยไขไ่ กท่ ี่ใชว้ ิธีน่งึ บน ปำกหมอ้ ดนิ จนสกุ ใส่รวมลงในถ้วยพรอ้ มกบั แป้งท่ีหอ่ ผกั วำงหน้ำด้วยหมแู ดงหมูสับ รำดน้ำซุป กระดูกหมูรอ้ นๆ โรยกำกหมู และผกั ชี เปน็ ขำ้ วเปิ๊ปหน้ำตำดี รสชำติอรอ่ ย สว่ นทีม่ ำของค้ำวำ่ “เปิ๊ป” นันเปน็ ภำษำทอ้ งถนิ่ หมำยถงึ กำรพบั ไปมำนน่ั เอง ผลิตภัณฑท์ ้องถนิ่ ผ้าหมักโคลน บ้านนาตน้ จ่ัน นอกจำกอำชีพเกษตรกรรมแบบโบรำณทบี่ ง่ บอกถงึ วถิ ีชวี ิตไทยในจงั หวัด สุโขทยั แลว้ ณ ดนิ แดน รงุ่ อรณุ แห่งควำมสุขนยี งั มหี ลำยส่ิงอย่ำงท่ีบง่ บอกถึงควำมเปน็ เอกลกั ษณ์งดงำมนำ่ อศั จรรยอ์ ยำ่ งเชน่ กำรผลติ ผำ้ ฝำ้ ยหมกั โคลน ทบ่ี ้ำนนำต้นจ่นั ตำ้ บล บำ้ นตกึ อำ้ เภอศรีสชั นำลยั แมว้ ่ำผำ้ ฝำ้ ยทอมอื กรรมวธิ ผี ลติ แบบโบรำณจะมีกำรสรำ้ งสรรคผ์ ลงำนอยใู่ น หลำยพืนท่ี ซง่ึ แตล่ ะแหง่ กจ็ ะมเี อกลกั ษณ์แตกตำ่ งกนั ไป แตผ่ ้ำฝำ้ ยทอมอื ท่บี ำ้ นนำต้นจน่ั มจี ดุ เด่นเหนอื กวำ่ ตรงท่คี วำมนุ่นละมุนของเนอื ผ้ำ เมอื่ นำ้ มำสวมใส่จะรูส้ กึ เย็นสบำยใน ยำมรอ้ น และอบอ่นุ กำยในเวลำหนำว เคลบ็ ลบั ควำมนมุ่ ของเนอื ผำ้ ถูกคน้ พบโดยบังเอญิ จำกวิถชี วี ติ ของชำวนำต้นจน่ั ทนี่ ุง่ ซนิ่ เดนิ ผ่ำนปลักโคลนออกไร่นำ เม่อื ชำยผำ้ ซิน่ เป้ือนโคลน กลบั มำถึงเรือนจึงซัก ผำ้ อันเปน็ ทรี่ กั ส่วนทเี่ ปื้อนกลับสมั ผสั นุ่มทงั มีสลี ะมนุ ตำกวำ่ จึงเปน็ ทีม่ ำของผำ้ หมกั โคลน ลวดลำยบนผนื ผ้ำนำ่ อัศจรรย์ ถูกรังสรรค์กล่นั กรองจำกมมุ มองในธรรมชำติ รอบตวั ดอกพิกุล ดอกสำรภี ดอกแก้ว ดอกหมอน ผ่ำนขันตอนพนิ จิ สะกดิ เส้นใยใส่ ใจควำมละเอยี ด ด้วยวริ ยิ ะ มำนะ พยำยำมออกมำเปน้ ผ้ำทอผืนงำมในนำม “ผำ้ ทอบำ้ น นำตน้ จ่ัน” จังหวัดสุโขทัย ............................................................. ผา้ ทอ หาดเสยี้ ว หำกย้อนกลบั ไปประมำณรอ้ ยปี ทต่ี ำ้ บลหำดเสียว อำ้ เภอศรสี ชั นำลยั จังหวัด สุโขทยั นันคอื แดนดินถน่ิ พำ้ นักของชำวลำวพวน ทถี่ ูกกวำดต้อนมำจำกเมอื งพวนซง่ึ อยู่ ทำงตอนใต้ของ เมอื งหลวงพระบำง ประเทศลำว วันเวลำเนนิ่ นำนผำ่ นพน้ จำกชำวลำว
พวนไดก้ ลำยมำเปน็ ไทยพวน ที่ยงั คงรักษำวฒั นธรรมประเพณีดังเดิมไวไ้ ดอ้ ยำ่ งดี โดยเฉพำะกำรทอผ้ำทม่ี ชี ่ือเสยี งโดง่ ดังในนำมว่ำ “ผ้ำทอหำดเสียว” กำรทอผ้ำของบ้ำนหำดเสยี วเป็นวฒั นธรรมสือทอดต่อกนั มำจำกรุน่ ส่รู นุ่ หญิง สำวชำวไทยพวน ก่อนออกเรือนจ้ำเป็นตอ้ งทอผำ้ ให้เป็น โดยเฉพำะกำรทอผำ้ ซนิ่ ตนี จก ซึ่งถือว่ำเปน็ ผำ้ ทอทีย่ ำกทส่ี ุด เพรำะผำ้ ซน่ิ ตีนจกเป็นผำ้ สำ้ คญั ใช้ส้ำหรบั นุ่งไปในงำนพิธี ต่ำงๆ นอกจำกนียังมีกำรทอผ้ำชนดิ อ่นื ทจ่ี ้ำเป็นต้องใช้ในชวี ติ ประจ้ำวัน เชน่ ผำ้ ห่ม ผ้ำขำวมำ้ ผำ้ เชด็ หน้ำ ยำ่ ม เป็นต้น ผำ้ ซน่ิ หำดเสยี วมีอยู่ด้วยกนั 2 ชนดิ คอื ผำ้ ซน่ิ ธรรมดำ ท่ใี ชใ้ สอ่ ยูก่ บั บ้ำนหรอื ท้ำงำน และผ้ำซน่ิ ตนี จก ท่ใี ชใ้ ส่ในโอกำสพเิ ศษ เช่น งำนบญุ งำนเทศกำลสำ้ คญั “ตนี จก” คือสว่ นล่ำงของผนื ผ้ำ มลี วดลำยพิเศษ สว่ นใหญเ่ ปน็ รูปทรง เรขำคณติ ควำ้่ หน้ำลำยลง ตั่นเปน็ เชงิ ชนั สลับสี แดง ส้ม น้ำตำลสอดไสเ้ หลอื ง เขยี ว ชมพู หรือ ครำม รงั สรรค์เปน็ ผลงำนอนั วิจติ ร บง่ บอกถงึ ควำมละเอียดละออของกำร ด้ำเนินวิถชี ีวติ ชำวไทยพวนชวนให้พิศมัยนำ่ ไปชืน่ ชม และยงั เห็นถึงวิถีชีวิตของชำวไทย พวนท่ีสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น .............................................. ทาทอง-เงนิ โบราณ ทองสโุ ขทยั หรอื ท่ีท่วั ไปเรยี กกนั วำ่ “ทองโบรำณ” นันก็คือ ทองด้ำทที่ ำ้ ลวดลำยตำมแบบทองโบรำณ โดยมีกำรใชท้ องคำ้ ที่มเี ปอรเ์ ซ็นตส์ ูงถึง 99.99% มำผลิต เปน็ ชนิ งำน เปน็ งำนหตั ถกรรมอนั วจิ ติ รโดยอำศยั เครอื่ งมอื ทผี่ ลติ ขนึ มำใชเ้ องอยำ่ งง่ำยซึง่ งำ่ ยส่วนใหญเ่ ปน็ คนในทอ้ งถ่ินอำ้ เภอศรสี ชั นำลัย ควำมเป็นมำของทองสุโขทยั นนั เล่ำกนั ว่ำ ในสมยั กอ่ นมชี ำ่ งชำวจีนสองคนมำ จำกกรุงเทพฯ ชอ่ื พ้ง กบั ขุย่ ลงเรอื มำเพ่ือหำพนื ที่ตังหลกั ฐำนท้ำมำหำกิน โดยใช้ฝมี ือ กำรทำ้ ทองท้ำมำหำเลียงชีพ ในทสี่ ุดกต็ กลงใจ ตงั หลักปกั ฐำนอยู่ทอ่ี ำ้ เภอศรสี ัชนำลยั จงั หวัดสโุ ขทัย โดยมี นำยเชือ วงศใ์ หญ่ (เจำ้ ของร้ำนทองสมสมยั ) เป็นผู้ใหค้ วำม ชว่ ยเหลอื เกอื กลู ตอ่ มำนำยเชอื ไดร้ ับกำรถำ่ ยทอดวิชำช่ำงทองจำกชำ่ งชำวจนี สองทำ่ น นนั จนกระท่ังสำมำรถทำ้ ไดด้ ว้ ยตนเองและได้รบั ควำมสนใจจำกลกู คำ้ เพิ่มมำกขึนเรอื่ ยๆ เพรำะทองสโุ ขทัยเปน็ งำนหัตถกรรมท่ใี ชม้ ือทำ้ ขนึ มำล้วนๆ ต้องใช้เวลำในกำรผลติ นำน อกี ทังยงั ใชท้ องค้ำคณุ ภำพ 99.99% เพื่อสรำ้ งสรรคผ์ ลงำนคุณภำพดีใหแ้ ก่ลูกคำ้ ทนี่ ยิ ม สะสมของเก่ำ และชน่ื ชอบในงำนศลิ ปะ
เมอื่ ทองสโุ ขทยั มชี อ่ื เสยี งเป็นทรี่ จู้ กั มำกขนึ จำกเดมิ ทีจ่ ้ำกัดอยใู่ นวงแคบเฉพำะ ลูกค้ำทม่ี รี ำยไดส้ ูง กไ็ ดข้ ยำยวงกวำ้ งออกไป มีเอกลกั ษณ์โดดเดน่ เฉพำะตวั หลำกหลำย รูปแบบ แตล่ ะชินลว้ นถกู บรรจงประดิดประดอยจำกฝีมอื ชำ่ งในทอ้ งถนิ่ จนสำมำรถพูด ได้ว่ำ ทองสโุ ขทยั ทกุ ชินงำนเปน็ วิญญำณของชำวศรีสัชนำลัยโดยแทจ้ รงิ จำกชำ่ งรุน่ แรก ถำ่ ยทอดสคู่ นรุน่ หลัง เปน็ สุดยอดผลงำนประณีตศลิ ป์ และถอื เปน็ มรดกอันทรงคณุ ค่ำ ของชำวสโุ ขทยั ................................................ สังคโลก เครอ่ื งปนั้ ดินเผา จำกอดตี มำจนถงึ ปจั จบุ ัน “เครอื่ งสังคโลก” ถอื วำ่ เป็นวฒั นธรรมเชงิ หัตถศลิ ป์ ท่ีมกี ำรสบื ทอดตังแต่สมยั สุโขทัยเปน็ รำชธำนี ใหเ้ รำผเู้ ป็นอนชุ นคนรุน่ หลังไดศ้ ึกษำ คน้ ควำ้ และภำคภูมิใจในควำมเปน็ วถิ ไี ทยของบรรพบุรุษ จนกระท่งั ในปจั จุบัน “สุโขทัย” ยังคงเปน็ แหล่งทอ่ งเทย่ี วเชงิ ประวัตศิ ำสตรแ์ ละวัฒนธรรมทย่ี งั ทรงคณุ คำ่ บง่ บอกถงึ อดตี กำลควำมรงุ่ เรอื ง ซ่ึงถำ่ ยทอดผ่ำนโบรำณสถำนโบรำณวัตถุ อำทิ เครอ่ื งสังค โลก และเครือ่ งปน้ั ดนิ เผำ ซึง่ เป็นฝมี อื จำกภูมิปญั ญำของชำวสโุ ขทยั “เครอ่ื งสังคโลก” คอื เครอ่ื งป้นั ดินเผำทผ่ี ลิตขนึ ในรปู แบบภำชนะเครอ่ื งใช้ เช่น ถว้ ย ชำม จำน ไหดิน โอ่งน้ำ ขวด กระปุก ป้ำนนำ้ ชำ กำน้ำรอ้ น ช้อน และ เครอื่ งประดับอำคำร ตลอดจน ตกุ๊ ตำรูปคน รปู สัตว์ เป็นตน้ ซ่ึงในกระบวนกำรผลิต เครื่องสังคโลกนัน จะมกี ำรเขียนลำย และเคลอื บนำ้ ยำ ซึ่งเปน็ ลักษณะของทำงสโุ ขทยั จำกนันจึงนำ้ ไปเผำใน “เตำทเุ รยี ง” ซง่ึ ปรำกฎหลักฐำนใหเ้ หน็ ได้ในปัจจุบนั เชน่ ท่ี อ้ำเภอเมอื งสโุ ขทยั และทีอ่ ้ำเภอศรีสัชนำลัย ลวดลำยท่ปี รำกฎในเครือ่ งสังคโลกสว่ นใหญเ่ ป็นลวดลำยเฉพำะ ทพี่ บมำกใน ถว้ นชำม คอื รปู ปลำกงจกั ร ดอกไม้ โดยเฉพำะรูป “ปลำกำ” ซ่ึงเปน็ ปลำน้ำจดื ชนิดหนึ่ง รูปรำ่ งคลำ้ ยปลำตะเพียนมอี ยู่ 2 ชนดิ คอื ปลำกำดำ้ และปลำกำทรงเครื่องในอดตี จะ พบมำกในแมน่ ้ำยม จำกควำมงดงำมโดดเดน่ ของเครอื่ งสังคโลกสโุ ขทยั ทำ้ ใหก้ ำรผลิตเคร่อื งสังค โลกขยำยสภำพ จำกฝมี อื ภมู ปิ ัญญำเป็นกจิ กำรธุรกจิ ขนำดยอ่ ม รวมกลมุ่ เป็นชุมชนสรำ้ ง รำยได้ให้กบั ชำวบ้ำน และถอื เป็นมรดกทำงวฒั นธรรมบ่งบอกถึงวิถีชีวติ ไทยวถิ ีของชำว สุโขทยั สบื ทอดต่อกนั มำจำกบรรพชน เป็นเวลำกวำ่ 700 ปี นับเปน็ อกี หนึ่งในควำม ภำคภมู ิใจของชำว จังหวดั สุโขทยั
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: