โครงงาน คอื อะไร โครงงานเป็นการศกึ ษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั ส่ิงใดสิง่ หนึ่ง หรือหลายๆสง่ิ ท่ีอยากรูค้ าตอบให้ ลกึ ซงึ้ หรือเรยี นรใู้ นเร่อื งนน้ั ๆใหม้ ากขนึ้ โดยใชก้ ระบวนการ วิธีการที่ศกึ ษาอย่างมีระบบ เป็น ขนั้ ตอน มกี ารวางแผนในการศกึ ษาอย่างละเอยี ด ปฏบิ ตั ิงานตามแผนท่ีวางไว้ จนไดข้ อ้ สรุปหรอื ผลสรุปที่เป็นคาตอบในเร่อื งนน้ั ๆ การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงาน คอื การจัดประสบการณใ์ นการ ปฏบิ ัตงิ านให้แกเ่ ดก็ เหมือนกบั การทางานในชวี ติ จริง เพอื่ ใหเ้ ดก็ มีประสบการณ์ ตรง เดก็ จะได้เรียนรู้วธิ กี ารแก้ปัญหารู้จกั รู้จกั การทางานอยา่ งมรี ะบบ รู้จกั การ วางแผนในการทางาน ฝึ กการคดิ วเิ คราะหแ์ ละเกดิ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง โครงงานจดั เป็นการเรยี นรูร้ ูปแบบหนึง่ ท่ีทาใหผ้ เู้ รยี นรเู้ รียนรูด้ ว้ ยตนเอง โดยใช้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งเป็นขน้ั ตอนและใชค้ วามรูท้ ี่ตนเองไดม้ าบรู ณาการ ประเภทโครงงาน แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. โครงงานตามสาระการเรยี นรู้ เป็นการใชบ้ รู ณาการรว่ มกบั การเรียนรู้ ทกั ษะและ เป็นพนื้ ฐานในการกาหนดโครงงานและปฏิบตั ิ ๒. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผเู้ รยี นกาหนดขน้ั ตอน ความถนดั ความ สนใจ ความตอ้ งการ โดยใชท้ กั ษะความรู้ จากกลมุ่ สาระการเรียนรูต้ า่ งๆมาบรู ณาการเป็น โครงงานและปฏบิ ตั ิ สามารถแบ่งได้ ๔ รูปแบบ ตามวตั ถปุ ระสงค์ 1. โครงงานทีเ่ ป็นการสารวจ รวบรวมขอ้ มลู 2. โครงงานทเี่ ป็นการคน้ ควา้ ทดลอง 3. โครงงานทเี่ ป็นการศกึ ษาทฤษฎี หลกั การ หรือแนวคดิ ใหมๆ่ 4. โครงงานทเี่ ป็ นการประดษิ ฐ์ คดิ คน้ (คอื สิ่งทน่ี ักเรยี นจะต้องทา) โครงงานทเี่ ป็ นการสารวจ รวบรวมขอ้ มลู โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการรวบรวมขอ้ มลู เร่อื งใดเรื่องหนงึ่ แลว้ นาขอ้ มลู
นน้ั มาจาแนกเป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบที่เหมาะสม เชน่ แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบบนั ทึก เป็นตน้ โครงงานทเ่ี ป็ นการค้นคว้า ทดลอง เป็นโครงงานที่มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อการศกึ ษาเรื่องใดเรอื่ งหนงึ่ โดยเฉพาะ โดยออกแบบใน รูปผลการทดลอง เพื่อศกึ ษาตวั แปรหนึง่ จะมีผลตอ่ ตวั แปรที่ตอ้ งการศกึ ษาอยา่ งไร ดว้ ยการ ควบคมุ ตวั แปร โครงงานทเ่ี ป็ นการศกึ ษาทฤษฎี หลักการ หรอื แนวคดิ ใหม่ๆ เป็นโครงงานท่ีมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือเสนอความรู้ หรือหลกั การใหมๆ่ เกี่ยวกบั เรือ่ งใดเรื่อง หนึง่ ทย่ี งั ไมม่ ีใครเคยคิดหรอื ขดั แยง้ หรอื ขยายจากของเดมิ ท่ีมีอยู่ ซึ่งตอ้ งผา่ นการพิสจู นอ์ ยา่ งมี หลกั การก่อน โครงงานท่เี ป็นการประดิษฐ์ คิดคน้ เป็นโครงงานท่ีมวี ตั ถปุ ระสงค์ คือ การนาความรูท้ ฤษฎี หลกั การ มาประยกุ ตใ์ ช้ โดย ประดษิ ฐเ์ ป็นเคร่อื งมือ เคร่ืองใชต้ า่ งๆ เพ่ือประโยชนต์ า่ งๆ หรืออาจเป็นการประดิษฐ์ขนึ้ มาใหม่ (research and development)หรอื ปรบั ปรุงของเดิมใหด้ (ี copy and development)ขนึ้ ก็ได้ ขนั้ ตอนการทาโครงงาน ขั้นตอนท่ี ๑ การคดิ และเลือกหัวเรอ่ื ง เป็นการหาหวั ขอ้ ในการทดลอง ในการท่ีจะอยากรูอ้ ยากเหน็ ขนั้ ตอนที่ ๒ การศกึ ษาเอกสารทเี่ กยี่ วข้อง รวมไปถึงการขอคาปรกึ ษา หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆจากผทู้ รงคณุ วฒุ ิท่ี เก่ียวขอ้ ง ขนั้ ตอนที่ ๓ การเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน โดยท่วั ไปเคา้ โครงของโครงงานจะมหี วั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปนี้
หวั ข้อ/รายการ รายละเอยี ดทต่ี ้องระบุ 1.ช่ือโครงงาน 1. ทาอะไร กบั ใคร เพ่อื อะไร 2.ช่ือผทู้ าโครงงาน 2. ผรู้ ับผดิ ชอบโครงงานน้ี 3.ชื่อท่ีปรึกษาโครงงาน 3. ผทู้ รงคุณวฒุ ิต่างๆ 4.ระยะเวลาดาเนินการ 4. ระยะเวลาดาเนินงานโครงงานต้งั แตต่ น้ จนจบ 5.หลกั การและเหตุผล 5. เหตุผลและความคาดหวงั 6.จุดหมาย/วตั ถปุ ระสงค์ 6. สิ่งที่ตอ้ งการใหเ้ กิดเมอื่ ส้ินสุดการทาโครงงาน ์์7.สมมติฐานของการศึกษาโครงงาน 7. สิ่งที่คาดวา่ จะเกิดเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน 8.ข้นั ตอนการดาเนินงาน 8. ข้นั ตอนการทางาน เคร่ืองมอื วสั ดุอุปกรณ์ สถานท่ี 9.ปฏิบตั ิโครงงาน ์์ี ่9. วนั เวลา และกิจกรรมดาเนินงานต่างๆต้งั แต่ตน้ จน 10. ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ เสร็จ 11. บรรณานุกรม 10. สภาพของผลที่ตอ้ งการใหเ้ กิดท้งั ที่เป็นผลผลติ กระบวนการ และผลกระทบ 11. ชื่อเอกสารขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากแหลง่ ต่างๆ ข้ันตอนที่ ๔ การปฏบิ ัตโิ ครงงาน เป็นการดาเนนิ งานตามแผน ท่ีไดก้ าหนดไวใ้ น เคา้ โครงของโครงงาน และตอ้ งมกี ารจดบนั ทึกขอ้ มลู ตา่ งๆไดอ้ ยา่ งละเอยี ด และตอ้ งจดั ทา อย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อที่จะไดใ้ ชเ้ ป็นขอ้ มลู ตอ่ ไป ขัน้ ตอนที่ ๕ การเขยี นรายงาน ควรใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจง่าย กระชบั ชดั เจน และ ครอบคลมุ ประเดน็ สาคญั ของโครงงาน โดยสามารถเขยี นใหอ้ ยใู่ นรปู ตา่ งๆ เช่น การสรุป รายงานผล ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยหวั ขอ้ ตา่ งๆ เชน่ บทคดั ย่อ บทนา เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง เป็นตน้ ขัน้ ตอนที่ ๖ การแสดงผล การแสดงผลงาน เป็นการนาเสนอผลงาน สามารถจดั ไดห้ ลายรูปแบบ เชน่ การจดั นิทรรศการ หรือทาเป็นสงิ่ ตีพมิ พ์ การสอนแบบเพ่ือนสอนเพื่อน ตามแตค่ วามเหมาะสมของโครงงาน
ตัวอยา่ งเค้าโครงงาน(อาจมกี ี่ปรบั เปล่ยี นรูปแบบแตข่ า้ งตน้ ใหด้ าเนินการตามขน้ั ตอนน)ี้ ช่ือโครงงาน ..................................................................................................... คณะทางาน ..................................................................................................... อาจารยท์ ่ีปรกึ ษา ................................................................................................. 1) แนวคิดที่มาและความสาคญั ที่ตอ้ งการศกึ ษา ..................................................... ..........2) หลกั การทฤษฎี หรือเนือ้ หาทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ( วา่ มีใครทาอะไรไว้ บา้ ง)............................... ..........3) จดุ มงุ่ หมายของการทดลอง ........................................................................ ..........4) สมมตุ ิฐานท่ีกาหนด .............................................................................. ..........5). วิธีดาเนินการทดลอง .............................................................................. ..........6) งบประมาณท่ีใชใ้ นการทดลอง .................................................................. ..........7. ประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ บั .................................................................................. 8.) ช่ือเอกสารอา้ งอิง ................................................................................... ตัวอย่างโครงงานการศกึ ษาเรอ่ื งการบานของดอกบัว . 1. แนวคดิ ทมี่ า และความสาคัญทต่ี ้องศกึ ษา ..............การกาหนดปัญหาในการจดั ทาโครงงานเกิดจากการสงั เกตที่นาไปสกู่ ารแกป้ ัญหา เชน้ สงั เกตวา่ ดอกบวั จะบานตอนเชา้ ประมาณ 14.00 น. ดอกบวั จะหบุ ( การสงั เกต ) ทาไม จึงเป็นเชน่ นนั้ ( ปัญหา ) ..........2. หลักการ ทฤษฎี เนอื้ หาทเี่ กย่ี วขอ้ ง ( ว่ามใี ครทาอะไรไวบ้ ้าง ) ...............ศกึ ษาคน้ ควา้ เอกสารความรู้ บทความ ทฤษฎตี า่ งๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง รวมทง้ั การ สมั ภาษณ์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นเร่อื งทเี่ กี่ยวขอ้ ง
..........3. จดุ มุ่งหมายของการศกึ ษาค้นควา้ และการทดลอง ...............เป็นการตง้ั ขอ้ คดิ เพ่ือที่จะหาคาตอบท่เี กิดจากปัญหา ( การบานและการหบุ ของ ดอกบวั ในเวลาท่ีแตกตา่ งกนั ) วา่ เกิดจากอะไรโดยคดิ คาตอบไวห้ ลายๆทางเช่นคดิ วา่ * ดอกบวั บานเชา้ เน่ืองจากอณุ หภมู ิตอนเชา้ เหมาะสมตอ่ การบานของดอกบวั * ดอกบวั บานตอนเชา้ เน่ืองจากความเขม้ ของแสงช่วงเชา้ นอ้ ยกวช่ ่วงบ่าย * ดอกบวั ตอนเชา้ เนื่องจากเป็นพฤตกิ รรมอนั เนื่องมาจากพนั ธกุ รรมของดอกบวั ซ่งึ มีมาตง้ั แตก่ าเนิด จากตงั้ สมมตุ ฐิ านไว้ 3 ประเดน็ นกั เรยี น จะมกี ารตรวจสอบสมมตุ ิฐานวา่ สมมตุ ิฐานใดนา่ จะเป็นไปได้ กเ็ ลือกมา 1 สมมตุ ฐิ าน แตถ่ า้ จะมี การพิสจู นว์ า่ สมมตุ ฐิ านใดน่าจะเป็นไปไดม้ ากหรอื เป็นจรงิ ก็ตอ้ งดาเนนิ การทดลองคน้ ควา้ ตอ่ ไป( ถามกบั ตอบของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ) ..........4. วธิ ดี าเนนิ การทดลอง ...............วิธีการดาเนนิ การทดลองเพ่ือนาไปสกู่ ารตรวจสอบสมมตุ ฐิ านวา่ สง่ิ ที่กาหนดไวเ้ ป็น จรงิ หรือไม่ เชน่ กาหนดสมมตุ ฐิ านไวว้ า่ ดอกบวั บานชว่ งเชา้ น่าจะเกิดจากการเหมาะสมของความ เขม้ ของแสง นกั เรยี นตอ้ งดาเนนิ การทดลองตอ่ ไปนี้ ..........1) ออกแบบวิธีการทดลอง โดยกาหนดตวั แปรตา่ งๆ มี 3 ประเภท คือ ตัวแปรต้น คอื ส่ิงที่เป็นสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กิดผลตา่ งๆ หรือส่ิงที่เราตอ้ งการทดลองวา่ เป็นสาเหตทุ ี่ทา ใหเ้ กิดผลเช่นนนั้ จริงหรอื ไม่ จากสมมตุ ฐิ านท่ีกาหนด ตวั แปรนีค้ ือ ความเขม้ ของแสงน่นั เอง ตัวแปรตาม คอื ส่ิงที่เป็นผล เน่ืองจากตวั แปรตน้ ในทน่ี ีค้ อื การบานของดอกบวั ตัวแปรควบคมุ คือ สิง่ อื่น ๆ ท่ีนอกเหนือจากตวั แปรตน้ ท่มี ผี ลตอ่ การทดลองเราไมต่ อ้ งการศกึ ษา จึงตอ้ งหาวธิ ีการควบคมุ ไว้ เพ่ือไมใ่ หม้ ีขอ้ ขดั แยง้ ของการทดลอง เช่น ชนิดของดอกบวั จานวนตน้ ที่ นามาทดลอง อณุ หภมู ติ า่ งๆ เป็นตน้ ..........2) จดั หาวสั ดอุ ปุ กรณท์ จ่ี ะใชท้ ดลอง โดยใหผ้ ทู้ ดลองกาหนดวา่ หากจะทดลองแลว้ จะใช้ วสั ดอุ ะไรบา้ ง เช่น ตน้ ของดอกบวั กลอ่ งกระดาษ โคมไฟทมี่ ีหลอดไฟกาลงั วตั ตต์ า่ งๆ กนั นามาใช้ ทดลอง ..........3) บนั ทกึ ขอ้ มลู โดยกาหนดเป็นตารางบนั ทกึ ผล และในตารางนนั้ จะบนั ทกึ อะไรบา้ ง เช่น บนั ทกึ ระยะเวลาท่ีเร่มิ บาน บนั ทกึ ความเขม้ ของแสงตา่ งๆ บนั ทึกสง่ิ ที่สงั เกตไดจ้ ากการทดลอง เป็นตน้ ..........4) กาหนดระยะเวลาการทดลอง วา่ จะทดลองในช่วงเวลาใดบา้ ง จะสงั เกตผลการ ทดลองอย่างไร เวลาใด และจะทาการทดลองใหเ้ สรจ็ สนิ้ ชว่ งเวลาใด และสรุปผลทดลองช่วงไหน ..........5) ลงมอื ทาการทดลอง นกั เรียนเร่ิมปฏิบตั ิทาการทดลอง ใหเ้ ป็นไปตามกาหนดเวลา ..........5. การสรุปผลการทดลอง ..........นาขอ้ มลู นน้ั มาวเิ คราะหค์ วามน่าจะเป็นไปไดว้ า่ ตรงกบั สมมตุ ฐิ านท่กี าหนดไวห้ รอื ไม่
จากนน้ั จงึ นามาจดั ทาเป็นรายงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อจะใหไ้ ดค้ วามสมบรู ณย์ ่ิงขนึ้ ..........ข้อจากัด ..........การจดั ทาโครงงานจะประสบความสาเร็จได้ มขี ้อจากัดดังนี้ ..........1. การจดั โครงงานตา่ งๆ ทง้ั ครูผสู้ อนและเดก็ จะตอ้ งมีความรูค้ วามเขา้ ใจในเรื่องทท่ี า คอ่ นขา้ งมาก ตอ้ งมกี ารศกึ ษาคน้ คว้ าเอกสาร ความรูต้ า่ งๆ เพื่อใชเ้ ป็นขอ้ มลู สนบั สนนุ ระหวา่ งทา การทดลอง ..........2. เรอื่ งที่ทาตอ้ งเป็นสง่ิ ท่ีใกลต้ วั ผลท่ีไดค้ วรเกิดประโยชนแ์ ก่ตวั นกั เรยี นหรอื บคุ คลใน ทอ้ งถ่ิน ..........3. เรื่องที่ทาตอ้ งเหมาะสมกบั วยั ของเดก็ เดก็ สามารถทดลองได้ ..........4. การออกแบบทดลองจะตอ้ งครอบคลมุ จดุ หมายที่กาหนดไว้ ..........5.ระหวา่ งการทาโครงงานจะตอ้ งมกี ารแกป้ ัญหาเดก็ จะตอ้ งมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเรอ่ื ง ของกระบวนการแกป้ ัญหาและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสอนตามหลกั การสอนแบบโครงการ การสอนแบบโครงการ หมายถึง การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทใ่ี ห้นักเรียนศึกษาใน เรื่องใดเรือ่ งหน่งึ อย่างล่มุ ลึก ศกึ ษาลงไปในรายละเอยี ดของเรื่องน้ันๆ จนพบคาตอบท่ตี ้องการ เร่ืองทน่ี ักเรียนศกึ ษาน้นั เป็นเร่อื งทน่ี ักเรยี นเป็นผ้ตู ดั สนิ ใจเลือกเองตามความสนใจของตน ประเดน็ ทศ่ี ึกษากเ็ ป็นประเดน็ ท่นี ักเรียนต้งั คาถามข้นึ มาเอง การศึกษาจะเป็นการศึกษาในลักษณะ ของการให้นักเรียนได้มีประสบการณต์ รงกบั เร่อื งท่ศี ึกษาน้ัน ในการศึกษาจะใช้ระยะเวลาท่ี ยาวนานอยา่ งเพียงพอทจ่ี ะให้นักเรยี นได้ค้นพบคาตอบ และคล่คี ลายความสงสยั ใคร่รู้ เม่ือ นักเรียนค้นพบคาตอบทเ่ี ป็นความร้ทู ต่ี ้องการแล้วจะนาความร้นู ้ันมานาเสนอในรูปของงานท่ี นักเรียนเลือกเองอาจจะเป็นงานเขียน งานวาดภาพระบายสี การสร้างแบบจาลอง การเลน่ สมมุติ ละคร การทาหนังสอื หรือรปู แบบอน่ื ๆเพ่ือนาเสนอต่อเพื่อนๆและคนอน่ื ๆ อนั จะแสดงให้เหน็ ถงึ ความสาเรจ็ ของกระบวนการศึกษาของตน กระบวนการการเรียนการสอน การสอนแบบโครงการเป็นรปู แบบการเรียนการสอนทม่ี ีความยดื หยุ่นสงู มาก แต่กม็ ี ข้นั ตอนในการสอนทช่ี ัดเจน ตลอดโครงการหน่ึงใดๆท่นี ักเรยี นเลือกทาจะใช้เวลาในการทา โครงการ วันละ 50-70 นาที ตลอดโครงการบางทอี าจจะใช้เวลา 1 สปั ดาห์ หรอื 3 สปั ดาห์ หรือ 4 สปั ดาห์ หรอื 3 เดอื น ข้นึ อยู่กบั หัวข้อโครงการท่นี ักเรยี นเลือกและข้นึ อยู่กบั กจิ กรรมท่นี ักเรยี นเลือกปฏบิ ตั เิ พื่อค้นหาคาตอบและนาเสนอผลการศกึ ษาในคร้งั น้ัน ข้นั ตอนการ จัดกจิ กรรมการเรียนการสอนตามรปู แบบการสอนแบบโครงการมี 3 ข้นั ตอนใหญ่ๆ คอื
การวางแผนโครงการ เป็นการเลือกหัวข้อโครงการโดยครูและนักเรยี นร่วมกนั หัวข้อโครงการมาจากความสนใจ ของนักเรยี นเป็นหลัก แต่ครูกต็ ้องมีสว่ นในการแนะนาการเลอื กหัวข้อโครงการโดยครู พิจารณาเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อโครงการ ดงั น้ี 1. เป็นเรื่องท่มี ีอยู่จริงและเป็นไปได้ มคี ณุ ค่าต่อการเรียนร้ขู องนักเรยี น 2. เป็นเรื่องท่นี ักเรียนสนใจ 3. นักเรยี นพอมปี ระสบการณ์เกย่ี วกบั เร่อื งน้ันอยู่บ้าง 4. เป็นเรอ่ื งท่นี ักเรยี นมีโอกาสได้เรยี นร้จู ากประสบการณต์ รง 5. มแี หล่งทรัพยากรในการเรียนร้เู ก่ยี วกบั เร่อื งน้นั 6. เป็นเรอ่ื งทเ่ี ปิ ดโอกาสให้นักเรยี นร่วมมือกนั ในการทาโครงการ 7. เป็นเรื่องทเ่ี ปิ ดโอกาสนักเรียนได้สร้างส่ิงต่างๆและมโี อกาสเล่นสมมุติ 8. นักเรียนได้พัฒนาการครบถ้วนทกุ ด้านตามจุดม่งุ หมายของหลักสตู ร 9. เป็นเรอื่ งท่นี ักเรียนสามารถนาความร้แู ละทกั ษะท่ไี ด้ไปประยุกตใ์ ช้ในการทา กจิ กรรมอนื่ ๆ 10. เป็นเรื่องทผ่ี ู้ปกครองมีโอกาสเข้ามามสี ่วนร่วมในโครงการ 11.เป็นเร่อื งท่ไี ม่กว้างเกนิ ไป จนทาให้ไม่สามารถศึกษาลึกลงไปใน รายละเอยี ดได้ ข้นั ที่ 1เริม่ ตน้ โครงการ ข้นั น้ีเป็นการทบทวนความร้เู ดิมของนักเรยี นทม่ี ีเกย่ี วกบั หวั ข้อของ โครงการแล้วแลกเปล่ยี นประสบการณค์ วามร้นู ้นั แก่นักเรยี นคนอน่ื ๆ และเป็น การสร้างความสนใจใคร่ร้เู ก่ยี วกบั หัวข้อโครงการในรายละเอยี ดลกึ ลงไป ครูอภิปรายร่วมกบั นักเรียนเกย่ี วกบั หัวข้อโครงการและช่วยกระต้นุ ให้ นักเรียนนาเสนอความร้แู ละประ สบการณ์ เดมิ ของตน นักเรยี นแลกเปล่ยี นประสบการณ์ความร้เู ดมิ เก่ยี วกบั โครงการกบั เพื่อนๆโดยการอภิปราย และนาเสนอผ่านสอื่ ต่างๆ เช่นการวาดภาพระบายสี การทางานศิลปะอนื่ ๆ การเขยี น การทาแผนภูมิ ครูตรวจสอบและบนั ทกึ ความร้ปู ระสบการณ์ท่นี ักเรียนมอี ยู่เดมิ ครชู ่วยนักเรยี นต้งั คาถามเกย่ี วกบั หัวข้อของโครงการเพื่อทาการศกึ ษา อย่างลกึ และละเอยี ดต่อไป ครจู ดบนั ทกึ คาพดู คาถามของนักเรียนแล้วเลอื กนามาจัดแสดงใน ห้องเรยี นเพื่อชว่ ยให้นักเรียนได้ตรวจสอบประเดน็ คาถามทน่ี ักเรยี นต้องการ ศกึ ษา
ข้นั ที่ 2 พฒั นาโครงการ ในข้นั น้นี ักเรยี นจะได้ทางานภายใต้การดูแลแนะนาของครู เป็นท้งั การ ทางานเด่ยี ว งานกล่มุ เลก็ ๆของคนทม่ี ีความสนใจตรงกนั หรอื กล่มุ ใหญ่ งานทท่ี า เป็นการนาเสนอการเรียนร้ทู ่เี ป็นผลของการศึกษาหาคาตอบตามคาถามในข้นั ท่ี 1 โดยแสดงออกในรูปของการสร้างสง่ิ ต่างๆ งานศิลปะ การเล่นสมมุติ และเป็น ข้นั ท่นี ักเรยี นจะได้ออกไปศึกษาข้อเทจ็ จริงโดยการมปี ระสบการณ์ตรงกบั สง่ิ น้นั ๆ ครดู าเนนิ การให้นักเรยี นได้ออกไปศึกษาจากแหล่งความร้จู ริงๆ ให้มี โอกาสได้สมั ผัสกบั แหล่งความร้ทู เ่ี ป็นส่งิ ของ สถานท่กี ระบวนการหรือบุคคลด้วย ตนเอง ให้เกดิ ประสบการณต์ รง นักเรียนเข้าไปสารวจ สงั เกตและสมั ภาษณ์ อย่างใกล้ชิด ค้นหาคาตอบท่ตี ้องการ และต้งั ประเดน็ คาถามเกย่ี วกบั เร่ืองน้ันข้นึ ใหม่ให้ได้รายละเอยี ดลกึ ซ้งึ ย่ิงข้นึ ครูจัดเตรยี มแหล่งความร้ตู ่างๆสนับสนุน เชน่ หนังสอื ของจรงิ หุ่นจาลองเพื่อทน่ี ักเรียนจะได้ตรวจสอบความร้ขู องตน และครเู ตรยี มวัสดุ อปุ กรณต์ ่างๆสาหรับการออกไปแสวงหาความร้ใู ห้นักเรียน นักเรยี นนาความร้ใู หม่ทไ่ี ด้มานาเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้าง แบบจาลอง การวาดภาพระบายสี การทาแผนภูมิ การทาหนังสอื การเล่นสมมุติ ข้นั ที่ 3 รวบรวมสรปุ ข้นั น้ีครจู ัดเตรียมสถานะการณ์เพื่อรวบรวมผลการศกึ ษาตามโครงการ จัดนาเสนอแกค่ นอน่ื ๆ เช่น นักเรียนในช้นั เรยี นอน่ื ๆ บุคลากรในโรงเรียน ผู้บรหิ ารโรงเรียน ผู้ปกครอง ครูช่วยนักเรยี นเลือกและจัดเตรียมผลงานทจ่ี ะนาเสนอ นักเรียนประเมนิ ผลงานของตนเองและเลอื กผลงานทจ่ี ะนาเสนอ ครูแนะนาให้นักเรยี นนาความร้ใู หม่ทไ่ี ด้นาเสนอในรูปแบบต่างๆเชน่ งานศลิ ปะ การแสดงละคร เพลง แต่งเป็นนิทานหรอื ทาหนังสอื ครูอาจจะช่วยนักเรยี นต้งั ประเดน็ ความสนใจข้นึ ใหม่สาหรับโครงการ ต่อไป กจิ กรรมหลกั ของการสอนแบบโครงการ แม้ว่าการสอนแบบโครงการจะมีลักษณะยดื หยนุ่ สงู กจิ กรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ ข้นึ อยู่กบั ความสนใจของนักเรียน ครเู ป็นผู้คอยสงั เกตบนั ทกึ ความคดิ และคาถามตามความสนใจ ของนักเรียนแล้วจัดกจิ กรรมสนองตอบความต้องการเหล่าน้ันกต็ าม แต่กย็ ังมกี จิ กรรมหลกั ๆ ท่ใี ช้
ในทุกข้ันของการสอนในแบบน้ี กจิ กรรมหลักดังกล่าวเป็นกจิ กรรมทใ่ี ช้ในข้นั การสอนท้งั 3 ข้นั ตลอดโครงการ กจิ กรรมดังกล่าวคอื 1.การอภิปราย ในเดก็ เลก็ ๆระดบั ช้นั อนุบาลการอภิปรายในกล่มุ เลก็ ๆจะช่วย นักเรยี นให้ได้มีโอกาสสนทนากบั ครู ครูได้ตรวจสอบ บนั ทกึ ความร้แู ละความสนใจของ นักเรียน และเป็นการช่วยพัฒนาความคดิ ของนักเรียน เมอื่ นักเรยี นมีโอกาสได้สนทนากบั ครเู ก่ยี วกบั หวั ข้อของโครงการในกล่มุ เลก็ ๆก่อน จะเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถแสดง ความคดิ เหน็ ในการอภิปรายกล่มุ ใหญ่ได้ดยี ่งิ ข้นึ 2.การทศั นศึกษา ในทน่ี ้ีหมายถึงการทน่ี ักเรยี นได้มีโอกาสเรยี นร้จู ากประสบการณต์ รง ทกุ ๆอย่าง ไม่ได้หมายความถงึ การเดนิ ทางออกไปศึกษายงั สถานท่ตี ่างๆนอกโรงเรยี น เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง การได้พดู คุยสมั ภาษณ์บุคคลตา่ งๆไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือคนอน่ื ๆ การสารวจ สงั เกตส่งิ ต่างๆอย่างใกล้ชิดนอกห้องเรยี นในบริเวณ โรงเรียน หรือแม้กระท่งั การได้สงั เกตการทางานโครงการของเพื่อนร่วมช้นั อย่างใกล้ชดิ การทศั นศกึ ษาจะทาให้นักเรียนสร้างความร้แู ละเรยี นร้ดู ้วยตวั ของเขาเอง นักเรียนจะ เรยี นร้ไู ด้ดีเมอื่ เขามโี อกาส ได้เหน็ ได้ฟัง ได้สมั ผัส ได้ดมกล่นิ ชิมรส ส่งิ ทเ่ี ป็นจริงท่เี ขา สนใจ ในเดก็ เลก็ ๆ การทศั นศึกษาควรอยู่ในละแวกใกล้ๆโรงเรียน ไม่ควรต้องใช้เวลาใน การเดนิ ทางมากจนเกนิ ไป ซ่งึ ส่งิ น้จี ะเป็นข้อพึงพิจารณาของครูในการเลอื กหัวข้อของ โครงการด้วย 3.กิจกรรมการนาเสนอ เป็นกจิ กรรมท่เี ปิ ดโอกาสให้นักเรยี นได้นาเสนอความรู้ ท้งั ทเ่ี ป็น ความร้เู ดมิ ก่อนการเร่มิ โครงการ หรอื ความร้ทู ่ไี ด้จากการทาโครงการ ซ่งึ เป็นการ ย้อนกลับไปคิดและรวบรวมความร้แู ละความคดิ ท่เี ขามีอยอู่ นั จะนาไปสกู่ ารต้งั ข้อคาถามท่ี จะทาการค้นหาคาตอบต่อไป วิธกี ารท่จี ะนาเสนอในเดก็ เลก็ ๆจะออกมาในรปู ของการวาด ภาพระบายสี การเขยี นโดยการช่วยเหลอื ของครู การเล่นสมมตุ ิ การสร้างของจาลอง การ ทาแผนภมู ิ 4.กจิ กรรมการศึกษาคน้ ควา้ นักเรียนสามารถศกึ ษาค้นคว้าหาคาตอบของคาถามท่เี ขา สนใจได้จากแหล่งความร้หู ลากหลาย ไม่ว่าจะจากบุคคล สง่ิ ของ สถานท่ี หรอื หนังสอื ด้วยการสมั ภาษณ์ หรือสงั เกตอย่างใกล้ชิด การสมั ผสั จับต้อง การบนั ทกึ รวบรวม 5.การจดั แสดง เป็นงานนาผลงานของนักเรียนทเ่ี กดิ ข้นึ ในกระบวนการของโครงการ ต้งั แต่ข้นั ท่ี 1เร่มิ ต้นโครงการ มาจัดแสดงในห้องเรียน ในรูปของการติดบนป้ ายนิเทศ บนผนังห้องเรยี น ในกรณที ่เี ป็นภาพวาด งานเขยี น ภาพถา่ ย หรือจัดแสดงบนโตะ๊ หรอื มุม ใดมุมหน่ึงของห้องเรยี น การจัดแสดงผลงานจะเป็นแหล่งข้อมูลท่เี ป็นประโยชน์ เป็นการ แลกเปล่ยี นความคดิ ระหว่างนักเรยี นกบั เพ่ือนคนอน่ื ๆในห้องเรียน เป็นการแสดงให้เหน็ ความก้าวหน้าในการทาโครงการของนักเรียน เป็นการยา้ นักเรยี นให้เหน็ ถึงประเดน็ ท่ี นักเรียนกาลงั ศึกษา และยังเป็นการแสดงให้บุคคลภายนอกเหน็ ถึงเรอ่ื งราวของโครงการ ทน่ี ักเรยี นศึกษา
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: