1โครงการในพระราชดาริ ฝนหลวงความเป็ นมาของโครงการพระราชดาริฝนหลวง โครงการพระราชดาริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกาเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกขย์ ากของพสกนิกรในทอ้ งถิ่นทุรกนั ดาร ที่ตอ้ งประสบปัญหาขาดแคลนน้า เพ่ืออุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม อนั เนื่องมาจากภาวะแหง้ แลง้ ซ่ึงมีสาเหตุมาจากความผนั แปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มตน้ ล่าเกินไปหรือหมดเร็วกวา่ ปกติหรือฝนทิง้ ช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจ ในการเสดจ็ พระราชดาเนินเยย่ี มพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอยา่ งต่อเนื่องสม่าเสมอ นบั แต่เสดจ็ ข้ึนเถลิงถวลั ยร์ าชสมบตั ิ จนตราบเท่าทุกวนั น้ี ทรงพบเห็นวา่ ภาวะแหง้ แลง้ ไดท้ วคี วามถี่ และมีแนวโนม้ วา่ จะรุนแรงยง่ิ ข้ึนตามลาดบั เพราะนอกจากความผนั แปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแลว้ การตดั ไมท้ าลายป่ า ยงั เป็นสาเหตุใหส้ ภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว ซ่ึงสร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ราษฎรในทุกภาคของประเทศ ทาความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็ นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ตามที่ทรงเล่าไวใ้ น RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. 2498 เป็นตน้ มา ทรงศึกษาคน้ ควา้ และวจิ ยั ทางเอกสาร ท้งั ดา้ นวชิ าการอุตุนิยมวทิ ยา และมีการดดั แปรสภาพอากาศ ซ่ึงทรงรอบรู้ และเช่ียวชาญ เป็นที่ยอมรับท้งั ใน และต่างประเทศ จนทรงมนั่ พระทยั จึงพระราชทานแนวคิดน้ีแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธ์ิ เทวกุล ผเู้ ชี่ยวชาญในการวจิ ยั ประดิษฐท์ างดา้ น
2เกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะน้นั ในปี ถดั มา ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม ใหห้ าลู่ทางท่ีจะทาใหเ้ กิดการทดลองปฏิบตั ิการในทอ้ งฟ้าใหเ้ ป็นไปได้ จนกระทง่ั ถึงปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไดจ้ ดั ต้งั หน่วยบิน ปราบศตั รูพืชกรมการขา้ ว และพร้อมท่ีจะใหก้ ารสนบั สนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธ์ิเทวกลุ จึงไดน้ าความข้ึนกราบบงั คมทูลพระกรุณาทรงทราบวา่ พร้อมท่ีจะดาเนินการ ตามพระราชประสงคแ์ ลว้ ดงั น้นั ในปี เดียวกนั น้นั เอง ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ าการทดลองปฏิบตั ิการจริงในทอ้ งฟ้าเป็นคร้ังแรก เม่ือวนั ท่ี 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งต้งั ให้ ม.ร.ว.เทพฤทธ์ิ เทวกุล เป็นผอู้ านวยการโครงการ และหวั หนา้ คณะปฏิบตั ิการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพ้ืนที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพ้ืนที่ทดลองเป็นแห่งแรก โดยทดลองหยอดกอ้ นน้าแขง็ แหง้ (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1ลูกบาศกน์ ิ้ว เขา้ ไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจดั กระจายอยเู่ หนือพ้ืนท่ีทดลองในขณะน้นั ทาใหก้ ลุ่มเมฆ ทดลองเหล่าน้นั มีการเปล่ียนแปลงทางฟิ สิกส์ของเมฆอยา่ งเห็นไดช้ ดั เจน เกิดการกลน่ั รวมตวั กนั หนาแน่น และก่อยอดสูงข้ึนเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอนั รวดเร็วแลว้ เคลื่อนตวั ตามทิศทางลม พน้ ไปจากสายตา ไม่สามารถสงั เกตได้เน่ืองจากยอดเขาบงั แต่จากการติดตามผลโดยการสารวจทางภาคพ้นื ดิน และไดร้ ับรายงานยนื ยนั ดว้ ยวาจาจากราษฎรวา่ เกิดฝนตกลงสู่พ้ืนที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในท่ีสุด นบั เป็นนิมิตหมายบ่งช้ีใหเ้ ห็นวา่ การบงั คบั เมฆใหเ้ กิดฝนเป็นสิ่งท่ีเป็นไปได้เทคโนโลยฝี นหลวง เทคโนโลยฝี นหลวงเป็นเทคนิค หรือ วชิ าการท่ีเกี่ยวกบั การดดั แปลงสภาพอากาศ โดยเนน้ การทาฝน เพ่ือเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อใหฝ้ นตกกระจายอยา่ งสม่าเสมอ (Rain redistribution) สาหรับป้องกนั หรือบรรเทาภาวะแหง้ แลง้ ที่เกิดจากฝน
3แลง้ หรือฝนทิ้งช่วงน้นั เป็นวชิ าการท่ีใหม่สาหรับประเทศไทยและของโลก ขอ้ มูลหลกั ฐาน(evidence) ที่ใชพ้ ิสูจนย์ นื ยนั เพอ่ื ใหเ้ กิดการยอมรับในระดบั นกั วชิ าการและผบู้ ริหารระดบั สูงถึงผลปฏิบตั ิการฝนหลวงท้งั ทางดา้ นกายภาพ (Physic) และดา้ นสถิติ (Statistic) มีนอ้ ยมากดงั น้นั ในระยะแรกเริ่มของการทดลองและวจิ ยั กรรมวธิ ีการปฏิบตั ิการฝนหลวงพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จึงไดท้ รงติดตามผลการวางแผนการทดลองปฏิบตั ิการ การสงั เกตจากรายงานแทบทุกคร้ังโดยใกลช้ ิด ทรงหาความรู้และประสบการณ์จากนกั วชิ าการท่ีทรงคุณวฒุ ิทางดา้ นอุตุนิยมวทิ ยา โดยไดร้ ับส่ังใหเ้ ชิญ พล.ร.ท.สนิท เวสารัชนนั ท์ ร.น. อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวทิ ยา พล.ร.ต.พิณ พนั ธุทวี ร.น. พร้อมดว้ ยนกั วชิ าการอื่นๆ มาเป็นคณะทางานถวายความคิดเห็น วเิ คราะห์ผลปฏิบตั ิการที่ทางคณะปฏิบตั ิการฝนหลวงได้ทดลองสังเกตผลการเปล่ียนแปลงแลว้ ทารายงานเสนอเป็นประจากรรมวิธีการทาฝนหลวง (ฝนเทยี ม)กรรมวธิ ีการทาฝนหลวงในประเทศไทยที่ใชเ้ ป็นหลกั ในปัจจุบนั สรุปได้ ดงั น้ีข้นั ตอนทห่ี นึ่ง : ก่อเมฆ เป็นการดดั แปรสภาพอากาศเพือ่ เร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ โดยการโปรยสารเคมีผงละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดบั ความสูง 7,000 ฟุต ในทอ้ งฟ้าโปร่งใสที่มีความช้ืนสมั พทั ธไ์ ม่นอ้ ยกวา่ 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซ่ึงมีคุณสมบตั ิในการดูดความช้ืนไดด้ ี จะทาหนา้ ท่ีเสริมประสิทธิภาพของแกนกลนั่ ตวั ในบรรยากาศ (CloudCondensation Nuclei) เรียกยอ่ วา่ CCN ทาใหก้ ระบวนการดูดซบั ความช้ืนในอากาศให้กลายเป็นเมด็ น้าเกิดเร็วข้ึนกวา่ ธรรมชาติ และเกิดกลุ่มเมฆจานวนมาก ซ่ึงเมฆเหล่าน้ีจะพฒั นาเป็นเมฆกอ้ นใหญ่ในเวลาต่อมาข้นั ตอนทสี่ อง : เลยี้ งให้อ้วน เป็นการดดั แปรสภาพอากาศ เพอ่ื เร่งหรือเสริมการเพมิ่ ขนาดของเมฆและขนาดของเมด็ น้าในกอ้ นเมฆ จะปฏิบตั ิการเม่ือเมฆท่ีก่อตวั จากข้นั ตอนที่ 1 หรือเมฆเดิมที่มีอยตู่ ามธรรมชาติ ก่อยอดสูงถึงระดบั 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผงแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2)เขา้ ไปในกลุ่มเมฆที่ระดบั 8,000 ฟุต ผงแคลเซ่ียมคลอไรดซ์ ่ึงมีคุณสมบตั ิดูดความช้ืนไดด้ ี จะ
4ดูดซบั ความช้ืนและเมด็ น้าขนาดเลก็ ในกอ้ นเมฆใหก้ ลายเป็นเมด็ น้าขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกนั จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซ่ึงเป็นคุณสมบตั ิเฉพาะของสารแคลเซ่ียมคลอไรด์เมื่อละลายน้า ความร้อนที่เกิดข้ึนจะเพ่มิ อตั ราเร็วของกระแสอากาศไหลข้ึน (Updraft) ในกอ้ นเมฆ ท้งั ขนาดเมด็ น้าที่โตข้ึนและความเร็วของกระแสอากาศไหลข้ึนท่ีเพิม่ ข้ึน จะเป็นปัจจยั เร่งกระบวนการชนกนั และรวมตวั กนั (Collision and coalescence process) ของเมด็ น้า ทาใหเ้ มด็น้าขนาดใหญ่จานวนมากเกิดข้ึนในกอ้ นเมฆ และยอดเมฆพฒั นาตวั สูงข้ึน ในข้นั น้ี เมฆจะมีขนาดใหญ่ข้ึนและก่อยอดสูงข้ึนไปไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหน ข้ึนอยกู่ บั การทรงตวั ของบรรยากาศในแต่ละวนั ซ่ึงแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ ในบางวนั เมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดบัอุณหภูมิจุดเยอื กแขง็ ( 0 องศาเซลเซียส) หรือประมาณ 18,000 ฟุต เรียกวา่ เมฆอุ่น (WarmCloud) ในบางวนั เมฆจะสามารถก่อยอดข้ึนไปสูงกวา่ ระดบั อุณหภูมิจุดเยอื กแขง็ เช่น ถึงระดบั20,000 ฟุต เรียกวา่ เมฆเยน็ (Cold Cloud) ซ่ึงภายในยอดเมฆจะประกอบดว้ ยเมด็ น้าเยน็ จดั(Super cooled droplet) ที่มีอุณหภูมิต่าถึง - 8 องศาเซลเซียสข้นั ตอนทส่ี าม : โจมตี เป็นการดดั แปรสภาพอากาศ เพอื่ เร่งใหเ้ มฆเกิดเป็นฝน ซ่ึงสามารถกระทาได้ 3 วธิ ีข้ึนอยกู่ บั คุณสมบตั ิของเมฆ และชนิดของเครื่องบินท่ีมีอยู่ ดงั น้ี วธิ ีท่ี 1 \"โจมตเี มฆอ่นุ แบบแซนด์วชิ \" ถา้ เป็นเมฆอุ่น เม่ือเมฆแก่ตวั ยอดเมฆจะอยทู่ ี่ ระดบั 10,000ฟุต หรือสูงกวา่ เลก็ นอ้ ย และเคล่ือนตวั เขา้ สู่พ้นื ที่เป้าหมาย จะทาการ โจมตีโดยวธิ ี Sandwich คือ ใชเ้ คร่ืองบิน 2 เคร่ือง เคร่ืองหน่ึงโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ทบั ยอดเมฆ หรือไหล่เมฆที่ระดบั 9,000 ฟุต หรือ ไม่เกิน 10,000 ฟุต อีกเคร่ือง หน่ึงโปรยผงยเู รีย (Urea) ที่ฐานเมฆ ทามุมเยอ้ื งกนั 45 องศา เมฆจะเร่ิมตกเป็นฝนลงสู่ พ้ืนดิน วธิ ที ี่ 2 \"โจมตีเมฆเยน็ แบบธรรมดา\" ถา้ เป็นเมฆเยน็ และมีเครื่องบินเมฆเยน็ เพียง เคร่ืองเดียว เม่ือเมฆเยน็ พฒั นายอดสูงข้ึนเลยระดบั 20,000 ฟุต ไปแลว้ จะทาการโจมตี โดยการยงิ พลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (AgI) เขา้ สู่ยอดเมฆ ที่ระดบั ความสูง ประมาณ 21,500 ฟุต ซ่ึงมีอุณหภูมิระหวา่ ง -8 ถึง 12 องศาเซลเซียส มีกระแสอากาศ ไหลข้ึนสูงกวา่ 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริมาณน้าเยน็ จดั ไม่ตากวา่ 1 กรัมต่อลูกบาศก์ เมตร ซ่ึงเป็นเง่ือนไขเหมาะสม อนุภาคของสาร AgI จะทาหนา้ ที่เป็นแกนเยอื กแขง็
5 (Ice Nuclei) และเม่ือสมั ผสั กบั เมด็ น้าเยน็ จดั ในบอดเมฆ จะทาใหเ้ มด็ น้าเหล่าน้นั กลายเป็นน้าแขง็ และคายความร้อนแฝงออกมา ซ่ึงความร้อนดงั กล่าวจะเป็นพลงั งาน ผลกั ดนั ใหย้ อดเมฆเจริญสูงข้ึนไปอีก และมีการชกั นาอากาศช้ืนเขา้ สู่ฐานเมฆเพ่ิมข้ึน ในขณะเดียวกนั เมด็ น้าท่ีกลายเป็นน้าแขง็ จะมีความดนั ไอที่ผวิ ต่ากวา่ เมด็ น้าเยน็ จดั ทา ใหไ้ อน้าระเหยจากเมด็ น้าไปเกาะท่ีเมด็ น้าแขง็ และเมด็ น้าแขง็ จะเจริญเติบโตไดเ้ ร็ว เป็นกอ้ นน้าแขง็ ที่มีน้าหนกั เพ่มิ ข้ึน และจะล่วงหล่นลงสู่เบ้ืองล่าง ซ่ึงจะละลายเป็นเมด็ น้าฝน เม่ือผา่ นช้นั อุณหภูมิเยอื กแขง็ ลงมาท่ีฐานเมฆ และเกิดเป็นฝนตกลงสู่พ้ืนดิน วธิ ีท่ี 3 \"โจมตีเมฆเยน็ แบบซูเปอร์แซนด์วชิ \" หากเป็นเมฆเยน็ และมีเคร่ืองบินครบ ท้งั ชนิดเมฆอุ่นและเมฆเยน็ เมื่อเมฆเยน็ พฒั นายอดสูงข้ึนเลยระดบั 20,000 ฟตุ ไปแลว้ จะทาการโจมตีโดยการผสมผสานวธิ ีท่ี 1 และ 2 ในเวลาเดียวกนั กล่าวคือ เครื่องบิน เมฆเยน็ จะยงิ พลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เขา้ สู่ยอดเมฆ ท่ีระดบั ความสูง ประมาณ 21,500 ฟุต ส่วนเคร่ืองบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ ที่ระดบั ไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 - 10,000 ฟุต) และเคร่ืองบินเมฆอุ่นอีก 1 เคร่ือง จะ โปรยสารเคมีผงยเู รียที่ระดบั ชิดฐานเมฆ ทามุมเยอ้ื งกนั 45 องศา วธิ ีการน้ีจะทาให้ ประสิทธิภาพในการเพิม่ ปริมาณน้าฝนสูงยง่ิ ข้ึน และเทคนิคน้ีโปรดเกลา้ ฯใหเ้ รียกชื่อ วา่ SUPER SANDWICH ข้นั ตอนทสี่ ่ี : เพมิ่ ฝน การโจมตีเมฆในข้นั ตอนที่ 3 ท้งั สามวธิ ี อาจจะทาใหฝ้ นใกลจ้ ะตกหรือเริ่มตกแลว้ข้นั ตอนท่ี 4 น้ี จะเร่งการตกของฝนและเพ่มิ ปริมาณน้าโดยการโปรยเกลด็ น้าแขง้ แหง้ (Dryice) ท่ีระดบั ใตฐ้ านเมฆประมาณ 1,000 ฟุต เกลด็ น้าแขง็ แหง้ ซ่ึงมีอุณหภูมิต่าถึง -78 องศาเซลเซียส จะปรับอุณหภูมิของบรรยากาศระหวา่ งฐานเมฆกบั พ้นื ดินใหเ้ ยน็ ลง ทาใหฐ้ านเมฆยงิ่ ลดระดบั ต่าลง ฝนจะตกในทนั ที หรือท่ีตกอยแู่ ลว้ จะมีอตั ราการตกของฝนสูงข้ึน ลดอตั ราการระเหยของเมด็ ฝนขณะล่วงหล่นลงสู่พ้ืนดิน และทาใหฝ้ นตกต่อเนื่องเป็นเวลานานข้ึนและหนาแน่นยง่ิ ข้ึนสารเคมที ใ่ี ช้ในการทาฝนหลวง สารเคมีที่นาไปใชใ้ นการทาฝนหลวงไดม้ ีการวเิ คราะห์วจิ ยั อยา่ งถี่ถว้ นถึงผลกระทบวา่ เป็นอนั ตรายต่อสิ่งมีชีวติ ท้งั มนุษย์ พชื และสัตว์ ตลอดจนก่อใหเ้ กิดมลภาวะต่อ
6สิ่งแวดลอ้ มหรือไม่ สารเคมีทุกชนิดที่ใชใ้ นปัจจุบนั เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบตั ิดูดซบั ความช้ืนไดด้ ี และเมื่อดูดซบั ความช้ืนจะทาใหอ้ ุณหภูมิสูงข้ึนหรือต่าลงแตกต่างกนั เพอื่ ใหเ้ ลือกชนิดและปริมาณใชไ้ ดต้ ามความเหมาะสมกบั สภาพอากาศและข้นั ตอนกรรมวธิ ีในขณะน้นั ในรูปอนุภาคแบบผงและสารละลาย ทาหนา้ ที่เป็นแกนกลนั่ ตวั ของเมฆ (Clound condensationnuclei) ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นแกนแขง็ และสารละลายเขม้ ขน้ หรือใชส้ ารเคมีท่ีมีอุณหภูมิต่ากวา่ จุดเยอื กแขง็ ชกั นาใหห้ ยดน้าหรือสารละลายเขม้ ขน้ กลายเป็นหยดน้าแขง็ (Ice nuclei) ดงั น้นัสารเคมีที่ใชจ้ ึงแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ1. สารเคมปี ระเภทคายความร้อนหรือทาให้อุณหภูมสิ ูงขนึ้(Exothermic chemical) สารเคมีชนิดน้ีเมื่อดูดซบั ความช้ืนแลว้ จะเกิดปฏิกิริยาทาใหอ้ ุณหภูมิสูงข้ึน จะใช้สารเคมีประเภทน้ีเพื่อดดั แปรสภาพอากาศใหเ้ กิดความเปล่ียนแปลงพลงั ความร้อนที่ทาให้มวลอากาศเคลื่อนท่ี (Thermodynamic) ดว้ ยการเพมิ่ ความร้อนอยา่ งฉบั พลนั ท่ีเกิดจากปฏิกิริยา (Sensible heat) และความร้อนแฝงที่เกิดจากการกลนั่ ตวั ของไอน้ารอบอนุภาคสารเคมีท่ีเป็นแกนกลนั่ ตวั ดว้ ย เม่ือเสริมกบั ความร้อนจากแสงอาทิตยจ์ ะทาใหม้ วลอากาศในบริเวณท่ีโปรยสารเคมีน้ีมีอุณหภูมิสูงและเกิดการลอยตวั ข้ึน (Updraft) ไดด้ ีกวา่ บริเวณท่ีไม่ไดโ้ ปรยสารเคมี อุณหภูมิอากาศท่ีสูงข้ึนเพียง 0.1 องศาเซลเซียส จะมีผลท่ีทาใหเ้ กิดการลอยตวั ของอากาศได้ ปัจจุบนั น้ีมีใชใ้ นการทาฝนเทียมในประเทศไทย 3 ชนิด คือแคลเซียมคาร์ไบด์ (Calcium carbide ; CaC2) , แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride ;CaCl2) และ แคลเซียมออกไซด์ (Calcium oxide ; CaO)2. สารเคมปี ระเภทดูดกลืนความร้อนหรือทาให้อณุ หภูมติ า่ ลง (Endothermic chemicals) สารเคมีประเภทน้ีเม่ือดูดซบั ความช้ืนแลว้ จะเกิดปฏิกิริยาทาใหอ้ ุณหภูมิต่าลง จะใช้สารเคมีประเภทน้ีเพ่ือใหเ้ กิดประสิทธิภาพในการดูดซบั ความช้ืนแลว้ กลายเป็นแกนสารละลายเขม้ ขน้ ที่มีอุณหภูมิต่ากวา่ อุณหภูมิกลน่ั ตวั ซ่ึงทาใหป้ ระสิทธิภาพในการกลน่ั ตวัสูงข้ึน และทาใหก้ ารเจริญของเมด็ น้าในกอ้ นเมฆมีขนาดใหญ่เร็วข้ึน และความร้อนแฝงท่ีปล่อยออกมาจากการกลน่ั ตวั จะทาใหเ้ กิดการลอยตวั ข้ึนของมวลอากาศและทาใหเ้ กิด
7กระบวนการกลน่ั ตวั อยา่ งต่อเน่ือง นอกจากน้ีกระบวนการชนและรวมตวั กนั ของเมด็ น้าให้เจริญใหญ่ข้ึนจะเสริมกระบวนการกลน่ั ตวั ในข้นั เล้ียงใหอ้ ว้ น(Fatten) และเกิดกระบวนการแตกตวั ของเมด็ น้าท่ีเจริญข้ึนจนมีขนาดใหญ่จนกระทง่ั ความตึงผวิ (Surfacetension) ไม่สามารถคงอยไู่ ด้ หรือตกลงปะทะกบั กระแสลมท่ีลอยตวั ข้ึน เมด็ น้าท่ีมีขนาดใหญ่น้นั จะแตกตวั เองเป็นเมด็ น้าขนาดเลก็ ๆ เพม่ิ ปริมาณแกนกลนั่ ตวั สารละลายเขม้ ขน้ ท่ีเจือจางลอยตวั กลบั ข้ึนไปเจริญใหม่ และเจริญข้ึนเป็นเมด็ น้าขนาดใหญ่จนกลายเป็นฝนตกลงมาหรือเกิดการแตกตวั อยา่ งต่อเน่ืองเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ กลไกหรือกระบวนการดงั กล่าวเป็นการขยายขนาดเมฆและเพิม่ ปริมาณใหส้ ูงข้ึน (Rain enhancement ) ปัจจุบนั ในการปฏิบตั ิการมีการใชส้ ารเคมีประเภทน้ีอยู่ 3 ชนิด คือ ยเู รีย ( Urea ; CO(NH2)2 ) ,แอมโมเนียมไนเทรต ( Ammoniumnitrate ; NH4NO3 ) และ น้าแขง็ แหง้ ( Dry ice; CO2(s) )3. สารเคมที ท่ี าหน้าทดี่ ูดซับความชื้นประการเดยี ว สารเคมีประเภทน้ีเม่ือเกิดปฏิกิริยาแลว้ เกิดการเปล่ียนแปลงทางอุณหภูมินอ้ ยมาก จึงทาหนา้ ท่ีเป็นแกนกลน่ั ตวั และกลายเป็นแกนกลนั่ ตวั แบบสารละลายเขม้ ขน้ เป็นสารท่ีใชใ้ นทุกข้นั ตอนของกรรมวธิ ีก่อกวน เล้ียงใหอ้ ว้ น และโจมตี จากการกลน่ั ตวั จะคายความร้อนแฝง ทาใหเ้ กิดการลอยตวั ข้ึนของมวลอากาศก่อใหเ้ กิดขบวนการกลนั่ ตวั อยา่ งต่อเน่ืองเช่นเดียวกนั ตวั อยา่ งสารเคมีประเภทน้ี เช่น เกลือ ( Sodium chloride ; NaCl )ประโยชน์ของการทาฝนหลวงเพื่อการเกษตร ช่วยแกไ้ ขปัญหาขาดแคลนน้าในช่วงที่เกิดภาวะฝนแลง้ หรือฝนทิ้งช่วงยาวนานซ่ึงมีผลกระทบต่อแหล่งผลิตทางการเกษตรท่ีกาลงั ใหผ้ ลผลิต เช่น แถบจงั หวดั จนั ทบุรีหรือเพชรบุรี และประจวบคีรีขนั ธ์ ช่วยเพ่มิ ปริมาณน้าใหก้ บั บริเวณพ้นื ที่ลุ่มรับน้าของแม่น้าสายต่าง ๆท่ีปริมาณน้าตน้ ทุนลดนอ้ ยลง เช่น แม่น้าปิ ง วงั ยม น่าน โดยเฉพาะในปี ที่เกิดวกิ ฤตขาดแคลนน้าท่ีเข่ือนสิริกิต์ิ จงั หวดั อุตรดิตถส์ ามารถเกบ็ น้าจากการทาฝนเทียมไดถ้ ึง 4,204.18 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร ในขณะท่ีก่อนทาฝนเทียมน้นั มีน้าเหลือเพยี ง 3,497.79ลา้ นลูกบาศกเ์ ท่าน้นั
8เพื่อการอปุ โภคบริโภค ภาวะความตอ้ งการน้าท้งั จากน้าฝน และอ่างเกบ็ น้า หว้ ย หนอง คลอง บึง เป็นความตอ้ งการที่สาคญั ของผคู้ นอยา่ งยง่ิ การขาดแคลนน้ากินน้าใชม้ ีความรุนแรงมากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เนื่องจากคุณสมบตั ิของดินในภูมิภาคน้ีเป็นดินร่วนปนทรายไม่สามารถอุม้ น้าได้ จึงไดม้ ีการทาฝนเทียมข้ึนเพื่อช่วยใหป้ ระชาชนในภูมิภาคนี่ไดม้ ีน้าเพอื่การอุปโภคบริโภคในช่วงท่ีเกิดการขาดแคลนเสริมสร้ างเส้ นทางคมนาคมทางนา้ การขาดปริมาณน้าส่งผลมาถึงระดบั น้าในแม่น้าลดต่าลง บางแห่งต้ืนเขินจนไม่สามารถสญั จรไปมาทางเรือได้ เช่น ทางน้าในแม่น้าเจา้ พระยาบางตอน ในปัจจุบนั การทาฝนเทียมเพื่อเพมิ่ ปริมาณน้าใหก้ บั บริเวณดงั กล่าวจึงเป็นเรื่องสาคญั ยง่ิ เพราะการขนส่งทางน้าสิ้นค่าใชจ้ ่ายนอ้ ยกวา่ ทางอ่ืน และการทางจราจรทางบกนบั วนั แต่จะมีปัญหารุนแรงมากข้ึนทุกขณะป้องกนั และบาบัดภาวะมลพษิ ของสิ่งแวดล้อม หากน้าในแม่น้าเจา้ พระยาลดนอ้ ยลงมากน้าเคม็ จากทะเลอ่าวไทยกจ็ ะไหลหนุนเน่ืองเขา้ ไปแทนที่ทาใหเ้ กิดน้ากร่อยข้ึน และเกิดความเสียหายแก่เกษตรกรเป็นจานวนมากจึงจาเป็นที่จะตอ้ งปล่อยน้าจากเข่ือนภูมิพลเพอ่ื ผลกั ดนั น้าเคม็ มิใหห้ นุนเขา้ มาทาความเสียหาย และช่วยบรรเทาภาวะส่ิงแวดลอ้ มที่เป็นพิษอนั เกิดจากการระบายน้าเสียทิ้งลงสู่แม่น้าเจา้ พระยา และขยะมูลฝอยท่ีผคู้ นทิ้งลงในแม่น้ากนั อยา่ งมากมายน้นั ปริมาณน้าจากการทาฝนเทียมจะช่วยผลกั ดนั ออกสู่ทอ้ งทะเล ทาใหม้ ลภาวะจากน้าเสียเจือจางลง
9คาถามชวนคดิ 1. การทดลองทาฝนหลวงเป็ นคร้ังแรกเกดิ ขนึ้ ทใ่ี ด และมวี ธิ ีการอย่างไร 2. NaCl ทาหน้าทอ่ี ะไรในข้นั ตอนก่อเมฆ 3. Updraftในข้นั ตอนเลยี้ งให้อ้วน เกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร และส่งผลต่อการเร่ง กระบวนการใด 4. เมฆอ่นุ และ เมฆเยน็ คืออะไร 5. AgI ทาหน้าทอี่ ะไรบ้างในกรรมวธิ ที าฝนหลวง 6. SUPER SANDWISH คืออะไร 7. การเพมิ่ ฝน ทาได้อย่างไร 8. ยกตัวอย่างสารเคมที ใ่ี ช้ทาฝนหลวงประเภท Endothermic chemical 9. เกลือ ช่วยในการทาฝนหลวงได้อย่างไร 10. ฝนหลวงช่วยบาบดั ภาวะมลพษิ ในส่ิงแวดล้อมได้อย่างไร โครงการพระราชดาริ “หญ้าแฝก : พืชทมี่ ผี ลต่อส่ิงแวดล้อมโลก”ในอดีตปัญหาการชะลา้ งพงั ทลายของดินในประเทศไทยเราน้นั เป็นปัญหาที่รุนแรงมากเน่ืองจากพ้นื ที่ประมาณหน่ึงในสามของประเทศหรือประมาณ 100 ลา้ นไร่!!! มีปัญหาการชะลา้ งพงั ทลายสูง โดยสาเหตุสาคญั ท่ีก่อใหเ้ กิดการชะลา้ งพงั ทลายของดินเน่ืองมาจากน้าฝนที่ไหลบ่าจะกดั เซาะและพดั พาหนา้ ดินซ่ึงมีธาตุอาหารพืชและป๋ ุยสูญเสียไปทาใหก้ ารเพาะปลูกไดร้ ับผลผลิตต่า และถา้ ปล่อยทิ้งไวโ้ ดยมิไดท้ าการป้องกนั แกไ้ ขหนา้ ดินกจ็ ะถูกชะลา้ งพดั พาไปจนหมด จนไม่สามารถทาการเกษตรไดอ้ ีกต่อไปนอกจากน้ี ยงั มีสาเหตุจากการใชพ้ ้นื ดินเป็นเวลานานโดยขาดการดูแลรักษา การบุกรุก
10ทาลายป่ า การเพาะปลูกที่ปราศจากการป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดิน ตลอดจนการเพ่มิ ของประชากรและการขยายตวั ของภาคธุรกิจ ทาใหเ้ กิดการขยายการเกษตรไปสู่พ้นื ท่ีสูง ดว้ ยสาเหตุดงั กล่าว จึงเกิดปัญหาการชะลา้ งพงั ทลายและความเส่ือมโทรมของดิน ซ่ึงทวคี วามรุนแรงมากข้ึนจนอยใู่ นข้นั วกิ ฤติ และดว้ ยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ท่ีไดท้ รงตระหนกั ถึงความสาคญั และจาเป็นในการที่จะตอ้ งมีมาตรการในการแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าว ในปี พุทธศกั ราช 2534 จึงทรงมีพระราชดาริวา่“เน่ืองจากหญา้ แฝกเป็นพืชท่ีมีระบบรากลึกแผก่ ระจายลงไปในดินตรง ๆ เป็นแผงเหมือนกาแพง ซ่ึงช่วยกรองตะกอนดินและรักษาหนา้ ดินไดด้ ี จึงควรนามาใชใ้ นการอนุรักษด์ ินและน้า รวมท้งั ปรับสภาพแวดลอ้ มดินใหด้ ีข้ึน” โดยใหศ้ ึกษาดาเนินการท้งั ในพ้ืนที่เพาะปลูกและในพ้นื ที่ป่ าไม้ โดยพระองคไ์ ดท้ รงทอดพระเนตรการทดลองเก่ียวกบั หญา้แฝกอยเู่ ป็นระยะ ๆ และไดพ้ ระราชทานทรัพยส์ ่วนพระองคจ์ านวน 10,000 ลา้ นเหรียญสหรัฐใหก้ บั ธนาคารโลกผา่ นทางเครือข่ายข่าวสารหญา้ แฝก เพอื่ สนบั สนุนการวจิ ยัเก่ียวกบั หญา้ แฝกอีกดว้ ยคุณสมบตั ิเด่นของหญา้ แฝกคือ เป็นหญา้ ที่มีความทนทาน ปลูกง่าย ข้ึนไดด้ ีในดินหลาย ๆ ประเภท ท้งั ในดินดีและดินเลว แมก้ ระทงั่ ในดินท่ีเป็นดินเปร้ียว ดินเคม็ ดินด่างดินทราย หรือดินปนลูกรัง เป็นตน้ หญา้ แฝกจะข้ึนเป็นกอ โคนกออดั กนั แน่น มีการเจริญเติบโตจากกอเลก็ เป็นกอใหญ่โดยการแตกหน่อ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางกอประมาณ 30เซนติเมตรจากแนวพระราชดาริและการส่งเสริมการศกึ ษาวจิ ยั หญา้ แฝกของพระองคท์ ่านน้ีเองที่ช่วยแกป้ ัญหาดินชะลา้ งพงั ทลายและความเสื่อมโทรมของดินลงได้ ส่งผลใหช้ ีวติ ความเป็นอยขู่ องเกษตรกรดีข้ึนเป็นลาดบั พระปรีชาสามารถในการนาเอาความรู้ความกา้ วหนา้ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยมี าใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาประเทศของพระองคท์ ่านน้นั ยงัมีอีกมากมายคาถาม จากเร่ืองราวและจากการค้นคว้า จงวเิ คราะห์กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เกยี่ วกบัเรื่องแฝก
11 โครงการพระราชดาริ เข่ือนป่ าสักชลสิทธ์ิ \"แม่นา้ ป่ าสัก\" เป็นแม่น้าสายสาคญั ท่ีสุดสายหน่ึงของชาวจงั หวดั ลพบุรีและสระบุรี ประชาชนจะไดป้ ระโยชนจ์ ากแม่น้าป่ าสักอยา่ งมหาศาล ไม่วา่ จะเป็นดา้ นเกษตรกรรมหรือการประมง แต่ในช่วงเดือนสิงหาคม - เดือนตุลาคมของทุกปี จะเกิดน้าท่วมฉบั พลนั ในหลายพ้นื ท่ีของจงั หวดั ลพบุรี เช่น ตาบลมะนาวหวาน ตาบลหนองบวั
12อาเภอพฒั นานิคม ตาบลลานารายณ์ อาเภอชยั บาดาล และหมู่บา้ นใกลเ้ คียงอีก รวมไปถึงจงั หวดั สระบุรี จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สาหรับในช่วงเดือนมกราคม - เดือนพฤษภาคม พ้ืนที่ในลุ่มน้าป่ าสักกจ็ ะประสบภาวะแหง้ แลง้ ขาดแคลนน้าใชเ้ พ่ือการเกษตร และอุปโภคบริโภค ในปี 2508 กรมชลประทานไดเ้ ริ่มศกึ ษาโครงการเขื่อนเกบ็ กกั น้า แม่น้าป่ าสัก แต่เน่ืองจากค่าใชจ้ ่ายสูงจึงไดร้ ะงบั โครงการฯ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายหลายดา้ น แต่หลายคร้ังท่ีพระองคท์ ่านเสดจ็ พระราชดาเนินมาเยย่ี มราษฎรจงั หวดั ลพบุรีดว้ ยความห่วงใย และไดเ้ สดจ็ ไปทอดพระเนตรพ้นื ที่ในเขตอาเภอชยับาดาล จงั หวดั ลพบุรีที่กาลงั ประสบปัญหาอยู่ ดว้ ยสายพระเนตรอนั ยาวไกล และดว้ ยความห่วงใยในพสกนิกร ของประชาชนดว้ ยพระอจั ฉริยภาพที่ล้าลึกและเป็นพระมหากษตั ริยน์ กั พฒั นาท่ียง่ิ ใหญ่ ทรงแกป้ ัญหาให้\"ความโหดร้าย\" ของแม่น้าป่ าสักกลบั กลายเป็น \"ความสงบเสงยี่ ม\" ท่ีน่านิยมพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงหาทางแกไ้ ขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อวนั ที่ 19 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2532 พระองคท์ ่านไดม้ ีพระราชดาริใหก้ รมชลประทานดาเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเข่ือนกกั เกบ็ น้าแม่น้าป่ าสักอยา่ งเร่งด่วน เพื่อแกป้ ัญหาความขาดแคลนน้า เป็นประโยชนต์ ่อพ้นื ท่ีเพาะปลูกและบรรเทาอุทกภยั ที่เกิดข้ึน วนั ท่ี 1 กรกฎาคม 2535 กรมชลประทานไดว้ า่ จา้ งกลุ่มบริษทั ที่ปรึกษา ศกึ ษา ความเหมาะสมและผลกระทบส่ิงแวดลอ้ มของโครงการเข่ือนเกบ็ น้าป่ าสกั รวมท้งั แผนปฏิบตั ิการแกไ้ ข พฒั นาส่ิงแวดลอ้ ม โดยมีสานกั งานคณะกรรมการพิเศษ เพ่ือประสานงานโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริเป็นแกนกลางในการดาเนินงานสนบั สนุนดา้ นงบประมาณ ต่อมาพระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทาน พระราชดารัสเนื่องในวโรกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษาเม่ือวนั ท่ี 4 ธนั วาคม พ.ศ. 2536 วา่ ...ปัญหาเร่ืองภยั แลง้ น้ีจะเป็นปัญหาที่แกไ้ ม่ได้ และหมู่น้ีกพ็ ูดกนั อยา่ งขวญั เสียวา่อีกหน่อยตอ้ งปันส่วนน้าหรือตอ้ งตดั น้าประปา อนั น้ีสาหรับกรุงเทพฯ ดงั น้นั ตอ้ งหาแนว
13ทางแกไ้ ข ซ่ึงปัญหาน้ีตอ้ งวางแผนมาเป็นเวลาหลายปี แลว้ ถา้ หากวา่ ไดป้ ฏิบตั ิในวนั น้ี เรากไ็ ม่ตอ้ งพูดถึงการขาดแคลนน้า โครงการโดยเฉพาะน้นั กม็ ี และโครงการน้นั ไดย้ นื ยนั มาเมื่อเดือนกวา่ แลว้ ที่นราธิวาส ไดว้ างโครงการและแมเ้ ป็นโครงการที่ไม่ไดแ้ กป้ ี น้ี หรือปีหนา้ แต่ถา้ ทาอยา่ งดีประมาณ 5 หรือ 6 ปี ปัญหาน้าขาดแคลนในกรุงเทพฯจะหมดไปโดยสิ้นเชิง อาจจะนึกวา่ 5-6 ปี น้นั นาน ความจริงไม่นานและระหวา่ งน้ีเรากพ็ ยายามแกไ้ ขเฉพาะหนา้ ไปเร่ือย แต่ถา้ มีความหวงั วา่ 5-6 ปี ปัญหาน้ีคงหมดไปกค็ งมีกาลงั ใจที่จะฟันฟ่ าชีวติ ต่อไป ท่ีวา่ 5-6 ปี น้ี ความจริงไดเ้ ริ่มโครงการน้ีมากวา่ 5-6 ปี โครงการที่คิดจะทาน้ีบอกได้ ไม่กลา้ พดู มาหลายปี แลว้ เพราะเดี๋ยวจะมีการคดั คา้ นจากผเู้ ชี่ยวชาญจากผทู้ ่ีต่อตา้ นการทาโครงการแต่โครงการน้ีเป็นโครงการท่ีอยใู่ นวสิ ัยที่จะทาได้ แมจ้ ะตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายไม่ใช่นอ้ ย แต่ถา้ ดาเนินไปเด๋ียวน้ีอีก 5-6 ปี ขา้ งหนา้ เรากส็ บาย แต่ถา้ ไม่ทาในอีก 5-6 ปีขา้ งหนา้ ราคาคา่ สร้าง ค่าดาเนินการกจ็ ะข้ึนไป 2 เท่า 3 เท่า ลงทา้ ยกจ็ ะตอ้ งประวงิ ต่อไปและเมื่อประวงิ ต่อไปไม่ไดท้ า เรากต็ อ้ งอดน้าแน่ จะกลายเป็นทะเลทราย แลว้ เรากจ็ ะอพยพไปท่ีไหนไม่ได้ โครงการน้ีคือสร้างอ่างเกบ็ น้า 2 แห่ง แห่งหน่ึงคือแม่น้าป่ าสัก อีกแห่งคือแม่น้านครนายก สองแห่งรวมกนั จะเกบ็ กกั น้าเหมาะสมพอเพยี งสาหรับการบริโภค การใชใ้ นเขตกรุงเทพฯ และเขตใกลเ้ คียงท่ีราบลุ่มของประเทศไทยน้ี สาหรับการใชน้ ้าน้นั ตอ้ งทราบวา่ แต่ละคนใชอ้ ยอู่ ยา่ งสบายพอสมควร โดยเฉล่ีย คนหน่ึงใชว้ นั ละ200 ลิตรถา้ คานวณดูวา่ วนั ละ 200 ลิตรน้ี 5 คน กใ็ ช้ 1,000 ลิตร คือ หน่ึงลูกบาศกเ์ มตรต่อวนั ถา้ ปี หน่ึงคูณ 365 กห็ มายความวา่ 5 คนใชใ้ นหน่ึงปี 365 ลูกบาศกเ์ มตรในกรุงเทพฯและในบริเวณใกลเ้ คียงน้ีเรานบั เอาคร่าว ๆ วา่ มี 10 ลา้ นคน 10 ลา้ นคนกค็ ูณเขา้ ไป กเ็ ป็น730 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตรฉะน้นั ถา้ เราเกบ็ กกั 730 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร ในเขื่อน เรากจ็ ะสามารถท่ีจะบริการคนในละแวกน้ี คนในภาคกลางใกลก้ รุงเทพฯน้ีไดต้ ลอดไป แลว้ กไ็ ม่มีความขาดแคลนเขื่อนป่ าสักท่ีตอนแรกวางแผนใหจ้ ุได้ 1,350 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร แต่แกไ้ ปแกม้ ากเ็ หลือ 750 ลา้ นกวา่ ๆตามตวั เลขท่ีใหไ้ วน้ ้ี แมเ้ ข่ือนป่ าสกั เขื่อนเดียวกพ็ อ พอสาหรับการบริโภคแน่นอน ไม่แหง้ ถา้ เติมอีกโครงการท่ีนครนายก จะไดอ้ ีก 240 ลา้ นลูกบาศก์เมตร กเ็ กินพอ...ประโยชน์ของเข่ือนเกบ็ กกั นา้ แม่นา้ ป่ าสัก 1. เป็นแหล่งสาหรับอุปโภคบริโภคของชุมชนต่าง ๆ ในเขตจงั หวดั
14ลพบุรีและจงั หวดั สระบุรี (ลานารายณ์ พฒั นานิคม วงั ม่วง แก่งคอย และชุมชนขนาดยอ่ มใกลเ้ คียง) 2. เป็นแหล่งน้าสาหรับการเกษตรในพ้นื ท่ีชลประทานท่ีจะเกิดข้ึนใหม่ในเขตจงั หวดั ลพบุรีและสระบุรี 135,5000 ไร่ (แกง่ คอย-บา้ นหมอ 80,000 ไร่ ,พฒั นานิคม35,500 ไร่ และพฒั นานิคม-แก่งคอย 20,000 ไร่) 3. เป็นแหล่งน้าเสริมสาหรับพ้นื ท่ีโครงการชลประทานเดิม ในทุ่งเจา้ พระยาฝ่ังตะวนั ออกตอนล่าง เน้ือท่ีประมาณ 2,200,000 ไร่ (ทาใหล้ ดการใชน้ ้าจากแม่น้าเจา้ พระยานาน้าจากแม่น้าป่ าสกั ไปใชใ้ นแถบจงั หวดั ลพบุรีและสระบุรีโดยตรง) 4. ช่วยป้องกนั อุทกภยั ใหพ้ ้ืนท่ีริมแม่น้าป่ าสัก ในเขตจงั หวดั ลพบุรีและสระบุรีและยงั มีผลช่วยบรรเทาอุทกภยั ในพ้ืนที่ตอนล่างของแม่น้าเจา้ พระยารวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลดว้ ย 5. เป็นแหล่งน้าเพ่อื การอุตสาหกรรมในเขตจงั หวดั ลพบุรีและสระบุรี 6. อ่างเกบ็ น้าท่ีเกิดข้ึนจะเป็นแหล่งเพาะพนั ธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้าจืดขนาดใหญ่ 7. ช่วยการคมนาคมทางน้าในแม่น้าป่ าสักตอนล่าง และการแกไ้ ขปัญหาน้าเสีย 8. เป็นแหล่งน้าช่วยเสริมเพือ่ แกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนน้าอุปโภคบริโภคใน เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 9. เป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ีสาคญั 10. ทาใหเ้ ศรษฐกิจของจงั หวดั ลพบุรีและจงั หวดั สระบุรีขยายตวั มากข้ึน เป็นท่ีน่าปลาบปล้ืมท่ีพระองคท์ รงเป็นห่วงพสกนิกรชาวจงั หวดั ลพบุรีและจงั หวดัใกลเ้ คียงถึงประโยชนท์ ี่ราษฎรของพระองคจ์ ะไดร้ ับจากโครงการน้ี ณ พ้ืนที่ซ่ึงเคยปรากฏความแหง้ แลง้ สลบั ภาวะน้าท่วม อนั ส่งผลใหป้ ระชาชนตอ้ งมีชีวติ อยอู่ ยา่ งลาบากทุกขย์ ากบดั น้ี ไดม้ ีเขื่อนดินขนาดใหญ่ซ่ึงมีความสูงกวา่ 31 ม. และยาวเกือบ 5,000 ม. มาต้งั เป็นแนวก้นั น้าอยใู่ นแม่น้าป่ าสัก พร้อมอ่างเกบ็ น้าขนาดใหญ่ ท่ีมีความจุน้าไดส้ ูงสุดถึง 960ลา้ น ลบ.ม. เพือ่ นาความอุดมสมบูรณ์มาสู่พ้นื ที่ท่ีเคยประสบความแหง้ แลง้ โดยมีอาคารพพิ ิธภณั ฑล์ ุ่มน้าป่ าสัก เป็นสถานที่จดั แสดงสภาพชีวติ ผคู้ นในอดีต ที่เคยใชช้ ีวติ ร่วมกนัอยใู่ นบริเวณลุ่มน้าป่ าสักแห่งน้ี สาหรับใหค้ นรุ่นหลงั ไดศ้ กึ ษาร่องรอยแห่งอารยธรรม ไว้
15เตือนจาและเตือนใจคนในรุ่นปัจจุบนั และในอนาคตมิใหท้ าลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มอีกต่อไป คาถาม ในการสร้างเขื่อนจาเป็ นจะต้องมคี วามรู้เกย่ี วกบั ฟิ สิกส์ในเรื่องใดบ้างนักเรียนสามารถศึกษาได้จากกจิ กรรมด้านล่าง ตัวอย่างรูปของเขื่อนใน ประเทศไทย เขื่อนบางลาง
16 เขือนรัชชประภา เขื่อนขุนด่านปราการ1. ใหน้ กั เรียนสงั เกตรูปเข่ือนดา้ นบน แลว้ พิจารณาวา่ ทาไมจึงมีลกั ษณะการสร้างเขื่อนเป็ นเช่นน้ นั......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
17......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
18.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................2. ใหน้ กั เรียนนาขวดน้าเปล่ามาเจาะรูที่ระดบั ความสูงต่างๆ (3–4 รู) ใส่น้าจนเตม็ แลว้สงั เกตการไหลของน้าแต่ละรูที่เจาะไว้ ดงั รูปดา้ นล่าง
19 - ทาไมน้าจึงพ่งุ ออกจากรูท่ีเจาะไว้ แลว้ สังเกตการพุ่งออกของน้าในแต่ละรูวา่ มีลกั ษณะอยา่ งไรและเหตุใดจึงเป็นเช่นน้นั..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
203. แรงท่ีน้ากระทาต่อผนงั เขื่อนท่ีระดบั ความลึกต่าง ๆ กนั มีค่าเท่ากนั หรือไม่ นกั เรียนจะมีวธิ ีการหาแรงดนั ฉลี่ยที่ผนงั เข่ือนไดอ้ ยา่ งไร แลว้ เกี่ยวขอ้ งกบั ลกั ษณะของเข่ือนท่ีนกั เรียนเห็นในรูปไดอ้ ยา่ งไร................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
21...................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................... โครงการพระราชดาริ สะพานพระราม 8 โครงการสะพานพระราม 8 เป็นโครงการตามแนวพระราชดาริเพอ่ื แกไ้ ขปัญหาการสญั จรของประชาชนในกรุงเทพมหานครใหไ้ ดร้ ับความสะดวกยงั ผลสู่ภาพรวมของประเทศท้งั ดา้ นสงั คม และเศรษฐกิจ ดงั พระราชดารัส พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วัเม่ือวนั ท่ี 22 มีนาคม 2537 ความวา่ “สาหรับการจราจรเครื่องมือน้นั สาคญั ที่สุดคือถนนกต็ อ้ งมีถนนท่ีเหมาะสมท่ีเครื่องควบคุมการจราจรไม่ใช่เร่ืองของรัฐศาสตร์ หรือของตารวจ หรือของศาล เป็นเร่ืองของวศิ วกรรมกจ็ ะตอ้ งใหด้ ีข้ึน คือหมายความวา่ ทาใหถ้ นนดีข้ึน ใหส้ อดคลอ้ ง ซ่ึงเป็นการบา้ นท่ีหนกั สุด เพราะวา่กรุงเทพฯ ไดส้ ร้างมาเป็นเวลา 200 ปี แลว้ ไม่ไดม้ ีแผนผงั เมืองท่ีจริงๆ จงั กม็ ีการผงั เมืองของทางการ แต่วา่ กไ็ ม่ไดป้ ระโยชนม์ ากนกั เพราะวา่ คนไทย ตามชื่อคน
22ไทย คืออิสระบงั คบั กนั ไม่ได้ จะสร้างอะไรกส็ ร้าง อยากจะสร้างเด๋ียวน้ีกส็ ร้างกไ็ ปขวางกบั คนอื่น คือขวางทางอื่นอนั น้ีกเ็ ลยแกไ้ ม่ได.้ ..”การก่อสร้างสะพานในบริเวณท่ีเป็นมหานครน้นั มีธรรมเนียมปฏิบตั ิกนั อยู่ คือ แต่ละสะพานจะตอ้ งมีลกั ษณะโดดเด่นและเป็นหน่ึง ซ่ึงลกั ษณะที่สวยงาม คือ จะตอ้ งเป็นสะพานท่ีมีตอม่ออยใู่ นแม่น้านอ้ ยที่สุดหรือไม่มีเลย เช่นเดียวกบั สะพานพระราม 8 ซ่ึงเป็นสะพาน ขึงเสาเดี่ยวแบบอสมมาตรโครงการสะพานพระราม๘เป็นส่วนหน่ึงของโครงการจตุรทิศ แนวตะวนั ออกไปตะวนั ตกพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานแผนท่ีใหก้ รุงเทพมหานคร ซ่ึงทรงเขียนแนวเสน้ ทางพระราชดาริ ดว้ ยลายพระหตั ถข์ องพระองคเ์ อง เพอ่ื ใหก้ รุงเทพมหานครไปศึกษาความเป็นไปไดใ้ นการก่อสร้างตามพระราชดาริสาหรับแนวทางข้ึนลงของสะพานดา้ นฝ่ังพระนคร ในถนนวสิ ุทธิกษตั ริยบ์ ริเวณดา้ นขา้ งธนาคารแห่งประเทศไทยน้นั ทรงแนะนาใหศ้ ึกษารายละเอียดใหด้ ีเสียก่อนในบริเวณท่ีเป็นทางแยกตดั กนั ของถนนวสิ ุทธิกษตั ริยก์ บั ถนนสามเสน ความวา่ หากกรุงเทพมหานครจะขดุ อุโมงคใ์ หร้ ถลอด ควรระวงั เรื่องปัญหาน้าท่วมเท่าน้นัพระราชทานนามสะพานน้ีวา่ “ สะพานพระราม๘ ” เพือ่ เป็นการราลึกถึงพระบาทสมเดจ็
23พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหิดล รัชกาลที่ ๘.จากการศึกษาพบวา่ โครงการสะพานพระราม 8 ไดม้ ีการนาเอาระบบการก่อสร้างสะพานและเทคโนโลยสี มยั ใหม่เขา้ มาใช้ ไม่วา่ จะเป็นการก่อสร้างในส่วนของฐานราก ของตวัโครงสร้างเสาสะพานจนกระทง่ั การติดต้งั สายเคเบิล ซ่ึงข้นั ตอนการก่อสร้างสะพานพระราม 8 เร่ิมจากการก่อสร้างฐานราก ไดม้ ีการนาเอาระบบระบายความร้อนดว้ ยวธิ ี CoolingPipe และคอนกรีตผสมเถา้ ลอย(Fly Ash) มาใชใ้ นส่วนของคอนกรีตฐานราก สาหรับตวัโครงสร้างเสาสะพานหลกั มีการนาเสนอใหใ้ ชร้ ะบบแบบและนงั่ ร้านท่ีสามารถประกอบแบบหล่อคอนกรีต ถอดแบบและเคล่ือนแบบท้งั ชุดไปยงั ที่จะหล่อคอนกรีต ดว้ ยระบบClimbing Form System เพือ่ ใหก้ ารก่อสร้างเป็นไปอยา่ งต่อเนื่องและรวดเร็ว และไดม้ ีการก่อสร้างพ้นื สะพานช่วงดา้ นหลงั เพ่อื ใชเ้ ป็นพ้นื ท่ีประกอบและติดต้งั สายเคเบิล ในการติดต้งั โครงสร้าง พ้นื สะพานน้นั จะทาพร้อมกบั การดึงส่ายเคเบิลตามขนาดแรงดึงท่ีออกแบบไวท้ ี่ละช่วง พร้อมวางแผน่ พ้นื คอนกรีตเสริมเหลก็ ผกู เหลก็ เสริมคอนกรีต และเทคอนกรีตบริเวณรอยต่อของแผน่ พ้นื ทุกดา้ น ดาเนินเช่นน้ีไปเรื่อยๆ จนกระทงั่ ตวั สะพานถึงเสารับสะพาน บนฝั่งพระนคร ซ่ึงการก่อสร้างสะพานพระราม 8 น้ีจะเป็นการยกระดบัการก่อสร้างในประเทศไทยใหก้ า้ วไปอีกข้นั ดว้ ยสะพานพระราม8 สถาปัตยกรรมงาน...ข้ามเจ้าพระยาสะพานพระราม 8 เป็นสะพานขา้ ม แม่น้าเจา้ พระยาแห่งที่ 13 มีแนวสายทางเช่ือมต่อกบัทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ขา้ มแม่น้าเจา้ พระยาบริเวณโรงงานสุราบางยข่ี นั บรรจบกบั ปลายถนนวสิ ุทธิกษตั ริย์ ใกลก้ บั ธนาคารแห่งประเทศไทย ซ่ึงไดร้ ับพระมหา
24กรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชดาริเม่ือวนั ท่ี 15 ก.ค.2538 ใหก้ รุงเทพมหานคร ก่อสร้างสะพานขา้ มแม่น้าเจา้ พระยาเพ่ิมอีก 1 แห่ง เพอื่ บรรเทาการจราจรบนสะพานพระป่ิ นเกลา้ รองรับการเดินทางเช่ือมต่อระหวา่ งฝั่ง พระนครกบั ฝ่ังธนฯ และเป็นจุดเช่ือมต่อโครงการพระราชดาริตามแนวจตุรทิศสะพานพระราม 8 มีความยาวรวม 475 เมตร สูงเท่าสะพานพระป่ิ นเกลา้ ลาดชนั ไม่เกิน3% เป็นสะพานหลกั ช่วงขา้ มแม่น้า 300 เมตร สะพานยดึ ช่วงบนบก 100 เมตร และสะพานช่วงโครงสร้างยดึ เสา 75 เมตร มีรูปแบบโดดเด่นสวยงามเพราะไดอ้ อกแบบเป็นสะพานขึงแบบอสมมาตร ซ่ึงหมายความวา่ มีเสาสะพานหลกั เสาเดียวบนฝ่ังธนฯ และมีเสารับน้าหนกั 1 ตน้ บนฝั่งพระนคร จึงไม่มีเสารับน้าหนกั ต้งั อยใู่ นแม่น้าเจา้ พระยา ทาใหไ้ ม่มีปัญหาต่อการสัญจรทางน้า ช่วยป้องกนั น้าท่วมและระบบนิเวศนวทิ ยาในน้า รวมท้งั ไม่กระทบต่อการจดั ต้งั ขบวนเรือพระราชพธิ ีการรับน้าหนกั ของสะพาน ไดต้ ิดต้งั สายเคเบิลระนาบคู่ 28 คู่ ขึงยดึ พ้ืนช่วงขา้ มแม่น้า และใชส้ ายเคเบิลระนาบเดี่ยว 28 เส้น ขึงยดึ ร้ังกบั โครงสร้างยดึ เสาสะพานบนฝั่งธนฯ เคเบิลแต่ละเสน้ ประกอบดว้ ยสลิงต้งั แต่ 11-65 เสน้ เม่ือเกิดปัญหากบั เคเบิล สามารถขึงหรือหยอ่ นไดง้ ่าย ไม่จาเป็นตอ้ งปิ ดการจราจรเหมือนสะพานพระราม 9เน่ืองจากเคเบิลแต่ละเส้นใชส้ ลิง ภายในซ่ึงเป็นขดลวดใหญ่ทาใหด้ ูแลบารุงรักษาและซ่อมแซมยากกวา่ อีกท้งั สายเคเบิลของสะพานพระราม 8 ยงั มีสีเหลืองทอง สีประจาพระองคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เมื่อสะทอ้ นแสงจะส่องประกายสวยงามโดยเฉพาะยามค่าคืนมาตรฐานความปลอดภัยของสะพานพระราม8ดา้ นมาตรฐานความปลอดภยั กไ็ ม่เป็นรองเพราะบริษทั ผรู้ ับเหมาการันตีวา่ ไดม้ ีการทดสอบแรงดึงในลวดสลิง 1 ลา้ นคร้ัง โดยใชแ้ รงดึงปกติ 10 ตนั ไม่มีปัญหา และตอ้ งใช้แรงดึงถึง 27 ตนั ลวดสลิงถึงขาดแต่กแ็ ค่ 1% เท่าน้นั
25นอกจากน้ีไดม้ ีการทดสอบแรงลม แรงสั่นสะเทือน ทิศทางลม รวมท้งั ติดต้งั เครื่องวดั ไว้ตลอด 24 ชม. เพ่ือดูความผดิ ปกติที่จะเกิดข้ึนความพเิ ศษของสะพานพระราม8 ที่น่าภาคภูมิใจอีกอยา่ งคือ สะพานพระราม 8 เป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรที่ติดอนั ดบั 5 ของโลก รองจากประเทศเยอรมนี ซ่ึงติดอนั ดบั ถึง 3 สะพาน และเนปาล โดยนบัจากความยาวช่วงของสะพาน ส่วนสะพานพระราม 9 ซ่ึงเป็นสะพานขึงตวั แรกแต่เป็นแบบสมมาตร เพราะมี 2 เสาถือวา่ อยใู่ นอนั ดบั ท่ี 18 ของโลก โดยนบั ความยาวช่วงของสะพานได้ 450 เมตรความโดดเด่น สวยงาม ที่เกิดข้ึน ผสมผสานไปดว้ ยศิลปะแบบไทย ๆ จากแนวคิดในการสร้างเพอ่ื เป็นพระบรมราชานุสรณ์ เฉลิมพระเกียรติในหลวงพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วัอานนั ทมหิดล รัชกาลท่ี 8 กทม. จึงไดอ้ ญั เชิญ \"พระราชลญั จกร\" ซ่ึงเป็นสญั ลกั ษณ์ประจาพระองค์ มาเป็นตน้ แบบในการออกแบบทาง สถาปัตยกรรม ส่วนประกอบต่าง ๆ ของสะพานเนน้ ความโปร่งบาง เรียบง่าย และสวยงาม วสั ดุที่ใชใ้ นโครงสร้างของสะพานเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม เช่น ในส่วนของสะพาน เสาสูงรูปตวั Y ควา่ เป็นเสาคอนกรีตเสริมเหลก็ ทาหนา้ ท่ีหิ้วส่วนโครงสร้างสาคญั อ่ืน ๆ ของสะพาน ซ่ึงมองเห็นได้ในระยะไกล ๆ ไดอ้ อกแบบโดย ใชเ้ คา้ โครงมโนภาพ ของเรือนแกว้ ราวกนั ตก ซ่ึงทาจากโลหะ ออกแบบเป็นลวดลายที่วจิ ิตรและอ่อนชอ้ ยจาลองมาจากดอกบวั และกลีบบวัเสาโครงสร้างใตแ้ ผน่ พ้ืนตกแต่งดว้ ยลวดลาย ที่จาลองจากดอกบวั ใชว้ สั ดุท่ีมีน้าหนกั เบามีคุณสมบตั ิช่วยสะทอ้ นแสงลงสู่ผวิ จราจรใตท้ างยกระดบั ช่วยเพิม่ ความสวา่ งบริเวณใตท้ างยกระดบั และประหยดั ไฟฟ้าในเวลากลางคืน สิ่งพเิ ศษสุดของสะพานพระราม 8 ที่สะพานอื่นในกรุงเทพฯยงั ไม่มีกค็ ือ ที่ปลายยอดเสาสูงของตวั สะพานจะมีจุดชมววิ ซ่ึงมีโครงสร้างโลหะกรุกระจกลกั ษณะคลา้ ยดอกบวั สูงจากพ้นื ดินถึง 165 เมตร หรือสูงเท่าตึก 60 ช้นั พ้นื ท่ี 35 ตารางเมตร จุคนไดค้ ร้ังละเกือบ 50 คน ซ่ึงจะเปิ ดใหบ้ ริการกบั ประชาชนทว่ั ไปดว้ ย แต่การก่อสร้างส่วนน้ีจะแลว้เสร็จภายหลงั พร้อม ๆ กบั ลิฟตข์ องคนพิการซ่ึงอยหู่ วั มุม 2 ฝ่ังแม่น้า ประมาณเดือน ก.ย.
26 เน่ืองจากโครงสร้างเสาสูงเป็นแบบตวั Y ควา่ การข้ึนลงจุดชมววิ จึงตอ้ งติดต้งั ลิฟต์ท้งั ในแนวเฉียงและแนวดิ่ง โดยเป็นแนวเฉียง จากพ้ืนดิน 80 เมตร ก่อน จากน้นั จึงเป็นแนวด่ิงอีก 155 เมตร แต่บรรทุกไดเ้ ที่ยวละประมาณ 5 คน ใชเ้ วลาข้ึน-ลง 2-3 นาทีนอกจากน้ียงั มีลิฟตธ์ รรมดาอยคู่ นละดา้ น เพ่ือใชส้ าหรับเจา้ หนา้ ท่ีในการดูแลและตรวจตราสะพานภาระหน้าทขี่ องสะพานพระราม8ภาระหนา้ ที่อนั สาคญั ยงิ่ ของสะพานพระราม 8 จะช่วยเช่ือมการเดินทางระหวา่ งฝ่ังพระนครกบั ฝ่ังธนบุรีใหส้ ะดวกสบายข้ึน ซ่ึงจะช่วยระบายรถบนสะพานปิ่ นเกลา้ ไดถ้ ึง 30%และบนสะพานกรุงธนฯ อีก 20% แต่กม็ ีผลกระทบกบั คนกลุ่มหน่ึงซ่ึงเป็นชุมชนรายรอบการก่อสร้าง ตอ้ งสละถ่ินฐานท่ีเคยอยเู่ พือ่ ส่วนรวม แต่ใช่วา่ สะพานเสร็จแลว้ ชุมชนจะเลือนหายไปเหลือแค่ความทรงจา กทม. ยงั ตระหนกั ในเรื่องน้ี แมไ้ ม่อาจทาใหฟ้ ้ื นกลบั ให้เหมือนเดิม แต่อยา่ งนอ้ ยพ้นื ท่ีท่ีเคยเป็นแหล่งท่ีอยอู่ าศยั จะถูกจบั มาจาลองไว้ โดยจะเขา้ไปปรับปรุงพ้ืนท่ี 50 ไร่ บริเวณสะพานพระราม 8 เพอื่ ก่อสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซ่ึงรวมถึงพิพิธภณั ฑข์ องรัชกาลที่ 8 พระราชกรณียกิจของกษตั ริยไ์ ทยสมยั รัตนโกสินทร์ และพพิ ธิ ภณั ฑท์ ี่แสดงถึงวถิ ีชีวติด้งั เดิมของประชาชนในพ้นื ท่ีท่ีไดร้ ับ ผลกระทบจากโครงการ อาทิ ชุมชนบา้ นปูนโรงงานสุราบางยขี่ นั ซ่ึงขณะน้ีอยรู่ ะหวา่ งใหจ้ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ออกแบบรายละเอียดโดยจะทยอยเสร็จในภายหลงัท่ีมา:โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ ดา้ นการส่ือสาร และโทรคมนาคม tumcivil.com
27คาถาม : นกั เรียนคิดวา่ สายเคเบิล้ ที่ใชโ้ ยงในสะพานแขวน เป็นเสน้ โคง้ ท่ีอธิบายไดด้ ว้ ยสมการทางคณิตศาสตร์สมการใด เพราะอะไร
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: