พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕สอง ลาภยศเปน ตนเกดิ แกค นทเ่ี ปนบณั ฑิต มแี ตเปนประโยชน เพราะเปนเครื่องมือในการสรางสรรคประโยชนสุขใหแผขยายกวางขวางออกไปเกื้อกูลแกสังคม และทําชีวติ ใหพ ัฒนาขึ้น แตถาทรัพยและอํานาจเกิดแกผูท่ีไมรูเทาทัน มีความลุมหลงละเลิงมัวเมา ก็กลับกลายเปนโทษแกชีวิตของตนเอง และเปนเคร่ืองมือทาํ รา ยผอู ่ืนไป ซงึ่ ก็เปน ผลเสยี แกต นเองในระยะยาวดวย โลกธรรมอยางอื่นก็เชนเดียวกันท้ังนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเปนสิง่ ที่เราจะตอ งปฏิบตั ิใหถูก หลักสาํ คัญกค็ อื อยา ไปหลงละเลงิ มัวเมาถา เคราะหม ามนั คือของขวญั ท่ีสง มาชวยตวั ฉนั ใหย ิ่งพัฒนา ในทางตรงขาม ถาโลกธรรมฝายรายเกิดขึ้นจะทําอยางไร เม่ือกี้ฝายดีเกิดขึ้น เราก็ถือโอกาสใชใหเปนประโยชน ทําการสรางสรรค ทําใหเ กิดประโยชนส ขุ แผข ยายออกไปมากยิง่ ขึน้ ทีนี้ ถึงแมฝายรายเกิดขึ้น คือเส่ือมลาภ เส่ือมยศ ถูกติฉินนินทาและประสบทกุ ข คนมีปญญารเู ทา ทนั ก็ไมก ลัว ไมเปนไร เขาก็รักษาตัวอยูไ ด และยงั หาประโยชนไ ดอีกดว ย คอื ๑. รูทันธรรมดา คือรูความจริงวา สิ่งท้ังหลายก็อยางน้ีเอง ลวนแตไมเทีย่ งแทแ นน อน ยอมผันแปรไปไดท้ังส้ิน นี่แหละท่ีวาอนิจจัง เราก็ไดเจอกับมันแลว เมื่อมีได ก็หมดได เม่ือข้ึนได ก็ตกได แตเมื่อหมดแลว ก็มีไดอีก เม่ือตกแลว ก็อาจข้ึนไดอีก ไมแนนอน มันข้ึนตอเหตปุ จ จยั
๔๖ ชวี ติ ทส่ี รางสรรค สดใสและสุขสนั ต ขอสําคัญอยูที่วา มันเปนการมีการไดและเปนการขึ้น ที่ดีงามชอบธรรม เปนประโยชนหรือไม และเปนเร่ืองที่เราจะตองศึกษาหาเหตุปจ จยั และทําใหถ ูกตองตอไป เพราะฉะน้ัน อยามัวมาตรอมตรมทุกขระทมเหงาหงอย อยามัวเศรา โศกเสียใจละหอ ยละเห่ียทอแทใจไปเลย จะกลายเปนการซ้ําเติมทับถมตัวเองหนักลงไปอีก และคนที่ตองพึ่งพาอาศัยเราก็จะยิ่งแยไปใหญเร่ืองธรรมดาของโลกธรรมเปนอยางน้ี เราก็ไดเห็นความจริงแลว เรารูเทาทันมันแลว เอาเวลามาศึกษาหาเหตุปจจัย จะไดเรียนรู จะไดแกไขปรับปรุง ลุกขน้ึ มาทําใหฟนตวั ข้นึ ใหมด ีกวา เมื่อรูเ ทาทนั อยูกับความจริงอยางนี้ เราก็รักษาตัวรักษาใจใหเปนปกติ ปลอดโปรงผองใสอยูได ไมละเมอคลุมคลั่งเตลิดหรือฟุบแฟบทาํ ลายหรอื ทาํ รายตัวเองใหยง่ิ แยล งไป ๒. เอามาพัฒนาตัวเรา คนท่ีเปนนักปฏิบัติธรรม เม่ือความเสื่อมความสูญเสีย และโลกธรรมฝายรายทั้งหลายเกิดขึ้นแกตน นอกจากรูเทาทันธรรมดา มองเห็นความจริงของโลกและชีวิตที่เปนอนิจจังแลวเขายังเอามันมาใชใหเ ปน ประโยชนใ นการพัฒนาตวั เองใหดียิง่ ขน้ึ อกี ดวย เขาจะมองวา นี่แหละความไมเท่ียงไดเกิดข้ึนแลว เมื่อมันเกิดข้ึนมา ก็เปนโอกาสที่เราจะไดทดสอบตนเอง วาเรานี่มีความมั่นคงและความสามารถแคไหน ในการที่จะตอสูกับสิ่งเหลาน้ี เราจะเผชิญกับมันไหวไหม ถาเราแนจริง เราก็ตองสูกับมันไหว และเราจะตองแกไขไดเพราะอันน้ีเทากับเปนปญหาที่จะใหเราสูใหเราแก เราจะมีความสามารถแกปญหาไหม น่คี อื บททดสอบท่เี กดิ ขึ้น นอกจากเปนบททดสอบแลว ก็เปนบทเรียนท่ีเราจะตองศึกษาวา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗มันเกดิ ขน้ึ จากเหตอุ ะไร เพ่อื จะไดเปนประโยชนต อ ไปภายหนา ถาเราสามารถแกปญหานี้ได ก็แสดงวา เรามีความสามารถจริงถาเราผานสถานการณนี้ไปไดปลอดโปรงสวัสดีแลว ตอไปเราก็จะมีความสามารถและจดั เจนย่งิ ขนึ้ รวมความวา คนที่ดําเนินชีวิตเปน จะใชประโยชนจากโลกธรรมฝายรายได ทั้งในแงเปนเคร่ืองทดสอบจิตใจ และเปนเครื่องพัฒนาปญญา คือทดสอบวาเรามีจิตใจเขมแข็งม่ันคง แมจะเผชิญเคราะหรายหรือเกิดมีภัย ก็ดํารงรักษาตัวใหผานพนไปได ไมหว่ันไหว และใชปญญาเรียนรูสืบคนเหตุปจจัย เพ่ือจะไดแกไขและสรางสรรคเดินหนาใหไ ดผลดียง่ิ ขน้ึ ตอ ไป ยิ่งกวาน้ัน เขาจะมองในแงดีวา คนที่ผานทุกขผานภัยมามากเม่ือผานไปได ก็เปนประโยชนแกตัวเอง คนที่ผานมาได ถือวาไดเปรียบคนอ่ืนทีไ่ มเ คยผา น นอกจากผานทุกขผานโทษผานภัยไปแลว ถายิ่งสามารถผานไปไดดวยดีอีกดวย ก็เปนหลักประกันวาตอไปไมตองกลัวแลว เพราะแสดงวาเราประสบผลสาํ เร็จแกปญหาได เราจะมีชีวิตทดี่ ีงามเขมแข็ง ไมตองกลัวภัยอันตรายอีก ดีกวาคนที่ไมเคยเจอกับสิ่งเหลานี้ พบแตส่ิงท่ีเปน คณุ หรอื สิ่งทีช่ อบใจอยางเดยี ว เปนชวี ิตทไี่ มไ ดท ดสอบ เปนอันวา ถามองในแงที่ดีงามแลว เราก็ใชประโยชนจากโลกธรรมท้ังท่ีดีและรายไดทั้งหมด อยางนอยก็เปนคนชนิดท่ีวา ไมเหลิงในสขุ ไมถ กู ทุกขทับถม ฉะน้ัน ถาเราจะตองเผชิญกับโลกธรรมท่ีไมชอบใจ ก็ตองมีใจพรอมที่จะรับมือและสูมัน ถาปฏิบัติตอมันไดถูกตอง เราก็จะผาน
๔๘ ชีวิตที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ตสถานการณไปดวยดี และเปนประโยชน เราจะมีความเขมแข็ง ชีวิตจะดีงามย่ิงข้นึแลวตอนน้ัน เราจะไดพิสูจนตัวเองดวยวา ถึงแมวาเราจะมีประโยชนสุขข้ันที่หนึ่ง ที่เปนรูปธรรมหรือมีวัตถุเพียงเล็กนอยน้ี เราจะสามารถอยูดวยประโยชนสุขขั้นท่ีสอง ดวยทุนทางดานคุณความดีทางดานจิตใจไดหรือไม แลวก็ทดสอบยิ่งขึ้นไปอีกคือในระดับท่ีสาม วาเรามีจิตใจที่เปนอิสระ สามารถที่จะอยูดีมีสุข โดยไมถูกกระแทกกระเทอื นหวน่ั ไหวดวยโลกธรรมไดไ หมถาจิตถูกโลกธรรมทั้งหลายกระทบกระท่ังแลวไมหวั่นไหว ยังสามารถมีใจเบกิ บานเกษมปลอดโปรง ไมมีธุลี ไรความขุนมัวเศราหมองผองใสได กเ็ ปน มงคลอันสงู สุดมงคลหมดทงั้ ๓๘ ประการมาจบลงสดุ ทายท่ีนี่พระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมไปตามลําดับจนมาถึงขอนี้ คือขอวามีจิตใจเปนอิสระ อยางท่ีพระสงฆสวดในงานพิธีมงคลทุกครั้ง ตอนที่สวดมงคลสตู ร มงคล ๓๘ จะมาจบดว ยคาถานี้ คือ ผุฏฐัสสะ โลกะธมั เมหิ จติ ตัง ยสั สะ นะ กมั ปะติ อะโสกงั วริ ะชัง เขมัง เอตมั มงั คะละมุตตะมังผูใดถูกโลกธรรมท้ังหลาย (ท้ังฝายดีและฝายราย)กระทบกระท่ังแลว จิตใจไมเศราโศก ไมหวั่นไหว เกษม ม่ันคง ปลอดโปรง ได นั่นคือมงคลอันอุดมถาถึงข้นั นี้แลว กเ็ รยี กวาเราไดประสบประโยชนสุขขั้นสูงสุด ชีวิตก็จะสมบูรณ อยูในโลกก็จะมีความสุขเปนเนื้อแทของจิตใจ ถึงแมไปเจอความทุกขเ ขาก็ไมมปี ญ หา กส็ ุขไดแมแ ตใ นทา มกลางความทุกข
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) คนท่ีทําอยางน้ีได จะมีลักษณะชีวิตท่ีพัฒนาในดานความสุข ซ่ึงทําใหเปน คนท่ีมีความสขุ ไดง า ยทําไม โลกยงิ่ พัฒนา ชาวประชายิง่ เปนคนที่สขุ ยาก เปนท่ีนาสังเกตวา มนุษยในโลกปจจุบันน้ีไดพัฒนาทางดานวัตถุกันมาก เกงในการหาวัตถุเปนอยางยิ่ง แตมีลักษณะที่ปรากฏเดนข้ึนมาอยา งหนงึ่ คอื มกั จะกลายเปน คนท่ีสขุ ยากข้นึ ย่ิงอยูไปๆ ในโลก ก็ยิ่งเปน คนทส่ี ุขยากขึ้นทกุ ที อันนไี้ มใชล ักษณะทีด่ ี เมื่อมีของมีวัตถุอะไรตางๆ ที่เปนเครื่องอํานวยประโยชนสุขในระดับที่หน่ึงมากขึ้น คนก็นาจะมีความสุขมากข้ึน แตปรากฏวาผูคนไมไดมีความสุขมากขึ้น ความสุขบางอยางที่ดูเหมือนจะมากขึ้น ก็มักจะเปนความสุขแบบฉาบฉวยเสยี มากกวา โดยเฉพาะความสขุ ทแี่ ทใ นจิตใจ นอกจากไมดีข้ึน ยังมีทีทาวาลดนอยลง คนตะเกียกตะกายหาความสุขแบบผานๆ ชั่วครูชั่วยามกันพลา นไป เพราะไมมคี วามสขุ ท่มี น่ั คงยนื ตวั อยภู ายใน ทั้งๆ ท่ีมีส่ิงของและอุปกรณท่ีจะบํารุงความสุขมากเหลือลน แตคนก็ขาดแคลนความสุขกันอยูเร่ือยๆ และมีลักษณะอาการท่ีมีความสุขไดยาก คือกลายเปนคนท่ีสุขยากข้ึน อยางท่ีวา เคยมีเทานี้สุขก็ไมสุขแลว ตองมเี ทาน้นั ตองไดข นาดโนนจึงจะสขุ เปนลกั ษณะท่ีนาสังเกต ในเร่อื งนี้ ลกั ษณะทีต่ รงกนั ขามก็คือสุขงายข้ึน คนเราอยูในโลกนี้ชีวิตของเราเจริญเติบโตขึ้นมา เราพัฒนาข้ึนๆ ส่ิงหนึ่งที่เรานาจะพัฒนาข้ึนดวย ก็คือความสุข หมายความวา ยิ่งเราพัฒนาไป เราก็นาจะเปน คนทีส่ ุขงา ยยง่ิ ขึ้น และก็สุขไดมากขน้ึ
๕๐ ชีวิตทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต เม่ือเปนเด็ก ไดเลนอะไรเล็กๆ นอยๆ หรืออยากไดอะไรนิดๆหนอยๆ พอไดมาก็ดูจะมีความสุขมากๆ สุขไดงายๆ แตพอโตขึ้นมาดูเหมอื นวาจะสุขยากขนึ้ ทกุ ที ถาเรามีชีวิตอยูมาแลวเราเปนคนสุขงายข้ึนนี่ โอ! เราจะโชคดีมาก เพราะถาเราสุขงาย มันก็ตองดีซิ ทําอะไรนิดหนอย มีอะไร ไดอะไรเล็กๆ นอยๆ เด๋ียวมันก็สุขละ แตเด๋ียวน้ีกลายเปนวาเรามีอะไรนิดหนอยไมไ ด จะตองมมี ากๆ จงึ จะสุข ในทางท่ีถูกท่ีควร ถาเรามีความสุขงายขึ้น แลวเราไดของมากขึ้นเรากย็ ิ่งสขุ ใหญ แตถา เราสุขยากขน้ึ เราไดข องมามากขึ้น มันกไ็ มชวยใหเราสุขมากขึ้น เพราะแมวาส่ิงอํานวยสุขจะมากข้ึนก็จริง แตจุดหรือขีดท่ีจะมีความสุขไดก เ็ ขยิบหนีขึ้นไป เพราะฉะน้ัน บางทีไดสิ่งอํานวยสุขมากขึ้น แตไ ดค วามสขุ นอยลง อะไรท่ีมันขาดหายไป คําตอบก็คือเราพัฒนาดานเดียว เราพัฒนาชีวติ เพียงดา นหน่งึ คือ ไปมงุ วาถาเรามีวัตถุมีอะไรตางๆ มีทรัพยสินเงินทอง ยศ ตําแหนงดีข้ึนน่ี เราจะมีความสุข ฉะน้ัน เราก็แสวงหาวัตถุหรอื สิ่งที่จะมาบาํ รงุ ความสขุ กันใหม าก แตการที่เราจะแสวงหาอยางไดผล เราก็จะตองพัฒนาความสามารถอันน้ี คือพัฒนาความสามารถในการแสวงหาสิ่งท่ีจะมาบํารุงความสุข และมนุษยเราก็ไดพัฒนาในดานนี้กันจริงๆ จังๆ ดังจะเห็นวาในดานนี้เราเกงมาก มนุษยยุคปจจุบันไดพัฒนาความสามารถในการแสวงหาวัตถุมาบาํ รงุ ความสุขกนั ไดเกง กาจ แมแตการศึกษาก็พลอยมคี วามหมายอยา งน้ีดวย ดูซิ การศึกษาสวนมากจะมีความหมายและความมุงหมายอยาง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๕๑นี้ คือเปนการพัฒนาความสามารถที่จะหาวัตถุมาบํารุงความสุขแลวเราก็เกงกันในดานนี้ เรามีความสามารถในการหาส่ิงมาบํารุงความสขุ อยางมากมายแตทีนี้ยังมีอีกดานหนึ่งของการพัฒนาชีวิตที่เรามองขามไป คือความสามารถท่ีจะมีความสุข บางทีเราพัฒนาความสามารถในการหาส่ิงบาํ รงุ ความสขุ พอพัฒนาไปๆ ความสามารถในการที่จะมีความสุขนี้กลับลดนอ ยลง หรือแมแ ตห ายไปเสียเฉยๆในเรื่องนี้ เราตองมีดุลยภาพ คือตองมีความสามารถที่จะมีความสุขมาเขาคูในเมื่อเราจะตองมีความสามารถนี้อีกดานหนึ่งดวย คือความสามารถในการท่จี ะมคี วามสุข เราก็ตอ งพัฒนามันข้ึนมาความสขุ จะเพิ่มทวี ถาพัฒนาอยา งมีดุลยภาพ ถาเราพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขดวย พรอมกันไปกับการพัฒนาความสามารถในการหาสิ่งบํารุงความสุข มันก็จะมีดุลยภาพ แลวสองดานน้ีก็จะมาเสริมกันดวย เพราะวาเมื่อเราพัฒนาความสามารถท่ีจะมีความสุขไดมากขึ้น เราก็มีความสุขงายข้ึน เม่ือเราสุขงายขึ้น แลวเรามีของบํารุงความสุขมากขึ้น ความสุขมนั ก็ทวมทนเปน ทวีคณู เลย แตที่มันเสียหรือลมเหลวไปไมเปนอยางนั้น ก็เพราะสาเหตุน้ีแหละ คือการที่เราพัฒนาดานเดียว เราไดแตพัฒนาความสามารถท่ีจะหาสิ่งบํารุงความสุข แตเราไมไดพัฒนาความสามารถที่จะมีความสขุ บางทคี วามสามารถน้กี ลบั คอยๆ หมดไปดวยซา้ํ คนจํานวนมากอยูไปๆ ในโลก ก็คอยๆ หมดความสามารถที่จะมี
๕๒ ชวี ิตท่สี รางสรรค สดใสและสุขสนั ตความสุข ในเม่ือเขาหมดความสามารถที่จะมีความสุข ส่ิงบํารุงความสุขกไ็ มม ีความหมาย อันนี้คือชีวิตที่ขาดดุลยภาพ เพราะเรามัววุนอยูกับประโยชนสุขระดับที่หน่ึงอยางเดียว ขาดการพัฒนาเพ่ือประโยชนสุขระดับที่สองและระดบั ท่สี าม ในทางธรรม ทานไมไดมองขามการพัฒนาในระดับที่หน่ึง อันนั้นทานเรียกวาการพัฒนาในระดับศีล คือการพัฒนาความสามารถท่ีจะหาตลอดจนจัดสรรและจัดการกับส่ิงบํารุงความสุข แตระดับตอไปซึ่งอยาไดมองขาม ก็คอื การพฒั นาความสามารถทจ่ี ะมคี วามสขุ ถาเราพัฒนาความสามารถท่ีจะมีความสุข หรืออยางนอยเราไมสูญเสียมันไป เราก็จะเปนคนท่ีมีความสุขไดไมยาก หรือกลับจะเปนคนที่สุขงายข้ึนๆ ดวย คนที่มีความสามารถอยางน้ีจะอยูอยางไรก็สุขสบายสุขสบายตลอดเวลาเลย และยิ่งอยูไปก็ย่ิงสุขงายขึ้น ยิ่งมีของมาก็ยิ่งสุขกันใหญ ฉะน้ันจึงควรทบทวนดูวา ถาหากเรามีอะไรตอ อะไรมากมายแลวก็ยังไมมีความสุข ก็คงจะเปนเพราะสาเหตุอันน้ีดวย คือเราชักจะหมดความสามารถท่จี ะมคี วามสุข การปฏิบัติธรรมน้ัน ในความหมายหน่ึงก็คือการพัฒนาความสามารถท่ีจะมคี วามสขุ เปน การทาํ ใหคนเปน สุขไดงายขึ้น ฉะนนั้ โยมทปี่ ฏิบตั ธิ รรมตอ งนึกถงึ ความหมายที่วาน้ี ถาเราปฏิบัติธรรม เราตองมีความสามารถที่จะมีความสุขไดมากข้ึน และงายข้ึนจะตอ งเปน คนทสี่ ขุ งายขึ้น แลวสองดานน้ีเราไมท้ิงเลยสักอยาง เราจะเปนคนท่ีสมบูรณ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕เพราะวา ในดา นความสามารถทีจ่ ะมีความสขุ เราก็เปนคนที่มีความสุขไดงายขึ้น และในดานการหาวัตถุบํารุงความสุข เราก็มีความสามารถท่ีจะหาไดเพ่มิ ขน้ึ เมอ่ื เปนอยา งนีเ้ ราก็มคี วามสขุ กําลงั สองถาไมม ีความสุขแบบประสาน ก็ไมม ีการพฒั นาแบบย่งั ยืน ทีนี้เรื่องมันไมจบแคน้ี พอเรามีความสามารถท่ีจะมีความสุขไดมากขึน้ ความสุขของเรานน้ั กลบั ขึน้ ตอ วัตถุนอยลง เราก็ไมตองอาศัยวัตถุมากมายท่ีจะมีความสุข เรามีแคพอเหมาะพอควรเราก็มีความสุขเต็มอม่ิ แลว เราก็ไมกังวลในเร่ืองวตั ถมุ าก แตในเวลาเดียวกนั นี้ ความสามารถท่ีจะหาวัตถุบํารุงความสุขของเราก็ยังมีอยูเต็มที่ เราก็หาวัตถุไดเยอะแยะมากมาย แตความสุขของเราไมข ึน้ ตอ สิง่ เหลา น้ัน แลวจะทําอยา งไรละ วัตถุก็เขามาๆ ความสุขของเราก็ไมไดขึ้นตอมัน เราสุขอยูแลวนี่จะทําอยางไรละทีน้ี ปรากฏวา พอดุลยภาพที่วามาน้ีเกิดข้ึน จิตใจของเราก็เปดออก เราก็มีโอกาสคิดถึงความสุขความทุกขของคนอื่น แลววัตถุท่ีเขามามากก็กลายเปนเคร่ืองมือสรางสรรคประโยชนสุขแกเพ่ือนมนษุ ยหรอื แกสังคมไปเลย ตอนน้ีความสุขของเราไมข้ึนตอวัตถุเหลานั้นมากนักแลว สิ่งเหลานั้นมีมามากก็เปนสวนเหลือสวนเกิน และเมื่อใจของเราไมมัวพะวงวุนวายกับการหาส่ิงเสพ ใจน้ันก็เปดออกไปคิดถึงคนอื่น เราก็เลยใชวัตถุเหลาน้ัน ท่ีแสวงหามานี่ ในการชวยเหลือเพ่ือนมนุษย สรางสรรคความดี ทาํ ประโยชนสุขขยายออกไป
๕๔ ชีวติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ต เมือ่ ทาํ อยา งน้ี เรากย็ ่ิงเขา ถึงประโยชนสขุ ในระดับทสี่ อง พอเราทําอยางนี้แลว เราระลึกถึงชีวิตของเราวาไดทําส่ิงที่เปนประโยชนม คี ณุ คา เราก็ย่งิ มีความสขุ ลึกซงึ้ ขนึ้ ในใจของเราอีก ประโยชนสุขขั้นที่สองมาแลว ก็สนับสนุนประสิทธิภาพของประโยชนสุขระดับท่ีหนงึ่ ประโยชนสุขทง้ั สองระดบั ก็เลยสนบั สนนุ ซง่ึ กันและกัน ความสุขของบุคคลก็มาเน่ืองกับความสุขของสังคม ตัวเราสุขงายและไดสุขแลว เราชวยเหลือสังคม เพื่อนรวมสังคมก็ยิ่งมีความสุขและเราเองก็ย่ิงสขุ ขน้ึ ดว ย ความสุขแบบนจี้ ึงเนอื่ งกนั และประสานเสรมิ กัน เวลาเราหาประโยชนสุขระดับที่หน่ึง เราบอกวาเราจะตองไดมากท่ีสุด เราจึงจะมีความสุขท่ีสุด เราก็เลยตองยิ่งแสวงหาใหไดมากท่ีสุดคนอ่ืนเขากม็ องอยา งเดยี วกนั เขากม็ องวา ยิ่งไดมากเขาก็จะยิ่งสขุ มาก เมื่อตางคนตางหา ตางคนตางเอา ตางคนตางได มันก็ตองแยงกันเบียดเบียนกัน มันก็เกิดความทุกขความเดือดรอน เรียกวาเปนความสุขที่ตองแยงชิงกัน เมื่อตองแยงชิงก็เปนการบอกอยูในตัวแลว วา จะตอ งเจอกบั ทุกขดว ย และไมแนว า จะไดสุขหรอื ไม ทีน้ีพอเรามาถึงระดับที่สอง มันเปล่ียนไปกลายเปนวา ความสุขน้ันมันเนื่องกัน สุขของตนกับสุขของคนอ่ืน หรือสุขของบุคคลกับสุขของสังคม มันมาประสานเสริมสนับสนุนซ่ึงกันและกัน ทําใหทุกคนสุขไปดวยกัน มันก็เลยไมตองเบียดเบียนหรือแยงชิงกัน เปนความสุขที่เน่อื งกนั หรอื ความสุขท่ปี ระสานกัน เวลานี้พูดกันมากวาจะตองมีการพัฒนาแบบยั่งยืน โลกจึงจะอยูรอดได แตถ าพฒั นากนั ไปแลว ผคู นมแี ตการหาความสุขแบบแยงชิงกันการพัฒนาแบบยง่ั ยนื กจ็ ะเปน เพยี งความฝน ทไ่ี มมีทางเปน จรงิ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕๕ เราก็มองเห็นกันไดไมยากวา ถามีแตการพัฒนาดานวัตถุ จะพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีและพัฒนาเศรษฐกิจไปเทาไรก็ตามถาไมมีการพัฒนาคนในดานความสามารถท่ีจะมีความสุขนี้ ก็จะตองมีแตการหาความสุขแบบแขงขันชวงชิง การพัฒนาแบบยั่งยืนก็ไมมีทางสําเร็จ ถาจะใหการพัฒนาแบบยั่งยืนสําเร็จผล ก็ตองพัฒนาคนใหม ีความสขุ แบบประสานการพฒั นาแบบยัง่ ยืนมาดว ยกันกบั ความสขุ แบบยง่ั ยนื เม่ือมนุษยพัฒนาอยางมีดุลยภาพ พอจิตใจพัฒนาดีข้ึนมาความสุขท่ีจะตองไดตอ งเอาวัตถมุ า กค็ อ ยๆ อาศัยวตั ถุนอ ยลง ตอนแรกเราจะสุขเม่ือไดเมื่อเอา แตพอเราพัฒนาคุณธรรมข้ึนมามันก็เปลี่ยนแปลงไป ความสุขจะขึ้นตอส่ิงเหลาน้ันนอยลง กลับมาขึ้นตอการมีคณุ ความดี เชนการมคี วามรกั แทเกดิ ขึ้นในใจ ความรักแท คืออะไร คือความอยากใหคนอ่ืนมีความสุข และอยากทําใหเขามีความสุข ตรงขามกับความรักเทียมท่ีอยากไดอยากเอาคนอื่นมาทาํ ใหต วั มีความสขุ ความรักแทนั้นจะเห็นไดจากตัวอยางงายๆ คือ พอแม พอแมรักลูกก็คืออยากใหลูกมีความสุข ความสุขของคนทั่วไปนั้นบอกวาตองไดตองเอาจึงจะมีความสุข แตพอแมไมจําเปนตองไดความสุขจากการไดหรอื การเอา พอ แมใหแ กล ูกกม็ ีความสุข เวลาใหแกลูก พอแมเสียใจหรือทุกขไหม ไมทุกขเลย ใหไป ถาพูดในแงของวัตถุ ก็คือตัวเองเสีย พอแมสูญเสียวัตถุน้ันไป เพราะ
๕๖ ชีวิตที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สันตใหแกล ูก แตพอพอแมใหแกล ูกแลว แทนท่จี ะทกุ ข พอ แมก ลับเปนสุข พอแมสูญเสียแตกลับสุขเพราะอะไร พอแมสละใหแตกลับไดความสุขเพราะอะไร ก็เพราะอยากใหลูกเปนสุข พอแมรักลูกอยากเห็นลูกเปนสุข ความอยากใหค นอน่ื เปน สขุ น้ัน ทา นเรียกวา เมตตา เม่ือเรามีความอยากใหผูอื่นเปนสุข พอเราทําใหคนอื่นเปนสุขไดก็สมใจเรา เรากเ็ ปน สขุ เพราะฉะน้ัน คนใดมีเมตตา เกิดความรักแทข้ึนมา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะไดความสขุ ประเภทท่สี อง คอื ความสขุ จากการให สวนคนที่ขาดเมตตาการุณย ไมมีคุณธรรม อยูกับเขาในโลกตั้งแตเกิดมาก็ไมไดพัฒนา ก็จะมีความสุขประเภทเดียว คือ ความสุขจากการไดและการเอา ความสุขแบบแยงกับเขา ตองได ตองเอาจึงจะเปนสขุ พอเรามีคุณธรรมเกิดข้ึนในใจ คือมีเมตตาขึ้นมา เราก็อยากใหคนอื่นมีความสุข เชนอยากใหลูกมีความสุข พอเราใหแกลูก เราก็มีความสุข ทีน้ีขยายออกไป เรารักคนอ่ืน รักสามี รักภรรยา รักพ่ี รักนอ ง รกั เพอ่ื นฝงู ย่ิงเรารักจริงขยายกวางออกไปเทาไร เราก็อยากใหคนทั่วไปมีความสุขเพ่ิมขึ้นเทานั้น พอเราใหเขาเราก็มีความสุข เพราะเราทําใหเขามีความสุขได เราก็มีความสุขดวย ความสุขของเรากับความสขุ ของเขาเน่ืองกัน ประสานเปนอันเดียวกัน ฉะน้ัน คนท่ีพัฒนาตนดี มีคุณธรรม เชน มีเมตตาเกิดในใจ จึงเปนคนที่ไดเปรียบมาก จะมีความสุขเพิ่มข้ึนและขยายออกไป และไดความสุขท่ีสะทอนเสริม คือกลายเปนวา ความสุขของเราก็เปนความสุขของเขา ความสขุ ของเขาก็เปนความสขุ ของเรา เปนอันเดยี วกนั ไปหมด
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) คนท่ีพัฒนามาถึงระดับนี้ ก็มีความสุขเพิ่มขึ้น และ๕ข๗ยายมิติแหงความสุขออกไป คือ นอกจากความสุขจากการไดการเอาแลว ก็มีความสุขจากการใหเพ่ิมข้ึนมาดวย และเขาก็จะมีชีวิตและความสุขชนิดท่ีเปนอิสระมากข้ึน เพราะความสุขของเขาขึ้นตอวัตถุภายนอกนอ ยลง นอกจากนั้น ความสขุ ของเขาก็เร่มิ เปนเนื้อหาสาระมากขึ้น ไมเปนเพยี งความสขุ ผานๆ ที่ไดจากการเสพวัตถุใหตื่นเตนไปคราวหน่ึงๆ แลวคอยวิ่งตามหาความสุขช้ินตอไปๆ แตเขาจะมีความสุขชนิดท่ียืนพ้ืนประจําอยูในใจของตัวเอง ที่ไมตองรอผลการว่ิงไลตามหาจากภายนอกเรียกไดวา เปน ความสุขแบบยั่งยนื ถาคนพัฒนาจนมีความสุขแบบย่ังยืนไดอยางน้ี ก็จะเปนหลักประกันใหการพัฒนาแบบย่ังยืนสําเร็จผลไดจริงดวย เพราะถาวิเคราะหกันใหถึงท่ีสุดแลว การพัฒนาที่ผิดพลาด ซ่ึงกลายเปนการพัฒนาแบบไมยั่งยืนน้ัน ก็เกิดจากความเชื่อความเขาใจเก่ียวกับเร่ืองความสุขและวิธีการหาความสุขของมนุษย ท่ีไมไดพัฒนาขึ้นมาเลยน่ันเอง ถามนุษยจมอยูกับแนวคิดและวิธีการหาความสุขแบบท่ีไมพัฒนาน้ัน ก็ไมมีทางที่จะทําใหเกิดการพัฒนาแบบยั่งยืนได เพราะฉะน้ัน การพัฒนาท่ียง่ั ยนื จะตอ งมากับความสุขทยี่ ่ังยืน เปนอันวา การพัฒนาในระดับของประโยชนสุขท่ีแทนี้ จะทําใหโลกนี้มีความสุขรมเย็น พรอมกับที่ตัวบุคคลเองก็สุขสบายพอใจ ทุกอยา งดไี ปหมดเลย เพราะอะไรตอ อะไรก็มาเกือ้ กลู ซ่ึงกนั และกัน ฉะน้ัน เมื่อเดินทางถูกแลว ชีวิตก็สมบูรณ และความสุขก็ย่ิง
๕๘ ชีวิตที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ตมากข้นึ จนเปน ความสขุ ทีส่ มบูรณไปดว ย ขอแทรกขอสังเกตวา เวลาเรารักใคร ก็จะมีความรัก ๒ แบบไมแบบใดก็แบบหนึ่ง หรืออาจจะท้ังสองแบบปนกันอยู ไดแก ความรักแบบที่หน่ึง เม่ือรักใคร ก็คืออยากไดเขามาบําเรอความสุขของเราและความรกั แบบทีส่ อง เม่ือรกั ใคร กค็ อื อยากใหเขามคี วามสุข พอเราอยากใหเขาเปนสุข เราก็จะพยายามทําใหเขาเปนสุข ไมวาจะทําอยางไรก็ตามท่ีจะทําใหเขาเปนสุขได เราก็พยายามทําเพราะฉะน้ัน เรากใ็ ห เรากช็ ว ยเหลือเกื้อกูลเอาใจใสอะไรตางๆ ทําใหเขาเปน สขุ พอเขาเปนสขุ เรากเ็ ปน สุขดว ย ฉะน้ัน ความรักประเภทที่ ๒ น้ีจึงเปนคุณธรรม ทานเรียกวาเมตตา เชน พอแมรักลูก ก็อยากใหลูกเปนสุข แลวก็พยายามทําใหลูกเปนสุข ดว ยการใหเปนตน เราก็ขยายความรักประเภท ๒ คือเมตตานี้ออกไปใหกวางขวางเปนการพัฒนาที่ทําใหมีชีวิตและสังคมท่ีดีงาม เพราะตัวเราเองก็ขยายขอบเขตของความสุขไดมากขน้ึ พรอมกบั ที่โลกกม็ คี วามสขุ มากขึน้ ดวย ตกลงวา นี่แหละคือหลักธรรมตางๆ ท่ีพระพุทธเจาสอนไว ซึ่งถาเราปฏิบัติตามได ก็เปนคุณประโยชนแกชีวิตของเรา และชวยใหโลกน้ีรม เยน็ เปน สขุ ไปดวยชีวิตสมบรู ณ ความสขุ กส็ มบรู ณ สังคมกส็ ขุ สมบรู ณเพราะจติ เปนอิสระดวยปญ ญา ที่ถงึ การพัฒนาอยา งสมบูรณ การปฏิบัติธรรมนี้ทําใหทุกอยางประสานกลมกลืนกันไปหมดเชน ประโยชนสุขของเราก็เปนไปเพ่ือประโยชนสุขของผูอื่นดวย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕ประโยชนสขุ ของผูอน่ื กเ็ ปนประโยชนสขุ ของเราดว ย ไมข ัดแยง กนั แตถาเราไมปฏิบัติตามธรรม ทุกอยางจะขัดแยงกันหมด แมแตความสุข กเ็ ปนความสขุ ทแ่ี ยงชิงกนั ซ่ึงจะตองเปนทุกขม ากกวาสขุ เม่ือปฏิบัติไปตามหลักการนี้จนถึงที่สุดแลว เราก็เปนอิสระอยางที่วามาแลว จนถึงข้ันที่วา กฎธรรมชาติที่วาสิ่งท้ังปวงเปนอนิจจัง ทุกขังอนัตตา มันก็เปนของมันตามธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็เปนกฎของธรรมชาติ มันเปนอยางไรก็เปนของมันไปซิ เราก็อยูดีไดอยางเปนอิสระของเรา ไมถูกมนั เขามาบบี ค้นั ถาทําไดถึงขั้นน้ัน ก็เปนความสุขที่ไมขึ้นตอวัตถุและไมขึ้นแมตอนามธรรมความดี เปนความสุขท่ีไมตองหา ไมตองไปขึ้นตอส่ิงอื่น คือมีความสุขเต็มเปยมอยใู นใจตลอดเวลา เมื่อมีความสุขเต็มอยูในใจตลอดเวลาแลว มันก็เปนอิสระ เปนปจจุบันทุกขณะ ก็จึงเรยี กวาเปนชีวิตทีส่ มบรู ณ เมื่อเรามีชีวิตท่ีสมบรู ณเปนอิสระอยางนแ้ี ลว เราจะมีประโยชนสุขขั้นท่ีหน่ึง และประโยชนสุขข้ันท่ีสอง มันก็เปนสวนประกอบเขามา ท่ีไมทําใหเกดิ ปญ หา และย่ิงเพิ่มพนู ขยายประโยชนสุขใหทวียง่ิ ข้ึนไปอีก ฉะนั้น ในฐานะพุทธศาสนิกชน เราควรจะพัฒนาชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาใหเขาถึงประโยชนส ุขทกุ ขั้น ขอทบทวนอีกทหี น่งึ ประโยชนสุขระดับที่ ๑ ดานรูปธรรม ท่ีตามองเห็นหรือเห็นไดกับตา คือการมีสุขภาพดี การมีทรัพยสินเงินทอง การมีอาชีพการงานเปนหลักฐาน การมียศ ฐานะ ตําแหนง การเปนท่ียอมรับในสังคม การมมี ติ รสหายบรวิ าร และการมชี ีวติ ครอบครัวทีด่ ี
๖๐ ชวี ิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต ประโยชนสุขระดับที่ ๒ ดานนามธรรม ที่ลึกล้ําเลยจากตามองเห็น คือเร่ืองของคุณธรรมความดีงาม การมีความสุขที่เกิดจากความมั่นใจในคุณคาของชีวิต การไดบําเพ็ญประโยชนชวยเหลือเก้ือกูลแกเพ่ือนมนุษย ความมีศรัทธาในส่ิงท่ีดีงาม ที่เปนหลักของจิตใจ และการมีปญญาทีท่ าํ ใหรูจ กั ปฏิบัติตอสิ่งท้ังหลายไดถูกตองและแกไขปญหาที่เกดิ ขึ้นได ทําใหช วี ิตเปน อยูดว ยดี ประโยชนสุขระดับท่ี ๓ ดานนามธรรมข้ันโลกุตตระ ท่ีอยูเหนือกระแสความไหลเวียนของโลกธรรม คือความเปนผูมีจิตใจเปนอิสระดวยความรูเทาทันตอสิ่งท้ังหลาย รูโลกและชีวิตตามความเปนจริงจนกระท่ังวาโลกธรรมเกิดข้ึนมากระทบกระทั่งก็ไมหวั่นไหว วางใจและปฏบิ ตั ิไดถูกตองตามเหตุปจ จยั ปลอยใหกฎธรรมชาติทั้งหลายก็เปนกฎธรรมชาติอยูตามธรรมชาติ ความทุกขท่ีมีอยูในธรรมชาติ ก็คงเปนทุกขของธรรมชาติไป ไมเขามากระทบกระทั่งบีบคั้นจิตใจของเราได เปนผูมีสุขอยกู ับตนเองตลอดทุกเวลา ก็จบ ไดเ ทา น้ี ชวี ิตก็สมบูรณแลว อาตมามาในวันนี้ ก็เลยนําธรรมของพระพุทธเจาเร่ืองชีวิตที่สมบูรณน้ีมาเลาใหญาติโยมฟง อยางนอยในวันนี้ญาติโยมก็ทําประโยชนสุขไดมากแลว ๑. ในดานปจจัยส่ี ทรัพยสินเงินทอง และฐานะทางสังคมตลอดจนมิตรสหายบริวาร ทานท้ังหลายที่มานี่ อาตมาเช่ือวาก็ทํากันมาไดมากพอสมควร คือมีประโยชนสุขในดานวัตถุ ท่ีเปนรูปธรรมซึ่งตามองเหน็ กนั เยอะแยะ นบั วาเปนฐานทดี่ แี ลว ๒. ในขณะน้ีทานท้ังหลายก็มีใจเปนบุญเปนกุศล พากันเดินทาง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๖๑มาดวยความมีศรัทธาในพระศาสนา มีนํ้าใจเก้ือกูลตอพระสงฆ มีไมตรีธรรมตอกันในหมูญาติมิตร แลวก็มาพบกันดวยความสุขช่ืนใจในไมตรีตอกัน โดยที่แตละทานก็เปนผูมีการศึกษา มีหนาที่การงาน และมีการสมาคมที่ทําใหมคี วามคิดคํานึงเกย่ี วกับการสรา งสรรคส งั คมสวนรวม นี่ก็เปนเร่ืองของนามธรรมความดี ที่จะทําใหเราพัฒนากันย่ิงขึ้นไป และจะทําใหเราใชประโยชนสุขระดับที่ ๑ เชน ทรัพยสินเงินทอง ยศ ตําแหนง อํานาจ ในการท่ีจะทําประโยชนสุขขั้นที่สองใหเกิดเพมิ่ ข้ึน ประโยชนสขุ ก็ขยายออกไป ๓. เม่ือเรามชี ีวติ และอยใู นโลก กต็ อ งรูจ กั ชวี ิตและรจู กั โลกน้ันใหชัดเจนตามเปนจริง อยางท่ีวารูเทาทันโลกและชีวิตน้ัน เราจะไดปฏิบัติตอ มนั ไดถกู ตอ งจรงิ ๆ ท้ังทางจิตใจและในการดําเนินชีวติ เม่ือไดสรางสรรควัตถุและทําความดีกันมาแลว ก็ควรเขาถึงความจริงกันใหจริงๆ ดวย จึงจะไดประโยชนจากพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณแลว กจ็ ะทําใหชวี ติ ของเราเปนชีวติ ท่ีสมบูรณ โดยมจี ติ ใจทีเ่ ปนอิสระเหนือโลกธรรมทง้ั ปวง ดว ยปญ ญาทีส่ มบูรณ และมีความสขุ ท่สี มบูรณ
เพมิ่ พลังแหงชวี ติ ∗ คณะโยมญาติมิตรมีศรัทธามาทําบุญในวันน้ี โดยปรารภโอกาสมงคลครบรอบวันเกิด ท้ังส่ีทานมารวมทําบุญดวยกัน โดยตรงกับวันเกิดบาง เน่ืองในวันเกิดบาง นับวาเปนความพรอมเพรียงกัน ซึ่งทางพระเรยี กวา “สามคั ค”ีเร่ิมตนดี ดวยสามัคคใี นบญุ กุศล ความพรอมเพรียงกนั ในวันน้ี มหี ลายแง ๑. พรอมเพรียงในแงท่ีมีวันเกิดใกลๆกัน เรียกวา รวมกันในแง วนั เกิด ๒.พรอมเพรียงในแงของจิตใจ คือ ทุกทานมีจิตใจที่จะทําบุญทํา กุศล โดยมีบุญกศุ ลเปนศูนยกลาง เปนท่ีรวมใจ ๓. พรอมเพรียงในแงวา ทุกทานเปนญาติโยมท่ีไดอุปถัมภบํารุง วัดนี้มา แมกระทั่งบวชท่ีนี่ แตพดู งายๆ กเ็ ปนโยมวดั น่นั เอง รวมแลว ก็มีความหมายวา ทุกทานไดรวมกัน ในความสามัคคีพรอมเพรยี งทุกดานทว่ี า มาน้นั ความพรอมเพรียงสามัคคีน้ีเปนธรรมสําคัญ ท้ังทําใหเกิดกําลังและทําใหมีบรรยากาศแหงความสุข เม่ือคนเรามีใจพรอมเพรียงกันดี ก็∗ สัมโมทนยี กถาของพระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ในการถวายสงั ฆทานเนอื่ งในมงคลวารคลา ย วันเกดิ ของ พลโท นพ.ดาํ รง ธนชานันท คุณนงเยาว ธนชานันท ดร.สุรยี ภมู ิภมร และในโอกาสแหง ป ครบ ๕ รอบอายุของ ดร.อรพนิ ภมู ิภมร ทีว่ ดั ญาณเวศกวนั ๑๙ ธ.ค. ๒๕๔๖
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๓คือมีมิตรไมตรี มเี มตตา จติ ใจกม็ คี วามสุข และบรรยากาศก็ดไี ปตาม นอกจากตัวเจาของวันเกิดเองแลว ยังมีญาติมิตรหลายทานมารว มทําบญุ ดว ย ก็ถอื วา มีความสามคั คีพรอ มเพรียงกนั ทัง้ ส้ิน นอกจากพรอมเพรียงกันทางใจแลว ยังมาพรอมเพรียงกันทางกายดวย ใจน้ันพรอมเพรียงกันดวยบุญกุศล สวนกายก็พรอมเพรียงดวยการมารว มพธิ ี มาประชุมน่ังอยูดวยกนั เมื่อบรรยากาศและกิจกรรมเปนบุญเปนกุศล เปนการเร่ิมตนท่ีดีอยางนี้ ก็เปนเคร่ืองสงเสริมชีวิต โดยเปนเครื่องปรุงแตงท่ีดี หรือเปนปจจยั อนั ดที จี่ ะสง เสรมิ ใหช วี ิตเจรญิ งอกงามยง่ิ ขนึ้ ไป อายุ ๖๐ ปน้ีถือวาเปนปท่ีสําคัญ และนิยมกันวาเปนกาละพิเศษคือพิเศษทงั้ ในแงข องการครบรอบใหญถ ึงหารอบ และในแงของผทู ํางานราชการก็เปน วาระเกษียณอายรุ าชการ วันเกิดครบหารอบเปนเร่ืองเกี่ยวกับอายุท่ีสําคัญ และวาท่ีจริงทุกทานที่เปนเจาของวันเกิดมาทําบุญวันนี้ ก็มีอายุใกลๆ กัน คือมีอายุอยูใ นชวงหกสิบปถา รูเขา ใจ จะอยากใหอ ายุมาก อายุในชวงหกสิบป เปนกาลเวลาสําคัญท่ีชีวิตกาวเดินหนามา เราพดู กันวา ชักจะมอี ายุมากแลว ท่ีจริงนั้น คําวา “อายุมาก” ในภาษาพระน้ีดี แตในภาษาไทยเราอยากจะใหอายุนอย ในภาษาพระกลับกัน ถาอายุนอยไมดี อายุมากจึงจะดี ทําไมจงึ วาอยางน้ัน ขอใหด ูในคาํ ใหพรวา อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ซึ่งเร่ิมที่อายุ บอก
๖๔ ชีวติ ท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตวาใหมีทุกอยางมากๆ มีสุขมากๆ มีกําลังมากๆ มีวรรณะก็มาก แลวก็ตอ งมอี ายมุ ากดว ย ที่วาใหพร อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ก็คือบอกวาใหมีอายุมากๆ มีวรรณะมากๆ คือสวยงามมาก มีสุขมาก และมีพละกําลังมาก แลวทาํ ไมเราไมช อบละ อายุมากๆ เรานา จะชอบ ทําไมวาอายมุ ากดี ก็ตอ งมาดูคาํ แปลกอนวา อายุแปลวาอะไร อายุในภาษาพระนัน้ มคี วามหมายทด่ี ีมาก ญาติโยมตองเขาใจ “อายุ” นี้ ถาแปลเปนภาษาไทยงายๆ ก็แปลวา พลังหลอเลี้ยงชีวิต หรือปจจัยสงเสริมที่จะหลอเล้ียงใหชีวิตมีความเขมแข็ง และดํารงอยูไดดีอยางมั่นคง เพราะฉะนั้นอายุยิ่งมากก็ยิ่งดี ไมไดหมายความวาเปนชวงเวลาของการเปนอยูวาอยูมานาน แตหมายถึงขณะน้ีแหละ ถาเรามีอายุมากก็คือ มีพลังชีวิตมาก แสดงวาเราตองแข็งแรง เราจึงมีอายุมาก เพราะฉะน้ัน ทุกคนในแตละขณะนี้แหละ สามารถจะมีอายุนอยหรืออายุมากไดทกุ คน คนที่เรียกในภาษาไทยวาอายุมาก ก็อาจจะมีอายุของชีวิตนอยคอื มีพลงั ชวี ติ นอ ยนั่นเอง แตเด็กที่เราเรียกวาอายุนอยก็อาจจะมีอายุมาก หมายความวาแกมพี ลังชวี ติ เขมแขง็ หรอื มปี จ จัยเคร่ืองหลอเลย้ี งชวี ิตอยางดี เพราะฉะน้ัน ในภาษาพระ ความหมายของการมีอายุนอย และอายมุ าก จงึ ไมเ หมือนในภาษาไทย เปนอันวา ในท่ีนี้เราพูดตามภาษาพระวาอายุมากดี แสดงวาชีวิตเขมแข็ง เม่ืออายุมีความหมายอยางน้ีแลว เราก็ตองพยายามสงเสริม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๖๕อายุ เพราะฉะน้ันทานจึงสอนวิธีปฏิบัติ คือธรรมะ ที่จะทําใหเรามีอายุมาก หรือมีพลังชวี ติ เขม แข็ง ถาพูดเปนภาษาไทยวาอายุมาก ก็อาจจะรูสึกขัดหู ก็เปลี่ยนเสียใหมว า มีพลงั อายุหรือพลังชีวิตเขมแขง็หาคําตอบใหไ ด วาพลังชวี ิตอยูที่ไหน การที่จะมีพลังอายุเขมแข็ง ทําไดอยางไร ก็ตองมีวิธีปฏิบัติและวิธีทําก็มีหลายอยาง หลักอยางหน่ึงทางพระบอกไววาจะทําใหมีอายุยืน การทจ่ี ะมอี ายยุ ืนกเ็ พราะมีพลงั ชีวิตเขม แขง็ เริ่มดว ย ๑. มีความใฝปรารถนา หมายถึงความใฝปรารถนาที่จะทําอะไรที่ดีงาม คนเรานั้น ชีวิตจะมีพลังท่ีเขมแข็งได ตองมีความใฝปรารถนาท่ีจะทาํ อะไรบางอยาง ถาเรามีความใฝปรารถนาท่ีจะทําอะไรท่ีดีงาม หรือคิดวาสิ่งน้ีดีงามเราจะตองทํา ฉันจะตองอยูทําส่ิงน้ีใหได ความใฝปรารถนานี้จะทําใหชวี ติ เขมแขง็ ข้ึนมาทนั ที พลังชีวติ จะเกดิ ขึน้ เพราะฉะน้ัน ในสมัยโบราณ เขาจึงมีวิธีการคลายๆ เปนอุบายใหคนแกหรือทานผูเฒาชรามีอะไรสักอยางที่มุงหมายไวในใจวา ฉันอยากจะทาํ นั่นทํานี่ และมักจะไปเอาท่ีบุญกุศล อยางเชนในสมัยกอนยังไมมีพระพุทธรูปมากเหมือนในสมัยนี้ ทานมักจะบอกวาตองสรางพระแลวใจก็ไปคดิ อยกู ับความปรารถนาที่จะสรางพระน้ัน หรอื วา ญาติโยมคิดจะทําอะไรท่ีดีๆ งามๆ แ ม แ ต เ กี่ ย ว กั บลกู หลานวา จะทําใหเ ขามีความเจริญกาวหนา จะทาํ อยา งน้นั อยา งนใ้ี หได ใจท่ีใฝปรารถนาจะทําสิ่งท่ีดีงามนั้น จะทําใหชีวิตมีพลังขึ้นมาทันที
๖๖ ชวี ิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตนี้เปนตัวที่หน่ึง เรียกวา “ฉันทะ” คือความใฝปรารถนาที่จะทําอะไรสักอยางที่ดีงาม ซึ่งควรจะใหเขมแข็งหนักแนน จนกระทั่งวา ถานึกวาส่ิงน้ันดีงามควรจะทําแทๆ อาจจะบอกกับใจของตัวเองวา ถางานนี้ยังไมเสรจ็ ฉันตายไมไ ด ตอ งใหแรงอยางน้ัน ถา มีใจใฝปรารถนาจะทําอะไรที่ดีงามแรงกลา แลวมันจะเปนพลังท่ใี หญเ ปนทหี่ น่งึ เปนตัวปรุงแตงชวี ิต เรียกวาอายุสงั ขาร เหมือนอยางพระพุทธเจา แมจะทรงพระชรา เม่ือยังทรงมีอะไรท่ีจะกระทํา เชนวาทรงมีพระประสงคจะบําเพ็ญพุทธกิจ ก็จะดํารงพระชนมอยูตอไป ตอนท่ีปลงอายุสังขาร ก็คือทรงวางแลว ไมปรุงแตงอายุตอ แลว “อายุสังขาร” แปลวา เคร่ืองปรุงแตงอายุ คือ หาเคร่ืองชวยมาทําใหอายุมีพลังเขมแข็งตอไป วาฉันจะตองทําโนนตองทํานี่อยู ถาอยางน้ลี ะก็อยูไดตอ ไป ขอที่ ๑ น้ีสําคัญแคไหน ขอใหดูเถิด พระพุทธเจาพอตกลงวาพระพุทธศาสนาม่ันคงพอแลว พุทธบริษัท ๔ เขมแข็งพอแลว เขารับมอบภาระไดแลว พระองคก็ทรงปลงอายุสังขาร บอกวาพอแลวพระองคกเ็ ลยประกาศวา จะปรนิ พิ พานเมื่อน้นั เม่ือน้ี หลักขอน้ีใชไดกับทุกคน ขอท่ี ๑ คือ ตองมีใจใฝปรารถนาท่ีจะทําอะไรที่ดีงาม แลวตั้งม่ันไว แตมองใหชัดวา อันนี้ดีแน และคิดจะทําจริงๆพอจับแกนอายุได กพ็ ฒั นาตอไปใหค รบชดุ ๒. มคี วามเพียรมงุ หนา กาวไป พอมีใจใฝปรารถนาจะทําส่ิงท่ีดี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๖๗งามนั้นแลว ก็มุงหนา ไป คอื มงุ ทจี่ ดุ เดียวนั้น เดินหนาตอไปในการเพียรพยายามทําสิ่งน้ันใหสําเร็จ ก็ยิ่งมีพลังแรงมากข้ึน ความเพียรพยายามมงุ หนา กาวไปนเี้ ปน พลังท่สี ําคญั ซง่ึ จะไปประสานสอดรบั กบั ขอท่ี ๓ ๓. มีใจแนวอยูกับสิ่งท่ีอยากทํานั้น เมื่อแนวแลวก็จดจอ จนอาจจะถงึ ข้ันที่เรียกวา อทุ ิศตัวอุทศิ ใจให คนแก หรอื คนทีม่ อี ายมุ ากนั้น ถาไมม อี ะไรทํา ๑)มักจะน่ังคิดถงึ ความหลังหรอื เรอ่ื งเกา ๒) รับกระทบอารมณตางๆ ลูกหลานทําโนนทํานี่ ถูกหูถูกตาบาง ขัดหขู ัดตาบา ง ก็มักเก็บมาเปนอารมณ ทีน้ีก็บนเร่ือยไป ใจคอก็อาจจะเศรา หมอง แตถามีอะไรจะทําชัดเจน ใจก็จะไปอยูท่ีนั่น คราวน้ีไมวาจะมีเร่ืองอะไรเขามา หรือมีอารมณมากระทบ ก็ไมรับ หรือเขามาเดี๋ยวเดียวก็ผานหมด ทีน้ีก็สบาย เพราะใจไปอยูกับบุญกุศล หรือความดีท่ีจะทําน้คี ือ ไดข อ ๓ แลว ใจจะแนว ตดั อารมณก ระทบออกไปหมดเลย คนทีม่ ีอายุสงู มักจะมีปญหาน้ี คือรบั อารมณกระทบ ที่เขามาทางตา ทางหู จากลูกหลานหรือคนใกลเคียงนั่นแหละ แตถาทําไดอยางท่ีวามาน้ี ก็สบาย ตัดทกุ ข ตดั กงั วล ตัดเรอ่ื งหงุดหงิดไปหมด ๔. มกี ารคิดพิจารณาใชป ญ ญา เม่อื มีอะไรที่จะตองทําแลวและใจก็อยูทนี่ ั่น คราวนี้ก็คิดวาจะทําอยางไร มันบกพรองตรงไหน จะแกไขอยา งไร ก็วางแผนคิดดว ยปญ ญา ตอนน้ีคิดเชิงปญญา ไมคิดเชิงอารมณแลว เรียกวาไมคิดแบบปรงุ แตง แตคิดดวยปญญา คิดหาเหตุหาผล คิดวางแผน คิดแกไข คิดปรับปรุง โดยใชปญญาพิจารณา สมองก็ไมฝอ เพราะความคิดเดินอยู
๖๘ ชีวติ ท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตเรอ่ื ย ส่ีขอนี้แหละ พระพุทธเจาตรัสไวแลว บางทีเราก็ไมไดคิดวาธรรม ๔ ขอน้ีจะทําใหอายุยืน เพราะไมรูจักวามันเปนเคร่ืองปรุงแตงชวี ิตหรอื ปรุงแตง อายุ ท่เี รียกวาอายสุ งั ขาร พระพุทธเจาจึงตรัสไววา ถามีธรรม ๔ ประการนี้แลว อยูไปไดจนอายุขัยเลย หมายความวา อายุขัยของคนเราในชวงแตละยุคๆ น้ันส้ันยาวไมเทากัน ยุคน้ีถือวาอายุขัย ๑๐๐ ป เราก็อยูไปใหได ๑๐๐ ปถาวางใจจัดการชีวิตไดถ ูกตอ งแลวและวางไวใหด ี ก็อยไู ด ธรรม ๔ ประการน้ี พระพุทธเจาตรัสเรียกวา อิทธิบาท ๔ ทีนี้ก็บอกภาษาพระให คือ ๑)ฉันทะ ความใฝปรารถนาท่ีจะทํา คือความอยากจะทํานั่นเองเปน จดุ เรมิ่ วา ตอ งมีอะไรท่ีอยากจะทํา ทด่ี ีงามและชดั เจน ๒)วริ ยิ ะ ความมีใจเขม แขง็ แกรงกลา มุงหนา พยายามทาํ ไป ๓)จติ ตะ ความมีใจแนว จดจอ อทุ ศิ ตวั ตอสงิ่ นน้ั ๔)วิมังสา การไตรตรองพิจารณา ใชปญญาใครครวญในการท่ีจะปรบั ปรุงแกไขทาํ ใหดีย่งิ ขน้ึ ไป จนกวาจะสมบรู ณ สี่ขอน้ีเปนหลักความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ ถาญาติโยมท่ีสูงอายุนําไปใช ก็จะเปนประโยชนอยางมาก และรับรองผลไดมากวันน้ีจงึ ยกหลกั ธรรมนข้ี ึ้นมา แมแตลูกหลาน หรือทานท่ีอายุยังไมสูง ก็ใชประโยชนได และควรเอาไปชวยทานผูใ หญ คุณปู คุณยา คณุ ตา คณุ ยายดว ย แมเพียงแคขอที่ใหใจแนวอยูกับสิ่งใดส่ิงหน่ึงที่เปนบุญกุศล เชนระลึกนึกถึงสิ่งที่ทําไปแลว วาทานไดทําบุญทํากุศลทําความดีอะไรไว
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๖๙ลูกหลานก็คอยยกเอาเรื่องนี้ข้ึนมาพูด ทําใหใจของปูยาตายายอยูกับสิ่งน้ันท่ีดีงาม ไมใหใจทานไปอยูกับเร่ืองท่ีวุนวาย เดือดรอน ขุนมัวเศราหมอง สวนอะไรที่ทําใหใจขุนมัวเศราหมอง พอมันจะเกิดขึ้น เราก็ใชสติกนั ออกไปหมดเลย แลวกห็ ยุด สติเปนตัวจับ เหมือนเปนนายประตู พอมีอะไรท่ีไมถูกตอง ไมดีไมง าม เราจะใหตวั ไหนเขาตวั ไหนไมเ ขา เรากใ็ ชส ตินน้ั แหละจดั การ พอตัวไหนจะเขามา สติก็เจอกอนเพราะเปนนายประตู ตัวนี้ไมดีก็กันออกไปเลย ไมใหเขามาสูจิตใจ สวนอันไหนที่ดี ทําใหจิตใจดีงามเบิกบานผองใส ก็เอาเขามา สติก็เปดรับ อยางน้ีก็สบาย ชีวิตก็มีความสขุ ความเจริญงอกงามเมอ่ื อายคุ บื หนา เรากเ็ ติมพลังอายไุ ปดว ย วันเกิดเปนวันที่เราเริ่มตน วันเกิดคือวันเริ่มตนของชีวิต และในแตละปถือวาเปนการเริ่มตนในรอบอายุของปน้ันๆ ท่ีสําคัญก็คือ ใหนําคติและความหมายของการเกิดน้ีมาใชประโยชน วาการเกิดของชีวิต ที่เราเรยี กกันวาเกิดเม่อื วนั นนั้ ปน้ัน อยางนเ้ี ปน การเกดิ ครง้ั เดียวของชีวติ แตท่ีจริงน้ัน ถาวาทางธรรมแลว การเกิดมีอยูทุกเวลา และเราก็เกิดอยูตลอดเวลา ทั้งรางกายของเรา และจิตใจของเรา หรือท้ังรูปธรรมและนามธรรมหมดทั้งชีวิตนี้ เกิดอยูทกุ ขณะ ในทางรางกาย เราก็มีเซลลเกาและเซลลใหม มันเกิดตอกันแทนกนั อยตู ลอดเวลา ทางจิตใจนี่ ทุกขณะก็มีความเกิด ทั้งเกิดดีและเกิดไมดี เม่ือ
๗๐ ชวี ติ ท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สันตโกรธข้ึนมา ที่เรียกวาเกิดความโกรธ ก็เปนการเกิดไมดี ถาเกิดความอิ่มใจขนึ้ มากเ็ ปน เกิดดี เรียกวาเกดิ กศุ ล เกดิ เมตตาขึ้นมา เกิดมีไมตรี เกิดศรัทธา เกิดเยอะแยะไปหมด ในใจของเรามีการเกิดตลอดเวลา เรียกงา ยๆวา เกิดกศุ ล และเกิดอกศุ ล ในเมื่อการเกิดโดยท่ัวไปมี ๒ แบบอยางน้ี เราจะเลือกเกิดแบบไหน เรากต็ อ งเลือกเกิดกุศล คอื ตอ งทาํ ใจใหม ีการเกดิ ทดี่ ตี ลอดเวลา เพราะฉะน้นั วนั เกิดจึงมีความหมายทีโ่ ยงมาใชปฏิบัติได คือทําใหม กี ารเกดิ ของกุศล ถาทําใจของเราใหเกิดกุศลไดทุกเวลาแลว ชีวิตก็เจริญงอกงามเพราะการท่ชี ีวิตของเราเจริญเติบโตมานี้ ไมใชวาเกิดคร้ังเดียวในวันเกิดที่เริ่มตนชีวิตเทานั้น แตมันตองมีการเกิดทุกขณะตอจากนั้น ชีวิตจึงเจริญงอกงาม เตบิ โตขน้ึ มาได กุศลคือความดีงามตางๆ เริ่มตนข้ึนในใจ เม่ือเกิดขึ้นมาแลว มันกเ็ ขาสคู วามคดิ และออกมาสกู ารพูดการทํา แลว ก็เจริญงอกงามตอ ไป การที่มันเจริญงอกงาม ก็คือเกิดบอยๆ เชนใหศรัทธาเกิดบอยๆ หรือเมตตาเกิดบอยๆ ตอมาศรัทธา หรือเมตตานั้นก็เจริญขยายงอกงามย่ิงข้ึน เพราะฉะน้ัน เมื่อทาํ ใหเกดิ บอ ยๆ กเ็ จรญิ งอกงาม พอเจริญงอกงามแลว ความเกิดของกุศลตัวนั้นก็จะมีการสงตอไปใหตัวอื่นรับชวงอีก เชนเม่ือเราเกิดศรัทธาข้ึนมา เราก็อาจจะนึกอยากจะทําบุญทํากุศลอยางน้ันอยางนี้ตอไปอีก เรียกวามันเปนปจจัยแกกัน ก็หนุนเนอ่ื งกนั ฉะน้ัน กุศลก็ตาม อกุศลก็ตาม จึงมีความสัมพันธซ่ึงกันและกันเปน ปจ จัยตอกัน พอตวั หนง่ึ มาแลว เราก็ทําใหมันเปนปจจัยตอไปยังอีก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗๑ตัวหน่ึง อีกตัวหน่ึงก็ตามมา แลวก็หนุนกันไปๆ คนท่ีฉลาดในกระบวนเหตุปจจัย จึงสามารถทําส่ิงท่ีดีงามใหขยายเพ่ิมพูนไดมากมาย ท้ังหมดนร้ี วมแลวก็อยูใ นคําวา เจริญงอกงาม เมื่อวันเกิดเปนนิมิตในคติวาเราจะตองทําใหเกิดกุศลในใจอยางนี้เราจึงควรพยายามทาํ ใหเกิดธรรมะเหลานี้ เร่ิมดวยเกิดฉันทะ คือความใฝป รารถนาจะทําสิ่งที่ดีงาม แลวก็เกิดวิริยะ คือมีความเพียรมุงหนาจะไปทําส่ิงน้ัน และจิตตะ คือความมีใจแนวจองจะทําส่ิงน้ัน พรอมทั้งวิมังสา ไดแกก ารใชปญ ญาพจิ ารณาไตรตรองในเรอ่ื งท่ที ําน้นัสรา งสรรคข างใน ใหส อดคลอ งกันกับสรางสรรคขา งนอก พรอ มกันน้ัน ควรจะมีอีก ๕ ตัว ใหเปนเคร่ืองหมายของธรรม ๕อยาง ที่จะเขาคูกับอายุ ๕ รอบ เปนตัวอยางของการทําใหเกิดกุศลข้ึนในใจตลอดไปทุกขณะ ถาใครทําได ก็เอามารวมกับอิทธิบาท ๔ เม่ือก้ีคราวนีจ้ ะดีใหญเ ลย ธรรม ๕ ตัวนี้พระพุทธเจาตรัสเสมอ ถือวาเปนธรรมะคูชีวิตของทุกทาน เหมือนอยูในใจตั้งแตทานเกิดขึ้นมา ถาใครทําได ชีวิตจะเจริญงอกงาม มคี วามสขุ ทกุ เวลา และอายุกจ็ ะยืนดวย ๕ อยา งอะไรบาง ๑. ทานใหมีความราเริงเบิกบานใจตลอดเวลา เรียกวาปราโมทยเปนธรรมท่ีสําคัญมาก ถือวาเปนธรรมพ้ืนจิต ถาใครอยากเปนชาวพุทธท่ดี ี ตอ งพยายามสรา งปราโมทยไวประจําใจใหได พระพุทธเจาถึงกับตรัสไวในธรรมบทวา “ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ” ภิกษุผูมากดวยปราโมทย จักกระทําความส้ินทุกขได ใครท่ใี จมีปราโมทยอ ยเู สมอ จะหมดความทุกข บรรลุนิพพานได
๗๒ ชีวติ ทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสันต ชาวพุทธบางทีก็ไมไดนึกถึง มัวไปคิดอะไร จะทําโนนทํานี่ท่ียากเยน็ แตไ มไดท าํ ของงายๆ คือปราโมทยใ นใจของเราน้ี ใจท่ีจะไปนิพพานไดตองมีปราโมทย ถาไมมีปราโมทยก็จะไมไดไป เพราะฉะนน้ั ตองทํากับใจของตัวใหไดกอ น ใจมีปราโมทย คือใจที่ราเริงเบิกบานแจมใส จิตใจท่ีไปนิพพานเปนใจที่โลงโปรงเบา ไมขุนมัว ไมเศราหมอง ปราโมทยทําใหไมมีความขุนมัวเศราหมอง เพราะฉะนั้น ญาติโยมตองทําใจใหไดปราโมทยทุกเวลา คอื รา เรงิ เบิกบาน แจม ใส เปน พ้ืนจติ ประจําใจ ๒. ปติ ความอ่ิมใจ ปลาบปลื้ม ขอน้ีเจาะลงไปในแตละเร่ืองแตละกิจ เวลาทําอะไร เชนอยางโยมทําครัว เรารูอยูแลววากําลังทําบุญทํากุศล เดี๋ยวอาหารเสร็จก็จะไดถวายพระ เล้ียงพระ พระทานก็จะไดฉันฉันแลวทานก็จะไดมีกําลังไปทําหนาท่ีการงาน ทําศาสนกิจ ไดเลาเรียนศึกษาปฏิบัติ แหม เราไดมีสวนชวยอุปถัมภบํารุงพระพุทธศาสนา เสริมกําลังพระ ใหพระศาสนาเจริญรุงเรือง มองเห็นโลงไปหมด การท่ีเราทําทุกอยา งนี่ กจ็ ะเปน ไปเพ่อื ผลดอี ยา งนัน้ นึกขน้ึ มา ก็อิม่ ใจ ปลื้มใจ ตอนนี้ปญญาก็มาดวย คือเวลาทําอะไรเราก็มองเห็นวา ผลดีจะเกิดอยางนั้นๆ แมแตกวาดบาน ทําครัว หรือลางจาน หรือหุงขาว ทุกขณะโยมนกึ อยางน้แี ลว กอ็ ่มิ ใจ ปลืม้ ใจ เรียกวา มปี ติ เม่อื มีปราโมทยเปน พื้นใจแลว ก็ใหมปี ติ ไมวาจะทําอะไรทุกอยางแมแ ตท าํ งานทําการ อยางคุณหมอรักษาคนเปนโรค ทําใหคนเจ็บไขหายปวยแข็งแรงพอนึกถึงภาพของเขาที่จะแข็งแรง เขาหายปวยสบายแลว ก็นึกไปถึงสังคมทด่ี เี ขมแขง็ นึกไปอยา งน้ี
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๓ ไปปลูกตนไม ก็มองเห็นวาจะไดชวยประเทศชาติ หรือมาชวยวัดใหเปน ที่ร่นื รมยร ม รื่น เปน ทเี่ ชดิ ชจู ิตใจคน ใหเ ขามคี วามสขุ เวลาทํางาน ใจของเราอาจจะเครียดได ใจไมสบาย แตถาเรานึกไปไกลโดยมองเห็นผลท่ีจะเกิดข้ึนในทางที่ดี ปติจะเกิด พอปติอ่ิมใจมาแลว ก็ไดเ คร่อื งบาํ รงุ ตัวท่ี ๒ ๓. ปสสัทธิ แปลวาความผอนคลาย ซึ่งเดี๋ยวนี้ตองการกันมากมันตรงขามกับความเครียด คนเด๋ียวน้ีทํางานแลวเครียด เพราะมีความกงั วล เพราะมโี ลภะ มโี ทสะ มคี วามกระวนกระวาย อะไรตางๆ มาก แตถาใจนึกถึงผลดีท่ีจะเกิดขึ้น ก็จะทําใหสบายใจ ไมเครียดทํางานดวยความผอนคลาย ใจก็สงบเย็น เปนปสสัทธิ พอใจผอนคลายกายก็ผอนคลายดวย กายกับใจน่ีมีจุดบรรจบกันท่ีปสสัทธิ ถากายเครียด ใจก็เครียดถาใจเครียด กายก็เครียด ทีน้ีพอใจผอนคลาย กายก็ผอนคลายดวยเรียกวามปี ส สัทธิ ๔. สขุ พอมปี ราโมทย มปี ติ มปี ส สทั ธแิ ลว ก็มีความสุข ซ่ึงแปลงา ยๆ วาความฉ่ําชืน่ ร่นื ใจ คือใจมนั รื่นสบาย ไมติดขัด ไมมีอะไรบีบค้ันมันโลง มันโปรง มันคลอง มันสะดวก ตรงขามกับทุกขท่ีมันติดขัด บีบค้ัน ขดั ของ ๕. ถึงตอนนี้ใจก็อยูตัว และตั้งมั่น ไมมีอะไรมารบกวน ไมกระสับกระสาย ไมพ ลงุ พลา น ไมกระวนกระวาย ท่ีวา อยูตวั คือใจกาํ ลงัคิดกําลังทําอะไร ก็อยูกับส่ิงน้ัน การที่ไมมีอะไรมารบกวนไดเลย ใจอยูตวั ตั้งมน่ั อยา งนี้ เรียกวาสมาธิ พอใจเปนสมาธิ ซึ่งเปนท่ีชุมนุมของส่ิงที่ดีงาม ธรรมท่ีเปนบุญ
๗๔ ชีวติ ทีส่ รา งสรรค สดใสและสุขสันตกศุ ลกม็ าบรรจบรวมกันที่น่หี มด เปนอันวา ธรรม ๕ ตวั นี้ เขา กับอายุ ๕ รอบ ก็เอารอบละตัว แลวกม็ าบรรจบตอนน้ใี หค รบ ๕ ขอทวนอีกครง้ั หน่ึงวา ๑) ปราโมทย ความรา เรงิ แจม ใสเบิกบานใจ ๒) ปต ิ ความเอิบอิม่ ใจปล้ืมใจ ๓) ปส สทั ธิ ความผอ นคลาย สงบเยน็ กายใจ ๔) สขุ ความฉ่ําชน่ื รื่นใจ ๕) สมาธิ ความอยูต ัวของจิตใจ ทตี่ ้งั ม่นั สงบแนว แน พอได ๕ ตัวน้ีแลว ก็สบายแนเลย หาตัวนี้ ทานเรียกวาธรรมสมาธิ คือความท่ีธรรมะซ่ึงเปนองคประกอบสําคัญมาแนวรวมกันเรยี กวา ประชมุ พรอ ม ตอจากนกี้ เ็ กิดจติ ตสมาธิ พอจติ เปน สมาธแิ ลว ก็เอามาใชชวนเชิญปญ ญาใหมาทาํ งานได คอื เอามาใชเปนบาทฐานของการคดิ เม่ือจิตใจผองใส ก็คิดโลง คิดโปรง คิดไดผลดี พระพุทธเจาจึงใหใชสมาธิเปนฐานของปญญาตอไป หรือแมจะทํางานทําการอะไร ใจเปนสมาธแิ ลวกท็ าํ ไดผลดี ถาปฏิบัติไดอยางนี้ ก็จะเปนการสรางสรรคอยางครบวงจร ทั้งสรางสรรคชีวิตจิตใจ และสรางสรรคสังคมไปดวยกัน พรอมกันสรางสรรคขา งในสอดคลองกันไปกับการสรางสรรคข างนอกเกิดกศุ ล เปนมงคลมหาศาล วันนแี้ คโยมไดธรรมะ ๕ ตัวนกี้ ส็ บายแลว ยงั ไงๆ กใ็ ห ๕ ตวั น้ี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗๕เกิดในใจเปนประจํา ทีว่ า วันเกิด ก็ขอใหเ ปนนมิ ติ หมายวา ตอ ไปนใี้ หเ ราเกิดกศุ ลทกุ เวลา และกุศลสาํ คัญทีเ่ กดิ งายเพราะมันอยูในใจแนน อน ก็คือ ๕ ตัวน้ี ไดแ ก ปราโมทย ปต ิ ปส สทั ธิ สขุ สมาธิ เมอ่ื มันเกิดขนึ้ มาแลว กใ็ หม นั ไปประสานกับอิทธิบาท ๔ คราวนี้ก็เปนชวงยาวเลย วากนั นาน อทิ ธิบาท ๔ กอ็ ยา งท่ีวา แลว เร่ิมดวยใจปรารถนาจะทําอะไรทีด่ ีงาม คิดขน้ึ มาใหช ดั แลวมีความเพยี รมุงหนาไปทาํ มัน มใี จอยูกับมันและใชปญญา ทีเ่ รยี กวาวมิ ังสา คิดการ พิจารณาเหตปุ จจยั ไมมีอารมณวุน วายเขา ไปเกยี่ วขอ ง เมือ่ จิตใจไมม อี ารมณข ุน มัวและเศรา หมอง ก็ไดผ ลดี ทั้งแกใจของเรา และแกง านท่ีทาํ น่คี อื ธรรมะประจาํ วนั เกิด โดยเฉพาะวันเกดิ ทีอ่ ายุครบ ๕ รอบ ก็ขออนุโมทนาเจา ของวันเกิดทุกทา นท่ีไดม าทําบุญทํากศุ ล โดยถือวา พอทาํ บญุ นกี้ ุศลก็เร่มิ เกดิ แลว เขาหลกั ทบ่ี อกไวแ ลว คือใจทีม่ ีความคดิ ผุดขนึ้ มาวาจะทาํ บุญ น้กี ค็ อื เกิดกศุ ลแลว พอเกดิ กศุ ลวา จะทําบุญ ก็ตองมศี รัทธา ตอ งมีใจเมตตา เชนปรารถนาดตี อ พระ ตอ พระศาสนา มใี จเมตตาตอญาติมติ ร ฯลฯ ทั้งน้ี รวมทง้ั ญาตโิ ยมทม่ี ารวมอนโุ มทนา ทําบุญ กม็ ีไมตรจี ติเกิดขึ้นในใจ ลว นแตเกิดดีๆทั้งนั้น เมือ่ เกดิ ดแี ลว ก็รกั ษาคุณสมบัติที่ดที ี่เกิดนไ้ี ว และพยายามใหมันสงตอ หนุนกันไปเรื่อยๆ กุศลตา งๆ ก็จะเจริญงอกงาม เม่ือจิตใจของเราเจรญิ งอกงามแลว ชีวิตของเรากเ็ จริญงอกงามไปดว ย และเมื่อกุศลเจรญิ งอกงามในชวี ติ ของเราแลว เพราะมันเปนสงิ่
๗๖ ชีวติ ที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ตท่ดี ี เมอื่ ขยายไปสูผอู นื่ ก็เกิดเปนความดีในการชวยเหลือเออื้ เฟอ ตอกนัทาํ ใหอยรู วมกันไดดี ทาํ ใหเกดิ ความสามัคคเี ปนตน สังคมก็จะรมเย็นเปน สุข ฉะนั้น การเกิดกุศลจึงเปนมงคลท่ีแท ซึ่งมีคุณมหาศาล ทั้งแกชีวติ ของตนเอง และแกเพื่อนมนษุ ยผอู น่ื ทร่ี ว มสังคม ทําใหอยูดวยความมสี ันติสุขกนั ตอ ไป วันนี้ อาตมภาพขออนุโมทนาทุกทานอีกครั้งหน่ึง ในการท่ีไดมาทําบุญเนื่องในโอกาสวันเกิด และอนุโมทนาญาติมิตรทุกทานพรอมกันดว ย ท่ีไดมารวมบญุ รว มกุศลดวยการมีจติ ใจเปน สามัคคดี ังท่กี ลาวมา เปนอันวา ไดทั้งกุศลสวนตนของแตละทานแตละบุคคล เชนศรัทธา ฉันทะ เมตตาไมตรี เปนตน และกุศลรวมกัน มีสามัคคีเปนตนก็ขอใหบญุ กศุ ลนี้ เมื่อเกิดขึ้นแลว กจ็ งเจริญงอกงาม เพิ่มพูนย่งิ ขนึ้ ไป ขออาราธนาคณุ พระรตั นตรยั เปน ปจ จยั อภบิ าลรักษา พทุ ธานุ-ภาเวนะ ธมั มานุภาเวนะ สงั ฆานุภาเวนะ ดวยอานภุ าพคุณพระรัตนตรัยพรอ มทง้ั บญุ กศุ ล มีศรัทธาและเมตตาเปนตน ทญี่ าตมิ ติ รทงั้ หลายไดต้ังขึ้นในจิตใจแลว จงเจรญิ งอกงามขึ้นมา มกี าํ ลังอภิบาลรักษาใหทกุทาน เรม่ิ ต้งั แตเจาของวนั เกดิ เปนตนไป พรอ มท้งั ครอบครวั ญาตมิ ติ รทกุ คน เจรญิ งอกงามดวยจตรุ พธิ พรชัย ขอจงไดมพี ลังแหงชีวิต โดยเฉพาะปจจัยเครื่องปรงุ แตงเสริมกําลงั ชีวิตทเ่ี รยี กวา อายุนั้น อันเขม แข็ง เพอื่ จะไดดํารงชวี ิตทดี่ ีงาม มีความสขุ และสามารถทําประโยชนเ กือ้ กูลแกเ พื่อนมนษุ ย ต้งั แตครอบครัวของทุกคนเปน ตนไป ใหอยกู นั ดว ยความรมเยน็ เปนสุข มีความเจรญิ สถาพร ตลอดกาลทกุ เมอ่ื เทอญ
ชีวติ จะงาม สงั คมจะดี ตองมกี ารศกึ ษาที่ไมผ ิด ๏ จรงิ ไหม ทวี่ า ในสงั คมไทยทุกวนั น:้ี คนช้ันที่สูงข้ึนมา หรือพวกมีระดับข้ึนหนาในสังคมก็มักจมปลักอยูกับการเสพบริโภค ลุมหลงมัวเมาในกามเอาแตจะสนุกสนานฟุงเฟอเหิมเหอบํารุงบําเรอเห็นแกตัวถามีโอกาสมาก ก็ย่งิ กอบโกยเขา ตัว สวนคนช้ันลางลงไป หรือเหลาชาวบานและคนท่ีดอยหนาตา ก็มักเลื่อนลอยไปกับการหวังเพอรอผลดลบันดาล หรือหวังการหยิบยื่นความชวยเหลือใหจากภายนอก คอยลาภลอยจากการพนันและหวยเบอร วอนไหวขอโชคจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ แมกระท่ังขูดเลขหวยและกราบไหวสัตวพิกลพิการแปลกประหลาด แลวก็มีชีวิต
๗๖ ชีวิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตแบบอยูไปวันๆ แตเมื่อมองรวมแลว ท้ังสองพวก หรือทั้งสังคม คนไทยนี้ อยูกันไปแบบมองเห็นแคแคบๆ ใกลๆ เอาแตตัวเอาแตพวก ไมม ีจุดหมายรว มทจ่ี ะรวมใจใหมุงหนากาวไปอยา งแขง็ ขนั เปน อนั หน่ึงอันเดยี ว ถาเปนอยางนี้จริง ก็เห็นชัดวา คนไทยมีคุณภาพแคไหน สงั คมไทยเขมแข็งหรือออนแอ ถารูตัววา \"แย\" ก็ไมควรรอชา ตองรบี แกไ ข และแกใหถูกหลักถูกวธิ ี สําหรับคนพวกที่หน่ึง ไดพูดถึงในที่อื่นมาแลวมากในทนี่ ีจ้ ะพูดกวา งๆ โดยเนนท่ีคนระดับลางลงไป แตไมวาในระดับไหน เม่ือจะแกไข ถาหันมาดูทางดานพระศาสนา วัดและพระสงฆก็มีพันธะตามพระธรรมวินัยอยูเต็มตัว ที่จะตองเอาใจใสทําหนาท่ีโดยไมประมาท ทนี ี้กม็ าดูกันวา วัดและพระสงฆนั้น โดยหลักการก็ดีโดยปฏิบัติการก็ดี ควรจะทํา และไดทํากิจหนาท่ีกันอยูอยางไร ที่จะใหเปนไปตามพระพุทธโอวาทท่ีไดตรัสฝากไว ใหปฏิบัติกิจเพ่ือประโยชนสุขแกพหูชน ใหโลกพนยาก
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗๗เข็ญ เปน แดนเกษมศานต อยางนอยก็ใหร กู นั พอเปน ทส่ี ังเกตไว
ภาค ๑ มองสงั คมใหถึงคน --งานทตี่ องเพงและเรง คือฟน ฟชู นบทหน่งึทเี่ ปนสวนใหญของประเทศไทย- ไมใหความเส่อื มแบบเมืองไหลเขาชนบท แตใหชนบทเปน สติแกเมือง อยากพูดถงึ เร่ืองเฉพาะกาลเทศะ โดยเฉพาะเรอื่ งเก่ียวกับประเทศไทย เราจะพดู กันถงึ หลักการของพระพทุ ธศาสนา ที่เปน เรอื่ งยนื ตวั ตั้งแตคร้ังพทุ ธกาลมาจนบัดน้ี แตในทนี่ ี้ เม่ือพดู ถงึ เรอื่ งราวปญ หาของประเทศไทย ก็เปน เรอื่ งของกาลเทศะโดยเฉพาะ ซ่ึงตองเนนเปน จดุ ๆ วา เวลานเ้ี รามปี ญ หาอะไร ปญ หาเดน อยูต รงไหน และเราจะตองทาํ อะไร ประเทศไทยนี้ เมื่อโยงกับภูมหิ ลงั ทางประวตั ิศาสตร สงั คมของเรา ก็เปน สงั คมทป่ี ระกอบดว ยชุมชนยอ ยๆ มากมาย และชมุ ชนเหลาน้นั เวลานี้สว นใหญกย็ ังอยใู นชนบท ชนบทจงึ เปน ฐานสําคัญของประเทศไทยหน่งึ จากหนังสือ ตองฟนฟูวัด ใหชนบทพัฒนา สังคมไทยจึงจะกาวหนาไดม่ันคง (สาํ นักงานพระพุทธศาสนาแหง ชาติ จัดพมิ พครั้งแรก ต.ค. ๒๕๔๖) หนา ๑–๑๘ [หนังสือนี้คือ คาํ วิสัชนา ของ พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) แก พล ต.ท. อุดม เจริญ ผูอํานวยการ พศ. ทวี่ ดั ญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันพุธที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๖ - ในการพิมพครั้งใหม ก.ย. ๒๕๔๙ ไดจัดปรับลําดับหัวขอใหม ใหเหมาะ แกการอานของคนทั่วไปมากขึ้น]
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗๙ ย่ิงกวา นั้น ชุมชนชนบทยงั มีความเชอ่ื มโยงกับวฒั นธรรม กับอดตีกบั ประวตั ิศาสตรม าก ชมุ ชนเมืองเสยี อกี กลบั มีภาวะท่ีเหมอื นกบั วา ไมชัดเจน แปรปรวน หรือขาดตอน ในเม่ือชนบทเปน สว นท่โี ยงกบั พนื้ ฐานและภูมิหลังทางวัฒนธรรมรวมทง้ั เรือ่ งของพระพทุ ธศาสนา แลว ยงั เปนสว นใหญของประเทศชาตใิ นปจจุบนั ดวย จงึ เปนจดุ ที่นา จะเอาใจใสเปน พเิ ศษ ชนบทนาเอาใจใสพ เิ ศษ ทั้งในแงของสภาพเอ้อื ท้ังในแงของภาวะที่จําเปน ท้งั ในแงท ส่ี ําคัญตอความดํารงอยขู องประเทศชาติ และทง้ั ในแงท ่ีเปนจุดลอ แหลม หรอื กําลงั อยทู ีท่ างสองแพรง จะไปตามอยา งสังคมเมืองหรอื ไม เวลานช้ี มุ ชนในชนบท เปน สวนใหญของประเทศ ประเทศของเรานี้ราว ๗๐% ยงั ถือวา เปนชนบท และชนบทเวลาน้ี กําลังทรุด เมอื งไทยเรามีปญ หามากอยูแลว เชน ในเรอื่ งบรโิ ภคนยิ มท่ีโถมเขามาปญ หาอยางที่ทราบๆ กันอยู หนงึ่ ทําอยางไรจะปองกันไมใ หค วามเสือ่ มแบบเมืองเขา ไปสูช นบท ซง่ึ เปน สว นใหญข องประเทศ พรอมกันนัน้ ก็ สอง ทําอยางไรจะฟนของดีทมี่ ีอยูในชนบท ใหม ีชีวติ และมีกาํ ลงั ขึ้นมา ถา ทาํ ได นอกจากจะปองกันชมุ ชนชนบทไมใ หเส่ือมทรุดแลว ชนบทน้นั จะกลบั มาเปน สว นชวยประเทศท้งั ประเทศ แตเวลาน้ชี นบทไทยออนแอมาก บางทีพูดกันถึงข้นั วา แตกสลายแลว ถกู ซัดพดั พา ไมมกี าํ ลงั ท่ีจะตัง้ ตวั อยไู ดในกระแสโลกาภิวัตน เรอ่ื งน้เี ริ่มมาตง้ั แตยุคทอ่ี ุตสาหกรรมเฟองฟู เดก็ ๆ ในชนบทเขามาเปนแรงงานในกรุงเทพฯ ปรากฏวาปจ จุบนั นี้ ท้ังหญิงทั้งชาย หนุม สาว มาในวิถขี องการเคลอ่ื นยายเพื่อเศรษฐกิจ ซึ่งในบางแงก็เปน ประโยชนต อชนบท แตใ นแงเสยี เม่อื จัดการไมด ี กเ็ กดิ ผลรา ยมากกวา คนท่สี ามารถเปนกาํ ลังของชนบท แตเ ม่ือเขามาอยใู นกรุงเทพฯ กลับ
๘๐ ชีวติ ทส่ี รางสรรค สดใสและสุขสนั ตกลายเปนปญหาของเมือง ถาเขาอยูใ นชนบท เขาจะเปนกาํ ลังสําคญั เปนทรพั ยากรทม่ี คี า เปน ผนู าํ ของชนบท แตค นเดียวกันนน้ั พอเขา มากรุงเทพฯแลว เขากลับกลายเปนคนท่ีกอปญหาแกเมอื ง อยา งนีล้ ําบาก กลายเปน วา คนท่จี ะเปน ขมุ กาํ ลงั ของชนบทน้ี ออกจากชนบท ไปเปนปญ หาในเมอื ง แลว ชนบทก็ขาดแคลนทรัพยากรมนษุ ย ขาดแคลนกาํ ลังคนในระดับทจ่ี ะเปน ผนู าํ อันนี้คือภาวะอยางทวี่ า แทบจะแตกสลาย ส.ส.บางทา นกเ็ อามาพดู โดยเหน็ ตรงกันวา ชนบทบางถ่ินแทบจะไมเหลอื คนหนมุ สาวเลย มแี ตคนแกเ ลยี้ งหลาน สว นหนุมสาวทเี่ ปนพอ แมเ ด็กมาอยใู นกรุงเทพฯ มาเปน แรงงานประเภทกรรมกร อะไรทํานองน้ี แลว สง เงนิ ไปให และผกู ปนโตให ปยู า ตายายเลย้ี งหลานไป ก็กนิ อาหารปน โตนนั้ ไป งานการในชนบทก็เหมอื นกบั ถกู ทอดทิง้ การพฒั นาในชนบทก็ไมม ีนอกจากนนั้ เม่ือมองดอู งคประกอบของชุมชนชนบทก็ลว นแตเสอ่ื มทรุดลงไป ถา ชนบททรดุ และคนบา นนอกเขามาเปน ปญหาแกเ มือง คนในเมอื งตองชว ยเสรมิ กาํ ลงั ใหชนบทฟน ขน้ึ มา ซ่ึงจะเปน การแกป ญ หาของเมอื งเองดว ย ท่วี าน้ี มใิ ชวา จะไมใ หช าวชนบทเขามาหาโชคในเมือง แตตองหาทางบริหาร และจดั การใหเ ขา มาในปรมิ าณที่พอควรพอดี และมที างพัฒนาคุณภาพ พรอ มกับทต่ี วั ชนบทเองตองไมถกู ทอดทงิ้ ใหข าดกาํ ลัง วดั เปน ทนุ เดมิ ของชมุ ชน ซง่ึ มอี ยูแลว ถารูจ กั จดั ใหถ กู ในฐานะท่ีเปนศนู ยรวม และเปน แหลง ธรรมแหลง ปญ ญาของชุมชนนัน้ วดั ก็จะชว ยแกป ญ หาและชวยพัฒนาชนบทไดมากมาย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๘๑- ฟนฟบู ทบาทที่แทข องวัดข้นึ มาใหประสานบา นกบั โรงเรยี น พาชุมชนกา วไปดวยกนั ชมุ ชนชนบทนนั้ เรยี กกนั มาในวงการศึกษาวา “บวร”(ประกอบดว ย บา น วดั โรงเรยี น) แตตอนนกี้ ็แยไ ปตามๆ กนั บานกแ็ ยแลว เพราะวาพอ แมจะออกโรงก็ไมมีแรง และพอแมเองก็ไมมหี ลักท่ีจะรบั มือกับสภาพความเจรญิ สมยั ใหมตงั้ รับไมเปน เลย ไดแคก ลายเปนเหย่อื ของความเจรญิ ปจจุบันท่เี ปนปญหา สวนโรงเรียน ก็มีปญ หาอยา งหนกั อยา งทท่ี ราบกันอยูแลว แลวเหลอื อะไร กเ็ หลอื วัด แตพ อมาดวู ดั ปรากฏวา วดั ก็ทรุดอีก วัดจํานวนมากไมม บี ทบาทตอ ชมุ ชน คนจํานวนมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุน มองไมเ ห็นความหมายของวัด ถา วดั ไมมีบทบาทตอชุมชน หรอื ไมท าํบทบาทท่ีควรจะทาํ แลว ก็เปนอันวาหมดความหมาย นีแ่ หละเปน ภาวะท่ชี มุ ชนแตกสลาย เม่ือชมุ ชนแตกสลาย สังคมก็แตกสลาย แลวประเทศชาติกจ็ ะแตกสลายไปดวย ตอนนเ้ี ราพูดไดว า พระในชนบทกาํ ลังจะหมดบทบาทตอชมุ ชน สว นทห่ี มดไปแลว กม็ าก ทําอยา งไรจะใหฟ น ขน้ึ มาได ก็ตองใหพ ระมีบทบาทที่ถูกตองตอ ชุมชน ถาพระทําบทบาททีถ่ กู ตองไมไ ด ทา นกต็ อ งทาํ บทบาทอน่ื เพราะทา นมีชีวิตท่ีสัมพันธกบั ประชาชน ตองพึง่ พากันกบั ประชาชน ฉะนนั้ ทา นจงึ ตอ งตอบสนองความตองการของประชาชน เมือ่ ตอบสนองดว ยบทบาทท่ถี ูกตอ งไมได กเ็ กดิ บทบาททีไ่ มด ีขนึ้ มา กลายเปน วา มเี ร่ืองไสยศาสตร เรอื่ งนอกลูนอกทางนอกพระศาสนาก็
๘๒ ชีวติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสขุ สันตเจริญกันใหญ ถา เราไมส ามารถพัฒนาบทบาททถี่ กู ตอ งได ทา นก็ตอ งออกไปสแู นวทางนั้น เพราะทานตองอยกู บั ชาวบา น มนั เปนธรรมดา อยาไปวาทานอยางเดียวไมถกู เราจะตอ งไปพ้ืนฟู ฉะน้นั จึงขอยํา้ วา เวลานต้ี องพ้นื ฟชู ุมชนในชนบทใหได และในการฟนฟชู นบท วัดจะตอ งเปนผูน าํ จึงตองใหพ ระมีคณุ ภาพ ตอ งใหพ ระมกี ารศึกษาทดี่ ีและถกู ตอง มีความสามารถ รูธ รรมวินยั ที่จะสอนประชาชนได นําประชาชนในทางที่ถกู ตองถูกทาง เมือ่ พระทําบทบาททถี่ ูกตอง กย็ ดึ ชมุ ชนอยู ยดึ พอ แมยดึ บา นไวไ ดพอแมก ส็ ง ตอ ไปยงั โรงเรียน แลวโรงเรยี นก็มารวมมือกบั วดั ในการท่ีจะเออ้ืธรรมะ เออ้ื ศลี ธรรม เออ้ื ความดีความงาม เอ้อื การศึกษาการเรียนรูอ ะไรตางๆ แกประชาชนในชมุ ชนนั้น ถา พระมีคณุ ภาพขึ้นมา ก็สามารถจะรวมมอื กบั ครูอาจารยในวงการศกึ ษาได ถา พระไมม ีคณุ ภาพ ก็ไมร จู ะไปรว มมือกับครูไดอ ยา งไร เพราะฉะนน้ั เวลานเี้ ราตอ งการสวนใดสวนหน่ึง หรือองคใ ดองคห นึง่ของชมุ ชนชนบท ใหม คี ณุ ภาพ มีกาํ ลงั เขมแข็ง แตครูปจ จุบนั น้กี ็ไมเ ปน หลกั ไดเ ทาไร นอกจากปญ หาเร่ืองความเสือ่ มสถานะทางสงั คมแลว สังคมกไ็ มคอ ยเอาใจใสครู เคยพูดฝากไวก ับหลายทานวา เวลาน้ี นักการเมืองมักไมใ หเ กยี รติแกครู ตองขออภัยนะ ทานอาจจะไมรูตัว บางทีนักการเมืองเอาครูเปนคนรับใช ซง่ึ ไมนา จะทํา ในชนบทเด๋ียวน้ี ครกู ลายเปน คนรบั ใชของนักการเมืองไป ถา จะทาํใหถูกตอ ง ครไู มว าจะอยใู นระดบั ไหนกแ็ ลว แต ตอ งถือเปนครูหมด เมอ่ืเปนครแู ลว ในสงั คมไทยถือเปน บคุ คลทีค่ วรไดร ับการเคารพบชู า อยา งนอ ย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๘๓ก็ตอ งใหเกียรติ เพราะฉะนนั้ นกั การเมืองควรทาํ เปนตวั อยาง ไปถงึ ชนบท ถาเหน็ครตู อ งใหเกยี รติทันที โดยแสดงออกใหประชาชนเหน็ แลว ครูจะรสู กึ ภูมิใจในตัวเองขนึ้ มา พรอ มกันนนั้ ประชาชนก็จะเหน็ ความสําคัญของครู ครพู ูดอะไรก็จะมีความหมายข้ึน และครจู ะไดระวังตัวขน้ึ ดว ย เพราะคนเรานัน้ ถา ตวั เองไมม ีใครเหน็ คณุ คา ไมมีความหมาย ไมม เี กียรติ ก็จะรูสึกวา ทาํ อะไรก็ได แตเมอ่ืไดรบั เกยี รติแลว ก็จะทําใหต ระหนกั ระวังตวั เองข้นึ มา เพราะฉะน้ัน จะตองใหเ กียรตคิ รู นกั การเมอื งตองแสดงเปน ตวั อยา งเมื่อเหน็ ครูตองใหเกยี รตเิ ปน พิเศษ อยา งนี้เรยี กวา สงั คมรว มมือกนั กม็ ีทางท่จี ะเจริญกา วหนา ขน้ึ มา แตเ วลานี้ครอู ยใู นฐานะลําบากอยา งที่วา นอกจากนนั้ ครกู ไ็ มไดอยูแนน อนในชุมชนนนั้ แตพ ระอยเู ปน หลกัเลย เจาอาวาสกอ็ ยตู ลอด ฉะนั้น ถาเราพฒั นาพระใหมีคณุ ภาพดๆี พระก็จะเปน ศนู ยกลางและเปน ศูนยรวม ซ่ึงก็เปน มากอนแลว แตโ บราณ ศนู ยรวมนีก้ ็จะทาํ ใหบา น วัด โรงเรียน มาประสานกัน เปน ขมุ กาํ ลังของชุมชนนั้น และจะพัฒนาชุมชนใหไ ปสคู วามเจรญิ งอกงามไดอ ยา งแทจ รงิ งานบา นเมืองดานอ่ืนๆ น้นั เขามักถนัดดานในเมืองในกรงุ และเขาก็เนนกนั อยูทน่ี ่นั มาก แตง านพระศาสนาโยงสนิทกบั ชุมชนชนบท และศาสน-บุคคล คอื พระสงฆ กถ็ นดั ดา นนน้ั ฉะนัน้ ตอ งเนน ชมุ ชนชนบทยง่ิ กวา ในเมอื ง วา จะตอ งฟน ฟคู ณุ ภาพของพระและบทบาทของพระ ใหพ ระทาํ หนา ทท่ี ีถ่ กู ตอ ง ตอ ชาวบา นและตอชมุ ชน แลวเอาวถิ ที ถ่ี ูกทางของชนบทมาชวยเมือง และชวยทั้งประเทศ อันน้ีเปน เร่อื งใหญ เพราะเมือ่ พูดในทางลบ ก็เหมือนกบั วาแขงกนัคอื ความเส่อื มกําลงั แขง กบั งานของเรา โดยเฉพาะเวลาน้ีเรือ่ งพฤตกิ รรม
๘๔ ชวี ิตท่ีสรางสรรค สดใสและสขุ สันตนอกลูนอกทางกข็ ยายมากข้ึนทุกที- สมัยกอ น เณรมาก หลวงตาไมคอ ยมี สมยั นี้ เณรหมด มแี ตห ลวงตา นอกจากขาดพระทีม่ คี ณุ ภาพแลว บางทีขาดพระทีเ่ ปนตัวบุคคล คอืไมม พี ระอยวู ัด แลว ก็ขาดศาสนทายาทรุนใหมท ีจ่ ะมาสบื ตอ คอื ขาดสามเณร เปน อนั วา ขาดหมด ขาดทงั้ พระที่จะทาํ หนาทีใ่ นปจ จบุ ัน ขาดท้งั ผูทจี่ ะมาสืบตอ เบอ้ื งหนา เมอ่ื เปน อยา งนี้ กเ็ ปน สภาพทท่ี ั้งเออ้ื และเรยี กรอ งใหม ีบุคคลอนื่แทรกเขา มา อยางนอ ยก็มารกั ษาวดั ไวก อ น ก็จงึ มผี ทู บี่ วชเขามาในลกั ษณะตา งๆ โดยเฉพาะผบู วชในวัยที่สูงอายเุ ยอะ จนกระท่งั เวลานีม้ ีการลอ กันในวงการพระสงฆวา เกิดวัดหลวงชนดิ ใหม โยมคงไดยนิ แลว คนกจ็ ะถามวา วัดหลวงอะไร เอ ไมเ คยไดยนิ วดั หลวงก็มอี ยเู ทา เดิมนแี่ หละ ไมมปี ระกาศในราชกิจจานเุ บกษาหรืออะไรสักนดิ หน่ึงวา มีวัดหลวงชนิดใหม ไปๆ มาๆ กต็ อบวา วดั หลวงตา นี่ไง วัดหลวงตากาํ ลังเกิดมากข้นึ วัดหลวงชนิดใหมนี้ ในแงห นึ่งก็เปน อนั ตราย เพราะแสดงถงึ ความเสื่อม เพราะไมมพี ระท่ีจะอยูดแู ลวดั ไดแคม ผี ูที่บวชเขา มาเมอ่ื แก ถึงแมทา นจะมีเจตนาดี ทา นก็ไมมีกาํ ลงั ที่จะทําอะไร แตผทู ่ีเจตนาไมดีกม็ ี เชนหมดทางไปจึงเขามาบวชก็มี ไดแ ตอ าศัยผา เหลืองเลีย้ งชีพ แตเ ราตอ งมองในแงดีดว ย เพราะมผี ทู ตี่ ง้ั ใจดี อยา งนอ ยก็คดิ วา ในวัยน้ีเลิกทาํ งานแลว อยากมาหาความสงบ ซ่งึ เปน เจตนาดี แตทา นกไ็ มมีกําลังทจี่ ะเลาเรียนอะไรไดมาก
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๘๕อันน้เี ปน สภาพความเปน จริง คอื มหี ลวงตามากมาย เปนสภาพทมี่ ีมา ๑๐–๒๐ ปแ ลว อาตมภาพไปเจอพระตามวดั ในชนบท เหน็ ทานอายุ๖๐,๗๐ ป ลองถามดู องคหนึ่งบอกวาอายุ ๗๐ ป แตถ ามพรรษา ไดความวาบวชมา ๒-๓ ป สวนอีกองคหนึง่ อายุ ๖๐ ป บวชมาไดพรรษาเดียวญาตโิ ยมแยกไมเ ปน กไ็ มรวู า พระเหลา น้ีเปนอยา งไร เห็นพระอายุมาก นกึ วา เปนหลวงพอ หลวงปแู ลว นค่ี ือเขา ใจผดิ หมด ทจี่ ริงทานไมรเู ร่ืองอะไรเลย มีแตจะพาเขวไปดวยกนั เพราะฝา ยพระก็ไมรูห ลกั พระศาสนาเมื่อญาตโิ ยมไปขอโนนขอน่ี ทา นกส็ นองความตองการไปตามท่ีเคยเหน็ นึกได บทบาทท่ไี มถูกตอง ทเ่ี ขวไป ก็เกดิ ข้นึ มา แลว แพรหลายกนั ใหญฉะนน้ั จงึ เคยเสนอวา เมอื่ สภาพความจริงเปน อยางนี้แลว กจ็ ะตอ งเอาใจใสเร่อื งหลวงตา เพราะเปน ความจรงิ ทเ่ี กดิ ข้นึ แลว และเผชิญหนา อยูถงึ แมไ มปรารถนา เราไมอยากใหม หี ลวงตามาก แตเ ราตอ งคิดวา เมื่อมีหลวงตามาก เราจะทําอยางไรกบั หลวงตา จะมีไดไ หม? การจัดกิจกรรมอะไรกต็ าม ท่ีเปน การฝก อบรมหรอืการพฒั นาหลวงตา ดว ยวิธกี ารใดวธิ ีหนงึ่ อยา งนอยใหท า นทาํ ประโยชนไ ดในระดบั หนึง่ หรือรักษาบทบาทในระดับหนง่ึ ใหแ กว ัดใหแ กพระศาสนาหรอืตอชุมชน อันนเ้ี ปนเรอ่ื งทีต่ องคิดแลว ระยะยาว ก็คอื ทาํ อยางไรจะใหม ีคนมาเปนศาสนทายาทสืบตอพระศาสนา เร่ืองการทจ่ี ะมเี ด็กมาบวชสามเณร เปนศาสนทายาท สบื ตอพระศาสนา เปน เรือ่ งหลกั ใหญเรื่องหน่ึงตอนทแ่ี ลว มา รัฐบาลไดปรับระบบการศึกษา ใหเ ดก็ อยูในโรงเรยี นถงึ๑๒ ป ตอนนน้ั ก็เปน หวงกันวา น่จี ะเปนการดึงใหเด็กไมส ามารถมาบวชเด็กสมยั กอ นน้ี พอจบประถมปท ี่ ๔ เมอื่ การศกึ ษาไมม ีโอกาสเสมอ
๘๖ ชวี ติ ที่สรางสรรค สดใสและสขุ สันตภาคจริง ในชนบทการศึกษามวลชนยังเปน เพยี งอุดมคติ เปน จดุ หมายทย่ี ังไปไมถงึ เด็กจบประถมปท ่ี ๔ แลว มาบวชเปนสามเณรกันมาก ฉะนนั้ กําลังในพระศาสนาจึงเหมอื นกับวา ไดมาจากผูท ีไ่ มม ีทางไป ถาไมม ที างไปในทางเศรษฐกจิ กล็ ําบาก เปนทางเส่ือมมากกวา ดี แตถาไมมที างไปในทางการศกึ ษาน่ีกลับดี ขอใหเขาอยากศึกษาเปน ใชได เมื่อเดก็ เหลานั้นไมมีทางไปในทางศกึ ษากม็ าบวช ยังเปน ทางเจริญงอกงามได เพราะฉะนนั้ ในสมยั กอน วัดในชนบทเปนท่รี ับเด็กทจ่ี บประถมปท ่ี ๔ที่ไมสามารถไปเรียนในโรงเรียนรฐั บาล ซงึ่ มาบวชกันเยอะแยะ ตอ มารฐั ขยายระดบั การศกึ ษาขึน้ สปู ระถมปท ่ี ๖ แลว ตอ มาประถมปท ่ี ๗ แลวกลบั ลงมาประถม ๖ อกี พอดเี รมิ่ เขา ยุคมีแรงงานเด็ก ตอนนัน้ เรมิ่ เกดิ ปญหา เด็กหมดวัด ไมมาบวชเปนสามเณร เพราะเขามาเปน แรงงานในกรงุ เทพฯ เสยี หมด นนั่ คือเรอ่ื งเกา พอถึงตอนนก้ี เ็ กรงวา เม่อื มีการศึกษา ๑๒ ป เดก็ตองอยูใ นโรงเรยี นนานข้นึ โตข้นึ แลว เลยไมบ วช แตต อนนี้ทราบจากโยมทางภาคอสี านบางจังหวัดเปนนมิ ิตดวี า เดก็มาบวชมาเรียนกันในเพศเปน สามเณรน่ี กลับเพ่ิมขน้ึ บา งเปน บางถิ่น ที่วา เปน นมิ ติ ดมี สี ามเณรบวชมาก คือจะมศี าสนทายาท เราจะตองเอาใจใสเอาใจชวยวา จะทําอยา งไรใหสามเณรเหลานม้ี ีการศกึ ษาท่ีดี นเี่ ปนเรอื่ งของการสรางศาสนทายาท แมว าการจะมเี ด็กมาบวชสามเณรเปน ศาสนทายาท เปน เร่อื งยาวทตี่ อ งทาํ กันอีกนาน แตม ีเรือ่ งช่ัวคราวอนั หนึ่งทม่ี าชวยผอน คอื เด็กทีอ่ ยใู นโรงเรียนตา งๆซงึ่ ทางพระไปเอื้อไดค อื การบวชสามเณรภาคฤดูรอน ซ่ึงขณะนี้กําลงัแพรห ลายขยายมาก บางวดั ไดส ามเณรทีบ่ วชภาคฤดูรอนน่แี หละมาเปนศาสนทายาท เชน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๘๗วัดพยคั ฆาราม จังหวัดสุพรรณบุรี จัดบวชสามเณรภาคฤดรู อ นทกุ ป ญาติโยมประชาชนกห็ นุนเตม็ ที่ บวชเรียนกันเปน เดือน สามเณรหลายองคไ มส ึกก็เรยี นตอ ปรากฏวาจบประโยค ๙ หลายองคแ ลว นเี่ ปนวถิ ที างหน่ึงทีช่ ว ยสรางศาสนทายาท แมจ ะสกึ ไปกไ็ มเปน ไรทางพระศาสนาก็ไดเอ้อื ตอ สังคม ชวยใหเดก็ ไดเ รยี นรธู รรมะ มีศลี ธรรม มีคณุ ความดี อยใู นทางท่ีถกู ตอ ง อนั นี้เปน เร่อื งทเ่ี ก่ยี วโยงกนั ไปหมด แตท้งั นกี้ เ็ ปนเรื่องของการเนนชมุ ชนชนบทน่นั เอง ซ่งึ ก็คือชมุ ชนท้ังหลายท่ัวไปของประเทศไทยถาบอกวาไทยเปนเมืองพทุ ธกต็ องเลกิ เปน ทาสของความไมร ู- หลกั งายๆ กไ็ มป ระสีประสาพฒั นาคนใหมตี นทพ่ี ่ึงได ไมใ ชม วั รอผลดลบนั ดาล นอกจากนี้ กม็ ีเรอื่ งทว่ี า ทําอยา งไรจะใหประชาชนแยกไดว า อะไรเปน พุทธศาสนา อะไรไมใชพุทธศาสนาเรอ่ื งนก้ี ็เห็นกนั อยูแ ลว วา ประชาชนสวนใหญไมร ไู มเขา ใจพระพุทธศาสนา อะไรเปน พทุ ธ อะไรไมใชพ ุทธ คนทวั่ ไปมกั เขว หรอื ไมก ็เลื่อนลอย แลวก็ไมม อี ะไรเหน่ยี วรั้ง และเพราะความออ นแอ และการขาดโอกาส กเ็ ลยออกไปสูวถิ ีทางของการพึ่งพาอาํ นาจภายนอก กลายเปนทาสของลัทธิหวังผลดลบันดาลกันมากดังจะเหน็ วา พอมอี ะไรแปลกประหลาดนิดหนอ ย เชน สัตวเกิดมาพิการรูปรา งแปลกประหลาด กไ็ ปขอหวย ตนไมแ ปลกประหลาด ก็ไปขูดหา
๘๘ ชีวิตทีส่ รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตเลขหวยกนั อะไรทํานองนี้ อนั นีจ้ ะตองชดั วา อะไรเปน พุทธ-อะไรไมใ ชพทุ ธ ถึงแมชาวบานจะยังไปทําอยู ก็ตองใหรูวาอยางนั้นไมใชพุทธ ตองชัดอยา งนี้ ไมใ ชวาจะตองไมทําพรอ มกบั รู ตอนแรกตอ งรูกอ นแลว ตอ ไปไมท าํ อันนี้เปนเร่ืองท่ีเสียหายแกพระศาสนามาก แสดงถึงความไมรูเรื่องรูราว แสดงวา ชาวพทุ ธไมประสีประสากบั เร่ืองของพระพทุ ธศาสนา เคยเห็นในหนังสอื พมิ พลงขา ว คร้ังหนึง่ มเี รอ่ื งตน ไมประหลาดอะไรทาํ นองนี้ อยูในถนิ่ ทีค่ นสวนมากเปน มสุ ลิม ผสู ือ่ ขาวหนงั สือพิมพเ ขา ไปหาคนมุสลมิ ใหข า ววา ทน่ี ่นั แถบนนั้ มคี นเขามาเยอะเหมอื นกนั มาขูดเลขขอหวย อะไรทาํ นองนี้ แตไมใ ชช าวมุสลิมหรอก เพราะชาวมสุ ลมิ ไมมีการทาํอยา งนน้ั มองความหมายไปไดท าํ นองวา คนพทุ ธจงึ จะทําอยา งนี้ นีแ่ หละไมไ หวแลว ชาวพุทธไมร ูวา อะไรเปน พุทธ แลว ทําใหผูอ ่นื เขากลา ววา พวกพุทธเปนอยา งน้ี คอื ไปขดู เลขหวยกนั เปน ชาวพุทธ เพราะฉะนน้ั อยา งนอยกใ็ หแ ยกไดวาอะไรเปน พทุ ธ-อะไรไมเ ปนพุทธ และเราจะตองชัดวา จะเอาอยางไรกบั เรอื่ งการบนบานศาลกลาว ลทั ธิหวงั ผลดลบนั ดาล การพึ่งพาอาํ นาจภายนอก การไมเพียรพยายามทาํ ใหสําเรจ็ ดวยเร่ยี วแรงกําลังของตน ตามหลกั ของพระศาสนาทีจ่ ะนาํ ไปสกู ารพง่ึตนได การทีจ่ ะมีเร่ยี วแรงกําลงั ของตนได ก็ตองพฒั นาคน ถาคนตองการพึ่งตนเอง หรือตองการมเี ร่ียวแรงกาํ ลงั ที่จะทําไดเ อง มนั กจ็ ะเรียกรอ งเองใหตอ งพัฒนาตน แตน ่ีคนของเราไมมีแนวคดิ ไมมีเปา หมาย ไมมีทิศทาง อยูกนัเควง ควา งเลือ่ นลอย อันนีเ้ ปน เรอื่ งใหญ ทเี่ รยี กวา งานหลกั ของพระศาสนา แกนของเร่ืองกค็ อื วา ในเรอื่ งตวั การศึกษาแทๆ จะเอาอยางไร จะ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๘๙หนุนกนั อยา งไร ใหก ารศกึ ษาของพระดาํ เนินไปไดด ว ยดี ทั้งในแบบและนอกแบบ หรือทงั้ ทางการและไมเ ปนทางการ- อยรู ว มกนั โดยมีเมตตา แตต อ งแกปญ หาโดยใชป ญ ญา เรื่องตอ ไปท่มี คี วามสาํ คญั ไมน อยคือ ทาทแี ละความสมั พนั ธกบั ตา งศาสนา เพราะวา เวลานี้ความสมั พนั ธก บั ตา งศาสนาจะตองมากข้นึ ซึง่ กาวไกลไปถึงระดับระหวา งประเทศดว ย ทว่ี าโลกไรพรมแดน ในทางพระพุทธศาสนา หลกั การบอกวา จะตอ งมี ๒ อยา งไปพรอ มกนั คอื ปญ ญา กบั เมตตา เร่อื งนถ้ี า เราแยกไมอ อกกจ็ ะสับสน ปญญา คอื เรื่องการรเู ขา ใจความจรงิ ความรตู อ งเปน ความรู ตอ งใหคนมคี วามรู แตพรอมกนั นน้ั เรามีเจตนาท่ีดีเปนเมตตา การท่ีพดู ใหค วามรกู ัน กด็ ว ยความหวังดี ไมใ ชเพอ่ื จะมาขัดแยง จะแคน เคอื ง หรอื จะทํารา ยกัน เราตองใหความรูเ พื่อแกปญ หา ดว ยเจตนาที่ดมี ีเมตตา คอื ปรารถนาดี จะแกปญหาดว ยการสรางสรรค ใหเกิดความสงบสุขรม เยน็ อยกู นัดว ยดี แตเรอื่ งรกู ็ตองรู ไมใชวา ปลอ ยไมใ หรู แลว บอกวา พดู ไมไ ด ถาพูดไปจะเสีย กลายเปนแสดงวามคี วามขัดแยงอะไรตางๆ ซึง่ เปนความต่นื กลัวไปเอง ตองแยกใหไดร ะหวา งความรู กบั ความรสู ึก เพราะฉะนนั้ ตอ งทาํ ทง้ั ๒ อยาง เพียงแตตองทําดว ยทา ทที ่ถี กู ตอง คือทาทีแหง เมตตา โดยมเี จตนาทเ่ี ปนเมตตา หมายความวา ความมงุ หมายเปนเมตตา คอื ปรารถนาความดีงาม ความอยรู ว มกนั ดว ยไมตรี มสี ันติสขุ แตต อ งทาํ การดว ยปญญา ตองทําตองดาํ เนินงานดว ยความรู เรอ่ื งที่
๙๐ ชีวติ ที่สรางสรรค สดใสและสุขสันตเปน ความรู ตองรู เพราะเปน เรอ่ื งของปญญา ถา ไมม ีปญญา ก็แกไขปญ หาไมไ ด คนทม่ี เี มตตาอยางเดียว ก็อาจจะตายอยางเดยี ว คือถึงจะมเี มตตาแตถ าโง ก็เปน โมหะ คนมีเมตตา แตโ ง ก็ไปไมร อด สง่ิ ท่ีจะทําใหดาํ เนนิ การไดสําเร็จ คือ ปญญา ฉะนั้น เพ่อื สนองจดุ หมายของเมตตา ก็ตอ งมปี ญ ญาที่จะดําเนนิ การ ตอ งรตู อ งเขาใจ เชน วาเรอื่ งน้ๆี มภี มู หิ ลังเปน มาอยางไร อยา งเรอื่ งประวตั ิศาสตรน่ี เราไมไดเ ลาเพอ่ื ใหแ คน เคอื งหรือขดั แยงกัน แตเ ปน เรอื่ งทีต่ องรู เพราะความจรงิ ก็เปน ความจริง ท้งั ท่ปี ระวตั ศิ าสตรเปนมาอยางน้นั ถามคนไทยสว นมากไมรเู ร่อื ง วาระหวางศาสนามีความเปนมาอยา งไรในอดตี ถาพดู ตามหลักพุทธคณุ กว็ า ปญญา กบั กรุณา ตองใหค รบคู ถาไมมีปญ ญา กก็ รณุ าไมไ ดจ รงิ และกรณุ าไมสาํ เร็จ ฉะนนั้ ตองต้ังหลกั ไวก อ นเลยวา เราตองมีทา ทที ี่ชัดเจนในเร่อื งนี้ จะไดวางแนวในการสัมพันธไดถูกตอง เพราะวา - ความใจกวา ง ไมใ ชการเอาใจกนั แตค วามใจกวา ง คอื อยกู นั ดว ยเมตตา โดยสามารถยอมรับความจรงิ คนใจแคบ คอื คนทจ่ี ะเอาตามความตองการ โดยไมยอมรบั ความจริงหรอื หลักการ ตอ งเอาทั้งปญญาและเมตตา เมตตาก็คือใจเรารกั แตปญ ญาตองรู และตอ งรใู หช ดั ทส่ี ุด คนทไี่ มร ูชัด แกปญ หาไมได ทัง้ หมดทวี่ ามาน้ีจะเกดิ เปนผลข้ึนมาได ตองมกี ารพัฒนาคนดว ยการศกึ ษาแททถ่ี ูกตอง ท่ีคนถอื เอาการพฒั นาตนเปนสาระสาํ คญั แหงการมีชวี ติ ของเขา และอนั นแ้ี หละคอื ชวี ติ และงานทีแ่ ทข องพระสงฆ แลวก็เปน เนือ้
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙๑แทข องการสบื และสื่อพระพทุ ธศาสนา เพือ่ ประโยชนสุขแกป ระชาชน และแกโลก จึงจาํ เปนตองรูจักระบบวิธีในการพัฒนาคน-พัฒนาตน ท่ีเรียกวาไตรสิกขางานพระพุทธศาสนาทง้ั หมดเปนองคร วม เพื่อจุดหมายหนึง่ เดียว- จดั การปกครองขึน้ มา เพ่ือใหการศกึ ษาไดผ ล ในพระพทุ ธศาสนา และในวดั วาอารามทง้ั หลายน้ี การที่เราจัดกจิ กรรมอะไรตา งๆ ตลอดจนแมแตสรางวตั ถขุ ้ึนมามากมายน้นั ความจริงสาระสําคญั กร็ วมเปน อนั หนึง่ อันเดยี ว เขา หลกั ที่จะตองมองใหเ ห็นระบบสัมพนั ธว า งานพระศาสนาทั้งหมดน้ี ที่แทเ ปน เรือ่ งเดียว ถา เรามองดวู ดั จะมองท่ีพระกอ นกไ็ ด พระเปนตวั บคุ คลท่อี ยูในวัดบางทีเรียกวา ศาสนบคุ คล ทีเ่ ปนแกนของพทุ ธบรษิ ัท พระที่อยูในวัด ถาวา โดยสาระทแ่ี ทแลวมี ๒ คอื ผสู อน กับ ผเู รียนบางทา นอาจจะบอกวา มี ผปู กครอง เชน เจา อาวาส แตทจี่ ริงผปู กครองเปนเพียงผมู าชวยจดั สรรดแู ลหรอื จัดการเพอ่ื ใหการศกึ ษาดําเนินไปไดด ีเทานนั้ เอง ในทางพระศาสนานั้น พระพทุ ธเจาทรงตั้งสงั ฆะขน้ึ มา กเ็ พ่อื เปนชมุ ชนท่คี นจะไดม าพัฒนาตนดว ยการศึกษาทีค่ รบเปนไตรสิกขา จงึ มาอยูกันในวดั การตงั้ วดั ขึ้นนนั้ ก็เพือ่ จดั ใหมีสภาพแวดลอม บรรยากาศ ระบบความสัมพันธ ทเ่ี อ้ือตอ การทแ่ี ตละทานแตละบุคคล จะไดพัฒนาตนข้ึนมาดวยการศึกษา ท่ีเรียกวา ไตรสกิ ขา คือ ศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา เทา นน้ั เอง เมื่อศกึ ษาไปโดยถูกตอ งตามหลกั ไตรสกิ ขา กเ็ ปนการปฏิบตั ิทท่ี าํ ให
๙๒ ชีวิตท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตกาวไปจนไดเปน พระอรยิ บคุ คล คือเปน พระเสขะ จนกระท่ังเปน พระอรหันตกจ็ ึงเปนอเสขะจบการศึกษา ถายังไมไ ดเปนพระอรหันต ก็ถือวายังตองศึกษาทั้งน้นั ถงึ จะเปน พระอายุ ๑๐๐ ป มพี รรษา ๘๐ หรือแมม ากกวา น้ัน ก็ตองศึกษา ชีวติ พระเปนชวี ิตของการศึกษาแทๆ ตอ งฝก ฝนพัฒนาตนเรอื่ ยไป การทมี่ ีการปกครอง เร่ิมตนตั้งแตบวชเขามา พระอปุ ช ฌาย ก็คือผูทม่ี าทําหนาที่ดแู ลใหก ารศกึ ษาอยางใกลชดิ การปกครองกค็ ือการมาจดั สรรเอ้ืออํานวย ตะลอมใหผูเรียนผูศึกษาน้ัน มุงแนวไปในการศึกษา เรียกวาจัดสภาพเอื้อตอ การท่ีจะศกึ ษาเทา นน้ั เอง ทีนี้เมือ่ มกี ิจกรรมการศึกษา กม็ ีผูสอนและผูเรยี น ทัง้ ที่ตวั ผสู อนเองก็เปนผูเรยี นดว ย จนกวาจะเปนพระอรหนั ตจึงจะจบ โดยมีพระพทุ ธเจาองคบ รมครเู ปน ศูนยกลาง (พระรูปใดยังไมเปน พระอรหนั ต แตไมศ ึกษา ก็คือไมท าํ หนา ทข่ี องพระ!) เม่อื สอนเมือ่ เรียนกนั ไป ก็เกดิ ความจาํ เปน ตอ งมีที่อยทู อี่ าศัย กฏุ ิก็เกดิ ขึน้ เพ่อื เปนทอี่ ยขู องผเู รียน และผูสอน นั่นเอง- ญาติโยมทาํ บญุ ตอ งใหสมตามพุทธพจนว า “ศึกษาบญุ ” อกี ดา นหนงึ่ ทม่ี ชี าวบา นญาติโยมมา จดุ หมายท่แี ทกเ็ พ่อื รบั ฟง ธรรมคาํสอน การทําบญุ และกิจกรรมตางๆ กเ็ ปนเร่ืองของการที่จะพัฒนาคน โดยจดั เปนรปู แบบ และวิธีการตา งๆ ทีข่ ยายออกไปมากมาย แตเพื่อสาระเดยี วกันกค็ อื เพ่อื พฒั นาคนใหเจรญิ ขน้ึ ในการศึกษา ซงึ่ ในขั้นนี้อาจจะแยกใหง ายหนอยเปน ทาน ศลี ภาวนา ก็ได ซึ่งทานเรียกวา เปนการศกึ ษาบุญ ตามคาถาทพี่ ระพุทธเจาตรัสวา ปุ ฺ เมว โส สิกเฺ ขยยฺ แปลวา พงึ ศกึ ษาบุญ (ทง้ั สามอยาง) นั่นแหละ (ข.ุ อิติ.๒๕/๒๓๘/๒๗๐) หมายความวา ฝกฝน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146