เห็นว่าการปรารถนาความพ้นทุกข์สิ้นเชิงนี้เป็นโลภะ โลภนั้น หมายถึงปรารถนาต้องการในส่ิงที่จะพาให้เกิดกิเลส เช่นยึดอยู่ หลงอยู่ ปรารถต้องการความบรสิ ุทธิห์ ลุดพ้น หาไดเ้ ป็นโลภะไม่ บญุ กบั กÈุ ล มีคำอยู่สองคำที่พูดถึงกันอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะผู้ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาจะพดู คำทง้ั สองนก้ี นั เปน็ ประจำแทบทกุ คน คำท้งั สองน้ี กค็ ือคำว่า “บุญ” กับคำว่า “กุศล”และปกติกพ็ ูด ก็พูดกันไปว่าบุญกุศล เช่นทำบุญทำกุศล แต่ก็คงจะมีไม่น้อย ท่ีไม่เข้าใจคำว่าบุญและกุศลนี้ถูกต้องเพียงพอ ขออธิบายให้ฟัง พอสงั เขป เพอ่ื ความเขา้ ใจท่ถี กู ต้อง ทำบุญเป็นเรื่องของกาย เช่นการให้ทาน เป็นเร่ือง ของวตั ถทุ หี่ ยกิ ยกให้กนั ได้ แตท่ ำกศุ ลเป็นเร่ืองของใจ เปน็ การ อบรมใจให้งดงานผ่องใสห่างไกลจากกิเลสโดยควร บุญกุศล เป็นของคู่กันไม่ควรแยกออกจากกัน คือไม่ควรเลือกทำแต่บุญ ๓๕ 11/28/13 12:26:10 PM
หรือไม่ควรเลือกทำแต่กุศล ควรต้องทำท้ังบุญและกุศลควบคู่ กันไป จึงจะสมบูรณ์ เหมือนกินข้าวแล้วก็ต้องกินน้ำ ไม่เช่น นั้นจะไม่รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว กินแต่ข้าวไม่กินน้ำไม่เรียกว่า บริโภคอาหารอ่ิมเรียบร้อย ต้องกินทั้งสองอย่างเรียบร้อย จึง เรียกว่าบริโภคอาหารมื้อน้ันเสร็จเรียบร้อย ทำบุญจึงต้องทำ กศุ ลดว้ ย ทำบุญจึงต้องทำกุศลด้วยก็คือ เมื่อให้ทานท้ังหลาย รวมท้ังการถวายอาหารพระ ให้อาหารเป็นทานแก่ผู้ต้องการ หรอื ใหเ้ งนิ ทองแกผ่ ขู้ าดแคลนเหลา่ นเี้ ปน็ ตน้ เมอื่ ใหท้ านดงั กลา่ ว แล้วควรต้องทำกุศลด้วย คืออบรมใจให้มีกุศลก็คืออบรมใจให้ ฉลาด ให้มีปญั ญาสามารถพาตนให้พน้ ทุกข์ความเดือดรอ้ นทาง ใจใหไ้ ด้ การอบรมใจใหฉ้ ลาดนแ้ี หละ คอื การทำกุศล อย่างไรก็ตาม บางทีบุญและกุศลก็เก่ียวพันกันอยู่ อย่างแยกกันไม่ออก เช่นการทำทาน บางครั้งก็เป็นเรื่องของ บุญ แตบ่ างครง้ั ก็เปน็ เรือ่ งของกุศล เชน่ อภยั ทาน อภัยทานนี้ ๓๖ Re#2 ����������������� NEW.indd 36-37
เปน็ เรอ่ื งของกศุ ลกไ็ ด้ เปน็ เรอื่ งของบญุ กไ็ ด้ ถา้ ผใู้ ดมโี ทษตอ่ ตน เช่น การทำให้ตนโกรธแค้นขัดเคือง แม้ว่าจะอภัยโทษให้อย่าง เสียไมไ่ ด้ นน่ั กเ็ รยี กวา่ เป็นบญุ ได้ แต่ไมเ่ รียกว่าเป็นกศุ ล แตถ่ ้า ใจมีเหตุผลมีเมตตา แล้วอภัยโทษให้ เป็นการอภัยโทษด้วย ความเต็มใจด้วยใจท่ีประกอบด้วยเหตุผลอันใคร่ควรแล้ว น่ัน เป็นกุศล เป็นการทำกุศล ทั้งๆ ท่ีเป็นการอภัยโทษหรือ เป็นการอภัยทานด้วยกัน แต่ก็แยกจากกันได้ในเร่ืองเป็นบุญ หรือเป็นกุศล จึงเห็นได้ชัดเจนว่าเร่ืองของกุศล ถ้าใจสว่างข้ึน มีปัญญาข้ึน น่ันเป็นกุศล ถ้าใจไม่เกิดผลเป็นความใส ความ สว่าง ความมปี ัญญาอย่างใดเลย นัน่ ก็เปน็ เร่อื งของบญุ เท่านนั้ ที่ประณีตยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้ว่าจะไม่สามารถให้อภัย ทานท่ีเป็นบญุ ได้ แต่ถา้ ใจไมถ่ อื โทษเพราะสว่างแลว้ ด้วยปญั ญา ดว้ ยเหตุผล ด้วยเมตตา นนั้ ก็เปน็ อภยั ทาน นัน้ ก็คือกุศล บญุ กบั กศุ ล สงิ่ ใดทไ่ี หน มคี วามสำคญั กวา่ กนั ยกขอ้ นี้ มาพิจารณาก็นา่ จะเหน็ ไดว้ ่า กศุ ลสำคญั กว่า กศุ ลเปรยี บเทยี บ ๓๗ 11/28/13 12:26:11 PM
เหมอื นข้าว บุญเปรยี บเหมือนน้ำ อมิ่ ขา้ วแลว้ ไมอ่ ม่ิ ไม่ไดก้ นิ น้ำ แม้จะรู้สึกไม่อ่ิมสมบูรณ์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กินข้าวเลย กินแต่ น้ำเท่าน้ัน อ่ิมแบบกินแต่ข้าวกับอ่ิมแบบกินแต่น้ำ แตกต่างกัน อย่างไร เข้าใจความนี้แล้วก็จะเข้าใจได้ด้วยว่า ทำแต่กุศลกับ ทำแตบ่ ญุ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ดงั นน้ั แมเ้ มอื่ เปน็ ไปไดแ้ ลว้ ทกุ คน จึงควรทำทั้งบุญและกุศลไปพร้อมกัน แต่ถ้าจะต้องเลือก ระหว่าง ทำบุญกับทำกุศล คือไม่ทำท้ังสองอย่างได้พร้อมกัน ก็ต้องเลือกทำกุศล กุศลเป็นสิ่งท่ีทำได้เสมอ เพราะเป็นเร่ือง เฉพาะตัวของทุกคน ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น อุปสรรคอื่นไม่อาจห้าม การทำกุศลของใครได้เลยโดยเด็ดขาด ตัวเองเท่าน้ันที่จะทำให้ ตัวเองไม่ไดท้ ำกุศล ฉะน้นั จงึ ควรพิจารณาในเรอื่ งนใ้ี หร้ อบคอบ และอย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นอุปสรรคกีดขวางตนเองไม่ให้ทำ กุศล คือการอบรมใจให้สว่างสะอาด ฉลาด พร้อมด้วยสติ ปญั ญา เมตตา กรุณา เป็นต้น ๓๘ Re#2 ����������������� NEW.indd 38-39
บุญก‹Íสุ¢ บาปกÍ‹ ทกุ ¢ ์ ใครเคยเห็นหน้าตาของความดีและความชั่วบ้างว่าเป็น เด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย มีบ้านเรือนภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน อันความดคี วามชัว่ น่ันไมม่ ตี ัวตน แต่มคี นทำดหี รอื ทำชั่ว และมี ผลของการทำ เหมือนอย่างความร้อนความหนาวไม่มีตัวตน ความหวิ กระหาย ความอมิ่ หนำสำราญ ไมม่ ีตวั ตน แต่มีคนที่ ร้อนหรือหนาว มีคนที่หิวกระหาย หรืออิ่มหนำสำราญ คนท่ี ร้อนเพราะมีความร้อน คนที่หนาวเพราะมีความหนาว ฉันใด คนดจี ะเปน็ เด็กชายช่วั เดก็ หญงิ ดี นายดี นางดกี ็ตาม เพราะมี ความดี คนชว่ั จะเปน็ เดก็ ชายชวั่ เดก็ หญงิ ชว่ั นายชวั่ นางชวั่ ก็ตาม เพราะมีความช่ัว ฉันนั้น ฉะน้ัน ผู้ต้องการจะเห็น หน้าตาของความดี จะดูหน้าตาของคนดีแทนก็ได้ ต้องการจะ เห็นหนา้ ตาของความช่วั จะดูหนา้ ตาของคนชั่วแทนก็ได้ คนดีเพราะมีความดีนั้น คือคนท่ีทำดีต่างๆ ท้ังแก่ตน และส่วนรวม ส่วนคนชวั่ เพราะมีความชว่ั นน้ั คือคนท่ีทำความ ๓๙ 11/28/13 12:26:12 PM
ชว่ั ต่างๆ ท้ังเกีย่ วกบั ตนเองและสว่ นรวม ยกตัวอย่าง ตัวของ เราเองทุกๆ คน เมื่อช่วยทำการในบ้านในโรงเรียนหรือการท่ี เป็นประโยชน์ท่ัวไปต่างๆ ก็เป็นที่สรรเสริญยกย่อง เพราะการ ทำนั้นก่อให้เกิดสุขประโยชน์ น้ีคือความดีท่ีมีอยู่ในตัวเราเอง ซึ่งเป็นคนดีขึ้นเพราะทำดี เมื่ออยากจะดูหน้าตาของความดี ก็ จงส่องกระจกดูหน้าของตัวเราเอง จะรู้สึกถึงความภาคภูมิใจท่ี แฝงอยู่ในใบหน้าในสายตา อันส่องเข้าไปถึงจิตใจที่ดี อาจมี ความอ่ิมใจในความดีของตนเปน็ อย่างมากกไ็ ด้ แต่ถา้ ตวั เราเอง ทกุ ๆ คนทำไม่ดตี ่างๆ ในบา้ นบ้าง ในโรงเรยี นบา้ ง ในทต่ี ่างๆ บ้าง ทำให้เกิดความทุกข์ร้อนเสียหายแก่ใครๆ ก็เป็นท่ีติฉิน นนิ ทา เพราะการทำนนั้ ก่อให้เกิดโทษ นค้ี ือความชั่วทม่ี อี ยทู่ ี่ตัว เราเองซึง่ เป็นคนชั่วขึ้นเพราะทำชั่ว เมื่ออยากจะดหู นา้ ตาความ ชว่ั กจ็ งส่องกระจกดหู น้าของตัวเราเอง จะร้สู กึ ถงึ ความอปั ยศ อดสู ความปิดบังซ่อนเร้นที่แฝงอยู่ในใบหน้า ในสายตาท่ีส่อง เข้าไปถึงจิตใจที่ไม่ดี อาจมีความสร้อยเศร้า ตำหนิตนเอง ๔๐ Re#2 ����������������� NEW.indd 40-41
รังเกียจตนเองเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกสำนึกข้ึนมาก็ได้ สรุป ความว่า การกระทำทุกอย่างท่ีน่านิยมชมชอบ ก่อให้เกิดสุข ประโยชน์แก่ตนเองแก่ผอู้ ืน่ คือความดี การกระทำทุกย่างท่นี ่า ตำหนิติเตียนก่อใหเ้ กิดทกุ ข์โทษแก่ตนเองแกผ่ ้อู น่ื คือความชั่ว วธิ ีการเพ×่Íความสุ¢¢Íงชีวติ พระพุทธศาสนสุภาษิตบทหน่ึงกล่าวไว้แปลความว่า “ÅÐà˵طء¢ä´Œ ໚¹Êآ㹷Õè·Ñ駻ǧ” ความหมายโดยตรงและ โดยง่ายของพุทธภาษิตนี้ก็คือ ไม่ทำเหตุท่ีจะนำให้เกิดความ ทุกข์ ก็จะไมม่ ที ุกข์ กจ็ ะเปน็ สุข ไม่วา่ จะอยแู่ หง่ หนตำบลใดกจ็ ะ ไม่มที ุกข์ กจ็ ะเปน็ สุข ทจี่ ริงแลว้ กไ็ มม่ อี ะไรทีจ่ ะทำใหเ้ กดิ ปัญหา ขัดแยง้ ได้ เป็นสัจจะทเ่ี ห็นได้ถนัดชัดเจนแล้ว ไม่ทำเร่ืองให้เกิด ความทกุ ข์ กไ็ ม่มที ุกข์ กม็ แี ตค่ วามสุข เหมือนไมใ่ หท้ อ้ งว่างก็ ไมห่ วิ ไม่ชุบผา้ ขาวลงในน้ำสีดำ ผา้ กไ็ มด่ ำ การไมป่ ลอ่ ยใหท้ อ้ ง ว่าง คือการละเหตุท่ีจะทำให้ท้องเป็นทุกข์คือหิว การไม่ชุบผ้า ๔๑ 11/28/13 12:26:12 PM
ขาวลงในน้ำสดี ำ คือการละเหตทุ ี่จะทำให้ผา้ เป็นสดี ำ เหตุนี้มีความสำคัญย่ิงนัก เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะให้ ผล ผลจะดีจะรา้ ยก็อย่ทู ี่เหตุ ไมไ่ ด้อยทู่ ่อี ะไรอ่ืน และผูจ้ ะไดร้ ับ ผลก็ต้องเป็นผู้ทำเหตุ ผู้ไม่ได้ทำเหตุจะไม่ได้รับผล การกล่าว เช่นน้ีว่าที่จริงแล้วมีทางให้เกิดปัญหาโต้แย้งได้มากมาย ดังที่ ปรากฏอยู่เสมอไมว่ า่ งเวน้ เกิดมาไมเ่ คยทำบาปทำกรรม ทำไม ถึงต้องมารับทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ น้ีเป็นตัวอย่างที่ปรารภ ปรารมภ์ ครำ่ ครวญกนั อยมู่ ากมาย ซง่ึ คดิ หรอื มองแตเ่ พยี งผวิ เผนิ กน็ ่าเช่ือเชน่ นน้ั คนบางคนทำดใี หเ้ ห็นอยู่ ไมเ่ คยทำไมด่ ใี ห้เห็น เลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้รับผลดีอย่างไร ยากจนแสนสาหัสก็มี ทุกข์ร้อนด้วยเรื่องร้อยแปดก็มี เหตุแห่งทุกข์ท่ีท่านให้ละ จึง ไม่ใช่เหตุที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันเท่าน้ัน เหตุท่ีเห็นๆ อยู่ หรือเป็นเหตุในภพชาติปัจจุบัน บางคร้ังบางคราวก็ให้ผลใหญ่ ย่ิง ไม่เสมอกบั เหตุท่แี ลไมเ่ ห็นหรือเหตทุ ่พี ้นจากภพชาตปิ ัจจุบนั แล้วเหตุที่ไม่ได้ละกันในอดีตท่ีแลไม่เห็นรู้ไม่ถึงก็มีผล ไม่ใช่ว่า ๔๒ Re#2 ����������������� NEW.indd 42-43
ไม่มี และก็มีผลมาถึงปัจจุบันได้ด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ และผลก็ ตรงตามเหตุเสมอด้วย เป็นจริงเป็นจังด้วย ไม่มีคลาดเคลื่อน แมเ้ ลก็ นอ้ ยเพยี งไร ทกุ คนอยากเปน็ สุข ย่ิงสามารถเปน็ สุขในทท่ี ั้งปวงหรือ ทุกเวลาน่ันเอง ยิ่งจะยินดียิ่งนัก จึงควรต้องเข้าใจว่า เม่ือ อยากเชน่ นัน้ เปน็ ผล กต็ อ้ งทำเหตุให้ตรงกับผลเชน่ นั้น เป็นสุขในที่ทั้งปวงไม่หมายถึงเฉพาะเป็นสุขในชาตินี้ ภพนี้ หมายถึงเป็นสุขในชาติหน้าภพหน้าด้วย บางทีในชาตินี้ ภพนี้ เราจะต้องเสวยผลของเหตุในชาติอดีตภพอดีตที่ตามมา ทัน สุขในท่ีท้ังปวงก็คือสุขท้ังภพหน้าด้วย ชาตินี้เป็นสุขก็ต้อง ระวังอย่าให้ชาติหน้าเป็นทุกข์ ต้องละเหตุท่ีจะให้เป็นทุกข์ ทงั้ หมด เหตุทุกข์คือความไม่ดีทุกประการ อันความไม่ดีทุก ประการเกิดจากใจ เช่นเดียวกับความดีทุกประการก็เกิดจากใจ ท่านจึงว่าความทุกข์เกิดจากใจ ความสุขก็เกิดจากใจ หรืออีก ๔๓ 11/28/13 12:26:13 PM
อย่างหนึ่งก็ว่าความทุกข์เกิดจากความคิด ความสุขก็เกิดจาก ความคดิ ความคิดหรือใจจึงเปน็ ความสำคัญทสี่ ดุ สำหรบั ทุกคน จะมีสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ใจ อยู่ท่ีความคิดของใจ ใจคิดให้ละเหตุ ทุกข์ การพูดการทำกรรมทั้งปวงก็จะเป็นการละเหตุทุกข์ ความทุกขย์ ่อมไม่มี ย่อมมีความสุข ยอ่ มเปน็ สุข ละเหตุทุกขไ์ ด้ เพยี งไร ยอ่ มมีสขุ เพยี งนน้ั ความคิดใคร่ในส่ิงท่ีน่าปรารถนาพอใจ ความอยากมี อยากเป็น ความอยากไมม่ ีไม่เปน็ นี้เปน็ ความคดิ ที่เป็นเหตทุ ุกข์ ทำความคิดนี้ให้เบาบางเพียงไร ความทุกข์จะลดน้อยลงเพียง นั้น ความสขุ จะมมี ากเพียงน้ัน แมป้ รารถนาจะละเหตแุ ห่งทุกข์ เพ่ือเปน็ สขุ ในทท่ี ้งั ปวง ทงั้ ในภพนแ้ี ละในภพหน้า ต้องละความ คิดดังกล่าว ซึ่งสามารถละได้ก็ต่อเมื่อใช้สติพิจารณาความรู้สึก ในใจ ให้เหน็ ความอยากทีเ่ กิดขนึ้ ดังกลา่ ว ท้งั อยากได้ส่ิงนา่ ใคร่ น่าปรารถนาพอใจ ทง้ั อยากมีอยากเปน็ อยากไม่มไี มเ่ ปน็ ดูให้ เห็น เหน็ อย่างรู้ วา่ น้ันเป็นเหตุทุกข์ ต้องการละเหตุทุกข์ ตอ้ ง ๔๔ Re#2 ����������������� NEW.indd 44-45
ละความอยากเหลา่ นนั้ ให้ได้ ละให้ได้ทุกครัง้ ทแี่ ลเห็น ท่รี ู้วา่ เปน็ ความอยาก พยายามดูใจตนเองให้เห็นดังกล่าว พยายามดับ ส่ิงท่ีเห็นเหตุทุกข์ดังกล่าว ทำไปเร่ือยๆ จะมีสุขในท่ีท้ังปวงได้ แนน่ อน เสบียงเพ่Í× Íนาคต พระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างหน่ึงท่ีเป็นคุณอย่างย่ิง แก่ผู้ปฏิบัติ คือทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ๑ ไม่ให้อาลัยอดีต ๑ ไม่ให้เพ้อฝันถึงอนาคต ๑ ทัง้ ๓ ประการนีไ้ มไ่ ด้หมายถึง โทษแตห่ มายถึงทเี่ ปน็ ประโยชน์เท่านั้น ท่ีว่าไม่ให้อาลัยถึงอดีต ก็มีความหมายตรงตัว คือ อะไรทเ่ี กิดขน้ึ แล้ว ผ่านไปแลว้ แม้เป็นความสุข ความช่ืนชอบ ยินดี ก็อยา่ ไปผกู ใจอาลัยถึง อยากใหก้ ลบั มาดำรงอยู่ตอ่ ไป ซ่งึ เปน็ ไปไมไ่ ด้ แม้ไปอาลยั อาวรณป์ รารถนาใหเ้ ปน็ ไปใหไ้ ด้ ก็ยอ่ ม จะตอ้ งไดร้ ับความทกุ ข์เพราะความไมส่ มหวงั ถา้ เปน็ ความทุกข์ ๔๕ 11/28/13 12:26:14 PM
ความไมช่ น่ื ชมยินดีพอใจ กอ็ ยา่ ไปผกู ใจอาวรณถ์ ึง แตจ่ งปล่อย เสีย การนำใจไปผูกไว้กับเร่ืองราวที่เป็นทุกข์เป็นความเศร้า หมอง ย่อมทำให้ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนไม่สิ้นสุด ความทุกข์ ร้อนควรจะหมดสิ้นไปพร้อมกับอดตี ทลี่ ่วงไปแล้ว ผู้มปี ัญญาพงึ ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ เมื่อคิดถึงอดีต ให้หยุด เสีย ให้พยายามลืมอดีตเสีย จะได้พ้นทุกข์โทษของอดีต อย่างไรกต็ าม ที่ใหว้ างอดีตเสยี นัน้ ไมไ่ ด้ใหห้ มายความวา่ ใหล้ มื อะไรๆ ทั้งหมดที่เกิดแล้ว ความลืมกับความปล่อยวางไม่ เหมือนกัน พระพุทธองค์ไม่ทรงสอนให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ ทรงสอนให้มีสติจำท่ีควรจำ คือจำส่ิงที่เป็นคุณประโยชน์ ท่ีไม่ เป็นกิเลส แต่ทรงสอนให้ลืมสิ่งท่ีเป็นกิเลส ท่ีก่อให้เกิดกิเลส โทษทุกข์ทุกอย่าง ไม่มียกเว้นว่าให้อาลัยอดีตเร่ืองนี้เพราะมี ความสำคัญเป็นพเิ ศษ อดตี เป็นทุกข์ เป็นกเิ ลส ทกุ อย่างต้อง ลืมใหห้ มด ปล่อยให้หมด วางให้หมด อนาคตกไ็ มใ่ หเ้ พอ้ ฝันถงึ คอื ไม่ให้คาดคะเนวา่ อนาคต ๔๖ Re#2 ����������������� NEW.indd 46-47
จะได้ลาภได้ยศอย่างน้ันอย่างน้ี เพราะการคาดคะเนล่วงหน้า เช่นน้ที ำให้จิตใจฟุ้งซ่านไมส่ งบสขุ ในปัจจุบันดว้ ย และในอนาคต ถา้ ไม่เป็นไปตามคาดคดิ ก็จะเสยี ใจเพราะผดิ หวัง สอู้ ย่อู ยา่ งไม่ คาดคิดถึงอนาคตอย่างมีกิเลสจะเป็นสุขสงบกว่า อยู่กับ ปัจจุบันได้มากเพียงไร ก็จะมีความสุขได้มากเพียงน้ัน แต่ก็ไม่ ไดห้ มายความวา่ การกระทำอะไรไม่ตอ้ งตระเตรยี มเพือ่ อนาคต การเตรียมอนาคตที่สำคัญมากอย่างหน่ึงก็คือการเตรี ยมอนาคตในภพชาตเิ บอ้ื งหนา้ ทกุ คนจะมชี ีวิตอยใู่ นชาตินีอ้ ยา่ ง มากก็ประมาณร้อยขวบปีเท่าน้ัน จะทุกข์จะสุขในภพชาติน้ีก็จะ ชั่วระยะเวลาที่ไม่นานเท่าไร โดยเฉพาะผู้ผ่านพ้นวัยเด็กมา ศึกษาธรรมอยู่แล้วในขณะนี้ ย่อมมีเวลาในภพชาตินี้อีกไม่นาน เลย ไดค้ วามมง่ั มศี รสี ขุ ลาภ ยศ สรรเสรญิ ในภพชาตนิ ้ีสัก เพียงไรก็ไม่อาจรักษาไว้ได้นาน แต่ภพชาติในอนาคตนั้นนาน หนักหนานบั ปนี ับชาตไิ มไ่ ด้ จงึ ควรเตรยี มภพชาติในอนาคตมาก ๔๗ 11/28/13 12:26:14 PM
กว่า ที่ท่านเรียกว่าเตรียมเสบียงเดินทางไว้สำหรับภพชาติ ข้างหน้า คือเตรียมบุญกุศลไว้ให้พร้อม ให้เพียงพอแก่ทางที่ ไกลแสนไกลจนประมาณไม่ได้ บุญกุศลที่จะเป็นเสบียงเดินทาง นัน้ ต้องประกอบดว้ ย ทาน ศีล ภาวนา การทำจิตทำใจใหผ้ ่อง แผ้ว บรสิ ทุ ธจิ์ าก โลภ โกรธ หลง จำเป็นที่สดุ สำคัญที่สุด และก็มีโอกาสจะทำได้มากทสี่ ุด เพราะไมต่ อ้ งประกอบด้วยอะไร อ่ืนเลย ใจมีอยู่กับตัวเราเองแล้ว กิเลสก็อยู่กับใจน่ันเอง ถอดถอนออกเสยี ใหเ้ สมอทุกเวลานาที ทุกอริ ยิ าบถ ย่อมไดร้ บั ผลเปน็ เสบยี งที่พึงปรารถนาของนกั เดินทางทีส่ ดุ บารมนี Óäปสูค‹ วามเปšนพระพทุ ธเจา้ คำว่าบารมีนี้ ท่านแสดงว่าพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญ บารมีมาโดยลำดับตลอดเวลาช้านาน และบารมีท่ีพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญน้ัน เมื่อบำเพ็ญมากๆ เข้า ก็เป็นบารมีสูงขึ้นๆ หรอื บรบิ ูรณข์ ึ้น เพราะฉะนนั้ จึงจดั เปน็ ๓ ชน้ั เรียกวา่ บารมี ๔๘ Re#2 ����������������� NEW.indd 48-49
Íุปบารม ี ปรมัตถบารมี ที่เรียกว่าบารมี ในเม่ือแบ่งเป็น ๓ ช้นั ดงั น้ี กห็ มายถึงเปน็ บารมีสามญั อุปบารมี ก็หมายถึงบารมี ท่ีมีมากย่ิงข้ัน จนถึงใกล้ท่ีจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ปรมัตถ บารมี บารมีทเ่ี ป็นปรมตั ถ์ คอื ใหเ้ ปน็ ประโยชนอ์ ย่างยิง่ ก็หมาย ถงึ บารมีทส่ี มบรู ณ์ นำให้ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจ้า บารมคี Í× คุณธรรมผมู้ ุง‹ ดี คำว่า บารมี ที่แปลว่าอย่างย่ิง หรือท่ีมีความหมาย ว่าเลิศ ประเสริฐ ก็หมายถึงธรรม หรือภูมิชั้นของธรรมท่ีเป็น ความดใี นจติ ใจ ซึ่งได้ส่ังสมเพิ่มเตมิ ใหย้ ง่ิ ขึน้ ๆ คือ ให้เปน็ อย่าง ยงิ่ คอื ให้ยิง่ ขน้ึ อยเู่ สมอ จนถงึ บริบูรณ์เต็มท่ใี นที่สดุ อย่างย่ิงก็ คือว่า คุณธรรมที่ส่ังสมอบรมให้เป็นอย่างยิ่ง คือย่ิงขึ้นๆ ดัง กลา่ ว และทหี่ มายถึงวา่ เลศิ หรือประเสรฐิ กโ็ ดยทค่ี ณุ ธรรมที่ เป็นอยา่ งยง่ิ น้นั เป็นของเลิศ เปน็ ของประเสริฐ เป็นของดที ี่สุด และท่ีแปลว่าให้ถึงฝังนั้น ก็หมายถึงคุณธรรม ที่นำผู้ปฏิบัติให้ ๔๙ 11/28/13 12:26:15 PM
ออกจากฝงั› นี้ จนพ้นจากฝัง› น้ีไปถึงฝงั› โน้น เปน็ ความหมายทาง รูปธรรม หมายถึงฝั›งสองฝั›งท่ีมีมหาสมุทร มีห้วงน้ำลึก มี ทะเลหลวงขนั้ อยู่กลาง แลว้ กเ็ ปรยี บสัตวโ์ ลกว่า เหมือนอย่างผู้ ทขี่ ้ามจากฝ›ังน้ีคือโลก หรือว่าความทกุ ข์ หรือว่ากิเลส ซ่ึงนับ ว่าเป็นฝั›งน้ี เพราะท่ีช่ือว่าโลกๆ นี้ ตามความหมายในทาง ธรรมกห็ มายถงึ ว่า ท่ๆี เปน็ ทกุ ข์ มีกิเลส มีทุกข์ สตั วโ์ ลกอยู่ ฝั›งน้ีก็ต้องประกอบด้วยกิเลส ประกอบด้วยความทุกข์ จะพ้น จากฝัง› น้ีไปสู้ฝง›ั โน้น อนั หมายถึงโลกตุ ระ พน้ โลกคอื นิพพาน ก็ต้องอาศยั คุณธรรมทไี่ ดส้ ัง่ สมอบรมยงิ่ ขนึ้ ๆ ทเี่ ปน็ อยา่ งยิ่งนน้ั เหมือนอย่างเป็นเรือสำหรับโดยสารข้ามจากฝ›ังน้ีไปสู่ฝั›งโน้น แล้วคุณธรรมที่เหมือนอย่างเรือที่ทำให้ข้ามฟากได้นั้น ก็คือ บารมีท่ีแปลว่าให้ถึงฝั›งโน้น ให้ถึงฝ›ัง ก็หมายถึงคุณธรรมน้ัน เอง ๕๐ Re#2 ����������������� NEW.indd 50-51
บารมสี ร้างäดด้ ว้ ยกรรม บารมีนี้ก็มาจากกรรม คือการงานท่ีบุคคลกระทำทาง กาย ทางวาจา ทางใจ ประกอบด้วยเจตนาคือความจงใจ กรรมที่บุคคลกระทำนั้น กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี กรรมดีก็ให้ ผลดี กรรมชั่วก็ให้ผลชั่ว ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสสอนไว้ที่ แปล ความว่า ´Ù¡‹Í¹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ àÃÒ¡Å‹ÒÇਵ¹ÒÇ‹Ò໚¹¡ÃÃÁ à¾ÃÒÐÇÒ‹ ºØ¤¤ÅÁÕਵ¹Ò¤Í× ¤ÇÒÁ¨§ã¨áÅŒÇ ¨Ö§¡ÃзӡÃÃÁ ·Ò§ ¡ÒºŒÒ§ ·Ò§ÇÒ¨ÒºÒŒ § ·Ò§ã¨ºÒŒ § ´§Ñ ¹éÕ เพราะฉะน้ัน กรรมที่บุคคลกระทำน้ีเอง ถ้าเป็นกรรม ดี กเ็ ปน็ บุญกรรม กุศลกรรม ถ้าเปน็ กรรมชัว่ กเ็ ป็นบาปกรรม อกศุ ลกรรม สุจรติ ก็จัดเขา้ ในกรรมดี ทจุ ริตก็จดั เขา้ ในกรรมชั่ว กรรมที่ทุกคนไดก้ ระทำน้ี ย่อมให้ผลในปจั จบุ ันก็มี ในภายหน้าก็ มี ในเวลาท่ีถัดไปจากภายหน้าน้ันไปก็มี เหมือนอย่างว่าให้ผล ๕๑ 11/28/13 12:26:15 PM
ในวนั น้ี ใหผ้ ลในวันพรงุ่ นี้ ให้ผลในวันท่ถี ัดจากวนั พรุง่ นไ้ี ป ให้ ผลในภพน้ี ให้ผลในภพหน้า ให้ผลในภพท่ีถัดไปจากภพหน้า กรรมย่อมให้ผลต่างๆ กันด่ังน้ี แต่ว่าเมื่อกรรมให้ผลแล้ว ก็ เปน็ อโหสกิ รรม คอื ว่ากรรมท่ีไดใ้ ห้ผลเสร็จไปแล้ว เพราะฉะน้นั กรรมซึง่ เปน็ ตัวเหตุ และผลของกรรมซง่ึ เปน็ ตัวผล จงึ มเี วลาที่ เสร็จสิ้น แต่ว่าเมอื่ ทำกรรมดีไว้บ่อยๆ ก็ย่อมมีความคนุ้ เคยอยู่ ในความดี มีความดียังติดอยู่ ดังท่ีเรียกว่าเป็นนิสสัย เป็น อุปนสิ ัย เปน็ วาสนา ยงั ไมห่ มดไป ความคุน้ เคยในทางดี ความ ดีท่ียังเหลืออยู่ติดอยู่ ไม่หมดส้ินไปได้เหมือนอย่างกรรมนี่แหละ เรยี กวา่ บารมี เปน็ ความคุ้นเคยในทางดี อันมาจากกรรมดีที่ ประกอบกระทำและความดีท่ีเหลือติดอยู่เป็นความคุ้นเคยในทาง ดีดังกล่าวนี้ ก็เป็นสิ่งที่สั่งสมเพิ่มเติมข้ึนได้อยู่เสมอ คือ ย่ิงๆ ขนึ้ ไปอยู่เสมอ เพราะฉะนัน้ บารมีจะหมายถงึ วา่ เกบ็ ดี หรอื เก็บถกู ไว้กไ็ ด้ เกบ็ ดเี ก็บถกู ไวใ้ นจิตใจ ไมห่ มดสิ้นไป ๕๒ Re#2 ����������������� NEW.indd 52-53
ทกุ คนควรสรา้ งบุญบารมี หากวา่ จะสรุปเขา้ ใน มัช¬ิมาป®ปิ ทา มรรคมีองค์ ๘ ก็สรปุ เขา้ ได้ กม็ รรคมีองค์ ๘ นน่ั เองคือ บารมี ที่พระพทุ ธเจ้า ไดท้ รงปฏบิ ตั มิ าจนถึงได้ตรัสรู้ ปฏบิ ตั ิทแี รกก็เป็นบารมี ยิ่งข้นึ ๆ ก็เปน็ อุปบารมี จนถงึ ย่งิ ทีส่ ุดก็เป็นปรมตั ถบารมี ก็ได้ตรสั รูเ้ ป็น พระพทุ ธเจา้ มรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาน้ี ไม่ใช้คำว่า บารมี แต่ว่าผู้ปฏิบัติผู้ศึกษาธรรมก็พึงต้องเข้าใจเอาว่า บารมี น้ันเองมาเป็นมรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ น้ันก็มาจาก บารมีต่างๆ ท่ีทรงบำเพ็ญมาน่ันเอง มาประกอบกันเข้าเป็น มรรคมอี งค์ ๘ ฉะน้ัน เมอื่ มาเปน็ มรรคมอี งค์ ๘ แล้ว ทรง ปฏบิ ัตใิ นมรรคมีองค์ ๘ นีบ้ ริบูรณ์ จึงไดต้ รสั รเู้ ป็นพระพุทธเจา้ น่ีเป็นอันว่า มรรคมีองค์ ๘ น้ันเองเป็นข้อสรุปของบารมีทั้ง ๑๐ น้นั มาเปน็ มรรคมอี งค์ ๘ ๕๓ 11/28/13 12:26:16 PM
บารมที ัง้ ๑๐ มี ๑. ทาน การให้ การเสยี สละ ๒. ศีล การรกั ษา กาย วาจา ใจ ให้เรยี บรอ้ ย ๓. เนกขัมมะ การออกบวช ออกจากกาม ๔. ปัญญา ความรอบรู้ เหตุผล ๕. วริ ิยะ ความเพียร ๖. ขันติ ความอดทนมาก ๗. สัจจะ ความจริง ๘. อธษิ ฐาน ต้งั ใจม่ัน ๙. เมตตา รักใคร่ ๑๐. อเุ บกขา วางใจเปน็ กลาง เพราะฉะนั้น เม่ือจัดตามภูมิธรรมท่ีปฏิบัติ พึงเห็นได้ ดัง่ นี้ ข้อสรุปน้กี เ็ ป็นไปตามการวิจารณ์ธรรม ๕๔ Re#2 ����������������� NEW.indd 54-55
ทกุ คนพงÖ ป¯บิ ัติãนบารมีตามควรแก°‹ านะ บารมีธรรมนี้ ดังที่ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ว่า เป็นหลักธรรมท่ี ทุกๆ คนต้องปฏิบัติด้วยกันท้ังน้ัน จึงจะอยู่ด้วยกันเป็นสุข และเมื่อเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา แม้ไม่ตั้งความปรารถนาจะ เป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาพระโพธิญาณ ก็พึงปฏิบัติตาม หลักบารมีเหล่านี้ กจ็ ะเป็นบญุ บารมี เป็นบุญนิธิ ขมุ ทรัพย์คือ บุญ ซ่ึงทุกคนปฏิบัติได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น และช่ือว่าเป็นผู้ท่ี ปฏิบัติพระพุทธศาสนา เข้าถึงพระพุทธศาสนาด้วย เพราะ ฉะน้ัน เมื่อว่าตามหลักธรรมแล้ว จึงเป็นของกลางทั่วไป ซึ่ง ทกุ คนควรปฏบิ ตั ิตามควรแก่ฐานะของตน ๕๕ 11/28/13 12:26:16 PM
Re#2 ����������������� NEW.indd 56 11/28/13 12:26:16 PM
Search