Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขมิ้นชัน

Description: ขมิ้นชัน

Search

Read the Text Version

ขมิน้ ชนั ช่อื วทิ ยำศำสตร์ : Curcuma longa Linn. ช่อื วงศ์ : Zingiberaceae ช่ือสำมัญ : Turmeric ช่ืออ่นื ๆ : ขม้ิน(ท่ัวไป) ขมนิ้ แกง ขมิน้ หยวก ข้ีม้ิน ตายอ สะยอ หมน้ิ (ภาคใต)้ ขม้ินหวั (เชียงใหม่) ถิ่นกา� เนิดขม้ินชัน ขมิ้นชันมีถิ่นก�าเนิดในประเทศแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวัน ออกเฉยี งใต้ มกี ารสืบทอดพันธุ์กนั ตอ่ มา โดยวิธกี ารคดั เลือกพนั ธ์แุ ละ ปลูกขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันมีเขตการกระจายพันธุ์ปลูก ทว่ั ไปในประเทศทีม่ อี ากาศร้อน หรือร้อนชื้นทัว่ โลก ไดแ้ ก่ กมั พชู า จีน อินเดีย อินโดนเี ซยี ลาว มาดากาสกา มาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ เวยี ดนาม ไทย รวมถึงบางประเทศในเขตร้อนช้ืนของทวีปแอฟริกา แหล่งท่ีปลูก ขม้ินชันเป็นการค้าขนาดใหญ่ของโลกคืออินเดีย มีแหล่งอื่นบ้างแถบ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นท้ังผู้ผลิตและ ผูบ้ รโิ ภค ได้แก่ ประเทศจีน อนิ เดยี อนิ โดนเี ซีย และไทย 24 กองการแพทยท์ างเลอื ก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ

สภาพแวดล้อม ขมนิ้ ชนั ทปี่ ลกู ในภาคใตข้ องไทยพบวา่ มคี ณุ ภาพทด่ี ที สี่ ดุ ในโลก ขมน้ิ ชนั ชอบอากาศคอ่ นขา้ งรอ้ น ความชน้ื สงู ชอบดนิ ทรี่ ว่ นซยุ ระบายนา�้ ดี ถ้ามีน้�าขังจะท�าให้เหง้าขม้ินเน่า ปลูกในดินปนทรายจะได้หัวมากกว่า ดนิ อน่ื ดนิ เหนยี ว ดนิ เปน็ กรด ดนิ ลกู รงั หรอื พน้ื ทคี่ อ่ นขา้ งแหง้ แลง้ เชน่ หลายพนื้ ทใี่ นภาคอสี านไมเ่ หมาะจะปลกู ขมนิ้ ชนั ชอบแดดรา� ไรปลกู ได้ ระหว่างแถวไมผ้ ล ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สงู 30-90 เซนติเมตร เหง้าใต้ดินรปู ไข่ แตกแขนงในแนวราบ แตล่ ะแขนงมกั แตกยอ่ ยตอ่ ไปไดอ้ กี 1-2 ครง้ั เหงา้ แขนงรูปคล้ายทรงกระบอกหรือคล้ายนิ้วมือ (บางคร้ังเรียกเหง้าแขนง วา่ แงง่ ) เนื้อในเหง้าสีเหลอื งส้ม มกี ล่ินเฉพาะ ลา� ตน้ เหนือดินเป็นล�าต้น เทยี มทมี่ กี าบใบเรียงซ้อนอัดแน่นสงู ไดถ้ งึ 1 เมตร หรอื มากกว่า ลกั ษณะใบ มใี บ 6-10 ใบตอ่ ตน้ เปน็ ใบเดย่ี ว เรยี งสลบั ถแ่ี ทงออก จากเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกัน รูปใบหอก กว้าง 12-15 เซนติเมตร ยาว 30-40 เซนตเิ มตร กองการแพทยท์ างเลือก 25 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

ลกั ษณะดอก ช่อดอก แทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหวา่ ง ก้านใบ รปู ทรงกระบอก กลบี ดอกสีเหลอื งอ่อน ใบประดบั สเี ขยี วออ่ น หรอื สนี วล บานคร้ังละ 3-4 ดอก ลกั ษณะผล ผลรปู กลมมี 3 พู สว่ นทใี่ ชป้ ระโยชน์ : เหง้าสด, แหง้ สารสาคัญ ขม้ินชนั มีสารประกอบทางเคมีท่สี า� คญั อยู่ 2 กลมุ่ คือ 1. สารกลุ่มเคอร์คิวมนิ นอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin) monodesmethoxycurcumin, bisdes- methoxycurcumin 26 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ

2. น้า� มันระเหยง่าย (volatile oil) มสี เี หลืองอ่อน สารหลกั คอื เทอร์เมอโรน (turmerone) 60% ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25% borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene สรรพคุณ จากการศกึ ษาพบวา่ ขมนิ้ มฤี ทธข์ิ บั ลม รกั ษาอาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ ปวดท้อง แน่น จุกเสียด อาหารไม่ย่อย ฆ่าเช้ือรา ป้องกันตับอักเสบ รักษาสิว โรคกระเพาะ แผลพุพอง บ�ารงุ ผวิ การปลูก 1. ฤดูเพำะปลูก ส่วนมากจะอยู่ในช่วงฤดูฝนหรือก่อนฤดูฝน เล็กนอ้ ย ประมาณเดอื นเมษายน-พฤษภาคม 2. กำรเตรียมพื้นที่ ระบบแวดล้อมที่ห่างจากเกษตรเคมี หากหลีกเลี่ยงจากแปลงปลูกเคมีไม่ได้ ท�าแนวป้องกัน เช่น ช้ันที่ 1 ปลกู หญา้ เนเปยี ร์ ชั้นที่ 2 ปลูกกลว้ ย หรอื ปลกู ไผ่เป็นแนว หรอื ปลกู พืช ที่ใช้ประโยชน์ได้ 3. กำรเตรยี มดนิ 3.1 ตรวจเช็คดิน - สารพิษตกคา้ ง - โลหะหนกั อาทเิ ชน่ สารหนู ทองแดง ตะกวั่ แคดเมยี ม - ตรวจเช็คชนิดของดิน - ตรวจวัดคา่ ความเป็นกรด-ดา่ ง (PH) กองการแพทย์ทางเลือก 27 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

3.2 ตรวจธาตุอาหาร การเตรียมดินปลูกขม้ินชันจ�าเป็นต้องไถพรวน เพ่ือให้ดิน ร่วนซุยขึ้น ถ้าเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีวัชพืชมากและหน้าดินแข็งควรไถพรวนไม่ น้อยกว่า 2 คร้ัง คอื ไถดะ เพือ่ ก�าจดั วชั พืชและเปิดหนา้ ดนิ ใหร้ ว่ นซุย แลว้ ตากดนิ ไว้ 1-2 สปั ดาห์ เพอื่ ทา� ลายไขแ่ มลง เชอ้ื โรคในดนิ และไถแปร อย่างน้อย 2 รอบ เพอ่ื ใหด้ นิ ฟรู ว่ นซยุ 4. กำรเตรียมพนั ธ์ุ ทอ่ นพนั ธ์ทุ ่ีใชม้ ี 2 ชนิด คือ แง่งแม่หรือหวั ทมี่ ลี กั ษณะกลมหนา สว่ นอกี ชนดิ หนง่ึ คอื แงง่ นว้ิ มอื มลี กั ษณะเรยี วยาว ท่อนพันธุ์ท่ีใช้นี้อาจจะใช้ทั้งท่อนยาว ๆ โดยไม่ต้องตัดหรือจะตัดเป็น ท่อน ๆ ให้มีตาติดอยู่ประมาณ 1-2 ตา ก็ได้ ก่อนน�าไปปลูกควรแช่ หัวพันธุ์ในเชื้อราไตรโคเดอร์มา แล้วน�าไปผ่ึงให้แห้งก่อนน�าไปปลูก (หัวพันธ์ุอนิ ทรยี ์) 28 กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

5. กำรเตรียมแปลง การเตรียมแปลงปลกู มีดงั นี้ 5.1 หลงั จากไถพน้ื ทแี่ ลว้ ปรบั พน้ื ทว่ี ดั ระดบั นา�้ เพอ่ื หาระดบั การลาดเทของพื้นที่หาทศิ ทางการไหลของน้�า ไม่ให้น�้าท่วมขงั แปลง กองการแพทย์ทางเลอื ก 29 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ

5.2 แปลงปลกู สภาพยกสนั รอ่ ง หรอื ยกแปลงใหส้ งู จากระดบั ดนิ เดมิ 40-50 เซนตเิ มตร แปลงกวา้ ง 120 เซนตเิ มตร (ปลกู สลบั ฟนั ปลา ได้ 2 แถว) ระหว่างแปลงควรหา่ งกนั อยา่ งนอ้ ย 80 เซนติเมตร-1 เมตร เพ่ือให้มีร่องระบายน�้าได้ดี หรือยกร่องเหมือนปลูกมันส�าปะหลัง แตส่ นั แปลงควรกวา้ ง 80 เซนติเมตร (ปลกู ได้ 1 แถว) การยกแปลงสูง เพื่อลดการดูดสารโลหะหนักของรากพืช การดูดอาหารของรากพืชจะ อยู่ที่ความลกึ ประมาณ 30-50 เซนตเิ มตร 5.3 การใส่อินทรียวัตถุในแปลงปลูก อินทรียวัตถุทุกชนิด ต้องตรวจเช็คสารพิษตกค้างในอินทรียวัตถุทุกชนิดก่อนการหมัก และ หลงั การหมกั อนิ ทรยี วตั ถหุ มกั อยา่ งนอ้ ย 3 เดอื น หรอื 90 วนั ประกอบ ไปดว้ ย มลู ววั แกลบดบิ ขยุ มะพรา้ ว เศษใบไมห้ รอื อนิ ทรยี วตั ถใุ นทอ้ งถนิ่ ในอัตราสัดส่วน 1:1 ต่อตารางเมตร และใส่ฮิวมัสธรรมชาติ เพ่ือให้ ดินร่วนซุย เพม่ิ ประสิทธภิ าพให้กับรากพืช รากพืชน�าไปใช้ในการสร้าง หวั แล้วใช้รถพรวนดนิ ผสมคลกุ เคล้าให้เขา้ กัน และแตง่ แปลงอีกคร้งั 30 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

5.4 ระบบน�้า แตล่ ะแปลงจะประกอบไปดว้ ย 2 ระบบคอื 1) สปรงิ เกอร์ ความสงู ของหลักสปริงเกอร์ 1.20 เมตร ระยะหา่ งของหวั สปรงิ เกอร์ 4 เมตร เพอื่ ลา้ งใบ ลา้ งนา้� คา้ ง ลา้ งเชอื้ ราชนดิ ตา่ ง ๆ ลา้ งไขแ่ มลง ลา้ งสงิ่ สกปรก และสรา้ งความชนื้ สมั พทั ธใ์ นแปลงปลกู 2) นา�้ หยด จะเปน็ เทปนา้� หยด หรอื สายนา�้ หยด ระยะหา่ ง รเู ทปน้�าหยด 60 เซนติเมตร 1 แปลงจา� เปน็ ต้องใช้เทปนา�้ หยดทัง้ หมด 2 เสน้ ระยะหา่ งแตล่ ะเสน้ 50 เซนตเิ มตร เพอื่ ใหน้ า�้ และอาหาร ใหเ้ พยี งพอ ตอ่ ความตอ้ งการของพชื และลดการสญู เสยี อาหารและนา้� ทพี่ ชื จะไดร้ บั เพ่ิมประสิทธิภาพในการให้ปุ๋ยและนา้� และระบบน�้าแต่ละชนิดจะแยก ทอ่ เมนยอ่ ยของแตล่ ะชนดิ เพอ่ื ใหก้ ารควบคมุ การใหน้ า�้ ไดส้ ะดวกมากขน้ึ ระบบนา้� ตอ้ งเปน็ ระบบนา�้ ทสี่ ะอาด ไมค่ วรใชแ้ หลง่ นา�้ ในธรรมชาติ เนื่องจากมีการปนเปื้อนสูง หากมีการใช้แหล่งน้�าธรรมชาติ ควรน�ามา กองการแพทยท์ างเลือก 31 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

พักทิง้ ไวใ้ นบ่อท่ีเตรยี มไว้ (บ่อทมี่ ีขอบสูงกว่าทางนา�้ ไหลบ่า ของน้�าฝน) และต้องบา� บัดดว้ ยการเพ่มิ ออกซิเจน หรือบา� บัดดว้ ยพืช ที่มีคณุ สมบัติ ในการดดู ซบั สารพิษได้ดี เชน่ จอก ผกั ตบชวา เป็นตน้ 5.5 การคลมุ ฟาง ฟางควรมกี ารหมกั อยา่ งนอ้ ย 1 เดอื น และ มีการตรวจหาสารพิษตกคา้ งและสารโลหะหนกั ในฟาง ก่อนคลุมแปลง ในการคลมุ แปลงแตล่ ะแปลง ใหม้ คี วามหนาประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร คลุมตลอดจนถึงขอบแปลงด้านล่าง เพ่ือรักษาความช้ืนในดิน และ ป้องกันวัชพืชขึ้นแซม และรดด้วยเชื้อปฏิปักษ์ (เช้ือราไตรโคเดอร์มา) 1 สปั ดาหก์ อ่ นปลกู เพอ่ื ปอ้ งกนั และกา� จดั เชอ้ื ราชนดิ อนื่ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การ เกิดโรคราเน่าโคนเน่า และลดปริมาณก๊าซการหายใจของจุลินทรีย์ เน่อื งจากการย่อยสลายของอนิ ทรยี วัตถุ (เกิดความร้อน ทา� ให้อณุ หภมู ิ ในดนิ สูง) และเพิม่ จุลินทรยี ์ในดนิ 32 กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

6. วิธีปลูก หลังจากเตรียมแปลงแล้วเสร็จ คลุมฟางหนา ประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร ปลกู ขมนิ้ ชนั ระยะปลกู 50x50 เซนตเิ มตร โดยใช้ไม้แหลมหรือเสียมเจาะหลุมให้ใกล้เคียงหัวน�้าหยด แล้ววางหัว พันธ์ุใช้ดินกลบ เกลยี่ ฟางคลุม เปน็ การปลกู เสร็จเรียบร้อย ข้อห้ำม หา้ มบคุ คลภายนอกทไี่ ม่มสี ว่ นเก่ียวข้องกบั การปฏิบัติ หน้าท่ีในแปลง เข้าแปลงก่อนได้รับอนุญาต พนักงานท่ีจะต้องปฏิบัติ งานในแปลง ตอ้ งมกี ารฉดี พ่นฆ่าเชื้อกอ่ นเข้าแปลง เพอ่ื ป้องกันการนา� เช้อื โรคจากภายนอกเข้าสู่แปลง ทกุ ครั้งทมี่ ีการฉีดพ่นเชอ้ื ปฏปิ กั ษ์ และ สารสกดั สมุนไพร ต้องมกี ารใส่ชุดคลมุ ปอ้ งกนั ทุกครัง้ การดูแลรกั ษา 1. กำรใหน้ ำ�้ ขมน้ิ ชนั เปน็ พชื ทต่ี อ้ งการความชน้ื สงู แตไ่ มต่ อ้ งการ สภาพทชี่ ื้นแฉะ การให้น้า� แบง่ ออกเปน็ 2 ชว่ ง คอื ชว่ งเชา้ และช่วงบา่ ย หรอื ตามความเหมาะสม กองการแพทยท์ างเลอื ก 33 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

2. กำรให้ปุย๋ จะใหป้ ๋ยุ อยู่ 3 ประเภทคอื 2.1 ปยุ๋ หมกั อนิ ทรยี วตั ถทุ กุ ชนดิ ตอ้ งตรวจเชค็ สารพษิ ตกคา้ ง ในอนิ ทรยี วตั ถทุ กุ ชนดิ กอ่ นการหมกั และหลงั การหมกั อนิ ทรยี วตั ถหุ มกั อย่างน้อย 3 เดือน หรือ 90 วัน ประกอบไปด้วย มูลวัว แกลบดิบ ขุยมะพร้าว เศษใบไม้หรอื อินทรียวตั ถใุ นท้องถน่ิ หลังจากน้นั กน็ �ามาใส่ ในแปลงปลูก การหมักอินทรียวัตถุทุกครั้งต้องใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่น และ ไตรโคเดอร์มาผสมน้า� รดอินทรียวัตถุท่ีหมกั 2.2 อาหารพืชชนิดน้า� และฮอร์โมนพืชตา่ ง ๆ จะใช้ทัง้ หมด 2 แบบ คอื 1) ฉดี พน่ ทางใบ 2) ใหท้ างนา�้ หยด การใหอ้ าหารพชื ชนดิ นา้� และฮอรโ์ มนพืชต่างๆ จะให้ในช่วงเวลาเช้าเท่าน้ัน 2.3 ปยุ๋ อนิ ทรยี อ์ ดั เมด็ จะใสใ่ นแปลงปลกู ใสใ่ นอตั ราตามชว่ ง อายขุ องพชื แต่ละชว่ ง 3. กำรกำ� จดั วชั พชื ควรเอาใจใสด่ แู ลกา� จดั วชั พชื อยา่ งสมา�่ เสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังต้นงอกและระยะที่ต้นยังเล็ก กรณีท่ีมีวัชพืช ขนึ้ มากควรใชม้ อื ในการกา� จดั หา้ มใชจ้ อบดายหญา้ และของมคี มดายหญา้ โดยเด็ดขาด ลดการท�าลายรากพืช (งดการพรวนดิน งดการใชอ้ ปุ กรณ์ มีคมทุกชนดิ ในการกา� จดั วชั พชื เพราะเป็นการทา� ลายรากพชื จะทา� ให้ พืชชะงักการเจริญเติบโต) 34 กองการแพทย์ทางเลอื ก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข

การป้องกนั ก�าจัดโรคและแมลง โรคของขมนิ้ ชนั หมนั่ ตรวจเชค็ โรคพชื และแมลงศตั รพู ชื ในชว่ ง เช้าและเย็นทุกวัน โรคของขม้ินชันที่พบได้แก่ โรคเหง้าและรากเน่า เกดิ จากนา�้ ขงั หรอื การใหน้ า้� มากเกนิ ไป โรคใบจดุ รานา�้ คา้ ง ฉดี พน่ เชอื้ รา ไตรโคเดอรม์ า (ฉดี พ่นตอนเย็นเทา่ นั้น และพ่นตอ่ เน่ือง 4 วนั เพ่อื ตดั วงจรการขยายเช้ือรา) ศัตรพู ชื ไดแ้ ก่ 1) แมลงดดู กนิ นา�้ เลยี้ ง (Scale insect หรอื Sucking insect) เช่น เพลี้ย หอย มักวางไข่ไว้ท่ีผิวเปลือกเหง้าเห็นเป็นสะเก็ดสีขาว ดูดกินน�้าเลี้ยงท�าความเสียหายแก่ต้นและเหง้า พบได้ท้ังในแปลงและ ในระยะหลังเก็บเก่ียว ใช้สารสกัดจากพืชและสมุนไพรในการป้องกัน และก�าจัด เช่น สารสกดั จากพรกิ ขา่ แก่ และเปลือกไม้ และการฉดี พ่น เชอ้ื ราบวิ เวอรเ์ รยี เมธาไรเซย่ี ม (ฉดี พน่ ตอนเยน็ เทา่ นนั้ และพน่ ตอ่ เนอื่ ง 4 วนั เพ่อื ท�าลายในแตล่ ะการเจริญวยั ของแมลง) และใชถ้ งุ กาวเหลือง ดกั แมลง ทุกระยะ 4 เมตร เพ่อื ตรวจสอบชนดิ และปริมาณของแมลง และระยะการเจรญิ วัยของแมลง 2) หนอนหรอื แมลงกดั กนิ ใบ ซง่ึ จะมผี ลกระทบตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืชการปอ้ งกนั ก�าจดั ในเบ้ืองต้นควรทา� ลาย ใช้สารสกดั จาก พชื และสมุนไพรในการปอ้ งกนั และกา� จัด เชน่ สารสกดั จากพริก ขา่ แก่ และเปลือกไม้ และการฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย เมธาไรเซ่ียม (ฉีดพ่น ตอนเยน็ เทา่ นนั้ และพน่ ตอ่ เนอ่ื ง 4 วนั เพอ่ื ทา� ลายในแตล่ ะการเจรญิ วยั ของแมลง) และใชถ้ งุ กาวเหลืองดักแมลง ทกุ ระยะ 4 เมตร เพอื่ ตรวจ สอบชนิดและปรมิ าณของแมลง และระยะการเจรญิ วัยของแมลง กองการแพทย์ทางเลอื ก 35 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

การป้องกันและกา� จัด ในส่วนของโรคพืช จะใช้เช้ือราไตรโคเดอร์มา และเปลอื กไมท้ ่ีมี รสฝาด ในการป้องกนั และกา� จัด ส่วนของแมลงศัตรพู ชื จะใช้สารสกัด จากธรรมชาตใิ นการปอ้ งกนั และกา� จดั และเชอื้ ราบวิ เวอรเ์ รยี เมธาไรเซยี่ ม และสารจับใบจากธรรมชาติร่วมด้วยทุกคร้ัง ในการฉีดพ่นเชื้อราและ สารสกดั จากพืช จะท�าการฉีดพน่ ในช่วงเย็น การพ่นป้องกันและก�าจัด โรคพืชและแมลงควรผสมสารจับใบจากธรรมชาติ เพื่อให้สารจับใบ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการท�างานของสารสกัดและเชื้อปฏิปักษ์ ใหเ้ กาะตดิ กบั ตวั แมลง ใบของพืชไดน้ าน การเก็บเกี่ยว 1. กำรเก็บเก่ียว หลังการปลูกขม้ินชันได้ประมาณ 7 เดือน ใบลา่ ง ๆ ของขม้ินจะเร่มิ เปลยี่ นเปน็ สีเหลือง แสดงว่าขมิน้ เร่ิมแก่แลว้ ใหป้ ลอ่ ยขมน้ิ ไวใ้ นแปลงจนมอี ายปุ ระมาณ 9-10 เดอื น จงึ เรม่ิ ขดุ ซง่ึ อยู่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม (มีการตรวจสารส�าคัญและสารพิษ ตกคา้ ง ต้ังแต่ 5 เดือน ถึงระยะการเก็บเกี่ยว) 2. วิธกี ำรขุด การขุดต้องพยายามไมใ่ หจ้ อบโดนเหงา้ และถา้ ปลูกเชิงอุตสาหกรรม สามารถใช้รถไถขุดได้ หรือวิธีการตามความ เหมาะสม ถา้ ดนิ แหง้ เกนิ ไปในขณะทจี่ ะขดุ กใ็ หร้ ดนา�้ กอ่ นการขดุ อยา่ งนอ้ ย 12 ช่ัวโมง ไม่ควรให้แฉะ เพ่ือให้สะดวกต่อการขุดและง่ายต่อการ เอาดินออกจากหัวขมิ้น เสร็จแล้วจึงตัดใบ ราก และล้างน�้าให้สะอาด แล้วผง่ึ ใหแ้ ห้ง 36 กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

3. ผลผลิต ขมิน้ ชนั กอหนง่ึ ๆ จะมหี ัวประมาณ 2-8 อนั และ มแี งง่ นวิ้ มอื ประมาณ 10-40 อนั ใหผ้ ลผลติ ประมาณ ไรล่ ะ 3,000-5,000 กโิ ลกรมั 4. กำรทำ� ควำมสะอำด คดั แยกหวั และแงง่ ออกจากกนั ตดั ราก และส่วนต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการท้ิง คัดเลือกส่วนท่ีสมบรูณ์ปราศจากโรค และแมลงนา� มาลา้ งดว้ ยนา�้ สะอาดหลาย ๆ ครง้ั จากนน้ั คดั แยกสว่ นของ ผลผลติ ทจี่ ะน�าไปทา� แห้งและเกบ็ รกั ษาไว้ทา� หวั พันธ์ุต่อไป การบรรจุและการเก็บรักษา 1. กำรเกบ็ รกั ษำเหงำ้ พนั ธห์ุ รอื เหงำ้ สด การเกบ็ เกยี่ วขมน้ิ ชนั จะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้ง และจะเริ่มปลูกใหม่ในต้นฤดูฝน จะมีระยะ ทิ้งชว่ งหา่ งประมาณ 2-3 เดอื น ดังนนั้ การเก็บรกั ษาทเี่ หมาะสมจะชว่ ย ลดหรือหลีกเล่ียงความเสียหายของเหง้าพันธุ์ได้โดยวางเหง้าพันธุ์ผ่ึง ไว้ในท่ีร่ม สะอาดปราศจากเช้ือโรค แมลงและสัตว์ต่าง ๆ รบกวน มีอากาศถ่ายเทสะดวก พ้ืนท่ีเก็บแห้งและปราศจากความชื้น ระหว่าง เก็บรักษาหัวพันธุ์ควรมีการฉีดพ่นเช้ือราไตรโคเดอร์มา อย่างน้อย สัปดาหล์ ะ 2 คร้ัง เพอื่ ปอ้ งกนั หวั พนั ธุ์เน่า 2. กำรแปรรปู 2.1 การทา� ใหแ้ หง้ กระทา� ไดโ้ ดยนา� ขมน้ิ ชนั ไปทา� ความสะอาด หลงั จากนนั้ นา� มาหน่ั เปน็ แวน่ ๆ หรอื สไลดโ์ ดยใชเ้ ครอ่ื งสไลด์ ขนาดเครอ่ื ง สไลดข์ ้นึ อยกู่ บั ปริมาณของผลผลติ ความหนาประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร กองการแพทยท์ างเลือก 37 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

แลว้ น�าเข้าตอู้ บลมรอ้ น ทอ่ี ุณหภูมิ 30-55 องศาเซลเซยี ส อบประมาณ 12-16 ชั่วโมง ข้ึนอยู่กับปริมาณขมิ้นชันและน้�าในขมิ้นชัน ขมิ้นชัน ทแ่ี ห้งแลว้ ควรบรรจุในถงุ พลาสตกิ เขา้ เคร่ืองแวคคั่ม (สญู ญากาศ) และ เก็บไวใ้ นห้องควบคุมอณุ หภมู ิ เพื่อให้สามารถเกบ็ ไดน้ านข้ึน อัตราการท�าแห้ง ผลผลิตสด : ผลผลิตแห้ง เทา่ กบั 6 : 1 2.2 บดละเอยี ดเปน็ ผง 38 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข

2.3 การสกดั นา�้ มนั 3. กำรบรรจแุ ละกำรเกบ็ รกั ษำ 3.1 หวั สด ผง่ึ ลมใหแ้ หง้ แลว้ จดั เกบ็ ในพนื้ ทร่ี ะบายอากาศไดด้ ี ไมใ่ หเ้ กดิ ความชนื้ 3.2 ขมิ้นชนั ท่แี หง้ แล้วควรเกบ็ ในภาชนะท่ีเหมาะสม และ ห้องควบคมุ อณุ หภูมิ เพอื่ รอการแปรรปู ข้นั ตอนต่อไป กองการแพทย์ทางเลอื ก 39 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข

เอกสำรอ้ำงอิง 1. ชัชวาลย์ ช่างท�า. 2558. คุณประโยชน์และฤทธิ์ทางชีวภาพท่ีหลากหลายของสมุนไพร ขมนิ้ ชัน. สมุทรปราการ. สาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ คณะวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยหวั เฉยี วเฉลิมพระเกียรติ. 2. มลู นิธิสุขภาพไทย ปลูกยารักษาปา่ . 2554. คู่มอื การปลูกสมนุ ไพรเพ่อื เศรษฐกิจชุมชน. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2, กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท ที ควิ พี จ�ากดั . 3. DISTHAI ดสิ ไทย แหล่งรวบรวมข้อมลู สมนุ ไพร (ออนไลน์).20 พฤษภาคม 2564. เขา้ ถึง ได้จาก https://www.disthai.com 40 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข