Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตพืชอายุสั้นและพืชใช้น้ำน้อย

การผลิตพืชอายุสั้นและพืชใช้น้ำน้อย

Description: การผลิตพืชอายุสั้นและพืชใช้น้ำน้อย

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการอบรมถ่ายทอดความรู้โครงการพฒั นาผลผลติ เกษตรให้ได้ มาตรฐานปลอดภยั กจิ กรรมส่งเสริมการปลูกพชื อายุส้ันและพชื ใช้นา้ น้อย จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ตามแผนปฏิบตั ิราชการ ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ของกลุ่มจังหวดั ภาคกลางตอนบน 1 เร่ือง การผลติ พืชอายุส้ันและพชื ใช้นา้ น้อย สานักงานเกษตรจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา

คานา การปลูกพชื ทดแทนการทานาปรัง ซ่ึงเป็นพชื อายสุ ้นั และพชื ใชน้ ้านอ้ ย เน่ืองมาจากการงดส่งน้า เพอื่ ทานาปรงั ในฤดูการผลิต 2557/58 นอกจากน้ียงั เป็ นการสร้างความเขม้ แขง็ แก่เศรษฐกิจชุมชน ช่วย สนบั สนุน ผลกั ดนั ใหม้ ีกระบวนการสรา้ งรายไดแ้ ละแลกเปลี่ยนใหแ้ ก่เกษตรกรระหว่างชุมชน เป็ นการ ผลกั ดนั ใหเ้ กษตรกรพฒั นาผลผลิตและผลิตภณั ฑใ์ ห้มีคุณภาพยงิ่ ข้ึน ช่วยยกระดบั ดา้ นการผลิต ส่งผล ใหส้ ามารถจาหน่ายไดร้ าคาที่สูงข้นึ ซ่ึงจะสามารถแกไ้ ขปัญหาการขาดรายไดใ้ นฤดูการทานาปรัง ส่งผล ใหเ้ กิดความมน่ั คงในอาชีพการทาการเกษตรและความมน่ั คงทางเศรษฐกิจของประเทศ สานกั งานเกษตรจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา จดั ทาคู่มือการผลิตพืชอายสุ ้นั และพชื ใชน้ ้านอ้ ย ข้ึนมาเพอ่ื ประกอบการอบรมถ่ายทอดความรู้โครงการพฒั นาผลผลิตเกษตรให้ไดม้ าตรฐานปลอดภยั กิจกรรมส่งเสริมการปลูกพชื อายสุ ้นั และพชื ใชน้ ้าน้อย จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ตามแผนปฏิบตั ิ ราชการประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ของกลุ่มจงั หวดั ภาคกลางตอนบน 1เพื่อให้เกษตรกร สามารถนาไปถ่ายทอดและนาไปปรับใชใ้ นทาตามกิจกรรมทางการเกษตร หวงั เป็ นอยา่ งยงิ่ ว่าจะมี ประโยชน์ตอ่ เกษตรกรและผสู้ นใจทวั่ ไป สานกั งานเกษตรจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา มกราคม 2558

สารบัญ การปลูกขา้ วโพดหวาน หนา้ การปลูกชะอม 1 การปลูกถว่ั ฝักยาว 6 การปลูกมะเขอื เปราะ 9 การปลูกคะนา้ 16 การปลูกผกั กวางตงุ้ 24 การปลูกผกั บงุ้ 27 การเพาะเห็ดนางฟ้ าภูฐาน 31 34

1 การปลูกข้าวโพดหวาน พนั ธ์ุข้าวโพดหวาน พนั ธุข์ า้ วโพดหวานทใ่ี ชป้ ลูกควรเป็นขา้ วโพดหวานลูกผสม ในตลาดมีหลายพนั ธุผ์ ลิตจากหลาย บริษทั ให้เลือก แตพ่ นั ธุท์ ี่แนะนาคือพนั ธุข์ า้ วโพดหวานลูกผสม ไฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 ท้งั สอง พนั ธุเ์ ป็นพนั ธุข์ า้ วโพดหวานลูกผสมทผ่ี ลิตโดย บริษทั แปซิฟิคเมล็ดพนั ธุ์ จากดั ซ่ึงสามารถใหผ้ ลผลิตสูง มีขนาดฝักใหญเ่ ป็ นทตี่ อ้ งการของตลาด คุณภาพฝักสดดีมาก รสชาติดี กลิ่นหอม นอกจากน้ียงั สามารถ ปลูกไดใ้ นทกุ สภาพแวดลอ้ มในประเทศไทย เพราะเป็ นพนั ธุท์ ป่ี รบั ปรุงข้นึ โดยใชเ้ ช้ือพนั ธุกรรมที่มีใน ประเทศ ทาใหส้ ามารถปรับตวั ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง การเตรียมดิน การเตรียมดินถือเป็นหวั ใจของการปลูกขา้ วโพดหวานใหไ้ ดผ้ ลผลิตสูง เพราะถา้ ดินมีสภาพดี เหมาะกบั การงอกของเมลด็ จะทาใหม้ ีจานวนตน้ ต่อไร่สูง ผลผลิตต่อไร่กจ็ ะสูงตามไปดว้ ยการเตรียมดินที่ ดีควรมีการไถดะและทิ้งตากดินไว้ 3-5 วนั จากน้นั จงึ ไถแปรเพอ่ื ยอ่ ยดินให้ แตกละเอียดไม่เป็นกอ้ นใหญ่ เหมาะกบั การงอกของเมล็ด ควรมีการหวา่ นป๋ ยุ คอกเช่นป๋ ยุ ข้ีไก่เป็ นตน้ อตั ราประมาณ 1 ตนั ต่อไร่ก่อน การไถแปร เพอื่ เป็นการปรบั ปรุงโครงสร้างของดินใหด้ ีข้นึ สามารถอุม้ น้าไดน้ านข้ึน และยงั เป็ นการเพมิ่ ธาตอุ าหารใหก้ บั ขา้ วโพดหวาน การปลกู ควรปลูกเป็นแถวเป็นแนวซ่ึงสามารถปลูกไดส้ องวธิ ี คอื การปลกู แบบแถวเดี่ยว ระยะ ระหวา่ งแถว 75 เซนตเิ มตร ระยะระหวา่ งตน้ 25-30 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ตน้ จานวนตน้ ต่อไร่ ประมาณ 7,000-8,500 ตน้ จะใชเ้ มลด็ ประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัมต่อไร่ การปลูกแบบแถวคู่ มีการยกร่องสูง ระยะระหวา่ งร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็ นสองแถวขา้ งร่อง ระยะห่างกนั 30 เซนตเิ มตร ระยะระหวา่ งตน้ 25-30 เซนตเิ มตร1 ตน้ ต่อหลุม จะมีจานวนตน้ ประมาณ 7,000-8,500 ตน้ ต่อไร่และใชเ้ มลด็ ประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัมตอ่ ไร่ การใหน้ ้าจะปล่อยน้าตามร่องซ่ึงเป็น วธิ ีท่ีสะดวกดี การใส่ป๋ ยุ ป๋ ุยเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการปลูกขา้ วโพดหวาน เพราะปัจจุบนั พ้นื ท่กี ารเกษตรของประเทศไทย เป็นพน้ื ทที่ ม่ี ีการปลูกพชื ตดิ ต่อกนั เป็นระยะเวลานาน ทาใหค้ วามอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง จึงควรใส่ ธาตอุ าหารพชื (ป๋ ุย) เพมิ่ เติมลงในดิน การใส่ป๋ ุยในขา้ วโพดหวานมีข้นั ตอนดงั น้ี การใส่ป๋ ุยรองพน้ื สูตรป๋ ุยทแี่ นะนาคอื 15-15-15 หรือ 25-7-7 หรือ 16-16-8 อตั รา 50 กิโลกรมั ต่อ ไร่ ใส่พรอ้ มปลูกหรือใส่ขณะเตรียมดิน

2 หมายเหตุ ถา้ ปลูกดว้ ยมือ ควรหยอดป๋ ุยทก่ี น้ หลุมแลว้ กลบดินบาง ๆ ก่อนหยอดเมล็ด ไม่ควรใหป้ ๋ ยุ สมั ผสั กบั เมล็ดโดยตรงเพราะอาจทาใหเ้ มล็ดเน่าได้ การใส่ป๋ ยุ แตง่ หนา้ คร้งั ท่ี 1 สูตรป๋ ุยทีแ่ นะนาคือ 46-0-0 (ยเู รีย) อตั รา 25-30 กิโลกรัมตอ่ ไร่ ใส่ เม่ือขา้ วโพดมีอายุ 20-25 วนั หลงั ปลูก โรยขา้ งตน้ ในขณะดินมีความช้ืนหรือใหน้ ้าตาม หรือพนู โคนกลบ ป๋ ยุ ก็จะเป็ นการกาจดั วชั พชื ไปในตวั การใส่ป๋ ุยแต่งหนา้ คร้งั ท่ี 2 เม่ือขา้ วโพดมีอายุ 40-45 วนั หลงั ปลูก ถา้ แสดงอาการเหลืองหรือไม่ สมบูรณ์ ใหใ้ ส่ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0) อตั รา 25 กิโลกรัมตอ่ ไร่ โรยขา้ งตน้ ในขณะดินมีความช้ืนหรือใหน้ ้าตาม การกาจดั วัชพืช ถา้ แปลงปลูกขา้ วโพดหวานมีวชั พชื ข้ึนมากจะทาใหข้ า้ วโพดไม่สมบูรณ์ ผลผลิตจะลดลงจึงควร มีการกาจดั วชั พชื ในแปลงปลูก วธิ ีการกาจดั วชั พืชสามารถทาไดด้ งั น้ี การฉีดยาคุมวชั พชื ใชอ้ ลาคลอร์ ฉีดพน่ ลงดินหลงั จากปลูกก่อนทว่ี ชั พชื จะงอกขณะฉีดพน่ ดินควรมีความช้ืนเพอ่ื ทาใหย้ ามีประสิทธิภาพดี ข้ึน ใชว้ ธิ ีการเขตกรรม ถา้ หากจาเป็ นตอ้ งใชส้ ารเคมีควรไดร้ ับคาแนะนาจากนกั วชิ าการทเี่ ก่ียวขอ้ ง หรือ เจา้ หนา้ ทีโ่ รงงานผสู้ ่งเสริมการปลูก การให้นา้ ระยะท่ขี า้ วโพดหวานขาดน้าไม่ไดค้ ือระยะ 7 วนั แรกหลงั ปลูก เป็ นระยะท่ขี า้ วโพดกาลงั งอก ถา้ ขา้ วโพดหวานขาดน้าช่วงน้ีจะทาใหก้ ารงอกไม่ดี จานวนตน้ ต่อพน้ื ท่ีก็จะนอ้ ยลงจะทาใหผ้ ลผลิตลดลงไป ดว้ ย ระยะทีข่ าดน้าไม่ไดอ้ ีกช่วงหน่ึงคอื ระยะออกดอก การขาดน้าในช่วงน้ีจะมีผลทาใหก้ ารผสมเกสรไม่ สมบูรณ์ การติดเมลด็ จะไม่ดี ตดิ เมล็ดไม่เตม็ ถึงปลายหรือติดเมลด็ เป็ นบางส่วน ซ่ึงฝักทีไ่ ดจ้ ะขายไดร้ าคา ต่า โดยปกติถา้ เป็ นพ้นื ทที่ ่ีสามารถใหน้ ้าไดค้ วรใหน้ ้าทกุ 3-5 วนั ข้ึนกบั สภาพตน้ ขา้ วโพดและสภาพ อากาศ แตช่ ่วงทคี่ วรใหน้ ้าถี่ข้นึ คือช่วงท่ขี า้ วโพดกาลงั งอกและช่วงออกดอก การเก็บเกยี่ ว โดยปกติขา้ วโพดหวานจะเก็บเกี่ยวเม่ือมีอายปุ ระมาณ 70-75 วนั หลงั ปลูก แต่ระยะท่เี หมาะสม สาหรับการเกบ็ เกี่ยวทส่ี ุด คอื ระยะ 18-20 วนั หลงั ขา้ วโพดออกไหม 50% (ขา้ วโพด 100 ตน้ มีไหม 50 ตน้ ) ขา้ วโพดหวานพนั ธุ์ ไฮ-บริกซ์ 10 จะเก็บเกี่ยวทอี่ ายปุ ระมาณ 68-70 วนั และพนั ธุไ์ ฮ-บริกซ์ 3 จะ เก็บเก่ียวท่อี ายปุ ระมาณ 65-68 วนั หลงั ปลูก แต่ถา้ ปลูกในช่วงอากาศหนาวเยน็ อายกุ ารเก็บเกี่ยวอาจจะยดื ออกไปอีกหลงั จากเก็บเกี่ยวแลว้ ควรรีบส่งโรงงานหรือจาหน่ายโดยเร็ว เพอ่ื ป้ องกนั การสูญเสียน้า หาก ขาดน้าจะมีผลตอ่ เมลด็ และน้าหนกั ของฝัก

3 ปัญหาและการแก้ไข ทพี่ บเห็นบ่อย ๆ มีดังนี้ ความงอก ปกติเมล็ดพนั ธุไ์ ฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 ไดผ้ า่ นการทดสอบความงอกมาแลว้ จงึ จาหน่ายสู่เกษตรกร แตบ่ างคร้ังเมลด็ พนั ธุอ์ าจจะคา้ งอยใู่ นรา้ นคา้ เป็ นเวลานานหรือเกษตรกรอาจจะซ้ือ เมล็ดพนั ธุม์ าเก็บไวท้ บ่ี า้ น และสถานทเ่ี ก็บอาจจะไม่เหมาะสม สิ่งเหล่าน้ีมีผลทาใหเ้ มลด็ พนั ธุม์ ีความงอก ลดลง วธิ ีการแกไ้ ขที่ดีท่สี ุด คอื กอ่ นปลูกทกุ คร้งั ใหท้ ดสอบความงอกของเมล็ดทจี่ ะปลูกก่อน โดยการสุ่ม เมล็ดจากถุงประมาณ 100 เมลด็ แลว้ ปลูกลงในกระบะทรายหรือดินแลว้ รดน้าเพอื่ ทดสอบความงอก นบั ตน้ ท่ีโผล่พน้ ดินในวนั ท่ี 7 ถา้ มีจานวนตน้ เกิน 85 ตน้ ถือวา่ มีอตั ราความงอกทใี่ ชไ้ ดก้ ็สามารถนาเมลด็ พนั ธุถ์ ุงน้นั ไปปลูกได้ โรคราน้าคา้ ง ปัจจบุ นั พนั ธุข์ า้ วโพดหวานเกือบทุกพนั ธุท์ ีข่ ายในประเทศไทยเป็ น พนั ธุท์ ่ไี ม่ตา้ นทานโรคราน้าคา้ ง ต้งั แตพ่ นั ธุไ์ ฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 จนถึงพนั ธล์ ่าสุดไฮ-บริกซ์ 9 ซ่ึงทุกพนั ธุไ์ ดผ้ า่ นการคลุกยาป้ องกนั โรคราน้าคา้ ง (เมตาแลกซิล) ในอตั รายาที่เหมาะสม เมื่อปลูกแลว้ จะ ไม่พบวา่ เป็นโรค แต่การปลูกทผี่ ดิ วธิ ีก็อาจเป็ นสาเหตุใหเ้ ป็นโรคราน้าคา้ งได้ การปลูกท่ผี ดิ วธิ ีทีพ่ บเห็น บ่อยๆ มีดงั น้ี แช่เมลด็ พนั ธุใ์ นน้าก่อนปลูก เกษตรกรเชื่อวา่ การแช่เมลด็ พนั ธุใ์ นน้าก่อนปลูกจะทาใหก้ าร งอกดีและมีความสม่าเสมอ แต่การแช่เมล็ดพนั ธุใ์ นน้าก่อนปลูกจะทาใหย้ าทีค่ ลุกตดิ มากบั เมลด็ พนั ธุซ์ ่ึง เป็นยาป้ องกนั โรคราน้าคา้ งละลายหลุดออกไป ทาใหย้ าท่ีเคลือบเมลด็ มีนอ้ ยลงหรือไม่มีเลย เมื่อนาเมล็ด พนั ธุท์ ่ีแช่น้าไปปลูก ตน้ อ่อนที่งอกออกมาจงึ เป็นโรค ราน้าคา้ ง วธิ ีแกไ้ ข คอื ไม่แช่เมลด็ พนั ธุใ์ นน้าก่อน ปลูกหรือคลุกสารเคมีอื่นเพมิ่ เพราะมีผลต่อความตา้ นทานโรคราน้าคา้ งและความงอกของเมล็ดพนั ธุ์ ปล่อยน้าทว่ มขงั แปลงหลงั ปลูก เกษตรกรบางรายเมื่อปลูกเสร็จจะปล่อยน้าทว่ มแปลงปลูกหรือปล่อยน้า ท่วมร่องปลูก ซ่ึงน้าจะทว่ มขงั อยเู่ ป็นเวลานานกวา่ จะซึมลงดินหมด เมลด็ จะแช่อยใู่ นน้าเป็นเวลานาน ยา ป้ องกนั โรคราน้าคา้ งทเ่ี คลือบเมลด็ อยจู่ ะละลายหายไปกบั น้า ทาใหต้ น้ อ่อนท่งี อกข้นึ มาไม่ไดร้ บั ยา ป้ องกนั โรคราน้าคา้ ง จึงแสดงอาการเป็นโรคใหเ้ ห็น วิธีแกไ้ ข คือ ใหน้ ้าในแปลงก่อนการปลูกและรอให้ ดินมีความช้ืนเหมาะกบั การงอกของเมลด็ จึงทาการปลูก ยาที่เคลือบเมลด็ จะไม่ละลายหลุดไปกบั น้า ตน้ อ่อนท่ีงอกออกมาจึงไดร้ บั ยาอยา่ งเตม็ ทแี่ ละไม่เป็นโรคราน้าคา้ งการระบาดของหนู พน้ื ท่ที ป่ี ลูกขา้ วโพด หวานติดตอ่ กนั หลายรุ่นมกั จะพบวา่ มีหนูระบาดและมกั จะเขา้ ทาลายขา้ วโพดหวานในระยะงอกและระยะ ก่อนเก็บเก่ียว เมื่อมีหนูระบาดจะทาใหผ้ ลผลิตลดลง ฝักท่ีเกบ็ ไดม้ ีร่องรอยการทาลายของหนูทาใหข้ าย ไม่ได้ แกไ้ ขโดยการวางยาเบอื่ หนู ซ่ึงทาไดโ้ ดยใชข้ า้ วโพดหวานฝักสดฝานเอาแต่เน้ือผสมกบั ยาเบอ่ื หนู ทีเ่ ป็นผงสีดา (Zinc phosphide) คลุกเคลา้ ใหท้ ว่ั แลว้ หวา่ นใหท้ วั่ ในแปลงหลงั จากปลูกเสร็จ (อาจจะ หวา่ นในช่วงหลงั ปลูก คอื ขา้ วโพดกาลงั งอก ) และในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว ( ช่วงขา้ วโพดกาลงั เป็ น น้านม ประมาณ 65-70 วนั หลงั ปลูก )หวา่ นติดต่อกนั สกั 3 คร้ัง แต่ละคร้ังห่างกนั 2-3 วนั จะทาใหก้ าร

4 ระบาดของหนู ลดลงหนอนเจาะฝักขา้ วโพด บางฤดูจะพบวา่ มีการระบาดของหนอนเจาะฝักเกิดข้นึ ซ่ึง จะทาใหฝ้ ักทเี่ ก็บเกี่ยวไดม้ ีตาหนิขายไม่ไดร้ าคา ผลผลิตต่อไร่ลดลง สามารถป้ องกนั การระบาดไดโ้ ดย การหมน่ั ตรวจแปลงอยเู่ สมอโดยเฉพาะในระยะเร่ิมผสมเกสร ถา้ พบวา่ เร่ิมมีหนอนเจาะฝักใหใ้ ชย้ า ฟลูเฟนนอกซูรอน หรือ ฟิโบรนิล (ช่ือสามญั ) ในอตั รา 20 ซี.ซี. ตอ่ น้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ที่ฝัก 1-2 คร้ัง ห่าง กนั 7 วนั มวนเขยี ว หลงั จากขา้ วโพดผสมเกสรแลว้ บางคร้ังจะมีมวนเขียวระบาดโดยเฉพาะช่วงฝนทง้ิ ช่วงหรือในหนา้ แลง้ มวนเขียวจะใชป้ ากเจาะฝักขา้ วโพดและดูดกินน้าเล้ียงจากเมล็ดท่ียงั อ่อนอยชู่ ่ึงจะไม่ เห็นร่องรอยการทาลายจากภายนอก เม่ือเก็บเกี่ยวจะพบวา่ เมลด็ มีรอยช้าหรือรอยดาด่างทาใหข้ ายไม่ได้ ราคา ป้ องกนั ไดโ้ ดยการหมนั่ เดินตรวจแปลงในระยะหลงั จากผสมเกสรแลว้ ถา้ พบมวนเขยี วใหฉ้ ีดพน่ ดว้ ยยา คาร์โบซลั แฟน (ช่ือสามญั ) อตั รา 40 ซี.ซี. ต่อน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ที่ฝักขา้ วโพด เพล้ียไฟ ถา้ ขา้ วโพดหวานออกดอกในช่วงฝนท้งิ ช่วงหรือในหนา้ แลง้ มกั จะพบวา่ มีเพล้ียไฟ (แมลงตวั เล็กๆ สีดา) เกาะกินน้าเล้ียงที่ไหมของฝักขา้ วโพดทาใหไ้ หมฝ่ อ การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การ ตดิ เมล็ดจะไม่ดีตามไปดว้ ย ป้ องกนั ไดโ้ ดยหมน่ั ตรวจแปลงในระยะออกดอก ถา้ พบวา่ มีเพล้ียไฟเกาะท่ี ไหม ใหใ้ ชย้ าเอน็ โดซนั แฟน (ชื่อสามญั ) หรือ วฟี อส (ช่ือการคา้ ) อตั รา 40 ซี.ซี. ต่อน้า 20 ลิตรฉีดพน่ ทฝี่ ัก ขา้ วโพดไม่หวาน ถา้ พบวา่ ขา้ วโพดหวานฝักสดมีรสชาติไม่หวานแสดงวา่ ดินในแปลงทป่ี ลูก ขา้ วโพดขาดธาตโุ ปแตสเซี่ยม (K) ธาตุโปแตสเซ่ียมจะช่วยใหก้ ารสะสมน้าตาลในเมลด็ ดีข้นึ แกไ้ ขไดโ้ ดย การใส่ป๋ ุยรองพ้นื ทม่ี ีธาตโุ ปแตสเซ่ียมร่วมดว้ ย เช่น ป๋ ุยสูตร 25-7-7 หรือ 16-16-8 หรือ 13-13-21 ข้นึ กบั สภาพดิน ถา้ ดินขาดโปแตสเซี่ยมมากกค็ วรใส่ป๋ ุยสูตรทม่ี ีคา่ K สูงเปลือกหุม้ ฝักเหลือง การเกบ็ เก่ียวทีอ่ ายุ เกิน 20 วนั หลงั ออกไหม 50% จะมีผลทาใหเ้ ปลือกหุม้ ฝักมีสีเขยี วอ่อนลงดูเหมือนฝักจะแก่ บางคร้งั ถึงแมว้ า่ จะเกบ็ เก่ียวทอ่ี ายเุ หมาะสม เปลือกหุม้ ฝักก็ยงั มีสีออกเหลอื ง การแกไ้ ขทาไดโ้ ดยการเพม่ิ ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0) อตั รา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ โรยขา้ งตน้ ขา้ วโพดในขณะดินมีความช้ืนในระยะท่ีขา้ วโพดออก ดอก จะทาใหเ้ ปลือกหุม้ ฝักมีสีเขยี วอยไู่ ดน้ านข้นึ โรคราสนิม ถา้ มีโรคราสนิมระบาดรุนแรงจะทาใหฝ้ ักขา้ วโพดไม่สมบรู ณ์ การตดิ เมล็ดจะไม่เตม็ ถึงปลายขายไมไ่ ดร้ าคา ในพน้ื ท่ที ี่มีการระบาดของโรคราสนิมอยเู่ ป็ นประจาควรฉีดพน่ ดว้ ยยาไดฟี โนโค นาโซล (ชื่อสามญั )หรือ สกอร์ (ช่ือการคา้ ) อตั รา 20 ซี.ซี. ต่อน้า 20 ลิตร เมื่อเร่ิมเป็ นโรค

5 ข้อควรระมัดระวัง การใชส้ ารเคมีป้ องกนั และกาจดั โรคและแมลง เกษตรกรควรขอคาแนะนาจากโรงงานผสู้ ่งเสริม หรือนกั วชิ าการโดยตรง เพอ่ื หลีกเล่ียงสารตกคา้ งทีอ่ าจปนเป้ื อนไปกบั ผลิตภณั ฑ์

6 การปลูกชะอม การปลูกผกั ชะอม เร่ืองการขยายพนั ธุผ์ กั ชะอมน้นั สามารถขยายพนั ธุด์ ว้ ยวิธีการปักชาจะง่ายกวา่ แตไ่ ม่ไดผ้ ลผลิตทีแ่ น่นอนและการปลกู จะเส่ียงต่อการตายสูง เหมาะสาหรบั การปลูกบริโภคในครัวเรือน มากกวา่ การปลูกเพอื่ การคา้ ขาย ส่วนการปลูกแบบเพาะเมล็ดจึงเหมาะสมต่อการปลูกเพอื่ เก็บผลผลิตไป ขายมากทสี่ ุด ดงั น้นั การเร่ิมตน้ การปลูกผกั ชะอมของคุณวนิ ยั จงึ เริ่มตน้ จากการนาเมลด็ พนั ธุผ์ กั ชะอมมา จากสวนเพอ่ื นบา้ น จากน้นั ไดม้ ีความพยายามเพาะเมลด็ พนั ธุผ์ กั ชะอมเอง ซ่ึงยอมรบั วา่ เพาะยากมากๆ จนกระทงั่ ไดม้ ีโอกาสไปศกึ ษาดูงาน จากชุมชน และเกษตรกรทา่ นอ่ืนท่มี ีประสบการณ์ จึงไดพ้ บวา่ การ ปลูกผกั ชะอมโดยการเพาะเมลด็ น้นั ตอ้ งอาศยั ทกั ษะและความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ งจึงจะสามารถเพาะพนั ธุผ์ กั ชะอมได้ การเพาะพนั ธ์ุผักชะอม สามารถทาไดดงั น้ี - เลือกเมลด็ ผกั ชะอมฝักทแี่ หง้ เมลด็ ในฝักแบนทส่ี ุด แกะเอาแต่เมล็ดดา้ นใน เมล็ดที่สมบูรณ์จะ ไม่ลีบ มีสีดา - เตรียมถุงเพาะขนาด 3 นิ้ว ใส่ดินร่วนซุยในถุง - นาเมลด็ ทีไ่ ด้ หนั ดา้ นทีง่ อกข้นึ เอาปลายแหลมจ้ิมลงในถุงเพาะใหล้ ึก ¼ ของเมล็ด - นากระซงั คลมุ ทบั ดา้ นบนของถุงเพาะ - รดน้าโดยใชบ้ วั รดน้าทม่ี ีตาถ่ีๆน้าเป็นฝอยๆวนั ละ 1 คร้ังตอนเชา้ - หลงั จากผา่ นไป 1 วนั เมลด็ จะเร่ิมงอก สงั เกตไดโ้ ดยเมลด็ สีดาจะถอดเปลือกสีดาออกเร่ิมเห็น เมลด็ ดา้ นในเป็นสีขาวครีม เปลือกนอกสีดาจะคอ่ ยถูกดนั ถอดออกไปเร่ือยๆ เมื่อครบวนั ที่สองให้เอากระ ซงั ท่ีคลุมออก - จนกระทงั่ ครบ 3 วนั เปลือกดาจะถูกถอดออกหมด ตน้ กลา้ จะเริ่มสูงประมาณ 3 ขอ้ มือ - รดน้าทกุ เชา้ เยน็ พอให้ชุ่ม อยา่ ใหน้ ้ามากเพราะตน้ กลา้ จะเน่า อยา่ ใหโ้ ดนฝนมากเพราะรากตน้ กลา้ ยงั ลงไมล่ ึกนกั บงั แดดราไรดว้ ยฟางหรือกระซงั - หมน่ั รดน้าดว้ ยบวั ฝอย ทกุ เชา้ เยน็ ใหพ้ อชุ่มอยา่ ใหน้ ้ามากนกั จากน้นั ประมาณ 1 เดือน ตน้ กลา้ ผกั ชะอมจะยาว 2 ฟุต เป็นตน้ กลา้ ทีเ่ มาะสมสาหรับการลงปลูกมากทสี่ ุด การปลูกผกั ชะอม สามารถทาไดดงั น้ี - ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมสาหรับการปลูกผกั ชะอมมากท่ีสุดคอื ช่วงปลายเดือนเมษายน (ตน้ ฝน)ถา้ ปลูกในช่วงท่ฝี นตกมากตน้ กลา้ จะตาย

7 - การปลูกผกั ชะอม จะตอ้ งขดุ หลุม ขนาด ลึก 1 ฟตุ กวา้ ง 1 ฟตุ รองกน้ หลุมดว้ ยป๋ ยุ คอก 1 ถว้ ย/ หลุมคลุกป๋ ยุ คอกในหลุมใหเ้ ขา้ กบั ดิน ระยะห่างระหวา่ งตน้ 2 เมตร - นาตน้ กลา้ ลงปลกู กลบดินโดยเริ่มจากการกลบหนา้ ดินลงไปก่อนแลว้ กลบดินท่ีขดุ จากกน้ หลุม ตาม - นาวสั ดุ ฟางขา้ ว เศษหญา้ แกลบหยาบ คลุมโคนตน้ กลา้ เพอื่ ป้ องกนั วชั พชื รกั ษาความช้ืนของ หนา้ ดิน - รดน้าทุกๆ 2 วนั เชา้ -เยน็ - ใส่ป๋ ุยคอกทุกๆ 2 สปั ดาห์ โดยการนาวสั ดุคลุมออกแลว้ ใส่ป๋ ุยคอก 1 ถว้ ย จากน้นั นาวสั ดุคลุม อีกคร้งั - ใหน้ ้าใหป้ ๋ ยุ จนกระทง่ั ตน้ ผกั ชะอมมีอายุ 3 เดือน ตน้ ผกั ชะอมจะสูง 2 เมตร ช่วงน้ีหา้ มเดด็ ยอด ผกั ชะอมเด็ดขาด เพราะถา้ เดด็ ยอดออกแลว้ ชะอมจะแตกยอดแขนงออกสูงเกินไปจะทาใหก้ ารเกบ็ ผลผลิตไดไ้ ม่สะดวก ดงั น้นั ตอ้ งรอจนกระทงั่ โคนตน้ แตกยอดแขนงออกมา ปล่อยใหย้ อดแขนงจะสูง เทา่ กบั ตน้ แม่ - เม่ือยอดแขนงสูงเท่ากบั ตน้ แม่แลว้ ใหโ้ นม้ ก่ิงแขนงและกิ่งแม่จากอีกตน้ ไปยงั อีกตน้ หน่ึงที่อยู่ ใกลเ้ คียง ใชต้ อกมดั กิ่งตดิ กนั - จากน้นั เขา้ สู่ช่วงของการ “ทาสาว” คอื การใชป้ ๋ ยุ เคมีสูตร 46-0-0 ในพกิ ดั ควบแน่น คอื การนา ป๋ ุยเคมีดงั กล่าวแช่ในน้าในระดบั เขม้ ขน้ จนป๋ ุยไม่ละลาย จากน้นั กรองเอาแตน่ ้าป๋ ุยเขม้ ขน้ พน่ ทางใบใหใ้ บ ร่วง กล่าวคือ เมื่อพน่ ช่วงเยน็ พรุ่งน้ีใบผกั ชะอมจะมีสีดา จนกระทงั่ 3 วนั ความเขม้ ขน้ ของป๋ ยุ จะทาใหใ้ บ ผกั ชะอมร่วงจนหมดตน้ เหลือแต่ก่ิง การพน่ น้าป๋ ุยเขม้ ขน้ จะตอ้ งระวงั เพราะนาป๋ ุยเขม้ ขน้ เป็ นอนั ตรายตอ่ ผวิ หนงั ดวงตา และระบบทางเดินหายใจ ตอ้ งแต่งกายใหร้ ัดกมุ - หลงั จากทใี่ บร่วงหมดแลว้ ทิ้งไว้ 1 วนั จากน้นั พน่ ดว้ ยน้าเปล่าเป็ นการชะลา้ งเปิ ดตายอด - หลงั จากใหน้ ้าทางกิ่ง ลาตน้ แลว้ ตอ้ งใหน้ ้าโคนตน้ ดว้ ย จากน้นั อีก 1สปั ดาห์ ตน้ ผกั ชะอมจะเร่ิม แตกยอด - จากน้นั อีก 1 สปั ดาห์สามารถเก็บยอดไปขายได้ การเกบ็ ยอดจะเกบ็ ยอดท่ียาว 6-10 เซนติเมตร เป็นระยะท่ีตลาดตอ้ งการเป็นอยา่ งมาก - ในช่วงฤดูหนาวจะสามารถ เก็บไดท้ ุกๆ 2-3 วนั ถา้ เป็ นช่วงฤดูอื่นๆสามารถเกบ็ ไดว้ นั ละ 2 คร้งั

8 การเกบ็ ยอดผักชะอม การเกบ็ ผกั ชะอมเพอ่ื ใหย้ อดสวย สามารถเก็บไดท้ ุกเวลาโดยเก็บยอดท่ียาว 6-10 เซนตเิ มตร การ เกบ็ ทุกๆ 3 กามือตอ้ งนามามดั แลว้ จมุ่ แช่ในถงั น้า 3 นาที จากน้นั นาผา้ สีเขม้ ชุบน้าพอเปี ยก ปใู นตะกรา้ แลว้ นาผกั ชะอมทแ่ี ช่น้าใส่ในผา้ นาชายผา้ คลุมยอดผกั ชะอมใหอ้ ยใู่ นตะกร้าเป็ นการรกั ษายอดใหใ้ หม่สด เสมอ และป้ องกนั กล่ินฉุน จากน้นั อยา่ พรมน้าอีกเพราะถา้ พรมน้าอีกกล่ินมนั จะแรงมากๆไม่เป็ นท่ี ตอ้ งการของตลาด การดูแลหลังเกบ็ เกี่ยว หลงั จากเกบ็ ยอดผกั ชะอมและใบผกั ชะอมร่วงหมดแลว้ ตอ้ งบารุงตน้ ดว้ ยป๋ ยุ คอก 2 ตนั ต่อ 1 ไร่ จากน้นั เมื่อตน้ เร่ิมแทงยอดใหม่แลว้ ใหใ้ ส่ป๋ ุยเคมี สูตร 46-0-0 ทกุ ๆ 7 วนั เฉลี่ย 2 กระสอบต่อ 1 ไร่แต่ตอ้ งใส่ ในช่วงก่อนเกบ็ ยอด จากน้นั เกบ็ ยอดใหห้ มด 1 รุ่น ยอดอีกรุ่นจะออกตามมา ถา้ ยอดมีสีเหลืองใหใ้ ส่ ป๋ ยุ เคมี 46-0-0 อีกเฉล่ียแลว้ 7 วนั ใส่ป๋ ุย 1 คร้ัง ถา้ ปลูกผกั ชะอม ในช่วงการเก็บเก่ียวในฤดูฝน(เมษายน- สิงหาคม) จะเป็นช่วงทผี่ กั ชะอมออก ยอดมาก ช่วงน้ีไม่ตอ้ งเก็บยอดเน่ืองจากมีราคาถกู ควรปล่อยไวใ้ หโ้ ต จากน้นั ตน้ ใหม่จะแทงยอดออกจาก โคนตน้ จนสูงเทา่ ตน้ เดิมอีก ส่วนตน้ เดิมท่ีแก่แลว้ ใหต้ ดั ออกมาคลุมโคนตน้ เป็ นป๋ ุย รกั ษาความช้ืนต่อไป ปัจจบุ นั ตลาดผกั ชะอมมีทว่ั ไปตามตลาดชุมชนและมีแมค่ า้ มารับซ้ือถึงสวน ราคาอยทู่ กี่ ิโลกรัมละ 200 บาท

9 การปลูกถั่วฝักยาว ถวั่ ฝักยาว จดั เป็ นพชื ผกั ในตระกูลถวั่ ปลูกไดต้ ลอดปี แต่ปลูกไดผ้ ลทสี่ ุดคอื ช่วงเดือนกุมภาพนั ธ์ ถึงพฤศจิกายน เป็นผกั ชนิดหน่ึงท่ีชาวเอเซียนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะชาวฮ่องกงและสิงคโปร์ นอกจาก ตลาดเอเซียแลว้ ตลาดตา่ งประเทศทางยโุ รป ซ่ึงมีคนเอเซียอพยพเขา้ ไปอยอู่ าศยั เป็ นจานวนมาก เช่น ฝร่ังเศส องั กฤษ และเยอรมนั ตะวนั ตก ตลอดจนประเทศทางแถบตะวนั ออกกลาง กน็ บั วา่ เป็ นตลาดที่ คอ่ นขา้ งจะมีความตอ้ งการสูง จงึ นบั ไดว้ า่ ถว่ั ฝักยาวเป็นพชื ผกั ชนิดหน่ึงทน่ี ิยมบริโภคท้งั ภายในและนอก ประเทศ ถว่ั ฝักยาว เป็ นพชื ตระกลู ถวั่ ทีม่ ีความสาคญั ชนิดหน่ึง ของประเทศไทย นอกจ ากจะใชป้ รุง อาหาร บางชนิดใชบ้ ริโภคสดในชีวติ ประจาวนั แลว้ ยงั ใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในดา้ นอุตสาหกรรมบรรจุกระป๋ อง และแช่แขง็ ดว้ ย ถวั่ ฝักยาวมีถ่ินกาเนิดอยใู่ นประเทศจนี และอินเดีย เป็ นพชื ตระกลู ถว่ั ทม่ี ีลาตน้ เป็ นเถา เล้ือย การเล้ือยของเถา มีทิศทางการพนั ทวนเขม็ นาฬกิ า การปลูกโดยการทาคา้ งจะทาใหผ้ ลผลิตสูงข้นึ ถวั่ ฝักยาวนอกจากจะเป็นพชื ผกั ที่มีคุณคา่ ทางอาหารแลว้ การปลูกถวั่ ฝักยาวจะช่วยปรบั ปรุงบารุงดิน ดว้ ย เพราะโดยธรรมชาติแลว้ ระบบรากของพชื ตระกลู ถว่ั จะมีการตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาไวใ้ นดิน นบั วา่ เป็นพชื ที่มีประโยชน์หลายอยา่ ง ดินฟ้ าอากาศทเี่ หมาะสม ถว่ั ฝักยาวปลูกไดท้ วั่ ทกุ ภาคของประเทศ ชอบอากาศคอ่ นขา้ งรอ้ น ช่วงอุณหภมู ิที่เหมาะสมอยใู่ นระหวา่ ง 16-24 องศาเซลเซียส สามารถปลูกไดใ้ น ดินทุกชนิด แต่ปลูกไดด้ ีในดินร่วนปนทราย มีการระบายน้าไดด้ ี สภาพความเป็ นกรดด่าง (pH) อยรู่ ะหวา่ ง 5.5-6.0 และเป็ นพชื ที่ตอ้ งการแสงแดดตลอดวนั แหล่งปลูกท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ราชบรุ ี นครปฐม สระบุรี ปทมุ ธานี อ่างทอง นครนายก นครราชสีมา หนองคาย อุดรธานี บรุ ีรมั ย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตรัง นครสวรรค์ เชียงใหม่ ลาปาง พันธ์ุถัว่ ฝกั ยาว 1. แบ่งตามแหล่งที่มาของพนั ธุ์ - พนั ธุข์ องทางราชการ ไดแ้ ก่ พนั ธุ์ ก 2-1A (จากกรมวชิ าการเกษตร), พนั ธุ์ มก.8 (จาก มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์) - พนั ธุข์ องบริษทั เอกชน ไดแ้ ก่ พนั ธุ์ RW 24, พนั ธุส์ องสี, พนั ธุเ์ ขยี วดก, พนั ธุก์ รีนพอท, พนั ธุแ์ อร์ โรว,์ พนั ธุเ์ อเชียนนิโกร, พนั ธุเ์ กาชุง เป็ นตน้

10 - พนั ธุพ์ น้ื เมือง ไดแ้ ก่ พนั ธุพ์ น้ื เมืองของทอ้ งถิ่นต่าง ๆ เช่น พนั ธุถ์ วั่ ดว้ ง (สระบุรี) พนั ธุด์ าเนิน (ราชบรุ ี) พนั ธุพ์ ้นื เมือง (ตรงั ) พนั ธุพ์ น้ื เมือง (หนองคาย) เป็นตน้ 2. แบ่งตามสีของเมลด็ พนั ธุ์ - เมล็ดสีแดง ดอกสีม่วงอ่อนหรือสีม่วง ฝักสีเขียว หรือเขียวเขม้ - เมล็ดสีแดงเขม้ ดอกสีม่วง ฝักสีม่วงเขม้ - เมล็ดสีขาว ดอกสีครีม ฝักสีเขียวอ่อน - อเมล็ดสีดา ดอกสีม่วง ฝักสีเขียวเขม้ - เมลด็ สีแดงด่างขาว ดอกสีม่วง ฝักสีเขียว นอกจากน้ี มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่นไดพ้ ฒั นาพนั ธถุ์ วั่ พมุ่ ซ่ึงใหฝ้ ักท่มี ีลกั ษณะเช่นเดียวกบั ถว่ั ฝักยาว แต่ไม่ ตอ้ งใชค้ า้ ง ทนตอ่ สภาพแหง้ แลง้ ไดแ้ ก่ พนั ธุ์ มข. 25 ฤดูปลูก ถวั่ ฝักยาวเป็นผกั ทีป่ ลูกไดท้ ุกฤดูกาลใน เขตร้อน ชอบอากาศคอ่ นขา้ งร้อน ฝนไม่ชุก ถา้ อากาศ ร้อนเกินไปหรือฝนตกชุก จะทาใหด้ อกร่วงและฝักร่วง ถา้ อากาศหนาวเกินไปจะชะงกั การเจริญเติบโต เน่ืองจากระบบรากไม่ทางาน ดงั น้นั ถวั่ ฝักยาวมกั ใหผ้ ลผลิตในช่วงฤดูแลง้ สูงกวา่ ในฤดูฝน แตใ่ นช่วงฤดู ฝนหากมีการดูแลรักษาท่ีดี คุณภาพของฝักท่ไี ดจ้ ะสมบรู ณ์กวา่ ในช่วงฤดูรอ้ น ดนิ และการเตรียมดนิ 1. ถว่ั ฝักยาวสามารถเจริญเตบิ โตไดด้ ีในดินแทบทกุ ชนิด แตล่ กั ษณะดินท่ีมคี วามเหมาะสมใน การปลูก คือดนิ ร่วนทราย หรือดินร่วนปนทราย และความเป็ นกรดและด่างของดิน (pH) มีคา่ ระหวา่ ง 5.5-6 2. การเตรียมดิน ถวั่ ฝักยาวเป็ นพชื ท่ีมีระบบรากละเอียดอ่อน การเตรียมดินท่ดี ีจะช่วยใหก้ าร เจริญเติบโตสมบูรณ์และสม่าเสมอ ข้นั ตอนแรกใหไ้ ถพรวนความลึกประมาณ 6-8 นิ้ว ตากดินท้งิ ไว้ 5-7 วนั เพอ่ื ทาลายไขแ่ มลง และศตั รูพชื บางชนิด เก็บเศษวชั พชื ออกจากแปลงใหห้ มด จากน้นั จึงไถคราด ควร ใส่ป๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั ทสี่ ลายตวั แลว้ เพอื่ ปรับปรุงโครงสรา้ งของดินใหด้ ีข้ึน การยกร่องสาหรบั ถว่ั ฝักยาวน้นั ปกติจะยกร่องกวา้ งประมาณ 1-1.2 เมตร โดยใหค้ วามยาวเหมาะสมกบั สภาพแปลง และ เตรียมร่องระหวา่ งแปลงสาหรบั เขา้ ไปปฏิบตั งิ าน กวา้ งประมาณ 0.5-0.8 เมตร ในสภาพพน้ื ที่ ท่ีไม่เคยมี การวเิ คราะหด์ ินมาก่อน ควรเกบ็ ตวั อยา่ งดินเพอ่ื นาไปวเิ คราะห์เคมี เพอ่ื ใหท้ ราบถึงความจาเป็ น และได้ ขอ้ มูลในการปรบั ปรุงบารุงดินใหเ้ หมาะสมต่อไป

11 การปลูก 1. การเตรียมเมล็ดพนั ธุ์ ปกติในการปลูกถวั่ ฝักยาวในเน้ือที่ 1 ไร่ ใชเ้ มล็ดพนั ธุ์ 3-4 กิโลกรมั นา เมลด็ พนั ธุไ์ ปทดสอบความงอก คดั เมลด็ ทม่ี ีตาหนิออก และควรคลุกเมล็ดดว้ ยสารเคมีป้ องกนั กาจดั แมลง เพอ่ื ป้ องกนั แมลงเขา้ ทาลายดว้ ย 2. การเตรียมหลุมปลูก ใหใ้ ชจ้ อบขดุ หลุมใหร้ ะยะระหวา่ งแถวห่างกนั 0.8 เมตร ระยะระหวา่ ง หลุม 0.5 เมตร โดยใหห้ ลุมลึกประมาณ 4-6 นิ้ว ใชป้ ๋ ุยเคมีสูตรท่ีเหมาะสมกบั ถวั่ ฝักยาว เช่น 15-15-15, 13- 13-21,12-24-12, 5-10-5 หรือ 6-12-12 ใส่หลุมละ 1/2 ชอ้ นแกง (10-15 กรมั ) คลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั 3. การปลูกโดยหยอดเมล็ด หลุมละ 4 เมลด็ แลว้ กลบดินใหล้ ึกประมาณ 5 เซนติเมตร แลว้ จึงรด น้าทนั ที สาหรบั การใหน้ ้าระยะ 1-7 วนั ควรใหน้ ้าทุกวนั ๆ ละ 1 คร้งั ท้งั น้ีให้พจิ ารณาสภาพภูมิอากาศ และสภาพดินดว้ ย 4. การถอนแยก หลงั จากหยอดเมล็ดแลว้ ประมาณ 5-7 วนั เมลด็ จะเริ่มงอก เม่ือมีใบจริงประมาณ 4 ใบ ใหถ้ อนแยกเหลือตน้ แขง็ แรงไว้ 2 ตน้ ต่อหลุม ขณะทถี่ อนแยกใหพ้ รวนดินและกาจดั วชั พชื เพอื่ ไม่ใหว้ ชั พชื มาแยง่ น้า และอาหารจากถว่ั ฝักยาว การดูแลรักษา ถว่ั ฝักยาวเป็นพชื ที่ตอ้ งการการดูแลรักษาอยา่ งใกลช้ ิด การดูแลรกั ษาท่ีดีจะมีผลต่อปริมาณและ คุณภาพของผลผลิตอยา่ งมาก ข้นั ตอนตา่ ง ๆ ของการดูแลรกั ษาน้นั มีดงั 1. การใหน้ ้า ถวั่ ฝักยาวเป็นพชื ท่ีใหน้ ้าอยา่ งสม่าเสมอ แต่ไม่ควรแฉะเกินไป ระยะเจริญเติบโต หลงั จากถอนแยกแลว้ ควรใหน้ ้าทุก 3-5 วนั ตอ่ คร้งั ใหต้ รวจสอบความช้ืนในดินใหเ้ หมาะสมกบั การ เจริญเตบิ โต ระบบการใหน้ ้าอาจใชว้ ธิ ีการใส่น้าเขา้ ตามร่อง หรืออาจจะใชว้ ธิ ีการตกั รดโดยตรง ข้ึนอยกู่ บั แหล่งน้าที่มี สภาพพน้ื ทีป่ ลูกและความชานาญของผปู้ ลูกและดนิ ฟ้ าอากาศท่ีเหมาะสม 2. การปักคา้ ง ถวั่ ฝักยาวเป็นพืชที่ตอ้ งอาศยั คา้ งเพอื่ เกาะพยงุ ลาตน้ ใหเ้ จริญเตบิ โต ไมท้ ี่ใชส้ าหรบั ทาไมค้ า้ งน้นั ใชไ้ มไ้ ผ่ หรือไมอ้ ่ืน ๆ ทีห่ าไดง้ ่ายในทอ้ งถ่ิน โดยความยาวของไมม้ ีความยาวประมาณ 2.5 - 3 เมตร หรืออาจจะสร้างโครงเสาแลว้ ใชล้ วดขึงดา้ นบน และใชเ้ ชือกหอ้ ยลงมายงั ลาตน้ ถวั่ ฝักยาวใหเ้ ล้ือย ข้ึน ระยะเวลาการใส่คา้ งถวั่ ฝักยาวน้นั จะเร่ิมใส่หลงั จากงอกแลว้ 15 – 20 วนั โดยจบั ตน้ ถว่ั ฝักยาวใหพ้ นั เล้ือยข้นึ คา้ งในลกั ษณะ ทวนเขม็ นาฬกิ า วธิ ีการปักคา้ งทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น 2.1 ปักไมค้ า้ งหลุมละ 1 คา้ งโดยใหต้ ้งั ฉากกบั ผวิ ดิน 2.2 ปักไมค้ า้ งหลุมละ 1 คา้ ง โดยให้เอียงเขา้ หาร่องเป็นคู่และมดั ปลายเขา้ ดว้ ยกนั ใชไ้ มไ้ ผพ่ าดยดึ คา้ งดา้ นบนใหแ้ ขง็ แรง

12 2.3 ปักไมค้ า้ งหลุมละ 1 คา้ ง โดยให้เอียงเขา้ หากนั กลางร่องเป็นคู่ แลว้ มดั ปลายเช่นเดียวกบั ขอ้ 2.2 แต่ใชไ้ มค้ ้ายนั แตล่ ะคู่เป็นแบบกระโจม 2.4 การใชเ้ ชือกแทนคา้ ง พบวา่ ในแหล่งที่หาคา้ งยาก ผปู้ ลูกพยายามใชเ้ ชือกแทนคา้ ง ซ่ึงมีความ เป็ นไปไดส้ ูง ดงั น้นั การปลูกถว่ั ฝักยาวควรมีการทดสอบการใชเ้ ชือกแทนคา้ ง เพอ่ื หาขอ้ มูลสาหรบั ลด ตน้ ทุนการผลิตตอ่ ไป 3. การใส่ป๋ ุย ถวั่ ฝักยาวเป็นพชื ท่ตี อ้ งการธาตฟุ อสฟอรัสสูงในการสร้างดอก ในทางวิชาการ แนะนาใหใ้ ชป้ ๋ ุยอตั ราส่วนของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O5) และโปรแตสเซียม (K2O) คอื 1:1.5- 2:1 ป๋ ุยสูตรดงั กล่าวไม่มีจาหน่ายในทอ้ งถ่ิน อาจใชส้ ูตร 15-15-15 ซ่ึงใชใ้ นสภาพดินท่เี ป็นดินเหนียว หรือ สูตร 13-13-21 ในสภาพดินท่ีเป็นดินทราย สาหรับการใส่น้นั ควรแบง่ ใส่ดงั น้ีคือ ก. ใส่ขณะท่ีเตรียมหลุมปลูกตามทไี่ ดก้ ล่าวแลว้ ขา้ งตน้ ข. ใส่เม่ือตน้ ถว่ั อายปุ ระมาณ 15 วนั โดยการพรวนดินแลว้ โรยป๋ ยุ รอบ ๆ ตน้ ใหห้ ่างจากโคนตน้ ประมาณ 10 เซนตเิ มตร ในอตั รา 1 ชอ้ นแกง (25-30 กรัม) ต่อหลุม แลว้ ใชด้ ินกลบ เพอ่ื ป้ องกนั ไม่ใหป้ ๋ ุย สูญเสียไป การใส่ป๋ ุยร่วมกบั ป๋ ุยคอกในระยะน้ี จะทาใหก้ ารใชป้ ๋ ุยเคมีมีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน ค. ใส่เมื่อเกบ็ ผลคร้งั แรกเมื่ออายปุ ระมาณ 55 วนั โดยใส่ป๋ ุยประมาณ 2 ชอ้ นแกงตอ่ ตน้ และ หลงั จากน้นั ใหใ้ ส่ป๋ ุยทุก ๆ 7-10 วนั การใส่ป๋ ุยระหวา่ งช่วงเก็บเก่ียวอยา่ งสม่าเสมอ และปริมาณพอจะทา ใหเ้ ก็บถว่ั ฝักยาวไดน้ าน โดยผลผลิตมีคุณภาพดี และปริมาณผลผลิตตอ่ ไร่สูงข้ึน 4. การกาจดั วชั พชื หลงั จากถว่ั ฝักยาวงอกแลว้ ตอ้ งคอยดูแลวชั พชื ในแปลงปลูก โดยทวั่ ไปแลว้ จะกาจดั วชั พชื หลงั จากเมล็ดงอกแลว้ ประมาณ 10-15 วนั หรือก่อนทจ่ี ะปักคา้ ง หลงั จากน้นั จึงคอยสงั เกต จานวนวชั พชื ในแปลง หากพบวชั พชื ควรกาจดั และเม่ือตน้ ถวั่ เจริญเติบโตคลุมแปลงแลว้ จะทาใหก้ าร แข่งขนั ของวชั พชื ลดลง ในการกาจดั วชั พชื ในระยะทถี่ ว่ั ฝักยาวเริ่มออกดอกน้นั ตอ้ งเพมิ่ ควรระมดั ระวงั เป็นพเิ ศษ เนื่องจากการกาจดั วชั พชื อาจกระทบกระเทือนรากอนั เป็ นสาเหตุใหด้ อกร่วงได้ ศัตรูถ่ัวฝกั ยาว 1. หนอนแมลงวันเจาะต้นถ่ัว หนอนชนิดน้ีจะเขา้ ทาลายตน้ ถวั่ ต้งั แต่ถวั่ ฝักยาวเริ่มงอกทาใหใ้ บ เห่ียวเฉาแหง้ ตาย นบั เป็นแมลงศตั รูที่สาคญั ตวั หน่ึง ลกั ษณะเป็นแมลงวนั ขนาดเล็กสีดา ลาตวั ยาว 0.2-0.3 เซนติเมตร ในขณะท่ีแดดจดั จะพบบริเวณใบอ่อน เม่ือทาลายแลว้ จะเกิดจุดสีเหลืองซีด ถา้ ระบาดมากใบ จะแหง้ ตวั แก่จะวางไขบ่ ริเวณขอ้ และยอดออ่ น ตวั หนอนเลก็ รูปร่างรีสีขาว ลกั ษณะที่หนองทาลายจะเกิด รอยแตก ใบร่วง และเฉาเหี่ยวตายไปในทสี่ ุด การป้ องกนั กาจดั ใชส้ ารเคมีป้ องกนั กาจดั แมลงศตั รูพชื พวก คาร์โบฟูราน (carbofuran) เช่น ฟรู าดานหรือคูราแทร์ รองกน้ หลุมอตั รา 2 กรัม/หลุม ซ่ึงจะมีผลควบคุม

13 แมลงศตั รูไดป้ ระมาณ 1 เดือน สารเคมีประเภทน้ีควรใชเ้ ฉพาะการหยอด รองกอ้ นหลุมพร้อมเมลด็ เท่าน้นั ไม่ควรหยอดเพมิ่ ระยะหลงั เพราะอาจมีพษิ ตกคา้ งในผลผลิตได้ หากไม่ไดใ้ ชว้ ธิ ีการขา้ งตน้ ใหป้ ้ องกนั โดยใชส้ ารเคมีกาจดั แมลงพวกไดเมทโธเอท (dimethoate) หรือพวกโมโนโครโตฟอส (monocrotophos) ฉีดพน่ ทกุ 5-7 วนั โดยใชอ้ ตั รา 3-4ชอ้ นแกงตอ่ น้า 20 ลิตร หรือใชต้ ามฉลากคาแนะนาจนถว่ั ใกลอ้ อกดอก 2. หนอนเจาะถ่วั ฝัก เป็ นหนอนทีท่ าลายถว่ั หลายชนิด หนอนในระยะแรกจะกดั กินภายในดอก ทาใหด้ อกร่วงก่อนตดิ ฝัก เมื่อหนอนโตข้ึนจะเจาะเขา้ ไปกดั กนิ ภายในดอก ทาใหเ้ กิดดอกร่วงก่อนติดฝัก ทาใหเ้ กิดความเสียหาย ในลกั ษณะของแมลงศตั รูตวั แก่เป็นผเี ส้ือกลางคืนขนาดเลก็ วางไขข่ นาดเลก็ (0.5- 0.81 มิลลิเมตร) ตามกลีบเล้ียง อายฟุ ักไข่ประมาณ 3 วนั แลว้ จึงเขา้ ไประหวา่ งรอยต่อของกลีบดอก และ เมื่อเจริญข้ึนหนอนจะเขา้ ไปทาลายดอกและฝักถว่ั ฝักยาว การป้ องกนั กาจดั ใชส้ ารเคมีป้ องกนั กาจดั แมลง ที่มีฤทธ์ิตกคา้ งส้นั พวกเฟนวาเลอเรท (fenvalerate) ไดแ้ ก่ ซูมิไซดิน, ซูมิ 35 หรือไซเปอร์เมทริน (cypermethrin) ไดแ้ ก่ ซิมบซุ เป็นตน้ หรือสารเคมีกล่มุ อื่นท้งั น้ีตอ้ งคานึงถึงความปลอดภยั ของผบู้ ริโภค ดว้ ย 3. เพลยี้ อ่อน มกั เขา้ ทาลายยอดอ่อนและฝักของถวั่ ฝักยาว โดยดูดกินน้าเล้ียงทาใหต้ น้ แกร็น ดอก ร่วง ไมต้ ดิ ฝัก และหากฝักอ่อนถูกดูดกินน้าเล้ียงจะทาใหไ้ ดฝ้ ักขนาดเล็กลง การป้ องกนั กาจดั ใชส้ ารเคมี พวกเมทามิโดฟอส (methamidophos) เช่น ทามารอน โซนาตา้ มอลตา้ โมนิเตอร์ เอฟ 5 เป็ นตน้ ฉีดพน่ ใน อตั ราที่กาหนดไวใ้ นฉลากคมู่ ือการใชส้ ารเคมีป้ องกนั และกาจดั แมลง โรคถั่วฝกั ยาว โรคถว่ั ฝักยาวน้นั แมว้ า่ จะไม่แสดงอาการของโรคใหเ้ ห็นทนั ที หลงั จากเช้ือโรค เขา้ ทาลาย หากแต่การทาลายของโรคพชื น้นั สรา้ งความรุนแรง และความเสียหายไดม้ าก แกไ้ ขไดย้ ากกวา่ การทาลายของแมลงศตั รูพชื โรคของถว่ั ฝักยาวท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ 1. โรคใบจุด ถว่ั ฝักยาวมีโรคใบจดุ ชนิดหน่ึง ทาใหเ้ น้ือเยอ่ื แผลแหง้ เป็นวงกลมหรือเกือบจะกลม สีน้าตาลตรงกลางแผล มีจุดไขป่ ลาสีดาเลก็ ๆ ซ่ึงเป็ นกลุ่มของเช้ือรา ทข่ี ้นึ เป็ นกระจุกและเรียงเป็ นวงกลม ซอ้ นกนั มองเห็นชดั ดว้ ยตาเปล่า ทาใหม้ องเห็นแผลเป็นวงกลมซอ้ นกนั หลายช้นั ขนาดของแผลประมาณ 1-2 เซนติเมตร มกั จะเกิดกบั ใบแก่ที่อยตู่ อนล่าง ๆ สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือรา Cercospora sp.การป้ องกนั กาจดั ควรพน่ สารป้ องกนั กาจดั เช้ือรา เมื่อพบโรคน้ี โดยใชส้ ารไดเทนเอม็ 45 เดอโรซาน บาวสิ ตนิ หรือเบนเลท อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง อตั ราตาม ขา้ งฉลากฉีดพน่ ทุก 5-7 วนั 2. โรคราสนิม อาการปรากฎดา้ นใตใ้ บเป็นจดุ สีสนิมหรือน้าตาลแดง จุดมีขนาดเลก็ ใบที่เป็ นโรค มาก จะมองเห็นเป็นผงสีน้าตาลแดง โรคน้ีมกั จะเกิดกบั ใบแก่ทางตอนลา่ งของลาตน้ ก่อน แลว้ ลามข้ึน

14 ดา้ นบน มกั จะเร่ิมพบเมื่อตน้ ถวั่ อยใู่ นระยะออกดอก ถา้ เป็นรุนแรงมากจะทาใหใ้ บแหง้ ร่วงหล่นไป สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือรา Uromyces fabae Pers การป้ องกนั กาจดั 1. ใชก้ ามะถนั ผงชนิดละลายน้าอตั รา 30-40 กรมั /น้า 20 ลิตร พน่ สปั ดาหล์ ะคร้ัง ไม่ควรใชใ้ น ขณะทีแ่ ดดร้อนจดั และหา้ มผสมสารเคมีชนิดอ่ืน 2. ใชส้ ารเคมีแพลนทแ์ วกซ์ (plantvax) อตั รา 10-20 กรมั น้า 20 ลิตร 3. โรคราแป้ ง อาการมองเห็นไดช้ ดั เจนดว้ ยตาเปล่า บนใบมองเห็นคลา้ ยมีผงแป้ งจบั อยู่ ถา้ อาการ ไม่มากนกั ผงแป้ งน้ีจะเกาะอยบู่ นใบเป็นกลุม่ ๆ แต่ถา้ เป็นมากจะเห็นผวิ ใบถูกเคลือบอยดู่ ว้ ยผงแป้ ง เหล่าน้ี อาการท่ีรุนแรงจะทาใหใ้ บเหลืองและร่วง โรคน้ีมกั จะไม่ทาใหต้ น้ ตายอยา่ งรวดเร็วกวา่ ปกติ สาเหตขุ องโรค เกิดจากเช้ือรา Oidium sp. การป้ องกนั กาจดั 1. ใชก้ ามะถนั ผงเหมือนกบั โรคราสนิม 2. ใชค้ าราเทนหรือซาพรอน อตั ราตามคาแนะนาทฉี่ ลาก ฉีดพน่ 7-10 วนั 4. โรคใบด่าง ถวั่ จะแสดงอาการใบด่างเหลืองมากนอ้ ย แตกตา่ งกนั ไปตามสภาพแวดลอ้ ม อาการ จะมองเห็นไดช้ ดั เจนบนใบแก่ เป็นสีเขียวเขม้ สลบั กบั สีเหลือง หรือด่างเป็ นลาย บางคร้งั สีเหลืองอ่อน เกือบเป็นสีขาวสลบั กบั สีเขยี วแก่ของใบ มีท้งั ชนิดลายแลว้ ใบเป็ นคลื่นและด่างลายใบเรียบ ใบอาจจะมว้ น งอหรือแผต่ ามปกติ ในกรณีทีเ่ ป็นโรคอยา่ งรุนแรง โดยเฉพาะในระยะตน้ อ่อนและตายในทีส่ ุด สาเหตขุ องโรค เกิดจากเช้ือไวรสั ในกลุ่ม P การป้ องกนั กาจดั 1. เลือกใชเ้ มลด็ พนั ธุท์ ่ีปราศจากโรค โดยการเลือกเก็บจากตน้ ทป่ี ราศจากโรคใบด่าง 2. ถอนตน้ ท่มี ีอาการของโรค ทาลายเผาทิ้ง 3. ใชส้ ารเคมีป้ องกนั กาจดั แมลงฉีดพน่ แมลงพาหะ การเก็บเกย่ี ว ถวั่ ฝักยาวจะเก็บเกี่ยวไดห้ ลงั จากปลูกประมาณ 55-75 วนั ข้ึนอยกู่ บั สายพนั ธุแ์ ละ สภาพแวดลอ้ มที่เกี่ยวขอ้ ง การเก็บน้นั อาจจะสงั เกตจากลกั ษณะฝัก ทีต่ รงตามความตอ้ งการของตลาด หรืออาจจะนบั วนั โดยเริ่มจากวนั ผสมเกสร ซ่ึงจะอยใู่ นช่วงประมาณ 10-15 วนั วิธีการเกบ็ ใหป้ ลิดข้วั ระวงั ไม่ใหด้ อกใหม่หลุดเสียหาย เพราะจะกระทบกระเทือนต่อปริมาณผลผลิต ลกั ษณะการเกบ็ ใหท้ ยอย เกบ็ ทกุ ๆ 2-4 วนั โดยไม่ปล่อยใหฝ้ ักแก่ตกคา้ ง ปกตแิ ลว้ ระยะเวลาการใหผ้ ลผลิตของถว่ั ฝักยาวอยใู่ นช่วง 1-2 เดือน หรืออาจเก็บได้ 20-40 คร้งั ข้นึ อยกู่ บั การดูแลรกั ษาและสายพนั ธุท์ ีป่ ลูกขณะน้นั หลงั จากเก็บ

15 เกี่ยวถวั่ ฝักยาวแลว้ ใหน้ าเขา้ ร่มทนั ที ไม่ควรวางไวก้ ลางแดด แลว้ นาลงบรรจุในภาชนะ เช่น ตะกร้า หรือ เขง่ ซ่ึงบดุ ว้ ยวสั ดุท่ปี ้ องกนั การขดู ขีดผลผลิต ไดแ้ ก่ ใบตอง หรือวสั ดุอื่น ๆ ทีใ่ ชท้ ดแทนกนั ได้ การบรรจุ น้นั ไม่ควรบรรจปุ ริมาณมากเกินไป เพราะจะทาใหผ้ ลผลิตบอบช้าเสียหายได้ ลกั ษณะถว่ั ฝักยาวท่ีตลาดตอ้ งการ แบ่งไดด้ งั น้ี 1. ความตอ้ งการของตลาดในประเทศ ตอ้ งการถว่ั ฝักยาวทมี่ ีความยาวฝัก 50-70 เซนตเิ มตร สี เปลือกเขยี ว ฝักไม่พอง แต่ความตอ้ งการในแตล่ ะทอ้ งถ่ินน้นั จะแตกต่างกนั ไป ข้ึนอยกู่ บั ความนิยมของ ผบู้ ริโภค และลกั ษณะการประกอบอาหารของแต่ละแหล่งดว้ ย 2. ความตอ้ งการของตลาดตา่ งประเทศ ตอ้ งการถว่ั ฝักยาวท่มี ีความยาวฝักประมาณ 36-40 เซนติเมตร ขนาดสม่าเสมอ สดไม่บอบช้า เกบ็ ออ่ นกวา่ ปกติ 1-2 วนั การเกบ็ เมลด็ พันธ์ุ ไม่ควรปล่อยใหฝ้ ักของถวั่ ฝักยาวแหง้ คาตน้ พอฝักเริ่มเหลืองและพองตวั กส็ ามารถเก็บมาแกะ เมล็ดนาออกตาก เพอ่ื เก็บไวเ้ ป็ นเมล็ดพนั ธุต์ ่อไป ถา้ ปลูกในฤดูฝน การเก็บเมล็ดพนั ธุจ์ ะยงุ่ ยากพอสมควร เพราะถา้ ปล่อยใหแ้ ก่คาตน้ เมลด็ ในฝักจะงอกหรือเกิดเช้ือราทาลายเมลด็ ฉะน้นั ควรระมดั ระวงั และดู จงั หวะเวลาเก็บเกี่ยวใหด้ ี

16 การปลูกมะเขอื เปราะ การปลูก แปลงปลูกควรไถพรวนและปรับระดบั ดินใหเ้ รียบสม่าเสมอกนั แลว้ ยกแปลงใหส้ ูง ประมาณ 30 เซนติเมตร กวา้ ง 100 เซนติเมตร ปลูกเป็ นแถวคู่ระยะระหวา่ งแถว 70 เซนติเมตร ระหวา่ งตน้ 50 เซนติเมตร รองกน้ หลุมปลูกดว้ ย ป๋ ุยอินทรีย์ เกรด AAA ตรา ยกั ษเ์ ขยี ว สูตรเขม้ ขน้ (แถบเขียว) 1 กระป๋ องนมตอ่ หลุม คลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั แลว้ จงึ ยา้ ยกลา้ ลงหลุมปลูกหลุมละ 1-2 ตน้ กลบดินใหเ้ สมอ ระดบั ผวิ ดินอยา่ ใหเ้ ป็ นแอ่งหรือเป็นหลุม เพราะจะทาใหน้ ้าขงั และตน้ กลา้ เน่าตายได้ ถา้ ปลกู ขณะท่ฤี ดูฝน ยงั ไม่ส้ินสุด แตถ่ า้ ปลูกในฤดูหนาวหรือฤดูแลง้ ควรจะกลบดินใหต้ ่ากวา่ ระดบั หลุมเล็กนอ้ ย สาหรับการ ยา้ ยกลา้ ลงแปลงปลูกน้ีตอ้ งเลือกตน้ กลา้ ทมี่ ีลกั ษณะดี มียอดและปราศจากโรคและแมลงรบกวน ถา้ เป็ น การยา้ ยกลา้ จากแปลงเพาะหรือแปลงชามาลงปลูกโดยตรง ควรยา้ ยปลูกในเวลาที่อากาศไม่ร้อนคอื ใน ตอนบ่ายหรือตอนเยน็ เมื่อยา้ ยเสร็จใหร้ ีบรดน้าตามทนั ทีจะทาใหก้ ลา้ ต้งั ตวั ไดเ้ ร็วข้ึน และเปอร์เซ็นตก์ าร ตายนอ้ ยลง แต่ถา้ เป็ นการยา้ ยกลา้ ทช่ี าในถุงพลาสตกิ สามารถยา้ ยลงแปลงไดท้ ุกเวลา กลา้ จะต้งั ตวั ไดเ้ ร็ว และรอดตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ หลงั จากยา้ ยกลา้ แลว้ รดน้ากลา้ ใหช้ ุ่มทุกเชา้ -เยน็ เมื่อกลา้ ต้งั ตวั ดีแลว้ จงึ ควรรดน้าเพยี งวนั ละคร้งั ในบางแห่งอาจจะให้น้าแบบเขา้ ตามร่องแปลงจนชุ่มแลว้ ปล่อยน้าออก การ พรวนดินกลบโคนตน้ เม่ือตน้ กลา้ ต้งั ตวั ไดแ้ ลว้ ควรพรวนดินกลบโคนตน้ โดยเปิ ดเป็นร่องระหวา่ งแถว เพอื่ ใหก้ ารใหน้ ้าทาไดส้ ะดวก น้าไม่ขงั และทาใหร้ ากมะเขอื เกิดมากข้นึ ซ่ึงจะทาใหต้ น้ แขง็ แรงมากข้นึ และการพรวนดินกลบโคนก็เป็นการกาจดั วชั พชื ไปในตวั ดว้ ย หลงั จากพรวนดินกลบโคนคร้ังแรกแลว้ หลงั จากน้นั อีก 1 เดือนใหท้ าการกลบโคนอีกคร้ังหน่ึง การให้ป๋ ุยทางดนิ สามารถใส่ป๋ ยุ อินทรีย์ เกรด AAA ตรา ยกั ษเ์ ขียว สูตรเขม้ ขน้ (แถบเขียว) เพอ่ื ปรับสภาพดิน และกระตุน้ การทางานของจลุ ินทรียท์ ่ีเป็นประโยชน์ในดิน รวมถึงช่วยใหร้ ากพชื ดูดซึมป๋ ยุ ไดด้ ีข้นึ โดยอาจผสมกบั ป๋ ยุ เคมีสูตร 12-24-12 หรือ 15-15-15 ในอตั รา ยกั ษเ์ ขียว (2 ส่วน) ตอ่ ป๋ ยุ เคมี 1 ส่วน” ซ่ึงในป๋ ุย จะมีธาตอุ าหารหลกั ,รอง,และเสริม ค่อนขา้ งครบถว้ น ทาใหช้ ่วยลดตน้ ทุนธาตุอาหาร เสริมทางใบไดส้ ่วนหน่ึง สาหรับป๋ ยุ เคมีควรมีการใส่เสริมดว้ ย เพอื่ ใหค้ ุณภาพและผลผลิตของมะเขือสูงข้ึน สาหรบั ป๋ ยุ เคมี ท่ีจะใชก้ ็ข้ึนอยกู่ บั สภาพของดินแต่ละแห่ง เช่น ถา้ ดินเป็ นดินเหนียว ป๋ ุยเคมีที่ใชค้ วรมีไนโตรเจนและ โปแตสเซ่ียมเทา่ กนั ส่วนฟอสฟอรสั ใหม้ ีอตั ราสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15 ถา้ เป็ นดินร่วนควร ใหป้ ๋ ยุ ทม่ี ีโปแตสเซี่ยมสูงข้นึ แตไ่ ม่สูงกวา่ ฟอสฟอรัส เช่นสูตร 10-20-15 ส่วนดินทรายเป็ นดินที่ไม่คอ่ ย จะมีโปแตสเซ่ียม จงึ ควรใหป้ ๋ ุยท่ีมีธาตุโปแตสเซี่ยมสูงกวา่ ตวั อื่น เช่นสูตร 15-20-20, 13-13-21 และ 12- 12-17 เป็นตน้ แตถ่ า้ เป็นการปลูกมะเขือนอกฤดูจะตอ้ งใชป้ ๋ ยุ ที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เนื่องจากมะเขอื จะใช้

17 ป๋ ุยไนโตรเจนมากถา้ หากอุณหภูมิของอากาศสูง โดยในแต่ละช่วงของการใส่ใหผ้ สมป๋ ุยอินทรีย์ ยกั ษเ์ ขยี ว ในอตั รา ยกั ษเ์ ขียว(2 ส่วน) ตอ่ ป๋ ุยเคมี 1 ส่วน เพื่อปรบั สภาพดินและกระตุน้ การทางานของจุลินทรียท์ ี่ เป็นประโยชน์ในดิน ทาใหพ้ ชื ตอบสนองตอ่ ป๋ ุยเคมีไดด้ ีข้นึ โดยการแบ่งใส่ 3 คร้งั ดงั น้ี คร้ังท่ี 1 หลงั จากยา้ ยปลูก 7 วนั ใส่ป๋ ุย ยกั ษเ์ ขียว (2 ส่วน) เคมี (1 ส่วน) อตั รา50 กิโลกรัม ต่อไร่ คร้งั ที่ 2 หลงั จากคร้งั ทห่ี น่ึง15 วนั ใส่ป๋ ยุ ยกั ษเ์ ขียว (2 ส่วน) เคมี (1 ส่วน) อตั รา50 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ คร้ังท่ี 3 หลงั จากคร้งั ทสี่ อง 20 วนั หรือช่วงที่เริ่มติดผลเป็ นเม็ดแลว้ ใส่ป๋ ุย ยกั ษเ์ ขียว(2 ส่วน) เคมี(1 ส่วน) อตั รา 75 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ หมายเหตุ 1. ในพน้ื ท่ที ่มี ีการปลูกซ้าท่เี ป็ นประจาทุกปี ควรมีการนาดินตวั อยา่ งไปวเิ คราะห์ ซ่ึงหากพบวา่ ในดินมีการสะสมของฟอสฟอรสั คอ่ นขา้ งสูง ในฤดูการถดั ไป อาจใชป้ ๋ ยุ เคมีทม่ี ีสดั ส่วนฟอสฟอรัส ต่าลงมา และเนน้ การใชป้ ๋ ยุ อินทรีย์ ยกั ษเ์ ขยี ว ซ่ึงสารอินทรียใ์ นเน้ือป๋ ุยจะกระตนุ้ ใหจ้ ลุ ินทรียใ์ นดินท่เี ป็ น ประโยชน์ ช่วยยอ่ ยธาตอุ าหารทต่ี กคา้ งจากป๋ ุยเคมี ทาใหส้ ภาพดินสมดุล และช่วยลดโอกาสเกิดโรคเน่า ทางดิน 2. แนะนาใหม้ ีการสุ่มตรวจ วเิ คราะห์ดินก่อนเพาะปลูก เพอื่ เป็นแนวทางการใชป้ ๋ ยุ เคมี เนื่องจาก พ้นื ท่ี ๆ ปลูกซ้าทกุ ๆ ปี จะมีการสะสมของธาตอุ าหารส่วนเกินทต่ี กคา้ งและหลงเหลือจากการทพี่ ชื นาไปใชไ้ ม่หมด ซ่ึงหากมีปริมาณมากเกินไปอาจทาใหเ้ ป็นพษิ กบั พชื หรือเกิดกกั ธาตุอาหารซ่ึงกนั และ กนั ทาใหพ้ ชื ไม่สามารถดูดซึมไปใชไ้ ด้ ทาใหผ้ ลผลิตลดลง และตน้ ทนุ เพมิ่ สูงข้ึน 3. สาหรบั ฮอร์โมนทางใบ ใหฉ้ ีดพน่ ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) อตั รา 30 ซีซี/น้า 20 ลิตร เพอื่ กระตุน้ ตาดอก ทาใหข้ ้วั เหนียว ตดิ ดอก ผล มาก และช่วยป้ องกนั แมลงเขา้ ทาลาย การให้ป๋ ุยและฮอร์โมนทางใบ 1. ใชไ้ บโอเฟอร์ทิล(สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) อตั รา 30-40 ซีซี/น้า 20 ลิตร ฉีดพน่ เป็ นประจา ทกุ ๆ 7-10 วนั 2. สลบั ใช้ ไบโอเฟอร์ทลิ (สูตรเร่งขนาดผล) อตั รา 20-30 ซีซี/น้า 20 ลิตร ในช่วงท่ตี น้ มีผลผลิต จานวนมาก 3. ฉีดพน่ เสริมดว้ ย อาหารเสริมรวม คเี ลท อตั รา 10 กรัม/น้า 20 ลิตรทางใบในช่วงท่ีตน้ มีผลผลิต มาก

18 แมลงและการป้ องกนั กาจดั 1. หนอนเจาะผลมะเขอื หรือหนอนเจาะยอดมะเขอื ลกั ษณะการทาลาย หนอนเจาะชนิดน้ีทา ความเสียหายใหแ้ ก่ยอดมะเขอื โดยเจาะบริเวณปลายยอดกดั กินเน้ือเยอ่ื ภายใน ทาใหย้ อดเห่ียวเนื่องจาก ขาดน้าและอาหาร นอกจากน้ียงั เจาะผลทาใหผ้ ลเสียคุณภาพส่งขายไม่ได้ การป้ องกนั กาจดั 1. วธิ ีกล เก็บยอดและผลทถ่ี ูกทาลายไปเผาไฟ 2. ใชศ้ ตั รูธรรมชาติ ไดแ้ ก่ แตนเบยี น 2 ชนิดคือ Thratata sp. และ Eriborus sp. 3. ฉีดพน่ ดว้ ย ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) เป็นประจา จะป้ องกนั การระบาดไดด้ ี 4. การใชย้ าเช้ือ(ปลอดสารพษิ ) ใช้ ชีวภณั ฑก์ าจดั หนอนศตั รูพชื บาร์ทอ๊ ป อตั รา 40-80 กรมั ตอ่ น้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ซ้า 2 คร้งั ห่างกนั 3-5 วนั 5. หากใชส้ ารฆ่าแมลง ใหใ้ ช้ โพรไทโอฟอส (prothiofos) หรือ อิมิดาโคลพริด (imidacloprid) ฉีดพน่ ซ้า 2 คร้ัง อตั ราตามทีร่ ะบุในฉลาก 2. เพลยี้ จกั จ่ันฝอย ตวั เตม็ วยั เป็ นเพล้ียจกั จนั่ สีเขียวขนาดเลก็ และบอบบางมาก มีขนาด 2.5 มม. บริเวณหวั สีแดงเขม้ มีจุดสีดา 2 จุดระหวา่ งตา แผน่ หลงั (pronotum) แดงเขม้ มีจดุ สีดา และขาวกระจาย อยทู่ ว่ั ไป ปี กใสสีเขยี วอมเหลือง บริเวณใกลป้ ลายปี กมีจดุ สีแดงเขม้ ตวั เตม็ วยั วางไข่สีเหลืองใส โดยวาง ฟองเด่ียว ๆ บริเวณเสน้ กลางใบของใบอ่อนมะม่วงดา้ นใตใ้ บ ไขม่ ีลกั ษณะกลมรี รูปไข่ ยาว 0.6 มม. กวา้ ง 0.2 มม. อายไุ ข่ 4 วนั ตวั อ่อนอายุ 7 - 10 วนั ลกั ษณะการทาลายและความสาคญั ตวั อ่อนและตวั เตม็ วยั จะเกาะอยใู่ ตใ้ บอ่อนดูดกินน้าเล้ียงทา ใหข้ อบใบหงิกงอ ขอบใบแหง้ กรอบเป็นรอยไหม้ ไม่สามารถผลิตช่อดอกได้ ใบอ่อนท่ีถูกทาลายจะมี อาการโคง้ งอทางดา้ นใตใ้ บและปลายใบจะแหง้ หดส้นั ใบอ่อนที่ยงั ไม่ถึงระยะเพสลาดจะร่วงหล่น เสียหายมาก อาการปลายใบจะคลา้ ยการทาลายของเพล้ียไฟ แต่ปลายใบที่ถูกทาลายโดยเพล้ียจกั จน่ั ฝอย จะแหง้ และโคง้ งอลงทางดา้ นใตใ้ บ การป้ องกนั กาจดั 1. หมนั่ สารวจในระยะทใี่ บอ่อนถา้ พบเพล้ียจกั จนั่ ฝอยปริมาณนอ้ ยใหต้ ดั ส่วนทถ่ี ูกทาลายไปเผา 2. ป้ องกนั โดยการใช้ ไบโอเฟอร์ทลิ (สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) เป็ นประจา 3. การใชย้ าเช้ือ(ปลอดสารพษิ ) ใช้ ชีวภณั ฑก์ าจดั แมลงศตั รูพชื เมทาแม็ก อตั รา 40-80 กรมั ต่อน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ซ้า 2 คร้ังห่างกนั 3-5 วนั 4. การใชส้ ารเคมีเมื่อสารวจพบปริมาณเพล้ียจกั จน่ั ฝอยทาลายยอดอ่อนเกินกวา่ 50% ของท้งั หมด

19 - ฉีดพน่ ไซเปอร์เมทริน 25% EC อตั รา 30 - 40 มล./น้า 20 ลิตร - คาร์บาริล 85% WP 45 - 60 กรัม/น้า 20 ลิตร สาหรับแมลงอื่นทีเ่ ป็นปัญหาตอ่ การปลูกการดูแลรกั ษามะเขอื ที่สาคญั คอื แมลงปากดูด เช่น แมลงหวขี่ าว เพล้ียอ่อน ซ่ึงเป็ นตวั นาเช้ือโรคไวรัสมาสู่มะเขอื ทาใหเ้ กิดอาการไดห้ ลายอยา่ ง เช่น ใบหงกิ ยอดหด ปลายยอดแหลมเรียวเล็ก สีใบซีดด่าง ซ่ึงเม่ือเกิดอาการเหล่าน้ีข้ึนแลว้ กไ็ มม่ ีทางที่จะแกไ้ ขได้ จงึ ควร หาทางป้ องกนั ไวก้ อ่ น โดยหากใชไ้ บโอเฟอร์ทิล (สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) ตามคาแนะนาแลว้ จะป้ องกนั แมลงเหล่าน้ีเขา้ ทาลายไดด้ ี หากในพน้ื ท่ีมกี ารปลูกมะเขอื มาก และเคยมีการระบาดอยา่ งรุนแรง แนะนา ใหผ้ สมไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง)ร่วมกบั ชีวภณั ฑก์ าจดั แมลงศตั รูพชื พแี ม็ก และ เมทาแมก็ ผสมร่วมกนั เพอื่ ฉีดพน่ เม่ือพบการระบาด โดยฉีดพน่ ซ้า 2-3 คร้งั ข้นึ อยกู่ บั จานวนและความรุนแรงของ การระบาด หลงั จากน้นั คร้งั ต่อ ๆ ไป จนถึงเกบ็ เก่ียว กส็ ามารถใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) เพยี งอยา่ งเดียว โดยฉีดพน่ ทุก ๆ 5-10 วนั เพอื่ บารุงตน้ กระตนุ้ ดอก และป้ องกนั แมลงศตั รูพชื เขา้ ทาลาย ในแปลง (ระยะเวลาการเวน้ ช่วงการใชแ้ ต่ละคร้ัง ข้นึ อยกู่ บั ผลผลิตและความเสี่ยงในการระบาดของ แมลงในพน้ื ที่น้นั ๆ) โดยหมน่ั สงั เกตแมลงศตั รูที่เล็ดลอดเขา้ มาในแปลง การป้ องกนั แต่เนิ่น ๆ จะทา ใหป้ ระหยดั ตน้ ทุนการใชส้ ารเคมีลง 20-50%) โรคและการป้ องกนั กาจดั สาหรบั โรคซ่ึงเป็นปัญหาท่สี าคญั ในการปลูกมะเขือ หากใชไ้ บโอ เฟอร์ทลิ เป็นประจา จะสงั เกตเห็นไดช้ ดั เจนวา่ มะเขือจะมีเปอร์เซ็นตก์ ารถูกทาลายจากโรคซ่ึงเกิดจากเช้ือ รา และแบคทีเรียลดลง ลดตน้ ทุนการใชย้ ากาจดั โรค และผลผลิตเพม่ิ ข้ึนประมาณ 30-40 % โดยขอ้ มูล รายละเอียดและการแกไ้ ขของโรคมีดงั น้ี โรคผลเน่าแห้งสีดาหรือปลายผลดา ลกั ษณะอาการ ผลมะเขอื ในท่ีบางแห่งมีอาการท้งั ผลออ่ นเน่า ทกี่ น้ หรือปลายผล อาการเน่าแบบแหง้ เป็ นสีน้าตาล เน้ือเยอ่ื บุ๋มลึกลงไปต่ากวา่ ระดบั เดิมเลก็ นอ้ ย ขนาด ของแผลขยายใหญ่ออกไปเร่ือย ๆ บางผลเน่าประมาณ 1 ใน 3 ของผลทาใหผ้ ลร่วง สาเหตขุ องโรค 1. ขาดธาตแุ คลเซ่ียม 2. ความช้ืนในดินทป่ี ลูกแหง้ มาก การป้ องกนั กาจดั 1. ใส่หินปูนหรือปนู ขาวรองกน้ หลุมปลูก 1-2 ชอ้ นแกงพนู ต่อหลมุ 2. ควรใหน้ ้าทกุ วนั โดยสม่าเสมอและไม่มากหรือนอ้ ยเกินไป

20 3. ใช้ อาหารเสริม แคลแม็ก อตั รา 20-30 ซีซีผสมน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ทกุ ๆ 10-15 วนั เพอ่ื เพมิ่ ความแขง็ แรงของเซลลผ์ ล ตลอดช่วงอายกุ ารเก็บเก่ียว โรคใบแห้ง ลกั ษณะอาการ มะเขือจะแสดงอาการของโรคไดท้ ุกส่วนของตน้ เช่น ใบเร่ิมมีจุดฉ่า น้า สีเขยี วหม่น เน้ือเยอื่ รอบ ๆ แผลมีสีเหลืองเล็กนอ้ ย ส่วนมากแผลเกิดข้นึ ท่ีจุดหน่ึงบนขอบใบก่อนแลว้ ขยายใหญ่กวา้ งออกไปจนเกือบหมดท้งั ใบ ดา้ นทอ้ งใบมีเสน้ ใยของเช้ือราเกิดข้ึน มีลกั ษณะเป็ นผงสีขาว เป็นวงกลมตามแผล 2-3 ช้นั แผลจะแหง้ เป็นสีน้าตาลภายในเวลาอนั รวดเร็ว ตามกา้ นใบ ลาตน้ ก็มแี ผล แบบเดียวกนั ทาใหส้ ่วนน้นั ๆ เห่ียวแหง้ ตายไป ผลมะเขอื ทเ่ี ป็ นโรคน้ีจะมีแผลสีน้าตาลเช่นกนั และทา ใหผ้ ลสุก มีผวิ แตกและมีเช้ือราข้ึนตรงรอยแตกเห็นไดช้ ดั เจนจดั เป็ นโรคทส่ี าคญั ทางภาคเหนือ สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือรา การป้ องกนั กาจดั 1. ใชส้ ารป้ องกนั กาจดั เช้ือรา เช่น ไดเทนเอ็ม 45 ฉีดพน่ ทุก 7 วนั (หรือเร็วกวา่ น้ี) ควรพน่ สารเคมี กนั ไวก้ ่อนเพราะโรคน้ีระบาดแลว้ เสียหายรุนแรงมาก หรือใชร้ ิโดมิลเอม็ แซดหรือพวิ ริเคอร์ ฉีดพ่นตาม อตั ราส่วนที่แนะนาขา้ งภาชนะบรรจุ โรคเหี่ยวเหลืองตาย ลกั ษณะอาการ จะเริ่มเกิดจากใบทอ่ี ยตู่ อนล่าง ๆ ก่อน โดยใบล่างจะเหลือง แลว้ ค่อยลุกลามข้ึนมาบนตน้ ในเวลากลางวนั ทม่ี ีอากาศร้อนจดั ตน้ จะแสดงอาการเห่ียว เวลากลางคนื ก็ กลบั ปกติ อาการเหี่ยวคอ่ ย ๆ มากข้นึ จนในท่สี ุดยอดเหี่ยวตาย เม่ือถอนรากข้ึนมาตรวจดูเน้ือเยอ่ื ซ่ึงเป็ นทอ่ ทางเดินอาหารและน้ามีสีน้าตาลดา โคนตน้ และรากผเุ ป่ื อยมกั จะมีราเป็นผงสีขาวอมชมพบู างๆ ข้นึ ตรง ส่วนที่เป็ นสีน้ าตาล สาเหตขุ องโรค เกิดจากเช้ือรา การป้ องกนั และกาจดั 1. ตอ้ งแกไ้ ขปรบั ปรุงดินโดยการใส่ปูนขาว และกากพชื หรืออินทรียวตั ถุใหเ้ พียงพอ 2. ใชป้ ๋ ยุ วทิ ยาศาสตร์ใหน้ อ้ ยลง โดยสามารถใชป้ ๋ ุยอินทรีย์ “ยกั ษเ์ ขยี ว” ใส่ทดแทนไดส้ ม่าเสมอ 3. ปลูกพชื หมุนเวียนอยา่ งอ่ืนสลบั โรคเกดิ จากการขาดธาตุอาหาร ลกั ษณะอาการ การขาดธาตุอาหารทีป่ รากฏในมะเขอื มกั จะ รุนแรงมากกวา่ พชื ชนิดอ่ืน ๆ ลกั ษณะที่เห็นชดั เจนก็คือใบสีม่วงแดงขอบใบมว้ นงอและชะงกั การ เจริญเตบิ โต ใบเลก็ และหดส้นั บางตน้ ใบยอดเน้ือใบซีดขาดตดั กบั สีเขียวของเสน้ ใบชดั เจนและมีขนาด เลก็ ลง ไม่เจริญเติบโตไปตามปกตแิ ละเมื่อเป็ นมาก ๆ ยอดแหง้ ตาย ฯลฯ

21 สาเหตขุ องโรค ขาดธาตุตา่ ง ๆ เช่น ฟอสฟอรัส เหลก็ แมงกานีส โบรอน สงั กะสี แมกนีเซี่ยม ฯลฯ บางตน้ มีอาการซบั ซอ้ นเน่ืองจากขาดธาตรุ วมกนั จนแยกอาการไมอ่ อก การป้ องกนั จาจดั 1. ควรจะปรับสภาพของดินให้เหมาะสม คือมีค่าความเป็ นกรดเป็ นด่าง (pH) ประมาณ 6-6.5 จะ เป็นดินทธี่ าตอุ าหารตา่ ง ๆ ละลายไดม้ ากและเป็นประโยชนต์ อ่ พชื มาก 2. ควรใส่ป๋ ยุ ทม่ี ีธาตอุ าหารครบถว้ น หรือใช้ อาหารเสริมรวม คีเลท อตั รา 5-10 กรมั ตอ่ น้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ทางใบทุก 2 สปั ดาห์ โรคเหี่ยวเฉาตาย ลกั ษณะอาการ มะเขือบางพนั ธุม์ ีอาการเหี่ยวเฉาตายในเวลาอนั รวดเร็ว เมื่อถอน รากมาตรวจพบวา่ ลาตน้ ใตร้ ะดบั ดินและรากเน่าเป่ื อย ถา้ ตดั ลาตน้ ตามขวางแลว้ เอาไปแช่ในน้า จะปรากฏ สีขาวขน้ คลา้ ยยางเหนียวปดู ออกมาตรงรอยแผลตดั ซ่ึงเป็ นน้าเช้ือแบคท่เี รีย สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย การป้ องกนั และกาจดั เช้ือโรคชนิดน้ีชอบดินทเี่ ป็ นด่าง อุณหภูมิสูง ความช้ืนสูงและในดินท่ขี าด ไนโตรเจนเช้ือแบคทเี รียจะถูกทาลายโดยกามะถนั ดงั น้นั การแกไ้ ขป้ องกนั กาจดั โรคน้ีควรทาดงั ต่อไปน้ี 1. ปลูกพชื หมุนเวยี นสลบั 2. ในดินที่เป็นโรคใช้ สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ อตั รา 1 ลิตรต่อน้า 200 ลิตร ผสมไปกบั ระบบน้า รดใหช้ ุ่ม หลงั จากตากดิน จะทาใหโ้ รคลดลงไปมาก 3. กรณีใชก้ ารใหน้ ้าระบบท่อ ใช้ สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ ในอตั รา 500 ซีซีตอ่ พ้นื ท่ี 2 ไร่ ใหผ้ สมในบอ่ พกั น้าและปล่อยไปกบั การใหน้ ้าตามปกติ หรือ อาจผสมฉีดพน่ ผวิ ดินในอตั รา 500 ซีซีต่อ น้า 100 ลิตร แลว้ ใหน้ ้ามะเขอื ตามปกติ โรคราแป้ ง ลกั ษณะอาการ ใบจะมีสีเหลืองไม่สม่าเสมอกนั ใบท่ีมีสีเหลืองมาก ๆ จะร่วงหล่นได้ ง่าย เช้ือราที่เป็ นสาเหตขุ องโรคจะจบั เป็นผงหรือขยุ สีขาวคลา้ ยผงแป้ ง ผงสีขาวน้ีคอื เสน้ ใยและสปอร์ของ เช้ือราที่ข้นึ เป็ นกลุ่ม กระจดั กระจายทวั่ ไปทางดา้ นทอ้ งใบ เน้ือเยอ่ื ดา้ นบนท่ีอยตู่ รงขา้ มกนั จะมีสีเหลือง สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือรา การป้ องกนั กาจดั สารป้ องกนั กาจดั เช้ือราทใี่ ชต้ อ้ งมีประสิทธิภาพ ในการป้ องกนั กาจดั โรคน้ีโดยตรง เช่น กามะถนั ผงชนิดละลายน้า คาลาเทน เบนเลท ฯลฯ ใหเ้ ลือกใช้ ชนิดใดชนิดหน่ึงเท่าน้นั สาหรบั กามะถนั ควรจะฉีดพน่ ในเวลาเชา้ มืดที่มีอากาศเยน็ หรือในตอนเยน็ ไม่ ควรฉีดพน่ ในเวลาทมี่ ีแดดร้อนจดั เพราะจะทาใหเ้ กิดอาการใบไหมไ้ ด้ โรคยอดหงกิ ลกั ษณะอาการ มะเขอื มีลาตน้ แคระแกร็น ใบยอดด่างและหงิก ไม่ออกดอกออกผล สาเหตขุ องโรค เกิดจากเช้ือไวรัส

22 การป้ องกนั กาจดั 1. บริเวณเพาะกลา้ ตอ้ งสะอาดปราศจากวชั พชื และฉีดยากาจดั แมลงพวกปากดูด เช่น แมลงหว่ี ขาว โดยใชส้ ารเคมีประเภทดูดซึม 2. ใหถ้ อนทาลายตน้ ทีเ่ ป็ นโรคท้ิง 3. ใชไ้ บโอเฟอร์ทิล (สูตรบารุงตน้ ไล่แมลง) เป็ นประจา จะช่วยลดอตั ราความเสี่ยงของการ ระบาดได้ 4. ไม่ควรสูบบหุ ร่ีหรือจบั ตน้ ทเ่ี ป็นโรคแลว้ ไปจบั ตน้ ท่ดี ี จะทาใหโ้ รคระบาดติดตอ่ กนั ได้ โรคโคนเน่า ลกั ษณะอาการ ระยะกลา้ โคนตน้ กลา้ มะเขือจะเกิดแผลสีน้าตาล ลาตน้ หกั พบั ลง ระยะเริ่มตดิ ดอก มะเขือจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาตาย บริเวณโคนตน้ ระดบั ผวิ ดินจะเกิดเป็ นแผลยบุ ลงไป บริเวณแผลจะมีเสน้ ใยสีขาวของเช้ือราเกิดข้นึ ในกลุ่มเสน้ ใยน้นั จะเกิดเมด็ ขยายพนั ธุข์ องเช้ือราเล็ก ๆ สี ขาวต่อมาเปล่ียนเป็นสีน้าตาลและดา มขี นาดเท่าเมล็ดผกั กาด บางคร้ังจึงเรียกโรคน้ีวา่ \"โรคราเมล็ด ผกั กาด\" สาเหตุของโรค เกิดจากเช้ือรา การป้ องกนั และกาจดั 1. ไถดินตากแดดไวส้ กั ระยะหน่ึง 2. เนน้ การใชป้ ๋ ุยอินทรียใ์ นทุกระยะของการปลูก จะช่วยลดปัญหาได้ 3. ใช้ ชีวภณั ฑก์ าจดั โรคราพชื ไตรโคแม็ก อตั รา 40 กรัมต่อน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ เพอื่ ป้ องกนั และ กาจดั ทกุ ๆ 30 วนั 4. ถา้ มีการระบาดแลว้ ใหถ้ อนตน้ ท่ีเป็นโรคท้งิ และใชส้ ารฆ่าเช้ือราในดิน เช่น ไวตาแวก้ ซ์ บลาส ซิโคล เทอร์ราโซล เทอร์ราคลอ ชนิดใดชนิดหน่ึง ราดดินตรงจุดที่เกิดโรคและบริเวณตน้ ใกลเ้ คยี งกบั จดุ ท่ี เป็นโรคน้นั ใหท้ วั่ ในพ้นื ทที่ ่ีโรคน้ีชอบระบาดเนื่องจากมีเช้ืออยใู่ นดิน การราดดว้ ย ไตรโคแมก็ หลงั จาก ยา้ ยปลูก 1-2 คร้ัง ก่อนมะเขอื ออกดอกจะไดผ้ ลดีกวา่ รอใหพ้ บวา่ มีตน้ ตาย เพราะการป้ องกนั ไวก้ ่อนเป็ น วธิ ีการท่ดี ีท่สี ุดจะสกดั ก้นั ความเสียหาย ขอ้ สงั เกตและเปรียบเทียบหลงั จากใชไ้ บโอเฟอร์ทิล ตามคาแนะนา เป็นประจา 1. ตน้ มะเขือจะสมบูรณ์ สามารถใหผ้ ลผลิตมาก ข้วั เหนียว ดอกตดิ ดกอยา่ งตอ่ เนื่อง ตน้ ไม่โทรม แมแ้ บกผลผลิตมาก อายกุ ารใหผ้ ลผลิตของตน้ จะมากกวา่ แปลงทไี่ มไ่ ดใ้ ชอ้ ยา่ งเห็นไดช้ ดั 2. ผลจะมีคุณภาพดี ขนาดใหญ่สม่าเสมอกนั ต้งั แต่ตน้ ถึงปลายช่วงของการเกบ็ เกี่ยว และสีผวิ ของ ผลจะสดและนวลเป็นมนั กวา่ สวนทไี่ ม่ไดใ้ ช้

23 3. แมลงศตั รูพชื ท่เี ขา้ มารบกวนลดลงอยา่ งเห็นไดช้ ดั โดยเฉพาะจาพวกผเี ส้ือกลางคืนซ่ึงเป็ นตวั แม่ของหนอนชนิดตา่ ง ๆ รวมถึงแมลงวนั ทอง และดว้ งกดั กินใบ ทาใหป้ ระหยดั ตน้ ทนุ ยากาจดั ศตั รูพชื และลดความเสียหายไดด้ ีกวา่ (ในพน้ื ท่ีที่มีการระบาดมาก หากใชไ้ บโอเฟอร์ทลิ ฉีดร่วมกบั ยากาจดั ศตั รูพชื กจ็ ะทาใหส้ ามารถคุมและป้ องกนั การเขา้ ทาลาย ไดน้ านข้นึ ) 4. ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมนั อายใุ บนานข้นึ ทาใหต้ น้ ไม่สูญเสียอาหารในการสรา้ งใบใหม่ (ไบโอ เฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กดั ผวิ ใบทาใหใ้ บดา้ นเหมือนการใชเ้ คมีอยา่ งเดียว) 5. สุขภาพผปู้ ลูกดีข้ึน เนื่องจาก สมั ผสั หรือจบั ตอ้ งสารเคมีนอ้ ยลง 6. เม่ือใชร้ ่วมกบั ป๋ ยุ อินทรีย์ ตรายกั ษเ์ ขียว จะสามารถลดตน้ ทุน การใชป้ ๋ ยุ ลงอีกประมาณ 20- 50% 7. การใช้ ป๋ ยุ อินทรีย์ “ยกั ษเ์ ขยี ว” ร่วมดว้ ยเป็ นประจา จะทาใหต้ น้ ทุนป๋ ุยและสารทางดินตอ่ ชุด การผลิต ลดลงไดป้ ระมาณ 30-50 % โดยทผ่ี ลผลิตทไ่ี ดย้ งั เป็ นปกติหรือดีกวา่ เดิม และสงั เกตไดว้ า่ สารอินทรียใ์ นเน้ือป๋ ุยทาใหส้ ภาพดินดีข้นึ ดินโปร่ง อุม้ น้าไดด้ ี ตน้ ทนแลง้ ไดด้ ีข้นึ และพชื ตอบสนอง ต่อการใหป้ ๋ ุยทางดินดีกวา่ เดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินนอ้ ยกวา่ แปลงขา้ งเคียงทไ่ี ม่ไดใ้ ช้ ผลใน ทางออ้ ม เนื่องจาก ยกั ษเ์ ขยี ว เป็นสารอินทรียแ์ ท้ จงึ กระตนุ้ จุลินทรียท์ เี่ ป็ นประโยชน์ใหย้ อ่ ยป๋ ุย(เคมี)ท่ี ตกคา้ งในดินทาใหร้ ากพชื สามารถดูดซึมกลบั ไปใชไ้ ด้ ธาตอุ าหารในดินจะสมดุลมากกวา่

24 การปลูกคะน้า คะนา้ เป็นผกั ทีบ่ า้ นเรารู้จกั กนั ดี นิยมใชบ้ ริโภคกนั อยา่ งกวา้ งขวาง หา ซ้ือง่ายราคาไม่แพงและหา ซ้ือมาบริโภคไดต้ ลอดปี หรือหากมีท่วี า่ ง ๆ ขา้ งบา้ นจะปลูกเป็ นผกั สวนครวั เพอื่ ใชบ้ ริโภคเองก็ปลูกได้ สะดวกสบายไม่มีอะไรยงุ่ ยาก ผกั คะนา้ ปลูกไดท้ ้งั ในดินร่วน ดินเหนียว ดินทราย ทเี่ พม่ิ ธาตอุ าหารที่ จาเป็นสาหรับผกั คะนา้ ในรูปของป๋ ุยคอก ป๋ ยุ หมกั ท่ียอ่ ยสลายดีแลว้ และผกั คะนา้ ยงั ปลูกไดต้ ลอดปี ใน แหล่งที่มีน้าอยา่ งเพยี งพอ ช่วงเวลาทเ่ี หมาะสมตอ่ การปลูกผกั คะนา้ ไดด้ ีทีส่ ุดคือ ระยะต้งั แต่ตน้ เดือน ตุลาคม-เมษายน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในระหวา่ งเดือนพฤศจิกายน-มกราคม จะปลูกไดผ้ ลดีทส่ี ุด แตก่ ็จะ เป็นช่วงทผ่ี กั คะนา้ มีราคาต่าท่สี ุดดว้ ย เนื่องจากวา่ มีผลผลิตออกสู่ตลาดมากพร้อม ๆ กนั ยกเวน้ วา่ แหล่ง ผลิตบางแห่งประส บภยั ธรรมชาติ เช่น น้าท่วม ราคากจ็ ะเปลี่ยนแปลงไป ส่วนช่วงระหวา่ งเดือนพฤษภาคม-กนั ยายน อนั เป็ น ช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนสามารถปลูกไดด้ ีเช่นกนั แต่อาจจะประสบปัญหาบา้ ง เช่น ขาดน้า หรือมีปัญหา โรคและแมลงรบกวนมาก หรือปัญหาฝนตกหนกั ทาใหเ้ กิดดินแน่น ผกั ไม่เจริญเตบิ โต แตถ่ า้ พดู ถึงใน ดา้ นราคาขายดูจะดีกวา่ พนั ธ์ุ ผกั คะนา้ จดั เป็นพชื ผกั ตระกูลกะหล่า (Cruciferac) มีช่ือทางวทิ ยาศาสตร์วา่ Brassica Oleracea Var alboglabra สาหรบั ผกั คะนา้ ทป่ี ลูกอยใู่ นบา้ นเราคอื พนั ธุค์ ะนา้ จนี (Chinese Kale) ซ่ึงทีน่ ิยม ปลูกกนั อยมู่ ี 2 ประเภทคือ 1.คะนา้ ใบ มีลกั ษณะตน้ อวบใหญ่ กา้ นเล็ก ใบกลมหนา กรอบ ทนทานตอ่ ดินฟ้ าอากาศไดด้ ี เมล็ดพนั ธุข์ องคะนา้ ใบท่ีทางราชการผลิตได้ ไดแ้ ก่ พนั ธุฝ์ างเบอร์ 1 และฝางเบอร์ 2 2. คะนา้ ยอดหรือคะนา้ กา้ น มีลกั ษณะตน้ อวบใหญ่ มีดอกสีขาว ใบแหลม กา้ นใหญ่ มีรสอร่อย มี ความตา้ นทานตอ่ โรค ตอ่ ความร้อนและความช้ืนไดด้ ี สาหรับเมล็ดพนั ธุท์ ี่ทางราชการผลิตไดค้ อื พนั ธุ์ PL 20 โดยทาการคดั เลือกปรับปรุงและเผยแพร่ให้เกษตรกรไดใ้ ชม้ าต้งั แตป่ ี 2516 แต่ เป็ นพนั ธุท์ ่ีออกดอกชา้ ใหน้ ้าหนกั ดีและผลผลิตสูง ผบู้ ริโภคในแตล่ ะทอ้ งถ่ินจะนิยมบริโภคพนั ธุท์ ไ่ี ม่เหมือนกนั เกษตรกรท่ีปลูกผกั คะนา้ สาหรบั ขายจึงควรเลือกปลูกพนั ธุต์ ามความนิยมของตลาด บางทอ้ งถ่ิน อาจจะชอบคะนา้ พนั ธุใ์ บ บางทอ้ งถิ่น อาจจะชอบกินคะนา้ พนั ธุย์ อด การเลือกปลูกใหถ้ กู พนั ธุจ์ ะทาใหไ้ ม่มีปัญหาในการขาย การเลือกช้ือหา เมล็ดพนั ธุผ์ กั ของเกษตรกรโดยทวั่ ไปน้นั จะซ้ือกนั จาก รา้ นคา้ ยอ่ ย โดยการฟังคาแนะนาจากผขู้ าย หรือ ซ้ือจากพอ่ คา้ คนกลางทที่ าการรบั ซ้ือผลผลิตพชื ผกั ของเกษตรกรกลบั คนื ซ่ึงมีขอ้ ผกู พนั กนั ในทานองให้ เมล็ดพนั ธุม์ าปลูกก่อนแลว้ ค่อยหกั เงนิ เอาจากราคาผลผลิตท่เี กษตรกรขายใหก้ บั พอ่ คา้ ซ่ึงแน่นอนวา่ ราคา

25 ของเมลด็ พนั ธุจ์ ะตอ้ งสูงข้ึนกวา่ ทเ่ี กษตรกรจะไปซ้ือหาเอาเองจากรา้ นขาย เมล็ดพนั ธุใ์ หญ่ ๆ และมี บอ่ ยคร้ังที่เกษตรกรไดร้ ับเมล็ดพนั ธุท์ ่ีไม่ตรงกบั ความตอ้ งการของตลาด ซ่ึงเม่ือปลูกไปแลว้ กวา่ จะรูว้ า่ พนั ธุด์ ีหรือไม่ดีกต็ อ้ งเสียเวลา เสียเงิน เสียแรง ไปแลว้ อยา่ งแกไ้ ขไม่ได้ เกษตรกรจงึ ควรพิจารณาและ ตดั สินใจเลือกซ้ือเมล็ดพนั ธุท์ ่ตี อ้ งการใหแ้ น่ใจดว้ ยตนเองเสียก่อนจะดีกวา่ การเตรียมดนิ ดินทเ่ี หมาะสาหรบั ปลูกผกั คะนา้ ควรมีคา่ พเี อชดินระหวา่ ง 5.5-6.8 และหากดิน เป็นกรดควรใส่ปนู ขาวเพอ่ื ปรบั สภาพดินในอตั ราทีส่ อดคลอ้ งกบั สภาพของดินในแต่ละที่ ซ่ึงทางทีด่ ีควร ส่งดินไปตรวจหาค่าพเี อชดินจะแน่นอนกวา่ ดินท่ีจะใชป้ ลูกผกั คะนา้ ใหข้ ดุ พลิกดินลึกประมาณ 10-15 เซนตเิ มตร ทไี่ ม่ตอ้ งขดุ ลึกมากนกั เพราะระบบรากของผกั คะนา้ ไม่ลึกนกั ขดุ พลิกแลว้ ตากดินไว้ สกั 7-10 วนั แลว้ ยอ่ ยพรวนเป็ นกอ้ นเลก็ ๆ ใส่ป๋ ยุ คอกหรือป๋ ยุ หมกั ที่สลายตวั ดี แลว้ ลงคลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กบั ดินใน อตั ราพอสมควร วธิ ีปลกู ผกั คะนา้ มีทรงพมุ่ ไมใ้ หญ่ จงึ ปลูกไดโ้ ดยวธิ ีหวา่ นเมล็ดลงในแปลงไดเ้ ลย วธิ ีการหวา่ น เมลด็ มีอยู่ 2 แบบคือ การหวา่ นเมลด็ พนั ธุใ์ หก้ ระจายทวั่ ๆ แปลง และวธิ ีโรยเมลด็ แบบเรียงเป็ นแถว ซ่ึงจะ เลือกปลูกดว้ ยวธิ ีแบบไหนก็ข้นึ อยกู่ บั ลกั ษณะของพน้ื ที่ของแปลงท่ีจะปลูก หรือความสะดวกในการ ทางานของเกษตรกรเอง 1.แบบหวา่ นเมลด็ ใหก้ ระจายทวั่ ๆ แปลง การหว่านเมล็ดใหก้ ระจาย ไดท้ ว่ั ๆ ตอ้ งอาศยั ความ ชานาญในการหวา่ น วธิ ีแบบน้ีเหมาะสาหรับแปลงปลูก แบบยกร่องมีคูน้าลอ้ มรอบ ซ่ึงขนาดของร่อง แปลงผกั กวา้ งถึง 5-6 เมตร เม่ือเตรียม ดินแลว้ จะตอ้ งปูฟางขา้ วหรือหญา้ แหง้ คลุมบนแปลงเสียก่อนแลว้ จึงหวา่ นเมล็ด รดน้าตามใหช้ ุ่ม การหวา่ นแบบน้ีใชเ้ มล็ดพนั ธุเ์ ปลืองสกั หน่อย คอื ใชป้ ระมาณ 2 กก./ไร่ 2.แบบโรยเมลด็ เรียงเป็ นแถว เหมาะสาหรบั แปลงทยี่ กร่องธรรมดา ขนาดของแปลงกวา้ ง ประมาณ 1 เมตร เมื่อเตรียมดินเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ก็โรยเมล็ด ใหเ้ ป็ นแถว กะระยะใหเ้ มลด็ ห่างกนั พอสมควร และระยะห่างระหวา่ งแถวประมาณ 20 เซนติเมตร เสร็จแลว้ กลบดินบาง ๆ ปูฟางขา้ วหรือ หญา้ คาแหง้ คลุมบนแปลง รดน้าใหช้ ุ่ม แบบน้ีใชเ้ มลด็ พนั ธุป์ ระมาณ 800 กรัม/ไร่ เมื่อผกั สูงไดป้ ระมาณ 10 เซนติเมตร หรือราวอายุ 20 วนั ใหเ้ ริ่มทาการถอนแยก คร้งั แรกเลือกตน้ กลา้ ท่ีไม่สมบรู ณ์ออก เหลือ ระยะห่างระหวา่ งตน้ ไว้ ประมาณ 10 เซนติเมตร ตน้ อ่อนของคะนา้ ในวยั น้ี เด็ดรากออกแลว้ สามารถขายสู่ ตลาดได้ และเมือ่ ตน้ ผกั สูงไดป้ ระมาณตามทีต่ อ้ งการหรือเม่ือมีอายไุ ดป้ ระมาณ 30 วนั กท็ าการถอนแยก คร้ังทส่ี องใหเ้ หลือระยะห่างระหวา่ งตน้ 20 เซนติเมตร และตน้ ผกั คะนา้ ทถี่ อนแยกออกมาในวยั น้ีตดั ราก ออกส่งขายตลาดเป็นยอดผกั ไดอ้ ีกเช่นกนั ผบู้ ริโภคนิยมรบั ประทานเป็ นยอดผกั เพราะอ่อนและอร่อย ใน การถอนแยกผกั คะนา้ แต่ละคร้ังจะเป็นการกาจดั วชั พชื ไปในตวั ดว้ ย จะตอ้ งใชแ้ รงงานคนในการถอน

26 และ ตดั รากหากจะนาไปขาย แตก่ ็สามารถทาใหเ้ กษตรกรมีรายไดเ้ พมิ่ ข้นึ สรุปแลว้ การปลูกผกั คะนา้ ใน แตล่ ะฤดูปลูก สามารถขายไดถ้ ึง 3 คร้ัง คอื เม่ือถอนแยกคร้ังแรก คร้งั ที่ 2 และตอนตดั ตน้ ขาย การใส่ป๋ ยุ ไดก้ ล่าว แลว้ วา่ การปลูกผกั คะนา้ หรือผกั ใด ๆ กต็ ามควรใส่ป๋ ุยคอก ป๋ ุยหมกั เป็ นป๋ ยุ รองพ้นื ก่อนหวา่ นเมลด็ ทกุ คร้ัง การปลูกผกั จะไดผ้ ลดีมากข้นึ ผกั จะแขง็ แรงมีความตา้ นทานโรคและ แมลงไดด้ ี ทาใหล้ ดการใชส้ ารเคมีลงไปมาก สาหรบั ป๋ ยุ สูตรทีเ่ หมาะสมกบั ผกั คะนา้ คือสูตร 12-8-8 ใน อตั รา 100 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 คร้ัง ๆ ละเท่า ๆ กนั คอื ใส่หลงั จากการถอนแยกคร้งั ที่ 1 (หลงั ปลูก 20 วนั ) และหลงั จากถอนแยกแลว้ กลา้ คร้ังทีส่ อง (หลงั ปลูก 30 วนั ) หากสงั เกตวา่ ผกั ทป่ี ลูกไม่คอ่ ย เจริญเติบโตอาจจะใส่ป๋ ุยบารุง เช่นป๋ ุยยเู รีย ป๋ ุยแอมโมเนียไนเตรด โดยใหท้ างรากหรือละลายน้าในอตั รา ประมาณ 3-4 ชอ้ นแกงตอ่ น้า 1 ปี บ ฉีดพน่ ทางใบเป็ นคร้ังคราว การให้นา้ ผกั คะนา้ ตอ้ งการน้าอยา่ งเพยี งพอและสม่าเสมอ การปลูกผกั คะนา้ หรือผกั ใด ๆ กต็ าม จงึ ตอ้ งปลูกในแหล่งทีม่ ีน้าเพยี งพอตลอดฤดูกาลปลูก หากขาดแคลนน้า จะทาใหผ้ กั ชะงกั การเจริญเตบิ โต และคุณภาพไม่ดีเท่าทคี่ วร ในช่วงระยะทีเ่ มล็ดเร่ิมงอกยงิ่ ขาดน้าไมไ่ ดเ้ ลย วธิ ีการใหน้ ้าผกั คอื ใชบ้ วั ฝอย หรือใชเ้ คร่ืองฉีดฝอยใหท้ วั่ และชุ่ม รดน้าวนั ละ 2 เวลา เชา้ -เยน็ การเก็บเกย่ี ว ผกั คะนา้ มีอายกุ ารเกบ็ เก่ียว 45-55 วนั ใชม้ ีดตดั ชิดโคน (ไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป) แลว้ ตดั แตง่ ใบเสียทงิ้ การตดั จะตดั ไล่เป็นหนา้ กระดานไปเลย เม่ือตดั แลว้ บางแห่งใชม้ ดั ดว้ ยเชือกกลว้ ยมดั ละ 5 กก.บางแห่งกบ็ รรจใุ ส่เข่ง ซ่ึงแลว้ แต่ความสะดวกในการขนส่งและของผซู้ ้ือ โรคที่สาคญั 1.โรคใบจุดและใบไหม้ 2.โรคเน่าคอดิน 3.โรคราน้าคา้ ง แมลงศัตรู 1. หนอนคืบกะหล่า (หนอนเขยี ว, หนอนคบื เขียว) พบระบาดมากใน ฤดูหนาว และฤดูแลง้ ฤดู ฝนพบนอ้ ย 2. หนอนใยผกั (ตวั บนิ , ตวั จรวด) พบมากในฤดูหนาวและเพม่ิ ความรุนแรงในช่วงฤดูหนาวต่อฤดู แลง้ เป็ นหนอนทีท่ นทานต่อยาฆ่าแมลงและปรบั ตวั ใหด้ ้ือยาไดร้ วดเร็ว 3. หนอนกระทหู้ อม (หนอนหนงั เหนียว, หนอนหลอดหอม) ระบาด ตลอดปี ในภาคกลาง 4. หนอนกระทผู้ กั (หนอนรงั ) 5. หนอนแมลงวนั เจาะตน้ (หนอนขา้ วสาร)

27 การปลูกผกั กวางต้งุ ผกั กาดเขียวกวางตงุ้ เป็นผกั ทีม่ ีระบบรากต้ืน ดงั น้นั ในการเตรียมดินควรขดุ ไถดินใหล้ ึกประมาณ 15-20 เซนตเิ มตร แลว้ ทาการตากดินทิง้ ไวป้ ระมาณ 5-7 วนั ใส่ป๋ ุยคอกหรือป๋ ยุ หมกั ท่ียอ่ ยสลายตวั แลว้ ให้ มาก คลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั ดี แลว้ ทาการไถพรวนให้ดินละเอียด ในกรณีทดี่ ินมีสภาพเป็นกรดก็ควรใส่ปนู ขาวเพอื่ ปรบั ระดบั pH ของดินใหเ้ หมาะสม ขนาดของแปลงปลูกกวา้ ง 1 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร หรือ ตามความเหมาะสม การปลูก ในการปลูกผกั กาดเขียวกวางตงุ้ นิยมทากนั 2 วธิ ีดว้ ยกนั คือ 1. การปลูกแบบหวา่ นเมลด็ โดยตรง วธิ ีน้ีนิยมใชใ้ นการปลูกแปลงทยี่ กร่อง มีร่องน้ากวา้ ง และ พ้นื ทีค่ วรมีการเตรียมอยา่ งดี และเป็นดินทมี่ ีความอุดมสมบูรณ์ เน่ืองจากเมล็ดพนั ธุผ์ กั กาดเขยี วกวางตุง้ มี ขนาดเลก็ มาก ดงั น้นั กอ่ นหวา่ นควรผสมกบั ทรายเสียก่อน โดยใชเ้ มลด็ พนั ธุ์ 1 ส่วนผสมกบั ทรายสะอาด 3 ส่วน แลว้ หวา่ นใหก้ ระจายทว่ั แปลงสม่าเสมอแลว้ หวา่ นกลบดว้ ยป๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั หนาประมาณ 1/2-1 เซนติเมตร หลงั จากน้นั คลุมดว้ ยฟางขา้ วบางๆ เพอ่ื ช่วยเกบ็ รักษาความชุ่มช้ืนในดิน เสร็จแลว้ รดน้า ใหช้ ุ่มหลงั จากงอกไดป้ ระมาณ 20 วนั ควรทาการถอนและจดั ใหม้ ีระยะระหวา่ งตน้ 20-25 เซนติเมตร 2. การปลูกแบบโรยเมลด็ เป็นแถว การปลูกวธิ ีน้ีหลงั จากเตรียมดินแลว้ จึงทาร่องลึกประมาณ 1.5- 2 เซนติเมตร ใหเ้ ป็นแถวโดยใหร้ ะยะระหวา่ งแถวห่างกนั 20-25 เซนติเมตร นาเมลด็ พนั ธุผ์ สมกบั ทราย แลว้ ทาการโรยหรือหยอดเมลด็ เป็นแถวตามร่อง แลว้ กลบดว้ ยป๋ ุยคอกหรือป๋ ยุ หมกั บางๆ คลุมดว้ ยฟางขา้ ว บางๆ รดน้าใหช้ ุ่มดว้ ยสม่าเสมอ หลงั จากปลูกไดป้ ระมาณ 20 วนั หรือตน้ กลา้ มีใบ 4-5 ใบ จงึ ท่ าการถอน แยกในแถว โดยพยายามจดั ระยะระหวา่ งตน้ ใหห้ ่างกนั ประมาณ 20-25 เซนติเมตร ให้เหลือหลุมละ 1 ตน้ การดูแลรักษา การใหน้ ้า เน่ืองจากผกั กาดเขียวกวางตงุ้ เป็นผกั ทตี่ อ้ งการน้ามาก และมีการ เจริญเตบิ โตอยา่ งรวดเร็ว ดงั น้นั เกษตรกรจะตอ้ งใหน้ ้าอยา่ งพงึ พอและสม่าเสมอ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ 1 คร้ัง โดยใชร้ ะบบพน่ ฝอยหรือใชส้ ายยางติดหวั ฝักบวั อยา่ ใหผ้ กั กาดเขยี วกวางตุง้ ขาดน้าในระยะการ เจริญเตบิ โต เพราะจะทาใหผ้ กั กาดเขยี วกวางตงุ้ ชะงกั การเจริญเตบิ โตได้ การใส่ป๋ ยุ เน่ืองจากผกั กาดเขียวกวางตุง้ เป็ นผกั กินใบและกา้ นใบ ดงั น้นั การใส่ป๋ ุยควรใชป้ ๋ ุยยเู รีย (46-0-0) หรือแอมโมเนียมซลั เฟต อตั รา 30 กิโลกรัมตอ่ ไร่ เป็ นการเร่งการเจริญเตบิ โตทางใบและกา้ นใบ ใหเ้ ร็วข้นึ หรือใชป้ ๋ ุยสูตร 20-11-11 หรือสูตรใกลเ้ คยี ง ในอตั รา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ หลงั จากใส่ป๋ ยุ ทุก คร้ังควรมีการราดน้าตามทนั ที อยา่ ใหป้ ๋ ยุ ตกคา้ ง สาหรบั การพรวนดินและกาจดั วชั พชื ควรทาให้ ระยะแรกพรอ้ มกบั การถอนแยก

28 การเก็บเกยี่ ว อายกุ ารเกบ็ เก่ียวของผกั กาดเขยี วกวางตงุ้ ค่อนขา้ งเร็ว คือ ประมาณ 35-45 วนั การ เกบ็ เก่ียวโดยเลือกตน้ ทมี่ ีขนาดใหญ่ตามตอ้ งการ แลว้ ใชม้ ีดคม ตดั ทีโ่ คนตน้ แลว้ ทาการตดั แต่งใบนอกท่ี แก่หรือใบทถี่ ูกโรคหรือแมลงทาลายออก หลงั จากตดั แตง่ แลว้ จึงบรรจภุ าชนะเพอื่ ส่งจาหน่ายตลาดต่อไป สาหรับการเกบ็ รักษา เน่ืองจากผกั กาดเขยี วกวางตุง้ เป็นผกั อวบน้า ดงั น้นั การเก็บรักษาจึงควรเกบ็ ไวใ้ นที่อุณหภมู ิต่าประมาณศูนยอ์ งศาเซลเซียสที่ความช้ืนสมั พทั ธ์ 95 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถเก็บรักษาไว้ ไดน้ านถึง 3 สปั ดาห์ โรคและแมลง โรคและแมลงท่เี ขา้ ทาลายผกั กาดเขยี วกวางตงุ้ ส่วนใหญเ่ ป็ นชนิดเดียวกบั ท่เี ขา้ ทาลายพวกผกั กาดขาว คะนา้ กะหล่าปลี และผกั กาดหอม ซ่ึงมีดงั น้ี โรคเน่าคอดิน สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Pythium sp. หรือ Phytophthora sp. เป็ นโรคทีเ่ กิดข้นึ ใน แปลงปลูกผกั กาดเขยี วกวางตงุ้ ท่หี วา่ นเมล็ดแน่นเกินไป อบั ลม และตน้ เบยี ดกนั แน่นแสงแดดส่องไม่ถึง โคนตน้ ถา้ ในแปลงมีเช้ือโรคอยแู่ ลว้ ตน้ กลา้ จะเกิดอาการเป็นแผลช้าท่ีโคนตน้ ระดบั ดินเน้ือเยอ่ื ตรงแผล จะเน่าและแหง้ ไปอยา่ งรวดเร็ว ถา้ ถูกแสงแดดทาใหต้ น้ กลา้ หกั หรือพบั เพราะมีแผลช้าท่โี คนตน้ ระดบั ดิน ตน้ จะเห่ียวตายในเวลารวดเร็วบริเวณทีเ่ ป็ นโรคจะค่อยๆ ขยายวงกวา้ งออกไปเป็ นวงกลมกวา้ งข้ึน ภายใน วงกลมท่ีขยายออกไปจะไม่มีตน้ กลา้ เหลืออยเู่ ลย ส่วนตน้ ท่ีโตแลว้ จะคอ่ ยๆ เหี่ยวตายไป การป้ องกนั กาจดั บนแปลงปลูกควรมีการระบายน้าที่ดี ไม่ควรหวา่ นเมลด็ ผกั แน่นเกินไป ใชย้ า ป้ องกนั กาจดั เช้ือราละลายน้าในอตั ราความเขม้ ขน้ นอ้ ยๆ ราดลงไปบนผวิ ดินบนแปลงใหท้ ว่ั สกั 1-2 คร้งั เช่น เทอราคลอเบนฟอร์ด ซ่ึงเป็นยาป้ องกนั กาจดั เช้ือราในดินโดยตรงจะไดผ้ ลยงิ่ ข้นึ หรือจะใชร้ ิคโดมิล เอม็ แซด 72 ละลายน้ารดก็ไดผ้ ลดี โรคใบจุดของผักกวางต้งุ สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Alternaria brasaiciala อาการจะปรากฎทีใ่ บล่าง ของลาตน้ โดยเร่ิมแรกพบเป็นจุดสีเหลืองซีดขนาดเล็ก ตอ่ มาแผลจะขยายใหญข่ ้นึ และแหง้ เป็นสีน้าตาล อ่อน มลี กั ษณะค่อนขา้ งกลม ท่บี ริเวณแผลจะพบเช้ือข้ึนเป็นวงสีดาซอ้ นกนั อยู่ แผลเหล่าน้ีเมื่อรวมกนั ก่อใหเ้ กิดอาการใบไหม้ การป้ องกนั กาจดั คลุกเมลด็ พนั ธุด์ ว้ ยสารเคมี ไธแรม, มาเน็บ 2-3 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรมั เกบ็ ใบ ล่างท่ีแสดงอาการไปเผาทาลาย หรือฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมีแมนโคเซปหรือไปโปรไดโอน ในอตั รา 20-30 กรัม ตอ่ น้า 20 ลิตร เมื่อพบอาการ โดยฉีดพน่ ทุก 15 วนั โรครานา้ ค้างของผกั กวางต้งุ สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Peronospora parasitica อาการจะปรากฏเป็น จดั สีขาวซีดบนใบ ต่อมาแผลขนาดใหญ่ข้นึ แผลซีดสีฟางขา้ ว ยบุ ตวั ลง แผลมีขนาดรูปร่างไม่แน่นอน เมื่อ

29 พลิกดูใตใ้ บ ในตอนเชา้ ทม่ี ีอากาศช้ืนจะพบส่วนของเช้ือเจริญเป็ นขยุ สีขาวฟูข้ึนบริเวณใตแ้ ผลอาการมกั เร่ิมแสดงที่ใบล่างๆ ก่อนแลว้ จึงลุกลามสู่ใบท่ีอยถู่ ดั ข้ึนมา หากเป็ นรุนแรงใบจะแหง้ ตายไป การป้ องกนั กาจดั คลกุ เมล็ดดว้ ยสารเมทาแลคซิลในอตั รา 7 กรมั ต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม เกบ็ ใบล่าง ทแี่ สดงอาการของโรคใส่ถุงพลาสติกแลว้ นาไปเผาทาลาย หรือฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมีซีเน็บหรือแคปแทน ใน อตั รา 30 กรมั ตอ่ น้า 20 ลิตร เมื่อตรวจพบอาการ เพลยี้ อ่อน มีชื่อวทิ ยาศาสตร์วา่ Lipaphis erysimi ตวั อ่อนของเพล้ียอ่อนออกจากทอ้ งแม่ไดโ้ ดย ไม่ตอ้ งไดร้ บั การผสมพนั ธุ์ ตวั อ่อนเมื่อออกจากแม่ใหม่ๆ จะพบวา่ มีลาตวั ขนาดเล็กมาก ตอ้ งส่องดดู ว้ ย กลอ้ งจุลทรรศน์ ลาตวั มีสีเหลืองอ่อน นยั น์ตาสีดา ขาท้งั 3 คู่มีสีเดียวกบั ลาตวั หนวดส้นั รูปร่างคลา้ ยตวั เตม็ วยั ระยะเป็นตวั อ่อนจะมีการลอกคราบ 4 คร้งั ตวั อ่อนมีอายปุ ระมาณ 5-6 วนั หลงั จากน้นั กจ็ ะเป็ นตวั เตม็ วยั ตวั เตม็ วยั มีท้งั พวกท่ีมีปี กและไม่มีปี ก ระยะตวั เตม็ วยั มีชีวติ อยไู่ ดป้ ระมาณ 6-18 วนั ตวั เตม็ วยั ตวั หน่ึงสามารถออกลูกไดต้ ลอดชีวติ ประมาณ 75 ตวั ลกั ษณะการทาลาย เพล้ียอ่อนสามารถเขา้ ทาลายไดท้ ้งั ในระยะตวั อ่อนและตวั เตม็ วยั โดยการดูด กินน้าเล้ียงจากพชื ท้งั ส่วนยอด ใบอ่อนและใบแก่ ลกั ษณะอาการทเ่ี ห็นไดช้ ดั คอื ส่วนยอดและใบจะหงกิ งอ เมื่อจานวนเพล้ียอ่อนเพมิ่ มากข้ึนพชื จะเห่ียว ใบท่ีถูกทาลายจะคอ่ ยๆ มีสีเหลือง นอกจากน้ีเพล้ียอ่อนยงั อยตู่ ามซอกใบซ่ึงเป็นทีร่ งั เกียจของผบู้ ริโภค การป้ องกนั กาจดั เมื่อพบเพล้ียอ่อนเขา้ ทาลายควรใชส้ ารเคมีกลุ่มมาลาไธออน เช่น มาลาเทน, มา ลาไธออน 83% ในอตั รา 30-55 ซีซี ต่อน้า 20 ลิตร พน่ 2 คร้ัง แตล่ ะคร้งั ห่างกนั 7 วนั นอกจากน้ีอาจใชใ้ น อตั รา 5 กรมั ต่อน้า 20 ลิตร ทาการพน่ เป็ นคร้งั คราว หนอนใยผัก มีชื่อวทิ ยาศาสตร์วา่ Plutella xylostella ตวั หนอนเกิดจากไขท่ แ่ี ม่ผเี ส้ือวางไวใ้ ตใ้ บ ไข่มีสีเหลือง ค่อนขา้ งกลม วางตดิ กนั 2-5 ฟอง อายไุ ข่ฟักประมาณ 3 วนั จึงเป็ นตวั หนอน ตวั หนอนมี ขนาดค่อนขา้ งเล็กมองเห็นยาก มีการเจริญรวดเร็วกวา่ หนอนอื่นๆ ระยะเวลาเพยี ง 1 สปั ดาห์ ก็จะโตเตม็ ท่ี มีขนาด 1 เซนตเิ มตร ส่วนทา้ ยมีป่ ุมยน่ื ออกมา 2 แฉก เมื่อถูกตวั จะด้ินอยา่ งแรงและทงิ้ ตวั ลงในดินโดย การสร้างใย ดกั แดม้ ีขนาด 1 เซนติเมตร อยภู่ ายในใยบางๆ ติดใตใ้ บ อายดุ กั แด้ 3-4 วนั ตวั เตม็ วยั มีสีเหลือง เทา ตรงส่วนหลงั มีแถบสีเหลือง อายเุ ตม็ วยั 1 สปั ดาห์ มกั พบตวั เตม็ วยั ตามใบ โดยเกาะอยใู่ นลกั ษณะยก หวั ข้ึน ลกั ษณะการทาลาย การวางไขข่ องแม่ผเี ส้ือค่อนขา้ งหนาแน่น ในตน้ หน่ึงจะพบหนอนมากกวา่ 10 ตวั หนอนใยผกั จะกดั กินผวิ ดา้ นล่างใบจนเกิดรูพรุน รอยที่เห็นจะแตกต่างกบั หนอนชนิดอ่ืนและมกั จะ เขา้ ไปกดั กินยอดทก่ี าลงั เจริญเติบโต ทาใหย้ อดผกั เสีย ทาใหเ้ สียคุณภาพ

30 การป้ องกนั กาจดั สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น การใชส้ ารเคมีกาจดั ตวั หนอนโดยตรง การใชเ้ ช้ือ แบคทเี รียบาซิลลสั ทรูรินเจนซิสทาลาย และหมน่ั ตรวจดูแปลงปลูกอยเู่ สมอเม่ือพบตวั หนอนควรรีบ ทาลายทนั ที ด้วงหมัดผัก มีช่ือวทิ ยาศาสตร์วา่ Phyllotreta sinuata ตวั เตม็ วยั เป็นแมลงปี กแขง็ ขนาดเลก็ ยาว 1 1/2 มิลลิเมตร ตวั เตม็ วยั จะวางไข่ในดินบริเวณใกลๆ้ ตน้ พชื ตวั อ่อนมีขนาดเลก็ สีขาวใส โตเตม็ วยั จะกดั กินใบจนเป็นรูพรุน ทาความเสียหายไดใ้ นระยะท่ีผกั กาลงั เจริญเตบิ โต สาหรับตวั อ่อนท่เี ป็ นหนอนชอบ กดั กินราก บางคร้ังอาจเกิดการระบาดในระยะท่ยี งั เป็นตน้ กลา้ การป้ องกนั กาจดั การไถตากดินในฤดูแลง้ จะช่วยทาลายตวั อ่อนหรือดกั แดท้ อ่ี ยใู่ นดินได้ กาจดั วชั พชื ในบริเวณแปลงผกั เพอื่ ตดั วงจรอาหารของตวั หนอน หรือฉีดพน่ ดว้ ยเซฟวนิ 85 หรือแลนเนท

31 การปลูกผกั บุ้ง ผกั บงุ้ จนี ใชเ้ วลาในการงอกเพยี ง 48 ชว่ั โมง ระยะแรกของการเจริญเติบโตจะใหล้ าตน้ ต้งั ตรง หลงั จากงอกได้ 5-7 วนั จะมีใบเล้ียงโผล่ออกมา 2 ใบ มีลกั ษณะปลายใบเป็นแฉก ไม่เหมือนกบั ใบจริงเมื่อ ตน้ โตในระยะสองสปั ดาห์แรก จะมีการเจริญเติบโตทางลาตน้ อยา่ งรวดเร็วจนกระทงั่ อายปุ ระมาณ 30-45 วนั การเจริญเตบิ โตจะเปล่ียนไปในทางทอดยอดและแตกกอ สาหรบั ผกั บงุ้ จีนที่หวา่ นดว้ ยเมลด็ การแตกกอจะมีนอ้ ยมาก การแตกกอเป็ นการแตกหน่อออกมา จากตาทีอ่ ยบู่ ริเวณโคนตน้ ทตี่ ิดกบั ราก มีตาอยรู่ อบตน้ 3-5 ตา เม่ือแตกแถวออกมาแลว้ จะเจริญทอดยอด ยาวออกไปเป็นลาตน้ มีปลอ้ งขอ้ และทุกขอ้ จะใหด้ อกและใบ การเลือกทป่ี ลูก การปลูกผกั บุง้ จีนเพอื่ การบริโภคสดเป็นการปลูกผกั บุง้ จนี แบบหวา่ น หรือโรย เมล็ดลงบนแปลงปลกู โดยตรง เม่ือถึงอายเุ กบ็ เก่ียว 20-25 วนั จะถอนตน้ ผกั บุง้ จนี ท้งั ตน้ และรากออกจาก แปลงปลูกไปบริโภคหรือไปจาหน่ายต่อไป ในการปลูกน้นั ควรเลือกปลูกในทม่ี ีการคมนาคมขนส่ง สะดวก สภาพท่ดี อน น้าไม่ทว่ ม หรือเป็นแบบสวนผกั แบบยกร่อง เช่น เขตภาษีเจริญ บางแค กรุงเทพฯ บางบวั ทอง นนทบรุ ี นครปฐม และราชบุรี เป็ นตน้ ลกั ษณะดินปลูกควรเป็ นดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย เพอ่ื ถอนตน้ ผกั บุง้ จนี ไดง้ า่ ย และควรอยใู่ กลแ้ หล่งน้า เพอ่ื สะดวกในการรดน้าในช่วงการปลูก และทา ความสะอาดตน้ และรากผกั บุง้ จนี ในช่วงการเกบ็ เก่ียว การเตรียมดนิ ผกั บุง้ จนี เป็นพชื ผกั ที่มีระบบรากต้นื ในการเตรียมดินควรไถตะตากดินไว้ ประมาณ 15-30 วนั แลว้ ดาเนินการไถพรวนและข้นึ แปลงปลูก ขนาดแปลงกวา้ ง 1.5-2 เมตร ยาว 10-15 เมตร เวน้ ทางเดินระหวา่ งแปลง 40-50 เซนติเมตร เพอ่ื สะดวกในการปฏบิ ตั ิดูแลรักษา ใส่ป๋ ุยคอก (มูลสุกร เป็ด ไก่ ววั ควาย) หรือป๋ ยุ หมกั ท่สี ลายตวั ดีแลว้ คลุกเคลา้ ลงไปในดิน พรวนยอ่ ยผวิ หนา้ ดินใหล้ ะเอียด พอสมควรปรบั หลงั แปลงใหเ้ รียบเสมอกนั อยา่ ใหเ้ ป็ นหลุมเป็ นบอ่ เมล็ดพนั ธุผ์ กั บงุ้ จนี จะข้ึนไม่ สม่าเสมอท้งั แปลง ถา้ ดินปลูกเป็นกรด ควรใส่ปูนขาวเพอื่ ปรับระดบั พเี อชของดินใหส้ ูงข้ึน วธิ ีการปลูก ก่อนปลูกนาเมล็ดพนั ธุผ์ กั บงุ้ จนี ไปแช่น้านาน 6-12 ชว่ั โมง เพอื่ ใหเ้ มล็ดพนั ธุ์ ผกั บุง้ จีนดูดซบั น้าเขา้ ไปในเมลด็ มีผลใหเ้ มลด็ ผกั บุง้ จีนงอกเร็วข้ึน และสม่าเสมอกนั ดี เมล็ดผกั บงุ้ จีนท่ี ลอยน้าจะเป็นเมลด็ พนั ธุผ์ กั บงุ้ จนี ที่ไม่สมบรู ณ์ ไม่ควรนามาเพาะปลูก ถึงแมจ้ ะข้ึนไดบ้ า้ ง แต่จะไม่ สมบูรณ์แขง็ แรงอาจจะเป็นแหล่งทาใหเ้ กิดโรคระบาดไดง้ ่าย นาเมลด็ พนั ธุผ์ กั บงุ้ จนี ทด่ี ีไม่ลอยน้ามา หวา่ นใหก้ ระจายทวั่ ท้งั แปลงใหเ้ มล็ดห่างกนั เลก็ นอ้ ย ตอ่ จากน้นั นาดนิ ร่วนหรือข้ีเถา้ แกลบดาหวา่ นกลบ เมลด็ พนั ธุผ์ กั บงุ้ จีนหนาประมาณ 2-3 เท่าของความหนาของเมลด็ หรือประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ถา้ แหล่งทป่ี ลูกน้นั มีเศษฟางขา้ ว จะใชฟ้ างขา้ วคลุมแปลงปลูกบาง ๆ เพอื่ ช่วยเกบ็ รกั ษาความช้ืนในดิน หรือ

32 ทาใหห้ นา้ ดินปลูกผกั บุง้ จนี ไม่แน่นเกินไป รดน้าดว้ ยบวั รดน้าหรือใชส้ ายยางตดิ ฝักบวั รดน้าใหค้ วามช้ืน แปลงปลูกผกั บงุ้ จนี ทุกวนั ๆ ละ 1-2 คร้ัง ประมาณ 2-3 วนั เมล็ดพนั ธุผ์ กั บงุ้ จีน จะงอกเป็นตน้ ผกั บงุ้ จนี ต่อไป การปฏิบตั ดิ ูแลรักษาผกั บ้งุ จีนเพอื่ การบริโภคสด 1. การใหน้ ้า ผกั บุง้ จนี เป็นพชื ที่ชอบดินปลูกทชี่ ุ่มช้ืน แต่ไม่แฉะจนมีน้าขงั ฉะน้นั ควรรดน้า ผกั บุง้ จนี อยเู่ สมอทุกวนั ๆ ละ 1-2 คร้งั ยกเวน้ ช่วงท่ฝี นตกไม่ตอ้ งรดน้า อยา่ ใหแ้ ปลงปลูกผกั บุง้ จนี ขาดน้า ได้ จะทาใหผ้ กั บุง้ จีนชะงกั การเจริญเติบโต คุณภาพไม่ดี ตน้ แขง็ กระดา้ ง เหนียว ไม่น่ารบั ประทาน และ เก็บเก่ียวไดช้ า้ กวา่ ปกติ 2. การใส่ป๋ ุย ผกั บุง้ จนี เป็นพชื ผกั ที่บริโภคใบและตน้ มีอายกุ ารเก็บเก่ียวส้นั ถา้ ดินปลูกมีความ อุดมสมบรู ณ์ หรือมีการใส่ป๋ ยุ คอก เช่น มูลสุกร มูลเป็ ด ไก่ เป็นตน้ ซ่ึงป๋ ุยคอกดงั กล่าวเป็ นป๋ ยุ ท่มี ี ไนโตรเจนสูงอยแู่ ลว้ ไม่จาเป็นตอ้ งใส่ป๋ ุยเคมีกไ็ ด้ แตถ่ า้ ดินปลูกไม่คอ่ ยอุดมสมบูรณ์ นอกจากตอ้ งใหป้ ๋ ยุ คอกแลว้ ควรมีการใส่ป๋ ยุ ทางใบทม่ี ีไนโตรเจนสูง โดยหวา่ นป๋ ุยกระจายทวั่ ท้งั แปลงก่อนปลูกและหลงั ปลูกผกั บงุ้ จีนไดป้ ระมาณ 7-10 วนั ซ่ึงการใหป้ ๋ ุยคร้งั ที่ 2 น้นั หลงั จากหวา่ นผกั บงุ้ จีนลงแปลงแลว้ จะตอ้ ง มีการรดน้าแปลงปลูกผกั บงุ้ จีนทนั ที อยา่ ใหป้ ๋ ยุ เกาะอยทู่ ีช่ อกใบ จะทาใหผ้ กั บุง้ จีนใบไหม้ ในการใส่ ป๋ ยุ เคมีคร้งั ที่ 2 น้นั จะใชว้ ธิ ีการละลายน้ารด 3-5 วนั คร้ังก็ได้ โดยใชอ้ ตั ราส่วน ป๋ ยุ ยเู รีย 10 กรัมต่อน้า 20 ลิตร จะเป็นการช่วยให้ผกั บุง้ จนี เจริญเติบโต และเก็บเกี่ยวไดร้ วดเร็วข้นึ เมลด็ เร่ิมงอกหลงั จากหวา่ น ประมาณ 2-3 วนั การใหน้ ้า 3. การพรวนดินและกาจดั วชั พืช ถา้ มีการเตรียมดินดีมีการใส่ป๋ ยุ คอกก่อนปลูกและมีการหวา่ น ผกั บุง้ ข้ึนสม่าเสมอกนั ดี ไม่จาเป็นตอ้ งพรวนดิน เวน้ แต่ในแหล่งปลูกผกั บงุ้ จีนดงั กล่าวมีวชั พชื ข้ึนมาก ควรมีการถอนวชั พชื ออกจากแปลงปลูกอยเู่ สมอ 7-10 วนั ต่อคร้ัง ในแหล่งที่ปลูกผกั บุง้ จนี เพอื่ การบริโภค สดเป็ นการคา้ ปริมาณมาก ควรมีการพน่ สารคลุมวชั พชื ก่อนปลูก 2-3 วนั ตอ่ จากน้นั จงึ ค่อยหวา่ นผกั บุง้ จนี ปลูก จะประหยดั แรงงานในการกาจดั วชั พชื ในแปลงปลูกผกั บุง้ จนี ไดด้ ีมากวธิ ีการหน่ึง 4. การเกบ็ เก่ียว หลงั จากหวา่ นเมลด็ พนั ธุผ์ กั บุง้ จีนลงแปลงปลูกได้ 20-25 วนั ผกั บงุ้ จนี จะ เจริญเติบโต มีความสูงประมาณ 30-35 เซนตเิ มตร ใหถ้ อนตน้ ผกั บุง้ จีนออกจากแปลงปลูกท้งั ตน้ และราก ควรรดน้าก่อนถอนตน้ ผกั บุง้ จนี ข้ึนมาจะถอนผกั บงุ้ จีนไดส้ ะดวก รากไม่ขาดมาก หลงั จากน้นั ลา้ งรากให้ สะอาด เดด็ ใบและแขนงทีโ่ คนตน้ ออก นามาผ่งึ ไว้ ไม่ควรไวก้ ลางแดดผกั บุง้ จีนจะเห่ียวเฉาไดง้ ่าย จดั เรียงตน้ ผกั บงุ้ จีนเป็นมดั เตรียมบรรจภุ าชนะเพอ่ื จดั ส่งตลาดตอ่ ไป

33 ประโยชน์ของ การปลกู ผักบ้งุ จนี ผกั บุง้ ไทยจะมีสรรพคุณทางยามากกวา่ ผกั บุง้ อื่น แต่สาหรับผกั บุง้ จีนจะมีแคลเซี่ยม และเบตา้ -แค โรทีน มากกวา่ ผกั บงุ้ อ่ืน คน ที่เป็นโรคความดนั โลหิตต่าน้นั ไมค่ วรรบั ประทานผกั บงุ้ เลย เพราะวา่ ผกั บุง้ น้นั มีคุณสมบตั ลิ ดความดนั โลหิต และถา้ คนทมี่ คี วามดนั โลหิตต่ายงั รบั ประทานผกั บุง้ เขา้ ไปอีกกจ็ ะยงิ่ ต่าลงไป อีก ก่อใหเ้ กิดอาการเป็นตะคริว ร่างกายอ่อนแอลงได้ ฉะน้นั ผทู้ ี่เป็นโรคความดนั โลหิตตา่ ไม่ควร รบั ประทานผกั บงุ้ เลยจะดีที่สุด ผกั บงุ้ ไทยโดยเฉพาะชนิดตน้ ขาวจะมีวติ ามินซีสูงกวา่ ชนิดอ่ืนๆ ช่วย บารุงรักษาเหงอื ก ฟัน ใหแ้ ขง็ แรง ช่วยทาใหผ้ วิ สวย เลือดดี และเพม่ิ ความตา้ นทานโรค ไม่เกิดอาการ แพ้ ต่าง ๆ ง่าย เคลด็ ลบั อยทู่ ต่ี อ้ งกินสด ๆ คุณค่าทางวติ ามินจะไดไ้ ม่สูญเสียไปใน ผกั บุง้ ขาว 100 กรัม ให้ พลงั งานต่อร่างกาย 22 กิโลแคลอรี่ และยงั ประกอบดว้ ยเสน้ ใย 101 กรัม แคลเซียม 3 มิลลิกรมั ฟอสฟอรสั 22 มิลลิกรมั เหล็ก 3 มิลลิกรัม วติ ามินเอ 11,447 IU วติ ามินบีหน่ึง 0.06 มิลลิกรมั วติ ามินบสี อง 0.17 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.3 มิลลิกรัม วติ ามินซี 14 มิลลิกรัม คะ่ และมีสารตา้ นฮีสตามีน นอกจากน้ียงั มีธาตเุ หล็ก ช่วยบารุงเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส บารุงกระดูกและฟันให้ แขง็ แรง รวมท้งั มีเสน้ ใย อาหารทชี่ ่วยใหร้ ะบบขบั ถ่ายคล่องข้ึน ยงิ่ ไปกวา่ น้นั ผกั บงุ้ ยงั มีสารชนิดหน่ึงที่มี โครงสร้างคลา้ ยอินซูลิน ทท่ี าหนา้ ท่ชี ่วยลดน้าตาลในเลือดสาหรับผทู้ ่เี ป็ นเบาหวาน สรรพคุณของผกั บุ้งไทยต้นขาว สรรพคุณ ของผกั บุง้ ไทยตน้ ขาวและวธิ ีการใช้ ส่วนท่ีใชป้ ระโยชนข์ องผกั บุง้ ไทยตน้ ขาวคอื ดอก ใบ ท้งั ตน้ และราก ซ่ึงแตล่ ะส่วนจะให้สรรพคุณแตกตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี ดอก ใชเ้ ป็ นยาแกก้ ลากเกล้ือน ตน้ สดใชด้ บั พษิ รกั ษาแผลไฟไหม้ น้ารอ้ นลวก ลดอาการแพ้ อกั เสบ ปวด บวม บารุงสายตา บารุงเลือด บารุง กระดูกและฟัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เป็นยาดบั รอ้ น แกป้ ัสสาวะเหลืองท้งั ตน้ ใชแ้ กโ้ รคประสาท ปวด ศรีษะ อ่อนเพลีย แกก้ ลาก เกล้อื น แกเ้ บาหวาน แกต้ าอกั เสบ บารุงสายตา แกเ้ หงือกบวม แกฟ้ กช้า ถอน พษิ ใบ ใชถ้ อนพษิ แมลงสตั วก์ ดั ต่อย นาใบสดมาตา แลว้ ค้นั เอาน้ามาดื่ม จะทาใหอ้ าเจียน ถอนพษิ ยาเบอ่ื เมา แกพ้ ษิ ของฝิ่นและสารหนู มีวติ ามินเอสูง เป็ นสารตา้ นอนุมูลอิสระราก ใชแ้ กไ้ อเร้ือรงั และแกโ้ รคหืด ถอนพษิ ผดิ สาแดง ใชแ้ กส้ ตรีมีตกขาวมาก เบาขดั เหงอื่ ออกมาก ลดอาการบวม

34 การเพาะเห็ดนางฟ้ าภูฐาน สาหรับโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้ าน้นั ควรมีขนาด 2 x 15 x 2 (กวา้ ง x ยาว x สูง) เมตร ซ่ึงจะวาง กอ้ นเช้ือเห็ดนางฟ้ าไดป้ ระมาณ 4,000 กอ้ น โรงเรือนควรเป็ นแบบท่ีสร้างงา่ ย ลงทุนนอ้ ย และวสั ดุท่ีจะ นามาสร้างเป็ นโรงเรือนน้นั จะตอ้ งหางา่ ยที่มีอยใู่ นทอ้ งถ่ิน เป็ นวสั ดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ฟาง, หญา้ แฝก, ไมไ้ ผ่ เป็นตน้ สาหรับการสรา้ งโรงเรือนใหเ้ หมาะสมน้นั ควรสร้างในที่เยน็ ช้ืนและสะอาดปราศจาก ศตั รูของเห็ดทีจ่ ะเขา้ มารบกวน หลงั คามุงจากหรือแฝก แลว้ คลุมทบั ดว้ ยสะแลนอกี 1 ชิ้น การคลุมหลงั คา ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของเห็ดดว้ ย เพอื่ ป้ องกนั ลม ลมแรง ลมคอ่ ย ลมหนาว ลมแหง้ แลง้ สภาพลม สภาพอากาศ มีผลกระทบต่อการออกดอกของเห็ดไดเ้ ช่นเดียวกนั ปิ ดประตูดว้ ยกระสอบป่ านหรือแผน่ ยาง ปพู ้นื ดว้ ย ทราย เพอื่ เกบ็ ความช้ืน ทศิ ทางลม กอ้ มีส่วนสาคญั ในการโรงเพาะเห็ด ตอ้ งดูทศิ ทางของลมเหนือลมใต้ เพอ่ื ป้ องกนั การพดั พาเช้ือโรค ที่จะมีผลตอ่ กอ้ นเห็ด และการออกดอกของเห็ดอุณหภมู ิและความช้ืน ดอก เห็ดนางฟ้ าจะเจริญไดด้ ีท่ีสุดทค่ี วามช้ืนภายในโรงเรือนไม่ควรต่ากวา่ 80 % ถา้ ไม่มีชานาญในการสงั เกต ควรใชเ้ คร่ืองมือวดั ความช้ืน คอื ไฮโดรมิเตอร์ แลว้ นาคา่ ตวั เลขไปเทียบกบั ตาราง ดงั น้นั จึงไม่ควรปล่อย ใหช้ ้ืนหรือแหง้ จนเกินไป ซ่ึงมีผลต่อการเกิดของดอกเห็ดไดก้ ารถ่ายเทอากาศ ในเห็ดทุกชนิดเมื่อกาลงั สร้างเสน้ ใยและเกิดดอก เห็ดจะตอ้ งการออกซิเจนสูงมาก แต่ในระยะที่ สรา้ งเสน้ ใยจะทนตอ่ การขาดออกซิเจนไดด้ ีกวา่ ระยะท่ีเกิดดอกเห็ด โรงเรือนทีด่ ีจะตอ้ งจดั ใหอ้ ากาศ ถ่ายเทไดด้ ี โดยเฉพาะโรงเรือนขนาดใหญ่ ถา้ การระบายอากาศไม่ดี ภายในโรงเรือนจะสะสม กา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซดไ์ วม้ าก สงั เกตท่ีลาตน้ จะยดื ยาว ดอกจะหุบไม่บาน แสง เห็ดหลายชนิดไม่จาเป็นตอ้ งรบั แสงเลย เพราะเห็ดไม่มีการสงั เคราะห์แสงเองได้ แต่แสงมี ความจาเป็นต่อการทาใหด้ อกเห็ดสมบรู ณ์ หรือเพอื่ ใหเ้ ห็ดออกดอกเร็วข้ึน เห็ดนางรมนางฟ้ า เมื่อไดร้ ับ แสงจะปล่อยสปอร์จากดอกเห็ดไดด้ ี แต่ถา้ ไมไ่ ดร้ บั แสง กา้ นดอกจะยาวออก ดอกเล็กและผลผลิตต่า ศัตรูเห็ดนางฟ้ า เห็ดนางฟ้ ามีคุณสมบตั ทิ างกล่ินจงึ ทาใหเ้ ป็นท่ดี ึงดูดของโรคและแมลงซ่ึงเป็ น ศตั รูของเห็ดนางฟ้ าไดเ้ ป็นอยา่ งดี ดงั น้นั จึงมีศตั รูเห็ดรบกวนหลายชนิดดว้ ยกนั คอื 1. .หนูและแมลงสาบ ควรกาจดั โดยใชย้ าเบ่ือ หรือ กบั ดกั ไม่ควรใชส้ ารเคมีฉีดทเ่ี ป็นอนั ตรายตอ่ ผบู้ ริโภคเพราะอาจจะทาใหเ้ ห็ดเป็นพษิ และทาใหเ้ ห็ดเน่าได้ 2. ไร ตวั ไรจะดูดกินน้าเล้ียงระยะกอ้ นเช้ือ และดอกเห็ดทาใหผ้ ลผลิตลดลง ไรจะระบาดเม่ือ ความช้ืนในโรงเรือนต่า ดงั น้นั จึงไม่ควรปล่อยใหเ้ กิดการหมกั หมม และ การป้ องกนั ไวก้ อ่ นจะดกี วา่ โดย การรักษาความสะอาดโรงเรือนอยเู่ สมอ การใชส้ ารเคมีกาจดั ไม่ควรทาเพราะจะเป็ นอนั ตรายตอ่ ผบู้ ริโภค

35 3. แมลงหวี่ จะเกิดกบั ดอกเห็ดท่ีมีอายมุ าก แมลงหวจี่ ะมาตอมและวางไข่และขยายพนั ธุค์ วรยา้ ย กอ้ นเหล่าน้นั ออกจากโรงเรือนแลว้ ทาลายท้งิ เพอื่ ป้ องการการแผข่ ยายไปยงั กอ้ นเช้ืออ่ืน ๆ 4.โรคจดุ เหลือง เกิดกบั ดอกเห็ดท่มี ีอายมุ ากท่ีตกคา้ งในการเกบ็ หรือเพราะน้าท่รี ดน้นั สกปรก ไม่ สะอาด ควรแยกเห็ดที่เป็นโรคออกแลว้ นาไปทาลาย 5. ราเมือก ลกั ษณะเป็นสีเหลือง กล่ินคาวจดั สามารถระบาดโดยสปอร์ได้ ควรป้ องกนั โดยเอา กอ้ นท่ีหมดอายแุ ลว้ และเศษวสั ดุในโรงเรือนออกอยา่ ใหห้ มกั หมม การรดน้าเห็ดนางฟ้ า น้าที่ใชก้ ารรดน้าเห็ดนางฟ้ าใหไ้ ดผ้ ลดีน้นั ควรเป็ นน้าที่สะอาดไม่มีสารเคมี และสิ่งสกปรกเจอื ปนไม่วา่ จะเป็นน้าฝน น้าบอ่ หรือน้าคลอง แต่ไม่ควรเป็ นน้ากร่อย น้าเคม็ น้าที่เป็ นกรด หรือด่าง ถา้ เป็นน้าประปาควรจะกกั ไวใ้ นภาชนะปากกวา้ งทิ้งไวใ้ หค้ ลอรีนระเหยก่อนจึงจะนาไปรดได้ การรดน้าในโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้ าน้นั ควรรดอยา่ งนอ้ ยวนั ละ 2 คร้ัง ท้งั น้ีเพอ่ื เป็ นการรักษาความช้ืนใน โรงเรือนใหไ้ ดน้ านที่สุด สงั เกตดูวา่ ถา้ อากาศแหง้ ก็สามารถเพม่ิ จานวนคร้ังในการรดไดอ้ ีก การรดน้า นอกจากจะเป็นการรกั ษาความช้ืนแลว้ ยงั เป็ นการรักษาอุณหภูมิในโรงเรือนใหอ้ ยรู่ ะหวา่ ง 20 – 30 องศา เซลเซียส ซ่ึงเป็นอุณหภูมิทเ่ี หมาะสมที่สุดสาหรับเห็ดนางฟ้ า เครื่องมือทใี่ ชร้ ดน้าเห็ดใชไ้ ดท้ ้งั บวั รดน้าฝอยละเอียด สายยางธรรมดาติดปลายดว้ ยฝักบวั ฝอย ละเอียด หรือใชส้ เปรยฝ์ อยละเอียดดว้ ยเครื่องพน่ ยาก็ได้ การรดน้าเห็ดนางฟ้ าไม่ควรรดจนโชกหรือมีน้า ขงั ใหพ้ ยายามรดนอ้ ย แต่รดบอ่ ยคร้ัง เพอ่ื เป็นการรักษาโรงเรือนใหม้ ีสภาพชุ่มช้ืนอยตู่ ลอดเวลา การรดน้า ตอ้ งระมดั ระวงั อยา่ ใหน้ ้าเขา้ ในกอ้ นเช้ือเพาะเห็ดนางฟ้ า จาหลกั การง่าย ๆ คือ ควรรดน้าใหภ้ ายใน โรงเรือนช้ืน เยน็ แตต่ อ้ งไม่เขา้ ในกอ้ นเช้ือ ถา้ มีน้าเขา้ ในกอ้ นตอ้ งกรีดถุงเพอ่ื ใหน้ ้าไหลออก มิฉะน้นั กอ้ น เช้ือจะเน่าเสียได้ ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อการเพาะเห็ด 1. กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ในระยะท่เี ห็ดพฒั นาเป็ นดอก หากโรงเรือนมีปริมาณกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซดส์ ูงกจ็ ะทาใหด้ อกเห็ดมีลกั ษณะผดิ ปกตไิ ด้ ดงั น้นั โรงเรือนเพาะเห็ดควรดูแลใหม้ ี อากาศ ถ่ายเท ซ่ึงจะช่วยใหด้ อกเห็ดเจริญไปเป็ นดอกท่ีสมบูรณ์ได้ 2. ความเป็ นกรดเป็ นด่าง (pH) เห็ดชอบความเป็ นกลาง(pH7) หรือเป็ นกรดเล็กนอ้ ย 3. แรงดดึงดูดของโลก เห็ดที่มีลกั ษณะเป็ นทรงร่ม จะเจริญในแนวตา้ นแรงดึงดูดของโลก ไม่วา่ จะ จบั วางในตาแหน่งใด ส่วนเห็ดหิ้งจะเจริญในแนวขนานกบั พ้นื โลก 4. ความช้ืนของอากาศ มีผลกระทบต่อการเจริญเตบิ โตของเห็ดเป็ นอยา่ งมากโดยเฉพาะในระยะ

36 เปิ ด กอ้ นเห็ด เห็ดตอ้ งการความช้ืนค่อนขา้ งสูง ดงั น้นั จึงจาเป็ นตอ้ งเปิ ดกอ้ นเช้ือภายในโรงเรือนท่เี กบ็ ความช้ืนได้ และรกั ษาระดบั ความช้ืนในอากาศใหอ้ ยใู่ นระดบั 70-80 เปอร์เซ็นต์ 5. แสงสวา่ ง มีผลต่อการพฒั นาและการเจริญเตบิ โตของดอกเห็ดมาก เนื่องจากแสงสวา่ งจะช่วย กระตนุ้ การรวมตวั ของเสน้ ใย และพฒั นากลายเป็นดอกเห็ดท่ีสมบรู ณ์ 6. อุณหภูมิ มีผลต่อการเจริญเตบิ โตและผลผลิตของเห็ดมาก อุณหภมู ิท่เี ห็ดแตล่ ะชนิดใชส้ าหรับ การเจริญเติบโตของเสน้ ใยจะสูงกวา่ อุณหภมู ิทีเ่ หมาะสมตอ่ การเกิดดอกเห็ดเล็กนอ้ ย