งานศิลปหัตถกรรมประเภท หนงั ตะลงุ - ตอกหนัง หนงั ตะลงุ –ตอกหนงั 1
การตอกหนงั ตะลงุ นบั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทเี่ คยี งคกู่ บั ศลิ ปะ มากกวา่ ตวั หนงั สำ� หรบั แสดง เนอ่ื งจากเปน็ การมองระยะใกล)้ การแสดง “หนงั ตะลงุ ” อนั เปน็ เอกลกั ษณท์ อ้ งถนิ่ ทส่ี ะทอ้ นวถิ ชี วี ติ ซงึ่ ชา่ งแตล่ ะคนมเี อกลกั ษณแ์ ตกตา่ งกนั ไป รวมถงึ การลงสตี วั บอกกล่าวเลา่ เร่ืองราวผ่านหน้าจอผ้าขาวท่มี มี ากกว่า 200 ปี หนงั ตะลุงทใี่ นอดตี เปน็ สีที่ชา่ งทำ� ขึ้นเอง อาทิ สดี �ำจากเขม่า “ตวั หนงั ” ทใ่ี ชเ้ ชดิ แสดงนนั้ แฝงไวด้ ว้ ยศาสตรแ์ ละศลิ ปใ์ นการ ดนิ หม้อ สเี ขยี วตังแช แมใ้ นปัจจุบนั การสร้างตวั หนงั ตะลงุ จะ สร้างสรรค์เพ่ือเป็นสีสันและอรรถรสของการชมหนังตะลุงท่ี มีการปรบั ประยกุ ต์แผ่นหนังฟอกส�ำเรจ็ จากโรงงาน หรอื การ ต้องอาศยั การเชดิ ตวั หนงั ไปพรอ้ มกบั บทพากยอ์ นั สนกุ สนาน ใชส้ ผี สมอาหารแทนสแี บบดง้ั เดมิ เพอ่ื เพม่ิ ความสะดวกในการ การสร้างสรรค์ “ตัวหนงั ” จงึ ต้องอาศัยช่างตอกหนังที่ต้องเป็น สร้างหนังแต่ละตัวอีกทั้งเพื่อให้คนรุ่นใหมเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ทผี่ ทู้ เ่ี ปย่ี มไปดว้ ยทกั ษะและความชำ� นาญตงั้ แตก่ ารเลอื กหนงั หากแตย่ งั คงรกั ษาความงามตามรปู แบบของเอกลกั ษณด์ ง้ั เดมิ ฟอกหนัง วาดรูปตัวหนังด้วยเหล็กจาร ตลอดจนถึงข้ันตอน ความงามของหนงั ตะลุงหลังจอผ้าขาวจงึ เปน็ อีกหนึ่งบริบทที่ การแกะและตอกตวั หนงั ตะลงุ ดว้ ยการเผอื่ ระยะการมองจากแสง ผชู้ มการแสดงจะชนื่ ชอบคณะหนงั ตะลงุ นน้ั ๆ ดงั นนั้ ฝมี อื การแกะ ทส่ี อ่ งผา่ นเกดิ เปน็ ความงามทน่ี า่ ประทบั ใจ (หากตอกหนงั ตะลงุ และตอกหนงั จงึ ถอื เปน็ งานหตั ถศลิ ปอ์ นั ทรงคณุ คา่ ทส่ี ง่ ตอ่ จาก เพอื่ ใชเ้ ปน็ ของประดบั ตกแตง่ สถานท่ี ชา่ งจะใชเ้ ทคนคิ การแกะ ร่นุ สรู่ นุ่ เพอื่ คงเอกลกั ษณ์ความประณตี งดงามตามแบบฉบับ และตอกหนังท่ีละเอียดและทรวดทรงสัดส่วนที่เสมือนจริง โบราณใหค้ งอยู่ตอ่ ไป หนงั ตะลุง–ตอกหนัง 2
เอกลักษณ์ท่สี ะท้อนภมู ปิ ัญญา การเตรียมหนัง เมื่อได้หนงั มาจะนำ� ไปขึงใหต้ ึง เลาะ และทกั ษะเชิงชา่ ง พังผืดและมัดท่ีติดออกให้หมด จากนั้นน�ำไปฝังทรายใน ลำ� คลอง 2 คนื คอยสงั เกตโดยเอาเลบ็ จกิ ดวู า่ หนงั เรม่ิ เปอ่ื ยจงึ ภมู ปิ ญั ญาการแกะหรอื “การขดู รปู หนงั ” ในภาษาทอ้ งถน่ิ นำ� ไปขดู ขนออก อยา่ แชท่ งิ้ นานเกนิ ไปเพราะจะทำ� ใหห้ นงั เนา่ มรี ายละเอยี ดและความละเมยี ดละไมในการสรา้ งสรรคง์ านอยใู่ น เสยี หาย จากนนั้ นำ� ไปทำ� ความสะอาดดว้ ยนำ้� นำ� มาขงึ ตากแดด ทุกกระบวนการ ในอดีตที่ยงั ไมไ่ ดม้ ีการฟอกหนังจากโรงงาน ใหแ้ หง้ โดยไมต่ อ้ งใชแ้ ดดทรี่ อ้ นจดั และนำ� เขา้ ทร่ี ม่ ตากลมตอ่ เช่นในปัจจุบัน บรรพบุรุษช่างแกะหนังในอดีต ล้วนแต่ทรง เนอ่ื งจากหากตากแดดรอ้ นจดั จนปลอ่ ยใหห้ นงั แหง้ จะไดห้ นงั ภูมิปัญญาในการตระเตรียมตัวหนังตะลุงให้ออกมาเชิดแสดง ทย่ี น่ ไมส่ วยงาม ผ่านแสงไฟได้อยา่ งงดงาม การฟอกหนงั จากภมู ปิ ญั ญาในอดตี จะฟอกหนงั โดยการนำ� โดยเรม่ิ ตงั้ แตก่ ารเลอื กหนงั ทใ่ี ชม้ าทำ� รปู ในอดตี จะเลอื ก ไปแชใ่ นนำ้� ต้มผลส้มแขก หรอื ผลไมร้ สเปร้ียว แชไ่ ว้ 1-2 คนื ววั ทใี่ ชท้ ำ� หนงั แตล่ ะประเภทแตกตา่ งกนั กลา่ วคอื หากเปน็ หนงั เพื่อให้น�้ำส้มซึมเข้าเน้ือหนัง จากน้ันยกมาล้างขึงให้แห้งโดย ตัวพระ ตวั นาง จะใช้หนังทม่ี าจากลกู วัว หรือววั ร่นุ น้ำ� หนกั ตากลมในทร่ี ม่ อกี ครง้ั ปจั จบุ นั ใชน้ ำ�้ สมสายชใู นการฟอก การ ไม่เกิน16 กิโลกรัม เนื่องจากหนังท่ีได้จะไม่หนาเกินไปและ ฟอกหนงั นี้จะชว่ ยใหห้ นงั ทไ่ี ดไ้ มเ่ ปอ่ื ย ไม่พอง มีความคงทน ไม่บางจนเกินไป ส่วนหนังววั ถึก หรอื วัวแก่ นิยมนำ� มาท�ำตวั มากย่ิงขึ้น เม่ือหนังที่ฟอกแห้งสนิทจะต้องม้วนเก็บเพ่ือให้ หนังกาก หรือตัวตลก สีของขนวัวเป็นองค์ประกอบหน่ึงใน สามารถเก็บรักษาไวใ้ ช้ไดน้ านข้ามปี การเลอื กมาทำ� หนงั กลา่ วคอื ขนววั สดี ำ� จะไดห้ นงั ทใ่ี ส ขาวสวย ใช้ท�ำรปู ตัวพระ ตัวนาง วัวขนสแี ดง จะไดห้ นังสชี า ใช้ท�ำหนงั ชา่ งเมือ่ จะเริ่มนำ� หนงั มาแกะเปน็ ตวั หนังตะลุง จะน�ำ รปู คนแก่ ในบางกรณที ตี่ วั ละครนน้ั มสี ผี วิ ใกลเ้ คยี งกบั สผี วิ ของ หนังที่ม้วนเก็บไว้นั้นไปแช่น้�ำสะอาดเพ่ือให้หนังอ่อนตัวลง คนอาจไมต่ อ้ งใชห้ นงั สขี าวในการแกะแตเ่ ลอื กใชห้ นงั สเี หลอื ง แกะไดง้ ่าย จากนน้ั น�ำมาขงึ ให้ตึงอีกคร้งั เมื่อแห้งดีจึงปลดลง แทนเนอื่ งจากมคี วามหนา คงทนและมอี ายกุ ารใชง้ านทนี่ านกวา่ มาด�ำเนนิ กระบวนการตอ่ ไป เช่น รูปยักษ์ รูปไพร่ รูปทตี่ ้องใช้สีคลา้ ยคน หรือ รปู พระเอกท่ีมี วถิ ชี วี ติ พน้ื บา้ น เปน็ ตน้ สว่ นหนงั รปู ครู รปู พระอศิ วร รปู พระฤาษี จะเลือกใช้หนังเสือ หรือ ตามความเช่ือหากเป็นรูปครู รูป ศักดิ์สิทธ์ิ จะใช้หนังปาฏิหาริย์ เช่น หนังวัวท่ีตายจากฟ้าผ่า ควายสีขาวฟ้าผ่าตาย หรือวัวลายตายแก่หมายถึง วัวลายท่ี แก่ตายเองตามธรรมชาติ ลักษณะวัวท่ีพิเศษเช่น วัวตีนด่าง หางดอก หนอกขาว หน้าโพธ์ิ(หนา้ ใบโพธ)ิ์ เป็นต้น หนงั ตะลงุ –ตอกหนัง 3
รูปลักษณ์ของตัวหนังตะลุงช่างจะใช้เหล็กจาร หรือ แคช่ ว่ งตวั บน สว่ นทอ่ นลา่ งนนั้ จะหา่ งจากจอประมาณ 75 องศา เหลก็ ขดี วาดลงบนตวั หนงั ซงึ่ สามารถลบออกไดด้ ว้ ยนำ้� ตวั หนงั ทำ� ใหร้ ะยะเงาทที่ อดยาวนน้ั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพชว่ งขาทสี่ นั้ ให้ ในอดตี จะขนึ้ เปน็ รปู ยกั ษ์ ลงิ เทวดา เหตเุ พราะในสมยั โบราณ ยดื ออกโดยปรยิ าย หากทำ� ใหข้ าสมสว่ น เมอื่ เชดิ แสงไฟบนจอผา้ หนงั ตะลงุ ของไทยมกั นยิ มแสดงเรอื่ งรามเกยี รตเ์ิ ปน็ หลกั ตวั หนงั จะทำ� ใหต้ วั หนงั มชี ว่ งขาทย่ี าวผดิ ปกติ และนเ่ี องคอื รายละเอยี ด ท้ังท่ีเป็นมนุษย์ และยักษ์ จะทรงเคร่ืองโบราณสวมมงกุฎ ของชา่ งในอดตี คำ� นงึ ถงึ และใสใ่ จในรายละเอยี ดจนออกมาไดเ้ ปน็ เหยยี บนาค มอี าวธุ ประจำ� กายคอื พระขรรคค์ นั ศร ตามความ ความงามผ่านแสงไฟมาโดยตลอด เช่นเดียวกับมือ มือของ เชอื่ ในศาสนาฮนิ ดู ตอ่ มาเมอ่ื หนงั ตะลงุ นยิ มแสดงเรอ่ื งราวของ ตวั พระ ตวั นาง และตวั ตลก กจ็ ะมคี วามยาวไมเ่ ทา่ กนั เนอ่ื งจาก รามเกียรติ์ลดลงภาพตัวหนังตะลุงก็มีการเปล่ียนแปลงด้วย ชา่ งแกะหนงั เขา้ ใจในวิถกี ารเชดิ ของผแู้ สดงวา่ ตวั พระตวั นาง โดยเปลย่ี นเปน็ เจา้ เมอื ง (ราชา) นางเมือง (ราชนิ ี) สวมมงกฎุ มกั จะเชดิ อยตู่ รงกลางจอ ตดิ แสงไฟมากกวา่ มอื ตวั พระนางนนั้ ไม่เหยยี บนาค ส่วนพระเอก นางเอก ไว้จกุ เพิม่ ข้นึ เป็นต้น จงึ ทำ� แคพ่ อถงึ หวั เขา่ แตห่ ากเปน็ มอื ตวั ตลก ทเี่ วลาเชดิ จะออกมา บรเิ วณขอบจอ ซา้ ยขวา จงึ ทำ� มอื ใหย้ าวลงมาถงึ หนา้ แขง้ เพอื่ ช่างบางคนยังเก็บแบบวาดของรุ่นบรรพบุรุษน�ำมา เวลาฉายผา่ นแสงไฟ มอื จะมาอยใู่ นระดบั ทพี่ อดสี วยงาม หากทำ� เปน็ แบบในการสรา้ งตวั หนงั ตะลงุ ในปจั จบุ นั โดยถา่ ยแบบบน สดั สว่ นเสมอื นจรงิ เมอื่ ขนึ้ เชดิ เงาทเี่ หน็ จะขน้ึ มาอยบู่ รเิ วณชายโครง กระดาษและนำ� มาวางทาบกบั ตวั หนงั หรอื วางตวั หนงั ทาบลง แทน แลดปู ระหลาดไมง่ ดงาม แตใ่ นสมยั ปจั จบุ นั การเชดิ หนงั ตะลงุ ไปบนแผ่นหนังใหม่ท่ีจะแกะ เพ่ือเก็บรักษาคุณค่าความงาม ได้รับความนิยมน้อยลงท�ำให้การสร้างตัวหนังตะลุงท�ำขึ้นมา จากรุ่นสู่รุ่น จะเห็นว่าการข้ึนรูปหนังตะลุง ถือเป็นอีกหัวใจ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการเปน็ ของทรี่ ะลกึ หรอื ของประดบั ตกแตง่ ส�ำคัญหน่ึงท่ีสะท้อนทักษะฝีมือ เนื่องจากฝีมือการร่างรูปตัว อาคาร สถานทเ่ี สยี เปน็ สว่ นใหญก่ ารสรา้ งตวั หนงั ทดี่ รู ะยะใกลน้ ้ี ละคร ทใี่ หเ้ กดิ ความออ่ นชอ้ ย งดงาม เปน็ เครอื่ งบง่ ชค้ี วามงาม จงึ ตอ้ งสรา้ งตวั หนงั ใหม้ รี ายละเอยี ดทเี่ ลก็ ลง สดั สว่ นเสมอื นจรงิ ของหนงั ตวั นนั้ ไดใ้ นทนั ที ในอดตี ชา่ งจะวาดดว้ ยเหลก็ จารบน ทีส่ ดุ เพือ่ สุนทรยี ์แห่งการช่นื ชมคณุ คา่ งานหนังตะลงุ แผ่นหนังโดยไมต่ อ้ งรา่ งแบบก่อน เอกลักษณ์ของตัวหนังตะลุงท่ีเป็นจุดเด่นชัดเจน คือ รปู รา่ งของตวั หนงั เมอื่ ดรู ะยะใกลจ้ ะไมส่ มสว่ น ชว่ งลา่ งตง้ั แตเ่ อว ลงไปจะสนั้ ไมเ่ หมอื นงานจติ รกรรม เหตเุ ปน็ เพราะภมู ปิ ญั ญา ของคนในอดีตเล็งเห็นแล้วว่าตัวหนังเวลาแสดงทาบบนจอผ้า หนังตะลุง–ตอกหนัง 4
การสร้างตัวหนังมีทักษะเฉพาะตัวที่เลียนแบบกันได้ การลงสีตัวหนังตะลุง ภูมิปัญญาในอดีต ใช้ก้านจาก ยากคอื การแกะและตอกหนงั ในหนังหน่ึงผืนจะมีความหนา หรอื หวาย ทบุ ปลายใหแ้ บนนำ� มาแทนพกู่ นั เนอ่ื งจากหวายหรอื ไผ่ ความบางไม่เท่ากัน นายช่างจะเลือกส่วนท่ีบางส�ำหรับแกะ จะสามารถขยีใ้ ห้สีถึงเพือ่ ให้สซี ึมเขา้ หนัง ส�ำหรับสนี ้นั ในอดีต สว่ นบนของตวั หนงั ตะลงุ และเลอื กหนงั สว่ นหนาสำ� หรบั แกะ ใชเ้ พยี งไมก่ สี่ ี คอื สดี ำ� จากเขมา่ ดนิ หมอ้ หรอื ยางรกั สเี ขยี วตงั แช สว่ นล่างของหนังตะลงุ ชา่ งใช้เทคนิคการแกะด้วยมีดแกะกับ จากสนิมเหล็ก และสแี ดงจากชาด แตป่ ัจจบุ ันนิยมหนั มาใชส้ ี ลวดลายทมี่ ลี กั ษณะชอ่ งขนาดใหญ่ โครงสรา้ งหลกั หรอื ลายหลกั โปสเตอร์ หรือสีผสมอาหารกันส่วนใหญ่เน่ืองจากให้เฉดสีท่ี ซงึ่ นายชา่ งโบราณ จะทำ� ใบมดี จาก “แกะเก็บข้าว”(คนปกั ษ์ใต้ หลากหลาย และเคลอื บแลค็ เกอร์ เพอื่ ใหค้ งทนเกบ็ รปู หนงั ไดน้ านขนึ้ ใช้แทนเคียวเก่ียวข้าว) โดยใช้คมของแกะมาตะไบแล้วน�ำไป ใสด่ า้ มใหเ้ หมาะมอื กบั ชา่ งแกะหนงั โดยแกะสว่ นดา้ นในกอ่ น แม้กระทั่งการทำ� ไมต้ ับ ชา่ งจะใช้ไมไ้ ผ่ที่ไมอ่ อ่ นไมแ่ ก่ โดยแกะบนเขยี งไมน้ นุ่ ไมก้ ฤษณา และไมท้ งั ใชม้ ดี ปลายแหลม จนเกนิ ไป ถา้ ออ่ นเกนิ ไปเมอื่ เวลาเชดิ จะไมเ่ ดง้ ตวั กลบั และมอด ในการแกะส่วนใบหน้าเพราะหนังจะบาง และใช้มีดปลายทู่ ชอบไม้ไผ่อ่อน แต่ช่างในอดีตจะมีภูมิปัญญาในการกันมอด แกะสว่ นทหี่ นังหนา โดยจะแชน่ ้�ำโคลนก่อน 15 คืน นำ้� ในเน้ือไม้จะออก นำ้� โคลน จะเขา้ ไปแทนท่ี เกิดกล่นิ เหม็นเพ่ือให้มอดไมก่ ิน การเหลาไม้ การตอกหนงั นนั้ จะใชส้ ำ� หรบั เดนิ เสน้ แบง่ สว่ นเสอื้ ผา้ ตบั ตวั พระกจ็ ะตอ้ งเหลาใหป้ ลายเรยี ว เวลาทาบกบั จอตวั หนงั อาภรณ์ แบ่งสว่ นต่าง ๆ เช่น ส่วนเสอ้ื กางเกง สรอ้ ย ก�ำไล เทา้ จะยืดหยุ่นเชิดได้ดี ส่วนไม้ตับรูปกากหรือรูปตัวตลก จะท�ำ ผา้ ขาวม้า เพือ่ เพิม่ ความคงทนใหแ้ ผน่ หนังไม่ขาดเนอ่ื งจากมี ส่วนบนของไม้ตับให้ทู่ เพ่ือเวลาชักปากจะได้ไม่ลู่ตาม ส่วน พื้นที่มาก เวลาพับหรือม้วนจะไม่ขาดง่ายของตัวละคร และ ปลายไม้ตับนั้นจะต้องท�ำให้ทู่แบนคม เพื่อเวลาปักบนหยวก เพอื่ สรา้ งความละเอยี ดของลวดลายเพอื่ ใหเ้ กดิ ความงามยาม กลว้ ยจะปักได้แนน่ ดงึ งา่ ย คลอ่ งตวั ถา้ กลมจะดึงออกมาเชิด แสงไฟสอ่ งผา่ น เสน้ ตอกหนงั หลกั ไดแ้ ก่ เสน้ ไขป่ ลา ทจ่ี ะตอ้ ง ยากไม่สะดวกตอ่ การเชิดแสดง ตอกใหล้ ะเอยี ดตอ่ เนอ่ื งกนั ไปและตอ้ งตอกใหข้ าดในครง้ั เดยี ว เพ่ือใหไ้ ด้ลายทค่ี มชดั ในอดีตยงั ไมม่ ตี ุ๊ดตู่ หรือเครอื่ งมอื ตอก ไมเ้ ชดิ มอื ตอ้ งเหลาให้กลม ความยาวตอ้ งเสมอกับไม้ หนัง ชา่ งจะใช้เหลก็ มาตีให้แบนแลว้ มว้ นเป็นรปู กลม ตอกลง ตบั ช่วงล่าง เพือ่ ความสะดวกในการเชดิ ไม่ตอ้ งเออื้ ม ส�ำหรบั บนเขยี งไมห้ ยี สว่ นบนจะใชม้ กุ ตอกขนาดเลก็ เชน่ สว่ นใบหนา้ การเลือกเนื้อไม้ไผ่ต้องให้ความแข็งพอดีกับน�้ำหนักตัวหนัง จนมาถงึ สะเอว และใชม้ ุกใหญส่ �ำหรบั สว่ นลา่ งเนอ่ื งจากเวลา โดยดูให้เหมาะกับรูปหนงั นัน้ ๆ วา่ จะเชิดมากหรอื เชิดนอ้ ย เชดิ ส่วนลา่ งจะอยหู่ า่ งจากจอ ตอ้ งใช้ช่องไฟขนาดใหญข่ ึน้ สำ� หรบั คนั ยกั ทใี่ ชส้ ำ� หรบั ชกั ปาก ชา่ งในอดตี จะใชไ้ มไ้ ผ่ เหลานำ� มาดดั ดว้ ยการลนไฟคลา้ ยคนั เบ็ด วางในตำ� แหนง่ ท่ีอยู่ ระดบั เปลอื กตาบนพอดี เพอื่ เวลาชดั ปากอา้ ตาจะกะพรบิ ได้ ปจั จบุ นั ชา่ งบางรายยงั ใชไ้ มไ้ ผอ่ ยู่ บางรายใชพ้ ลาสตกิ มาเหลา กลม ใชห้ นงั ยางชว่ ยซงึ่ ทำ� ใหเ้ มอื่ เวลานานไปหนงั ยางจะเปอ่ื ย ขาดงา่ ยถา้ เทียบกับอดีต จะใช้เศษหนังในการมดั หนังตะลุง–ตอกหนงั 5
ความเปน็ มาของหนงั ตะลงุ แจ้งขา่ วสารผา่ นหน้าจอผ้าขาวมาหลายยุคสมยั จนมาถงึ การ เลา่ เรอ่ื งราวทผี่ กู รอ้ ยเปน็ นยิ าย ดำ� เนนิ เรอื่ งดว้ ยบทรอ้ ยกรอง หนงั ตะลงุ แตเ่ ดมิ คนในทอ้ งถนิ่ ภาคใตเ้ รยี กหนงั ตะลงุ ที่ขบั รอ้ งเป็นส�ำเนยี งท้องถิ่น หรอื ทเี่ รยี กกนั ว่า “การวา่ บท” สน้ั ๆ วา่ “หนงั ” ดังค�ำกล่าวท่ีไดย้ ินกันว่า “ไปแลหนังโนรา” มกี ารแสดงทง้ั บทพากยแ์ ละบทเจรจา สว่ นมากใชก้ ลอนตลาด จงึ สันนิษฐานวา่ ค�ำวา่ “หนังตะลงุ ” คงจะเร่ิมใชเ้ ม่ือมีการนำ� เดมิ ทเี ดยี วเลน่ เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ครนั้ ตอ่ มานายหนงั เลอื กเนอื้ เรอ่ื ง หนังจากภาคใต้ไปแสดงให้เป็นท่ีรู้จักในภาคกลาง จึงได้เกิด จากในวรรณคดไี ทยนทิ านพน้ื บา้ น หรอื ชาดก เชน่ เรอ่ื งไกรทอง คำ� วา่ “หนงั ตะลงุ ” ขนึ้ เพอ่ื ไมใ่ หซ้ ำ้� กบั หนงั ใหญ่ ซงึ่ แตเ่ ดมิ เรยี กวา่ ไชยเชษฐ์ แกว้ หนา้ มา้ เปน็ ตน้ หรอื แมก้ ระทง่ั เลอื กละครยอดฮติ “หนัง” เชน่ เดยี วกัน หนังจากภาคใตเ้ ขา้ ไปเล่น ในกรงุ เทพฯ ในชว่ งเวลานนั้ ๆ เพราะสรา้ งความนา่ สนใจใหก้ ารแสดง ซงึ่ รปู แบบ คร้ังแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว โดย ของตวั หนงั ตะลงุ ชา่ งตอกหนงั จงึ ตอ้ งสามารถออกแบบทรวดทรง พระยาพทั ลุง (เผือก) นำ� ไปเลน่ แถวนางเลิง้ หนงั ทเ่ี ข้าไปคร้งั เสอื้ ผา้ อาภรณ์ เคร่อื งประดับ ท่อี ยู่บนรปู นัน้ ๆ ไดอ้ ยา่ งสวยสด น้ันเป็นนายหนังจากจังหวัดพัทลุง คนกรุงเทพฯ จึงเรียก งดงามตามทอ้ งเร่ือง “หนงั พัทลงุ ” ต่อมาเสียงเพย้ี นเปน็ “หนังตะลุง” มคี วามเชอ่ื กนั วา่ การแสดงหนงั ตะลงุ มกี ำ� เนดิ ในประเทศ อินเดีย เป็นการแสดงประเภทหนึ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก่อนที่จะมีการแพร่กระจายรูปแบบการแสดงน้ีมาสู่ดินแดน ในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ โดยเฉพาะในประเทศอนิ โดนเี ซยี ซึ่งเป็นประเทศที่มีการรับเอาวัฒนธรรมการแสดงหนังตะลุง จากประเทศอนิ เดียมาอยา่ งเต็มรูปแบบ ส�ำหรับศิลปะหนังตะลุงในประเทศไทยนั้น มีการ สันนิษฐานว่าหนังตะลุงมีมาแล้วไม่ต่�ำกว่า 200 ปี โดยมี ต�ำนานโบราณเล่าขานกันว่า มนี ายกองช้าง ชอ่ื นายหนกั ทอง นายกอ้ นทอง ไดอ้ าศยั พาหนะชา้ งขไี่ ปในดนิ แดนแถบประเทศ อนิ โดนเี ซยี ไดไ้ ปพบชาวมสุ ลมิ กำ� ลงั เลน่ หนงั วายงั (วายงั กลู ติ ) บริเวณกองไฟซึ่งใช้แสงจากกองไฟสะท้อนผ่านตัวหนังท�ำให้ เกิดภาพตัวละครออกมาให้ได้ชม โดยในการแสดงวายังใน ประเทศอินโดนีเซียนั้นนิยมเล่นเร่ืองรามเกียรติ์ (รามายณะ) เป็นเรื่องหลัก หลังจากท่ีนายหนักทอง นายก้อนทอง ได้รับ ชมหนังวายังแล้วจึงได้นำ� วิธีการแสดงชนิดนี้กลับมาประยุกต์ ให้เข้ากับสภาพท้องถิ่นภาคใต้ของไทยในยุคนั้นด้วยการ เปลี่ยนภาษาที่ใช้ในการแสดงจากภาษาอินโดนีเซียมาเป็น ภาษาไทย รวมถงึ การใชจ้ อผา้ ขาวขงึ แลว้ จงึ นำ� รปู ไปทบั เพอ่ื ให้ เกิดเป็นแสงเงาจากตัวหนังตะลุง แต่ยังคงเอกลักษณ์การใช้ ตวั หนงั ตะลงุ ทมี่ ขี นาดเลก็ เหมอื นกนั กบั การแสดงหนงั วายงั อยู่ สง่ ผลใหต้ อ่ มาการแสดงหนงั ตะลงุ ไดเ้ ผยแพรไ่ ปยงั ทอ้ งถน่ิ อนื่ ๆ ในภาคใต้ ตง้ั แตจ่ งั หวดั ชมุ พร ไปจนถงึ จงั หวดั นราธวิ าส โดยเฉพาะ ในจังหวดั สงขลา นครศรธี รรมราช และพทั ลงุ ถอื เป็นจังหวัด ท่มี ีความนยิ มเลน่ หนงั ตะลงุ เปน็ อย่างมาก หนังตะลุงถือเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นของชาวใต้เป็น ศลิ ปะการแสดงทสี่ ะทอ้ นชวี ติ ในอดตี ใชใ้ นการบอกเลา่ เรอ่ื งราว หนงั ตะลุง–ตอกหนัง 6
ความเชื่อและเรือ่ งราวท่ีเก่ียวขอ้ ง กบั วถิ ีชีวติ นอกจากจะถือว่าหนังตะลุงเป็นเรื่องบันเทิงใจอย่าง ความเช่อื เกี่ยวกบั เรอื่ งการเดินทาง กอ่ นออกเดนิ ทาง มหรสพทวั่ ๆ ไปแลว้ ยงั มคี วามเชอ่ื ทางไสยศาสตรป์ ะปนอยู่ ไปแสดงต้องท�ำพิธี ยกเครื่อง โดยประโคมดนตรีอย่างส้ันๆ ด้วยหลายประการ ซ่งึ จะประมวลเป็นขอ้ ๆ ต่อไปน้ีคือ นายหนังบอกกล่าวขอความสวัสดีจากครูหมอ ขณะเดินทาง ถา้ ผา่ นสถานทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธหิ์ รอื วดั วาอารามเกา่ ๆ จะหยดุ ประโคม ความเช่ือเก่ยี วกับครูหมอ ครหู มอคือบรู พาจารยแ์ ละ ดนตรถี วายสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ณ ทนี่ น้ั เมอ่ื ถงึ บา้ นเจา้ ภาพจะวา่ คาถา บรรพบุรุษที่นายหนังแต่ละคนสืบเช้ือสายมา โดยเชื่อว่าครู ทกั เจา้ บา้ น (ทกั ทายเจา้ ทรี่ กั ษาบา้ น) แลว้ ประโคมดนตรสี นั้ ๆ เหล่านั้นยังหว่ งใยผูกพนั กบั นายหนัง หากนายหนงั บชู าเซน่ พลี เรยี กวา่ ตง้ั เครอ่ื ง (บางคณะอาจตง้ั เครอ่ื งกอ่ นทำ� พธิ เี บกิ โรงกไ็ ด)้ ตามโอกาสอันควร ครูหมอก็จะให้คุณ แต่หากละเลยก็อาจ ให้โทษได้ หนังตะลุงทุกคนจึงมักตั้ง ต้ังหิ้ง (ช้ันไม้ขนาดเล็ก ความเชื่ออื่น ๆ มักเป็นเร่ืองไสยศาสตร์ท่ีท�ำเพ่ือ แขวนไว้ขา้ งฝาในท่สี งู ) ใหเ้ ปน็ ท่ีสถติ ของครู ปักธูปเทยี นบูชา ปอ้ งกันปัดเปา่ เสนียดจญั ไร ขอความสวัสดีมีชยั สร้างเมตตา และจะมพี ธิ ไี หวค้ รเู ป็นระยะ ๆ เชน่ 3 ปีตอ่ ครั้ง หรือปีละคร้ัง มหานยิ ม เชน่ กอ่ นขนึ้ โรงดนิ เวยี นโรงทำ� พธิ ปี ดั เสนยี ด ผกู หนวดราม เป็นต้น ทัง้ นีแ้ ล้วแต่จะตกลงบอกกบั ครูไว้อยา่ งไร (เชอื กผกู จอ) เส้นสดุ ท้ายพร้อมวา่ คาถาผกู ใจคน เปน็ ต้น ความเชื่อเก่ียวกับรูปหนัง เช่ือว่ารูปทุกตัวที่ผูกไม้ตับ ความเชอื่ ของหนงั ตะลงุ นนั้ มหี ลากหลาย ในอดตี ถอื วา่ ผูกมอื เบิกปาก เบกิ ตา ชุบรา่ ง แลว้ ย่อมมีอาถรรพณผ์ ู้ใดเล่น การแสดงหนงั ไดด้ แี คเ่ พยี งอยา่ งเดยี วนน้ั ไมพ่ อ เชอื่ วา่ ไสยศาสตร์ ด้วยความไม่เคารพย่อมไม่เกิดมงคลแก่ตน อีกประการหน่ึง เป็นสิ่งท่ีนายหนังต้องเรียนรู้ และต้องรอบรู้เป็นอย่างดีจึงจะ รปู แตล่ ะประเภทมศี กั ดไ์ิ มเ่ ทา่ กนั การจดั เกบ็ ตอ้ งเปน็ ระเบยี บ เอาตวั รอด แตใ่ นปจั จบุ นั ไมไ่ ดม้ กี ารเครง่ ครดั เรอื่ งนเี้ ทา่ ใดนกั เป็นหมวดหมู่ และต้องเอารปู ทีม่ ีศักดิ์สงู ไวบ้ นเสมอ อาจมกี ารใชไ้ มช้ นดิ อนื่ มาแกะเปน็ หวั กรชิ กไ็ ดแ้ ตไ่ มเ่ ปน็ ทนี่ ยิ ม นอกจากนี้ ยงั มคี วามเชอ่ื เกย่ี วกบั รปู ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ การทำ� รูปชนิดน้ตี ้องเลือกหนงั สตั ว์ที่ตายไม่ปรกติ เช่น ถูกฟา้ ผา่ ตาย คลอดลูกตาย และหากเลือกชนิดสัตว์ได้เหมาะกับรูปก็ยิ่งจะ ท�ำใหม้ คี วามขลัง เชน่ รูปตลกท�ำด้วยหนงั หมี รูปฤาษีท�ำด้วย หนงั เสอื เปน็ ตน้ หนงั ตะลงุ –ตอกหนงั 7
กรรมวิธีการตอกรปู หนังตะลุง ขัน้ ตอนการตอกลาย การแกะสลักหนังใช้ส�ำหรับลวดลายขนาดใหญ่ซ่ึงจะ วสั ดุ และอุปกรณ์ หนงั วัว หนงั ควาย ใชม้ ดี แกะสลกั ทท่ี ำ� ขน้ึ เฉพาะตามความถนดั ของชา่ งแตล่ ะคน กรอบไมส้ เี่ หล่ียมส�ำหรบั ตากหนงั หรอื ใชเ้ หลก็ ขดุ แกะสลกั ตามรอยทไี่ ดว้ าดไว้ แบบลายภาพ เคร่ืองมอื ตอกและสลกั ลาย ไดแ้ ก่ เขียงไมห้ ยี เขียงไม้ การตอกจะใชเ้ หลก็ ตอกลาย (ตดุ๊ ต)ู่ ตอกลงไปบนหนงั ท่ีเตรียมไว้ ตอกเดินลายให้ได้รูปตามที่ต้องการ ซ่ึงการตอก ทงั มีดปลายแหลม มดี ปลายมน ตุ๊ดตู่ ค้อน เทียนไข ลายในอดตี น้นั ใช้เหลก็ โครงร่มนำ� มามว้ นใหก้ ลมกบั ตะปูกอ่ น สผี สมอาหาร หรอื สีเคมี นำ� มาเผาไฟเพอื่ ขน้ึ รปู เปน็ เหลก็ ตอกลาย ปจั จบุ นั มเี หลก็ ตอก น้ำ� ยางใสหรือนำ้� มนั เคลือบเงา ลายหลากหลายรูปแบบและหลายขนาด ทั้งรูปสี่เหล่ียม รูป หัวใจ รปู ดอกไม้ จะต้องตอกลายด้วยคอ้ นบนเขยี งไมน้ ิยมใช้ ขั้นตอนการวาดลาย ไมเ้ นื้อแขง็ เชน่ ไม้ลูกหยี เนื่องจากเมือ่ ตอกลงไปแลว้ เนือ้ ไม้ การวาดลายลงหนังนั้นอาจใช้แบบหนังที่ได้มีการวาด จะไม่ยยุ่ ไมเ่ ป็นขยุ และ เครือ่ งมือตอกจะไมช่ ำ� รดุ งา่ ย เขียง สำ� หรบั ใชต้ อกนั้นต้องหม่นั ดูแลใหม้ ีผิวท่เี รียบเพอื่ ให้เม่อื ตอก หรือ แกะเอาไว้แลว้ มาทับลงบนแผน่ หนงั ทต่ี ้องการวาด จาก ลายลงไปแลว้ ลายท่ีตอกจะมีความเสมอกัน นนั้ ใชเ้ หลก็ จาร (เหลก็ เขยี น) เพอ่ื วาดตามรปู ตน้ แบบ โดยชา่ ง จะต้องมีความเข้าใจในภาพที่จะแกะ รู้จักลักษณะของตัว เทคนคิ สำ� คญั ในขน้ั ตอนการตอกลาย คอื ใชเ้ หลก็ ตอก ละครท่ีใช้แกะลายเปน็ อยา่ งดี ลายที่มีขนาดรูที่ใหญ่มองดูจากระยะไกลแล้วลวดลายจะมี ความชดั เมอื่ ใช้เหล็กตอกลายลงบนหนัง หากชา่ งไม่มคี วาม ละเอยี ดรทู ่ีตอกจะไมเ่ สมอกนั การตอกลวดลายท่ีสวยงามน้ัน ตอ้ งตอกลายใหม้ คี วามสมำ่� เสมอกนั โดยอาจมกี ารตอกขนาด ลายทแี่ ตกตา่ งออกไปบา้ ง เชน่ ลายดอกไมจ้ ำ� พวกดอกจกิ ลายหวั ใจ หรอื ลายโพธแ์ิ ดง และ เดนิ เสน้ ลายไขป่ ลา โดยใชเ้ หลก็ ตอกลาย ทีม่ ที รงกลมตอกเรยี งลายไปในแนวเดยี วกันคลา้ ยกบั ไข่ปลา หนังตะลงุ –ตอกหนัง 8
ขั้นตอนการลงสตี วั หนังตะลงุ การลงสตี วั หนงั ตะลงุ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ลกั ษณะรปู และการ ใช้งาน โดยรูปหนังส�ำหรับเชิดมีความมุ่งหมายส�ำหรับแสดง สีท่ีทาลงบนตัวหนังต้องดูสดอยู่ตลอด เน้นให้ดูเด่นสะดุดตา จึงใช้สีที่ฉูดฉาด หรือ สีที่ตัดกันมาใช้กันและเป็นสีโปร่งแสง เนอ้ื สไี มจ่ ืดจาง ขั้นตอนการผูกยดึ ตวั หนังตะลงุ การผกู ยึดตวั หนังตะลงุ นัน้ จะตอ้ งใช้ไมไ้ ผ่ หรอื ไม้ทัง เปน็ ไมส้ ำ� หรบั ผกู ใช้เชดิ เรยี กว่า “ไม้ชี้ ไมต้ บั ” น�ำมาผ่าเหลา แยกออกจากกนั กอ่ นนำ� ตวั หนงั ตะลงุ เสยี บเขา้ ไปในรอ่ งระหวา่ ง กลางแลว้ รอ้ ยดว้ ยดา้ ย โดยวดั ดา้ ยใหม้ ขี นาดความยาวเทา่ กบั ตวั หนงั ตะลงุ กอ่ นตดั ดว้ ยวธิ กี ารลนไฟลงไปทด่ี า้ ย หลงั จากนน้ั จึงเร่ิมผูกยึดไม้เชิดกับตัวละคร ส�ำหรับวิธีการผูกน้ันจะมีวิธี การผกู ทย่ี ดึ ถอื กนั คอื เรม่ิ ผกู ดว้ ยเลขคกี่ ต็ อ้ งลงดว้ ยเลขค่ี หรอื เปรยี บเปรยได้ว่า “ข้นึ ด้วยดีกต็ อ้ งจบดว้ ยด”ี หนังตะลุง–ตอกหนงั 9
ฤาษี ตวั พระ ตวั นาง รจู้ ักตวั แสดงของหนังตะลงุ ตัวตลก ตวั พระ เปน็ ตวั ละครทมี่ คี ณุ ธรรม มอี ำ� นาจวเิ ศษเหนอื นายหนงั เปน็ คำ� เรยี กบคุ คลผทู้ ำ� หนา้ ทแี่ สดงหนงั ตะลงุ กอ่ นสมยั รชั กาลท่ี 6 หนงั คณะหนงึ่ ๆ จะมนี ายหนงั 2 คน ทำ� มนษุ ย์ธรรมดา มีของวิเศษ เป็นอาวธุ ประจำ� กายซง่ึ อาจไดร้ ับ หน้าที่พากย์และเชิดรูปพระรูปนางคนหน่ึง พากย์ เชิดยักษ์ จากฤาษหี รือเทวดา ตวั ตลกและเชดิ ตวั เบด็ เตลด็ อีกคนหน่งึ เรียกนายหนังทง้ั สองว่า “หัวหยวก ปลายหยวก” ตวั นาง จะมรี ปู รา่ งทง่ี ดงาม จติ ใจดแี ทบทกุ เรอื่ ง มคี วาม ซอื่ สัตยร์ ักเดียวใจเดยี ว และมีความจงรกั ภกั ดตี ่อสามี สว่ นของการแสดงหนงั จะตอ้ งเปน็ คนเสยี งดแี ละเสยี งดงั ทำ� เสยี งไดห้ ลายเสยี ง เปลย่ี นเสยี งตามบทบาทของตวั ละครที่ ตวั ตลก เสมือนตัวแทนของชาวบ้านซึ่งจ�ำลองรปู ร่าง พากยไ์ ดฉ้ บั พลนั และเปน็ ธรรมชาติ เรยี กเปน็ ภาษาหนงั ตะลงุ วา่ ลกั ษณะ กิรยิ าท่าทางและนิสยั มาจากคนจรงิ ในสงั คมภาคใต้ “กนิ รปู ” ตอ้ งรอบรใู้ นศลิ ปแ์ ละศาสตรต์ า่ งๆ อยา่ งกวา้ งขวาง หนังตะลุงแต่ละตัวมีรูปร่างและนิสัยแตกต่างกัน ลักษณะ ทงั้ คดโี ลกและคดีธรรม เพื่อแสดงหนังให้ได้ท้ังความบนั เทงิ และ เฉพาะของตวั ตลก แขนทง้ั 2 ขา้ งสามารถเคลื่อนไหวได้ โดย สาระประโยชน์ มอี รรถรสชวนติดตามตอ้ งมไี หวพรบิ ปฏิภาณดี แบง่ ตดั แขนแตล่ ะขา้ งเปน็ 3 ตอน จะใชไ้ มก้ ลมเลก็ ผกู โยงรอ้ ย แกป้ ญั หาตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งฉบั ไว ตอ้ งแสดงออกไดอ้ ยา่ งมอี ารมณ์ ไวก้ ับสันหลงั มอื สำ� หรบั เชิดให้มอื เคลอ่ื นไหวไดท้ กุ สมบรู ณพ์ ร้อมทกุ รส ตวั ละครในหนงั ตะลงุ นน้ั มหี ลากหลาย ซงึ่ จะมบี ทบาท แตกต่างกันไป อาทเิ ช่น ฤาษี เปน็ รปู ครูที่มีความขลงั และศักดส์ิ ทิ ธิ์ ออกฤาษี หรอื ชกั ฤาษี ถือเปน็ ศลิ ปะการเชดิ ข้นั สุดยอด หนังคณะใดจะ เชดิ รูปอืน่ ๆ ได้ดหี รือไม่เพียงใด ดูท่ีการเชิดรูปฤาษีน่เี อง หนงั ตะลงุ –ตอกหนงั 10
คณุ คา่ ของหนงั ตะลุงทอ่ี ยู่คกู่ ับคนไทย หนงั ตะลงุ เปน็ มหรสพทไี่ ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย มาเปน็ ระยะเวลานาน โดยเฉพาะในยคุ สมยั กอ่ นทจี่ ะมไี ฟฟา้ ใชก้ นั ทว่ั ถงึ ทกุ หมบู่ า้ นอยา่ งในปจั จบุ นั หนงั ตะลงุ แสดงไดท้ ง้ั ในงาน บญุ และงานศพ ดงั นน้ั งานวดั งานศพ หรอื งานเฉลมิ ฉลองทสี่ ำ� คญั นอกจากความบนั เทงิ และเพลดิ เพลนิ จากการไดช้ มแลว้ หนงั ตะลงุ ยงั สรา้ งคุณค่าให้กับสังคมไทยได้หลายด้านด้วยเชน่ กัน การตอกหนงั ตะลงุ เปน็ ศลิ ปะทเี่ กา่ แกท่ ไี่ ดร้ บั การสบื ทอดตอ่ กนั มาหลายรนุ่ ปจั จบุ นั ศลิ ปะการตอกหนงั ตะลงุ นเี้ รม่ิ จางหายไป พรอ้ ม ๆ กบั ความนยิ มในการชมการแสดงหนงั ตะลงุ ทม่ี กี ารแสดง ตามยคุ สมยั ใหมเ่ ข้ามาแทนที่ เยาวชนและคนในยุคปัจจุบันเหน็ คุณค่านอ้ ยลง ในกล่มุ ของผู้ทท่ี �ำงานเร่ิมหาวิธีการสร้างคุณคา่ ให้ เกิดการสบื สานงานศิลปกรรมด้านนีใ้ หค้ งอยู่ จงึ ไดม้ กี ารพัฒนา รปู แบบผลติ ภณั ฑใ์ หแ้ กผ่ ลติ ภณั ฑโ์ ดยปรบั รปู แบบใหม้ ปี ระโยชน์ ใชส้ อยสามารถประดบั ตกแตง่ ตามสถานท่ตี า่ ง ๆ นอกเหนือจาก การนำ� มาใชแ้ สดงเพยี งประการเดยี ว ผลงานการแปรรปู ผลติ ภณั ฑ์ เปน็ ทย่ี อมรบั และมกี ารรวมตวั ของสมาชกิ จดั เปน็ กลมุ่ อาสาสาธติ ผลติ ภณั ฑก์ ารตอกหนงั ตะลงุ ทำ� ใหส้ ามารถสบื ทอดภมู ปิ ญั ญา อนั ทรงคณุ ค่าไว้ได้ หนงั ตะลงุ –ตอกหนงั 11
แหลง่ ที่มาข้อมลู และเอกสารที่ใชใ้ นการอา้ งองิ การจดั ทำ� ขอ้ มลู ข้อมูลจาก ครูสวน หนุดหละ ,ครกู ิจ คชรัตน์ หนงั ตะลงุ –ตอกหนงั 12
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: