คู่มือเภสชั กรสมนุ ไพร เล่มที่ ๑ กา้ วเรอ่ื งนา่ รู้ สบู่ ทบาทเภสชั กรสมนุ ไพร
ค�ำน�ำ สถานการณ์การกลับมาสู่ธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งในประชาคมโลก ท�ำให้ความต้องการใช้ ผลติ ภัณฑ์ธรรมชาติโดยเฉพาะท่เี กี่ยวขอ้ งกับสขุ ภาพ เชน่ ยา เครื่องส�ำอาง อาหารเพอ่ื สุขภาพ และ อ่ืนๆ เพ่มิ ขน้ึ เป็นอยา่ งมาก งานวิจยั นานาชาตหิ ลายชนิ้ มีความสอดคลอ้ งกนั วา่ ผู้บริโภคผลติ ภณั ฑ์ธรรมชาติหรอื บริการ ทางการแพทย์แบบองค์รวม มักจะเป็นผู้มีการศึกษาดี มีฐานะปานกลางขึ้นไป มักเป็นเพศหญิง วัย กลางคน ซงึ่ เปน็ ผทู้ ใ่ี สใ่ จในการดแู ลสขุ ภาพของตนเองและครอบครวั อยา่ งมคี วามปลอดภยั สงู ตอ้ งการ สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และมีข้อมูลเพียงพอ ความต้องการของผู้บริโภคดังกล่าวนี้ท�ำให้ผู้ผลิต ผพู้ ฒั นาผลติ ภณั ฑ์ ผใู้ หบ้ รกิ าร ผกู้ ำ� กบั ดแู ลผลติ ภณั ฑจ์ ากธรรมชาติ ตอ้ งตระหนกั และพฒั นามาตรฐาน การทำ� งานของตนให้สูงขน้ึ ในประเทศไทยเป็นท่ีน่าวิตกว่า ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากสมุนไพรที่ก�ำลังได้ รับอิทธิพลจากกระแสโลกที่เพ่ิมมากข้ึน ท�ำให้คุณภาพกับมาตรฐานต่างๆ ถูกละเลย ทั้งจากการลด บทบาทของเภสัชกรในกระบวนการต่างๆ ตามกฎหมาย รวมถึงความสามารถของเภสัชกรในการ
ใหค้ วามร ู้ ใหค้ ำ� ปรกึ ษา การตดิ ตามผลการใชผ้ ลติ ภณั ฑล์ ดลง และขาดความรคู้ วามเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ ง อนั มีเหตุมาจากการขาดข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ขาดการติดตามข่าวสารความเปล่ียนแปลงทางวิชาการของ ผลิตภณั ฑ์สมนุ ไพรจากธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยาตระหนักถึงความส�ำคัญของบทบาทเภสัชกรต่อการพัฒนาและการใช้ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากธรรมชาติเป็นอย่างดี เน่ืองจากตั้งอยู่ในชุมชนที่ประชาชนมีการใช้ยาจาก สมุนไพร อย่างกว้างขวาง จึงมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับสภาเภสัชกรรมในการท่ีจะจัดพิมพ์ หนงั สอื “สมุนไพรไมใ่ ช่ยาขม” น้ี และหวงั วา่ หนังสือน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเภสัชกร และประชาชน ทัว่ ไปทีห่ นั มาสนใจการใช้ผลติ ภณั ฑ์จากสมุนไพรเพื่อการดแู ลตนเองและผปู้ ว่ ย (เภสัชกร ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี) อธิการบดีมหาวทิ ยาลยั พะเยา
สารบญั ยาสมุนไพร ภมู ิปญั ญาไทยแต่บรรพกาล 7 ยาดใี กล้ตวั 15 สมนุ ไพรไมใ่ ช่ยาขม เข้าใจและเลอื กใช้ใหเ้ ปน็ 21 กนิ อาหารเป็นยา 27 รกั ษไ์ ทย ใชย้ าไทย 53 ความงามจากธรรมชาติ 61 รับรเู้ พ่อื เท่าทนั 79 ชว่ ยกันเฝ้าระวัง 87
บวั บก Centella asiatica (L.) Urb.
ยาสมุนไพร ภมู ปิ ัญญาไทยแตบ่ รรพกาล ภญ.ผกากรอง ขวัญขา้ ว รพ.เจา้ พระยาอภยั ภูเบศร “คนไทยกม็ ีความชาญฉลาดที่น�ำการแพทยอ์ ายรุ เวท มาผสมผสาน กับองค์ความรู้การแพทย์พ้ืนถิ่น แล้วปรับให้เหมาะกับภูมิอากาศ และ ทรัพยากรท่ีหาได้ ก่อเกิดเป็นการแพทย์แผนไทยและต�ำรับยาไทยท่ีมี เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ”
8 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม องคค์ วามรดู้ า้ นการแพทยแ์ ผนไทยนนั้ นบั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของคนไทย ในสมยั โบราณกอ่ นทกี่ าร แพทย์แผนตะวนั ตกจะเข้ามา บรรพบรุ ษุ ของเราเมื่อเจ็บไขไ้ ดป้ ว่ ย ก็อาศยั สมุนไพร (พืช สตั ว์ และแร่ ธาตุ) ทห่ี าได้งา่ ยในธรรมชาติเพื่อบรรเทาอาการหรอื โรค เมอ่ื มกี ารใชอ้ ยบู่ อ่ ยๆ เปน็ ประจำ� ก็สะสมจน กลายเปน็ ชดุ ประสบการณ์ความร ู้ มีการบนั ทกึ ไวบ้ นหนิ บนใบไม้ บนกระดาษใหค้ นรนุ่ ตอ่ มาได้ศึกษา และใช้ดูแลสุขภาพ ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่าน้ัน นานาประเทศก็มีการแพทย์แผนด้ังเดิมของตนเอง อาทิ ประเทศจนี กม็ กี ารแพทยแ์ ผนจนี ประเทศอนิ เดยี มอี ายรุ เวท ทม่ี ชี อ่ื เสยี งไปทวั่ โลก แมแ้ ตป่ ระเทศ ในตะวันตกก็มีการใช้สมุนไพรอย่างแพร่หลาย สมุนไพรหลายชนิดเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนายา แผนปจั จุบนั เช่น ยาดิจ๊อกซนิ (digoxin) พฒั นาจากสารสกัดจากใบของ foxglove [Digitalis pur- purea] หรือยา vincristine และ vinblastine พัฒนาจากสารสกดั ต้นแพงพวยฝรั่ง [Catharanthus roseus (L.) G.Don] ทัง้ ตน้ ดังนน้ั ยาจากสมุนไพรจงึ ไม่ใช่เร่ืองแปลกใหม่ หากแต่เป็นความรู้ทไ่ี ดร้ ับใช้ มวลมนุษยชาติมาช้านาน ประเทศไทยมีภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญงอกงามของพืชนานาชนิด โดยเฉพาะพืช สมนุ ไพรมอี ยมู่ ากมาย จากการประมาณเบอื้ งตน้ นา่ จะมอี ยนู่ บั แสนชนดิ ทงั้ ทเี่ กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ และจากการเพาะปลกู สมนุ ไพรหลายชนดิ ถกู นำ� มาใชเ้ ป็นยากลางบ้าน ยาแผนโบราณ และมีจ�ำนวน หน่ึงซ่ึงแม้จะไม่มากท่ีถูกน�ำไปพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบัน การใช้สมุนไพรน้ันเป็นส่วนส�ำคัญของการ แพทยแ์ ผนไทย แมจ้ ะไมอ่ าจระบไุ ดว้ า่ การแพทยแ์ ผนไทยเกดิ ขน้ึ มานานเทา่ ใดแลว้ แตน่ กั ประวตั ศิ าสตร์ จำ� นวนหนงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ การแพทยแ์ ผนไทยนา่ จะไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก อายรุ เวทของอนิ เดยี ซง่ึ เขา้ มาพรอ้ มกบั การเผยแพรพ่ ทุ ธศาสนา หาก แตค่ นไทยกม็ คี วามชาญฉลาดทน่ี ำ� การแพทยอ์ ายรุ เวท มาผสมผสาน กับองค์ความรู้การแพทย์พ้ืนถิ่น แล้วปรับให้เหมาะกับภูมิอากาศ และทรัพยากรท่ีหาได้ ก่อเกิดเป็นการแพทย์แผนไทยและต�ำรับยา ไทยทีม่ ีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัว
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 9 ต�ำรับยาหอมนับเป็นตัวอย่างยาที่เป็น เอกลักษณ์ของคนไทย เพราะยาหอมมีท้ัง สมุนไพรไทย จีน และแขกอยู่ในต�ำรับเดียวกัน ใช้แก้อาการความเจ็บป่วยเก่ียวกับลม ใช้กินก็ได้ สูดดม หรือทาก็ดี คงไม่มีใครปฏิเสธว่าหลังจาก กินยาหอมไปแล้วจะสดชื่นและกระปร้ีกระเปร่า อย่างท่ีไม่มียาอื่นมาเทียบได้ การที่เรายังคงมี ต�ำรับยาหอมใช้มาจนถึงปัจจุบันต้องยกความดีให้กับปู่ย่าตายายของเราที่สามารถคิดค้นปรุงยาให้ มีรสชาติหอมละมุน รวมทั้งจดบันทึกและใช้สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ท�ำให้ภูมิความรู้ในการใช้ยา ชนิดนี้ไม่สูญหายไป การแพทย์แผนไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน ในปี พ.ศ. 1800 ตรงกับสมัย พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช นับเป็นยุคทองของสมุนไพรไทย เพราะพระองค์ทรงมีสวนป่าสมุนไพรท่ี ใหญ่โตมาก มเี น้ือทีห่ ลายรอ้ ยไร่ อยบู่ นยอดเขาครี มี าศ อ.คีรีมาส จ.สุโขทยั ซ่ึงปัจจบุ นั ยงั คงไดร้ ับการ อนุรกั ษ์ไว้เป็นป่าสงวนเพอื่ เป็นแหลง่ ศึกษาคน้ ควา้ ของผทู้ ี่สนใจ ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเห็นว่าสมุนไพรเป็นท้ังยา และอาหารท่อี ย่คู ู่คนไทยมาช้านาน มีการสง่ เสรมิ ใหค้ นไทยรูจ้ กั นำ� สมนุ ไพรมาใช้ดูแลสุขภาพเบ้ืองตน้ เหมือนสมัยกอ่ น เชน่ เม่ือมีอาการหวดั กน็ �ำหอมแดง ตะไคร้ ขา่ มาตม้ น�ำ้ สดู เอาไอ หรือต้มอาบช่วย ลดน้ำ� มูก แก้คดั จมกู โดยไมต่ ้องพง่ึ ยาแผนปจั จุบนั เม่ือถูกนำ้� รอ้ นลวกไฟไหม้ ก็ตัดใบว่านหางจระเข้ มาล้างท�ำความสะอาด ปอกเปลือกและแปะไว้บนผิวหนังบริเวณที่เป็นแผล นอกจากสุขภาพจะแข็ง แรงแลว้ ยงั ลดรายจา่ ยดา้ นยาของครอบครวั และของชาตอิ กี ดว้ ย ทรงมพี ระมหากรณุ าธคิ ณุ โปรดเกลา้ ฯ ให้ด�ำเนินโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริขึ้นในปี พ.ศ. 2522
10 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม เพอื่ ใหเ้ ปน็ แหลง่ เรยี นรขู้ องประชาชน โดยทรงมพี ระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารรวบรวมศกึ ษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั สมุนไพรในทุกๆ ดา้ น ได้แก่ การศกึ ษาทางชีววทิ ยา การแพทย์ การอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดล้อม จน เกดิ โครงการพระราชดำ� ริสวนปา่ สมุนไพรขนึ้ มากมายหลายแห่ง จากพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้เอง ได้มีส่วนกระตุ้นให้หน่วยงานต่างๆ ท�ำการศึกษาวิจัยด้านสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนายาจากสมุนไพรเพ่ือใช้ทดแทนยา แผนปจั จบุ นั ในระบบบรกิ ารสขุ ภาพ เชน่ ครมี พญายอใชท้ ดแทนอะไซโคลเวยี ครมี (Acyclovir Cream) ยาแคปซลู ขมิน้ ชนั ใชท้ ดแทนยากลุ่มแก้ทอ้ งอืดเฟ้อ ยาแคปซูลเพชรสงั ฆาตทดแทนยาไดออสมนิ (Di- osmin) นอกจากการใช้ทดแทนแล้ว ยาจากสมุนไพรยังช่วยส่งเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพมาก ย่ิงขึ้น เช่น การใช้ฟ้าทะลายโจรแก้หวัดช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะ การใช้รางจืดแก้พิษสามารถลด ปรมิ าณยาฆ่าแมลงในกระแสเลอื ดได้ เป็นตน้ นอกจากประโยชนท์ างยาแลว้ สมนุ ไพรยงั ถกู นำ� มาพฒั นาเปน็ อาหารสขุ ภาพและเครอื่ งสำ� อาง สมุนไพรเป็นส่วนผสมหลักในอาหารไทยที่จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยน้ันให้ ความสำ� คญั กบั ความสมดลุ ของธาตทุ งั้ 4 ในรา่ งกาย คอื ดนิ นำ้� ลม ไฟ หากเราเลอื กรบั ประทานอาหาร และสมนุ ไพรใหเ้ หมาะสม (ซง่ึ แตล่ ะชนดิ มสี ว่ นผสมของธาตทุ ง้ั สใี่ นสดั สว่ นทแี่ ตกตา่ งกนั ) กส็ ามารถจะ ปรับธาตทุ ่ีบกพร่องให้กลับคนื สู่สมดุลได ้ นอกจากน้กี ารวิจยั สมยั ใหมย่ งั ชใ้ี ห้เห็นถงึ ประโยชน์ของการ รับประทานสมุนไพรในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค จึงท�ำให้ตลาดอาหารสมุนไพร อาหารทางเลอื ก และผลิตภณั ฑ์เสริมอาหาร เตบิ โตแบบกา้ วกระโดด ขอ้ มลู ลา่ สดุ จาก Euro monitor สำ� รวจพบวา่ ตลาดรวมกลมุ่ ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารในปี พ.ศ. 2553 มมี ลู คา่ กว่า 167,000 ลา้ นดอลลาร์ ก้าวกระโดดอย่างรวดเรว็ ภายใน 10 ปี โดยทป่ี ี พ.ศ. 2543
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 11 มมี ลู คา่ การตลาดเพยี ง 283 ลา้ นดอลลาร์ สมนุ ไพรหลายชนดิ ทม่ี กี ารใชต้ ามองคค์ วามรกู้ ารแพทยแ์ ผน ไทยถูกน�ำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น ตรีผลา (ประกอบด้วยมะขามป้อม สมอ ไทย และสมอพเิ ภก) มฤี ทธ์ิตา้ นอนมุ ลู อิสระ (anti-oxidant) ซง่ึ เป็นสาเหตกุ ารเจบ็ ป่วยในโรคเรื้อรัง หลายชนิด นำ�้ ลูกยอมฤี ทธ์ิเพิ่มภูมคิ มุ้ กนั (Immunomodulation) เปน็ ต้น ในเครือ่ งสำ� อาง มีการน�ำ สมุนไพรไปใชเ้ ป็นส่วนผสมเพ่ือเพม่ิ ประสิทธภิ าพในผลติ ภัณฑ์อย่างกวา้ งขวาง เชน่ บัวบก หรอื สว่ น ประกอบในเครื่องสำ� อางทจี่ ะระบวุ า่ Centella essence ซ่ึงช่วยกระตุน้ การสร้างคอลลาเจน ชว่ ยให้ ผิวมีความยืดหยุน่ (elasticity) มะหาดซ่งึ ชว่ ยยับย้ังการรวมตวั ของเมด็ สเี มลานนิ เป็นตน้ ในสองสามทศวรรษทผ่ี า่ นมา ประเทศไทยไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั การใชแ้ ละพฒั นายาจากสมนุ ไพร โดยรฐั บาลแทบทกุ ชดุ ประกาศใหก้ ารพฒั นายาและผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรเปน็ นโยบายเพอ่ื การขบั เคลอ่ื น เศรษฐกจิ และสง่ เสรมิ การดแู ลสขุ ภาพของประชาชน จงึ ทำ� ใหม้ กี ารดำ� เนนิ งานพฒั นาสมนุ ไพรอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มกี ารผลติ และใชย้ าจากสมนุ ไพรในโรงพยาบาลหลายแหง่ เชน่ โรงพยาบาลเจา้ พระยาอภยั ภเู บศร โรงพยาบาลวงั นำ�้ เยน็ โรงพยาบาลอทู่ อง โรงพยาบาลกาบเชงิ มกี ารศกึ ษาและวจิ ยั ยาจากสมนุ ไพรอยา่ ง ครบวงจร ตงั้ แตก่ ารปลกู การเกบ็ เกยี่ ว การผลติ และการใช้ ซงึ่ การพฒั นาตอ่ ยอดองคค์ วามรดู้ า้ นสมนุ ไพร นจ้ี ะทำ� ใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขนั (competitive advantage) กบั ตา่ งประเทศ การพฒั นายาและผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรเปน็ การเพม่ิ มลู คา่ ใหท้ งั้ หว่ งโซก่ ารผลติ ตง้ั แตเ่ กษตรกร ผู้ผลิต (รวมท้ังแรงงานที่ผู้ผลิตจ้าง) ผู้ขาย/ผู้จ�ำหน่าย และผู้บริโภค และใช้วัตถุดิบในประเทศเป็น สว่ นใหญ่ ตา่ งจากอตุ สาหกรรมจำ� นวนมากทต่ี อ้ งนำ� เขา้ วตั ถดุ บิ และเทคโนโลยรี าคาแพงจากตา่ งประเทศ ตวั อยา่ ง เชน่ ยาแกไ้ อมะขามปอ้ ม ในตน้ ทนุ 100 บาท มตี น้ ทนุ วตั ถดุ บิ ทนี่ ำ� เขา้ เพยี ง 5 บาท หรอื รอ้ ยละ 5 ทเี่ หลอื อกี 95 บาท เปน็ เงนิ ทห่ี มนุ เวยี นอยภู่ ายในประเทศและชว่ ยกระตนุ้ เศรษฐกจิ โดยรวม
12 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม กลา่ วโดยสรปุ การสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารใชย้ าจากสมนุ ไพรนนั้ ไมไ่ ดม้ เี ปา้ หมายเพยี งแคก่ ารอนรุ กั ษ์ วิถีการดูแลสขุ ภาพของบรรพบรุ ุษไวเ้ ท่านน้ั แต่มคี ณุ ประโยชนอ์ ยา่ งมหาศาลใน 3 ด้าน คอื 1. ดา้ นเศรษฐศาสตร์ การแพทยแ์ ผนไทยและการใชย้ าจากสมนุ ไพรนบั เปน็ อตั ลกั ษณข์ องคน ไทยทแี่ ตกตา่ งจากวถิ กี ารดแู ลสขุ ภาพของชนชาตอิ นื่ ๆ การดแู ลผรู้ บั บรกิ ารดว้ ยการแพทยแ์ ผนไทยจะ ช่วยลดภาระการดูแลผู้ป่วยของแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งมีอยู่จ�ำกัด นอกจากน้ีการใช้ยาจากสมุนไพรยัง ชว่ ยลดการนำ� เข้ายาจากตา่ งประเทศไดอ้ ีกดว้ ย 2. ด้านการพึ่งตนเอง การส่งเสริมให้มีการบริการการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาจาก สมนุ ไพรชว่ ยกระตนุ้ ใหม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั และตอ่ ยอดใหเ้ กดิ นวตั กรรมใหมๆ่ ผลการวจิ ยั ยงั ชว่ ยสรา้ งความ เชอ่ื มน่ั ใหแ้ กป่ ระชาชนในการนำ� การแพทยแ์ ผนไทยไปใชด้ แู ลสขุ ภาพของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน ท�ำให้ลดการพ่ึงพาระบบบริการสุขภาพของรัฐ อาทิ เมื่อเป็นหวัดประชาชนก็รู้จักน�ำยาจากสมุนไพร ใกลต้ วั อยา่ งหอมแดง ขงิ ตะไคร้ ฟา้ ทะลายโจรมาใชร้ กั ษา แทนทจ่ี ะตอ้ งไปโรงพยาบาล หรอื ซอื้ ยาแผน ปัจจบุ นั มารับประทาน 3. ด้านการสานตอ่ ความรู้ของบรรพชน การแพทยแ์ ผนไทยและยาจากสมุนไพรเปน็ มรดก ทางภูมิปัญญาท่ีตกทอดจากบรรพบุรุษมาถึงคนรุ่นเรา การส่งเสริมให้มีการใช้อย่างต่อเน่ืองและการ พัฒนาที่ย่ังยืน จึงเป็นการส่งต่อมรดกอันล้�ำค่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราต่อไป ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ให้ เกดิ ประโยชนแ์ กค่ นทง้ั โลกอีกด้วย คำ� ถามท้ายเรอ่ื ง 1. ยกตวั อย่างยาแผนปัจจุบันท่มี ีการต่อยอดมาจากสมนุ ไพร 2. การใช้ยาสมนุ ไพรก่อใหเ้ กิดคณุ คา่ ด้านใดบ้าง
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 13 เอกสารอา้ งองิ 1. Euromonitor International. Herbal and traditional products market research. 2010. Available from: http://www.euromonitor.com/herbal-traditional-products 2. ภญ. สุภาภรณ์ ปติ พิ ร. สมุนไพรอภัยภูเบศร สืบสานภมู ิปญั ญาไทย. กรุงเทพฯ: บริษทั ปรมัตถก์ าร พิมพ์ จำ� กัด; 2544. 3. รศ.ดร. สมภพ ประธานธุรารักษ,์ รศ. พรอ้ มจิต ศรลมั พ์. สมนุ ไพร: การพฒั นาเพอ่ื การใช้ประโยชน์ที่ ยง่ั ยนื . กรงุ เทพฯ: หจก. สามลดา จ�ำกัด; 2547. 4. สำ� นกั ยา สำ� นักงานคณะกรรมการอาหารและยา. คู่มอื การใช้ยาจากสมนุ ไพร ในบญั ชยี าหลกั แหง่ ชาต.ิ กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย; 2555.
14 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ขม้ินชัน Curcuma longa L.
ยาดีใกลต้ ัว ภก.พนิ ิต ชนิ สร้อย รพ.วงั น�ำ้ เย็น “เรอ่ื งสำ� คญั ทสี่ ดุ ทเี่ ราตอ้ งทราบในความรทู้ เี่ กยี่ วกบั สรรพคณุ เภสชั คอื เรอ่ื ง ‘รสยา’ ซึ่งจะเปน็ ตัวบ่งบอกถงึ สรรพคณุ หรือกลไกการออกฤทธ์ิ ในการรกั ษาของสมุนไพรชนิดนน้ั ๆ ในการแบ่งรสของยาเรานิยมแบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ ยารสประธาน และรสของตัวยาสมุนไพรแต่ละชนดิ ”
16 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม หากพดู ถงึ ปัจจัย 4 ในการด�ำรงชวี ิตของมนษุ ย์ หนงึ่ ในนน้ั ก็คือ ยา ซ่งึ คนเราจ�ำเปน็ ต้องใช้ใน การบำ� บดั รักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ในแตล่ ะชนชาติมเี อกลกั ษณ์ในการใช้ยาเพอื่ รักษาโรคตามความ รู้และภมู ปิ ัญญาของตนเอง คนไทยเองกม็ ีภูมิปญั ญาในการดูแลรักษาสขุ ภาพมาตั้งแต่โบราณ มีหลักฐานต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่ง โบราณคดที บี่ า้ นเชยี งพบวา่ มนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตร์ เมอื่ ประมาณ 8,000 ปกี อ่ น มอี าการเจบ็ ปว่ ยหลายอยา่ ง เชน่ ไข้ ทรพษิ คางทมู โรคไขขอ้ อกั เสบ ซง่ึ ยงั คงทงิ้ รอ่ งรอยไวใ้ นโครง กระดกู และยงั พบวา่ มนษุ ยใ์ นยคุ นน้ั รจู้ กั เพาะปลกู แลว้ และ น�ำพืชพรรณต่างๆ มาใช้เป็นอาหาร ซ่ึงท�ำให้เช่ือได้ว่า นอกจากใชพ้ ชื เปน็ อาหารแลว้ มนษุ ยย์ คุ นนั้ ยงั นำ� มาใชใ้ นการบำ� บดั รกั ษาโรคอกี ดว้ ย อนั เปน็ ทมี่ าของยา สมนุ ไพร ตอนแรกกค็ งเรมิ่ จากการใชพ้ ชื ทข่ี นึ้ อยใู่ กลๆ้ รอบๆ ทพ่ี กั อาศยั กอ่ น แลว้ คอ่ ยขยายวงออกไป เรอื่ ยๆ ความรู้ในการใช้สมุนไพรรักษาโรคนี้น่าจะเกิดจากการสังเกตทดลองของบรรพบุรุษของเรา นานเข้าก็สะสมกลายเป็นภูมิปัญญาที่คนไทยสั่งสอนบอกต่อกันมาและมีการบันทึกเป็นเอกสาร เช่น ตำ� ราหรอื คมั ภรี ต์ า่ งๆ ในขณะเดยี วกนั กม็ กี ารรบั ถา่ ยทอดและแลกเปลยี่ นองคค์ วามรจู้ ากประเทศตา่ งๆ ทเ่ี ขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขาย ทำ� ใหม้ กี ารพฒั นาองคค์ วามรใู้ นการใช้ยาเพม่ิ ขึน้ และมีความหลากหลายมากขนึ้ จนมีการจัดท�ำเป็นระบบส�ำหรับการแพทย์ในประเทศไทยออกมาเป็นเอกลักษณ์ท่ีชัดเจน ประกอบ ด้วยความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรหรือการใช้ยา หรือท่ีเรียกว่า “เภสัชกรรมแผนไทย” ซ่ึงผู้ที่จะเป็นหมอ ปรุงยานั้นจะตอ้ งมีความรใู้ นเรอื่ งต่างๆ เช่น “สรรพคณุ เภสชั ” เป็นความร้เู กยี่ วกับสรรพคุณของสมุนไพรต่างๆ ทจ่ี ะน�ำมาปรุงยา ไม่ว่า จะเปน็ สว่ นที่ใช้ รสของยาต่างๆ เพ่ือใชใ้ นการรกั ษาโรค ในรายละเอียดจะกลา่ วถงึ เรื่องรสยา พกิ ัดยา
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 17 น�ำ้ กระสายยา ตลอดจนข้อหา้ มข้อควรระวังในการใช้ยาทไี่ มเ่ หมาะสมกบั โรคตา่ งๆ “เภสชั กรรม (การปรงุ ยา)” เปน็ ความรเู้ กยี่ วกบั การปรงุ ยา การผสมเครอ่ื งยาทกี่ ำ� หนดมาใน ตำ� รบั รวมถงึ การฆา่ ฤทธ์ิ การประสะยา เพอื่ ลดความรนุ แรงหรอื พษิ ของยาลง ในกระบวนการปรงุ ยา หรอื การแปรรปู ยาในทางเภสชั กรรมไทยมอี ยู่ 28 วธิ ี เชน่ ยาตม้ ยาดอง ยากลนั่ ยาหงุ ดว้ ยนำ�้ มนั เปน็ ตน้ ทีนี้เราลองมาดูรายละเอียดในแต่ละเรื่องเพ่ือให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับยาสมุนไพรไทยมาก ยิ่งขนึ้ โดยขอเรมิ่ จากสรรพคณุ เภสัชก่อน เรือ่ งส�ำคัญที่สดุ ทค่ี วรทราบเก่ยี วกับสรรพคุณเภสชั คอื รส ยา ซง่ึ จะเป็นตัวบ่งบอกถึงสรรพคณุ หรือกลไกการออกฤทธใ์ิ นการรักษาของสมุนไพรชนดิ น้นั ๆ ในการ แบง่ รสของยานิยมแบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ยารสประธาน และรสของตัวยาสมนุ ไพรแตล่ ะชนิด ยารส ประธาน หมายถงึ รสของยาสมุนไพรที่ปรงุ ออกมาเป็นตำ� รบั แล้ว จะถือเป็นรสหลกั ของตำ� รบั ยาน้นั ๆ ซ่ึงแบ่งได้เปน็ 3 รสหลักๆ คือ ยารสร้อน หรือบางทีเรียกว่า ยาร้อน เป็นรสยาประธานรสหน่ึง ซ่ึงตามองค์ความรู้ แพทยแ์ ผนไทย จะใชใ้ นการรักษาโรคทางวาโย (ลม) เชน่ อาการทอ้ งอืดท้องเฟอ้ จุกแนน่ อาการชา หรอื ปวดกลา้ มเนอื้ และเป็นยาทีแ่ ก้โรคประจ�ำฤดฝู นดว้ ย สมนุ ไพรที่ประกอบในตำ� รบั สว่ นใหญ่จะมีรสเผ็ดรอ้ น เช่น เบญจกลู ขงิ ข่า กะเพรา พริกไทย ยารสเยน็ หรอื บางทเี รยี กวา่ ยาเยน็ จะใชใ้ นการ รกั ษาโรคทางเตโช (ไฟ) เชน่ อาการไข้ รอ้ นใน และเปน็ ยาที่ แกโ้ รคประจำ� ฤดรู อ้ นดว้ ย สมนุ ไพรทป่ี ระกอบกนั ในตำ� รบั สว่ น ใหญ่จะมีรสจืดหรือรสขม เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะมี ความรสู้ กึ เยน็ เชน่ ยา่ นาง ยาหา้ ราก เขย้ี วสตั ว์ และเขาสตั ว์
18 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ยารสสขุ มุ หรอื บางทเี รยี กวา่ ยาสขุ มุ จะใชใ้ นการรกั ษาโรคในกองอาโป (นำ้� ) เชน่ อาการทาง โลหติ หรอื ใชเ้ ปน็ ยาลดไขท้ มี่ อี าการหนาวรว่ มดว้ ย สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ยาทมี่ รี สกลางๆ ไมร่ อ้ นไมเ่ ยน็ เชน่ โกฐ เทยี น เกสร อบเชย ชะลดู ตวั อยา่ งของยาในกลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่ ยาหอม นอกจากยารสประธานแล้ว ยังมีการแบง่ รสยาตามชนิดของสมุนไพรแต่ละชนิด ซึง่ อาจแบง่ ไดห้ ลายแบบ เชน่ 4 รส 6 รส 8 รส หรือ 9 รส รสยาแต่ละรสจะมสี รรพคุณและการออกฤทธใิ์ นการ รกั ษาทีแ่ ตกต่างกนั จะขอยกตวั อยา่ งของยา 9 รส ซง่ึ มีการเรียงใหส้ มั ผัสคลอ้ งจองเพอ่ื สะดวกในการ ท่องจำ� ไวด้ ังน้ี “ฝาดสมาน หวานซาบเนอ้ื เมาเบ่อื แกพ้ ิษ ดโี ลหติ ชอบขม แกล้ มเผ็ดร้อน มนั ซาบเสน้ เอ็น หอมเย็นบำ� รุงหวั ใจ เค็มซาบผวิ หนัง เปรีย้ วปราบเสมหะ” จะเห็นได้ว่า ในทางการแพทย์แผนไทยได้ก�ำหนดสรรพคุณของรสยาแต่ละชนิดไว้ ในการ ปฏิบตั ินัน้ ผู้ปรุงยาจะต้องมคี วามรคู้ วามเข้าใจวา่ ยารสอะไรแก้อะไรและห้ามใช้ในโรคอะไร แล้วจงึ นำ� สมุนไพรต่างๆ มาปรุงเป็นต�ำรับเพื่อใช้ในการรักษาโรค สมุนไพรท่ีน�ำมารวมกันแล้วมีการน�ำมาใช้ บอ่ ยๆ มกั จะเรียกว่า “พิกัด” ค�ำวา่ “พกิ ัดยา” หมายถึง การกำ� หนดตวั ยาหรอื เคร่อื งยา ตั้งแต่ 2 ชนดิ ขนึ้ ไปมาเปน็ หมวดหมู่ ทง้ั นย้ี าแตล่ ะตวั ในพกิ ดั จะตอ้ งมรี สและสรรพคณุ ทางเดยี วกนั และมนี ำ�้ หนกั เทา่ กนั ในการเรยี กชอื่ พกิ ดั ยานน้ั จะเรยี กเปน็ คำ� ตรงกไ็ ด้ เชน่ พกิ ดั จนั ทนท์ ง้ั สอง หรอื จะเรยี กเปน็ ชอื่ เฉพาะ ก็ได้ เช่น พิกดั เบญจกลู ซ่งึ ประกอบด้วย สะคา้ น ดีปลี รากช้าพลู รากเจตมูลเพลงิ แดง และขงิ แห้ง บางครั้งเราเรียกความรู้ชนิดนีว้ า่ “คณาเภสัช” คำ� เกย่ี วกบั ยาสมนุ ไพรอกี คำ� หนง่ึ ทอ่ี าจจะไดย้ นิ กนั บอ่ ยๆ คอื ยากระสาย หรอื กระสายยา หมายถงึ สมนุ ไพรทใี่ ชแ้ ทรกในตำ� รบั ยาตา่ งๆ เพอ่ื ใหก้ ารออกฤทธขิ์ องยาตำ� รบั นนั้ ดขี นึ้ หรอื ชว่ ยเพมิ่ กำ� ลงั ความแรงของยา ยากระสายยงั ชว่ ยทำ� ใหค้ นไขร้ บั ประทานยาไดง้ า่ ยขน้ึ ในทางการแพทยแ์ ผนไทย ยาก ระสายเปน็ ความรทู้ ส่ี ำ� คญั มาก จนถงึ กบั มคี ำ� พดู วา่ “ถา้ ใครยกั กระสายยาไมไ่ ด้ คนนนั้ ยงั เปน็ หมอไมไ่ ด”้
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 19 บางครงั้ การใหย้ ากระสายยงั เปน็ เคลด็ ลบั ในการรกั ษาของหมอแตล่ ะคนอกี ดว้ ย นอกจากนีย้ ังมชี ่อื ยาสมุนไพรต่างๆ ทค่ี นยุคนี้ไม่คุ้นเคยและอาจเกดิ ความงนุ งงสงสยั วา่ เป็น ยารกั ษาโรคอะไร ออกฤทธ์อิ ยา่ งไร ในทน่ี จ้ี ึงขออนญุ าตยกชือ่ ยาสมุนไพรที่มกั ไดย้ นิ บอ่ ยๆ มาอธบิ าย พอสงั เขป เชน่ ยากษัยเสน้ คำ� ว่า “กษัย” ในทางการแพทย์แผนไทย หมายถึงโรคทเี่ กดิ จากความเสื่อมของ รา่ งกาย และความเจบ็ ปว่ ยทไี่ มไ่ ดร้ บั การรกั ษา หรอื รกั ษาแลว้ ไมห่ ายขาด ทำ� ใหร้ า่ งกายซบู ผอม กลา้ ม เนอ้ื และเสน้ เอน็ รัดตึง โลหติ จาง ผวิ หนังซดี เหลือง ไมม่ ีแรง อ่อนเพลยี สว่ น กษยั เส้น หมายถงึ ความ ผิดปกติทเ่ี กิดข้ึนในกล้ามเน้อื และเส้นเอ็น โดยเชอื่ ว่ามลี มท่ีค้างอยใู่ นร่างกาย ทำ� ใหม้ ีอาการปวดเมอ่ื ย ตามร่างกาย ท้องผูก ออ่ นเพลีย เปน็ ต้น ดงั นนั้ ยากษัยเส้นท่มี ีการใชส้ ว่ นใหญจ่ ะมีส่วนผสมของยารส รอ้ นและมียาระบายอย่างแรง เช่น รงทอง ยาดำ� อย่ดู ้วย เพื่อชว่ ยในการระบายและขับลมที่คัง่ คา้ งอยู่ ในเส้นเอน็ และกลา้ มเนื้อออกมาทำ� ใหอ้ าการปวดลดลง ยาประดง ค�ำว่า “ประดง” หมายถงึ โรคท่ีเกดิ จากไข้พษิ ไข้กาฬ ผู้ปว่ ยจะมเี มด็ ผนื่ ขนึ้ หรือ เป็นตุ่มขน้ึ ตามร่างกาย อาจมีอาการคนั หรอื ปวดแสบร้อนร่วมดว้ ย ในอกี ความหมาย คอื โรคผิวหนงั ชนิดหนึง่ ท่ีหาสาเหตุไม่ได้ ท�ำให้คนั เปน็ ตน้ ตัวอย่างของประดง เชน่ ประดงชา้ ง ประดงมด ประดง ควาย ประดงเลอื ด ประดงลม ดงั นน้ั ยาทใี่ ชใ้ นโรคประดงจะเปน็ ยารสเยน็ ใชแ้ กพ้ ษิ ฟอกนำ�้ เหลอื ง และ บ�ำรุงโลหติ และอาจมสี ่วนประกอบของสมุนไพรทีม่ รี สเบือ่ เมา จะเห็นไดว้ ่า รอบๆ ตัวเรามยี าท่ีใชอ้ ย่มู ากมาย สมุนไพรเองก็เป็นยาชนิดหนงึ่ อย่างไรกต็ าม การใชย้ าจ�ำเปน็ จะตอ้ งใช้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ดังน้ันก่อนท่จี ะใช้ยาอะไร จงึ จำ� เปน็ อย่างยง่ิ ท่ีจะต้อง เข้าใจถงึ หลักคิดและวธิ ีการออกฤทธ์ใิ นการรกั ษาของยาชนดิ น้นั อย่างดีก่อน จึงจะเปน็ การใช้ยาอย่าง เหมาะสมและปลอดภัย
20 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม คำ� ถามทา้ ยเรื่อง 1. อธบิ ายรสของยา 9 รส พร้อมกับสรรพคณุ การใช้ 2. อธบิ ายการออกฤทธใิ์ นการรกั ษาของรสยาประธาน 3 รส พรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ งสมนุ ไพรของ รสยาแตล่ ะชนดิ เอกสารอา้ งองิ 1. กองการประกอบโรคศลิ ปะ ส�ำนกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. ตำ� ราแพทย์แผนโบราณ ทว่ั ไป สาขาเภสัชกรรม. 2. ประทีป ชุมพล. ประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย:การศึกษาจากเอกสารต�ำรายา. กรุงเทพฯ: โอ.เอส พริน้ ดิง้ เฮา้ ส;์ 2554 3. มลู นธิ ฟิ น้ื ฟสู ง่ เสรมิ การแพทยไ์ ทยเดมิ . ตำ� ราการแพทยไ์ ทยเดมิ (แพทยศาสตร์ สงเคราะห์ ) ฉบบั อนรุ กั ษ.์ กรงุ เทพฯ; 2535. 4. มลู นธิ ฟิ น้ื ฟสู ง่ เสรมิ การแพทยไ์ ทยเดมิ . ตำ� ราการแพทยไ์ ทยเดมิ (แพทยศาสตร์ สงเคราะห์ ) ฉบบั พฒั นา. กรงุ เทพฯ; 2536. 5. มลู นธิ ฟิ น้ื ฟสู ่งเสริมการแพทยไ์ ทยเดมิ . ตำ� ราเภสชั กรรมไทย ตอนท่ี 1. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ ฟื้นฟูสง่ เสรมิ การแพทย์ไทยเดิมอายุรเวทวทิ ยาลยั ฯ; 2541. 6. ราชบณั ฑิตยสถาน, กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก. พจนานุกรม ศัพท์แพทย์และเภสชั กรรมแผนไทย : ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน; 2552.
สมนุ ไพรไมใ่ ช่ยาขม เข้าใจและเลอื กใช้ให้เปน็ ภก.ณฐั ดนัย มุสิกวงศ์ รพ.เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร “ยาสมุนไพรน้ันไม่ต่างจากยาแผนปัจจุบันในแง่ท่ีว่า เม่ือข้ึนชื่อว่า เป็นยา กย็ ่อมมีท้งั คณุ และโทษ ดังนน้ั การใช้สมุนไพรก็อาจพบผลข้างเคยี ง และอาการแพย้ าได้เช่นกนั ”
22 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ๆ ออกมาวางจ�ำหน่ายมากมาย ไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ใน ประเทศเทา่ น้นั แตย่ งั มกี ารนำ� เข้าผลิตภัณฑส์ มนุ ไพรจากตา่ งประเทศ มาใหผ้ ู้บรโิ ภคได้เลือกซอ้ื เลือก ใชก้ นั ตามตอ้ งการ สว่ นแนวโนม้ ตลาดโลกกม็ กี ารขยายตวั เพม่ิ ขน้ึ ทกุ ปไี มน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 20 ตอ่ ปี สว่ น ใหญเ่ ปน็ สมนุ ไพรในกลมุ่ ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ ความงาม เครอ่ื งดมื่ ผสมสมนุ ไพร ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหาร และ ยาจากสมุนไพร เภสัชกรซ่ึงเป็นวิชาชีพที่เป็นที่พ่ึงด้านยาให้แก่ประชาชน จึงจ�ำเป็นจะต้องติดตามแนวโน้ม เหล่านี้ และคอยรับฟังค�ำถามและข้อสงสัยต่างๆ จากผู้บริโภค เพื่อให้ค�ำแนะน�ำท่ีถูกต้องเหมาะสม เก่ียวกับผลติ ภณั ฑส์ มุนไพรวา่ ควรเลือกใช้อยา่ งไร ปลอดภัยหรือไม่ เก็บรักษาอยา่ งไร เปน็ ตน้ ความ รเู้ กยี่ วกบั การใชส้ มนุ ไพรจงึ เปน็ สงิ่ ทเ่ี ภสชั กรยคุ ใหมค่ วรใหค้ วามสนใจศกึ ษาเรยี นร ู้ เพอ่ื ใหม้ ขี อ้ มลู ความ รู้ทจี่ ะแนะน�ำใหป้ ระชาชนใชย้ าสมุนไพรและยาแผนโบราณไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและปลอดภัย การใช้สมุนไพรเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ค่อนข้างปลอดภัยและได้ผลในการรักษาอาการเจ็บ ป่วยเบ้ืองตน้ ทพี่ บท่วั ๆ ไป หรือที่เรียกอย่างเปน็ ทางการว่า สาธารณสขุ มลู ฐาน อาการเหลา่ นี้ ได้แก่ ทอ้ งผูก ทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ทอ้ งเสยี ท่ีไมร่ ุนแรง พยาธิลำ� ไส้ บดิ คลื่นไส้ อาเจยี น ไอ มี เสมหะ ไข้ ขดั เบา กลาก เกลอ้ื น อาการนอนไมห่ ลบั ฝแี ผลพพุ อง อาการเคลด็ ขดั ยอก อาการแพ้ อกั เสบ แมลงสตั ว์กดั ต่อย แผลไฟไหม้ น�้ำรอ้ นลวก เหา และชนั ตุ หากใชส้ มนุ ไพรรกั ษาแล้วอาการดขี ึน้ ก็หยุด ยาได้ แตห่ ากไม่ดขี น้ึ ภายใน 2-3 วัน ควรแนะน�ำให้ไปโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลใกล้บา้ น แต่ในกรณีผู้ป่วยท่ีเป็นโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง หรือโรคท่ียังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่ารักษาด้วย สมนุ ไพรได้ เชน่ งพู ษิ กัด สนุ ขั บา้ กดั บาดทะยกั โรคตาทกุ ชนิด กไ็ ม่ควรใชส้ มุนไพร หรอื ตอ้ งปรกึ ษาผู้ รู้กอ่ นใช้ นอกจากน้อี าการบางอยา่ งทเี่ ขา้ ขา่ ยเป็นความเจบ็ ป่วยรนุ แรง ควรรบี นำ� ส่งโรงพยาบาลทนั ที เชน่ อาเจียนหรอื ไอเปน็ เลอื ด ไข้สงู และดซี า่ น อ่อนเพลยี ทอ้ งเดินอย่างรนุ แรง ถ่ายเปน็ น�้ำ เป็นตน้ การใชส้ มุนไพรอยา่ งถูกตอ้ งในเบือ้ งตน้ นั้น ให้ยึดหลัก 5 ถกู ดังนี้ คอื ชนดิ ของต้นไม้ (ถกู ตน้ ) สว่ นทจ่ี ะใช้ (ถกู สว่ น) ปรมิ าณทจ่ี ะใช้ (ถกู ขนาด) ถกู วธิ ี และถกู โรค แมว้ า่ ในปจั จบุ นั ผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพร
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 23 จะทำ� ออกมาในรปู แบบทง่ี า่ ยตอ่ การใช้ เชน่ เปน็ ยาลกู กลอน หรอื บรรจแุ คปซลู ผใู้ ชก้ ค็ วรคำ� นงึ ถงึ หลกั การข้างตน้ อยู่เสมอ ยาสมุนไพรน้ันไม่ต่างจากยาแผนปัจจุบันในแง่ท่ีว่า เม่ือขึ้นช่ือว่าเป็นยา ก็ย่อมมีท้ังคุณและ โทษ ดงั นนั้ การใชส้ มนุ ไพรกอ็ าจพบผลขา้ งเคยี งจากยา และ อาการแพย้ าไดเ้ ชน่ กนั อาการแพย้ าอาจ สงั เกตไดด้ ังน้ี - ผน่ื ขึ้นตามผวิ หนงั เปน็ ตุม่ เล็กๆ ตุ่มโต เปน็ ป้นื หรือเป็นเมด็ แบนคล้ายลมพษิ ตาบวม ปาก เจ่อ หรอื มีเพยี งดวงสีแดงที่ผิวหนงั - เบื่ออาหาร คล่ืนไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหน่ึง) ถ้ามีอาการอยู่ก่อนกินยา อาจเป็น เพราะโรค - หูออื้ ตามัว ชาที่ล้ิน ชาทีผ่ ิวหนัง - ประสาทความรสู้ กึ ทำ� งานไวเกนิ ปกติ เชน่ เพยี งแตะผวิ หนงั กร็ สู้ กึ เจบ็ ลบู ผมกแ็ สบหนงั ศรี ษะ เป็นตน้ - ใจสั่น ใจเต้น หรือร้สู กึ วบู วาบคลา้ ยหวั ใจจะหยุดเตน้ และเปน็ บอ่ ยๆ - ตวั เหลอื ง ตาเหลอื ง ปสั สาวะเหลืองและเมื่อเขย่าปสั สาวะจะเกิดฟองสีเหลอื ง อาการเหล่า นีแ้ สดงถึงอันตรายร้ายแรง ต้องไปหาแพทยโ์ ดยทันที ผลขา้ งเคยี งและขอ้ หา้ มในการใชย้ าสมนุ ไพรกม็ เี ชน่ กนั เชน่ ฟา้ ทะลายโจรอาจทำ� ใหท้ อ้ งเสยี ได้ มะขามแขกซงึ่ มสี รรพคณุ เปน็ ยาระบาย ในผปู้ ว่ ยบางรายอาจทำ� ใหม้ กี ารปวดมวนทอ้ ง เถาวลั ยเ์ ปรยี ง อาจทำ� ใหร้ ะคายเคอื งกระเพาะอาหาร ขมนิ้ ชนั มขี อ้ หา้ มใชใ้ นผปู้ ว่ ยทม่ี ที อ่ นาํ้ ดอี ดุ ตนั และมนี วิ่ ในถงุ นำ้� ดี นอกจากอาการแพย้ าที่อาจเกดิ ขึ้นได้แลว้ ส่งิ ทต่ี อ้ งค�ำนงึ ถงึ เสมอกอ่ นการใชย้ าสมุนไพร คือ การทำ� ปฏกิ ริ ิยาต่อกนั (drug interaction) กับยาแผนปจั จุบนั แมข้ ้อมลู ในด้านน้สี �ำหรบั สมนุ ไพรไทย จะยังมไี ม่มากนกั แต่ในสมนุ ไพรทม่ี ีการใช้ในตา่ งประเทศ ก็มกั จะมขี อ้ มูลอยู่ เชน่ กระเทียม ทำ� ใหย้ า กลุ่ม protease inhibitor มรี ะดบั ลดลงอยา่ งมนี ัยสำ� คัญ ชะเอม ท�ำให้ระดบั ยา prednisolone ใน กระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้นและการก�ำจัดยาออกจากร่างกายลดลงอย่างมีนัยส�ำคัญ มะขามแขก ในกรณี
24 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ของการใช้ติดตอ่ กันนาน หรือใชผ้ ดิ วตั ถปุ ระสงคจ์ ะทาํ ใหร้ ่างกายเกิดการสูญเสยี โปแตสเซียม จึงมผี ล ตอ่ การใชย้ า digoxin และยากลมุ่ thiazide diuretics เปน็ ต้น ปัจจุบันข้อมูลการใช้สมุนไพรมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะทางอินเตอร์เน็ตซึ่งสามารถเข้าถึงได้ งา่ ยดายและรวดเรว็ แตก่ ค็ วรเลอื กแหลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี ชอื่ ถอื ไดแ้ ละไมม่ วี ตั ถปุ ระสงคแ์ อบแฝงในเชงิ พาณชิ ย์ เวบ็ ไซตเ์ กยี่ วกับสมุนไพรและยาแผนโบราณท่อี ยากจะแนะน�ำ ไดแ้ ก่ www.rspg.or.th ของสำ� นกั งาน โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ www. medplant.mahidol.ac.th ของส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://herbal.pharmacy.psu.ac.th ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ http:// ittm.dtam.moph.go.th ของสถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ ทางเลอื ก เป็นต้น หรอื คน้ จากฐานข้อมูลทน่ี า่ เช่ือถอื อยา่ งเชน่ Pubmed, Springer link, Wiley on- line library, Sciencedirect, Natural Standard เป็นต้น นอกจากนย้ี งั มหี นงั สือเกยี่ วกบั สมนุ ไพร หลากหลายทใ่ี ชอ้ า้ งอิงอยู่บ่อยๆ เช่น หนงั สือคมู่ ือการใช้ยาจากสมุนไพรในบญั ชยี าหลักแหง่ ชาติ สุดท้าย ในกรณีท่ีต้องการตรวจสอบทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ในเบอื้ งตน้ สามารถเข้าไปดไู ดท้ ่ี www.fda.moph.go.th หรือตดิ ตอ่ สำ� นักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) แผนก one stop service ก็เปน็ ช่องทางทีส่ ะดวกเช่นกนั ค�ำถามท้ายเรื่อง 1. อธิบายอาการข้างเคยี งหรอื อาการแพย้ าที่อาจจะเกดิ ขน้ึ ได้จากการใช้ยาสมนุ ไพร 2. ยกตวั อยา่ งสมุนไพรทไี่ ม่ควรใช้ร่วมกบั ยา warfarin
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 25 อ้างอิง 1. Pattanaik S, Hota D, Prabhakar S, Kharbanda P, Pandhi P. Effect of piperine on the steady-state pharmacokinetics of phenytoin in patients with epilepsy. Phyto- ther Res. 2006; 20:683–686. 2. Samuels N, Finkelstein Y, Singer SR, Oberbaum M. Herbal medicine and epilepsy: proconvulsive effects and interactions with antiepileptic drugs. Epilepsia. 2008; 49:373–380. 3. Thamlikitkul V, Dechatiwongse T, Theerapong S, Chantrakul C, Boonroj P, Punkrut W, Ekpalakorn W, Boontaeng N, Taechaiya S, Petcharoen S, Riewpaiboon W, Reiwpaiboon A, Tenambergen ED. Efficacy of Andrographis paniculata, Nees for pha- ryngotonsillitis in adults. J Med Assoc Thai. 1991;74:437–442. 4. วจิ ติ รา ทศั นียกลุ , วีรยา ดำ� รงค์สกุลชยั , วงศ์วิวัฒน์ ทศั นยี กุล. Herb and drug inter- action. Srinagarind Med J. 2008; 23(2).
26 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม รางจืด Thumbergia laurifolia Lindl.
กนิ อาหารเป็นยา ภญ.ผกากรอง ขวญั ข้าว รพ.เจา้ พระยาอภัยภูเบศร “จากแนวคิดอาหารท่ีแพร่หลายอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ จะเห็น วา่ การกนิ อาหารเพอ่ื สขุ ภาพนนั้ มปี ระเดน็ หลกั ๆ อยู่ 2 เรอ่ื งดว้ ยกนั คอื การ บรโิ ภคอาหารท่สี มดุล กล่าวคอื สมดุลในพลังรอ้ น-เย็น สมดุลในพลังงาน และการบรโิ ภคอาหารทีม่ ีความหลากหลาย”
28 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ฮปิ โปเครติส ปราชญช์ าวกรกี ผ้ไู ดช้ ื่อว่าเป็น บิดาแหง่ การแพทย์ กลา่ วไว้ เมอ่ื ประมาณ 2,500 ปกี ่อนว่า “จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษา โรค” ซงึ่ กลายมาเปน็ ปรัชญาในการรักษาโรคยุคตอ่ ๆ มาวา่ การป้องกนั และรักษาโรคควรให้ความส�ำคัญกับอาหารด้วย เพราะอาหารเป็นส่ิง จ�ำเป็นต่อร่างกายในแง่ของการให้พลังงานและท�ำให้การท�ำงานของ ร่างกายเป็นปกติ แต่เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน การค�ำนึงถึงประโยชน์ของอาหารแต่ในแง่ของการให้พลังงานและ ท�ำให้กลไกของร่างกายท�ำงานเป็นปกตินั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต และมีความเสี่ยงต่อโรคและอาการเจ็บป่วยท่ีต่างไปจากเดิม ดังนั้นการกิน อาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคจึงกลายเป็นแนวคิดใหม่ท่ีแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ดังจะ เหน็ ไดจ้ ากการเตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ ของตลาดผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหาร ถงึ แมน้ กั วชิ าการบางสว่ นจะกลา่ ว ว่า ผลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหารควรรับประทานตอ่ เมือ่ รับประทานอาหารหลกั 5 หมไู่ มเ่ พยี งพอ แตค่ วาม จริงแล้วในผลิตภณั ฑเ์ สริมอาหารหลายชนิดไมไ่ ด้มีเพียงสารอาหาร (nutrients) เทา่ น้นั แตย่ งั มสี าร พฤกษเคมี (phytochemical substances) ทีอ่ อกฤทธิใ์ นการปอ้ งกันหรอื เสริมการรักษาโรคได้ดว้ ย ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางการแพทยส์ ง่ ผลใหม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารมากมายเพอื่ ชว่ ยลดภาวะเสย่ี งจากการเจบ็ ปว่ ยในโรคตา่ งๆ อาทเิ ชน่ ไลโคปนี (lycopene) ในมะเขอื เทศ และฟกั ขา้ ว ทชี่ ว่ ยลดความเสย่ี งในการเปน็ มะเรง็ ตอ่ มลกู หมาก เคอรค์ มู นิ อยด์ (curcuminoids) ในขมน้ิ ชนั ชว่ ยลด ความเสย่ี งของการเกดิ มะเรง็ เซซามนิ (saesamine) ในงามฤี ทธต์ิ า้ นอนมุ ลู อสิ ระ ชว่ ยในกระบวนการ กำ� จดั สารพษิ ผลพรนุ นอกจากจะประกอบดว้ ยใยอาหาร (fiber) จำ� นวนมากทม่ี สี ว่ นชว่ ยในเรอื่ งระบบ ขบั ถา่ ยแลว้ กย็ งั มกี รดนโี อโคลโรจนี คิ (neochlorogenic acid) และ กรดโคลโรจนี คิ (chlorogenic acid) ซง่ึ มฤี ทธติ์ า้ นอนมุ ลู อสิ ระ ปอ้ งกนั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 29 สารแอนโธไซยานิน (anthrocyanins) ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีฤทธิ์เป็นสารต้าน อนุมลู อสิ ระ ช่วยปอ้ งกันโรคหวั ใจและหลอด เลอื ด ชว่ ยป้องกนั ดวงตาจากสารอนมุ ลู อสิ ระ สาร OTPP (Oolong Tea Polymerized Polyphenol) ในชาอู่หลง มฤี ทธิต์ ้านอนมุ ลู อิสระ สารจินเซนโนไซด์ (ginsenosides) ใน โสมทำ� ใหร้ า่ งกายมกี ารปลดปลอ่ ยพลงั งานออกมาใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ จงึ ชว่ ยลดความเมอื่ ยลา้ ชว่ ย ผ่อนคลายความตึงเครียด ปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถทนต่อความเครียดได้ ส่วนซุปไก่ ของชาวจนี ที่ถกู แปรรูปไปเปน็ ซปุ ไก่สกดั ใหโ้ ปรตีนและเปปไทด์ รวมท้งั สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอืน่ ๆ ซ่ึงบางชนิดเกิดจากการตุ๋นแต่ไม่พบในการกินเน้ือไก่โดยตรง งานวิจัยพบว่า ซุปไก่สกัดช่วยลด ความเครียด เสริมสมาธแิ ละการเรียนรู้ ทำ� ใหร้ ่างกายกระปรก้ี ระเปร่า จะเหน็ วา่ ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารจำ� นวนมากมที ม่ี าจากสมนุ ไพรและอาหารดง้ั เดมิ ของหลายๆ วัฒนธรรม ท่ีมองประโยชน์ของอาหารตา่ งจากแนวคดิ เกย่ี วกบั คณุ ค่าทางโภชนาการสมยั ใหมท่ ี่จ�ำกดั อยูแ่ ค่สารอาหารหลกั 5 หมู่ ไดแ้ ก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมนั วติ ามินและเกลอื แร่ ซ่ึงก็คอื แนวคิด ทใ่ี ชอ้ าหารเปน็ ยานน่ั เอง ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารจงึ เปน็ การนำ� เอาวถิ ดี ง้ั เดมิ นมี้ าตอ่ ยอดโดยใชง้ านวจิ ยั มาสนบั สนนุ ยนื ยนั ใหส้ อดคลอ้ งกบั โรคสมยั ใหม่ แตแ่ นน่ อนวา่ ถา้ เลอื กกนิ อาหารอยา่ งเหมาะสมกท็ ำ� ให้ ไดร้ บั สารอาหารทจ่ี ำ� เปน็ อยา่ งพอเพยี งอยแู่ ลว้ โดยไม่มีความจำ� เปน็ ตอ้ งใชผ้ ลิตภัณฑเ์ สริมอาหารกไ็ ด้ และผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีต่อให้ดีเลิศอย่างไรก็ไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่อาจรับประทานเสริม เมอื่ ไดร้ บั สารอาหารบางอยา่ งไมเ่ พยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของรา่ งกาย หรอื เพอื่ สง่ เสรมิ สขุ ภาพใหแ้ ขง็ แรง และการเลอื กใช้ผลติ ภัณฑ์เสริมอาหารควรพิจารณาถึงความปลอดภัย ประสทิ ธภิ าพและคุณภาพ ของผลติ ภัณฑ์ และขอ้ บง่ ชีส้ ำ� หรับผบู้ ริโภคดว้ ย
30 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม การเลือกซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้จ�ำเป็นจะต้องมีข้อมูลความรู้เพื่อให้ได้รับ ประโยชนอ์ ย่างแท้จริง ไมถ่ ูกชักจงู โดยค�ำโฆษณาชวนเชอ่ื จนทำ� ใหเ้ สียเงินเสียทองโดยไมจ่ �ำเปน็ หรอื รา้ ยยงิ่ กวา่ นน้ั คอื แทนทจ่ี ะเกดิ ประโยชนก์ ลบั เปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ ในเอกสารชดุ นจ้ี งึ ขอยกตวั อยา่ ง สมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุน เพ่อื ใหเ้ ภสชั กรไดม้ ีความรู้ ความเข้าใจและสามารถแนะนำ� ให้กบั ประชาชนได้อย่างถูกต้อง หลกั การสำ� คญั ของการใชอ้ าหารสมนุ ไพรเปน็ ยา คอื การรบั ประทานอาหารทห่ี ลากหลายและ สมดลุ การกนิ อาหารชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ตดิ ตอ่ กนั นานๆ ควรปรกึ ษาผเู้ ชยี่ วชาญ เพราะในพชื ผกั สมนุ ไพร ทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบของอาหารนน้ั ๆ มสี ารพฤกษเคมแี ตล่ ะชนดิ ทแี่ ตกตา่ งกนั หรอื หากมองในเชงิ ทฤษฎี การแพทยด์ งั้ เดมิ กจ็ ะแจกแจงสมนุ ไพรออกเปน็ กลมุ่ ๆ ตามรสบา้ ง ตามคณุ สมบตั ริ อ้ นหรอื เยน็ บา้ ง การ บรโิ ภคพชื ผกั สมนุ ไพรชนดิ ใดซำ�้ ๆ เปน็ เวลานาน อาจทำ� ใหเ้ กดิ การสะสมของพฤกษเคมี หรอื ความรอ้ น หรือความเยน็ จนอาจเปน็ อันตรายได้ ในชว่ ง 10-20 ปมี าน้ี ในเมอื งไทยมกี ารเผยแพรแ่ นวคดิ ในการกนิ อาหารสขุ ภาพหรอื ใชอ้ าหาร เป็นยาอยู่หลายแนวทาง ซงึ่ จะขอกลา่ วถงึ โดยสงั เขปดังน้ี 1. อาหารแมคโครไบโอติกส์ ซ่งึ เป็นทฤษฎโี ภชนาการและยา ทนี่ ายแพทย์ญี่ปนุ่ ชื่อ ซาเกน อิซิซูกะ เป็นผู้พัฒนาข้ึน โดยอาศัยพื้นฐานการรับประทานอาหารแบบตะวันออก และประยุกต์เอา ศาสตร์ตะวันตกเข้าไวด้ ว้ ย เป็นการรบั ประทานอาหารให้สอดคล้องกับสภาวะหยิน (ความเยน็ ) และ หยาง (ความรอ้ น) ในธรรมชาตทิ ่เี ปลย่ี นไปตามกาลเวลาและสถานท่ี แมคโครไบโอตกิ สเ์ ปน็ แนวคดิ ท่ี มพี น้ื ฐานมาจากศาสนาพทุ ธนกิ ายเซน็ มคี วามละเอยี ดลกึ ซง้ึ ปจั จบุ นั สำ� นกั การแพทยท์ างเลอื กไดจ้ ดั การ อบรมเรอ่ื งหลกั การและการปรุงอาหารแมคโครไบโอติกสใ์ หก้ บั บุคลากรสาธารณสขุ หลายครัง้ แลว้ 2. อาหารชวี จติ เป็นแนวทางท่ี ดร.สาทสิ อนิ ทรกำ� แหง ไดศ้ ึกษาและปรับปรงุ จากหลักการ ของแมคโครไบโอตกิ ส์ ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพวถิ ชี วี ติ ของคนไทยและเมอื งไทย และใหง้ า่ ยตอ่ การจดั หา
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 31 ปรุง และรับประทาน เน้นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่ง มากมาย และคงรสชาติเดิมของอาหารไว้มากที่สุด ในการกินอาหารแนวชีวจิต จะมีอาหารประเภท แป้งซึ่งไม่ขัดขาว ประมาณ 50% ของปรมิ าณอาหารในแตล่ ะมื้อ ผักประมาณหน่ึงในส่ีหรอื 25% และ เนน้ ผักที่ผลติ แบบเกษตรอินทรีย์ ถัว่ 15% โปรตีนจากสตั วจ์ ะใช้เปน็ ครงั้ คราว คือ ไข่ ปลา และอาหาร ทะเล สปั ดาหล์ ะ 1-2 มอื้ นอกจากนย้ี งั มขี องขบเคย้ี ว เชน่ งาสด งาคว่ั ถวั่ ควั่ เมลด็ ฟกั ทอง เมลด็ แตงโม เมล็ดดอกทานตะวนั ผลไมส้ ดต้องเปน็ ผลไม้ทไ่ี มห่ วานจัด เชน่ ฝรั่ง มะละกอห่าม มะมว่ งดิบ พุทรา รับประทาน 10% ของแตล่ ะมือ้ 3. อาหารพ้ืนบ้านไทย เป็นวิถีการบริโภคอาหารที่แม้จะไม่มีค�ำอธิบายเป็นทฤษฎีที่ชัดเจน แต่ส�ำนักการแพทย์พื้นบ้าน กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เผยแพร่องค์ ความรใู้ นการดแู ลสขุ ภาพดว้ ยอาหารพน้ื บา้ นไทย เนอ่ื งจากเลง็ เหน็ วา่ วตั ถดุ บิ ในการปรงุ อาหารนน้ั หา ไดง้ ่ายในทอ้ งถนิ่ โดยเฉพาะผกั พืน้ บ้านทีเ่ ติบโตตามฤดูกาล ไมต่ อ้ งพึง่ พงิ สารเรง่ และยาฆ่าแมลง จึงมี ความปลอดภัย เป็นอาหารท่ีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคาไม่แพง เหมาะกบั ท้องถิ่น ลกั ษณะเดน่ ของอาหารพืน้ บา้ นไทยพอจะสรปุ ไดด้ ังนี้ 3.1 กนิ ขา้ วเปน็ หลกั มผี กั และปลาเปน็ พนื้ ซงึ่ มที ม่ี าจากธรรมชาตใิ นแตล่ ะฤดกู าล เชน่ ฤดฝู น อุดมไปด้วยหนอ่ ตา่ งๆ ซึง่ ให้ พลงั งานกบั ชวี ติ มีความร้อน เหมาะกับหน้าฝนทมี่ คี วามชืน้ เย็น เป็นตน้ 3.2 กินพชื ผักหลากหลายครบทุกรส ผักหลายชนิดแม้รสชาติไม่อร่อย แต่กก็ นิ เพ่ือเปน็ ยา 3.3 ต�ำรับอาหารไมข่ าดเครื่องเทศ มตี ำ� รับน้�ำพรกิ นับพนั ตำ� รับ เป็นอาหารที่ทำ� ใหบ้ รโิ ภคผกั ไดม้ ากข้ึน 3.4 มตี �ำรบั อาหารที่มีน�้ำมันและไขมนั เชน่ แกงกะทิ ถ่ัวตดั กระยาสารท 3.5 กินอาหารเปน็ เวลา 3.6 ร�ำ่ รวยวัฒนธรรมอาหารหมัก ผักดองนานาชนิด และยังมีนำ้� สม้ จากตาล กล้วย 3.7 มีวฒั นธรรมกนิ อาหารเฉพาะฤดู เชน่ กินข้าวหลาม ขา้ วตำ� งา กระยาสารทในหน้าหนาว
32 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม มยี าบำ� รงุ กินประจ�ำ ในแต่ละเพศ วัย และแต่ละสภาวะ เช่น หลงั คลอด ใหน้ มบตุ ร ฟน้ื ไข้ เปน็ ตน้ 3.8 อาหารพ้ืนบ้านได้มาด้วยความขอบคุณและความรู้คุณ เช่นพระแม่โพสพ พระแม่ธรณี และขอบคุณผู้นำ� มาซึ่งอาหาร พ่อเฒา่ แม่เฒ่าคนเก่าคนแก่มกั จะให้ศีลให้พรคนนำ� อาหารมาให้ จากแนวคดิ อาหารทแี่ พร่หลายอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ จะเห็นว่าการกนิ อาหารเพื่อสุขภาพ นน้ั มปี ระเดน็ หลกั ๆ อยู่ 2 เรอื่ งดว้ ยกนั คอื การบรโิ ภคอาหารทสี่ มดลุ กลา่ วคอื สมดลุ ในพลงั รอ้ น - เยน็ สมดลุ ในพลงั งาน และการบรโิ ภคอาหารท่มี ีความหลากหลาย อยา่ งไรกต็ าม การจะบรโิ ภคอาหารใหม้ สี ขุ ภาพดไี ดใ้ นประเดน็ ขา้ งตน้ นนั้ อาจไมส่ ามารถทำ� ได้ ทุกคน ในบทความน้ีจงึ แนะน�ำไวท้ ั้งผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรและอาหารจากการปรงุ โดยเนน้ สมุนไพรที่หา ไดง้ า่ ยในประเทศไทยและมีหลกั ฐานทางวชิ าการรองรบั ขมนิ้ ชัน หนึ่งในห้าสมุนไพรประจ�ำชาติ ช่ือพฤกษศาสตร์ : Curcuma longa L. วงศ์ : ZINGIBERACEAE ชอ่ื อน่ื : ขม้ิน ขม้นิ แกง ขมิ้นหยอก ขม้นิ หัว ขมี้ ้ิน หมิ้น ขมน้ิ ชนั เป็นสมนุ ไพรในกลุม่ เครื่องเทศ ซึง่ รู้จักกันอยา่ งแพร่หลาย มปี ระโยชน์มากมาย ตัง้ แต่ บ�ำรุงผิวพรรณ ไปจนถึงสรรพคุณในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และรักษาอาการเจ็บป่วย
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 33 ในระยะหลงั ๆ ขมนิ้ ชนั เปน็ สมนุ ไพรยอดนยิ มตวั หนงึ่ ทถ่ี กู นำ� ไปวจิ ยั ตอ่ ยอดกนั อยา่ งกวา้ งขวาง เนอื่ งจาก มฤี ทธต์ิ า้ นอนมุ ลู อสิ ระสงู กวา่ วิตามินอถี ึง 80 เทา่ จงึ นำ� มาใชใ้ นการป้องกนั และรกั ษาโรคทคี่ าดว่าจะ เกิดจากอนุมูลอิสระ อาทิ โรคมะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหวั ใจและหลอดเลือด มผี ลงานวิจัยทั้งในไทยและ ตา่ งประเทศ เชน่ องั กฤษ สหรฐั อเมรกิ า และอนิ เดยี พบวา่ ขมน้ิ ชนั มฤี ทธป์ิ อ้ งกนั ไมใ่ หเ้ ซลลป์ กตพิ ฒั นา กลายเป็นเซลล์มะเร็ง ลดการแบ่งตวั และยับยงั้ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ศักยภาพของขม้ินชัน ในการใช้ป้องกันและต้านมะเร็งน้ีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโรคท่ีเป็นสาเหตุของการ เสยี ชีวติ ในอันดับตน้ ๆ ในประเทศไทยมกี ารนำ� ขม้นิ ชันมาใช้เปน็ ยาในการรกั ษามะเรง็ ทว่ี ัดคำ� ประมง จังหวัดสกลนคร ขมนิ้ ชนั กลายเปน็ ท่สี นใจของนกั วิจยั มะเร็ง เม่อื มีนกั ระบาดวทิ ยาอเมริกนั สงสัยวา่ เพราะเหตุ ใดชาวอนิ เดยี จงึ มอี ตั ราการเกดิ มะเรง็ ตำ�่ ทงั้ ทเ่ี มอื่ พจิ ารณาประเภทและลกั ษณะของอาหารทชี่ าวอนิ เดยี บริโภค ภมู อิ ากาศ รวมทั้งภูมิประเทศแล้ว ไม่น่าจะมีปจั จยั อะไรทีช่ ่วยปอ้ งกันการเกิดมะเร็ง แต่หลงั จากท�ำการวิเคราะห์เชิงสถิติ ก็น�ำไปสู่การต้ังข้อสันนิษฐานว่า ขมิ้นชันซึ่งเป็นส่วนผสมในอาหารของ ชาวอนิ เดียน่าจะช่วยปอ้ งกันมะเร็งได้ ทำ� ใหม้ กี ารวิจยั ขมิ้นชนั กบั หนูทดลอง โดยเหนีย่ วนำ� ให้หนูเปน็ มะเร็ง จากนน้ั จงึ ฉดี สารสกัดจากขมิน้ ชนั เขา้ ไปในหนู และพบวา่ ก้อนมะเรง็ มขี นาดลดลง ผลการทดลองดงั กลา่ ว ทำ� ใหค้ ณะแพทยช์ าวองั กฤษทำ� การศกึ ษาฤทธขิ์ องขมนิ้ ชนั ในการรกั ษา มะเรง็ กบั ผปู้ ว่ ยมะเรง็ ลำ� ไสใ้ หญแ่ ละทวารหนกั ทไ่ี มต่ อบสนองตอ่ การรกั ษาดว้ ยวธิ แี ผนปจั จบุ นั จำ� นวน 16 คนโดยใหผ้ ปู้ ่วยรับประทานขมิน้ ชนั ซ่งึ มเี คอร์คูมนิ 0.45 - 3.6 กรัม เปน็ เวลา 6 สัปดาห์ ปรากฏวา่ อาการของผปู้ ว่ ยและผลการตรวจทางรังสีวทิ ยาไมม่ กี ารเปล่ียนแปลง พูดงา่ ยๆ วา่ ผูป้ ่วยมอี าการทรง แตจ่ ากการตรวจตวั ชวี้ ดั ดา้ นการอกั เสบในกระแสเลอื ด พบวา่ สารทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ การอกั เสบมรี ะดบั ลดลง การวจิ ัยชนิ้ นมี้ ีการประเมินคุณภาพชวี ติ ของผู้ปว่ ยโดยตัวผู้ปว่ ยเอง โดยพิจารณาจากความสามารถใน การทำ� กิจวัตรประจำ� วนั พบวา่ ผปู้ ่วยประมาณ 20% มคี ณุ ภาพชวี ติ ดขี ึ้นอยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถิติ
34 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม นอกจากช่วยลดการลุกลามของเซลล์มะเร็งแล้ว ขมิ้นชันยังช่วยปกป้องเซลล์ปกติจากการ ทำ� ลายของรังสี โดยเฉพาะเซลล์ผวิ หนัง จากการทดลองกบั หนู 200 ตัวในห้องทดลอง ซงึ่ แบง่ หนูออก เปน็ 2 กลมุ่ กลมุ่ แรกไดร้ บั ขมนิ้ ชนั ทางปากกอ่ นฉายรงั สเี ปน็ เวลา 5 วนั สว่ นกลมุ่ ทส่ี องไมไ่ ดร้ บั ยาอะไร เลย หนทู ้ังสองกล่มุ ไดร้ ับการฉายรังสเี หมอื นกัน จากการติดตามอาการไหมบ้ นผวิ หนงั 20 วนั พบว่า หนกู ลมุ่ ทีไ่ ดร้ บั ขมิน้ ชันมีอาการผวิ หนงั ไหมน้ ้อยกวา่ กลุ่มทไี่ มไ่ ด้รับขมิน้ ชนั อยา่ งมนี ัยสำ� คญั นอกจากนย้ี งั มขี อ้ มลู เพมิ่ เตมิ วา่ ขมนิ้ ชนั มสี ว่ นยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โตและการแพรก่ ระจายของ มะเร็งในหลอดทดลอง เชน่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเรง็ ลำ� ไส้ มะเร็งตบั อ่อน และมะเร็งในกระดกู ปัจจุบันส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้อนุญาตให้ข้ึนทะเบียนขม้ินชันเป็นอาหาร แล้ว หลังจากได้อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณก่อนหน้าน้ี การรับประทานในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์อาหารจะใช้ในขนาดน้อยกว่า ตามมาตรฐานการผลิตขมิ้นชันในประเทศไทยก�ำหนดไว้ว่า ควรมีเคอร์คูมินอยด์ไม่น้อยกว่า 5% การบริโภคขม้ินชันเพื่อบ�ำรุงร่างกายสามารถใช้ข้อมูลท่ีสมาคม นกั พฤกษศาสตรอ์ เมรกิ นั แนะนำ� คือ ใหร้ บั ประทานวันละ 800 - 1200 มก. หากรับประทานร่วมกบั อาหารท่ีมไี ขมนั เลก็ น้อยก็จะเพิ่มการดูดซึมของสารต้านมะเร็ง หรอื เคอร์คูมนิ อยด์ หรอื ไมก่ น็ ำ� มาผสม กบั อาหารอ่นื ๆ การนำ� ขมนิ้ ชนั มาใชใ้ นการปรงุ อาหาร หากตอ้ งการใหม้ สี รรพคณุ ทางยา ควรใชข้ มนิ้ ชนั ทต่ี อ้ ง มีอายุอยา่ งนอ้ ย 9 - 12 เดอื น ซงึ่ เปน็ อายุทเ่ี หมาะจะขดุ เหงา้ มาท�ำยา แตต่ ้องไมเ่ กบ็ ไว้นานเกนิ ไปจน น�้ำมันหอมระเหยหายหมด เก็บให้พ้นแสงแดด เพราะแสงจะท�ำปฏิกิริยากับสารเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids) อนั เปน็ สารสำ� คญั ในขมนิ้ ชนั เคอรค์ มู นิ อยดล์ ะลายไดด้ ใี นนำ้� มนั หากตอ้ งการใชข้ มนิ้ ชันเพ่ือตา้ นมะเร็ง กค็ วรรบั ประทานหลงั อาหาร เนื่องจากอาหารทเ่ี รากินสว่ นใหญม่ กั มไี ขมันเปน็ ส่วน
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 35 ประกอบ การรบั ประทานขมนิ้ ชนั หลงั อาหารจะชว่ ยใหส้ ารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระในขมน้ิ ชนั ถกู ดดู ซมึ ไดด้ ขี นึ้ ตัวอย่างการใช้ขมิ้นชันเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารเช่น โยเกิร์ตผสมขม้ินชัน นมร้อนผสมขมิ้นชัน เป็นอาหารทีเ่ ด็กกินได้ ผู้ใหญ่กนิ ดี หรืออาหารทม่ี ีไขมนั สูงๆ เชน่ ผักชุบแปง้ ทอด นำ้� สลดั เป็นต้น แม้จะมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขม้ินชันค่อนข้างมาก แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีการประเมินความ ปลอดภัยในการใชก้ บั หญงิ ตงั้ ครรภ์ หญงิ ทีใ่ หน้ มบุตร และการใชใ้ นเดก็ เพราะฉะนั้นการรับประทาน ขม้ินชันติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ส�ำหรับผู้บริโภคสามกลุ่มน้ีจึงควรระมัดระวัง นอกจากน้ี ขมิ้นชันยงั อาจเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตีกันกบั ยาต้านการแขง็ ตวั ของเกลด็ เลือดและยามะเรง็ บางชนิด การใช้ยา ในกล่มุ นี้รว่ มกบั ขมิ้น ต้องตดิ ตามอย่างใกล้ชดิ ยอ ราชาแหง่ สขุ ภาพ ชื่อพฤกษศาสตร์ : Morinda citrifolia L. วงศ์ : RUBIACEAE มกี ารวิจัยในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดจากยอช่วยให้การท�ำงาน ชือ่ อนื่ : มะตาเสอื ยอบา้ น แยใหญ่ ของภมู คิ มุ้ กนั ในรา่ งกายดขี นึ้ ซง่ึ เปน็ ท่ีทราบกันดีว่า คนที่มีภูมิคุ้มกันดี ร่างกายย่อมแข็งแรงตามไปดว้ ย คนไทยใชย้ อเปน็ อาหารและยาบำ� รงุ ใหร้ า่ งกายแขง็ แรงมาอยา่ งยาวนาน แตค่ นในประเทศตะวนั มีการศึกษาประสิทธภิ าพของผล ตกทเ่ี พง่ิ รจู้ กั และทำ� วจิ ยั เรอื่ งยอกลบั คน้ พบฤทธท์ิ นี่ า่ มหศั จรรย์ จนใหส้ มญายอวา่ เปน็ “ราชาแหง่ สขุ ภาพ” ยอในการระงับอาเจียนโดยเปรียบ หรอื “King of Health” ซง่ึ นา่ จะเปน็ สมญานามทมี่ สี ว่ นจรงิ อยไู่ มน่ อ้ ย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากคนโบราณมกั จะ เทียบกบั ยา metoclopramide ซง่ึ เปน็ ยาแกอ้ าเจยี น และนำ�้ ชาซงึ่ ใชใ้ น กลุ่มควบคุม พบว่าค่าเฉลี่ยจ�ำนวน สอนลกู หลานใหป้ ลกู ยอไวห้ นา้ บา้ น เพราะเชอื่ วา่ ยอเปน็ ยาอายวุ ฒั นะ ทง้ั ลกู และใบยอ มคี ณุ คา่ ทางอาหาร คร้ังของการอาเจียนก่อนให้ยาทั้ง 3 และยาอยา่ งครบถว้ น เชน่ ใบยอ มแี คลเซยี ม วติ ามนิ ซี วติ ามนิ เอ ฟอสฟอรสั และธาตเุ หลก็ กลุม่ มีคา่ ไม่แตกต่างกัน
36 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม เมอ่ื สบิ ปที แ่ี ลว้ นำ�้ ลกู ยอกลายเปน็ ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารทม่ี ชี อื่ เสยี งโดง่ ดงั แตก่ อ็ ยใู่ นตลาดได้ เพยี งไม่นาน เนอ่ื งจากมีขา่ วขึ้นหน้าหน่งึ วา่ กนิ ยอแลว้ ไตวาย หลงั จากนัน้ น้ำ� ลูกยอก็หายไปจากตลาด แตส่ ำ� หรบั ผปู้ ว่ ยทเี่ ปน็ ขา่ ววา่ มอี าการไตวายเนอื่ งจากรบั ประทานยอทง้ั สองรายนน้ั เปน็ เพราะมภี าวะ การท�ำงานของไตบกพร่อง (renal insufficiency) อยแู่ ลว้ ซึ่งเมือ่ ได้ตรวจสอบโดยผเู้ ชีย่ วชาญแลว้ พบ วา่ ยอไมไ่ ดเ้ ปน็ สาเหตทุ ำ� ใหไ้ ตวาย เพราะยอมโี ปแตสเซยี มสงู เชน่ เดยี วกบั ผลไมช้ นดิ หนง่ึ ทขี่ อ้ ควรระวงั ในผปู้ ว่ ยโรคไตและหัวใจทม่ี ีการเต้นของหัวใจผดิ จังหวะ ในชว่ งทนี่ ำ�้ ลกู ยอกำ� ลงั โดง่ ดงั รศ.ดร.นพมาศ สนุ ทรเจรญิ นนท์ คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล ได้ศึกษาพบว่า น�้ำลูกยอที่ได้จากการต้มช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ในท้องตลาดมีท้ัง ผลติ ภัณฑน์ �ำ้ ยอตม้ และน้ำ� ยอหมกั (ซง่ึ การหมกั จะกลบรสชาตทิ ่ไี ม่ดขี องยอ) จ�ำหน่าย แตป่ ระชาชนก็ สามารถปรุงอาหารจากยอไดด้ ้วยตนเอง เช่น สม้ ต�ำยอ ซง่ึ เป็นเมนูทีไ่ ม่สญู เสียคุณคา่ ทางอาหาร มวี ิธี ทำ� เชน่ เดยี วกับสม้ ต�ำ เพียงแต่เปลยี่ นจากมะละกอมาเปน็ ลกู ยอ อกี ตำ� รบั หนงึ่ คอื ลกู ยอกวน เปน็ การถนอมอาหารซงึ่ สามารถทำ� เกบ็ เอาไวร้ บั ประทานไดน้ าน วิธีท�ำยอกวน คือ น�ำลูกยอแก่ (ลูกยอที่เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นขาว) มาสับเป็นเส้นๆ คล้ายกับสับ มะละกอท�ำสม้ ตำ� ท้ังแกนและเมลด็ ท่อี ย่ขู า้ งในก็สับใหล้ ะเอยี ด จากน้ันกวนกับนำ้� ตาลโดยใช้ไฟออ่ น อาจเติมเกลือเล็กน้อย ปริมาณของนำ�้ ตาลและเกลอื ใหใ้ ส่ตามความชอบ แตผ่ ู้ป่วยเบาหวานตอ้ งระวงั เรอ่ื งนำ้� ตาล หลงั จากกวนจนงวดแลว้ ยกลงจากเตา ทง้ิ ไวใ้ หเ้ ยน็ จากนนั้ แบง่ ปน้ั เปน็ กอ้ นเลก็ ๆ ประมาณ ปลายน้ิวก้อย แลว้ น�ำไปตากแดดใหแ้ หง้ เกบ็ ใส่ขวดโหลไว้รับประทานวนั ละ 2 เมด็ อยา่ งไรกต็ าม เนอ่ื งจากยอเปน็ สมนุ ไพรทม่ี คี ณุ สมบตั คิ อ่ นขา้ งรอ้ น ผทู้ ม่ี ธี รรมชาตเิ ปน็ คนธาตรุ อ้ น สงั เกตไดจ้ ากมอี าการรอ้ นในบอ่ ยๆ คอแหง้ กระหายนำ�้ (ทง้ั ทดี่ ม่ื นำ�้ มาก) ขรี้ อ้ น เหงอ่ื ออกงา่ ยและมาก ผวิ เปน็ ผนื่ แดงหรอื อกั เสบไดง้ า่ ย ไมค่ วรรบั ประทานยอมาก ควรงดการรบั ประทานยอโดยเฉพาะเวลามี
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 37 อาการทเี่ กดิ จากความรอ้ นกำ� เรบิ หรอื ในยามทอ่ี ากาศรอ้ น เพราะอาจทำ� ใหร้ า่ งกายรอ้ นมากเกนิ ไป นอกจากนี้ สตรมี คี รรภแ์ ละผหู้ ญงิ ทอ่ี ยใู่ นระหวา่ งมปี ระจำ� เดอื นไมค่ วรรบั ประทานยอสกุ เพราะ อาจทำ� ใหแ้ ทง้ บตุ ร หรอื ประจำ� เดอื นมามากเกนิ ไปได้ แตใ่ นกรณที ป่ี วดประจำ� เดอื นใหร้ บั ประทานยอ สกุ หรอื เมอ่ื มอี าการคลนื่ ไสอ้ าเจยี นในหญงิ ตง้ั ครรภส์ ามารถใชผ้ ลยอดบิ ฝาน 1-2 แวน่ ชงนำ้� รอ้ นดม่ื ได้ มะขามป้อม ผลไมก้ ลมๆ อดุ มคุณคา่ ชอ่ื พฤกษศาสตร์ : Phyllanthus emblica L. วงศ์ : EUPHORBIACEAE ช่อื อ่ืน : ก�ำทวด กันโตด มะขามป้อมเปน็ ผลไมร้ ูปกลมๆ ทมี่ คี ุณประโยชน์ครอบคลมุ ทุกมติ เิ ก่ยี วกบั สขุ ภาพ ตงั้ แต่การ สร้างเสริมสขุ ภาพ ป้องกันโรค (คอื สร้างและกระตนุ้ ภูมิคุม้ กัน) รักษาเยียวยาความเจบ็ ป่วยและฟื้นฟู สุขภาพ ไปจนถงึ ประโยชนใ์ นดา้ นความงาม ในคัมภีรแ์ พทยแ์ ผนไทยมตี �ำรับตรผี ลา ซ่ึงประกอบดว้ ย มะขามปอ้ ม สมอไทย สมอพเิ ภก มี สรรพคณุ เปน็ ยาบ�ำรุงธาตุ โดยเฉพาะในหนา้ ร้อน เปน็ สมุนไพรทช่ี าวบา้ นและหมอยาใชก้ ันอยา่ งแพร่ หลาย หมอพื้นบา้ นกลา่ วว่ามะขามป้อมมีหลายรส ในทางการแพทยแ์ ผนไทยกล่าวไว้วา่ รสยาบ่งบอก สรรพคุณ สมนุ ไพรชนิดใดท่ีมรี สหลายรส เทา่ กับวา่ ไดห้ ลอมรวมสรรพคณุ ต่างๆ จากรสทีม่ มี าอย่ใู น ตวั มนั
38 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ปัจจบุ ันเราจะเหน็ ผลิตภัณฑแ์ ปรรปู จากมะขามปอ้ ม เช่น มะขามป้อมแช่อิ่ม และส�ำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยาไดอ้ นญุ าตใหข้ นึ้ ทะเบยี นชาชงมะขามปอ้ ม ตรผี ลาในรปู ชาชง นำ�้ แคปซลู และเมด็ เปน็ อาหาร ในแง่ของการป้องกันโรค หากคนเรามีภูมติ ้านทานดี ก็เหมือนมีปอ้ มปราการไว้ ปอ้ งกนั การรกุ รานและโจมตขี องขา้ ศกึ มะขามปอ้ มกม็ สี รรพคณุ เดน่ ในขอ้ นี้ หมอยาพน้ื บา้ นจงึ บอกวา่ คนท่ีรับประทานมะขามป้อมเปน็ ประจ�ำ จะไม่เจบ็ ปว่ ยงา่ ย ไมค่ อ่ ยเป็นหวัด สายตาไมพ่ รา่ มวั ผมไม่ หงอกหรือรว่ งก่อนวัย ปัจจุบันมีงานศึกษาวิจัยพบว่ามะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก ที่ส�ำคัญเป็นวิตามินซีท่ีทนต่อ ความร้อนได้ดี ซึ่งน่าจะอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดยาบ�ำรุงและยาอายุวัฒนะตามต�ำรับอายุรเวทซ่ึงมี มะขามปอ้ มเปน็ สว่ นผสมแมจ้ ะใชเ้ วลาเคยี่ วนานหลายวนั กย็ งั มสี รรพคณุ ในทางบำ� รงุ รา่ งกาย ปอ้ งกนั และบรรเทาอาการหวัดและโรคในระบบทางเดนิ หายใจ ซึ่งตามความรูโ้ ภชนาการสมยั ใหม่ อธบิ ายวา่ วติ ามนิ ซมี ปี ระสทิ ธภิ าพในการปอ้ งกนั และบรรเทาหวดั ได้ มงี านวจิ ยั ในอนิ เดยี พบวา่ ในชว่ งอากาศหนาว เดก็ ท่ีดม่ื นำ้� มะขามปอ้ มต้มทกุ วัน เปน็ หวดั นอ้ ยกวา่ เด็กท่ไี มไ่ ด้ด่มื นอกจากป้องกันหวัดแล้ว ยังมีงานวิจัยพบว่า มะขามป้อมมีฤทธิ์ปกป้องตับไม่ให้ถูกท�ำลาย โดยสารพิษ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยลดโคเลสเตอรอลซ่ึงเป็นไขมันที่เป็น อันตรายต่อร่างกาย เท่ากับว่ามะขามป้อมมีส่วนช่วยป้องกันกล้ามเน้ือหัวใจขาดเลือดได้ เพราะ โคเลสเตอรอลเป็นตวั การสำ� คัญที่ทำ� ให้เลอื ดไปเลย้ี งกล้ามเนอื้ หัวใจได้น้อยลง มะขามป้อมมีส่วนชว่ ย ตา้ นการกลายพันธุข์ องเซลล์ (ซ่ึงอาจกลายเปน็ เซลล์มะเรง็ ได้) สว่ นตรผี ลานน้ั กม็ งี านวจิ ยั มากมายเกย่ี วกบั ฤทธติ์ า้ นอนมุ ลู อสิ ระ ลดการอกั เสบและตา้ นมะเรง็ ปรบั ระบบสมดลุ ลำ� ไส้ ขบั พษิ และฟน้ื ฟเู ซลล์ ผลติ ภณั ฑต์ รผี ลาทจ่ี ำ� หนา่ ยในทอ้ งตลาดนนั้ มสี ดั สว่ นของ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภกท่แี ตกต่างกันไป ไม่แนว่ า่ จะเป็น 1:1:1 ตามทร่ี ะบไุ วใ้ นคัมภรี ์ดงั้ เดิม
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 39 เสมอไป ถ้าเปน็ เช่นนัน้ เภสชั กรควรจะตอ้ งสอบถามผผู้ ลติ ว่า การใชใ้ นสัดส่วนทต่ี ่างไปจากองคค์ วามรู้ ด้ังเดมิ นนั้ เป็นเพราะเหตใุ ด มีงานวจิ ัยรองรบั หรอื ไม่ ในสิทธิบัตรตรผี ลาบางตำ� รบั กม็ ีการปรับสัดสว่ น ของวัตถุดบิ เชน่ ต�ำรบั ทเี่ ป็นยาระบายเพ่ือใช้ในโรคลำ� ไสแ้ ปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome : IBS ) ใชม้ ะขามป้อม: สมอไทย: สมอพเิ ภก ในสดั ส่วน 3:2:1 ดงั น้ันการใชต้ รีผลาในต�ำรับขา้ งตน้ เพอื่ ปรับสมดุลล�ำไส้อาจต้องหยุดใช้บ้าง เนื่องจากสมอไทย สมอพิเภกมีรสค่อนข้างฝาด เน่ืองจากมีสาร แทนนนิ ในปริมาณสูง การรบั ประทานตอ่ เนือ่ งเป็นระยะเวลานานอาจทำ� ให้ทอ้ งผูกได้ มะรมุ ครบถ้วนสารอาหาร ตา้ นความดันสูง ชอื่ พฤกษศาสตร์ : Moringa oleifera Lam. วงศ์ : MORINGACEAE ช่อื อื่น : ผกั อีฮมึ ผักอีฮุม ผักเน้ือไก่ มะค้อนกอ้ ม กาแนง้ เดิง ในบรรดาต้นไม้ที่คนไทยในอดีตนิยมปลูกไว้ใกล้บ้าน ซึ่งมักใช้เป็นทั้งพืชผักสวนครัวร้ัวกินได้ และเป็นยา จะต้องมีมะรุมรวมอยูด่ ้วยอยา่ งแนน่ อน ในแง่ที่เป็นอาหาร มะรุมสามารถน�ำมาปรุงหรือกินได้ต้ังแต่ยอด ใบอ่อน ช่อดอก และฝัก นำ� มาลวกหรือตม้ ใหส้ กุ จิ้มกบั น้ำ� พรกิ ปลาร้า น้ำ� พริกแจ่วบอง หรือกินแกล้มกับลาบ กอ้ ย แจ่ว หรอื ใช้ยอดออ่ น ชอ่ ดอกทำ� แกงส้มหรือแกงออ่ ม หรอื นำ� ไปดองก็อรอ่ ยไม่แพก้ นั
40 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม มะรมุ เปน็ ทโี่ ดง่ ดงั ในหมปู่ ระชาชนจากหนงั สอื ตน้ ไมเ้ พอื่ ชวี ติ มกี ารกลา่ วถงึ คณุ คา่ ทางอาหาร ทมี่ ากมายของมะรมุ จนมกี ารศกึ ษาวจิ ยั ประโยชนท์ างยาของมะรมุ อยา่ งกวา้ งขวาง โดยเฉพาะการลด ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มีการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบวา่ มะรมุ มฤี ทธติ์ า้ นอนมุ ลู อสิ ระ ลดการเกดิ ไขมนั ชนดิ ไมด่ ี หรอื LDL (Low Density Lipoprotein) ลดโอกาสเกิดโคเลสเตอรอลเกาะที่ผนังหลอดเลือดถึง 50% มีการศึกษาในกระตา่ ยเป็นเวลา 120 วัน โดยแบง่ กระต่ายออกเปน็ 2 กลุ่ม กลมุ่ แรกให้กินฝกั มะรุมวันละ 200 กรัม/น�้ำหนักตัว กลุ่มที่สองกินยาโลวาสแตติน (lovastatin) ในขนาดวันละ 6 มิลลิกรัม/น�้ำหนักตัว ผลการศึกษาพบว่า การลดลงของโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในกระต่าย ท้ังสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน ซ่ึงก็หมายความว่าฝักมะรุมช่วยลดโคเลสเตอรอลได้เทียบเท่ากับยาแผน ปจั จบุ ัน นอกจากนีย้ งั มีประเดน็ ทน่ี ่าสนใจจากการวจิ ยั น้ี คือ ในกลมุ่ กระตา่ ยทีก่ นิ มะรมุ พบวา่ มีการ ขบั ไขมนั ออกมาทางอจุ จาระเพ่ิมมากขึ้น ซึง่ นักวจิ ยั ได้สรปุ ว่าการกินมะรมุ มีผลลดไขมนั ในร่างกาย แต่ มองในอกี แงห่ นงึ่ ถา้ การกนิ มะรมุ มผี ลทำ� ใหม้ กี ารขบั ไขมนั ออกมาทางอจุ จาระมากขนึ้ กแ็ สดงวา่ ไขมนั ท่ี กนิ เขา้ ไปไมถ่ กู ดดู ซมึ ในรา่ งกาย ซงึ่ ไมแ่ นว่ า่ จะเปน็ ผลดเี สมอไป เพราะปกตคิ นเราตอ้ งการไขมนั ในการ ใชเ้ ปน็ พลังงานและทำ� ใหร้ า่ งกายทำ� งานได้ปกตปิ ระมาณวนั ละ 15 - 30% ของความตอ้ งการพลังงาน ต่อวนั หากไม่มีการดูดซึมไขมันในทางเดินอาหาร นอกจากร่างกายจะขาดไขมันแล้ว อาจจะขาด วติ ามนิ ทล่ี ะลายในไขมนั ไดด้ ว้ ย เพราะฉะนน้ั การใชม้ ะรมุ เพอ่ื ลดความอว้ น รวมทงั้ ใชร้ กั ษามะเรง็ อยา่ ง ทเ่ี ปน็ กระแสแรงมากในชว่ งทีผ่ า่ นมา จงึ ควรคำ� นึงถึงผลดผี ลเสยี ใหร้ อบคอบ ขอ้ ควรระวงั อกี ประการหนง่ึ คอื มะรมุ นน้ั เปน็ สมนุ ไพรฤทธริ์ อ้ น จงึ ควรใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั เพราะอาจทำ� ใหธ้ าตไุ ฟกำ� เรบิ ได้ โดยเฉพาะคนทม่ี ธี าตไุ ฟเปน็ เจา้ เรอื น หรอื ผทู้ มี่ อี าการของธาตไุ ฟกำ� เรบิ
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 41
42 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม ขา้ ว ใครๆ กร็ วู้ า่ ส�ำคญั ช่อื พฤกษศาสตร์ : Oryza sativa L. วงศ์ : POACEAE ในขณะทค่ี นไทยสว่ นใหญน่ ยิ มบรโิ ภคขา้ วขดั ขาว แตป่ จั จบุ นั มคี นจำ� นวนมากขนึ้ เรอ่ื ยๆ ทห่ี นั มากนิ ขา้ วกลอ้ ง เพราะทงั้ ประสบการณ์ ขอ้ มลู และการวจิ ยั ยนื ยนั วา่ ขา้ วกลอ้ งหรอื ขา้ วซอ้ มมอื มคี ณุ คา่ ทางโภชนาการชนดิ ท่ีขา้ วขาวไมอ่ าจเทยี บไดเ้ ลย การกินขา้ วกล้องจะทำ� ให้เราได้รบั วิตามิน โปรตนี และเกลือแรต่ ่างๆ มากกว่า 20 ชนิด ใน ขณะทข่ี า้ วขาวซึง่ สีเอาร�ำออกไปแล้ว จะให้เฉพาะคารโ์ บไฮเดรต แตข่ าดสารอาหารอื่นๆ ทีต่ ดิ ออกไป กบั รำ� ขา้ ว ดว้ ยเหตนุ คี้ นไทยสมยั กอ่ นจงึ ไมค่ อ่ ยมปี ญั หาเรอ่ื งเหนบ็ ชา เนอ่ื งจากไดร้ บั วติ ามนิ บที ม่ี อี ยใู่ น ข้าวกลอ้ ง นอกจากสารอาหารต่างๆ ที่กลา่ วแลว้ ขา้ วกลอ้ งยังมีโปรตีนมากกว่าขา้ วทถ่ี กู ขดั จนขาวถงึ 20 - 30 % และมแี ป้ง (คารโ์ บไฮเดรต) นอ้ ยกวา่ นอกจากขา้ วกล้องแล้ว ในระยะหลังยงั มผี ลิตภณั ฑจ์ ากข้าวท่เี ปน็ ทน่ี ยิ มอกี 2 ชนดิ คอื น�้ำมนั ร�ำข้าว และขา้ วกล้องงอก น�ำ้ มันรำ� ข้าวนัน้ มี 2 ชนิด คอื ชนิดที่ใช้ปรุงอาหารกับชนิดทบ่ี รรจแุ คปซูล น�้ำมันร�ำข้าวมีสัดส่วนของกรดไขมันใกล้เคียงกับท่ีองค์การอนามัยโลกแนะน�ำ และมีสารต้านอนุมูล อิสระที่ช่อื ว่า แกมมาออรซิ านอล (Gamma Oryzanol) ซึง่ ไมพ่ บในน�้ำมันพืชชนิดอ่ืน
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 43 แกมมาออริซานอลมีประโยชน์หลากหลาย เช่น มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า วิตามินอีถึง 6 เท่า นอกจากออริซานอลแล้ว น�้ำมันร�ำข้าวยังมีสารในกลุ่มวิตามินอี ได้แก่ โทโคฟีรอล หรือวิตามินอี และโทโคไตรอีนอล ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายวิตามินอี สารท้ังสองชนิดมีฤทธิ์ต้านอนุมูล อสิ ระ ดงั นัน้ จงึ มีค�ำแนะนำ� ใหบ้ ริโภคน้�ำมนั ร�ำขา้ วเพอ่ื บำ� รงุ รา่ งกายและชะลอความชรา อยา่ งไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่า น้�ำมันร�ำข้าวน้ันให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่/กรัม ดังน้ันจึงควรตระหนักว่า การบริโภค น�้ำมันร�ำข้าวโดยตรงโดยไม่ใช้ปรุงอาหาร แม้จะได้รับสารอาหารท่ีมีประโยชน์ แต่ก็อาจเป็นโทษได้ เช่นกัน สำ� หรบั ขา้ วกลอ้ งงอก มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตรไ์ ดศ้ กึ ษาวจิ ยั พบวา่ การบรโิ ภคขา้ วกลอ้ งจะ ใหป้ ระโยชนส์ งู สดุ หากนำ� มาแชน่ ำ้� ทำ� ใหง้ อกเสยี กอ่ น เพราะขา้ วกลอ้ งงอกมสี ารอาหารจำ� นวนมาก โดย เฉพาะ GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ที่เพม่ิ ขึน้ สาร GABA นีเ้ ปน็ กรดอะมโิ นชนิดหน่งึ ท่ี ผลติ จากกระบวนการ decarboxylation ของกรดกลตู ามกิ กรดชนดิ นม้ี บี ทบาทสำ� คญั ในการเปน็ สาร สื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง มีการใช้ GABA ในการรกั ษาโรคเกย่ี วกับระบบประสาทหลาย โรค เช่น โรควิตกกังวล นอนไม่หลบั โรคลมชกั และยงั มีคณุ สมบตั ใิ นการลดความดนั โลหิตอีกดว้ ย นอกจากจะไดป้ ระโยชน์จากปริมาณ GABA ทีส่ ูงขึ้นแลว้ ข้าวกล้องงอกยังมเี นอื้ สมั ผสั ที่ออ่ น นมุ่ รบั ประทานไดง้ า่ ย ขา้ วกลอ้ งทส่ี ามารถนำ� มาแชน่ ำ้� ใหง้ อกไดน้ น้ั ควรเปน็ ขา้ วกลอ้ งทผ่ี า่ นการกะเทาะ เปลอื กมาไม่เกิน 2 สปั ดาห์
44 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม กระเทียม พลงั เผาผลาญ ปราการป้องโรคภัย ช่ือพฤกษศาสตร์ : Allium sativum L. วงศ์ : ALLIACEAE ชอ่ื อ่ืน : กระเทียมขาว หอมขาว กระเทียมจนี เทยี ม หัวเทยี ม หอมเทยี ม กระเทยี มเปน็ เครอื่ งเทศทคี่ นไทยคนุ้ เคยเปน็ อยา่ งดี กระเทยี มมรี สเผด็ รอ้ น รบั ประทานไดท้ งั้ สดและตากแห้ง หรือนำ� ไปดอง เป็นสว่ นผสมท่ีส�ำคัญของน้ำ� จมิ้ และอาหารสด พริกแกงหลายชนดิ ใส่ กระเทียมเปน็ ส่วนประกอบ เชน่ แกงเผ็ด แกงเขยี วหวาน และย�ำต่างๆ สารสำ� คญั ทที่ ำ� ใหก้ ระเทยี มมกี ลนิ่ หอมฉนุ เผด็ รอ้ น คอื เอนไซมอ์ ลั ลเิ นส (Allinase) ทเี่ ปลย่ี นสาร อนิ ทรยี ก์ ำ� มะถนั อลั ลอิ นิ (Alliin) ใหเ้ ปน็ นำ�้ มนั หอมระเหยอลั ลซิ นิ (Allicin) ซงึ่ เปน็ สารกลมุ่ ซลั เฟอร์ การ ใชก้ ระเทยี มในการดแู ลสขุ ภาพทำ� ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ กนิ กระเทยี มสด แตอ่ าจระคายเคอื งตอ่ กระเพาะอาหาร จงึ ควรรบั ประทานพรอ้ มกบั อาหารโดยเฉพาะอาหารโปรตนี คนทไี่ มช่ อบกลนิ่ กระเทยี ม หรอื ไมไ่ ดก้ นิ กระเทยี มทกุ วนั อาจกนิ แคปซลู กระเทยี มเปน็ อาหารเสรมิ โดยเลอื กบรษิ ทั ผผู้ ลติ กระเทยี มทเี่ ชอ่ื ถอื ไดแ้ ละ ควรดใู หแ้ นใ่ จวา่ มฉี ลากระบสุ ารตา่ งๆ ในผลติ ภณั ฑน์ น้ั ดว้ ย ผลติ ภณั ฑส์ ำ� เรจ็ รปู ของกระเทยี มควรมกี ารระบสุ ารสำ� คญั เพราะปรมิ าณสารสำ� คญั จะมคี วาม สมั พนั ธก์ บั ขนาดการรบั ประทาน การใชเ้ พอื่ ปอ้ งกนั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด จะใชเ้ ทา่ กบั หวั กระเทยี ม สด 4 กรัม หรอื 600 - 1200 มก. ของกระเทยี มแก่ (aged garlic) หรือ 2 - 5 มก. ของน้ำ� มนั กระเทยี ม (garlic oil) ผลิตภัณฑ์เสรมิ อาหารจากกระเทยี มควรผลิตโดยวธิ ที ี่ไมท่ ำ� ลายสารธรรมชาตขิ องมนั จงึ จะได้ประโยชน์เทียบเทา่ กระเทยี มสด
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 45
46 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม จากรายงานทางการแพทย์ มีการทดลองในสัตว์พบว่า สารธรรมชาติในหมามุ่ยท�ำให้ สมรรถภาพทางเพศดขี ึน้ เพม่ิ ความถ่ีในการผสมพันธ์ุได้เป็นสบิ เท่า รวมทัง้ ยืดระยะเวลาในการมเี พศ สมั พันธ์ ทำ� ให้ชะลออาการหลง่ั เร็วได้ และเพ่ิมปรมิ าณฮอรโ์ มนเพศ ในปี พ.ศ. 2550 นกั วิจัยชาวอินเดีย ชื่อ K.K.Shukla ไดท้ ำ� การวจิ ัยในผูช้ ายอินเดีย 75 คน ซง่ึ ประสบปัญหามีบตุ รยากเนอื่ งจากความเครยี ด พบวา่ หลังจากให้กินเมล็ดหมามุ่ยในปริมาณ 5 กรัม ต่อวนั นาน 3 เดอื น ระดบั ความเครยี ดลดลง และคณุ ภาพปรมิ าณของนำ�้ เชื้ออสุจิเพม่ิ ข้นึ จากการวิจัย พบวา่ เมลด็ หมามยุ่ มสี ารแอลโดปา (L-Dopa ) ซง่ึ เปน็ สารตงั้ ตน้ ในการสงั เคราะหโ์ ดพามนี (Dopamine) หรอื สารทีม่ ีอทิ ธพิ ลสงู ตอ่ ระบบสืบพันธ์ุ ท้ังยังเปน็ สารสอ่ื ประสาทซ่งึ ใช้ในการรกั ษาโรคพารก์ ินสันอีก ด้วย แต่ตอ้ งใชใ้ นรปู แบบของการผ่านวธิ ีการ “สกดั ” มาเป็น “ยาเมด็ ” เพราะรา่ งกายไม่สามารถได้ รบั สารในรปู เมล็ดแปรรูปหรอื สดได้ ปจั จุบันมีกาแฟผสมหมามยุ่ จ�ำหน่าย ซ่ึงตอ้ งมีการผลติ อย่างระมัดระวัง กล่าวคอื การแปรรูป หมาม่ยุ ต้องค่ัวเมล็ดหมามยุ่ ให้สุก หากไมส่ กุ จะเกดิ สารพษิ บางอย่างทท่ี ำ� ให้เกิดอาการประสาทหลอน ได้ เพราะในเมลด็ หมามุย่ มสี าร L-Dopa ซงึ่ อาจท�ำให้สารสื่อประสาทเกิดความไมส่ มดุลได้ นอกจาก นผี้ ้ปู ่วยบางกลมุ่ ไมค่ วรทานเมลด็ หมาม่ยุ เชน่ ผปู้ ่วยความดนั โลหิตสงู ผทู้ ต่ี อ้ งใช้ยาทางจติ เวช รวมท้ัง เด็ก และหญิงตง้ั ครรภ์ ปริมาณท่ีแนะน�ำให้ใช้ส�ำหรับคนท่ัวไปคือ กินวันละประมาณ 3 เมล็ดจะท�ำให้สดช่ืน กระปรก้ี ระเปรา่ แตห่ ากมปี ญั หามบี ตุ รยาก หรอื ปญั หาสมรรถภาพทางเพศ แนะนำ� ใหก้ นิ วนั ละ 5 กรมั หรอื 25 เมลด็ ไมเ่ กิน 3 เดือน เมลด็ หมามุ่ยรับประทานได้หลายวิธี คือ บดเป็นผง แลว้ กนิ ผสมกบั กาแฟหรือชา ก็ไม่เสียรสชาติแตอ่ ย่างใด หรอื ชงกินกบั น้�ำร้อนเปล่าๆ จะมรี สเปร้ียวนิดๆ มนั หน่อยๆ หรือกนิ เมล็ดท่นี ่งึ กบั ขา้ วเหนียว หรือเคีย้ วเมลด็ ทีค่ ว่ั แลว้ กไ็ ด้
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 47 รางจืด ลา้ งพิษแบบไทยๆ ชือ่ พฤกษศาสตร์ : Thumbergia laurifolia Lindl. วงศ์ : ACANTHACEAE ชอ่ื อื่น : กำ� ลงั ชา้ งเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขยี ว แนวทางการดแู ลสขุ ภาพแบบทางเลอื กอยา่ งหนงึ่ ซงึ่ เปน็ ทนี่ ยิ มกนั มากในชว่ งหลายปที ผี่ า่ นมา เหน็ จะเปน็ “การลา้ งพษิ ” หรอื “ดที อกซ”์ ซง่ึ มหี ลากหลายวธิ ี ตงั้ แตก่ ารสวนทวารดว้ ยกาแฟ การอด อาหาร ดมื่ นำ้� ผกั ผลไมห้ รอื รบั ประทานผกั ผลไมช้ นดิ เดยี วในระยะเวลาสน้ั ๆ อยา่ งไรกต็ าม มผี ตู้ งั้ คำ� ถาม วา่ วธิ กี ารเหลา่ นส้ี ามารถจะขบั หรอื ลา้ งสารพษิ ทต่ี กคา้ งหรอื สะสมอยใู่ นรา่ งกายไดจ้ รงิ หรอื แตท่ แี่ นๆ่ หาก พดู ถงึ การ “ลา้ งพษิ ” ในความหมายของสารพษิ ทเ่ี ปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายอยา่ งเฉยี บพลนั เมอื งไทยเรามี การใชส้ มนุ ไพรเดน่ ทใ่ี ช้ “ลา้ ง(สาร)พษิ ” ในลกั ษณะดงั กลา่ ว คอื รางจดื มตี วั อยา่ งการใชร้ างจดื แกพ้ ษิ ซงึ่ เคยเปน็ ขา่ วครกึ โครมในหนา้ หนงั สอื พมิ พเ์ มอื่ 3 ปที แ่ี ลว้ คอื มผี ปู้ ว่ ย 4 รายไดร้ บั พษิ หลงั จากกนิ ไขแ่ มงดาทะเล จนตอ้ งนำ� สง่ โรงพยาบาลชมุ พรเขตอดุ มศกั ดิ์ แพทย์ ได้อนุญาตให้ญาติของผู้ปว่ ยใชน้ ้ำ� คัน้ รางจืดกบั ผูป้ ว่ ย 2 รายที่อยู่ในห้องไอซียกู อ่ น หลงั จากกรอกน้�ำ คน้ั รางจดื ทางสายยาง 40 นาที ผูป้ ว่ ยเริ่มรู้สึกตัวและอาการดขี น้ึ เปน็ ล�ำดบั จากนัน้ แพทย์ไดท้ ดลอง กับผ้ปู ่วยอีก 2 ราย ปรากฏว่าทุกรายรอดชวี ิตมาได้ นอกจากแกพ้ ษิ จากไขแ่ มงดาทะเลแลว้ รางจดื ยงั มสี ว่ นชว่ ยแกพ้ ษิ จากยาปราบศตั รพู ชื ทเี่ รยี ก วา่ พาราควอตได้ นอกจากน้ี ยังมีการวิจัยหลายชน้ิ ท่แี สดงใหเ้ หน็ วา่ รางจืดสามารถตา้ นพษิ ของยาฆา่
48 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม แมลงได้ เชน่ งานวจิ ยั ของคณะแพทยศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ เรอ่ื ง “การทดลองใชร้ างจดื แกพ้ ษิ ยาฆา่ แมลง” พบวา่ รางจดื “สามารถลดอตั ราตายของสตั วท์ ดลองอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ”ิ หรอื การ วจิ ยั ของโรงพยาบาลบางกระทมุ่ จ.พษิ ณโุ ลก และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระยพุ ราชเดชอดุ ม จ.อบุ ลราชธานี ทไ่ี ดศ้ กึ ษาวจิ ยั ฤทธข์ิ องรางจดื เปรยี บเทยี บกบั เตยหอมในการแกพ้ ษิ ของสารกำ� จดั ศตั รพู ชื ซงึ่ ยบั ยงั้ การ ท�ำงานของเอนไซมท์ ่ที �ำหน้าทเ่ี ปล่ียนสารสื่อประสาท ซึ่งจะสง่ ผลใหเ้ กดิ การคั่งของสารสอ่ื ประสาทใน สมอง และทำ� ใหห้ ัวใจเตน้ ช้าลง ผลปรากฏว่าสมุนไพรท้ังสองชนิดท�ำให้ระดบั ของเอนไซมท์ ท่ี ำ� หนา้ ที่ เปลี่ยนสารสอ่ื ประสาทเพิ่มข้นึ หรอื อกี นยั หน่ึงคอื สามารถทำ� ให้พษิ ของสารกำ� จดั ศตั รูพืชลดลง โดยที่ ผูป้ ่วยทไ่ี ดร้ บั รางจดื จะมีคา่ เอนไซม์สงู กวา่ ผูป้ ่วยทไ่ี ดร้ ับเตยหอม ฤทธิแ์ ละสรรพคณุ แก้พิษยาฆ่าแมลง ของรางจดื ท�ำให้มีผู้รกั สุขภาพใช้รางจดื ต�ำหรอื ใชช้ าชงรางจดื ผสมน้�ำสำ� หรบั แช่ผัก โดยเช่อื ว่าจะชว่ ย ลดปรมิ าณของสารพษิ ในยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าท่ตี ิดมากบั ผกั ได ้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเคยให้นักศึกษาฝึกงานทดลองเอาน�้ำรางจืดมาแช่ผัก ปรากฏว่ายาฆ่า แมลงทอ่ี ยใู่ นผกั ไมไ่ ดล้ ดลง เมอ่ื สอบถามจากนกั วชิ าการหลายทา่ น กไ็ ดค้ วามคดิ เหน็ ทต่ี รงกนั วา่ รางจดื จะยับยั้งพิษของยาฆ่าแมลงได้ คงต้องใชว้ ิธกี ารรับประทานเท่านัน้ เพราะจากงานวจิ ัยท้งั หมดที่กล่าว มา รางจืดมฤี ทธิใ์ นการแกพ้ ิษโดยผา่ นระบบการทำ� งานของร่างกายเป็นส�ำคญั สว่ นการใชร้ างจดื เพอ่ื ลดปรมิ าณยาฆา่ แมลงในเลอื ด สามารถทำ� ไดเ้ ปน็ ชว่ งเวลาสน้ั ๆ เชน่ 3 - 5 วนั ตอ่ เดอื น ในกรณที ม่ี ขี อ้ บง่ ชอี้ น่ื ๆทตี่ อ้ งใชต้ ดิ ตอ่ กนั นานๆ ควรมกี ารตรวจตดิ ตามเปน็ ระยะ เนอื่ งจาก รางจดื เปน็ ยาเยน็ (ถงึ แมจ้ ะไมเ่ ยน็ มาก) แตห่ ากรบั ประทานตดิ ตอ่ กนั เปน็ ระยะเวลานาน โดยเฉพาะใน ผูท้ ี่มรี ่างกายเยน็ อาจท�ำใหเ้ กิดอาการชา หรอื ความดันโลหติ ต่ำ� ลงได้ หากมีอาการดงั กลา่ วกใ็ หห้ ยุด รบั ประทานรางจดื สกั 1 - 2 สัปดาห์ อาการกจ็ ะดีข้นึ เอง
สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม 49 ขิง มหาโอสถ ช่ือพฤกษศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe. วงศ์ : ZINGIBERACEAE ชอ่ื อ่นื : ขิงแกลง ขงิ แดง ขงิ เผอื ก ขิงเป็นพืชท่ีคนท่ัวโลกรู้จักมานมนานว่า เป็นท้ังเคร่ืองเทศส�ำหรับปรุงอาหารและเป็นยา สมนุ ไพรมากคณุ คา่ คนไทยเองใชข้ งิ ในการปรุงอาหารหลายชนดิ ซง่ึ ทำ� ใหอ้ าหารเหล่านัน้ มีประโยชน์ ทางยาไปด้วย เชน่ แม่ท่ีใหน้ มลกู จะรบั ประทานไก่ผัดขงิ ปลานง่ึ บ๊วยใสข่ งิ เพอ่ื กระตุ้นการหล่งั น้�ำนม และชว่ ยยอ่ ยอาหาร แมแ้ ตข่ นมบางอยา่ งกใ็ สข่ งิ ลงไปเพอื่ ชรู สชาตแิ ละชว่ ยใหข้ องหวานนน้ั ยอ่ ยงา่ ยขน้ึ เชน่ ตม้ ไขห่ วานใสข่ งิ ถว่ั เขยี วหรอื มนั ตม้ นำ้� ตาลใสข่ งิ นอกจากน้ี ขงิ ยงั สามารถนำ� มาแปรรปู เพอ่ื ใหเ้ กบ็ ไวร้ บั ประทานได้นานขึ้น เช่น ขงิ ดอง ขงิ แช่อมิ่ สรรพคณุ ของขงิ ในตำ� รายาไทยกลา่ ววา่ ขงิ มรี สเผด็ รอ้ นและหวาน ใชข้ บั ลม แกจ้ กุ เสยี ด บำ� รงุ ธาตุ (เพ่ิมความรอ้ นในรา่ งกาย) แกค้ ล่ืนเหียนอาเจียน ปจั จุบันสำ� นักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุญาตให้มีการผลิตยาแคปซูลขิง และเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย โดยระบุ สรรพคณุ แก้ทอ้ งอืดทอ้ งเฟอ้ และแกค้ ล่นื ไส้ อาเจยี น สว่ นในต�ำรายาของเยอรมนั ที่ช่ือ Commission E ซง่ึ รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับสมนุ ไพรไวม้ าก ที่สุดและได้รับการเช่ือถือและยอมรับมากท่ีสุดเล่มหนึ่งของโลก ระบุว่าขิงช่วยลดอาการแน่นและจุก
50 สมนุ ไพรไมใ่ ชย่ าขม เสียด ช่วยกระต้นุ การหลงั่ กรดและนำ้� ดี (นำ้� ดีชว่ ยยอ่ ยอาหารจ�ำพวกไขมัน) ท�ำให้อาหารย่อยงา่ ยและ เร็วขน้ึ ท้งั ยังช่วยให้รบั ประทานอาหารได้มากขึ้น ขงิ เปน็ สมนุ ไพรทสี่ ามารถนำ� มาปรงุ เปน็ อาหารและเครอื่ งดม่ื สขุ ภาพทง่ี า่ ยๆ เชน่ ชาชงขงิ หรอื ขงิ ต้ม ขงิ ทีม่ ีสรรพคณุ ดีจะตอ้ งเป็นขงิ แกอ่ ายุ 9 - 12 เดอื น ม้อื ใดทีท่ านอาหารปรมิ าณมากๆ แลว้ รู้สกึ แนน่ อึดอดั กช็ งชาขงิ หรือตม้ นำ้� ขงิ ดืม่ ชว่ ยยอ่ ยอาหาร หรอื ด่มื น�้ำขิงเพอ่ื เพ่ิมความอบอุ่นใหแ้ กร่ า่ งกาย ในหนา้ หนาว มีการศกึ ษาในประเทศญีป่ นุ่ พบวา่ เมื่อน�ำขิงแกม่ าต้มเค่ียว จะมสี รรพคณุ เชน่ เดยี วกับ วคั ซนี ป้องกันหวัด ค�ำถามทา้ ยเรอื่ ง 1. ยกตัวอย่างสมนุ ไพรท่ีใชเ้ ป็นอาหารทตี่ ้องระวังการใชใ้ นหญิงตงั้ ครรภ์ 2. ยกตวั อย่างสมุนไพรท่สี ามารถน�ำมาปรงุ เพอ่ื ดแู ลสขุ ภาพในผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รัง
Search