Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ไพล

Description: ไพล

Search

Read the Text Version

ไพล ชือ่ วิทยำศำสตร์ : Zingiber cassumunar Roxb. ชื่อวงศ์ : Zingiberaceae ช่ืออื่น ๆ : ไพล ไพลเหลอื ง ว่านไฟ (ภาคกลาง) ปลู อย ปูเลย เฮยี งคา� (ภาคเหนอื ) มน้ิ สะลา่ ง ฉาน (แมฮ่ อ่ งสอน) วา่ นปอบ (ภาคอสี าน) ถิ่นกา� เนิดไพล ไพลมีถิ่นก�าเนิดอยู่ในเอเชียแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซยี และไทย ปลกู กนั มากในจงั หวดั กาญจนบรุ ี สพุ รรณบรุ ี ปราจนี บรุ ี และสระแก้ว สภาพแวดลอ้ ม ไพลเหมาะกับสภาพพ้ืนท่ีที่ไม่มีน�้าท่วมขังและไม่อยู่ใกล้แหล่ง สารพิษ ชอบดินรว่ นซุย หรอื ดินท่ีมกี ารระบายนา�้ ได้ดี หากมนี ้า� ท่วมขงั ไพลจะเนา่ เสยี โดยเฉพาะดนิ ทม่ี สี ภาพเปน็ กรด เมอื่ มฝี นชกุ หรอื ความชนื้ ในดินสงู จะทา� ใหเ้ กิดโรคแงง่ เน่า และควรได้รับแสงแดดพอสมควร กองการแพทยท์ างเลือก 91 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เปน็ ไมล้ ม้ ลุกมีความสงู ประมาณ 0.7-1.5 เมตร มเี หงา้ อยู่ใต้ดนิ เปลอื กมสี นี า้� ตาลแกมเหลอื ง เนอ้ื ดา้ นในมสี เี หลอื งถงึ สเี หลอื งแกมเขยี ว แทงหน่อหรือล�าต้นเทียมข้ึนเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือ โคนใบหมุ้ ซอ้ นกนั อยู่เหงา้ ไพลสดฉา�่ นา้� รสฝาด เอยี ด รอ้ นซา่ มกี ลน่ิ เฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแกส่ ดและแหง้ จะมรี สเผ็ดเล็กนอ้ ย ลักษณะใบ ใบเด่ียว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน หรือเว้ารูปหวั ใจ ลกั ษณะดอก เปน็ ดอกชอ่ ลกั ษณะเปน็ แทง่ กลมยาวปลายแหลม ออกจากเหง้าใต้ดิน ดอกเป็นเกลด็ ซอ้ นทบั กนั เป็นป่มุ คลา้ ยลูกตุ้มถว่ ง นาฬิกา โตกลม ปลายแหลม คลา้ ยลกู มะกอก มีดอกเลก็ ๆ แซมออก ตามเกล็ด ดอกมีความสวยงามเช่นเดียวกับดอกขิง หรือดอกกะทือ กลีบดอกสนี วลใบประดับสมี ว่ ง 92 กองการแพทยท์ างเลอื ก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

ลกั ษณะผล ผลเปน็ ผลแห้ง รปู ทรงกลม ขนาดเลก็ แกแ่ ตก 3 พู เมลด็ รปู ไขก่ ลม ผิวเป็นมนั สดี า� มเี มล็ดจ�านวนมาก สว่ นท่ใี ช้ประโยชน์ ทุกส่วนสามารถน�ามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด แต่ส่วนท่ีส�าคัญ และมีคุณค่ามากท่ีสุดก็คือส่วนเหง้าท่ีแก่จัดได้ท่ีแล้ว มีสรรพคุณและ สารส�าคัญหลากหลายจนได้จัดเป็นหนึ่งเคร่ืองยาสมุนไพรพ้ืนฐานท่ีได้ รบั ความสนใจ ตลอดจนมงี านวิจัยรองรับมากมายอีกด้วย กองการแพทยท์ างเลอื ก 93 กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

สารสา� คญั เหงำ้ พบสารกลมุ่ arylbutenoid คอื cassumunarin สารสเี หลอื ง เปน็ สารกลมุ่ เคอรค์ มู นิ อยดท์ พี่ บ ไดแ้ ก่ cassumunin A-C, curcumin, น�้ามันหอมระเหยที่กล่ันจากเหง้ามี sabinene เป็นองค์ประกอบหลัก ประมาณ 50% terpene-4-ol ประมาณ 20% triquinacene 1, 4-bis (methoxy), (Z)-ocimene และสารอ่ืน ๆ พบสารสเตียรอยด์ beta-sitosterol สาร 4-(4-hydroxy-1-butenyl) veratrole มีฤทธิ์ ขยายหลอดลม ใบ ประกอบดว้ ยนา้� มนั หอมระเหยหลายชนิด เช่น sabinene, β-pinene, caryophyllene oxide และ caryophyllene สรรพคุณ เหงำ้ ขบั ลมในล�าไสแ้ ก้จกุ เสียด ขบั ประจ�าเดอื น มีฤทธิ์ระบาย ออ่ น ๆ แกบ้ ดิ สมานลา� ไส้ ทาแกเ้ คลด็ ยอก ฟกบวม เสน้ ตงึ เมอ่ื ย เหนบ็ ชา สมานแผล ดอก ขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย แก้อาเจียนเป็นโลหิต แกเ้ ลือดกา� เดาออกทางจมูก แก้ช้�าใน ขบั ระดู (ประจา� เดือน) ลำ� ตน้ ชว่ ยเร่ืองปรบั สมดุล ใบ ช่วยแกป้ วดเม่อื ยหรอื มีไข้ รำก ช่วยบรรเทาอาการเลือดก�าเดาไหลได้ ขับโลหิต ท�าให้ ประจ�าเดือนมาตามปกติ แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ท้องผูก แก้เคล็ดยอก แก้โรคผิวหนัง แก้อาเจียนเปน็ เลือด 94 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข

การปลูก 1. ฤดูเพำะปลูก ส่วนมากจะอยู่ในช่วงฤดูฝนหรือก่อนฤดูฝน เล็กน้อย ประมาณเดอื นเมษายน-พฤษภาคม 2. กำรเตรียมพ้ืนที่ ระบบแวดล้อมท่ีห่างจากเกษตรเคมี หากหลกี เลย่ี งจากแปลงปลกู เคมไี มไ่ ด้ ทา� แนวปอ้ งกนั เชน่ ชนั้ ท่ี 1 ปลกู หญ้าเนเปยี ร์ ช้นั ท่ี 2 ปลกู กล้วย หรือปลูกไผ่เป็นแนว หรือปลูกพชื ท่ีใช้ ประโยชนไ์ ด้ 3. กำรเตรยี มดิน 3.1 ตรวจเชค็ ดิน - สารพิษตกคา้ ง - โลหะหนกั อาทเิ ชน่ สารหนู ทองแดง ตะกวั่ แคดเมยี ม - ตรวจเชค็ ชนดิ ของดนิ - ตรวจวัดคา่ ความเป็นกรด-ดา่ ง (PH) 3.2 ตรวจธาตอุ าหาร การเตรยี มดนิ ปลกู ไพลจา� เปน็ ตอ้ งไถพรวน เพอ่ื ใหด้ นิ รว่ นซยุ ขนึ้ ถา้ เปน็ พน้ื ทที่ ม่ี วี ชั พชื มากและหนา้ ดนิ แขง็ ควรไถพรวนไมน่ อ้ ยกวา่ 2 ครง้ั คือ ไถดะ เพ่ือก�าจัดวัชพืชและเปิดหน้าดินให้ร่วนซุย แล้วตากดินไว้ 1-2 สปั ดาห์ เพือ่ ทา� ลายไขแ่ มลง เชื้อโรคในดนิ และไถแปร อย่างนอ้ ย 2 รอบ เพื่อใหด้ นิ ฟูรว่ นซยุ กองการแพทย์ทางเลือก 95 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

4. กำรเตรยี มพนั ธุ์ ต้องเป็นหวั พันธท์ุ ่ีมีอายุมากกวา่ 1 ปมี ีตา สมบรู ณไ์ มม่ โี รคแมลงเขา้ ทา� ลาย ปลอ่ ยใหห้ วั พนั ธฟ์ุ กั ตวั ในระยะเวลาหนง่ึ หวั พนั ธม์ุ ตี า 3-5 ตาได้ กอ่ นนา� ไปปลกู ควรแชห่ วั พนั ธใ์ุ นเชอ้ื ราไตรโคเดอรม์ า แลว้ น�าไปผ่งึ ให้แหง้ ก่อนนา� ไปปลกู (หัวพันธอ์ุ นิ ทรยี )์ 96 กองการแพทยท์ างเลือก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

5. กำรเตรียมแปลง การเตรียมแปลงปลูก มีดังน้ี 5.1 หลงั จากไถพน้ื ท่ีแลว้ ปรับพ้นื ที่วัดระดับนา�้ เพอ่ื หาระดับ การลาดเทของพืน้ ท่หี าทศิ ทางการไหลของน�้า ไม่ใหน้ �้าทว่ มขังแปลง 5.2 แปลงปลกู สภาพยกสนั รอ่ ง หรอื ยกแปลงใหส้ งู จากระดบั ดนิ เดมิ 40-50 เซนตเิ มตร แปลงกวา้ ง 120 เซนตเิ มตร (ปลกู สลบั ฟนั ปลา ได้ 2 แถว) ระหว่างแปลงควรหา่ งกันอยา่ งนอ้ ย 80 เซนติเมตร-1 เมตร เพ่ือให้มีร่องระบายน�้าได้ดี หรือยกร่องเหมือนปลูกมันส�าปะหลัง แต่สันแปลงควรกวา้ ง 80 เซนติเมตร (ปลกู ได้ 1 แถว) การยกแปลงสงู เพื่อลดการดูดสารโลหะหนักของรากพืช การดูดอาหารของรากพืชจะ อย่ทู ีค่ วามลึกประมาณ 30-50 เซนตเิ มตร กองการแพทย์ทางเลือก 97 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

5.3 การใส่อินทรียวัตถุในแปลงปลูก อินทรียวัตถุทุกชนิด ต้องตรวจเช็คสารพิษตกค้างในอินทรียวัตถุทุกชนิดก่อนการหมัก และ หลงั การหมกั อนิ ทรยี วตั ถหุ มกั อยา่ งนอ้ ย 3 เดอื น หรอื 90 วนั ประกอบ ไปดว้ ย มลู ววั แกลบดบิ ขยุ มะพรา้ ว เศษใบไมห้ รอื อนิ ทรยี วตั ถใุ นทอ้ งถน่ิ ในอัตราสดั ส่วน 1:1 ตอ่ ตารางเมตร และใสฮ่ วิ มัสธรรมชาติ เพ่อื ใหด้ นิ ร่วนซุย เพิ่มประสทิ ธภิ าพให้กบั รากพชื รากพืชน�าไปใช้ในการสรา้ งหวั แลว้ ใช้รถพรวนดินผสมคลุกเคลา้ ให้เขา้ กัน และแต่งแปลงอีกคร้งั 5.4 ระบบน�้า แตล่ ะแปลงจะประกอบไปดว้ ย 2 ระบบคือ 1) สปริงเกอร์ ความสูงของหลกั สปริงเกอร์ 1.20 เมตร ระยะห่างของหวั สปรงิ เกอร์ 4 เมตร เพ่ือล้างใบ ลา้ งน�า้ ค้าง ลา้ งเชอ้ื รา ชนดิ ต่าง ๆ ล้างไข่แมลง ล้างสิ่งสกปรก และสร้างความชน้ื สัมพทั ธ์ใน แปลงปลกู 2) นา้� หยด จะเปน็ เทปนา้� หยด หรอื สายนา�้ หยด ระยะหา่ ง รูเทปนา้� หยด 25 เซนตเิ มตร 1 แปลงจ�าเป็นตอ้ งใชเ้ ทปนา้� หยดท้งั หมด 4 เส้น ระยะห่างแต่ละเสน้ 30 เซนติเมตร เพือ่ ใหน้ ้า� และอาหารให้เพียง พอต่อความต้องการของพชื และลดการสูญเสยี อาหารและน�า้ ทพี่ ชื 98 กองการแพทย์ทางเลอื ก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

จะไดร้ บั เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการใหป้ ยุ๋ และนา�้ และระบบนา้� แตล่ ะชนดิ จะแยกทอ่ เมนยอ่ ยของแตล่ ะชนดิ เพอื่ ใหก้ ารควบคมุ การใหน้ า้� ไดส้ ะดวก มากขึน้ ระบบนา�้ ตอ้ งเปน็ ระบบนา้� ทสี่ ะอาด ไมค่ วรใชแ้ หลง่ นา�้ ในธรรมชาติ เน่ืองจากมีการปนเปื้อนสูง หากมีการใช้แหล่งน้�าธรรมชาติ ควรน�ามา พักทิง้ ไวใ้ นบ่อทเี่ ตรยี มไว้ (บ่อท่ีมขี อบสูงกวา่ ทางนา้� ไหลบา่ ของน้�าฝน) และต้องบ�าบดั ดว้ ยการเพ่ิมออกซเิ จน หรือบา� บดั ดว้ ยพชื ทม่ี ีคุณสมบตั ิ ในการดูดซบั สารพษิ ไดด้ ี เชน่ จอก ผักตบชวา เปน็ ตน้ 5.5 การคลมุ ฟาง ฟางควรมกี ารหมกั อยา่ งนอ้ ย 1 เดอื น และ มกี ารตรวจหาสารพษิ ตกค้างและสารโลหะหนักในฟาง กอ่ นคลมุ แปลง ในการคลมุ แปลงแตล่ ะแปลง ใหม้ คี วามหนาประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร คลุมตลอดจนถึงขอบแปลงด้านล่าง เพ่ือรักษาความชื้นในดิน และ ป้องกันวัชพืชข้ึนแซม และรดด้วยเชื้อปฏิปักษ์ (เชื้อราไตรโคเดอร์มา) 1 สปั ดาหก์ อ่ นปลกู เพอ่ื ปอ้ งกนั และกา� จดั เชอื้ ราชนดิ อนื่ ทสี่ ง่ ผลตอ่ การ เกิดโรคราเน่าโคนเน่า และลดปริมาณก๊าซการหายใจของจุลินทรีย์ เนือ่ งจากการยอ่ ยสลายของอนิ ทรยี วตั ถุ (เกิดความร้อน ทา� ใหอ้ ณุ หภมู ิ ในดนิ สูง) และเพ่มิ จลุ ินทรยี ใ์ นดิน กองการแพทยท์ างเลอื ก 99 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

6. วธิ ปี ลกู หลงั จากเตรยี มแปลงแลว้ เสรจ็ คลมุ ฟางหนาประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร ปลกู ไพล ระยะปลกู 25x25 เซนตเิ มตร โดยใชไ้ มแ้ หลม หรือเสียมเจาะหลุมให้ใกล้เคียงหัวน้�าหยด แล้ววางหัวพันธุ์ใช้ดินกลบ เกล่ียฟางคลมุ เป็นการปลูกเสรจ็ เรียบรอ้ ย ขอ้ ห้ำม หา้ มบุคคลภายนอกทไ่ี มม่ สี ่วนเกย่ี วขอ้ งกับการปฏบิ ตั ิ หน้าที่ในแปลง เข้าแปลงก่อนได้รับอนุญาต พนักงานท่ีจะต้องปฏิบัติ งานในแปลง ต้องมีการฉีดพ่นฆา่ เช้ือก่อนเขา้ แปลง เพอ่ื ป้องกันการน�า เช้อื โรคจากภายนอกเขา้ ส่แู ปลง ทุกครง้ั ทม่ี กี ารฉีดพน่ เชอ้ื ปฏิปักษ์ และ สารสกัดสมนุ ไพร ตอ้ งมกี ารใสช่ ดุ คลมุ ปอ้ งกนั ทกุ ครั้ง การดแู ลรกั ษา 1. กำรใหน้ ำ้� ไพลเปน็ พชื ทต่ี อ้ งการความชนื้ สงู แตไ่ มต่ อ้ งการ สภาพทีช่ ้นื แฉะ การให้น�า้ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือช่วงเช้า และชว่ งบ่าย หรอื ตามความเหมาะสม 100 กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

2. กำรให้ปุ๋ย จะให้ปยุ๋ อยู่ 3 ประเภทคือ 2.1 ปุ๋ยหมัก อินทรียวัตถุทุกชนิด ต้องตรวจเช็คสารพิษ ตกคา้ งในอนิ ทรยี วตั ถทุ กุ ชนดิ กอ่ นการหมกั และหลงั การหมกั อนิ ทรยี วตั ถุ หมักอยา่ งนอ้ ย 3 เดือน หรอื 90 วัน ประกอบไปดว้ ย มลู ววั แกลบดิบ ขยุ มะพร้าว เศษใบไม้หรอื อนิ ทรียวตั ถุในท้องถนิ่ หลงั จากนน้ั ก็น�ามาใส่ ในแปลงปลกู การหมักอินทรียวัตถุทุกคร้ังต้องใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่น และ ไตรโคเดอร์มาผสมน�า้ รดอินทรยี วัตถทุ ี่หมกั 2.2 อาหารพชื ชนดิ น้า� และฮอร์โมนพืชตา่ ง ๆ จะใช้ทั้งหมด 2 แบบ คอื 1) ฉดี พน่ ทางใบ 2) ใหท้ างนา�้ หยด การใหอ้ าหารพชื ชนดิ นา้� และฮอร์โมนพชื ตา่ ง ๆ จะให้ในช่วงเวลาเชา้ เท่านน้ั 2.3 ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด จะใส่ในแปลงปลูกใส่ในอัตราตาม ช่วงอายขุ องพชื แตล่ ะชว่ ง 3. กำรกำ� จดั วชั พชื ควรเอาใจใสด่ แู ลกา� จดั วชั พชื อยา่ งสมา�่ เสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังต้นงอกและระยะที่ต้นยังเล็ก กรณีท่ีมีวัชพืช ขน้ึ มากควรใชม้ อื ในการกา� จดั หา้ มใชจ้ อบดายหญา้ และของมคี มดายหญา้ โดยเด็ดขาด ลดการท�าลายรากพชื (งดการพรวนดิน งดการใช้อปุ กรณ์ มคี มทกุ ชนิดในการกา� จัดวัชพืช เพราะเปน็ การทา� ลายรากพชื จะทา� ให้ พืชชะงกั การเจรญิ เติบโต) กองการแพทยท์ างเลอื ก 101 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

การป้องกนั กา� จดั โรคและแมลง โรคของไพล หมน่ั ตรวจเช็คโรคพืชและแมลงศตั รูพชื ในชว่ งเชา้ และเยน็ ทกุ วนั โรคของไพลทพี่ บไดแ้ ก่ โรคเหงา้ และรากเนา่ เกดิ จากนา้� ขงั หรอื การใหน้ า้� มากเกนิ ไป โรคใบจดุ รานา้� คา้ ง ฉดี พน่ เชอ้ื ราไตรโคเดอรม์ า (ฉดี พน่ ตอนเยน็ เทา่ นนั้ และพน่ ตอ่ เนอื่ ง 4 วนั เพอ่ื ตดั วงจรการขยายเชอื้ รา) ศตั รูพืช ได้แก่ 1) แมลงดูดกินน�้าเลี้ยง (Scale insect หรอื Sucking insect) เช่น เพลี้ย หอย มักวางไข่ไว้ท่ีผิวเปลือกเหง้าเห็นเป็นสะเก็ดสีขาว ดูดกินน�้าเล้ียงท�าความเสียหายแก่ต้นและเหง้า พบได้ทั้งในแปลงและ ในระยะหลังเก็บเก่ียว ใช้สารสกัดจากพืชและสมุนไพรในการป้องกัน และก�าจดั เชน่ สารสกดั จากพรกิ ขา่ แก่ และเปลือกไม้ และการฉดี พ่น เชอื้ ราบวิ เวอรเ์ รยี เมธาไรเซยี่ ม (ฉดี พน่ ตอนเยน็ เทา่ นนั้ และพน่ ตอ่ เนอ่ื ง 4 วัน เพอ่ื ทา� ลายในแตล่ ะการเจริญวยั ของแมลง) และใช้ถุงกาวเหลือง ดกั แมลง ทุกระยะ 4 เมตร เพ่อื ตรวจสอบชนิดและปริมาณของแมลง และระยะการเจริญวยั ของแมลง 2) หนอนหรือแมลงกัดกินใบ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเจริญ เติบโตของพชื การป้องกันกา� จัด ในเบื้องต้นควรท�าลาย ใชส้ ารสกัดจาก พืชและสมนุ ไพรในการป้องกนั และกา� จัด เชน่ สารสกัดจากพรกิ ขา่ แก่ และเปลือกไม้ และการฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย เมธาไรเซี่ยม (ฉีดพ่น ตอนเยน็ เทา่ นนั้ และพน่ ตอ่ เนอ่ื ง 4 วนั เพอ่ื ทา� ลายในแตล่ ะการเจรญิ วยั ของแมลง) และใชถ้ งุ กาวเหลอื งดกั แมลง ทกุ ระยะ 4 เมตร เพอื่ ตรวจสอบ ชนดิ และปรมิ าณของแมลง และระยะการเจริญวัยของแมลง 102 กองการแพทยท์ างเลอื ก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

การปอ้ งกนั และก�าจดั ในส่วนของโรคพชื จะใชเ้ ช้ือราไตรโคเดอร์มา และเปลอื กไมท้ ีม่ ี รสฝาด ในการปอ้ งกันและกา� จดั สว่ นของแมลงศัตรพู ืช จะใชส้ ารสกดั จากธรรมชาตใิ นการปอ้ งกนั และกา� จดั และเชอื้ ราบวิ เวอรเ์ รยี เมธาไรเซย่ี ม และสารจับใบจากธรรมชาติร่วมด้วยทุกคร้ัง ในการฉีดพ่นเช้ือราและ สารสกัดจากพชื จะท�าการฉีดพ่นในชว่ งเย็น การพ่นปอ้ งกนั และกา� จัด โรคพืชและแมลงควรผสมสารจับใบจากธรรมชาติ เพื่อให้สารจับใบ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการท�างานของสารสกัดและเช้ือปฏิปักษ์ ให้เกาะติดกบั ตัวแมลง ใบของพชื ได้นาน การเกบ็ เกีย่ ว ฤดูเก็บเกยี่ ว ควรเกบ็ ในฤดแู ล้ง 1. กำรเกบ็ เกยี่ ว ตง้ั แตเ่ รมิ่ ปลกู จนถงึ วนั ทเี่ กบ็ เกยี่ วผลผลติ ไพล จะใชร้ ะยะเวลานาน 2-3 ปีเปน็ ระยะเวลาทีเ่ หมาะสม ในการนา� ไพลไป สกดั นา้� มนั จะไดป้ รมิ าณนา้� มนั มาก และมคี ณุ ภาพหวั ไพลจะเกบ็ ชว่ งเดอื น มกราคม-มีนาคม จะสงั เกตเห็นต้นไพลแหง้ และฟุบลงกบั พน้ื ห้ามเกบ็ หวั ไพลขณะทเ่ี รมิ่ แตกหนอ่ ใหม่ เพราะจะทา� ใหไ้ ดน้ า้� มนั ไพลทม่ี ปี รมิ าณ และคณุ ภาพตา�่ (มกี ารตรวจสารสา� คญั และสารพษิ ตกคา้ ง ตงั้ แต่ 5 เดอื น ถึงระยะการเกบ็ เกย่ี ว) 2. วิธีเก็บเกี่ยว ใช้จอบ เสียมขุด หรือนิยมใช้อีเทอร์ (อีจิก) ขดุ เหง้าไพลขนึ้ มาจากดนิ (ต้องระวังไม่ใหเ้ กิดแผลหรอื รอยช้า� กับเหงา้ ) เขยา่ ดินออก และเก็บเกีย่ วหลังปลูก 21 เดือน กองการแพทยท์ างเลือก 103 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

3. ผลผลติ ปรมิ าณผลิตไพลสด 10,000-13,000 กโิ ลกรมั /ไร่ 4. กำรทำ� ควำมสะอำด คดั แยกหวั และแงง่ ออกจากกนั ตดั ราก และส่วนต่าง ๆ ท่ีไม่ต้องการทิ้ง คัดเลือกส่วนที่สมบรูณ์ปราศจากโรค และแมลงนา� มาลา้ งดว้ ยนา�้ สะอาดหลายๆ ครง้ั จากนนั้ คดั แยกสว่ นของ ผลผลติ ท่ีจะน�าไปท�าแห้งและเก็บรักษาไวท้ �าหัวพนั ธ์ตุ อ่ ไป การบรรจแุ ละการเกบ็ รักษา เพื่อให้สมุนไพรคงสภาพท่ีดีไม่สูญเสียสารส�าคัญหลังการเก็บ เกยี่ วปลอดภยั ในการใชเ้ ราควรคา� นงึ ถงึ ขนั้ ตอนตา่ ง ๆ หลงั การเกบ็ เกย่ี ว ดงั นี้ คือ 1. กำรคัดเลือกสิ่งปนเปื้อน สมุนไพรที่เป็นส่วนของพืชท่ีอยู่ ใตด้ ิน จะมีสง่ิ ปนเปื้อนมากกว่าสว่ นของพืชทีเ่ หนือดนิ เชน่ มดี ินทราย หรือส่วนของพืชอ่ืนปะปนมาด้วย ควรคัดเลือกสิ่งเหล่าน้ีออกให้หมด ก่อนน�าไปท�าความสะอาด สิ่งปนปลอมที่ท�าให้สมุนไพรมีคุณภาพต�่า อาจเกดิ จากสาเหตตุ า่ ง ๆ กนั เชน่ สมนุ ไพรตา่ งชนดิ กนั แตน่ า� มาจา� หนา่ ย แทนกันทั้งที่มีสรรพคุณทางยาต่างกัน โดยท่ีสมุนไพรต่างชนิดกันนั้นมี ลกั ษณะภายนอกคล้ายกนั หรอื มชี ือ่ เรียกคล้ายกนั 2. กำรท�ำควำมสะอำดสมุนไพร สมุนไพรส่วนใหญ่ต้อง ทา� ความสะอาดหลงั เกบ็ เกย่ี วทนั ที และทา� ใหแ้ หง้ โดยเรว็ ทสี่ ดุ เพอื่ ปอ้ งกนั การทา� ลายของเชอ้ื จลุ นิ ทรยี แ์ ละแมลงศตั รพู ชื ของสมนุ ไพร แตบ่ างชนดิ ไม่สามารถท�าความสะอาดด้วยน�้า เช่น จ�าพวกดอกซ่ึงหลุดร่วงได้ง่าย หรือส่วนท่ีเป็นผลหรือเมล็ด 104 กองการแพทย์ทางเลอื ก กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

3. กำรลดขนำดสมนุ ไพร สมนุ ไพรทมี่ ขี นาดใหญ่ หรอื หนาหรอื มเี นอ้ื แขง็ ตอ้ งตดั ใหเ้ ลก็ หรอื บางลง เพอื่ ใหส้ มนุ ไพรแหง้ งา่ ยและสะดวก ในการเก็บรักษา เช่น จ�าพวกรากหรือล�าต้นใต้ดิน เปลือกไม้เนื้อไม้ หรือผล ควรหั่นหรือฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ก่อนท�าให้แห้ง กรณีท่ีต้อง เตรียมสมุนไพรเป็นผง อาจหั่นเปน็ ชนิ้ ความหนาประมาณ 4 มิลลิเมตร กว้างและยาวประมาณ 15 มิลลเิ มตร เพอ่ื สะดวกในการบดเปน็ ผง 4. กำรทำ� ใหแ้ หง้ การอบสมนุ ไพรมีข้อควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ คือ - ควรเกลยี่ สมนุ ไพรให้แผ่บาง ๆ บนภาชนะ ถ้าซ้อนทับกนั หนาท�าใหเ้ กดิ ความรอ้ น สมนุ ไพรจะมีสีด�าคณุ ภาพลดลง - ดอกควรทา� ใหแ้ หง้ เรว็ ทส่ี ดุ เพอ่ื ถนอมสขี องดอกใหเ้ หมอื นเดมิ ถ้าเปน็ ดอก ทีม่ กี ลิ่นหอม ควรผึ่งในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หรือตาม แดดช่วงสั้น เพ่ือป้องกันการเกิดเช้ือรา ดอกบางชนิดอาจมัดรวมกัน แขวนตากไวบ้ นราว - ใบอาจทา� ใหแ้ หง้ วธิ เี ดยี วกบั ดอก ใบทอ่ี มุ้ นา�้ ไวม้ ากอาจเพม่ิ ความร้อนใน การอบแหง้ ใหส้ ูงกวา่ ปกติ - ทง้ั ตน้ ของพชื ลม้ ลกุ ถา้ ไมอ่ มุ้ นา�้ ไวม้ ากอาจผกู มดั รวมเปน็ กา� แลว้ ตากแห้ง - รากและลา� ตน้ ใต้ดนิ เวลาตากหรืออบแหง้ ในตู้ ควรหมัน่ กลบั สมุนไพรบ่อย ๆ เพื่อป้องกนั เชื้อรา กองการแพทย์ทางเลอื ก 105 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

ตำรำงแสดงอุณหภูมทิ ี่ใช้อบสมนุ ไพรให้แหง้ ชนดิ ของสมุนไพร อุณหภูมทิ ท่ี �ำใหแ้ หง้ 1. ดอก ใบ ต้น (องศำเซลเซียส) 2. ราก กึ่งราก ผิว 3. ผล 20-30 4. สมนุ ไพรที่มนี �า้ มันหอมระเหย 30-65 5. สมนุ ไพรทม่ี ไี กลโคไซดแ์ ละอลั คาลอยด์ 70-75 25-30 50-60 5. กำรบดรอ่ นสมนุ ไพร สมนุ ไพรทตี่ อ้ งบดเปน็ ผงละเอยี ด ควร อยู่ในสภาพแห้งกรอบจึงจะบดได้ดี อาจทดสอบความกรอบได้ง่าย ๆ โดยลองหักสมุนไพรว่าหักได้ง่ายหรือไม่ หรือลองป่นด้วยมือว่าเป็นผง ไดง้ า่ ยหรือไม่ สมนุ ไพรก่อนบดควรมคี วามชน้ื ไมเ่ กินรอ้ ยละ 5 6. กำรเก็บบรรจุสมุนไพร หลังจากสมุนไพรแห้งสนิทแล้ว ต้องเกบ็ ในถุงหรอื ภาชนะท่ีสะอาด แยกเก็บสมุนไพรแต่ละชนิดใหเ้ ปน็ สดั สว่ นถา้ เปน็ สมนุ ไพรทชี่ นื้ งา่ ย ตอ้ งหมนั่ นา� ออกผงึ่ แดดหรอื อบแหง้ อยู่ เสมอทกุ 2-3 เดอื น 106 กองการแพทยท์ างเลอื ก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

เอกสำรอ้ำงอิง 1. ส�านักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�าริ (ส�านักงาน กปร.) และศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานโครงการอันเน่ืองมาจาก พระราชด�าริ จ.สกลนคร 2555. ข้อมูลการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพร. พิมพค์ รั้งท่ี 2, กรุงเทพมหานคร:บริษทั มฟู เม้นท์ เจน ทรี จา� กดั . 2. ฐานข้อมลู สมุนไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอบุ ลราชธานี. 27 พฤษภาคม 2564. ไพล (ออนไลน์). เข้าถึงได้จากhttp://www.phargarden.com/main.php? action=viewpage&pid=192. 3. ศนู ยร์ วมบทความ สาระนา่ รู้ขา่ วสาร เกยี่ วกบั การเกษตร และเรอื่ งราวอน่ื ๆ ทนี่ า่ สนใจ. 2561. การปลูกไพล (ออนไลน์). เข้าถึงไดจ้ าก https://www.shorturl.asia/8kiTb. 4. อุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาสิรีรุกขชาติ มหาวทิ ยาลยั มหิดล 2560. ไพล (ออนไลน)์ . เข้าถงึ ได้ จาก https://www.sireepark.mahidol.ac.th/search. 5. Ampro Health 2561. ไพล ประโยชนแ์ ละสรรพคณุ ทใี่ ครหลายคนเคยมองขา้ ม (ออนไลน)์ . เข้าถงึ ไดจ้ าก https://amprohealth.com/herb/zingiber-cassumunar/. 6. Medthai สมนุ ไพร 2560. สรรพคุณและประโยชนข์ องไพล 42 ข้อ ! (ปเู ลย) (ออนไลน)์ . เข้าถงึ ได้จาก https://www.medthai.com/ กองการแพทย์ทางเลอื ก 107 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ