การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสงั คมศกึ ษา ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โดยใช้ชุดฝกึ ทักษะการ เรยี นรู้สาระเศรษฐศาสตร์ ประจาปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ นกิ ร ไชยบตุ ร โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ จงั หวดั เชียงใหม่ สงั กัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ก ชื่อเรอื่ ง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าสังคมศกึ ษาของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเรียนรสู้ าระเศรษฐศาสตร์ ผู้ศึกษาคน้ คว้า นายนิกร ไชยบุตร ปีการศกึ ษา 256๓ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ ๖ ท่ีมีประสิทธิภาพ และเพ่ือ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝกึ ทกั ษะการเรยี น สาหรับนกั เรยี นช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ ๖ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ภาคเรียนที่ 2/256๓ โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จานวน ๑๒๐ คน เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการรวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ แบบฝึกทักษะการ เรียน สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉล่ีย ผลการวิจัยพบวา่ 1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรยี น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ทีผ่ ู้วจิ ัยสร้างขึน้ มปี ระสทิ ธิภาพ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ สูงขึน้
ข กิตตกิ รรมประกาศ การวิจัยในช้ันเรียน เร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สาเรจ็ สมบรู ณไ์ ด้โดยความกรุณาเปน็ อยา่ งยิ่งจาก ขอขอบพระคุณนายอดิศร แดงเรือน ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ที่ใหค้ วามอนเุ คราะหอ์ งคค์ วามรู้ทเี่ ปน็ ประโยชน์ในการจดั ทาการวจิ ัยในชั้นเรยี นคร้ังน้ี ขอขอบคุณนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จานวน ๙๖ คน ที่ใหค้ วามร่วมมอื ในการศกึ ษาค้นควา้ และทดลองครง้ั น้ี สดุ ท้ายน้ี ผู้ศึกษาขอขอบพระคณุ ทุกท่านทไ่ี มไ่ ดเ้ อ่ยนาม และมีสว่ นชว่ ยในการวิจัยฉบบั น้ี นิกร ไชยบุตร
สารบัญ ค บทท่ี (ก) หน้า (ข) (ค) บทคดั ย่อ (จ) กิตตกิ รรมประกาศ สารบัญ 1 สารบัญตาราง 3 3 1. บทนา 3 ภมู หิ ลัง 3 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 3 สมมุติฐานของการวจิ ัย 3 ความสาคัญของการวิจัย 4 ของเขตของการวจิ ัย 4 เนอ้ื หา ประชากร/กลมุ่ ตวั อยา่ 6 ตวั แปรท่ใี ช้ในการวจิ ัย 11 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 11 15 2. เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 17 24 หลกั สตู รการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 ความหมายของแบบฝกึ ทกั ษะ แนวคิด/ทฤษฎใี นเรอ่ื งแบบฝึกทักษะ ความสาคญั ของแบบฝกึ ทักษะ องคป์ ระกอบของแบบฝึกทกั ษะ งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง
สารบัญ (ตอ่ ) ง บทที่ 27 หน้า 27 29 3. วิธีการดาเนินการวิจยั 29 กล่มุ เป้าหมาย 30 เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษา การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 31 การวิเคราะหข์ ้อมลู 31 สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 31 4. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 35 สัญลักษณท์ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 35 ลาดบั ขัน้ ตอนในการวิเคราะหข์ อ้ มลู 36 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 36 37 5. สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 38 วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 39 ขอบเขตของการวิจยั เครอ่ื งมือที่ใช้ในของการวจิ ัย สรปุ ผลการวิจยั อภิปรายผลการวจิ ัย ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ยี วชาญในการตรวจคุณภาพเคร่อื งมือ ภาคผนวก ข เคร่อื งมอื ในการศึกษา
จ สารบัญตาราง 32 34 ตารางท่ี หนา้ 1. คา่ เฉลยี่ และร้อยละ ของแบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน และคะแนนแบบฝึกทกั ษะทางการเรยี นวิชาสังคมศกึ ษาฯ 2. ค่าเฉลย่ี และร้อยละ ของคะแนนแบบฝกึ ทกั ษะทางการเรียนวิชาสังคมศกึ ษาฯ
๑ บทที่ 1 บทนา ภมู หิ ลงั พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้บัญญัติในเรื่องแนวทางการจัดการศึกษา หมวด 4 ตามมาตรา 22 ไว้วา่ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักวา่ ผู้เรียนทกุ คนมีความสามารถเรียนร้แู ละ พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเน้ือหาสาระและ กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยวิธีต่างๆ ตามสติปัญญาและความสามารถของตนการจัดการศึกษามุ่งเน้น ความสาคญั ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คณุ ธรรม กระบวนการเรียนรแู้ ละความรับผดิ ชอบ ตอ่ สังคม เพ่ือพัฒนาคนใหม้ ีความสมดุล โดยยดึ หลักผูเ้ รียนสาคัญท่ีสุด ( กระทรวงศึกษาธิการ.2542 : 23 ) การวิจัยเป็นเครื่องมอื สาคัญประการหนึ่งที่จะชว่ ยให้การปฏิรปู การเรยี นรู้ ประสบความสาเร็จ ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษา ของไทย ไดใ้ ห้ความสาคัญกับการวจิ ยั และกาหนดมาตรา หลายมาตราท่ีชใี้ หเ้ ห็นว่าการวจิ ัยเปน็ ส่วนหนึ่ง ของกระบวนการเรียนรู้ กล่าวคือ มาตรา 24 (5) ระบุใหใ้ ชก้ ารวจิ ัยเป็นส่วนหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ ผเู้ รียนสามารถใช้การวิจยั เพื่อศึกษาค้นคว้าหาคาตอบหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน การวิจัยจึงสัมพันธก์ ับ กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยฝึก กระบวนการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผลในการตอบปัญหา และแก้ไข ปัญหา มาตรา 30 ระบุให้ครูผู้สอนทาการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ผู้สอนนอกจากจัดกระบวนการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้การวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาหรือสิ่งท่ีต้องการรู้ คาตอบ พัฒนาควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกระบวนการจัดการเรียนการสอนและทาการ วจิ ยั ให้เป็นกระบวนการเดยี วกัน การเรียนการสอนกลุ่มสาระสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในโรงเรียน ส่วนใหญ่จัดผู้เรียน เปน็ ห้องๆ แต่ละห้องมีผู้เรียนจานวนมาก โดยให้ผู้เรียนเรียนคละกันทั้งเก่งและออ่ น ดังน้ันการปลูกฝัง ความมีระเบียบวินัย คุณธรรม ความซ่ือสตั ย์ ความเป็นมนษุ ย์ ความกตัญญู รกั เกียรตภิ ูมิแห่งตน เหน็ แก่ ประโยชน์ส่วนรวม มีความรู้จักคิดวิเคราะห์ การทางานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิของผู้อื่น เสียสละรัก ประเทศชาติ เห็นคุณค่าอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและสง่ิ แวดล้อม ศรัทธาในศาสนา จึงพัฒนา ให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นมนษุ ย์ที่สมบูรณ์ ได้ยาก เพราะขัดกับหลกั จติ วิทยาและธรรมชาติ ของการเรียนรู้ เพราะผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านสติปัญญา ความถนัด คุณธรรม จริยธรรม ความสามารถและประสบการณ์ จึงทาใหผ้ ้เู รียนมีความรู้และความ
2 เข้าใจ ในเรื่องท่ีเรียนแตกต่างกัน ถ้าครูสอนเร็วผู้เรียนท่ีเรียนอ่อนจะตามไม่ทันครูสอนซ้า อธิบายมากๆ ผู้เรียนกจ็ ะเกิดความเบอื่ หน่ายและถา้ เป็นผเู้ รียนทย่ี ังเล็กๆ การปลกู ฝงั คุณธรรมจริยธรรม จึงเป็นไปได้ยากครูผู้สอนต้องหาวิธีการสอนหลายๆอย่างเพ่ือทาให้ผู้ เรียนสนใจและมีเจคติท่ีดีต่อกลุ่ม สาระสงั คมศึกษาศาสนาแลวัฒนธรรม ในการแก้ปัญหาดังกลา่ วน้วี ิธีหนึง่ ท่จี ะช่วยในการเรยี นการสอนให้ มีประสทิ ธิภาพและยังปลกู ฝังระเบียบวินยั คุณธรรมจรยิ ธรรม ให้ดีข้นึ ไดแ้ ก่การนาเอาวิธกี ารสอนมาให้ใช้ เหมาะสมกับลักษณะวิชา กลา่ วคอื ครูจะตอ้ งหาวิธีการสอน ที่ได้ผลมาใช้กับนักเรียน ซ่ึงจะเป็นสงิ่ ที่ทา ให้การเรียนการสอนดาเนินไปอย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบันการเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาการด้านต่างๆ ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ จงึ ทาใหน้ กั เรยี นมีพฤตกิ รรมเปลีย่ นแปลงไป เม่ือพิจารณาเป้าหมายประการหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ คือ เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ ดี เก่ง มีสุข ผู้สอนจึงมีบทบาทสาคัญในการสร้างผู้เรียนให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยจะต้อง คานึงมาตรฐานคุณภาพการจัดการเรียนรู้และบูรณาการการจัดการเรียนการสอนกับการวิจัยให้เป็น กระบวนการเดียวกัน น่ัน คือ ผู้สอนจะต้องจัดกระบวนการเรียนการสอน และใช้การวจิ ัยเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการเรียนรู้ ทาการวิจัยเพ่ือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับ การศึกษา และนาผลการวิจัยมาใช้ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนบางส่วนของผู้เรียน กระบวนการวิจัยจะเปน็ การส่งเสริมให้ผู้เรยี นมีเครื่องมือการเรยี นรู้ติดตวั ไปตลอดชีวติ เพราะการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการวิจัย จะฝึกให้ผู้เรียนค้นคว้าทดลองหรือศึกษาหาความรู้อย่างมีแผนงานที่เป็นระบบ นา่ เชอ่ื ถือได้ การศึกษาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นการศึกษาเก่ียวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ ลักษณะทางกายภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา เป็นการเรียนรู้ที่จะสามารถ ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กับสภาพสังคมปจั จุบนั ไดอ้ ย่างมคี วามสุข นางผสมพร ประจันตะเสน ( 2550 ) ปญั หาที่ พบในการจัดการเรยี นการสอนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เร่อื งเศรษฐศาสตร์ นักเรียน มีความสับสนเร่ืองระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ทาให้นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่ายท้อแท้ ไม่สนใจ เรียน ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธิใ์ นการเรยี นไม่ดี ทางผู้วจิ ัยจึงเห็นสมควรแก้ปัญหาโดยการสรา้ งชดุ ฝึกการเรยี น ซึง่ จะสง่ ผลให้นกั เรยี นสนใจเรยี นมากขึน้ และมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นดีขน้ึ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพ่ือสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังค มศึกษา ศาสนา และวัฒ น ธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ท่ีมีประสทิ ธิภาพ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สาหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ สมมตุ ิฐานของการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนสงู ขน้ึ
3 ความสาคญั ของการวิจยั 1. นั ก เรียน มี ผลสั ม ฤท ธ์ิ ท างก ารเรียน วิ ชาสั งค ม ศึก ษ า ศ าสน าแล ะ วัฒ น ธรร ม สาระเศรษฐศาสตร์ เพม่ิ ขน้ึ 2. ได้แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นท่ผี า่ นการพฒั นา 3 โรงเรียนสามารถนาแนวทางน้ีไปส่งเสริมให้ครูคนอ่ืน ๆ ได้นาไปพัฒนากลุ่มสาระอ่ืนๆ ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ ขอบเขตของการวิจยั 1. เนอื้ หา การวจิ ยั คร้งั นี้ผู้วิจยั ไดใ้ ชเ้ นื้อหาของกล่มุ สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมของนกั เรยี น ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ สาระ เศรษฐศาสตร์ ได้แก่ 2.1 แบบฝกึ การเรียนชุดท่ี 1 เรอ่ื ง ความสาคัญและเป้าหมายของเศรษฐศาสตร์ 2.2 แบบฝึกการเรียนชดุ ท่ี 2 เรอื่ ง วเิ คราะหป์ ัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 2.3 แบบฝกึ การเรยี นชุดที่ 3 เร่ือง กจิ กรรมทางดา้ นเศรษฐศาสตร์ 2.4 แบบฝกึ การเรยี นชดุ ท่ี 4 เร่ือง หนว่ ยเศรษฐกจิ 2.5 แบบฝึกการเรยี นชุดที่ 5 เรื่อง ระบบเศรษฐกจิ แบบ ทุนนิยม สงั คมนิยมและแบบ ผสม 2. ประชากร/กลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ท่ีใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 256๓ โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓ ๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สังกดั สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ จานวน ๙๖ คน กลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา 256๓ โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓ ๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สังกดั สานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ จานวน ๙๖ คน ซ่งึ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง 3. ตวั แปรที่ใชใ้ นการวจิ ยั 3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จานวน ๙๖ คน 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ ที่ใช้แบบฝึกทักษะทางการเรยี น นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. แบบฝึกทักษะการเรียน หมายถึง แบบฝึกทักษะที่ผู้ค้นคว้าสร้างขึ้นโดยใช้เนื้อหาวิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ในระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. นักเรยี น หมายถึง นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ ปีการศกึ ษา 256๓ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ สงั กัดสานกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ จานวน ๙๖ คน 3. แบบทดสอบ หมายถงึ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ที่ผู้รายงานสร้างข้ึน เพ่ือทดสอบนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ ๖ ก่อนและหลงั การทดลอง
4 4. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถงึ แผนการจดั การเรียนร้วู ิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและ วฒั นธรรม เก่ียวกบั เรื่อง การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยม ศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ โดยใช้ แบบฝกึ ทักษะการเรยี นท่ีผู้รายงานสรา้ งขน้ึ 5. โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สังกดั สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ 6. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนท่ีนักเรียนทาได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นท่ผี ู้ศึกษาสร้างขนึ้
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการเพิ่มผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ โดยใช้ แบบฝึกทักษะการเรียน ผู้ศึกษาได้ค้นคว้าเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง โดยลาดับ เน้อื หาทเ่ี ปน็ สาระสาคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. หลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 2. ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ 3. แนวคิด/ทฤษฎีในเรือ่ งแบบฝกึ ทักษะ 4. ความสาคญั ของแบบฝกึ ทักษะ 5. องคป์ ระกอบของแบบฝกึ ทกั ษะ 6. งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง - งานวจิ ยั ในประเทศ หลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 โครงสรา้ งหลกั สตู ร เพ่ือให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ ที่ กาหนดไว้ให้สถานศึกษาและผู้ที่เก่ียวข้องมีแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรสถานศึกษา จึงได้กาหนด โครงสรา้ งของหลักสูตรการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน ดงั นี้ 1. ระดบั ช่วงชนั้ กาหนดหลักสตู รเปน็ 4 ช่วงช้ัน ตามระดบั พัฒนาการของผู้เรียน ดังนี้ ช่วงช้ันท่ี 1 ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1–3 ชว่ งชัน้ ท่ี 2 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4–6 ชว่ งชนั้ ท่ี 3 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1–3 ช่วงชัน้ ที่ 4 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4–6 2. สาระการเรียนรู้ กาหนดสาระการเรียนรูต้ ามหลักสูตร ซึง่ ประกอบด้วย องคค์ วามรู้ ทกั ษะหรือกระบวนการ การเรียนรู้ และคุณลักษณะหรอื คา่ นยิ ม คณุ ธรรม จรยิ ธรรมของผู้เรยี นเปน็ 8 กลมุ่ ดังนี้ 2.1 ภาษาไทย 2.2 คณิตศาสตร์ 2.3 วทิ ยาศาสตร์ 2.4 สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 2.5 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 2.6 ศิลปะ 2.7 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 2.8 ภาษาต่างประเทศ
6 สาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มน้ี เป็นพื้นฐานสาคัญที่ผู้เรียนร้ทู ุกคนต้องเรียนรู้ โดยอาจจัดเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ประกอบด้วย ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เป็นสาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษาต้องใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอน เพ่ือสร้าง พ้ืนฐานการคิดและเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาและวิกฤตของชาติ กลุ่มที่สอง ประกอบด้วย สุขศึกษา และพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ เป็นสาระการเรียนรู้ท่ี เสริมสรา้ งพ้นื ฐานความเป็นมนุษย์ และสร้างศกั ยภาพในการคดิ และการทางานอย่างสรา้ งสรรค์ เร่ืองส่ิงแวดล้อมศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกาหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ไว้ ในสาระการเรียนรู้กลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะ กลุ่มวิทยาศาสตร์ กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุ่มภาษาต่างประเทศ กาหนดให้เรียนภาษาอังกฤษทุกช่วงช้ัน ส่วนภาษาต่างประเทศอ่ืนๆ สามารถเลอื กจัดการเรียนรไู้ ดต้ ามความเหมาะสม หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กาหนดสาระการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มไว้เฉพาะส่วนท่ีจาเป็นใน การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเท่านั้น สาหรับส่วนท่ีตอบสนองความสามารถ ความถนัดและความ สนใจของผู้เรียนแต่ละคนนั้น สถานศึกษาสามารถกาหนดเพิ่มข้ึนได้ ให้สอดคล้องและสนองตอบ ศกั ยภาพของผ้เู รยี นแต่ละคน 3. กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น เปน็ กจิ กรรมท่ีจัดให้ผเู้ รียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ มุ่งเน้นเพิม่ เติม จากกิจกรรมท่ีได้จัดให้เรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ท้ัง 8 กลุ่ม การเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่ เหมาะสมร่วมกับผ้อู ื่นอยา่ งมีความสุขกับกิจกรรมทเี่ ลอื กดว้ ยตนเองตามความถนดั และความสนใจอย่าง แท้จริง การพัฒนาท่ีสาคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ให้ครบทุกด้าน ท้ังร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยอาจจัดเป็นแนวทางหนึ่งท่ีจะสนองนโยบายในการสร้างเยาวชนของ ชาตใิ ห้เปน็ ผมู้ ีศลี ธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีคุณภาพ เพื่อพัฒนาองค์รวมของความเปน็ มนุษย์ ท่ีสมบูรณ์ ปลูกฝังและสร้างจิตสานึกของการทาประโยชน์เพ่ือสังคม ซ่ึงสถานศึกษาจะต้องดาเนินการ อย่างมเี ปา้ หมาย มีรูปแบบและวธิ กี ารทีเ่ หมาะสม กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียนแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คอื 3.1 กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้ เหมาะสมตามความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล สามารถค้นพบและพฒั นาศกั ยภาพของตน เสรมิ สรา้ งทักษะ ชีวติ วฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ การเรยี นร้ใู นเชิงพหปุ ญั ญา และการสรา้ งสมั พันธภาพท่ีดี ซึง่ ผู้สอนทุกคนตอ้ ง ทาหนา้ ทีแ่ นะแนวใหค้ าปรกึ ษาดา้ นชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสโู่ ลกอาชพี และการมงี านทา 3.2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองอย่างครบวงจร ตัง้ แต่ศึกษา วิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมิน และปรับปรุงการทางาน โดยเน้นการทางาน รว่ มกันเป็นกลมุ่ เช่น ลูกเสือ เนตรนารี ยวุ กาชาด และผูบ้ าเพ็ญประโยชน์ เป็นตน้ 4. มาตรฐานการเรยี นรู้ หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กล่มุ ที่เป็นข้อกาหนดคุณภาพผูเ้ รยี นดา้ นความรู้ ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและคา่ นิยม ของแต่ละกลุ่ม เพ่ือใช้เป็นจดุ มุ่งหมายในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ซึ่งกาหนดเป็น 2 ลกั ษณะ คอื
7 4.1 มาตรฐานการเรียนรกู้ ารศึกษาขั้นพนื้ ฐาน เป็นมาตรฐานการเรียนรูใ้ นแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ เม่ือผเู้ รียนเรียนจบการศกึ ษาข้ัน พ้นื ฐาน 4.2 มาตรฐานการเรยี นรู้ชว่ งชน้ั เป็นมาตรฐานการเรยี นรูใ้ นแต่ละกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ เม่ือผู้เรยี นเรียนจบในแตล่ ะช่วง ชั้น คอื ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 และ 6 และชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 และ 6 มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน กาหนดไวเ้ ฉพาะมาตรฐานการ เรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเทา่ นั้น สาหรับมาตรฐานการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กบั สภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดี ของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตลอดจนมาตรฐานการเรียนรู้ที่เข้มข้นข้ึนตาม ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผูเ้ รียน ใหส้ ถานศึกษาพัฒนาเพิ่มเติมได้ 5. เวลาเรียน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กาหนดเวลาในการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรยี นไวด้ ังนี้ ช่วงชัน้ ท่ี 1 ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 - 3 มเี วลาเรียนประมาณปลี ะ 800 - 1,000 ชัว่ โมง โดยเฉลี่ยวนั ละ 4 - 5 ชัว่ โมง ชว่ งชน้ั ท่ี 2 ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 - 6 มีเวลาเรยี นประมาณปลี ะ 800 - 1,000 ชวั่ โมง โดยเฉลย่ี วนั ละ 4 - 5 ช่วั โมง ช่วงชน้ั ที่ 3 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 - 3 มเี วลาเรยี นประมาณปีละ 1,000 - 1,200 ช่วั โมง โดยเฉล่ยี วันละ 5 - 6 ชั่วโมง ชว่ งชั้นท่ี 4 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 – 6 มเี วลาเรยี นปลี ะไม่นอ้ ยกวา่ 1,200 ชวั่ โมง โดยเฉล่ียวนั ละไม่นอ้ ยกว่า 6 ชว่ั โมง การจัดหลกั สตู ร หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรท่ีกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในการ พัฒ นาผู้เรียน ตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาหรับผู้เรียนทุกคน ทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถปรับใช้ได้กับการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ ทั้งในระบบ นอกระบบ และ การศกึ ษาตามอัธยาศยั สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเกณฑ์ในการกาหนด คุณภาพของผู้เรียนเม่ือเรียนจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงกาหนดไว้เฉพาะส่วนท่ีจาเป็น สาหรับเป็น พ้ืนฐานในการดารงชีวิตให้มีคุณภาพ สาหรับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน สถานศึกษาสามารถพัฒนาเพ่ิมเติมได้ สาระและมาตรฐานการ เรยี นร้กู ารศึกษาขน้ั พน้ื ฐานมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้
8 สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระที่ 1 : ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 : เข้าใจประวัติ ความสาคัญ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตน นับถอื สามารถนาหลักธรรมของศาสนามาเป็นหลักปฏิบตั ิในการอยรู่ ่วมกนั มาตรฐาน ส 1.2 : ยึดมั่นในศีลธรรม การกระทาความดี มีค่านิยมท่ีดีงาม และศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนา หรือ ศาสนาทต่ี นนบั ถอื มาตรฐาน ส 1.3 : เข้าใจประวัติ ความสาคัญ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตน นบั ถือ ค่านิยมท่ดี ีงาม และสามารถนาไปประยุกต์ใชใ้ นการพัฒนาตน บาเพ็ญ ประโยชน์ต่อสังคม สง่ิ แวดลอ้ ม เพอื่ การอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสันติสุข สาระท่ี 2 : ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม มาตรฐาน ส 2.1 : ปฏิบัติตนตามหน้าท่ีของการเป็นพลเมืองท่ีดี ตามกฎหมาย ประเพณีและ วัฒนธรรมไทย ดารงชีวติ อยรู่ ว่ มกันในสงั คมไทยและสังคมโลกอย่างสนั ตสิ ขุ มาตรฐาน ส 2.2 : เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดม่ัน ศรัทธา และธารง รักษาไว้ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ สาระท่ี 3 : เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 : เข้าใจและสามารถบริหารจดั การทรัพยากรในการผลิต และการบรโิ ภค การใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้ง เศรษฐกิจอย่างพอเพียง เพ่ือการดารงชวี ิตอย่างมดี ุลยภาพ มาตรฐาน ส 3.2 : เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ของระบบ เศรษฐกจิ และความจาเป็นของการร่วมมอื กนั ทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก สาระท่ี 4 : ประวตั ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 : เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลา และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมา วิเคราะห์เหตุการณต์ า่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 : เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ในแง่ความสัมพันธ์และ การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเน่ือง ตระหนักถึงความสาคัญและ สามารถวิเคราะห์ผลกระทบท่เี กดิ ข้นึ มาตรฐาน ส 4.3 : เข้าใจความเป็นมาของชาตไิ ทย วฒั นธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความภูมิใจและ ธารงความเปน็ ไทย สาระที่ 5 : ภมู ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 : เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ ตระหนักความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่ ปรากฏในระวางที่ ซึง่ มีผลตอ่ กันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนทีแ่ ละ เครื่องมือทางภูมศิ าสตร์ ในการค้นหาข้อมลู ภูมสิ ารสนเทศ อันจะนาไปสกู่ าร ใช้ และการจัดการอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
9 มาตรฐาน ส 5.2 : เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ท่ีก่อให้เกิด การสรา้ งสรรค์วัฒนธรรมและมีจิตสานึก อนุรักษ์ ทรัพยากร และสงิ่ แวดล้อม เพ่ือการพัฒนาท่ียัง่ ยนื ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ( 2525. 2526 : 483 ) ได้ให้ความหมายของ แบบฝึกไว้วา่ แบบฝกึ หมายถึง แบบตัวอยา่ ง ปญั หา หรือคาส่งั ที่ตง้ั ขึน้ เพ่อื ให้นักเรยี นฝึกตอบ สุนันทา สุนทรประเสริฐ 2543 : 2 กล่าวว่า “เมื่อครูได้สอนเนื้อหา แนวคิด หรือหลักการ เรอ่ื งใดเรื่องหน่ึงให้กับนักเรียน และนักเรยี นมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองนั้นแล้ว ขั้นต่อไปครูจาเป็นต้อง จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกฝน เพ่ือให้เกิดความชานาญ คล่องแคล่ว ถูกต้องแม่นยา และรวดเร็ว หรือที่เรยี กว่าฝกึ ฝนเพือ่ ใหเ้ กิดทกั ษะ” สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( 2543: 190 ) กล่าวว่า “แบบฝึกหัด เป็นส่ือการเรียนประเภทหนึ่งสาหรับให้นกั เรยี นฝกึ ปฏิบตั เิ พอ่ื ใหเ้ กิดความร้คู วามเข้าใจและทกั ษะเพ่ิมขึ้น ส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝกึ หดั อยู่ทา้ ยบทเรยี น แบบฝึกหัดส่วนใหญ่จะจัดทาในรูปของแบบฝกึ หัด หรือชุดฝึกซึ่งนักเรียนจะฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง และจัดทาเป็นชุดเน้นพัฒนา หรือเสริมทักษะเรื่องใด เร่ืองหนงึ่ ” สุนันทา สุนทรประเสริฐ ( 2543 : 2 ) กล่าวว่า “ความสาคัญของแบบฝึก หรือแบบฝึกหัด พอสรุปได้ว่า แบบฝึกหรือแบบฝึกหัด คือส่ือการเรียนการสอนชนิดหนึ่ง ที่ใช้ฝึกทักษะให้กับผู้เรียน หลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหน่ึงๆ เพ่ือฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมท้ังเกิดความชานาญใน เรื่องน้ันๆอย่างกว้างขวางมากขึน้ ” จากที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง สื่อการสอนชนิดหน่ึงที่สร้างข้ึนเพื่อเป็น แนวทางในการฝึกทักษะใหแ้ ก่ผู้เรยี น จะมีแบบฝึกหดั เป็นกิจกรรมให้นกั เรียนไดฝ้ ึกฝนและกจิ กรรมควรมี รูปแบบที่หลากหลายดังนั้นแบบฝึกหัดจึงมีความสาคัญต่อผู้เรียนเป็นอย่างมากในการช่วยเสริ มสร้าง ทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้รวดเรว็ ขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางข้ึน ทาให้การสอน ของครูและการเรยี นของนกั เรียนประสบผลสาเรจ็ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ดงั นนั้ แบบฝึกจึงมคี วามสาคัญตอ่ ผเู้ รียนไมน่ ้อย ในการท่ีจะช่วยเสริมสรา้ งทักษะให้กบั ผ้เู รยี นได้ เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วข้ึน ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทาให้การสอนของครู และการเรียนของ นักเรียนประสบผลสาเรจ็ อย่างมีประสทิ ธิภาพ แนวคดิ /ทฤษฎีในเรื่องแบบฝกึ ทกั ษะ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Jean Piaget ซึ่งเป็น Cognitive Psychologist ทศ่ี ึกษาเก่ยี วกับเรอ่ื งทว่ี ่า “คนเราคดิ ได้อย่างไร” การเรียนรู้ที่จะคิดแก้ปัญหาได้อย่างไร ลักษณะของ ความสามารถในการคิดเปน็ อย่างไรเม่อื ต้องเผชิญกับปญั หาตา่ ง ๆ ความคิดในเร่อื งเหลา่ นจี้ ะช่วยให้ครูมี ความสามารถท่ีจะพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียนให้เพิ่มพูนข้ึน และสามารถเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสม และสอดคล้องกบั ความสามารถทางสติปญั ญาของผเู้ รยี น (ก่ิงฟ้า สินธุวงษ์ 2526, หนา้ 139 – 149)
10 ทฤษฎีการลองผิดลองถูกของ ธอรน์ ไดค์ ซ่ึงไดส้ รปุ เปน็ กฎเกณฑก์ ารเรยี นรู้ ดังนี้ 1) กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนร้จู ะเกดิ ข้นึ เมอ่ื บุคคลพรอ้ มที่จะกระทา 2) กฎผลที่ได้รบั หมายถึง การเรยี นรจู้ ะเกิดขน้ึ เพราะบุคคลกระทาซ้า และย่ิงทามาก ความชานาญจะเกิดขึน้ ไดง้ า่ ย ไพบูลย์ เทวรักษ์ (2540) ไดก้ ล่าวถึงกฎการฝึกหัดไว้วา่ การฝึกหัดให้บุคคลทากิจกรรมต่าง ๆ นน้ั ผ้ฝู ึกจะต้องควบคมุ และจัดสภาพการใหส้ อดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของตนเอง บคุ คลจะถูกกาหนด ลักษณะพฤตกิ รรมทแี่ สดงออก ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกาหนดกิจกรรมตลอดจนคาส่ังต่างๆ ในแบบฝึก ให้ผู้ฝึกได้ แสดงพฤตกิ รรมสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ทผี่ ูส้ รา้ งตอ้ งการ ทฤษฎีพฤตกิ รรมนิยมของสกนิ เนอร์ ซึ่งมคี วามเชอ่ื ว่าสามารถควบคุมบุคคลให้ทาตามความ ประสงค์ หรือแนวทางท่ีกาหนดได้โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงความรสู้ กึ ทางจิตใจของบคุ คลผนู้ ้ันว่าจะรู้สึกนึกคิด อย่างไร โดยมีการเสริมแรงเป็นตัวการ เมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของส่ิงเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่ เหมาะสม สิ่งเรา้ นัน้ จะรักษาระดบั หรอื เพมิ่ การตอบสนองให้เขม้ ข้นึ วธิ กี ารสอนของกาเย่ ซึ่งมคี วามเหน็ วา่ การเรียนรมู้ ลี าดบั ขน้ั และผู้เรยี นจะต้องเรียนรู้เนอื้ หาที่ ง่ายไปหายาก พรรณี ช.เจนจติ (2538) ไดก้ ลา่ วถึงแนวคิดของกาเย่ ไวด้ ังนี้ การเรียนรู้มีลาดับข้ัน ดังนั้นก่อนที่จะสอนเด็กแก้ปัญหาได้น้ัน เด็กจะต้องเรียนรู้ ความคิดรวบยอด หรือกฎเกณฑ์มาก่อน ซึ่งในการสอนให้เด็กได้ความคดิ รวบยอดหรือกฎเกณฑ์น้ัน จะ ทาให้เด็กเป็นผ้สู รปุ ความคดิ รวบยอดดว้ ยตนเองแทนที่ครจู ะเป็นผูบ้ อก การสร้างแบบฝกึ จึงควรคานงึ ถึง การฝึกตามลาดบั ขัน้ จากงา่ ยไปหายาก แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่า มีความแตกต่างกัน ผู้เรียน สามารถเรียนรูเ้ นือ้ หาในหนว่ ยย่อยต่าง ๆ ไดโ้ ดยใช้เวลาเรียนท่แี ตกตา่ งกัน ดังนั้นการสร้างแบบฝึกจึงต้องมีการกาหนดเง่ือนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทกุ คนสามารถผ่านลาดับ ข้ันตอนของทุกหน่วยการเรียนได้ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตน ก็จะทาให้นักเรียน ประสบความสาเรจ็ ไดม้ ากขึน้ สจุ ริต เพียรชอบ ( 2536:65-73 ) กลา่ วถึง การสร้างแบบฝึกว่า ต้องยึดตามทฤษฎีการ เรยี นร้ทู างจิตวทิ ยา ดังนี้ 1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ( Individual Difference ) นักเรียนแต่ละคนมีความรู้ ความถนัด ความสามารถและความสนใจทางภาษาแตกต่างกัน ก่อนสอนควรมีการทดสอบ ความสามารถทางภาษาของเด็กก่อน เด็กที่มีความสามารถสูงก็ให้การสนับสนุนให้มีทักษะสูงข้ึน ส่วน เด็กคนใดมที กั ษะต่า กพ็ ยายามสอนซ่อมเสรมิ ให้เปน็ พเิ ศษ 2. การเรียนรู้โดยการกระทา ( Learning by Doing ) นักเรียนสามารถเรียนรู้ทักษะการ เขียนได้คล่องแคล่วชานาญ ก็เพราะมปี ระสบการณ์ตรงจากการลงมือฝกึ กระทาด้วยตนเอง จงึ มีโอกาส ทจี่ ะได้รบั ประโยชน์จากการเรยี นรู้มากที่สดุ 3. การเรียนร้จู ากการฝึกฝน ( Law of Exercise ) การฝึกฝนเป็นกฎการเรียนรู้ของธอร์น ไดค์ ( Thorndike ) ไดก้ ล่าวไว้วา่ การเรียนร้จู ะเกิดขนึ้ ได้ดีกต็ อ่ เมือ่ ไดฝ้ ึกฝน หรอื กระทาซ้า ผู้เรยี นจะ มีทักษะทางภาษาดี มีความรู้ความเข้าใจ และเกิดทัศนะคติที่ดี ถ้าผู้เรียนได้ฝึกฝน ได้ใช้ภาษามาก เทา่ ใดก็จะช่วยใหม้ ที ักษะดมี ากข้ึนเทา่ นนั้
11 4. กฎแห่งผล ( Law of effect ) นักเรียนได้เรียนรู้แล้ว ย่อมต้องการทราบผลการเรียน ของตนว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อมีงานให้นักเรียนทา ครูควรรีบตรวจและคืนนักเรียนโดยเร็ว ผ้เู รยี นจะมีความพึงพอใจท่ีไดร้ บั ผลการเรยี น 5. กฎการใช้และไม่ได้ใช้ ( Law of Use and Disuse ) ภาษาเป็นวิชาทักษะต้องมีการ ฝึกฝนอยู่เสมอ จงึ จะคล่องแคลว่ และชานาญ ถา้ เรียนแล้วไม่ได้ใช้นานๆ กล็ ืมหรอื มีทกั ษะไมด่ เี ทา่ ท่ีควร 6. แรงจูงใจ ( Motivation ) เป็นสิ่งสาคัญมากเพราะเป็นส่ิงเร้าเพื่อจูงใจให้นักเรียนสนใจ เรยี น ตงั้ ใจฝึกฝน และมที ัศนคตทิ ่ดี ตี อ่ การเรียน สจุ ริต เพียรชอบ และสายใจ อนิ ทรัมพรรย์ (2522) ได้แนะนาหลกั จติ วทิ ยาทค่ี วรนามาสรา้ ง แบบฝกึ พอสรุปได้ดังนี้ 1. กฎการเรียนรู้ของธอรน์ ไดค์ (Thorndike) เก่ียวกับการฝึกหัด ซึ่งสอดคล้องกับการทดลอง ของวตั สัน (Watson) นัน่ คอื สงิ่ ใดก็ตามที่มีการฝึกหัดหรือกระทาบ่อยๆ ย่ิงทาให้ผ้ฝู ึกคลอ่ งแคล่วสามารถ ทาไดด้ ี ในทางตรงข้ามสิ่งใดก็ตามท่ีไมไ่ ดร้ ับการฝึก ทอดท้ิงไปนานแล้ว ยอ่ มทาได้ไม่ดเี หมอื นเดมิ ตอ่ เมื่อ มีการฝกึ ฝนหรอื กระทาซ้าก็จะช่วยให้เกดิ ทกั ษะเพ่มิ ขึ้น 2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ครูควรคานึงว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้ ความถนัด ความสามารถและความสนใจท่ีตา่ งกัน ฉะนั้นในการสรา้ งแบบฝึก จงึ ควรพจิ ารณาถึงความเหมาะสม ไม่ ยากหรอื ง่ายเกนิ ไป และควรมหี ลายแบบ 3. การจูงใจผู้เรียน สามารถทาได้โดยจัดแบบฝึกจากง่ายไปหายาก เพื่อดึงดูดความสนใจของ ผู้เรียน เป็นการกระตุ้นให้ติดตามต่อไป และทาให้นักเรียนประสบผลสาเร็จในการทาแบ บฝึก นอกจากน้นั การใช้แบบฝกึ สนั้ ๆ จะช่วยไม่ใหผ้ ู้เรยี นเบือ่ หน่าย 4. การนาส่ิงที่มีความหมายต่อชีวิตและการเรียนรู้มาให้นักเรียนได้ทดลองทาภาษาที่ใช้พูดใช้ เขียนในชีวิตประจาวัน ทาให้ผู้เรียนได้เรียนและทาแบบฝึกในสิ่งท่ีใกล้ตัว นอกจากจาได้แม่นยาแล้ว นักเรียนยังสามารถนาหลักและความรทู้ ไ่ี ดร้ บั ไปใชป้ ระโยชน์อีกดว้ ย นอกจากนี้ พรรณี ชูทัย (2522) ได้เสนอการนาหลักจติ วทิ ยาการศกึ ษามาใชใ้ นการสร้างแบบ ฝกึ พอสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. การสาธติ และการอธิบายแนะนา เริ่มแรกควรบอกให้นกั เรียนทราบว่า จะทาอย่างไร ช้ีแจง ใหเ้ ห็นความสาคญั ของสิ่งท่ีจะเรยี นน้ัน เพ่อื เร้าใหเ้ ดก็ เกดิ ความสนใจ 2. ให้เด็กได้มีโอกาสฝึกทันทีหลังจากการสาธิต และส่ิงท่ีต้องคานึงถึงก็คอื การทาซ้าและการ เสรมิ แรง ควรให้โอกาสเดก็ ได้ฝกึ ซา้ ๆ และควรให้ได้รบั การเสริมแรงอยา่ งทั่วถึง 3. ในขณะทฝ่ี กึ หดั ควรมีการใหค้ าแนะนาเพือ่ ให้เด็กได้ฝกึ ทกั ษะนน้ั ๆ ไดด้ ้วยตนเอง 4. ใหค้ าแนะนาทอี่ ยู่ในบรรยากาศที่สบายๆ ครูผู้สอนต้องใจเยน็ ไมด่ ุ บรรยากาศไม่ตรึงเครียด จะยว่ั ยใุ หเ้ ด็กเกดิ ความพยายามท่ีจะฝกึ 5. ส่ิงท่ีจะทาให้ผเู้ รยี นพบปัญหายุ่งยากในการฝึกทักษะใหม่ คือการท่ีทักษะเก่าของผู้เรียนจะ มารบกวนการเรยี นทักษะใหม่ ซึ่งควรแก้ไขด้วยการอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า ทักษะใหม่ที่จะฝึกฝนนั้น จะมีวิธีการของมันเอง ซ่ึงต่างไปจากวิธีการของทักษะเก่า และพยายามกระตุ้นนักเรียนให้ระลึกอย่าง เสมอวา่ เขากาลงั เรยี นทักษะใหม่ หลักจิตวิทยาดังกล่าว ผู้ศึกษาค้นคว้านามาเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกให้น่าสนใจ เหมาะสมกบั วยั ความสามารถและความถนดั ของนกั เรยี น เพื่อให้การเรยี นการสอนสนกุ สนาน นกั เรยี น มีความพอใจทจ่ี ะเรียนและประสบความสาเร็จในการเรียนนั้นๆ
12 ในการสร้างแบบฝึกหัดตอ้ งอาศัยหลกั สาคัญตามทฤษฎีการเรยี นรทู้ างจิตวทิ ยาประกอบด้วย ๑ ความใกล้ชิด ( Contiquition ) การใชส้ ิง่ เรา้ และการตอบสนองท่ีเกิดขึ้นในเวลา ใกล้เคียงกนั จะสรา้ งความพอใจให้กับผ้เู รยี น ๒. แบบฝึกหัด ( Practice ) คือการให้ผู้เรียนได้กระทากิจกรรมที่ซ้าๆ เพื่อช่วยในการสร้าง ความแมน่ ยาชานาญ ๓. กฎแห่งผล ( Law of Effect ) คอื การให้ผ้เู รยี นไดท้ ราบผลการทางานของตน โดยรวดเร็ว ซ่ึงนอกจากจะกระทาให้ผเู้ รยี นได้ทราบว่าผลการทางานของตนเองเปน็ อย่างไร แล้วยังเป็น การสร้างความพอใจใหก้ ับผู้เรยี นอีกดว้ ย ๔. การจูงใจ ( Motivation )ไดแ้ ก่การเรียงแบบฝึกหัดจากงา่ ยไปหายากและจากแบบฝึกหัดที่ สั้นไปสู่ที่ยาวข้ึน ท้ังน้ีเรื่องท่ีจะนามาสร้างแบบฝึกควรมีหลายรสและหลายรูปแบบตลอดจนมี ภาพประกอบเรื่องเพ่ือเร้าความสนใจของนกั เรยี นมากขน้ึ กรมวิชาการ ( 2543 : 20 ) ได้นาเสนอไว้ว่า “การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า เชน่ แนวคิดของธอร์นไดด์ เช่ือว่าการเรียนร้จู ะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื มสี ิ่งเร้ามาเร้าและผู้เรยี นจะ เลือกตอบสนองจนเป็นท่ีพอใจของผู้เรียน การตอบสนองใดไม่พึงพอใจก็จะถูกตัดทิ้งไป แนวคิดน้ีมี อิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนของไทยมานาน นับตั้งแต่ไทยรับความคิดทางการศึกษามาจาก สหรัฐอเมรกิ า” จากท่ีกล่าวมาขา้ งต้น ทาให้ทราบว่าการสร้างแบบฝึกจะต้องคานึงถงึ จิตวทิ ยาเพื่อใหไ้ ด้แบบฝึก ที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียน และยังเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรยี นการ สอน เพ่ือให้นักเรียนได้เกิดความพึงพอใจที่จะทาแบบฝึก ครอบคลมุ เนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ ได้รับ ประสบการณ์ตรง เหมาะสมกับวยั ของผู้เรียน มีความชดั เจนของคาส่ัง และได้ลงมือกระทาเองจนเกิด ทศั นคติท่ดี ีต่อการเรียน และสามารถประเมินผลพัฒนาการของผูเ้ รยี นได้ด้วย ซ่ึงจะนาไปสู่ความสาเร็จ ในดา้ นการเรยี นรไู้ ดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ความสาคญั ของแบบฝกึ ทกั ษะ สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2537) ไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก เสรมิ ทักษะ ดงั น้ี 1. เป็นส่วนเพิม่ เตมิ หรือเสรมิ หนงั สอื เรยี น 2. ช่วยเสรมิ ทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่ท้ังนี้จะตอ้ งอาศยั การสง่ เสริมและความเอา ใจใสจ่ ากครผู ้สู อนดว้ ย 3. ชว่ ยในเรือ่ งความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล เพราะการที่ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดทเี่ ห มะสมกับความสามารถของเขาจะช่วยใหน้ ักเรยี นประสบความสาเรจ็ 4. แบบฝกึ ช่วยเสรมิ ทกั ษะทางภาษาคงทน 5. การให้นักเรยี นทาแบบฝึก ชว่ ยให้ครมู องเหน็ จดุ เด่นหรือจุดบกพร่องของนักเรียนได้ ชัดเจน ซึ่งจะช่วยใหค้ รดู าเนนิ การปรับปรุง แก้ไขปัญหานน้ั ๆ ได้ทันท่วงที 6. แบบฝึกท่ีจดั พิมพ์ไว้เรียบร้อยแลว้ จะชว่ ยให้ครูประหยัดแรงงาน และเวลาในการที่ จะเตรียมการสร้างแบบฝึก นักเรียนไม่ต้องเสียเวลาในการคัดลอกแบบฝึก ทาให้มีเวลาและโอกาสได้ ฝกึ ฝนมากขน้ึ
13 ประทีป แสงเป่ยี มสขุ (2538) กลา่ วถึงประโยชนข์ องแบบฝกึ ไว้ ดงั นี้ 1. เป็นอุปกรณช์ ว่ ยลดภาระของครู 2. ช่วยใหน้ ักเรียนได้ฝึกทักษะในการใช้ภาษาใหด้ ีขึ้น 3. ช่วยในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคล ช่วยให้นักเรียนประสบผลสาเร็จในทาง จิตใจมากข้ึน 4. ช่วยเสริมทักษะทางภาษาใหค้ งทน 5. เปน็ เคร่ืองมอื วัดผลการเรียนหลังจากเรยี นบทเรียนแลว้ 6. ชว่ ยให้เด็กสามารถทบทวนไดด้ ้วยตนเอง 7. ชว่ ยใหค้ รมู องเหน็ ปัญหาตา่ ง ๆ ของนกั เรยี นไดช้ ดั เจน 8. ชว่ ยให้นักเรียนฝึกฝนได้เตม็ ท่ี นอกเหนอื จากทเ่ี รียนในบทเรียน 9. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเหน็ ความกา้ วหน้าของตนเอง 10. ชว่ ยให้ผเู้ รียนมีทัศนคตทิ ี่ดีต่อการสะกดคา อดลุ ย์ ภปู ลม้ื (2539) ได้กล่าวถงึ ประโยชน์ของแบบฝึกไว้ ดงั นี้ 1. ชว่ ยให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจบทเรยี นไดด้ ขี ึน้ 2. ชว่ ยใหจ้ ดจาเน้อื หา และคาศพั ทต์ ่าง ๆ ได้คงทน 3. ทาให้เกดิ ความสนกุ สนานในขณะเรยี น 4. ทาใหท้ ราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง 5. สามารถนาแบบฝึกหัดมาทบทวนเนอ้ื หาเดมิ ด้วยตนเองได้ 6. ทาให้ทราบข้อบกพร่องของนักเรียน 7. ทาให้ครปู ระหยดั เวลา 8. ทาให้นักเรียนสามารถนาภาษาไปใช้สอ่ื สารได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ แบบฝกึ มีประโยชน์ต่อการเรยี นวชิ าทักษะมาก เพ็ตตี ( สุจริตา ศรีนวล 2538 : 62 ; อ้างอิง จาก Petty. 1963 : 469-472 ) ได้กล่าวไว้ดงั นี้ ๑. เป็นส่วนเพ่ิมหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนท่ีช่วยลดภาระ ของครูไดม้ าก เพราะแบบฝกึ เปน็ ส่ิงทจ่ี ัดทาขน้ึ อย่างเปน็ ระบบระเบยี บ ๒. ช่วยเสริมทกั ษะทางการใช้ภาษา แบบฝึกเป็นเครอ่ื งมอื ที่ช่วยให้เดก็ ไดฝ้ กึ ทกั ษะการใช้ภาษา ใหด้ ขี น้ึ แต่จะต้องอาศยั การสง่ เสรมิ และความเอาใจใสจ่ ากครูผู้สอนด้วย ๓. ช่วยในเร่อื งความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล เนื่องจากเดก็ มีความสามารถทางภาษาแตกต่างกัน การใหเ้ ด็กทาแบบฝกึ หัดที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาจะชว่ ยให้เดก็ ประสบผลสาเรจ็ ในด้านจิตใจ มากขน้ึ ๔. แบบฝึกชว่ ยเสริมใหท้ ักษะทางภาษาคงทน โดยกระทาดงั น้ี 4.1 ฝึกทนั ทหี ลังจากเด็กไดเ้ รยี นรูใ้ นเร่อื งนน้ั ๆ 4.2 ฝึกซา้ หลายๆ ครั้ง 4.3 เน้นเฉพาะเรื่องทต่ี ้องการฝึก 5. แบบฝึกท่ใี ชจ้ ะเป็นเครื่องมอื วดั ผลการเรียนหลงั จากจบบทเรยี นในแต่ละครง้ั 6. แบบฝึกที่จัดทาข้ึนเป็นรูปเล่มเด็กสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพื่อ ทบทวนด้วย ตนเองไดต้ ่อไป
14 7. การให้เด็กทาแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน ซง่ึ จะช่วยใหค้ รดู าเนนิ การปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ทนั ท่วงที 8. แบบฝกึ ที่จดั ขนึ้ นอกเหนือจากทม่ี ีอยู่ในหนังสอื แบบเรียน จะช่วยใหเ้ ดก็ ไดฝ้ ึกฝนอยา่ งเต็มที่ 9. แบบฝึกท่ีจัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยจะช่วยให้ครูประหยัดท้ังแรงงานและเวลาในการที่จะต้อง เตรียมสร้างแบบฝกึ อยเู่ สมอ ในดา้ นผเู้ รยี นก็ไม่ต้องเสียเวลาลอกแบบฝึกจากตาราเรียนทาให้มีโอกาสได้ ฝกึ ฝนทักษะต่างๆ มากขนึ้ 10. แบบฝกึ ช่วยประหยดั ค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพมิ พ์เปน็ รปู เลม่ ทแี่ นน่ อนยอ่ มลงทนุ ต่ากวา่ ท่ี จะพิมพ์ลงในกระดาษไขทุกคร้ัง ผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้อย่างมี ระบบและเป็นระเบยี บ วัญญา วิศาลาภรณ์ ( 2533 : 23 ) สรุปคณุ ประโยชน์ของแบบฝึกไวว้ ่า เปน็ เคร่ืองมอื ท่ชี ่วย ให้ครูทราบผลการเรียนของนักเรียนอย่างใกล้ชิด แบบฝึกเป็นเครื่องมือท่ีจาเป็นต่อการฝึกทักษะทาง ภาษาของนักเรียน เป็นประโยชน์สาหรับครูในการสอน ทาให้ทราบพัฒนาการทางทักษะทั้งส่ีคือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยเฉพาะทักษะการเขียน ครูสามารถเห็นข้อบกพร่องในการใช้ภาษาของ นกั เรียน ซ่งึ จะได้หาทางแกไ้ ขปรบั ปรุงได้ทันทว่ งที ทาใหน้ กั เรียนประสบผลสาเร็จในการเรยี น จากประโยชน์ของแบบฝกึ ที่กล่าวมา สรปุ ไดว้ า่ แบบฝกึ ท่ดี แี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ ชว่ ยทาให้นกั เรยี นประสบผลสาเร็จในการฝกึ ทักษะไดเ้ ป็นอยา่ งดี แบบฝึกที่ดเี ปรยี บเสมือนผชู้ ว่ ยทสี่ าคัญ ของครู ทาให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทาให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองตามความสามารถของตน เพื่อความ ม่ันใจในการเรยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี องคป์ ระกอบของแบบฝกึ ทกั ษะการเรียน ในการสรา้ งแบบฝกึ มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งนักการศกึ ษาหลายทา่ นได้ให้ข้อเสนอแนะ เก่ียวกับองค์ประกอบของแบบฝกึ ไว้ดงั นี้ ฉลองชยั สุรวฒั นบูรณ์ (2528 : 130) ไดก้ ลา่ วว่า แบบฝกึ ควรมอี งค์ประกอบดงั น้ี ๑. คาชี้แจงการใช้คมู่ อื ๒. สาระที่เรียน ปัญหา หรือคาถาม แบบฝึกหัดและกิจกรรมที่ต้องการให้ผู้เรยี นคดิ และทา ๓. ทีว่ ่างสาหรับให้ผเู้ รียนเขียนคาถาม ๔. เฉลยคาตอบหรือแนวทางในการตอบ ๕. คาแนะนาและแหล่งข้อมูลที่ผู้เรียนสามารถไปศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเตมิ จากแนวคดิ ข้างตน้ แบบฝึกควรมอี งค์ประกอบดงั น้ี ๑. คาชีแ้ จง ๒. แบบฝกึ ๓. จุดประสงค์ ๔. เน้อื หา นิตยา ฤทธิโยธี. 2520.40 - 41 กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกไว้ว่า การเขียนแบบฝึกต้อง แนใ่ จในภาษาทใี่ ชใ้ ห้เหมาะสมกับนักเรียนและสร้างโดยใชห้ ลักจิตวิทยาในการเรา้ และตอบสนอง ดงั นี้ ๑. ใช้แบบฝึกหลายๆ ชนิดเพอ่ื เร้าใหน้ กั เรียนเกดิ ความสนใจ ๒. แบบฝึกที่ทาขึ้นนั้นต้องให้นักเรียนสามารถแยกออกมาพิจารณาได้ว่าแต่ละแบบแต่ละข้อ ต้องการใหท้ าอะไร
15 ๓. ให้นักเรยี นไดฝ้ ึกการตอบแบบฝึกแต่ละชนดิ แตล่ ะรูปแบบว่ามีวธิ กี ารตอบอย่างไร ๔. ให้นักเรียนได้มีโอกาสตอบสนองส่ิงเร้าดังกล่าวด้วยการแสดงออกทางความสามารถและ ความเขา้ ใจลงในแบบฝึก ๕. นักเรียนได้นาสิ่งท่ีเรียนรู้จากการเรียนมาตอบในแบบฝึกให้ตรงเป้าหม ายท่ีสุด นิตยา ฤทธิโยธี ยังได้กล่าวว่า “ แบบฝึกที่ดีควรมีข้อแนะนาการใช้ท่ีชัดเจน ควรให้มีการเลือกตอบท้ัง แบบตอบจากัดและแบบตอบอย่างเสรี คาส่ังหรือตัวอย่างที่ยกมานั้นไม่ควรยาวเกินไป และยากแกก่ าร เข้าใจ ถ้าต้องการให้ศึกษาด้วยตนเอง แบบฝึกน้ันควรมีหลายรูปแบบ และมีความหมายแก่ผู้ทา” และยงั กลา่ ววา่ ลกั ษณะของแบบฝกึ ทีด่ ี คือ ๑. เก่ียวข้องกับบทเรยี นท่เี รียนมาแลว้ ๒. เหมาะสมกับระดับวัย หรือความสามารถของเดก็ ๓. มคี าชแ้ี จงสนั้ ๆ ทที่ าให้เดก็ เขา้ ใจวิธที าได้งา่ ย ๔. ใชเ้ วลาเหมาะสม คือไมใ่ ชเ้ วลานานหรือเรว็ เกินไป ๕. เปน็ สง่ิ ทีน่ า่ สนใจและทา้ ทายให้แสดงความสามารถ ไพรัตน์ สุวรรณแสน ( จิรพา จันทะเวียง. 2542 : 43 ; อ้างอิงจากไพรัตน์ สุวรรณแสน. ม.ป.ป. ) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝกึ ที่ดี ดงั น้ี ๑. เกยี่ วข้องกับบทเรียนทเี่ รยี นมาแลว้ ๒. เหมาะสมกับระดับวยั หรือความสามารถของเด็ก ๓. มคี าชแี้ จงสน้ั ๆ ท่จี ะทาให้เดก็ เข้าใจ คาชแี้ จงหรือคาสัง่ ตอ้ งกะทดั รัด ๔. ใชเ้ วลาเหมาะสม คือไม่ใช้เวลานานหรือเร็วเกินไป ๕. เปน็ สิ่งทน่ี า่ สนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ ศศธิ ร สทุ ธิแพทย์ (2517) ไดก้ ลา่ วถึงลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังน้ี 1. ใชห้ ลักจติ วิทยา 2. สานวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวติ 4. คดิ ได้เร็วและสนุก 5. ปลกุ ความสนใจ 6. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ดว้ ยตนเอง วรสุดา บุญไวโรจน์ ( 2536:37 ) ( อ้างถึงใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ2543 : (9-10 ) กลา่ วแนะนาใหผ้ ้สู ร้างแบบฝกึ ไดย้ ดึ ลักษณะของแบบฝกึ ที่ดีไว้ดังน้ี 1. แบบฝึกที่ดคี วรชดั เจนท้ังคาส่ังและวิธีทา ตัวอย่างแสดงวธิ ีทาไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะ ทาให้เขา้ ใจยาก ควรปรับปรงุ ใหง้ ่ายเหมาะสมกับผเู้ รียน 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรยี นและตรงตามจดุ ประสงคข์ องการฝึก ลงทุนน้อย ใชไ้ ดน้ านทันสมัยอยเู่ สมอ 3. ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพ้ืนฐานความรู้ของผู้เรียน แบบฝึกหดั ทด่ี คี วรแยกฝึกเป็นเรอื่ งๆ แต่ละเร่ืองไม่ควรยาวเกนิ ไป แตค่ วรมีกิจกรรมหลายรปู แบบเพ่ือเร้า ใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจ ไม่เบือ่ หน่ายในการทา และเพื่อฝกึ ทกั ษะใดทกั ษะหนึง่ จนเกิดความชานาญ
16 4. แบบฝึกหัดท่ีดีควรมีทั้งแบบกาหนดคาตอบให้ ให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คาข้อความหรือ รปู ภาพในแบบฝกึ หดั ควรเปน็ สง่ิ ทีค่ ุ้นเคยตรงกับความในใจของนักเรยี น เพือ่ วา่ แบบฝกึ หัดทส่ี ร้างข้นึ จะ ไดก้ ่อให้เกิดความเพลดิ เพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซ่ึงตรงกับหลกั การเรยี นรูท้ ่ีวา่ เดก็ มักจะเรียนรู้ไดเ้ ร็ว ใน การกระทาท่ีกอ่ ให้เกดิ ความพงึ พอใจ 5. แบบฝึกหัดท่ีดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบ เห็นบ่อยๆ จะทาให้นกั เรียนเข้าใจเร่อื งนั้นๆ มากย่ิงขึ้น และรู้จกั นาความรูไ้ ปใช้ในชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง มีหลักเกณฑ์ และมองเห็นว่าสิง่ ทเ่ี ขาได้ฝึกนน้ั มคี วามหมายตอ่ เขาตลอดไป 6. แบบฝึกหัดท่ีดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรยี นแต่ละคนมีความแตกต่าง กันในหลายๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา ประสบการณ์ ฉะน้ัน การทาแบบฝึกหัดแต่ละเร่ืองควรจัดทาให้มากพอ มีทุกระดับตั้งแต่ง่ายปานกลาง จนถึงค่อนข้างยาก เพื่อให้ทั้งเด็กเก่ง ปานกลาง และอ่อน จะได้เลือกทาตามความสามารถ เพ่ือให้เด็กทุกคนประสบ ความสาเร็จในการทาแบบฝึกหดั 7. แบบฝึกหดั ท่ีดคี วรเรา้ ใจตั้งแต่ปกไปจนถึงหน้าสดุ ท้าย 8. แบบฝกึ หัดท่ีดีควรปรับปรุงควบคู่ไปกบั หนงั สอื เรียน ควรใช้ได้ดที ้ังในและนอกห้องเรยี น 9. แบบฝึกหดั ที่ดีควรเป็นแบบฝึกหัดท่ีสามารถประเมิน และจาแนกความเจรญิ งอกงามของเด็ก ไดด้ ้วย จากที่กล่าวมาข้างตน้ แบบฝึกท่ดี ีควรมีหลายแบบหลายชนิดให้นักเรียนได้ทาเพื่อไม่ใหน้ ักเรยี น เกิดความเบื่อหน่ายในการเรยี น การใช้ถ้อยคาควรเลือกให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน นอกจากน้ีควร สร้างให้มีลักษณะยั่วยุ ท้าทายความรู้ความสามารถของนักเรียนเพ่ือฝึกให้นักเรียนรู้จักแก้ปัญหาและ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย จากเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่าแบบฝึกเป็น เคร่ืองมือท่ีจาเป็นต่อการฝึกทักษะทางภาษาของนักเรียน เป็นส่วนช่วยเพิ่มเติมในการเรียนทักษะเป็น อุปกรณ์การสอนท่ีช่วยลดภาระของครูไดม้ าก เพราะแบบฝึกเป็นส่ิงท่ีถกู จัดทาข้ึนอย่างมีระบบช่วยเสริม ทกั ษะการใช้ภาษาให้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องอาศัยความเอาใจใส่จากครูด้วย แบบฝึกช่วยในเรื่องความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคล เหมาะกบั ความสามารถของเดก็ จะทาให้เกดิ ผลดที างด้านจติ ใจ ช่วยเสริมทกั ษะทางภาษา ใหค้ งทน เพราะเด็กฝึกทาซ้าๆ หลายคร้งั ในเรอ่ื งทีต่ นบกพรอ่ ง แบบฝึกยังใช้เป็นเครอื่ งมอื วัดผลทางการ เรียนหลังจากจบบทเรียนแล้ว ช่วยให้ครูเหน็ ปญั หาของเดก็ ได้อย่างชัดเจน ทาให้ครไู ด้แก้ปญั หาของเด็ก ไดท้ นั ทว่ งที ตัวเดก็ ก็สามารถเก็บแบบฝกึ ไว้ใช้เป็นเครื่องมือในการทบทวนความรไู้ ด้ นอกจากนี้ แบบฝึก ยงั ช่วยใหค้ รูและนกั เรยี นประหยดั เวลา แรงงาน และคา่ ใช้จ่ายในการฝึกฝนแตล่ ะครัง้ คูม่ ือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสาคัญประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพ่ืออะไร และมีวิธีการใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็น งานฝกึ ทา้ ยบทเรียน ใชเ้ ปน็ การบ้าน หรอื ใชส้ อนซอ่ มเสริม ควรประกอบด้วย - สว่ นประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกท้ังหมดก่ีชุด อะไรบา้ ง และมสี ่วนประกอบอื่น ๆ หรอื ไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทกึ ผลการประเมนิ - สง่ิ ท่คี รหู รอื นักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเปน็ การบอกให้ครหู รอื นกั เรียนเตรียมตวั ให้ พร้อมลว่ งหนา้ กอ่ นเรียน - จดุ ประสงคใ์ นการใช้แบบฝึก
17 - ขน้ั ตอนในการใช้ บอกขนั้ ตอนตามลาดบั การใช้ และอาจเขยี นในรูปของแนวการสอน หรอื แผนการสอน จะชดั เจนย่งิ ข้นึ - เฉลยแบบฝกึ ในแต่ละชุด แบบฝกึ เป็ น ส่ือ ที่ สร้างข้ึน เพ่ื อ ให้ ผู้เรียน ฝึก ทั ก ษ ะ เพ่ื อ ให้ เกิ ด ก ารเรียน รู้ท่ี ถ าว ร ควรองค์ประกอบดังน้ี - ชอ่ื ชุดฝึกในแต่ละชุดยอ่ ย - จุดประสงค์ - คาส่งั - ตวั อยา่ ง - ชุดฝึก - ภาพประกอบ - ขอ้ ทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบบประเมนิ บนั ทกึ ผลการใช้ รปู แบบของการสร้างแบบฝกึ การสร้างแบบฝึก รูปแบบก็เป็นส่ิงสาคัญในการท่ีจะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจาเจ น่าเบื่อหน่ายไม่ท้าทายให้ อยากรูอ้ ยากลอง จึงขอเสนอรปู แบบของแบบฝึกท่ีเปน็ หลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนาไปประยุกต์ใช้ ปรบั เปลีย่ นรูปแบบอ่ืนๆ ก็แล้วแตเ่ ทคนิคของแต่ละคน ซงึ่ จะเรยี งลาดบั จากง่ายไปหายาก ดงั น้ี 1. แบบถูกผิด 2. แบบจับคู่ 3. แบบเตมิ คาหรอื ขอ้ ความ 4. แบบหลายตวั เลอื ก ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2538) กลา่ วถึง ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบฝึกเสริมทกั ษะ ดงั น้ี 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์ การเรียนรู้และ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หากเป็นไปได้ ควรศกึ ษาความต่อเนื่องของปัญหาในทกุ ระดบั ช้นั 2. วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาหรือทกั ษะทีเ่ ป็นปญั หา ออกเป็นเนอื้ หาหรือทกั ษะย่อย ๆ เพอ่ื ใชใ้ น การสร้างแบบทดสอบและแบบฝึกหดั 3. พิจารณาวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการใชแ้ บบฝึก เช่น จะนาแบบฝึกไปใช้ อย่างไร ในแตล่ ะชดุ จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 4. สร้างแบบทดสอบ ซ่ึงอาจมีแบบทดสอบเชิงสารวจ แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย ข้อบกพร่อง แบบทดสอบความก้าวหน้าเฉพาะเร่ือง เฉพาะตอน แบบทดสอบท่ีสร้างจะต้องสอดคล้อง กบั เนื้อหาหรือทกั ษะท่วี ิเคราะหไ์ วใ้ น ขอ้ ที่ 2
18 5. สรา้ งแบบฝึกหัด เพอ่ื ใช้พัฒนาทกั ษะยอ่ ยแตล่ ะทักษะ แต่ละบตั รจะมคี าถามยอ่ ยให้ นักเรยี น การกาหนดรูปแบบ ขนาดของบัตร พจิ ารณาตามความเหมาะสม 6. สร้างแบบอ้างอิง เพื่อใช้อธิบายคาตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเร่ือง การสร้าง บัตรอ้างอิงนี้ อาจทาเพิ่มเตมิ เมื่อได้นาบตั รฝึกหดั ไปทดลองใช้แลว้ 7. สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้า เพ่ือใช้บันทึกผลการทดสอบหรือผลการเรียน โดยจัดทาเป็นตอน เป็นเรื่อง เพ่ือให้เห็นความเจริญก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ สอดคล้องกับแบบทดสอบ ความก้าวหน้า 8. นาแบบฝึกไปทดลองใช้ เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพแบบฝึก และคุณภาพของ แบบทดสอบ 9. ปรบั ปรงุ แกไ้ ข 10. รวบรวมเป็นชดุ จดั ทาคาชแี้ จง คมู่ อื การใช้ และสารบญั เพือ่ ใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป ข้ันตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวตั กรรมทางการศกึ ษาประเภทอืน่ ๆ ซ่ึงมี รายละเอยี ด ดงั นี้ 1. วิเคราะหป์ ัญหาและสาเหตุจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เช่น - ปญั หาท่เี กิดขึ้นในขณะทาการสอน - ปญั หาการผ่านจุดประสงคข์ องนกั เรยี น - ผลจากการสงั เกตพฤตกิ รรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ - ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 2. ศกึ ษารายละเอียดในหลักสตู ร เพ่อื วิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์แต่ละ กจิ กรรม 3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และเลือก เน้ือหาในสว่ นท่จี ะสรา้ งแบบฝกึ นนั้ ว่าจะทาเร่อื งใดบ้าง กาหนดเป็นโครงเรื่องไว้ 4. ศึกษารปู แบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตวั อย่าง 5. ออกแบบชดุ ฝกึ แตล่ ะชดุ ให้มรี ปู แบบทีห่ ลากหลาย น่าสนใจ 6. ลงมอื สรา้ งแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทง้ั ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้สอดคลอ้ ง กับเน้อื หา และจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 7. สง่ ให้ผู้เชยี่ วชาญตรวจสอบ 8. ทาไปทดลองใช้ แล้วบันทึกผลเพอ่ื นามาปรบั ปรุงแก้ไขส่วนทีบ่ กพรอ่ ง 9. ปรับปรงุ จนมปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทีต่ ัง้ ไว้ 10. นาไปใชจ้ รงิ และเผยแพรต่ ่อไป ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝึก การสรา้ งแบบฝึกเพื่อใช้ประกอบในการจดั การเรียนการสอน ในวิชาตา่ ง ๆ น้ัน จะเน้น สื่อการสอนในลักษณะเอกสารแบบฝึกหัดเป็นส่วนสาคัญ ดังนัน้ การสรา้ งจงึ ควรให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ท้ังในด้านเนื้อหา รูปแบบ และกลวิธีในการนาไปใช้ ซ่ึงควรเป็นเทคนิคของแต่ละคน ในที่น้ีจะขอ เสนอแนะ ดังน้ี 1. พงึ ระลกึ เสมอว่า ตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาเนือ้ หาก่อนใชแ้ บบฝึก
19 2. ในแต่ละแบบฝึก อาจมีเน้ือหาสรุปย่อ หรือเป็นหลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษา ทบทวนก่อนกไ็ ด้ 3. ควรสรา้ งแบบฝึกใหค้ รอบคลมุ เน้ือหา และจุดประสงค์ท่ตี ้องการและไม่ยากหรอื ง่าย จนเกินไป 4. คานึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก ต้องให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะและความ แตกต่างของผู้เรยี น 5. ควรศึกษาแนวทางการสร้างแบบฝึกให้เข้าใจก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจนาหลักการ ของผู้อื่น หรือทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษาหรือนักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเน้ือหา และสภาพการณไ์ ด้ 6. ควรมีคู่มือการใช้แบบฝึกเพื่อให้ผู้สอนคนอ่ืนนาไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มี ค่มู ือ ตอ้ งมีคาชแ้ี จงข้ันตอนการใชท้ ชี่ ัดเจนแนบไปในแบบฝกึ หดั ด้วย 7. การสร้างแบบฝึก ควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละ เนื้อหาวิชา รูปแบบจงึ ควรแตกตา่ งกันตามสภาพการณ์ 8. การออกแบบชดุ ฝึกควรมีความหลากหลาย ไมซ่ ้าซาก ไม่ใช้รปู แบบเดยี ว เพราะจะ ทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบ่ือหนา่ ย ควรมีแบบฝกึ หลายๆ แบบ เพื่อฝกึ ให้ผ้เู รียนไดฝ้ ึกทกั ษะอย่างกว้างขวาง และสง่ เสริมความคดิ สร้างสรรคอ์ กี ดว้ ย 9. การใช้ภาพประกอบเป็นสง่ิ สาคญั ทจ่ี ะชว่ ยให้แบบฝึกนน้ั น่าสนใจและยังเปน็ การพัก สายตาใหก้ บั ผเู้ รียนอีกด้วย 10. การสร้างแบบฝึก หากต้องการให้สมบูรณ์ครบถ้วน ควรสร้างในลักษณะของ เอกสารประกอบการสอน (ศึกษารายละเอียดจากคู่มือ การฝึกอบรมการปฏิบัติการ”การผลิตเอกสาร ประกอบการสอน”) แต่จะเน้นความหลากหลายของแบบฝกึ มากกวา่ และเนื้อหาที่สรุปไวจ้ ะมเี พยี งยอ่ ๆ 11. แบบฝึกต้องมีความถูกต้อง อย่าให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด เพราะเหมือนกับย่ืนยา พษิ ใหก้ ับลกู ศษิ ยโ์ ดยรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ เขาจะจาในส่ิงทผี่ ดิ ๆ ตลอดไป 12. คาส่ังในแบบฝึกเป็นส่ิงสาคัญ ท่ีมคิ วรมองข้ามไป เพราะคาสงั่ คือประตบู านใหญ่ที่ จะไขความรู้ ความเข้าใจของผู้เรียนที่จะนาไปสู่ความสาเร็จ คาส่งั จึงต้องส้ันกะทดั รัด และเข้าใจง่าย ไม่ ทาใหผ้ เู้ รยี นสบั สน 13. การกาหนดเวลาในการใช้แบบฝึก แต่ละชุดควรให้เหมาะสมกับเน้ือหาและความ สนใจของผเู้ รยี น 14. กระดาษที่ใช้ ควรมีคณุ ภาพเหมาะสม มีความเหนยี วและทนทาน ไมเ่ ปราะบางหรอื ขาดงา่ ยจนเกนิ ไป งานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง นางผสมพร ประจันตะเสน ได้ศึกษาการเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรอ่ื ง ลักษณะภูมิประเทศของไทย ของนักเรียนชั้น ม.1/3 โรงเรยี นบ้านกร่างวทิ ยาคม ปีการศึกษา 2550 จานวน 15 คน โดยใช้ ชุดฝึกการเรียน ผลการศึกษาพบว่านักเรียนชั้น ม.1/3 จานวน 15 คน มีค่าเฉล่ียการประเมินโดยการใช้ชุดฝึกการเรยี นในแต่ละชุด โดยภาพรวมดีข้นึ และมีผล การเรียนหลังการใช้ชุดฝึกดีกว่าก่อนการใช้ชุดฝึกทุกชุดการฝึก แสดงให้เห็นว่าการใช้ชุดฝึกแบบให้
20 นักเรียนฝึกเองทีละส่วนแบบจิ๊กซอร์ทาให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายและจาได้แม่นยาขึ้น ทาให้ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นของนกั เรยี นสูงขึ้น ดังน้ันผู้วิจัยจงึ ควรมีการหาชุดฝกึ แบบจ๊กิ ซอร์ให้นกั เรียนทาใหม้ ากยิง่ ข้ึน นางอัจฉรา มณีนิล ( 2545 ) ไดศ้ ึกษาเร่ืองการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น วิชาสงั คม ศึกษาระหว่าง การสอนโดยใช้บทเรียนสาเร็จรูปกับการสอนแบบปกติเร่ืองลักษณะภูมิประเทศ ของประเทศออสเตรเลียระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 จากผลการวิจัยพบวา่ การใช้ชุดการเรยี นดว้ ยตนเอง ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงข้ึน กล่าวคือ มีคะแนนเฉลี่ย 2.37 ซ่ึงสูงกว่ามาตรฐานที่ กาหนดไวค้ ือ 2.30 และสามารถลดจานวน นักเรียนที่ได้ผลการเรียน 0 ร และ มส. เหลอื เพยี งรอ้ ยละ 1.087 น้อยกว่ามาตรฐานที่กาหนดคือ ร้อยละ 1.5 แสดงให้เห็นว่า ชุดการเรียนด้วยตนเอง เป็น นวตั กรรมท่ีสามารถนามาพฒั นาสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนกั เรียนได้ นางอังคณา ณ พิกุล ได้ศึกษาวิธีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 3 (ส 33101) ของนกั เรียนช้ัน ม.3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2549 โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม จากผลการวิจยั พบว่า 1. นักเรียนทางานสง่ ครบตามที่กาหนด (3 ช่วงเวลา) ถึงแม้วา่ จะมีบางส่วนท่ีส่ง งานช้า แต่เมื่อ ครบ 3 ช่วงเวลา ก็ส่งงานครบทุกคน ยกเว้น นักเรียนที่ ออกจากโรงเรียน แต่ยังไม่มา ลาออก 2. การกาหนดกิจกรรมเสริมใหน้ ักเรยี นทาส่ง หรือเข้าร่วมกจิ กรรม สามารถช่วยให้นักเรียนทา คะแนนในรายวิชาสังคมศึกษา 3 ( ส33101) ดีข้ึน ทาให้มีโอกาสท่ีจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน รายวิชานี้ สูงข้ึน 3. นักเรยี นที่ไม่สนใจส่งงานหรือทากิจกรรมตามที่ครูกาหนด มักจะเป็นนักเรียนท่ีไม่ ตั้งใจเรียน ชอบเล่นในเวลาเรียน ครูต้องกาหนดบทลงโทษ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และต้องมี ความเสมอต้นเสมอปลาย และใช้เหตผุ ลในการลงโทษ ไมใ่ ช้อารมณ์ 4. นกั เรียนท่ีไม่สนใจทากิจกรรมการเรียน ครูต้องคอยเสริมแรง ให้กาลังใจ ให้ความเป็นกันเอง และให้ โอกาสแกเ่ ด็ก ทาให้นกั เรยี นกล้ามาพบครูและทางานส่ง ถึงจะล่าช้าบ้าง 5. การตดิ ตามเรื่อง การส่งงาน ของนักเรียน และตรวจงานโดยเน้นเรื่องการตรงเวลา และแจ้งคะแนนให้นักเรียนทราบอยู่ ตลอดเวลา ส่งผลให้นักเรียนส่งงานตามเวลาดีข้ึน และมีการติดตามสอบแก้ตัว ทาให้มีโอกาสท่ีจะมี ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนในรายวิชานี้สูงขึ้น 6. นกั เรียนชั้น ม.3 เปน็ วัยที่ชอบความมีเหตผุ ล ไมช่ อบให้ใช้ อารมณ์ ดังน้ัน การพูดชักจูงนักเรียนเร่ืองการทากิจกรรม และการส่งงาน โดยใช้เหตุผล ไม่ใช้ อารมณ์ สง่ ผลให้นักเรยี นส่งงานมากขน้ึ ถงึ แม้ว่าจะส่งงานลา่ ช้าก็ตาม รายงานการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ โดยใชช้ ดุ การเรียน แบบศูนย์การเรียน นางพัชรบูลย์ ภูมิพันธ์ุ ( 2550 ) ได้ศึกษาเร่ือง อาณาจักรสุโขทัย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 50 คน ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนผดุงนารี สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามหาสารคามเขต 1 ซ่ึงได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ศูนย์การเรียน เรือ่ งอาณาจกั รสุ โขทยั มปี ระสทิ ธภิ าพ 81.40/83.28 ซึง่ สงู กว่าเกณฑท์ ี่ตั้งไว้ 80/80 และมีคา่ ดชั นี ประสิทธิผลเท่ากับ 0.59แสดงวา่ ผเู้ รยี นมีความรู้เพิ่มข้นึ ร้อยละ 59.00 และนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 103 มีความพึงพอใจอยู่มนระดับมากท่สี ดุ มสิ สิริพร ศรสี มวงษ์ ( 2549 ) ไดศ้ ึกษาการแก้ปญั หาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นต่า โดยการใช้การอ่านหนังสือช่วงเช้าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 / 8 ผลการวิจัยพบว่า 1. จากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในภาคเรียนท่ี 2 พบว่านักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่าในภาค เรียนที่1 ที่มาอ่านหนังสือช่วงเช้าอย่างสม่าเสมอมีผลการเรียนที่ดีขึ้นท้ัง 2 วิชา 2. นักเรียนท่ีมี
21 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่าและไม่ได้มาอ่านหนังสือช่วงเช้าอย่างสม่าเสมอ ยังมีผลการเรียนต่าเช่นเดิม หรอื แย่ลง นางสาวดวงฤดี แสงไกร ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ส 43101 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ผลการวจิ ัยสรปุ ได้ดังน้ี 1. การใช้รูปแบบโครงงานในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษา เป็นกิจกรรมท่ีให้นักเรียนมี ส่วนร่วมท้ังทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม นักเรียนได้มีการลงมือปฏิบัติจริงทาให้สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง เพอ่ื นและครู โดยมีการฝึกการทางานเปน็ ทมี นักเรยี นมีส่วนรว่ มใน การทากจิ กรรม และนกั เรียนมคี วาม พึงพอใจอยใู่ นระดับมาก โดยมีค่าเฉลยี่ 2.78 2. ผลสัมฤทธ์ิในการเรียนของนักเรยี นก่อนเรียนและหลัง เรยี น มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ ที่ระดบั .05
22 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั วิธีดาเนินการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ โดยใช้ แบบฝึกทกั ษะการเรียน ผู้ศึกษาได้ดาเนินการศกึ ษาคน้ ควา้ โดยลาดับ ดังนี้ ๑. กล่มุ เปา้ หมาย ๒. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษา ๓. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๔. การจัดกระทาข้อมูล ๕. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ๖. สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ประชากร/กลมุ่ ตัวอย่าง ป ร ะ ช า ก ร ท่ี ใช้ ใน ก า ร วิ จั ย ใน เรื่ อ ง น้ี ได้ แ ก่ นั ก เรี ย น ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ าปี ที่ ๖ ภาคเรยี นท่ี 2/256๓ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 22 จานวน ๙๖ คน กลุ่ ม ตั วอ ย่ า ง ท่ี ใช้ ใน ก ารวิ จัยใน เรื่อ งน้ี ได้ แ ก่ นั ก เรียน ช้ั น มั ธ ย ม ศึก ษ าปี ท่ี ๖ ภาคเรียนที่ 2/256๓ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จานวน ๙๖ คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบ เจาะจง เครอื่ งมือที่ใช้ในการวิจยั 1. นวัตกรรม ชดุ ฝกึ การเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่ผู้ศึกษา สร้างขึ้น จานวน 5 ชุด เวลา 10 ชวั่ โมง ดงั น้ี 2.1 แบบฝึกการเรยี นชดุ ที่ 1 เรอ่ื ง ความสาคญั และเป้าหมายของเศรษฐศาสตร์ 2.2 แบบฝึกการเรยี นชดุ ท่ี 2 เรือ่ ง วิเคราะหป์ ญั หาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 2.3 แบบฝกึ การเรียนชดุ ท่ี 3 เร่ือง กิจกรรมทางด้านเศรษฐศาสตร์ 2.4 แบบฝกึ การเรยี นชดุ ท่ี 4 เรอ่ื ง หนว่ ยเศรษฐกิจ 2.5 แบบฝึกการเรียนชดุ ที่ 5 เรื่อง ระบบเศรษฐกจิ แบบ ทุนนิยม สังคมนิยมและแบบ ผสม
23 2. เครื่องมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น สาระ เศรษฐศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๖ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ๕ ตัวเลือก ท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้น จานวน ๑๐ ขอ้ โดยใชท้ ดสอบกอ่ นการใชช้ ุดฝึกทกั ษะทางการเรยี นและเม่ือใช้ชดุ ฝึกทักษะทางการเรยี นเสร็จสิ้น แลว้ ก็ใชแ้ บบทดสอบชดุ เดมิ ทดสอบหลงั การใช้ชดุ ฝึก 3. แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งใช้ควบคู่ชุดฝึกทักษะการเรียนสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปที ่ี ๖ จานวน 5 แผน วิธกี ารสรา้ งเคร่อื งมอื 1. การพัฒนาชดุ ฝึกทกั ษะการเรยี น ผู้วจิ ยั ไดพ้ ัฒนาชดุ ฝึกทกั ษะการเรียน สาหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ ดงั น้ี 1.1 ศึกษาหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร 1.2 ศกึ ษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จากแนวการจัดสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 1.3 ศกึ ษาสาระการเรยี นรู้รายปี และผลการเรยี นรู้ท่ีคาดหวังรายปี ชว่ งชน้ั ที่ 4 (ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4-6) จากแนวการจดั สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของกรม วชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ 1.4 ศกึ ษาค้นควา้ ตารา วารสาร บทความ งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้องกบั การพัฒนา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ และรายละเอียด วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา เพ่อื เปน็ แนวทางในการสร้างชดุ ฝึกการเรียน ๑.๕ สรา้ งชุดฝกึ ทักษะการเรียน สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ จานวน 5 ชุด 1.6 นาชุดฝึกทกั ษะท่ีสรา้ งข้ึน เสนอผู้เชีย่ วชาญเพื่อขอคาแนะนาในส่วนท่ยี ังบกพร่อง แล้วนามาปรับปรงุ แก้ไข จานวน 3 ทา่ น ซึง่ ประกอบด้วย 1.6.1 นายธนพัฒน์ อิสรางกลุ ณ อยุธยา ครูผู้สอนโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ 1.6.2 นายวิเศษ ฟองตา รองผู้อานวยการกลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการ โรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ 1.6.3 นางสาวศิริมา เมฆปัจฉาพิชิต ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ 1.7 นาแบบฝกึ ทกั ษะการเรียน ที่ได้รับการปรบั ปรุงแก้ไข มาใชส้ อนจรงิ โดยใช้ค่กู ับ แผนการจัดการเรียนรู้ มาจัดกิจกรรมสอนซอ่ มเสริม ในขน้ั สรปุ บทเรียนของแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละ แผน กับนกั เรียน สปั ดาห์ละ 1 วัน วันละ 1 ชัว่ โมง ใน เวลา 15.30 -16.30 น. 1.8 หลังจากทดลองใช้ชุดฝึกทักษะคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้เสร็จสิ้นแล้ว นาแบบทดสอบชดุ เดิมกบั ก่อนเรยี นมาทาการทดสอบหลงั เรยี นอีกคร้ัง
24 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้คน้ คว้าได้ดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดังน้ี 1. ชี้แจงวัตถุประสงค์ 2. ทดสอบกอ่ นเรียน โดยใช้แบบทดสอบกอ่ นและหลังเรยี นกบั กลุม่ ตัวอยา่ ง 3. เร่ิมดาเนินการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้และชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้น ใช้เวลาท้งั หมด จานวน 20 ชั่วโมง โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ทง้ั หมด จานวน 5 ชดุ 4. เม่ือสอนเสร็จแตล่ ะแผนการจัดการเรียนรู้ จะมกี ารประเมินผลโดยใช้ชุดฝกึ มีเกณฑ์ การให้คะแนน ถา้ ไมผ่ า่ นเกณฑก์ ็สอนซอ่ มเสรมิ 5. เมื่อทดลองใช้ชุดฝึกทักษะจนครบทั้ง 5 ชุดฝึกแล้ว ก็ทดสอบหลังเรียน โดยใช้ แบบทดสอบก่อนและหลงั เรียนชุดเดมิ การวิเคราะห์ข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูลโดยนาข้อมูลที่ได้มาหาความถ่ีแล้ววิเคราะห์ บรรยายเป็นความเรียง ประกอบตาราง โดยเปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนเฉล่ีย ค่าร้อยละ ระหว่างการทดสอบคร้งั แรกกับ คร้งั หลังของกลุม่ ตัวอยา่ งและเปรยี บเทียบคะแนนการทาแบบฝึกทกั ษะกบั คะแนนทดสอบหลงั เรียน สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล สถติ ิทใ่ี ช้ 1.หาค่าคะแนนเฉล่ีย X = X/N เมือ่ X แทน คะแนนเฉลยี่ X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด N แทน จานวนนกั เรียนในกล่มุ ตวั อย่าง 2. หาค่าประสิทธภิ าพ ใช้สูตร ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2537) สูตรที่ 1 E1 = X / N A 100 เมือ่ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X A แทน คะแนนรวมของแบบฝกึ หัดหรืองาน แทน คะแนนเก็บของแบบฝกึ หัดทุกชิ้นรวมกนั สูตรท่ี 2 N แทน จานวนผูเ้ รียน E2 = F/N B 100 เมื่อ E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ F แทน คะแนนรวมของผลลัพธห์ ลังเรยี น
25 B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลงั เรียน N แทน จานวนผ้เู รียน
26 บทที่ 4 ผลการดาเนินการวจิ ัย ในการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี ๖ แล้วได้นาไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สังกัดสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้วิเคราะห์ข้อมูล และเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลาดับ ดงั น้ี ๑. สัญลักษณ์ที่ใช้นาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ๒. ขน้ั ตอนนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๓. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. สญั ลักษณท์ ี่ใชใ้ นการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล เพื่อให้การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นที่เข้าใจตรงกัน ได้กาหนดความหมายของ สญั ลกั ษณท์ ี่ใช้นาเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลดงั นี้ N แทน จานวนนักเรยี น X แทน คะแนนเฉลี่ย D แทน ผลบวกของผลตา่ งของคะแนนครง้ั หลงั กบั ครั้งแรก D2 แทน ผลบวกของผลต่างของคะแนนคร้ังหลังกับครั้งแรกท่ีแต่ละตัว ยกกาลงั สอง 2. ขน้ั ตอนนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 2.1 คะแนนจากการทดสอบย่อยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ 2.2 ผลการหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน วิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ 3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล 3.1 การวเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของคะแนนก่อนเรียน หลังเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ ผู้รายงานไดน้ าคะแนนจากแบบฝกึ ทักษะทางการเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ ท้ัง 5 ชุด ท่ีได้จากนักเรียนมาทาการวิเคราะห์ร่วมกับผลการทดสอบหลังเรียน ผลการวิเคราะห์หา ประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะทางการเรยี น สาระ เศรษฐศาสตร์ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี
27 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ค่าเฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดบั นัยสาคัญทางสถติ ิของการทดสอบ เปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 วิชาสังคมศึกษาฯ ( n =12 ) จากตาราง พบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ วิชาสังคมศึกษาฯ มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 20.62 คะแนน และ 28.01 คะแนน ตามลาดับและเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อน เรยี นอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 5
28 บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ใน การวิจัยคร้ังน้ีเป็น การวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางก ารเรียน วิชาสังคมศึกษ า ศาสนาและวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่ใช้แบบฝึกทักษะ ทางการเรยี น ประกอบด้วย แบบฝกึ การเรียนจานวน 5 ชดุ วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1. เพ่ือสร้างแบบฝึกทักษ ะทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสน าและวัฒ น ธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี ๖ ที่มปี ระสทิ ธิภาพ 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สาหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ ขอบเขตของการวิจัย 1. เนอ้ื หา การวจิ ยั คร้ังนีผ้ ูวจิ ยั ได้ใชเ้ นอ้ื หาของกลมุ่ สาระสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ในสาระ เศรษฐศาสตร์ ไดแก่ 1.1 เรอ่ื ง ความสาคัญและเป้าหมายของเศรษฐศาสตร์ 1.2 เรื่อง วิเคราะหป์ ญั หาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ 1.3 เรื่อง กิจกรรมทางด้านเศรษฐศาสตร์ 1.4 เรื่อง หนว่ ยเศรษฐกิจ 1.5 เรือ่ ง ระบบเศรษฐกิจแบบ ทนุ นยิ ม สงั คมนยิ มและแบบผสม 2. ประชากร/กลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ที่ใช้ในการวจิ ยั ในเรื่องน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ภาคเรียนที่ ๒/256๓ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาแมแ่ จ่ม จังหวดั เชียงใหม่ สงั กดั สานัก บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ จานวน ๙๖ คน กล่มุ ตวั อยา่ ง ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ ภาคเรยี นท่ี ๒ ปกี ารศึกษา 256๓ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาแม่แจ่ม จงั หวัดเชยี งใหม่ สังกัด สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ จานวน ๙๖ คน ซงึ่ ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง
29 3. ตัวแปรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั 3.1 ตั ว แ ป ร อิ ส ร ะ ได้ แ ก่ ก าร ส อ น โด ย ใช้ แ บ บ ฝึ ก ทั ก ษ ะ ท าง ก าร เรีย น สาระ เศรษฐศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดสานัก บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ จานวน ๑๒๐ คน 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ ท่ใี ชแ้ บบฝึกทักษะทางการเรียน เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในของการวจิ ัย เครอื่ งมือท่ีผู้วิจัยใช้ในการวจิ ยั ในครัง้ นี้ ประกอบด้วย 1. นวัตกรรม ชุดฝึกการเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ที่ผู้ศึกษา สรา้ งข้ึน จานวน 5 ชดุ เวลา 10 ชัว่ โมง ดงั น้ี 1.2 แบบฝกึ การเรียนชุดที่ 1 เรื่อง ความสาคัญและเปา้ หมายของเศรษฐศาสตร์ 1.2 แบบฝกึ การเรยี นชดุ ที่ 2 เรื่อง วิเคราะห์ปัญหาพน้ื ฐานทางเศรษฐกจิ 1.3 แบบฝกึ การเรียนชุดที่ 3 เรื่อง กจิ กรรมทางดา้ นเศรษฐศาสตร์ 1.4 แบบฝกึ การเรียนชดุ ท่ี 4 เรอ่ื ง หน่วยเศรษฐกิจ 1.5 แบบฝึกการเรียนชดุ ท่ี 5 เรื่อง ระบบเศรษฐกจิ แบบ ทุนนิยม สงั คมนยิ มและแบบ ผสม 2. เคร่อื งมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระ เศรษฐศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ๕ ตัวเลือก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จานวน ๑0 ขอ้ โดยใช้ทดสอบก่อนการใช้ชุดฝึกทกั ษะทางการเรียนและเมอื่ ใช้ชุดฝึกทักษะทางการเรยี นเสร็จส้ิน แล้วกใ็ ช้แบบทดสอบชดุ เดิมทดสอบหลงั การใช้ชดุ ฝึก 3. แผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงใช้ควบคู่ชุดฝึกทักษะการเรียนสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที ่ี ๖ จานวน 5 แผน สรปุ ผลการวจิ ัย การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ วิชาสังคมศึกษาฯ มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 20.62 คะแนน และ 28.01 คะแนน ตามลาดับและเม่ือเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05
30 อภิปรายผลการศกึ ษา รายงานผลการพัฒนาทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษ าปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา 25๖๑ โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชยี งใหม่ สังกัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ มดี ังน้ี การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี นของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ วิชาสังคมศึกษาฯ มีคะแนนเฉล่ีย เทา่ กับ 20.62 คะแนน และ 28.01 คะแนน ตามลาดบั และเมื่อเปรยี บเทียบระหวา่ งคะแนนก่อนและ หลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในการสร้าง แบบฝึกทกั ษะ 1.1 ควรศึกษาหลกั สตู ร คู่มอื ครู และเอกสารทเ่ี กย่ี วข้องให้เข้าใจ 1.2 ควรคานึงถึงความสอดคล้องระหว่างแบบฝึกทักษะและแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ตอ้ งสอดคลอ้ งสมั พันธก์ ัน 1.3 แบบฝึกทกั ษะท่สี รา้ งขึ้นต้องสามารถพัฒนาทักษะของผเู้ รียนได้จรงิ 1.4 แบบฝึกทักษะต้องน่าสนใจ ใส่รูปภาพ สีสันท่ีสดใสประกอบ เพื่อให้นกั เรียนอยาก สัมผสั อยากฝกึ 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ตอ่ ไป ๒.๑ ควรมีการศึกษาผลการจัดกิจการเรียนรู้ทุกปี เพ่ือประโยชน์ในการปรับปรุง พฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๒.๒ ควรมีการพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อนักเรียนจะได้ฝึกใน รูปแบบทหี่ ลากหลาย แตกต่างกนั ไป และควรพัฒนานวตั กรรมในกลุม่ สาระอ่นื ๆ ทกุ ระดับช้ันดว้ ย ๒.๓ ควรมีการส่งเสริมใหน้ ักเรยี นนาความรู้และประสบการณท์ ่ีไดร้ บั ไปใชใ้ น ชีวิตประจาวันให้มากข้นึ
31 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธกิ าร.พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิม่ เติม(ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545. กรงุ เทพฯ:โรงพิมพ์องคก์ ารรบั สง่ สินค้าและพสั ดุภัณฑ.์ คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน สานกั งานกระทรวงศกึ ษาธิการ.เรียนรู้บูรณาการ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว, 2547. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน , สานกั งาน กระทรวงศึกษาธกิ าร.แนวทางการวัดและประเมนิ ผล ใน ช้ันเรียน กลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตร การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพอ์ งคก์ ารรับสง่ สนิ ค้าและพสั ดุ ภณั ฑ์ , 2545. คณะอนุกรรมการพฒั นาคุณภาพวิชาการ , กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุ สภา ลาดพร้าว, 2546. คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาต,ิ สานักงาน. คมู่ ืออบรมครแู นวการใช้หลักสตู รประถมศึกษา พุทธศกั ราช 2521(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2533) และกจิ กรรมการเรยี นการสอนชัน้ ประถมศึกษา ปที ่ี 1–2. กรุงเทพฯ :โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว, 2534. ศกึ ษาธกิ าร , กระทรวง. หลักสตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2544.กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว , 2545 ฉลองชยั สุรวฒั นบรู ณ์. องคป์ ระกอบของแบบฝึก. ไมป่ รากฏโรงพิมพ์, 2528 : 130 นางผสมพร ประจนั ตะเสน.การเพิม่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่อง ลักษณะภูมิประเทศของไทย .ไมป่ รากฏโรงพิมพ์, 2550 นางองั คณา ณ พกิ ุล .การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาสังคมศึกษา 3 (ส 33101). ไม่ปรากฏโรงพมิ พ์, 2549 นางอจั ฉรา มณนี ิล.การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน วชิ าสงั คมศกึ ษาระหว่าง การสอนโดยใช้ บทเรียนสาเร็จรปู กับการสอนแบบปกติเรอ่ื งลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ.ไมป่ รากฏโรงพิมพ์, 2545 นติ ยา ฤทธิโยธี. ลกั ษณะของแบบฝกึ .ไม่ปรากฏโรงพมิ พ์, 2520.40 - 41 ประทปี แสงเปย่ี มสขุ .ประโยชนข์ องแบบฝกึ .ไมป่ รากฏโรงพิมพ์, 2538 ไพบลู ย์ เทวรักษ์.กฎการฝกึ หัด.ไม่ปรากฏโรงพมิ พ์, 2540 ไพรตั น์ สวุ รรณแสน.ลักษณะของแบบฝกึ ท่ดี .ี ( จิรพา จันทะเวยี ง. 2542 : 43 ; อ้างอิงจากไพรัตน์ สวุ รรณแสน.ม.ป.ป. )
32 มสิ สิริพร ศรสี มวงษ์ .การแกป้ ัญหาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรียนตา่ โดยการใช้การอ่าน หนงั สือ. ไม่ปรากฏโรงพมิ พ์, 2549 ราชบณั ฑิตสถาน. (2535). พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ:สานกั พมิ พ์ อกั ษรเจริญทศั น์. โรงเรียนชุมชนบ้านหวั ขัว สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาขอนแก่น เขต 2. หลกั สูตร สถานศกึ ษา กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ฉบับปรับปรงุ ครัง้ ที่ 2 /2547,2547. สจุ รติ เพยี รชอบ. การสร้างแบบฝกึ .ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2536:65-73 สจุ รติ เพยี รชอบ และสายใจ อนิ ทรมั พรรย์.หลกั จิตวิทยาทีค่ วรนามาสรา้ งแบบฝกึ . ไมป่ รากฏโรงพิมพ์, 2536:65-73 สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ. การผลิตนวัตกรรมการเรยี น การสอน การสร้างแบบฝึก. ไม่ปรากฏโรงพมิ พ์, 2544. สุนนั ทา สุนทรประเสรฐิ . การผลิตปฏิรูปการเรยี นรู้ ปฏิรูปการศกึ ษา. ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2544. วัญญา วศิ าลาภรณ์ .คุณประโยชน์ของแบบฝกึ . ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2533 : 23 วรสุดา บญุ ไวโรจน์ ( อา้ งถึงใน สุนันทา สนุ ทรประเสริฐ2543 : 9-10 ) ,ลักษณะของแบบฝกึ ทด่ี ี. ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2536:37 วิชาการ , กรม. การวิจัยเพอื่ พฒั นาการเรียนรตู้ ามหลกั สตู รการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว , 2545. วิชาการ กรม. คมู่ ือพฒั นาส่อื การเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว , 2545 อดลุ ย์ บญุ ปลืม้ .(2539). การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธใิ์ นการเขยี นสะกดคา สาหรับนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยใชแ้ บบฝึกทจ่ี ัดคาเปน็ กลมุ่ คาและแบบฝกึ ทีจ่ ดั คาคละคา. วทิ ยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑติ มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. 7 28
33 ภาคผนวก
34 ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชย่ี วชาญในการตรวจคณุ ภาพเครอื่ งมอื 1. นายอดิศร แดงเรือน ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สังกัดสานัก บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ 2. นายวเิ ศษ ฟองตา รองผอู้ านวยการกลุ่มบริหารงานวิชาการ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สังกดั สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3. นางสาวศิริมา เมฆปัจฉาพิชิต ครูกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สงั กดั สานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ
35 ภาคผนวก ข เคร่ืองมอื ในการศกึ ษา - แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น - แผนการจัดการเรยี นรู้ - แบบฝกึ ทกั ษะทางการเรยี น
36 ประวัตยิ อ่ ของผศู้ กึ ษาคน้ คว้าอสิ ระ ชือ่ นายนิกร ไชยบตุ ร วันเดอื นปเี กดิ 23 ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่อย่ปู จั จุบนั บ้านเลขท่ี ๓ หมูท่ ี่ ๒ ตาบลทา่ ผา อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ รหัสไปรษณีย์ 5๐๒๗๐ ตาแหน่งหน้าท่ีการงาน ครู สถานท่ีทางานปัจจุบนั โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ ประวัติการศกึ ษา พ.ศ. 25๔๕ ปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลัยรามคาแหง วิชาเอก สงั คมศึกษา พ.ศ. 2558 วุฒิปรญิ ญาโท มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิททยาลยั สาขา การบริหาร การศึกษา
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: