โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสารวจ “พนั ธ์ุไมน้ า่ รู้”
จดั ทาโดย 1. ด.ช.ปรชั ญากร ศรแี กว้ ชนั้ ม.3/1 #7 2. ด.ช.ศุภณฐั ราชพฒั น์ ชนั้ ม.3/1 #12 3. ด.ญ.จารญั ดา อนิ อญั ชญั ชนั้ ม.3/1 #19 4. ด.ญ.ชฎาณศิ คงสมั ฤทธ์ิ ชน้ั ม.3/1 #21 5. ด.ญ.ธนนั ณฏั ฐ กลน่ั กลนิ่ ชน้ั ม.3/1 #29 อาจารย์ทป่ี รกึ ษาโครงงาน อาจารยก์ มณรตั น์ นทสี นิ ทรพั ย์
ทม่ี าและความสาคญั ของโครงงาน เนอ่ื งจากโรงเรยี นเรามพี นั ธ์ุไมห้ ลากหลายชนดิ และยงั มนี กั เรยี นส่วนใหญ่ยงั คงไม่ ทราบขอ้ มูลเกย่ี วกบั พนั ธ์ุไมต้ ่างๆ เราจงึ ต้องการทจี่ ะศกึ ษาชนดิ ลกั ษณะภายนอกและประโยชน์ ของพนั ธ์ุไมใ้ นโรงเรยี น เพอ่ื ใหส้ ามารถจาแนกประเภทกบั ชนดิ พนั ธ์ุไมต้ ่างๆได้ถูกต้อง และขอ้ มูล นส้ี ามารถนาไปเผยแพร่แก่บุคคลทส่ี นใจและอยากศกึ ษาพนั ธ์ุไมใ้ หเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งพนั ธ์ุไมม้ ากยงิ่ ขน้ึ
วตั ถุประสงค์ของการทาโครงงาน 1. เพอื่ ใหท้ ราบชนดิ ของพนั ธ์ุไม้ 2. เพอ่ื ใหท้ ราบความแตกต่างของพนั ธ์ุไม้ 3. เพอื่ ใหท้ ราบประโยชน์ของพนั ธ์ุไม้ 4. เพอ่ื เป็นสอื่ การเรยี นรู้แก่บุคคลทสี่ นใจ
ขอบเขตของการทาโครงงาน บรเิวณสวนพฤกษศาสตร์ ถงึ บรเิวณสนามบาสเกตบอล โรงเรยี นมธั ยมสาธติ วดั พระศรี มหาธาตุ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร
วธิ ดี าเนนิ การ ■ วสั ดุอุปกรณ์ทใ่ีช้ – สมุดจด – ดนิ สอ – ปากกา – กลอ้ งถ่ายรูป
วธิ ดี าเนนิ การ ■ ขนั้ ตอนการดาเนนิ การ – สารวจและรวบรวมขอ้ มูลเกย่ี วกบั ชนดิ ของพนั ธ์ุไม้ – นาขอ้ มูลทไ่ีด้มาจาแนกเป็นหมวดหมู่ – นาขอ้ มูลทง้ั หมดมาจดั กระทาและนาไปเผยแพร่
อนิ ทนลิ ■ ชอ่ื โดยทวั่ ไป: Queen’s crape myrtle , Pride of India (ชอ่ื นบ้ี อกถนิ่ ทม่ี าของ พชื ชนดิ นไ้ีด้เป็นอย่างด)ี ■ ชอื่ ทางวทิ ยาศาสตร์ : Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. ■ ชอ่ื วงศ์ : LYTHRACEAE ■ ชอื่ ตามภูมภิ าค : ฉ่วงมู ฉ่องพนา (กาญจนบุร)ี ตะแบกดา (กรุงเทพฯ) บางอบะซา (มลายู-ยะลา, นราธวิ าส)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ลำต้น เป็นไมย้ นื ต้น ขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ สูง 5-20 เมตร ลาต้น ต้นเลก็ มกั คดงอ แต่พอใหญ่ขน้ึ จะค่อยๆตรง ■ โคนต้นไมไ้ มค่ ่อยพบพูพอน มกั จะมกี ง่ิ ใหญ่แตกจากลาต้นสูงเหนอื พน้ื ดนิ ขน้ึ มาไม่มากนกั ดงั นน้ั เรอื นยอดจงึ แผก่ ว้าง พุม่ แบบรูปร่มและคลุมส่วนโคนต้นเลก็ นอ้ ยเท่านนั้ ผวิ เปลอื กนอกสเีทาหรอื น้าตาลอ่อน และมกั จะมรี อยด่างเป็นดวงสขี าวๆ ทวั่ ไป ผวิ ของเปลอื กค่อนขา้ งเรยี บ ไมแ่ ตกเป็นร่องหรอื เป็นรอยแผลเป็น เปลอื กหนาประมาณ 1 ซม. เปลอื กในออกสมี ่วง ใบ เป็นใบเดยี่ ว ออกตรงขา้ มหรอื เยอ้ื งกนั เลก็ นอ้ ย ทรงใบรูปขอบขนานหรอื บางทเีป้นรูปขอบขนานแกมรูป ■ หอก กวา้ ง 5-10 ซม. ยาว 11-26 ซม. เนอ้ื ใบค่อนขา้ งหนา เกลย้ี ง เป็นมนั ทงั้ สองดา้ น โคนใบมนหรอื เบ้ยี วเยอ้ื งกนั เลก็ นอ้ ย ปลายใบเรยี วและเป็นตงิ่ แหลม เสน้ แขนงใบ มี 9-17 คู่ เสน้ โค้งอ่อนและจะจรดกบั เสน้ ถดั ไปบรเิวณใกลๆ้ ขอบใบเสน้ ใบ ยอ่ ยเหน็ ไมเ่ ด่นชดั นกั ขอบใบเรยี บหรอื เป็นคลนื่ บา้ งเลก็ นอ้ ย ■ ดอก มสี ตี ่างๆ กนั เชน่ สมี ว่ งสด ม่วงอมชมพู หรอื มว่ งลว้ นๆ ออกรวมกนั เป็นช่อโต ตามปลายกง่ิ หรอื ตามงา่ มใบ ตอนใกลๆ้ ปลายกงิ่ ตรงส่วนบนสุดของดอกตูมจะมตี ุ่มกลมเลก็ ๆ ตงั้ อยู่ตรงกลาง ผวิ นอกของกลบี ฐานดอกซงึ่ ตดิ กนั เป็นรูปถว้ ยมสี นั นูนตามยาวปรากฎชดั และมขี นสน้ั ปกคลุมประปราย กลบี ดอกบาง รูปชอ้ นทม่ี โีคนกลบี เป็นก้านเรยี ว ผวิ กลบี เป็นคลนื่ ๆ บา้ งเลก็ นอ้ ย
ประโยชน์ ■ 1.ใบ : มรี สจดื -ขมฝาดเยน็ ใชต้ ้มหรอื ชงกบั น้าร้อน ใชล้ ดระดบั น้าตาลในเลอื ด บรรเทาอาการ เบาหวาน ขบั ปสั สาวะ ลดความดนั โลหติ ■ 2.เปลอื ก มรี สฝาดขม ต้มกบั น้ารบั ประทานแกไ้ ขแ้ ละแกท้ อ้ งเสยี ■ 3.เมลด็ มรี สขม แก้ดรคเบาหวาน ช่วยใหน้ อนหลบั สบาย ■ 4.แก่น มรี สขมใชต้ ้มดมื่ รกั ษาโรคเกย่ี วกบั ทางเดนิ ปสั สาวะ ■ 5.ราก มรี สขม ใชร้ กั ษาโรคแผลในปาก
ชมพูพนั ธ์ุทพิ ย์ ■ ชอื่ ทว่ั ไปในภาษาองั กฤษว่า : Pink Tecoma, Pink Trumpet Tree และ Rosy Trumpet-tree ■ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) DC. ■ ชอ่ื วงศ์ : Bignoniaceae ■ ชอื่ เรยี กในไทย : ชมพูอนิ เดยี ธรรมบูชา ตาเบบูญ่า และแตรชมพู
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ เป็นต้นไมข้ นาดกลาง ผลดั ใบ ความสูงประมาณ 8-25 เมตร แตกกงิ่ แผก่ ว้างเป็นชน้ั เรอื นยอดรูปไขห่ รอื ทรงกลม ลาต้นขนาด ใหญ่ ■ เปลือกลาต้นเรยี บสนี ้าตาลหรอื สเีทา แต่เมอ่ื มอี ายุมากเปลอื กลาต้นจะแตกเป็นร่อง กง่ิ เปราะหกั ง่าย ■ ใบเป็นใบประกอบรูปนว้ิ มอื ใบเรยี งตรงกนั ขา้ ม มใีบยอ่ ย 5 ใบ แผน่ ใบหนาขอบเรยี บ สเีขยี วเขม้ ปลายใบเรยี ว โคนใบสอบ ใบคลา้ ยรูป ไขแ่ กมรูปรี ความกว้าง 3-7 เซนตเิมตร ยาว 7.5-16 เซนตเิมตร ออกดอกเป็นช่อ กระจุกตามกงิ่ ชอ่ ละ 5-8 ■ ดอก กลบี ดอกมที งั้ สชี มพูอ่อน ชมพูสด และสขี าว ตรงกลางดอกสเีหลอื ง ดอกบานเตม็ ทจ่ี ะมคี วามกว้างประมาณ 5-8 เซนตเิมตร โดยทง้ิ ใบในชว่ งเดอื นพฤศจกิ ายน-มกราคม และออกดอกในชว่ งเดอื นกุมภาพนั ธ์-เมษายน ■ ฝั กกลม ยาว 15-30 เซนตเิมตร เมลด็ แบน สนี ้าตาล
ประโยชน์ ■ 1.นาใบไปต้มทายาบรรเทาอาการท้องเสยี หรอื ตาใหล้ ะเอยี ดไว้พอกแผล ■ 2.ลาต้นและเยอ่ื ไมก้ ส็ ามารถนาไปใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ และทากระดาษได้
กระดุมทอง ■ ช่ือสำมญั : Little Yellow Star ■ ชื่อวิทยำศำสตร์ : Melampodium divaricatum (Rich. ex Pers.) DC. ■ ช่ือวงศ์ : ASTERACEAE (COMPOSITAE) ■ ชื่อพ้นื เมอื ง : กระดุมทอง พกิ ุลทอง (กรุงเทพมหานคร)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ไมล้ ้มลกุ ลาต้นตง้ั สูง 30-50 ซม. ■ ใบ ใบเดย่ี ว เรยี งตรงขา้ ม รปู รกี วา้ งหรอื รปู ไข่ ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรยี บหรอื หยกั ซฟี่ ัน ■ ช่อดอก แบบช่อกระจุก ออกเดยี่ วๆ หรอื ออกเป็นคู่ตามง่ามใบใกลย้ อด ดอกวงนอกเป็นดอกเพศเมยี มี 8-12 ดอก กลบี ดอกสเีหลอื ง รูปรี ดอกวงในลกั ษณะเหมอื นดอกเพศเมยี แต่รงั ไขไ่ ม่สมบูรณ์ ดอกเพศผูข้ นาดเลก็ มาก และเป็นหมนั อยู่กลางกระจุกดอก ■ ผล รปู สามเหลย่ี ม ยอดแบน ■ เมล็ดเลก็ สดี าเป็นมนั
ประโยชน์ ■ 1.หญา้ กระดุมทองมสี มบตั ใินการลดน้าตาลในเลอื ดของผูป้ ่วยโรคเบาหวานให้ อยู่ในภาวะปกติ และควบคุมระดบั น้าตาลในคนทวั่ ไปใหอ้ ยู่ในระดบั พอเหมาะ ซง่ึ จะ ช่วยป้องกนั การเกดิ โรคเกย่ี วกบั ระดบั น้าตาลในเลอื ด เช่น ความดนั โลหติ สูง โรคหวั ใจ โรคเบาหวาน ■ 2.ปลูกต้นกระดุมทองคลุมดนิ บรเิวณทลี่ าดเอยี ง ป้องกนั การพงั ทลายของดนิ
การเวก ■ ชื่อวิทยำศำสตร์ : Artabotrys siamensis Miq. ■ ช่ือวงศ์ : ANNONACEAE ■ ชื่อพ้นื เมอื งอ่ืน : การเวก (ภาคกลาง) ; กระดงั งวั , กระดงั งาป่า (ราชบุร)ี ; หนามควายนอน (ชลบุร)ี ; กระดงั งาเถา (ภาคใต้)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ต้น เป็นไมแ้ ถวเนอ้ื แขง็ ขนาดใหญ่ มมี อื เกาะเป็นรปู ตะขอ ■ ใบ เป็นใบเดยี่ ว ออกเรยี งสลบั ลกั ษณะใบรูปรหี รอื รปู ขอบขนาน กว้าง 2.5-8 ซม. ยาวประมาณ 5-20 ซม. ปลายใบเป็นตงิ่ ทู่ โคนใบแหลม ขอบใบเรยี บ ใบมสี เีขยี วเขม้ เป็นมนั ■ ดอก ออกดอกตรงโคนใบเป็นดอกเดยี่ วตรงโคนกา้ นดอกจะมมี อื เกาะ ดอกเมอื่ แรกออกเป็นสเีขยี วแลว้ จะค่อยๆ เปลย่ี นเป็นสเีหลอื ง ■ ผล ตดิ เป็นกลุม่ 4ถงึ 20ผล เปลอื กสเีขยี วเมอื่ แก่เป็นสเีหลอื ง ในแต่ละผลม2ี เมลด็ ■ นิเวศวิทยำมถี น่ิ กาเนดิ อนิ เดยี ศรลี งั กา ปลูกได้ทวั่ ไป นยิ มปลูกเป็นไมป้ ระดบั ตามบ้านเรอื น
ประโยชน์ ■ 1.ใบ ใชเ้ ป็นยาขบั ปสั สาวะ ■ 2.ดอก ปรุงเป็นยาหอมแก้ลมวงิ เวยี น ใชท้ าบุหงาอบร่าและน้าหอม
ชาฮกเกย้ี น ■ ชื่อวิทยำศำสตร์ : Carmona retusa (Vahl) Masam. ■ ช่ือสำมญั : - ■ ชื่อวงศ์ : Boraginaceae ■ ชื่อพ้นื เมอื ง : ชาดดั ใบมนั ขอ่ ยจนี ชาญวน ชา ชาญป่ี ุ่น
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ไมพ้ ุม่ ขนาดเลก็ ลาต้นแตกกงิ่ กา้ นจานวนมากเป็นพุม่ แนน่ ทบึ สูงประมาณ1เมตร ดอกมสี ขี าว ■ ใบ ใบเดย่ี ว เรยี งสลบั มกั ออกเป็นกระจุกสนั้ ๆ ตามกงิ่ รูปไขก่ ลบั แคบ กว้าง 0.5-2 เซนตเิมตร ยาว1-4 เซนตเิมตร ปลายแยกเป็นพูแหลมมกั เป็นตง่ิ หนามอ่อน โคนใบรูปลม่ิ ขอบใบหยกั ผวิ ใบด้านบนสเีขยี วเขม้ เป็นมนั ค่อนขา้ งหนาด้านหลงั ใบสเีขยี วอ่อน ■ ดอก สขี าว ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบ มดี อกย่อย 2-5 ดอก กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู แถบ สเีขยี ว อ่อน ด้านนอกมขี นยาวประปราย โคนกลบี ดอกเชอ่ื มตดิ กนั เลก็ นอ้ ยเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ดอกบาน เตม็ ทก่ี ว้าง 0.8 มลิ ลเิมตร ■ ผล : ผลสด รปู กลมขนาด 6 มลิ ลเิมตร สสี ม้ แดง มี 4 เมลด็
ต้นโมก ■ ช่ือวิทยำศำสตร์: Wrightia religiosa Benth ■ ชื่ออ่ืน : โมกหลวงวงศ์ : APOCYNACEAE ■ ช่ือท้องถ่ิน : หลกั ป่า (ระยอง), โมกซ้อน โมกลา โมก บา้ น (ภาคกลาง)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ โมกเป็นพรรณไมย้ นื ต้นขนาดกลาง พบตามเรอื กสวนไร่นาและตามป่าเบญจพรรณทวั่ ๆ ไปลาต้นมี ความสูงประมาณ 5–12 เมตร ผวิ เปลอื กมสี นี ้าตาลดา ลาต้นกลมเรยี บมจี ุดเลก็ ๆ สขี าวประทวั่ ต้น แตกกงิ่ กา้ นสาขารอบลาต้นไมเ่ ป็นระเบยี บ ■ ใบ ใบเดยี วออกเรยี งกนั เป็นคู่ตามก้านใบ มขี นาดเลก็ รูปไข่ ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม คลา้ ยใบ แกว้ เนอ้ื ใบบางสเีขยี ว ออกดอกตามซอกใบเป็นช่อๆ ละ 3-5 ดอก โดยจะคว่าหนา้ ลงสู่พน้ื ดนิ มี ทงั้ ดอกลา และดอกซ้อน ดอกสขี าว กลนิ่ หอม ดอกบานเตม็ ทมี่ ขี นาดประมาณ 2 เซนตเิมตร ออก ดอกตลอดปี ฝักออกเป็นคู่มขี นาดเลก็ ยาวคลา้ ยฝักถวั่ เขยี วยาวประมาณ 10 เซนตเิมตร ลกั ษณะ โค้งงอเขา้ หากนั ภายในมเีมลด็ เรยี งอยูเ่ ป็นจานวนมาก
ประโยชน์ ■ 1.รากใชผ้ สมกบั ยาสมุนไพรตวั อนื่ ใชร้ กั ษาโรคผวิ หนงั ■ 2.เปลอื กเป็นยาช่วยทาใหเ้ จรญิ อาหาร และช่วยรกั ษาโรคไต ■ 3.ยางจากต้นใชเ้ ป็นยาแก้โรคบดิ ทม่ี อี าการเลอื กออก ■ 4.ยางใชเ้ ป็นยาแก้พษิ งูและแมลงกดั ต่อ ■ 5.ดอกเป็นยาระบาย
กลว้ ย ■ ชื่อวิทยำศำสตร์ Musa ABB group (triploid) cv. ‘Nam Wa’ ■ ชื่อวงศ์ : MUSACEAE Musa paradisiaca L. var sapientum (L.) O. Kutnze ■ ช่ืออังกฤษ Banana, Cultivated banana ■ ช่ือท้องถ่ิน กลว้ ยกะลอิ ่อง กลว้ ยมะนอิ ่อง
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ไมล้ ม้ ลุกอายุหลายปี มลี าต้นใต้ดนิ สว่ นเหนอื ดนิ เป็นลาต้นเทยี มเกดิ จากกาบใบห่อหุ้มซ้อนกนั ลกั ษณะคลา้ ยลา ต้น ■ ใบ ใบเดย่ี วขนาดใหญ่ออกเรยี งเวยี นสลบั กนั รูปขอบขนาน ปลายตดั ขอบเรยี บ เสน้ กลางใบแขง็ มเีสน้ ใบจานวน มากออกจากเสน้ กลางใบทงั้ 2 ขา้ ง ขนานกนั ไปจรดขอบใบ กา้ นใบยาว เป็นร่อง ■ ดอก ดอกออกเป็นช่อ (เรยี กว่า ปล)ี หอ้ ยลง กา้ นช่อดอกแขง็ ดอกย่อยแยกเพศอยู่บนต้นเดยี วกนั ดอก เพศเมยี จะอยูต่ อนลา่ งของช่อดอกและบานก่อน แต่ละช่อยอ่ ยจะรองรบั ด้วยใบประดบั ขนาดใหญ่สมี ว่ งแดง (กาบปล)ี ดอกย่อยรูปทรงกระบอก มกี ลบี ดอก 6 กลบี มี 1 กลบี เดย่ี วขนาดเลก็ ทเี่หลอื อกี 5 กลบี เชอื่ ม ตดิ กนั เป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลทรงกระบอกหรอื มเีหลยี่ มเลก็ นอ้ ย เปลอื กหนาสเีขยี ว เมอ่ื สุก เปลอื กสเีหลอื ง มรี สหวานรบั ประทานได้
ประโยชน์ ■ 1.รำกและลำต้น นามาต้มกช็ ่วยดบั กระหายได้ หรอื นาลาต้นมาทาสมุนไพรแผนโบราณ ■ 2.ลำต้นเทียมหรอื กำบลำต้น สามารถนามาทาเสน้ ใย ทาเชอื กทอผา้ ทาอาหารใหส้ ตั ว์ แลว้ กเ็ป็นอาหารใหก้ บั เราไดอ้ กี ดว้ ย เช่น เมนูแกงหยวกกลว้ ย ■ 3.ใบกล้วย ใชห้ ่ออาหารและขนมต่างๆ ทง้ั ห่อหมก ขา้ วต้มมดั ฯลฯ หรอื ประดษิ ฐ์ทากระทง , บายศรี กไ็ด้อกี เชน่ กนั ■ 4.หัวปลี นามาประกอบกนิ เป็นเครอื่ งเคยี งกบั อาหารต่างๆ ได้ เช่น กะปิ ผดั ไทย หรอื จะทาเป็นเมนู ยาหวั ปลี กไ็ดอ้ กี เชน่ กนั ■ 5.ก้ำนกล้วย นามาฝานเป็นเสน้ ๆ กส็ ามารถนาไปมดั ของได้ หรอื จะทามา้ ก้านกลว้ ยเป็นของเลน่ ใหเ้ ดก็ ๆ ไดเ้ ลน่ กไ็ด้อกี เชน่ กนั ■ 6.ผล สรรพคุณในกลว้ ยนน้ั มากมายแถมยงั หากนิ ได้งา่ ย อุดมไปด้วยเสน้ ใยและกากอาหาร วติ ามนิ และแร่ธาตุต่างๆ ทม่ี ี ประโยชน์ อาทิ ชว่ ยรกั ษาอาหารท้องผูก ลดอาการเสยี ดท้อง ลดกรดในกระเพาะ เป็นต้น
หางนกยูงไทย ■ ชื่อวิทยำศำสตร์: Caesalpinia pulcherrima Sw ■ .ชื่ออ่ืน: ขวางยอย (นครราชสมี า), จาพอ, ซาพอ ( แม่ฮ่องสอน), ซมพอ, สม้ ผอ่ , สม้ พอ (ภาคเหนอื ), นกยูงไทย ■ ช่ือวงศ์: LEGUMINOSAE- CAESALPINIOIDEAE
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ไมพ้ ุม่ สูง 3 -4 ม. ลาต้นเกลย้ี งหรอื มหี นาม แตกกง่ิ กา้ นสาขาจานวนมาก เรอื นยอดโปร่ง ■ ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชนั้ ปลายคู่ เรยี งสลบั มใีบย่อย 7-11 คู่ ใบย่อยออกเป็นคู่เรยี งตรงขา้ มกนั รูปรี แกมขอบขนานหรอื รปู ไขก่ ลบั ปลายใบมนหรอื เวา้ ฐานใบมนหรอื เบย้ี ว ขอบใบเรยี บ ผวิ ด้านหลงั ใบสเีขม้ กว่าด้าน ทอ้ ง ■ ดอก ดอกช่อออกบรเิวณซอกใบ ปลายกง่ิ หรอื ส่วนยอดของต้น ดอกมหี ลายสตี ามพนั ธ์ุ กลบี ดอก 5 กลบี กลบี ใหญ่ 4 กลบี กลบี เลก็ 1 กลบี รูปชอ้ น ขอบกลบี หยกั เป็นคลนื่ เกสรเพศผู้ 10 อนั เกสรเพศเมยี 1 อนั รงั ไข่อยู่เหนอื ฐานรองดอก กลบี เลย้ี ง 5 กลบี โคนเชอ่ื ม ปลายแยก ■ ผล ผลเป็นฝักแบน เมลด็ รูปแบนรี
ประโยชน์ ■ 1.ใชใ้ บนามาวางตามหอ้ งหรอื ใกลต้ วั เพอ่ื ป้องกนั แมลงหวี่ หรอื ใชใ้ บแห้งนามาจุดไฟใหม้ ี ควนั เพอ่ื ไลแ่ มลงหวไ่ีด้ ■ 2.เมลด็ มสี รรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ ■ 3.เมลด็ ในฝักสามารถนามารบั ประทานได้ โดยแกะเอาเปลอื กกบั เมลด็ ซง่ึ มรี สฝาดท้งิ ไป โดยเนอ้ื ในเมลด็ จะมรี สหวานมนั เลก็ นอ้ ย ■ 4.รากมสี รรพคุณเป็นยาแกบ้ วม
สนฉตั ร ■ ชื่อวิทยำศำสตร์ Araucariacea ■ สนฉตั ร (Norfolk island pine) จดั เป็นไม้ สนประดบั ชนดิ หนง่ึ ทน่ี ยิ มปลูกในปจั จุบนั เนอ่ื งจากแตกกงิ่ แผอ่ อกเป็นชนั้ ใบมสี เีขยี วสวยงาม ลาต้น และทรงพุม่ ไม่ ใหญ่ เหมาะสาหรบั การปลูกในกระถาง และปลูกใน สวนหยอ่ ม
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ลำต้นสนฉตั รเป็นไมข้ นาดใหญ่ มอี ายุนานหลายสบิ ปี มลี าต้นสูงมากกว่า 6 เมตร ขน้ึ ไป จนถงึ 45-60 เมตร ลาต้นทม่ี ขี นาดใหญ่ สามารถมขี นาดได้ถงึ 1.5-3 เมตร เปลอื กด้านนอกสามารถแกะออกได้เป็นสะเกด็ บางๆ กง่ิ แตกออกดา้ นขา้ งลาต้นเป็นวงรอบ 4- 7 กง่ิ แต่โดยทว่ั ไปมกั จะมปี ระมาณ 5 กง่ิ ในแต่ละกง่ิ จะมกี ง่ิ ยอ่ ยแตกออกตามความยาวของกงิ่ และจะโค้งขน้ึ เลก็ นอ้ ยทบี่ รเิวณปลาย กง่ิ ■ ใบใบของสนฉตั รแบ่งออกเป็น 2 กลุม่ คอื กลุม่ ใบอ่อนทแี่ ตกออกใหมจ่ ะมลี กั ษณะโค้งเขา้ มสี เีขยี วเขม้ ใบมลี กั ษณะนุม่ สเีขยี วสด ขนาด ประมาณ 1.5 เซนตเิมตร และอกี กลุม่ คอื ใบทแี่ ก่แลว้ จะมลี กั ษณะปลายใบมขี นาดเลก็ และแหลม ขน้ึ เรยี งซ้อนกนั เป็นเกลด็ หนาทบึ และขน้ึ เป็นเกลยี วรอบกงิ่ อาจมลี กั ษณะตรงหรอื โค้ง ขนาดยาวประมาณ 1-4 เซนตเิมตร กว้าง 0.5-1.5 เซนตเิมตร ■ ดอกดอกสนฉตั รประกอบด้วยเกสรตวั ผู้ และเกสรตวั เมยี รวมอยู่ในต้นเดยี วกนั หรอื อาจแยกต้นกนั อยู่ ส่วนมากจะพบแยกต้นกนั อยู่ แต่จะพบบา้ งเลก็ นอ้ ยทที่ งั้ สองเกสรอยูบ่ นต้นเดยี วกนั โดยดอกจะแทงออกบรเิวณยอด มดี อกตวั ผูอ้ ยูด่ ้านบน กา้ นเกสรแต่ละอนั ประกอบดว้ ยอบั ละอองเกสร โดยทว่ั ไปจะมสี เีหลอื งม่วงหรอื แดงเขม้
ประโยชน์ ■ สนฉตั รในปจั จุบนั มบี ทบาทมากในการเป็นไมป้ ระดบั มากกว่าการใหเ้ นอ้ื ไม้ ซงึ่ ในอดตี มกี าร นาเนอ้ื ไมส้ นฉตั รมาใชป้ ระโยชนใ์ นด้านงานก่อสร้าง และงานตกแต่งบา้ น เนอื่ งจากเนอ้ื ไมส้ น ฉตั รมสี อี อกเหลอื ง มเีสน้ ลายไม้ เมอ่ื ขดั และทาน้ายาขดั เงาจะใหค้ วามสวยงามมาก นอกจากนนั้ เนอ้ื ไมย้ งั มคี วามทนทานอยู่ได้นานหลายปี
เฟิ ร์นฮาวาย ■ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์: Phymatosorus scolopendria (Burm.f.) Pic.Serm. ■ วงศ์: POLYPODIACEAE
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ■ ต้น เฟินดนิ หรอื เฟินองิ อาศยั ลาต้นเป็นเหงา้ ยาว ปกคลุมด้วยเกลด็ ■ เกล็ด ขนาดเลก็ ปลายเรยี วยาวเป็นหาง ขอบมขี น สนี ้าตาลดาใบ ใบประกอบแบบขนนกชนั้ เดยี ว ก้านใบยาวได้ถงึ 40 เซนตเิมตร สนี ้าตาล ผวิ ใบเป็นมนั ขอบใบหยกั ลกึ 2-4 คู่ เสน้ ใบยอ่ ยเหน็ ไม่ ชดั เจนสานเป็นช่องร่างแห มเีสน้ ใบในช่องร่างแห เนอ้ื ใบหนาเหนยี ว ■ กล่มุ อับสปอร์ เรยี งไม่สม่าเสมอ 2 แถวขา้ งเสน้ กลางใบ รูปกลมหรอื รี จมฝังในเนอ้ื ใบ
ประโยชน์ ■ ปลูกประดบั เป็นไมก้ ระถาง
ตารางแสดงขอ้ มูลของพชื ทศ่ี กึ ษา
ประเภท/ชนดิ พชื อนิ ทนลิ ชมพูพนั ธ์ุทพิ ย๋ กระดุมทอง ชกฮกเก้ยี น การเวก ✔️ มดี อก ✔️ ✔️ ✔️ ✔️ ✔️ ไม่มดี อก ✔️ ใบเลย้ี งคู่ ✔️ ใบเลย้ี งเดย่ี ว ✔️ ✔️ ✔️ ไมย้ นื ต้น ✔️ ✔️ ไมล้ ม้ ลุก ✔️ ไมเ้ ถาวลั ย์ ไมพ้ ุม่ ✔️
ประเภท/ชนดิ พชื ต้นโมก กลว้ ย หางนกยูง สนฉตั ร เฟิร์นฮาวาย มดี อก ✔️ ไม่มดี อก ✔️ ✔️ ✔️ ใบเลย้ี งคู่ ✔️ ✔️ ✔️ ใบเลย้ี งเดยี่ ว ไมย้ นื ต้น ✔️ ✔️ ✔️ ✔️ ไมล้ ม้ ลุก ✔️ ไมเ้ ถาวลั ย์ ไมพ้ ุม่ ✔️ ✔️ ✔️
ผลทคี่ าดว่าจะได้รบั ทาใหผ้ ูจ้ ดั ทาได้ทราบและเขา้ ใจเกย่ี วกบั พนั ธ์ุไมม้ ากขน้ึ ทาใหบ้ ุคคลทส่ี นใจ ได้รบั ความรู้เกยี่ วกบั พนั ธ์ุไมม้ ากขน้ึ
บรรณานุกรม ■ พนั ธ์ุไม้ (ออนไลน)์ . สบื ค้นจาก https://medthai.com/plant [12 สงิ หาคม 2562] ■ ประโยชนข์ องพชื (ออนไลน)์ . สบื ค้นจาก https://th.m.wikipedia.org/wiki [12 สงิ หาคม 2562] ■ ชอื่ ของพชื (ออนไลน)์ . สบื ค้นจาก https://data.addrun.org [12 สงิ หาคม 2562]
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: