Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ ม.ปลาย 2-64

ใบความรู้ ม.ปลาย 2-64

Published by Cool Jeab, 2022-05-25 05:58:12

Description: ใบความรู้ ม.ปลาย 2-64

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย นางสาววนนั ทา แฝงพตุ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบลทา่ เสา ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอท่ามะกา สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จงั หวดั กาญจนบุรี สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สานกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธิการ

ใบความรคู้ รง้ั ท่ี 2 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรอื่ ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คอื วธิ ีการและขัน้ ตอนทใี่ ช้ดาเนนิ การค้นคว้าหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ อย่างมีระบบและมปี ระสทิ ธิภาพ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และจติ วิทยาศาสตร์ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นวธิ กี ารที่นักวทิ ยาศาสตร์ใชใ้ นการแสวงหาความรู้ หรอื หาความจริง หรือใช้ ในการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ดังนั้นการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจท่ีถกู ตอ้ งและน่าเช่ือถือในทุก ๆ ศาสตร์ จะต้องอาศัย วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์เพอ่ื ตอบคาถาม และเพ่ือแก้ปญั หา ปัจจบุ ันมีนักวิทยาศาสตร์หลายทา่ นได้จาแนกวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไวแ้ ตกต่างกนั ในที่น้ขี อนาเสนอวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์ 5 ขัน้ ตอน ประกอบดว้ ย ขั้นที่ 1 ต้งั ปญั หา ขนั้ ท่ี 2 เก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อเท็จจรงิ ขั้นที่ 3 สร้างสมมติฐาน ข้ันท่ี 4 ทดลองพิสจู น์ และข้ันที่ 5 สรุปผล กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มกั เริ่มข้นึ จากการสังเกตและตั้งคาถาม กระบวนการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรใ์ นโลกยคุ ใหม่ จะต้องสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ท่ีได้ ปฏิบตั จิ ริง สมั ผสั จริง มกี ระบวนการสารวจ ทดลอง ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ แลกเปล่ียนความเห็น ทางานร่วมกัน มคี วามรบั ผดิ ชอบ กล้าคดิ กลา้ แสดงออก ใช้วิธีการและทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความชานาญและความสามารถในการใช้ การคิด และกระบวนการ คิด เพ่ือค้นหาความรู้ รวมทั้งการแก้ปัญหาต่าง ๆ กระบวนการคิดและเรียนรู้ รวมทั้งการจินตนาการ เป็นผลของ การคิดเฉพาะด้านและร่วมกันของสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นหัวใจท่ี สาคัญของกระบวนการศึกษาทางดา้ นวิทยาศาสตร์ ซึง่ แบ่งออกเป็น 13 ทกั ษะด้วยกัน

ใบความรู้ครั้งท่ี 3 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว31001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เรือ่ ง สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ส่งิ แวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ท้ังที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมท้ังที่เป็นรูปธรรม (สามารถ จับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม (ตัวอย่างเช่นวัฒนธรรมแบบแผน ประเพณี ความเช่ือ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยง ถงึ กัน เปน็ ปัจจัยในการเกอ้ื หนนุ ซึ่งกนั และกัน ผลกระทบจากปัจจัยหน่ึงจะมสี ว่ นเสริมสรา้ งหรือทาลายอีกส่วนหนึ่ง อยา่ งหลกี เล่ยี งมไิ ด้ สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ วงจรและวัฏจกั รท่ีเกย่ี วขอ้ งกันไปท้งั ระบบ ส่ิงแวดล้อมแบง่ ออกเปน็ ลกั ษณะกวา้ ง ๆ ได้ 2 ส่วนคอื ส่งิ แวดล้อมทเี่ กิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ภเู ขา ดนิ น้า อากาศ ทรพั ยากร ส่งิ แวดลอ้ มท่ีมนุษย์สร้างขึน้ เชน่ ชมุ ชนเมอื ง สง่ิ กอ่ สร้างโบราณสถาน ศลิ ปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรม ความหมายของระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ (Ecosystem) เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ กับบริเวณแวดล้อม ที่สิ่งมีชีวิตเหล่าน้ีดารงชีวิตอยู่ ระบบนิเวศน้ันเป็นแนวคิด (concept) ที่นักนิเวศวิทยาได้นามาใช้ในการมอง โลกส่วนยอ่ ย ๆ ของโลกเพ่อื ท่ีจะได้เขา้ ใจความเป็นไปบนโลกนีไ้ ด้ดีขึน้ ระบบนิเวศหนึ่ง ๆ น้ัน ประกอบด้วยบริเวณท่ีส่ิงมีชีวิตดารงอยู่ และกลุ่มประชากรท่ีมีชีวิตอยู่ใน บรเิ วณดังกล่าว พชื และโดยเฉพาะสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องการบริเวณท่ีอยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยท่ีสุดท่ีเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อว่าการมีชีวิตอยู่รอดตลอดไป ยกตัวอย่างเช่น สระน้าแห่งหนึ่งเราจะพบสัตว์และพืชนานาชนิด ซึ่ง สามารถปรับตัวให้เข้ากับบริเวณน้าที่มันอาศัยอยู่โดยมีจานวนแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด สระน้านั้นดู เหมอื นว่าจะแยกจากบริเวณแวดลอ้ มอน่ื ๆ ด้วยขอบสระ แต่ตามความเป็นจริงแล้วปริมาณน้าในสระสามารถ เพ่ิมข้ึนได้ โดยน้าฝนท่ีตกลงมา ในขณะเดียวกันกับท่ีระดับผิวน้าก็จะระเหยไปอยู่ตลอดเวลา น้าท่ีไหลเข้ามา เพม่ิ กจ็ ะพัดพาเอาแรธ่ าตแุ ละช้ินส่วนตา่ ง ๆ ของพืชท่เี นา่ เปื่อยเข้ามาในสระตัวอ่อนของยุงและลูกกบตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในสระน้า แต่จะไปเติบโตบนบก นกและแมลงซึ่งมีถ่ินท่ีอยู่นอกสระก็จะมาหาอาหารในสระน้า การ ไหลเข้าของสารและการสูญเสยี สารเชน่ น้จี ึงทาใหส้ ระน้าเปน็ ระบบเปดิ ระบบหนึ่ง หากมีแร่ธาตุไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ก็จะทาให้การเจริญเติบโตของพืชเพ่ิมมากข้ึน เช่น ไฟโตแพลง ตันหรือพืชน้าท่ีอยู่ก้นสระ ปริมาณสัตว์จึงเพิ่มมากข้ึนด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อปริมาณสัตว์ เพิ่ม ปริมาณของพืชที่เป็นอาหารก็จะค่อย ๆ น้อยลง ทาให้ปริมาณสัตว์ค่อย ๆ ลดตามลงไปด้วยเนื่องจาก อาหารมีไม่พอ ดังนั้นสระน้าจึงมีความสามารถในการท่ีจะควบคุมตัวของมัน (Self-regulation) เองได้ กล่าวคือ จานวนและชนิดของสง่ิ มีชวี ติ ทง้ั หลายท่อี ย่ใู นสระน้าจะมีจานวนคงท่ี ซง่ึ เราเรยี กวา่ มคี วามสมดุล สระน้านี้ จึงเป็นหน่วยหน่ึงของธรรมชาติท่ีเรียกว่า \"ระบบนิเวศ\" (Ecosystem) ซึ่งกล่าวได้ว่า

ระบบนเิ วศหนึง่ ๆ น้ัน เปน็ โครงสร้างทีเ่ ปดิ และมีความสามารถในการควบคุมตัวของมันเอง ประกอบไปด้วย ประชากรตา่ ง ๆ ของสง่ิ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ไร้ชีวิต ระบบนิเวศเป็นระบบเปิดที่มีความสัมพันธ์กับบริเวณ แวดล้อมโดยมีการแลกเปล่ียนสาร และพลังงาน ดังน้ันจึงมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ตัว ชุมชนทม่ี ีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ มท่ใี ชช้ วี ิตนั้นรวมกันเปน็ ระบบนเิ วศ ระบบนิเวศอาจมีขนาดใหญ่ระดับโลก คือ ชีวาลัย (biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณท่ีห่อหุ้มโลกอยู่ และสามารถมีขบวนการต่าง ๆ ของชีวิตเกิดขึ้นได้หรืออาจมีขนาดเล็กเท่าบ่อน้าแห่งหนึ่ง แต่เราสามารถ จาแนกระบบนเิ วศออกเปน็ กลุม่ ๆ ได้ ดังนี้ 1. ระบบนิเวศทางธรรมชาติและใกลธ้ รรมชาติ (Natural and seminatural ecosystems) เป็น ระบบทต่ี ้องพึ่งพลังงานจากดวงอาทติ ย์ เพอื่ ที่จะทางานได้ 1.1 ระบบนเิ วศแหล่งน้า (Aguative cosystems) 1.1.1 ระบบนเิ วศทางทะเล เช่น มหาสมุทรแนวปะการัง ทะเลภายในท่เี ปน็ นา้ เคม็ 1.2 ระบบนเิ วศบนบก (Terresttrial ecosystems) 1.2.1 ระบบนิเวศก่งึ บก เชน่ ปา่ พรุ 1.2.2 ระบบนิเวศบนบกแท้ เชน่ ปา่ ดบิ ทุ่งหญา้ ทะเลทราย 2. ระบบนิเวศเมือง-อตุ สาหกรรม (Urbanindustral ecosystems) เป็นระบบท่ตี ้องพึง่ แหล่งพลงั งานเพิม่ เติม เชน่ นา้ มนั เชือ้ เพลงิ พลังนวิ เคลียร์ เปน็ ระบบนิเวศทีม่ นุษยส์ ร้างข้ึนมา ใหม่ 3. ระบบนเิ วศเกษตร (Agricultural ecosystems) เปน็ ระบบทม่ี นุษยป์ รับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางธรรมชาตขิ ้นึ มาใหม่ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ ระบบนิเวศทุก ๆ ระบบจะมีโครงสรา้ งทก่ี าหนดโดยชนิดของส่งิ มชี วี ติ เฉพาะอย่าง ท่ีอยู่ในระบบ นัน้ ๆ โครงสรา้ งประกอบด้วยจานวนและชนิดของสง่ิ มชี ีวติ ต่าง ๆ เหล่านี้ และการกระจายตัวของมันถึงแม้ว่า ระบบนิเวศบนโลกจะมีความหลากหลายแต่มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันคือ ประกอบไปด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน คือ 1. ส่วนประกอบที่ไมม่ ีชวี ิต (Abiotic component) แบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภท คอื 1.1 อนนิ ทรียสาร เชน่ คาร์บอนไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ น้าและออกซเิ จน เป็นต้น 1.2 อนิ ทรียสาร เช่น โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และฮวิ มสั เปน็ ต้น 1.3 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูมิ ความเป็นกรดเป็นดา่ ง ความ เค็มและความชน้ื เป็นต้น

2. สว่ นประกอบทีม่ ชี ีวติ (Biotic component) แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2.1 ผูผ้ ลติ (producer) คอื พวกที่สามารถนาเอาพลังงานจากแสงอาทิตย์มาสงั เคราะห์ อาหารขึ้นได้ เอง จากแรธ่ าตุและสารท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติ ไดแ้ ก่ พืชสเี ขียว แพลงคต์ อนพชื และแบคทีเรียบางชนิด พวกผู้ผลิตน้ี มีความสาคัญมาก เพราะเปน็ ส่วนเรม่ิ ต้นและเชอ่ื มต่อระหวา่ งส่วนประกอบที่ไมม่ ีชีวติ กับสว่ นที่มชี วี ิตอนื่ ๆ ใน ระบบนิเวศ 2.2 ผบู้ ริโภค (consumer) คือ พวกที่ได้รบั อาหารจากการกินสง่ิ ทม่ี ชี วี ิตอ่ืน ๆ อีกทอด หนึง่ ได้แก่ พวกสตั วต์ า่ ง ๆ แบง่ ได้เป็น ผู้บรโิ ภคปฐมภมู ิ (primary consumer) เปน็ สิ่งมีชวี ิตทกี่ นิ พชื เป็นอาหาร เชน่ กระตา่ ย ววั ควาย และปลาท่ีกินพชื เล็ก ๆ ฯลฯ ผบู้ รโิ ภคทตุ ิยภูมิ (secondary consumer) เปน็ สตั วท์ ่ไี ด้รับอาหารจากการกนิ เนื้อสัตว์ที่ กนิ พชื เปน็ อาหาร เชน่ เสอื สนุ ขั จ้ิงจอก ปลากนิ เน้ือ ฯลฯ ผู้บรโิ ภคตติยภูมิ (tertiauy consumer) เป็นพวกทกี่ ินทั้งสัตว์กนิ พชื และสตั ว์กินสัตว์ นอกจากนย้ี งั ได้แก่สิง่ มชี ีวิตท่อี ย่ใู นระดบั ข้ันการกินสงู สดุ ซง่ึ หมายถึงสตั วท์ ่ีไม่ถูกกินโดยสัตวอ์ น่ื ๆ ต่อไป เปน็ สัตว์ท่ีอยใู่ นอนั ดบั สุดท้ายของการถูกกนิ เปน็ อาหาร เช่น มนษุ ย์ 2.3 ผูย้ อ่ ยสลาย (decomposer) เป็นพวกไมส่ ามารถปรุงอาหารได้ แตจ่ ะกินอาหารโดย การผลติ เอน ไซน์ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่าง ๆ ในส่วนประกอบของสงิ่ ทีม่ ชี วี ติ ให้เปน็ สารโมเลกุลเล็กแลว้ จึงดดู ซมึ ไปใชเ้ ปน็ สารอาหารบางส่วน สว่ นทีเ่ หลอื ปลดปลอ่ ยออกไปสรู่ ะบบนเิ วศ ซงึ่ ผูผ้ ลติ จะสามารถเอาไปใชต้ อ่ ไป จึงนับว่าผยู้ อ่ ย สลายเปน็ ส่วนสาคัญที่ทาใหส้ ารอาหารสามารถหมุนเวียนเป็นวฏั จักรได้

ใบความรคู้ ร้ังท่ี 4 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรือ่ ง สารเพ่ือชีวิต สมบตั ขิ องสาร การแยกสาร สารในชีวิตประจาวนั การเลอื กซอ้ื และการเลือกใชไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม และปลอดภยั สมบัตขิ องสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตัวของสารทส่ี ามารถบง่ บอกว่าสารชนดิ น้ันคอื อะไร สารแต่ละ ชนิดจะมสี มบตั ิของสารทส่ี ังเกตได้ คือ สี กลิน่ รส สถานะ เน้ือสาร สมบัติของสารจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1. สมบัติทางกายภาพหรือทางฟิสิกส์ (physical properties) หมายถึง สมบัติท่ีสังเกตได้จากลักษณะ ภายนอก เช่น สี , กลิ่น , รส , สถานะ , จุดเดือด , จุดหลอมเหลว , การนาไฟฟ้า , การละลาย , ความหนาแน่น เปน็ ตน้ 2. สมบัติทางเคมี (chemical properties) หมายถึง สมบัติท่ีเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบและดครงสร้าง ภายในของสาร ซ่งึ เก่ยี วข้องกบั การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี เช่น ความเป็นกรด - เบส , การเผาไหม้ , การทาปฏิกิริยากับ สารบางชนดิ ซ่ึงตอ้ งทดสอบ ทดลอง แล้วสังเกตการเปลีย่ นแปลงไปหรอื การเกดิ สารใหม่ การจาแนกสาร 1. ใช้สถานะเป็นเกณฑ์ สามารถจาแนกสารได้เปน็ 3 สถานะ ดังนี้ - ของแขง็ รปู ร่างไม่เปลย่ี นแปลง อนุภาคของแขง็ ไม่มกี ารเคลื่อนท่ี และอดั ให้เล็กลงอีกไมไ่ ด้ - ของเหลว รูปรา่ งเปลยี่ นตามภาชนะท่บี รรจุ โดยมปี รมิ าตรคงที่ ไหลได้ อกั ใหเ้ ล็กลงไดย้ าก - แกส๊ รปู รา่ งและปรมิ าตรเปลย่ี นแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ ฟุ้งกระจายได้ อัดให้เล็กลงไดง้ ่าย 2. ใชเ้ นื้อสารเป็นเกณฑ์ เนือ้ สารจัดเป็นสมบตั ิทางกายภาพของสารทส่ี ามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถใช้ ประสาทสมั ผสั ในการจาแนก และยงั เปน็ วิธที ีน่ ิยมใชก้ ันมาก เพราะบอกรายละเอียดของสารไดม้ ากกว่าการใช้ เกรฑ์อืน่ โดยจะจาแนกสารได้ดังแผนภาพ

สารเนอ้ื เดยี ว หมายถงึ สารที่อาจมชี นดิ เดียว หรอื อาจมีมากกวา่ 2 ชนิดขึน้ ไปผสมกนั อยู่อย่างกลมกลืน มองเหน็ เป็นเน้ือเดยี วกันตลอด อาจมหี ลายสถานะและจะแสดงสมบัติเหมือนกันทุกประการ สารเน้ือเดียว แบง่ เป็น 2 ชนดิ คอื สารบริสทุ ธ(์ิ Pure Substance) คอื สารเน้อื เดียวทีป่ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวจาแนกตามจานวนชนิดของอะตอมที่เปน็ องคป์ ระกอบ ของเน้ือสารไดเ้ ป็น 2 ชนิด คือ ธาตุและสารประกอบ ธาตุ (Element) เปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ที่ประกอบด้วยอนภุ าคที่เล็กท่ีสุดที่เรยี กวา่ อะตอม(Atom) ถ้าใช้ สมบตั ิทาง กายภาพเป็นเกณฑ์ จาแนกธาตเุ ปน็ ชนดิ คอื โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ 1. โลหะ (Metel) เป็นธาตุที่มีมากชนิดท่ีสุด ส่วนใหญ่มีสถานะเป็นของแข็ง จุดหลอมเหลวค่อนข้างสูงหรือบาง ชนิดสูงมากผิวเป็นมันวาว เมื่อเคาะจะมีเสียงดังกังวาน มีความเหนียว สามารถยืดออกเป็นเส้นหรือตีให้เป็นแผ่น บางๆ ได้ เชน่ เส้นลวด แผน่ ทองคาเปลว 2. อโลหะ (Non-metal) มจี านวนชนดิ มากรองจากโลหะ มีสถานะเปน็ - ของแข็ง เช่น คารบ์ อน กามะถนั - ของเหลว เชน่ โบรมีน - แก๊ส เช่น ออกซิเจน ไฮโดรเจน 3. กึ่งโลหะ (Metalloid) เป็นธาตุที่มีจานวนน้อย ได้แก่ พลวง โบรอน สารหนู ฯลฯ เป็นธาตุท่ีมีสถานะเป็น ของแข็ง นาไฟฟา้ ได้ดี และมีผิวเปน็ มันวาวเหมอื นโลหะ แตม่ ีลักษณะเปราะ และเมอ่ื เคาะ จะไม่มีเสยี งดงั กังวาน สารประกอบ(Compound) คือ สารบริสทุ ธทิ์ เี่ กดิ จากการรวมตัวของอะตอมของธาตจุ ่างชนิดกนั ตั้งแต่ 2 ชนดิ ข้ึนไปมาต่อกันดว้ ยพันธะเคมีในอตั ราสว่ นท่ีคงท่ีแนน่ อน โดยไม่แสดงสมบัติของธาตอุ งค์ประกอบเดมิ แสดงดว้ ย สตู รโมเลกลุ เชน่ สูตรโมเลกุล คอื กล่มุ สญั ลักษณข์ องธาตุทเี่ ขยี นแทนช่อื สารแสดงชนดิ ของธาตุและจานวนอะตอมท่เี ป็น องคป์ ระกอบของสาร 1 โมเลกลุ สารไมบ่ ริสทุ ธ์ิ...คือ สารท่ีเกดิ จาการนาสารบริสุทธิต์ ั้งแต่ 2 ชนดิ ขนึ้ ไปมาผสมกันโดยมีอัตราส่วนไม่แน่นอน ไม่ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมแี ละไดส้ ารชนิดใหม่ สารแต่ละชนดิ ที่มาผสมกันยงั คงแสดงสมบตั ิของสารนัน้ สารละลาย (Solution) หมายถึง สารเนอื้ เดียวท่เี กิดจากสารตงั้ แต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปมาผสมกัน โดยใชอ้ ตั ราส่วนใน การผสมแตล่ ะครัง้ ไม่จาเป็นต้องเท่ากนั สารละลายท่ีไดม้ สี มบัติกา้ ก่งึ ตามสารที่นามาผสมกันและส่วนมากแยก กลบั คืนเปน็ สารเดมิ ไดง้ า่ ย องคป์ ระกอบของสารละลาย ประกอบดว้ ย ตวั ถูกละลาย (Solute) และ ตัวทาละลาย(Solvent) สารที่มปี รมิ าณ มากกว่าจะเป็นตวั ทาละลาย ส่วนสารทม่ี ีปรมิ าณน้อยกวา่ จะเป็นตวั ถกู ละลาย

ใบความรู้ครั้งท่ี 5 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรอื่ ง สารเพื่อชีวิต งานและพลังงาน งาน (Work) คือ ปรมิ าณของพลังงานที่เป็นผลมาจากแรงซึ่งกระทาตอ่ วตั ถุ กอ่ นสง่ ผลให้วัตถุดังกล่าวเคล่ือนท่ีไป ตามแนวแรงได้ในระยะทางหน่ึง ซึ่งในระบบเอสไอ (SI) งานเป็นปริมาณสเกลาร์ (Scalar) เช่นเดียวกับพลังงาน มี หนว่ ยเป็นนวิ ตันเมตร (N•m) หรือ จูล (J) สามารถคานวณไดจ้ ากความสัมพันธ์ ดงั ต่อไปนี้ W=Fxs เมอ่ื W = งานทเี่ กิดข้นึ จากแรงกระทา F = แรงท่กี ระทาต่อวัตถุ มีหนว่ ยเป็นนวิ ตนั (N) s = ระยะทางที่วัตถเุ คลอ่ื นทไ่ี ปตามแนวแรง มหี นว่ ยเปน็ เมตร (m) ในทางฟิสกิ ส์ งานจะเกิดขึ้นได้ ตอ่ เม่อื มแี รงมากระทาตอ่ วัตถุ แล้วทาให้วัตถุมีการกระจัดอยู่ในทิศทางหรือในแนว เดียวกันกับแรง เชน่ เมอื่ ยกกล่องท่มี ีนา้ หนัก 30 นิวตนั ขึน้ จากพื้นไปวางบนช้นั หนงั สอื ท่ีสงู จากพ้ืน 1.2 เมตร งาน ที่เกิดขึ้นจากแรงกระทาดังกล่าว สามารถคานวณไดจ้ ากสูตร W = F x s ดงั น้ี จากแรงกระทา หรือ F = 30 นวิ ตัน และระยะทาง หรือ s = 1.2 เมตร W = 30 N x 1.2 m = 36 J ดังน้ัน งานท่ที าได้มีคา่ เท่ากบั 36 จูล ซง่ึ จากนิยามดงั กล่าว งานท่ีเกิดข้ึนจะมคี ่าเปน็ บวก (+) เมอื่ แรงและการกระจัดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยงานที่ ได้จะมีค่าเป็นลบ (-) ต่อเม่ือแรงและการกระจัดเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ขณะที่งานจะมีค่าเป็นศูนย์ (0) หาก แรงและการกระจัดเกิดขึ้นในระนาบซึ่งต้ังฉากต่อกันและกัน เนื่องจากแรงที่กระทาไม่สามารถทาให้วัตถุเคลื่อนที่ ไปจากตาแหนง่ เดมิ ได้ กาลัง (Power) คือ อัตราของงานที่ทาได้ในหน่ึงหน่วยเวลา โดยกาลังเปน็ ตัวชว้ี ัดความสามารถในการทางานของ ทงั้ เคร่ืองยนต์ มนุษย์ สัตว์ หรือสงิ่ มชี ีวิตอน่ื ๆ โดยสามารถคานวณไดจ้ ากความสัมพันธ์ ดังต่อไปนี้

P = W/t เม่อื P = กาลัง มีหน่วยเปน็ วตั ต์ (W) W = งานท่ที าได้ มหี นว่ ยเป็นนวิ ตันเมตร หรอื จลู (J) t = ระยะเวลาของการทางาน มีหนว่ ยเป็นวินาที (s) พลังงาน (Energy) คือ ความสามารถในการทางานของส่ิงมีชีวิต วัตถุ หรือสสารต่าง ๆ เช่น การหายใจ การ เคลื่อนที่ หรือการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร กระบวนการเหล่านี้สามารถดาเนินต่อไปได้เพราะพลังงานใน ธรรมชาติ พลังงานเป็นปริมาณพ้ืนฐานของระบบ ซ่ึงไม่มีวันสูญสลาย แต่สามารถเปล่ียนไปอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ของพลังงาน ตาม “กฎการอนุรักษ์พลังงาน” (Law of Conservation of Energy) เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลงั งานความรอ้ น หรอื พลงั งานไฟฟ้า เป็นตน้ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบง่ ออกเปน็ 6 ประเภท ตามลักษณะท่ีเหน็ ได้ชัดเจน ซึง่ ไดแ้ ก่ 1. พลังงานเคมี พลังงานเคมีเป็นพลังงานท่ีสะสมอยู่ในสารต่างๆ โดยอยู่ในพันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุล เม่ือพันธะแตก สลาย พลังงานสะสมจะถูกปล่อยออกมาในรูปของความร้อนและแสงสว่าง ตัวอย่างเช่น พลังงานท่ีถูกเก็บไว้ใน แบตเตอร่ี พลังงานในกองฟืน พลังงานในขนมชอกโกแลต พลังงานในถังน้ามัน เม่ือไม้ลุกไหม้แล้วจะให้ คาร์บอนไดออกไซด์และไอน้า รวมถึงผลิตของเสียอ่ืนๆ เช่น ขี้เถ้า เนื่องจากเชื้อเพลิงท่ีใช้แต่ละชนิด มีโครงสร้าง ทางเคมีที่ต่างกัน เมื่อใช้ในปริมาณเช้ือเพลิงที่เท่ากัน จึงให้ความร้อนไม่เท่ากัน ซึ่งก๊าซธรรมชาติน้ันให้ความร้อน มากกวา่ น้ามนั และน้ามันน้ันกใ็ หค้ วามร้อนมากกว่าถา่ นหนิ 2. พลังงานความร้อน แหล่งกาเนิดพลังงานความร้อน มนุษย์เราได้พลังงานความร้อนมาจากหลายแห่งด้วยกัน เช่น จากดวงอาทิตย์ , พลังงานในของเหลวร้อนใต้พื้นพิภพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้าใน หม้อต้มนา้ พลงั งานเปลวไฟ ผลของความรอ้ นทาให้สารเกดิ การเปล่ียนแปลง เช่น อุณหภูมสิ งู ขึน้ หรือมีการเปล่ียน สถานะไป และนอกจากน้แี ลว้ พลงั งานความร้อน ยังสามารถทาใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงทางเคมีได้อีกด้วย หน่วยที่ ใชว้ ัดปริมาณความรอ้ น คือ แคลอรี่ โดยใช้เครอื่ งมอื ที่เรียกว่า แคลอร่มี เิ ตอร์ 3. พลงั งานกล พลังงานกลเป็นพลังงานที่เก่ียวข้อง กับการเคล่ือนที่โดยตรง เช่น ก้อนหินท่ีอยู่บนยอดเนินจะมีพลังงานศักย์กล (Potential mechanical energy) อยู่จานวนหนึ่ง ขณะท่ีก้อนหินกลิ้งลงมาตามทางลาดของเนิน พลังงานศักย์จะ

ลดลง และเกดิ พลังงานจลน์กลของการเคล่ือนท่ี (Kinetic mechanical energy) ข้ึนแทน สิ่งมีชีวิตอาศัยพลังงาน รูปน้ีในการทางานทีต่ ้องมีการ เคล่ือนไหวเปน็ ประจา เช่น การเดิน การขยบั แขนขา การหยิบวัตถุ เปน็ ต้น 4. พลังงานจากการแผ่รงั สี พลังงานท่ีมาในรูปของคลื่น เช่น แสง ความร้อน คลื่นวิทยุ อินฟาเรด อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รังสีคอสมิก สิง่ มชี ีวิตต้องอาศยั พลงั งานรูปนี้ ในกระบวนการท่ีสาคัญต่างๆ เช่น การมองเห็นภาพ การสังเคราะห์ด้วยแสง การ ขยายพันธุ์ชนิดที่ข้ึนอยู่กับช่วงแสง อาจสรุปได้ว่าเป็นพลังงานจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าน้ันเอง ซ่ึงพลังงานรูปน้ีมี บทบาทต่อความเป็นอยู่ปกติของสิ่งมีชีวิต และอาจจะได้พลังงานท่ีได้รับจากดวงอาทิตย์, พลังงานจากเสาส่ง สัญญาณทีวี, พลงั งานจากหลอดไฟ, พลังงานจากเตาไมโครเวฟ, พลงั งานจากเลเซอรท์ ีใ่ ช้อ่านแผ่นซีดี ฯลฯ 5. พลงั งานไฟฟา้ พลังงานที่ได้จากปฏิกิริยาเคมีแบบหน่ึงอันมีผลให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นได้ และกระแสไฟฟ้าท่ีเกิดขึ้นน้ีจะไหลผ่าน ความตา้ นทานไฟฟา้ ได้ถ้าต่อใหเ้ ป็นวงจร ผลจากกระแสไฟฟ้าดังกล่าวอาจทาให้เกิดผลต่างๆ เช่นก่อให้เกิดอานาจ แม่เหล็ก เกิดความร้อนหรือแสงสว่าง พลังงานท่ีเกิดจากการผ่านขดลวดไปในสนามแม่เหล็ก, พลังงานที่ใช้ขับ เคร่อื งคอมพิวเตอร์ พลงั งานทีไ่ ด้จากเซลล์แสงอาทติ ย์ เปน็ ต้น 6. พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานที่ถูกปล่อยออกจากสารกัมมันตภาพรังสี ที่มีอยู่ในธรรมชาติหรือที่เกิดในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูหรือระเบิด ปรมาณู การเกิด fusion ของนิวเคลียร์เล็ก มีหลักอยู่ว่า ถ้านาเอาธาตุเบาๆ ต้ังแต่ 2 ธาตุข้ึนไป มารวมกันโดยมี พลังงานความร้อนอย่างสูงเข้าช่วย จะทาให้ธาตุเบาๆ นี้รวมกัน กลายเป็นธาตุใหม่ ซ่ึงหนักกว่าเดิม ส่วน fission เกดิ จากปฏิกริ ิยาระหวา่ งการยงิ อนุภาคบางชนิดกบั นวิ เคลียสของธาตหุ นักๆ ทาให้นิวเคลียสของธาตุหนักแตกแยก ออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนเป็นธาตุท่ีเบากว่าเดิม และขนาดเกือบเท่าๆ กัน พลังงานรูปนี้มีบทบาทต่อความ เป็นอยู่ปกติของส่งิ มีชีวิตนอ้ ย

ใบความรทู้ ี่ 7 เรอ่ื งการเรียนรดู้ ้วยตนเอง เร่อื งที่ ความหมาย และความสาคัญ ของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ในปัจจบุ ันโลกมคี วามกา้ วหน้าทางดา้ นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ความรูต้ ่าง ๆ ได้เพ่ิมขน้ึ เปน็ อนั มาก การเรยี นรู้จากสถาบนั การศึกษาไม่อาจทาใหบ้ คุ คลศกึ ษาความรไู้ ด้ครบท้ังหมด การไขว่คว้าหาความรดู้ ้วยตนเอง จงึ เปน็ อีกวธิ หี นึง่ ท่ีจะสนองความตอ้ งการของบุคคลได้ เพราะเม่ือใดก็ตามท่บี ุคคลมีใจรกั ที่จะศึกษา ค้นคว้า สิ่งท่ี ตนตอ้ งการจะรู้ บคุ คลน้ันก็จะดาเนนิ การศึกษาเรยี นรู้อย่างตอ่ เนื่องโดยไม่มีใครตอ้ งบอก ประกอบกับระบบ การศกึ ษาและปรัชญาการศกึ ษาเพ่ือเตรียมคนใหส้ ามารถเรียนรไู้ ดต้ ลอดชีวิต แสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง ใฝ่หา ความรู้ รแู้ หล่งทรพั ยากรการเรียน รูว้ ธิ ีการหาความรู้ มคี วามสามารถในการคดิ เป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเปน็ มีนสิ ัย ในการทางานและการดารงชวี ิต และมีสว่ นร่วมในการปกครองประเทศ การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง สามารถช่วยให้ ผเู้ รียนพัฒนาและเพม่ิ ศักยภาพของตนเองโดยการคน้ พบความสามารถและส่ิงท่ีมีคุณค่าในตนเองท่เี คยมองข้ามไป (“...it is possible to help learners expand their potential by discovered thatwhich is yet untapped…”) (Brockett & Hiemstra, 1991) ความหมาย และความสาคัญของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนร้เู ปน็ เร่ืองของทกุ คน ศกั ดศิ์ รีของผู้เรยี นจะมีได้เม่ือมโี อกาสในการเลอื กเรียนในเร่ืองที่ หลากหลายและมีความหมายแก่ตนเอง การเรยี นรมู้ ีองค์ประกอบ 2 ดา้ น คอื องคป์ ระกอบภายนอกได้แก่ สภาพแวดล้อม โรงเรียน สถานศึกษา สิง่ อานวยความสะดวก และครู องค์ประกอบภายใน ไดแ้ ก่ การคิดเปน็ พ่ึงตนเองได้ มีอิสรภาพ ใฝร่ ู้ ใฝ่สรา้ งสรรค์ มคี วามคดิ เชงิ เหตผุ ล มีจติ สานึกในการเรยี นรู้ มีเจตคตเิ ชงิ บวกต่อการ เรยี นรู้ การเรียนรู้ที่เกดิ ข้ึนมิได้เกิดขึน้ จากการฟงั คาบรรยายหรอื ทาตามท่คี รูผู้สอนบอก แตอ่ าจเกดิ ขึ้นไดใ้ น สถานการณ์ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. การเรียนรโู้ ดยบังเอญิ การเรียนรูแ้ บบนี้เกดิ ขนึ้ โดยบังเอิญ มไิ ด้เกดิ จากความตัง้ ใจ 2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง เปน็ การเรยี นรูด้ ว้ ยความตั้งใจของผเู้ รียน ซงึ่ มีความปรารถนาจะรู้ในเรื่องนั้น ผูเ้ รียนจงึ คดิ หาวิธีการเรียนด้วยวธิ กี ารต่างๆ หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลการเรียนร้ดู ้วยตนเองจะเป็นรูปแบบ การเรยี นรทู้ ่ีทวีความสาคัญในโลกยคุ โลกาภวิ ัฒน์ บคุ คลซ่งึ สามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหน้าของโลก โดยใช้สอื่ อปุ กรณ์ยุคใหมไ่ ด้ จะทาใหเ้ ปน็ คนที่มคี ุณคา่ และประสบความสาเรจ็ ไดอ้ ยา่ งดี

ใบความร้ทู ่ี 8 เร่อื ง การใชแ้ หลง่ การเรียนรู้ เร่ือง ความหมาย ความสาคัญ ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ ความรหู้ รอื ข้อมลู สารสนเทศเกดิ ขึน้ และพฒั นาอยา่ งต่อเน่ืองตลอดเวลา และมีการเผยแพร่ ถงึ กนั โดยใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศภายในไม่กว่ี นิ าที ทาให้มนษุ ย์ต้องเรยี นรูก้ ับสิง่ ที่เปล่ยี นแปลงใหม่ๆ เพ่อื ใหส้ ามารถร้เู ทา่ ทนั เหตุการณ์ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การดารงชีวิตได้อย่างมีความสขุ ความรู้หรือข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ดงั กลา่ วมอี ยู่ในแหล่งเรียนรูล้ ้อมรอบตัวเรา ดงั นั้นการเรยี นรทู้ ่ี เกิดข้ึนภายในห้องเรียนย่อมเป็นการไม่เพียงพอใน ความรทู้ ไี่ ดร้ บั ความหมายของแหลง่ เรยี นรู้แหล่งเรยี นรู้ หมายถึง บรเิ วณ ศูนยร์ วม บอ่ เกดิ แหง่ หรอื ที่ ท่ีมีสาระ เนอื้ หาเป็นข้อมูล ความรู้ความสาคญั ของแหล่งเรยี นรู้แหล่งเรียนรู้มบี ทบาทสาคัญในการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของ ประชาชน ดงั น้ี 1. เป็นแหล่งทีม่ ีข้อมูล/ ความรู้ ตามวตั ถุประสงค์ของแหลง่ เรียนรู้น้ัน เช่น สวนสตั ว์ ให้ความรูเ้ รือ่ งสัตว์ พิพิธภณั ฑ์ ใหค้ วามร้เู รื่องโบราณวตั ถุสมัยต่าง ๆ 2. เป็นสื่อการเรียนรู้สมัยใหม่ทีค่ วามรกู้ ่อให้เกดิ ทักษะ และชว่ ยการเรยี นรู้สะดวกรวดเร็ว เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต 3. เป็นแหล่งชว่ ยเสรมิ การเรียนรู้ของการศึกษาประเภทตา่ ง ๆ ท้ังการศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และ การศกึ ษาตามอธั ยาศัย 4. เปน็ แหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ิตทม่ี นุษยเ์ ข้าไปหาความรู้ไดด้ ้วยตนเองตามความสนใจ และความสามารถ 5. เปน็ แหลง่ ทม่ี นุษยส์ ามารถเขา้ ไปปฏบิ ตั ิไดจ้ รงิ เช่น การประดิษฐ์เคร่ืองใช้ต่าง ๆ การ ซ่อมเคร่ืองยนต์ เป็นต้น ช่วยกระตนุ้ ให้เกิดความสนใจ ความใฝุ่รู้ 6. เปน็ แหล่งทม่ี นษุ ยส์ ามารถเข้าไปเรยี นรเู้ กี่ยวกบั วิทยาการใหม่ ๆ ยงั ไม่มขี องจรงิ ใหเ้ ห็น หรอื ไม่สามารถเขา้ ไปดู จากของจรงิ ไดโ้ ดยเรยี นรู้ การดภู าพยนตร์ วดี ิทัศน์ หรอื ส่ืออ่นื ๆ 7. เปน็ แหลง่ ส่งเสรมิ ความสมั พันธ์อันดีระหวา่ งคนในทอ้ งถิ่นให้เกิดความตระหนักและ เห็นคุณคา่ ของแหล่งเรียนรู้ 8. เปน็ สงิ่ ที่ชว่ ยเปลย่ี นแปลงทัศนคติ ค่านิยมให้เกดิ การยอมรบั สง่ิ ใหม่ แนวคิดใหม่ เกิด จนิ ตนาการ และความคิด สร้างสรรค์กับผเู้ รยี น 9. เป็นการประหยัดค่าใชจ้ า่ ยและเพ่ิมรายได้ให้แหลง่ เรยี นรู้ของชมุ ชนๆ ใชใ้ นความหมายของคาวา่ ห้องสมุด เชน่ ห้องสมุด และศูนยส์ ารสนเทศ สานักบรรณาสารการพฒั นา สานักบรรณสารสนเทศ สานักหอสมุด สานกั วิทย บริการ เปน็ ต้น

ใบความรทู้ ี่ 9 เร่อื ง การจัดการความรู้ เรือ่ ง ความหมายของการจดั การความรู้ การจดั การ (Management) หมายถงึ กระบวนการในการเข้าถงึ ความรู้ และการถ่ายทอดความรูท้ ่ตี ้อง ดาเนนิ การร่วมกันกบั ผู้ปฏิบัติงาน ซงึ่ อาจเร่ิมต้นจากการบง่ ชค้ี วามรทู้ ่ีต้องการใช้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การ ประมวลเพ่ือกลนั่ กรองความรู้ การจัดการความรู้ใหเ้ ป็นระบบ การสร้างชอ่ งทางเพ่ือการสือ่ สารกับผเู้ กีย่ วข้อง การ แลกเปลีย่ นความรู้ การจดั การสมยั ใหมก่ ระบวนการ ทางปัญญาเปน็ ส่งิ สาคญั ในการคิด ตัดสนิ ใจ และส่งผลให้เกดิ การกระทาการจัดการจงึ เน้นไปท่ีการปฏิบัติ ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรู้ท่ีควบคูก่ บั การปฏบิ ตั ิ ซงึ่ ใน การปฏิบตั จิ าเป็น ตอ้ งใช้ความรู้ท่ีหลากหลายสาขาวชิ ามาเชอ่ื มโยงบูรณาการเพ่ือการคดิ และตัดสนิ ใจ และลงมือ ปฏบิ ตั ิ จุดกาเนิดของความรู้คือสมองของคนเปน็ ความร้ทู ี่ฝงั ลึกอย่ใู นสมอง ชแ้ี จงออกมาเป็นถ้อยคาหรือ ตวั อักษร ไดย้ าก ความรู้นั้นเม่ือนา ไปใชจ้ ะไมห่ มดไป แต่จะยิง่ เกดิ ความรู้เพิ่มพนู มากขึน้ อย่ใู นสมอง ของผูป้ ฏิบัตใิ นยคุ แรก ๆ มองว่า ความรู้ หรือทนุ ทางปญั ญา มาจากการจดั กระบวนการตคี วามสารสนเทศ ซ่งึ สารสนเทศก็มาจากการ ประมวลขอ้ มูล ขน้ั ของการเรียนรู้ เปรยี บดงั ปิระมิดตามรปู แบบนี้ ความร้แู บง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. ความร้เู ดน่ ชัด (Explicit Knowledge) เปน็ ความรทู้ ่ีเปน็ เอกสาร ตารา คู่มือปฏบิ ตั งิ าน สอื่ ตา่ ง ๆ กฎเกณฑ์ กติกา ขอ้ ตกลงตารางการทางาน บันทกึ จากการทางาน ความรูเ้ ดน่ ชดั จึงมี ชื่อเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ “ความรูใ้ นกระดาษ” 2. ความร้ซู อ่ นเร้น / ความรฝู้ ังลกึ (Tacit Knowledge) เปน็ ความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวคน พัฒนาเปน็ ภูมิ ปัญญา ฝงั อยูใ่ นความคิด ความเชอื่ ค่านยิ ม ท่ีคนไดม้ าจากประสบการณส์ ง่ั สมมานาน หรอื เปน็ พรสวรรค์อันเปน็ ความสามารถพเิ ศษเฉพาะตัวทมี่ ีมาแตก่ าเนิด หรือเรยี กอีกอยา่ งหนึง่ ว่า “ความร้ใู นคน” แลกเปลย่ี นความร้กู นั ได้ ยาก ไมส่ ามารถแลกเปลย่ี นมาเป็นความร้ทู เ่ี ปดิ เผยไดท้ ั้งหมด ต้องเกิดจากการเรยี นรรู้ ่วมกนั ผ่านการเป็นชมุ ชน

เช่นการสังเกต การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ระหวา่ งการทางานหากเปรยี บความร้เู หมอื นภูเขานา้ แขง็ สว่ นของน้าแข็งที่ ลอยพ้นน้า เปรียบเหมือนความร้ทู เ่ี ดน่ ชดั คือความรู้ที่อยู่ในเอกสารตารา ซีดี วีดีโอหรือสื่ออื่นๆ ทจี่ บั ตอ้ งได้ ความรู้น้มี ีเพียง 20% ความรู้ 2 ยุค ความรยู้ ุคที่เนน้ ความรู้ในกระดาษ เน้นความร้ขู องคนส่วนน้อย ความรทู้ ่สี ร้างขน้ึ โดย นักวิชาการที่มคี วาม ชานาญเฉพาะดา้ น เรามักเรยี กคนเหลา่ นน้ั วา่ “ผมู้ ปี ัญญา” ซึ่งเช่อื ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ไม่สนใน ทจ่ี ะใช้ความรู้ของคนเหลา่ น้นั โลกทัศน์ในยคุ ท่ี 1เป็นโลกทัศนท์ ีค่ ับแคน้ ความรยู้ ุคท่เี ปน็ ความรูใ้ นคน หรอื อยใู่ น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคน เปน็ การคน้ พบ “ภูมิปัญญา” ที่อยู่ในตัวคน ทกุ คนมีความร้เู พราะทุกคนทางาน ทุกคนมี สัมพันธก์ ับผู้อื่น จึงย่อมมี ความรู้ที่ฝงั ลกึ ในตัวคนท่ีเกิดจากการทางาน และการมคี วามสัมพันธก์ นั นน้ั เรยี กว่า “ความรู้ อนั เกิด จากประสบการณ์” ซงึ่ ความรยู้ ุคท่ี 2 นมี้ ีคณุ ประโยชน์ 2 ประการ คือ ประการแรก ทาให้เราเคารพ ซง่ึ กนั และกนั ต่างก็มีความรู้ ประการท่ี 2 ทาใหห้ นว่ ยงานหรือองค์กรที่มีความเชื่อเช่นน้ี สามารถใชศ้ กั ยภาพแฝงของทุกคนในองคก์ รมาสร้าง ผลงาน สรา้ งนวตั กรรมให้กับองค์กร ทาให้องค์กรมีการ พัฒนามากขน้ึ

ใบความรู้ที่ 10 เร่อื ง การคดิ เป็น 1. รปู แบบการจดั การความรู้ การจดั การความร้นู นั้ มีหลายรูปแบบหรอื ที่เรียกกันวา่ “โมเดล” มหี ลากหลายโมเดล หัวใจ ของการ จัดการความรู้ คือการจดั การความรทู้ ่ีอยู่ในตัวคนในฐานะผปู้ ฏิบัติและเปน็ ผูม้ คี วามรู้ การจดั การความรทู้ ่ีทาให้คน เคารพในศักด์ิศรีของคนอนื่ การจัดการความรนู้ อกจากการจัดการความรู้ใน ตนเองเพ่อื ใหเ้ กดิ การพฒั นางานและ พฒั นาตนเองแล้ว ยังมองรวมถงึ การจดั การความรู้ในกล่มุ หรอื องคก์ รดว้ ยรูปแบบการจัดการความรจู้ งึ อย่บู น พน้ื ฐานของความเช่ือที่วา่ ทุกคนมคี วามรู้ ปฏบิ ตั ิในระดับความชานาญทีต่ า่ งกัน เคารพความรทู้ ่ีอยูใ่ นตวั คน ดร. ประพนธ์ ผาสกุ ยดื ไดค้ ิดคน้ รูปแบบการจดั การความรู้ไว้ 2 รูปแบบ คือรูปแบบ ปลาทูหรือที่เรียกวา่ “โมเดลปลา ทู” และรูปแบบปลาตะเพยี น หรือทเ่ี รียกวา่ “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงให้เห็นถงึ รปู แบบการจดั การความร้ใู น ภาพรวมของการจัดการท่คี รอบคลุมท้ังความรทู้ ีช่ ดั แจง้ และความรทู้ ี่ฝงั ลึก ดงั น้ี โมเดลปลาทู เพอื่ ให้การจัดการความรู้ หรือ KM เปน็ เร่ืองทเ่ี ข้าใจงา่ ย จึงกาหนดใหก้ ารจัดการความรู้ เปรียบเหมอื นกับ ปลาทตู ัวหน่ึง มีสิง่ ท่ตี ้องดาเนินการจดั การความรู้อยู่ 3 ส่วน โดยกาหนดวา่ ส่วนหัว คือการกาหนดเป้าหมายของ การจดั การความรู้ท่ีชัดเจน สว่ นตัวปลาคือการแลกเปลี่ยนความรูซ้ ่ึงกนั และกัน และสว่ นปางปลาคอื ความรู้ที่ ได้รบั จากการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ รูปแบบการจดั การความรู้ตาม โมเดลปลาทู ส่วนที่ “หวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” KV คือเปูาหลายของการจัดการความรู้ ผใู้ ช้ ตอ้ งรู้ว่า จะจัดการความรู้เพ่ือบรรลุเป้าหมายอะไร เก่ยี วขอ้ งหรือสอดคลอ้ งกับวิสยั ทัศน์พนั ธกจิ และยทุ ธศาสตร์ขององค์กร อยา่ งใด เช่น จดั การความร้เู พ่ือเพ่ิมประสิทธภิ าพของงาน จัดการความรู้ เพื่อพัฒนาทักษะชวี ิตดา้ นยาเสพตดิ จัดการความรเู้ พ่ือพฒั นาทักษะชีวติ ด้านส่ิงแวดลอ้ ม จัดการ ความรูเ้ พ่ือพัฒนาทักษะชวี ิตด้านชีวติ และทรพั ยส์ นิ จดั การความรูเ้ พื่อฟืน้ ฟขู นบธรรมเนยี ม ประเพณี ด้ังเดิมของคนในชุมชน เปน็ ต้น

สว่ นท่ี “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรอื KS เปน็ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ หรอื การ แบ่งปนั ความรู้ที่ฝงั ลึกในตวั คนผู้ปฏบิ ัติ เนน้ การแลกเปลี่ยนวธิ กี ารท างานท่ีประสบผลสาเรจ็ ไมเ่ น้นทป่ี ัญหา เครอื่ งมือในการแลกเปล่ียนเรียนรมู้ ี หลากหลายแบบ อาทิ การเล่าเร่อื งการสนทนา เชิงลึก การชน่ื ชมหรอื การสนทนาสนเชงิ บวก เพอื่ นชว่ ยเพ่ือน การ ทบทวนการปฏิบตั ิงาน การถอด บทเรยี น การถอดองค์ความรู้ สว่ นที่3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เป็นขุมความรู้ท่ีไดจ้ ากการแลกเปลยี่ น ความรู้ มเี ครื่องมือในการจัดเก็บความรทู้ ี่มีชีวิตไมห่ ยุดน่งิ คอื นอกจากจัดเก็บความรู้ แล้วยงั ง่ายในการนาความรู้ ออกมาใช้จรงิ งา่ ยในการนาความรู้ออกมาตอ่ ยอด และง่ายในการปรบั ข้อมูลไมใ่ หล้ ้าสมัย สว่ นนจ้ี งึ ไมใ่ ช่สว่ นที่มี หน้าที่เกบ็ ข้อมูลไวเ้ ฉย ๆ ไม่ใชห่ ้องสมดุ สาหรับเก็บสะสม ข้อมลู ที่นาไปใชจ้ ริงไดย้ าก ดงั น้นั เทคโนโลยกี ารส่อื สารและสารสนเทศ จงึ เปน็ เคร่ืองมือจดั เกบ็ ความรู้ อันทรงพลงั ยิ่งในกระบวนการ จดั การความรู้ตวั อยา่ งการจดั การความรู้เร่ือง “พฒั นากลุ่มวิสาหกจิ ชุมชน ในรปู แบบปลาทู

ใบความรู้ท่ี 11 วิชาประวตั ิศาสตรช์ าติไทย รหสั วิชา สค32034 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เรอ่ื ง มรดกไทยสมยั รัตนโกสินทร์ ความหมายและความสาคัญของมรดกไทย คณะกรรมการอานวยการวันอนุรักษมรดกไทย ใหความหมายคาวา มรดกไทย หมายถึง มรดกทาง วัฒนธรรมท่ีแสดงออกถึงสัญลักษณของความเปนชาติ ซึ่งไดแก โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โบราณสถาน วรรณกรรม ศลิ ปหตั ถกรรม นาฏศลิ ป และดนตรี ตลอดจนถงึ การดาเนินชีวิตและคุณคาประเพณีตาง ๆ อันเปนผลผลิตรวมกัน ของผูคนในผืน แผนดินในชวงระยะเวลาท่ผี านมา มรดกไทย สามารถแบงได 7 ประเภท ดังน้ี 1. โบราณวัตถุและศิลปวัตถุสมัยตาง ๆ หมายถึง สิ่งของ หรือ รองรอยของความเจริญในอดีตที่ผานมา ซ่ึงมีคุณคาตอคนรุนหลัง เชน ศิลปะทวารวดี ลพบุรี สุโขทัย อยุธยา และศิลปรัตนโกสินทรโบราณวัตถุสวนมาก เป็นลวดลายปนู ปนและลวดลายดนิ เผา เศยี รพระพทุ ธรปู เครอ่ื งสังคโลก ปนู ปนรูปยกั ษเทวดา 2. ศิลปวตั ถุ เปนผลงานสรางสรรคทางทัศนศิลปทป่ี ระกอบดวย ผลงานศลิ ปะลกั ษณะตาง ๆ เชน ภาพเขียน รปู ปน เครื่องลายคราม เครื่องถม เคร่ืองทอง และส่งิ ท่ที าดวยฝมืออยางประณีต มีคุณคาสงู สงในทาง ศิลปะ เปนตน 3. โบราณสถาน เปนหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสถานท่ีน้ัน อันเปนประโยชนในทางศิลปะ ประวัติ ศาสตร หรือโบราณคดี รวมถึงสถานท่ีที่เปนแหลงโบราณคดี แหลงประวัติศาสตรและอุทยานประวัติศาสตรดวย โบราณสถานโดยทว่ั ไป หมายถึง อาคารหรอื ส่ิงกอสรางท่มี นุษยสรางขนึ้ ทม่ี ีความเกาแก มีประวัติความเปนมาที่เป นประโยชน์ ทางดานศิลปะ ประวัติศาสตร หรือ โบราณคดี และยังรวมถึงสถานท่ีหรือเนินดินท่ีมี ความสาคัญทางประวตั ิศาสตร หรอื มีรองรอย ท่ีเปนกิจกรรมของมนษุ ยปรากฏอยู 4. วรรณกรรม หมายถึง วรรณคดีหรือศิลปะ ที่เปนผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ แลวเรีย บเรยี ง นามาบอกเลา บนั ทึกขับรอง หรือสือ่ ออกมาดวยวิธตี าง ๆ โดยทวั่ ไปแลวจะแบงวรรณกรรมเปน 2 ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ คอื วรรณกรรมท่ีบันทึกเปนตัวหนังสือ และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันไดแก วรรณกรรม ที่เลา ดวยปาก ไมไดจดบันทึก ดวยเหตุน้ีวรรณกรรมจึงมีความหมายครอบคลุมกวางถึงประวัติ นิทาน ตานาน เร่ืองเลา ขาขนั เรอ่ื งส้ัน นวนิยาย บทเพลง คาคม เปนตน 5. ศิลปหัตถกรรม จาแนกเป นประเภทต าง ๆ ได หลายลักษณะ เช น การจัดประเภทของงาน ศิลปหัตถกรรมไทยตามประโยชนใชสอย เชน ที่อยูอาศัย เครื่องมือประกอบอาชีพ อาวุธ เคร่ืองใชตาง ๆ เคร่ืองนุ งหม ยานพาหนะ และวัตถุที่เกี่ยวเน่ืองกับความเชื่อ การจัดประเภทของงานศิลปหัตถกรรมไทยตามวัส ดุและ กรรมวิธีการผลิต เชน การปนและหลอ การทอและเย็บปกถักรอย การแกะสลัก การกอสราง การเขียนหรือการ วาด การจักสาน การทาเครื่องกระดาษ และกรรมวิธีอ่ืน ๆ การจัดประเภทของงานศิลปหัตถกรรมไทยตาม สถานภาพของชาง เชน ศลิ ปหตั ถกรรมฝมอื ชางหลวง ศลิ ปหัตถกรรมฝมอื ชาวบาน 6. นาฏศลิ ปและดนตรี “นาฏศลิ ป” หมายถึง ศิลปะการฟอนรา หรอื ความรูแบบแผนของการฟอนรา เปนสงิ่ ท่มี นุษยประดษิ ฐดวยความประณตี งดงาม ใหความบนั เทิง โนมนาวอารมณและความรูสึกของผูชมใหคลอย ตาม ศิลปะประเภทนี้ตองอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับรองเขารวมดวย เพ่ือสงเสริมใหเกิดคุณคายิ่งขึ้น “ดนตรีไทย” สันนิษฐานวาไดแบบอยางมาจากอินเดียเนื่องจากอินเดียเปนแหลงอารยธรรมโบราณท่ีสาคัญแหงห

นึ่งของโลก อารยธรรมตาง ๆ ของอินเดียไดเขามามีอิทธิพลตอประเทศตาง ๆ ในแถบเอเชียอยางมาก ท้ังในดาน ศาสนา ประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนศิลปะแขนงตาง ๆ โดยเฉพาะทางดานดนตรี และยังถือเปนมรดกอันล้าคา ของชาตไิ ทยอีกดวย 7. ประเพณตี าง ๆ ประเพณีไทยแบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ 1) ประเพณีสวนบคุ ล ไดแก ประเพณีเกย่ี วกับการแตงงาน ประเพณีการเกิด ประเพณีการตาย ประเพณี การบวช ประเพณีการขนึ้ บานใหม ประเพณที าบญุ อายุ เปนตน 2) ประเพณีสวนรวม ไดแก ประเพณที างศาสนาตาง ๆ เชน ประเพณีการทาบุญเขาพรรษา ออกพรรษา ประเพณตี รุษ สารท ลอยกระทงประเพณเี ทศกาลสงกรานต และประเพณวี ันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา เปนตน

ใบความรู้ท่ี 13 วิชาประวตั ิศาสตร์ชาติไทย รหสั วชิ า สค32034 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย เรือ่ ง การเปล่ยี นแปลงของชาตไิ ทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์ สนธสิ ญั ญาเบาวริง หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษ และประเทศสยาม (อังกฤษ : Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam)” หรือบนปกสมุดไทย ใชชื่อวา หนังสือสัญญาเซอร จอหน เบาวริง หรือท่ีมักเรียกกันทั่วไปวา สนธิสัญญาเบาวริง (อังกฤษ : Bowring Treaty) เปนสนธสิ ัญญาท่รี าชอาณาจกั รสยามทากับ สหราชอาณาจักร ลงนามเม่ือวันท่ี 18 เมษายน พ.ศ. 2398 โดยเซอร จอหน เบาวริง ราชทตู ท่ไี ดรบั การแตงตง้ั จากสมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถวิกตอเรีย ถือพระราชสาสนสมเด็จพระนาง เจาวิกตอเรียเขามาถวายพระเจาแผนดินไทยและใชเวลาประมาณ 1 สัปดาหเจรจากับ “ผูสาเร็จราชการฝาย สยาม” 5 พระองค ดังน้ี 1. สมเด็จเจาพระยาบรมมหาประยูรวงศ (สมเดจ็ เจาพระยาองคใหญ) ผูสาเรจ็ ราชการท่ัวพระ ราชอาณาจกั ร ประธานผูแทนรฐั บาล 2. พระเจานองยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท 3. สมเดจ็ เจาพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (สมเด็จเจาพระยาองคนอย) ผูสาเรจ็ ราชการพระนคร 4. เจาพระยาศรสี ุริยวงศ (ชวง บุนนาค) รักษาในตาแหนงสมุหพระกลาโหม บงั คบั บัญชาหวั เมือง ชายทะเลปากใตฝายตะวนั ตก 5. เจาพระยารวิวงศ พระคลัง และสาเร็จราชการกรมทา บังคบั บญั ชาหัวเมืองฝายตะวนั ออก สาระสาคญั ของสนธิสัญญาเบาวรงิ มดี งั นี้ 1) คนที่อยูในการบังคับอังกฤษ จะอยูภายใตอานาจการควบคมุ ของกงสลุ องั กฤษนบั เปนครง้ั แรกทส่ี ยาม มอบสนธสิ ภาพนอกอาณาเขตแกประชากรตางประเทศ 2) คนที่อยูในการบงั คบั อังกฤษ ไดรับสทิ ธิในการคาขายอยางเสรีในเมืองทา ทุกแหงของสยาม และ สามารถพานักอาศัยอยูในกรุงเทพมหานครเปนการถาวรได ภายในอาณาเขต สไ่ี มล (สองรอยเสน) 3) คนท่ีอยูในการบังคับองั กฤษ สามารถซ้ือ หรือเชาอสงั หาริมทรัพยในบริเวณดงั กลาวได 4) คนท่ีอยูในการบังคบั อังกฤษ ไดรับอนุญาตใหเดินทางไดอยางเสรใี นสยาม โดยมหี นงั สือที่ไดรับการ รับรองจากกงสุล 5) ยกเลิกคาธรรมเนียมปากเรือ และกาหนดอัตราภาษขี าเขา และขาออกอยางชัดเจน 5.1) อัตราภาษีขาเขาของสินคาทุกชนดิ กาหนดไวทรี่ อยละ 3 ยกเวนฝน ที่ไมตองเสยี ภาษี แตต องขายใหกบั เจาภาษี สวนเงินทองและขาวของเครอื่ งใชของพอคาไมตองเสียภาษี เชนกัน 5.2) สนิ คาสงออกใหมกี ารเก็บภาษชี ัน้ เดยี ว โดยเลือกวาจะเกบ็ ภาษีชัน้ ใน (จังกอบ ภาษีปา ภาษี ปากเรอื ) หรือภาษสี งออก

6) พอคาอังกฤษ ไดรับอนุญาตใหซื้อขายโดยตรง ไดกับเอกชนสยามโดยไมมีผูใด ผูหนึง่ ขัดขวาง 7) รัฐบาลสยาม สงวนสทิ ธิใ์ นการหามสงออกขาว เกลือ และปลา เมือ่ สนิ คาดังกลาวจะขาดแคลน ภายในประเทศ ผลท่ไี ดรับจากการทาสนธสิ ัญญาเบาวริง 1) องั กฤษประสบความสาเร็จอยางมาก โดยการทร่ี ัฐบาลสยามยอมใหองั กฤษเขามาต้ังกงสลุ มอี านาจ พจิ ารณาคดที คี่ นอังกฤษมีคดีความกัน และรวมพิจารณาคดที คี่ นไทยกบั องั กฤษมีคดีความกัน 2) ขาว เกลอื และปลาไมเปนสนิ คาตองหามอีกตอไป 3) มีการรบั เอาวิทยาการตะวันตกสมัยใหมเขาสูประเทศ ซ่ึงทาใหชาวตางประเทศใหการยอมรบั สยามมาก ขน้ึ 4) การแลกผูกขาดการคาของรฐั บาลทาใหเกดิ การเปล่ยี นแปลงดานเศรษฐกจิ ที่สาคัญอยางหนึง่ คอื ราษฎรสามารถซ้ือขายสินคาไดโดยอิสระ รัฐบาลไมเขามาเก่ยี วของกับการขายสินคามคี า เชน ไมฝาง ไมกฤษณา หรอื งาชาง เพราะรัฐบาลจะขาดทุน 5) ขาว ไดกลายมาเปนสินคาสงออกทส่ี าคัญทีส่ ุดของไทย สงผลใหการทานาแพรหลายกวาแตกอน และ ทาใหราษฎรมเี งนิ ตราหมุนเวียนอยูในมือ พรอมทั้งชาวนามีโอกาสไถ ลูกเมยี ที่ขายใหแกผูอ่นื และยงั ทาใหเงิน ตราตางประเทศเขาสูราชสานักเปนจานวนมาก 6) ฝร่งั ท่ีเขามาจางลูกจางคนไทยใหคาจางเปนรายเดอื น และโบนสั คดิ เปนมลู คาสูงกวาขาราชการไทย เสยี มาก สงผลใหรัฐบาลไดเพิ่มเงนิ เบีย้ หวดั และคาแรงแกขาราชการและคนงานมากขน้ึ 7) พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงใหสรางถนน ไดแก ถนนหัวลาโพง ถนนเจรญิ กรุง และ ถนนสลี ม แตละเสนกวาง 5 ศอก 8) ในสมยั ปลายรัชกาลที่ 4 ฝรงั่ ตางกเ็ ขามาตัง้ โรงงานในสยามเปนจานวนมาก ตั้งแตโรงสขี าว โรงงาน น้าตาลทราย อูตอเรอื โรงเล่อื ยไม เปนตน 9) การใหสิทธิเสรีภาพในการถือครองที่ดินแกราษฎรไทย และชาวตางประเทศ ซ่ึงรัฐบาลแบงที่ดินออก เปนสามเขต คอื ในพระนคร และหางกาแพงพระนครออกไปสองรอยเสนทุกทิศ ยอมใหเชาแตไมยอมใหซื้อ ถาจะ ซ้ือตองเชาครบ 10 ปกอน หรือจะตองไดรับอนุญาตจากเสนาบดีเขตที่ลวงออกไป เจาของที่และบานมีสิทธิใหเชา หรือขายกรรมสทิ ธไ์ิ ด โดยไมมขี อแม แตลวงจากเขตนี้ไปอีก หามมิใหฝรั่งเชาหรือซ้ือโดยเด็ดขาด เมื่อราษฎรไดรับ สิทธิในการถือครองกรรมสิทธ์ิท่ีดิน ราษฎรก็มีทางทามาหากินเพิ่มข้ึนอีกทางหน่ึง คือ การจานองท่ีดินเพื่อกูเงิน หรือขายฝาก ขายขาดทีด่ ินของตนได

ใบความรู้ท่ี 14 วิชาลกู เสือ กศน. รหสั วิชา สค32034 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง การลกู เสอื ไทย การลูกเสอื โลก คุณธรรมจริยธรรม ประวัตกิ ารลูกเสือไทย พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลาเจาอยูหวั ทรงเลง็ เหน็ ความสาคัญของกิจการลูกเสือ จึงไดทรง พระราชทานกาเนดิ ลูกเสอื ไทยขน้ึ เม่อื วนั ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 โดยมพี ระราชประสงค 3 ประการ ซ่ึงเป นรากฐานแหงความม่ันคงทีจ่ ะนาใหชาติดารงอยูเปนไทยไดสมนาม คอื 1) ความจงรักภักดีตอผูทรงดารงรฐั สมี าอาณาจกั รโดยตองตามนติ ิธรรมประเพณี 2) ความรักชาตบิ านเมอื งและนับถือพระศาสนา และ 3) ความสามัคคีในคณะและไมทาลายซงึ่ กนั และกัน ประเทศไทยเปนประเทศอนั ดับทีส่ ามของโลกทม่ี ีลูกเสือ โดยตงั้ กองลูกเสือกองแรกขึน้ ทโ่ี รงเรียน มหาดเล็กหลวงหรอื โรงเรียนวชริ าวธุ วทิ ยาลัยในปจจบุ นั เรียกวา กองลูกเสอื กรงุ เทพฯ ท่ี 1 ลูกเสอื คนแรกของ ประเทศไทย คือ นายชัพน บุนนาค พระองคไดทรงดาเนนิ การสอนลูกเสือโดยพระองคเอง วิชาท่ีใชในการฝกอ บรมเปนวิชาฝกระเบียบแถว ทาอาวธุ การสะกดรอย หนาท่ขี องพลเมือง ฯลฯ และไดทรงพระกรุณาโปรดเกลา โปรดกระหมอมพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหจดั ต้ังกองลูกเสอื ตามโรงเรียนตาง ๆ ทาใหกิจการลกู เสือไดรับ ความนยิ มแพรหลายและเจริญขึ้นอยางรวดเร็ว และโปรดเกลาโปรดกระหมอมใหมีขอบังคบั ลกั ษณะการปกครอง ลกู เสอื พระองคทรงตง้ั สภากรรมการลูกเสือแหงชาติและพระองคดารงตาแหนงสูงสดุ ของคณะลูกเสอื แหงชาติ หลงั จากน้นั พระมหากษัตริยไทยทุกประองคทรงเปนพระประมขุ ของคณะลกู เสือแหงชาติ ประวัตลิ กู เสอื ไทย แบ งออกเปน 5 ยคุ ไดแก 1) ยุคกอต้ัง (พ.ศ. 2454 - 2468) เปนยคุ รัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูหัว โดยพระองค ทรงสถาปนาลูกเสือแหงชาติข้ึน เมอ่ื วนั ที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2454 โปรดใหตั้งกองลูกเสือกองแรกข้นึ ท่โี รงเรียน มหาดเล็กหลวง เรยี กวากองลูกเสอื กรุงเทพฯ ที่ 1 ซง่ึ ตอมากจิ การลูกเสือไดขยายตวั ไปหลายจังหวัด 2) ยคุ สงเสริม (พ.ศ. 2468 - 2482) เริ่มตง้ั แตแผนดนิ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลาเจาอยูหวั จนถึง ตนสงครามโลกครั้งท่ี 2 ยุคนี้ไดมกี ารชมุ นมุ ลูกเสอื แหงชาติข้นึ เปนครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2470 ณ พระราชวังอุทยาน สราญรมย จังหวดั พระนคร และเม่อื พ.ศ. 2473 ไดมีการจัดงานชมุ นุมลกู เสือแหงชาติ คร้ังท่ี 2 ณ สถานทีเ่ ดยี วกัน ป พ.ศ.2476 ตง้ั กองลกู เสอื สงั กัดกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และ พ.ศ. 2482 ไดมีการตราพระราชบญั ญัติ ลูกเสอื ขึ้นเปนฉบับแรก 3) ยุคประคับประคอง (พ.ศ. 2482 - 2489) เปนยุคที่อยูในระหวางเกดิ สงครามโลกครั้งที่ 2 ผลของ สงครามทาใหกิจการลกู เสือซบเซาลงมาก มกี ารตราพระราชบัญญัตยิ วุ ชนแหงชาตขิ นึ้ โดยแบงหนวยราชการเป นหนวยลกู เสือและหนวยยุวชนทหาร 4) ยคุ กาวหนา (พ.ศ. 2489 - 2514) กจิ การลูกเสือที่สาคญั ทีเ่ กิดขนึ้ ในยคุ น้ีคือ การยกเลิกพระราชบัญญัติ ยวุ ชนแหงชาติ พ.ศ. 2486 ไดตราพระราชบญั ญตั ลิ กู เสือขน้ึ พ.ศ. 2490 และไดตงั้ คายลูกเสอื วชริ าวธุ ทีจ่ ังหวดั ชลบรุ ี พ.ศ. 2504 มีการฝกอบรมวิชาผูกากับลูกเสือสามญั ขนั้ วดู แบดจ ครงั้ ท่ี 1 และสงเจาหนาทีไ่ ปรวมกิจกรรม ของกจิ กรรมลูกเสอื นานาชาติ กิจกรรมของลกู เสือโลกหลายกิจกรรม

5) ยคุ ถงึ ประชาชน (พ.ศ. 2514 - ปจจุบัน) เกดิ กิจกรรมลูกเสือชาวบาน โดยสภาลูกเสอื แหงชาติ มีมติรบั กจิ การลกู เสือชาวบานเปนสวนหน่ึงของคณะลูกเสือแหงชาติ เมือ่ พ.ศ. 2516 และกระทรวงศกึ ษาธิการไดมีคาส่งั ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2516 ใหนาวชิ าลูกเสือเขาสูหลกั สูตรของโรงเรยี น จะเหน็ ไดวากจิ การลูกเสือมีประวัตทิ ่ี ยาวนาน เปนกระบวนการท่ที ่ัวโลกยอมรับวาสามารถพัฒนาเยาวชนใหเปนพลเมอื งท่ดี ี มีความรบั ผิดชอบต อตนเอง ตอสวนรวมและชาติบานเมืองไดเปนอยางดี รูจกั การทางานเปนระบบหมู รจู กั การเปนผูนาและผูตาม รวมทง้ั เปน กระบวนการท่ีฝกคนใหรจู ักการเปนประชาธปิ ไตย ฝกผใู หญใหรจู ักวิธกี ารฝกชาวบานใหรจู กั แยกแยะชั่วดี

ใบความรู้ท่ี 15 วิชาลูกเสือ กศน. รหัสวิชา สค32034 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง ลกู เสือกบั จิตอาสา และการบรกิ าร การเขียนโครงการเพ่ือพัฒนาชุมชนและสังคม จติ อาสา และการบรกิ าร ความหมายและความสาคัญของจติ อาสา จติ อาสา หมายถึง จติ สานกึ เพอ่ื สวนรวมของคนท่รี ูจกั ความเสียสละ เอาใจใส เปนธุระใหความรวมมือรวม ใจในการทาประโยชนเพื่อสวนรวม เพ่ือชวยกันพัฒนาคุณภาพชวี ติ และปรารถนาเขาไปชวยลดปญหาทเ่ี กิดขึน้ ใน สังคม ดวยการสละเวลา การลงแรง และสรางสรรคใหเกิดประโยชนสขุ แกสงั คม และประเทศชาติ ความสาคญั ของจติ อาสา เปนการตระหนักรู การแสดงออก ทาประโยชน เพ่ือสงั คม ตลอดจนชวยกันดแู ลรักษาสิ่ง แวดลอม สาธารณะสมบตั ิใหเกิดประโยชนอยางคมุ คา ใหความชวยเหลือผูตกทุกขไดยาก หรอื ผูทรี่ องขอความชวย เหลือ โดยใชคณุ ธรรมเปนหลัก ความหมายและความสาคัญของการบริการ บรกิ าร หมายถงึ การใหความชวยเหลือหรือการบาเพ็ญประโยชนตอตนเอง ตอผูอน่ื และตอชุมชน ลูกเสอื วิสามัญจะตองมีความเล่ือมใสศรัทธาในคาวา “บริการ” และลงมือปฏบิ ตั ิเรื่องน้ีอยางจรงิ จงั ดวยความจรงิ ใจและ โดยมที ักษะหรอื ความสามารถในการใหบริการน้ันดวยความชานาญ วองไว คือไวใจได หรอื เชอ่ื ถือได ความสาคญั ของการบรกิ าร เปนหัวใจสาคัญของลูกเสอื กศน. ซึ่งตองพัฒนาจติ ใจใหอยูในศลี ธรรม ไมเอารัดเอาเปรียบผูที่ ยากจนหรือดอยกวา ใหรจู ักการเสียสละความสุขสวนตัว เพื่อบาเพ็ญประโยชนแกผูอนื่ เพ่ือจดุ มุงหมายใหสังคม สามารถดารงอยูไดโดยปกติ ถือวาเปนเกียรติประวตั สิ งู สดุ ของชีวติ ลกู เสอื วสิ ามัญมีคตพิ จนวา “บรกิ าร” (Service) คอื การกาหนดแนวทางสาหรับยดึ เหนี่ยวในการเปนลกู เสือวิสามญั วาจะทาหนาท่ีในการบริการชวยเหลือผูอืน่ บาเพ็ญประโยชนแกผูอ่ืนและสังคมท่เี ราอาศยั อยู หมายถึง การสรางนิสัยใหลูกเสอื วสิ ามัญไมเปนคนเห็นแกตัวพรอมท่ีจะเสยี สละประโยชนสวนตัวใหบริการแกบุคคลอื่นหรอื สงั คมทเี่ ราอาศยั อยู ท้ังน้ี เมื่อลูกเสือวสิ ามัญเจรญิ เตบิ โตเปนผูใหญ จะสามารถประกอบอาชีพอยางสขุ สบาย ใน สังคม เพราะเขารจู ักเสียสละไมเอารดั เอาเปรยี บคนอ่ืน คตพิ จน “บรกิ าร” เปนเสมือน “หัวใจ” ของการเปนลูกเสือวิสามัญวาจะตองยึดมน่ั การเสยี สละดวยการ บรกิ าร แตการบริการน้ีมิไดหมายถงึ เปนผูรับใชหรือคนงานอยางท่ีบางคนเขาใจ การบริการในความหมายของการ ลูกเสอื วสิ ามัญนนั้ มงุ ท่จี ะอบรมบมนสิ ยั และจิตใจใหลูกเสือวิสามญั ไดรจู กั เสยี สละ ไดรูจกั วิธหี าความรู และประสบ การณอันจะเปนประโยชนตอไป ในอนาคตและในทส่ี ุดจะทาใหเขาสามารถประกอบอาชีพโดยปกติสขุ ในสังคม ทง้ั นี้ มหี ลักในการดาเนินการตามคติพจนบริการ

หลักการของจิตอาสา และการบรกิ าร หลกั การของจิตอาสา หลักการของจติ อาสา มที ่ีมาจากการพฒั นาตนเองใหมีจติ สานึกท่ีดี มนี ้าใจ การที่คนมาอยูรวมกนั เปน สงั คมยอมตองการพึง่ พากนั โดย 1) การกระทาของตนเอง ใหมีความรบั ผดิ ชอบตอตนเอง เพ่ือปองกันไมให เกิดผลกระทบและความ เสยี หายตอสวนรวม เชน การมวี นิ ัยในตนเองการควบคุมอารมณและพฤติกรรมการเชื่อฟงคาสง่ั เปนตน 2) บทบาทของตนท่ีมีตอสังคมในการรักษาประโยชนของสวนรวม เพอ่ื แกปญหา สรางสรรคสังคม ซ่ึงถือ วาเปนความรับผิดชอบตอตนเองและสงั คม เชน การเคารพสิทธผิ ูอ่นื การรับฟงความคิดเห็นของผูอืน่ การชวย เหลอื ผูอน่ื เปนตน หลักการของการบรกิ าร หลักการของการบริการ มีดงั นี้ 1) ใหบรกิ ารดวยความสมคั รใจ เตม็ ใจทจี่ ะใหบรกิ าร 2) ใหบริการอยางมีประสทิ ธภิ าพ คือ มีทกั ษะในการบริการ เชน การปฐมพยาบาล เทคนิคในการชวย ชีวิต เปนตน 3) ใหบริการแกผูท่ตี องการรบั บริการ เชน คนทก่ี าลงั จะจมํน้าผูทีถ่ ูกทอดท้ิง คนชรา คนปวยและผูไม สามารถชวยตนเองได เปนตน 4) ใหบริการดวยความองอาจ ต้ังใจทางานใหเสร็จดวยความมน่ั ใจ ดวยความรบั ผิดชอบโดยใชความรูที่ มอี ยูใหเกิดประโยชนอยางแทจริง อุทิศใหแกงานอยางจริงจงั ในขณะนัน้ รูจกั แบงเวลา แบงลกั ษณะงาน มีความมุ มานะในการทางาน ใหเปนผลสาเรจ็ ตามเปาหมายท่กี าหนดไว

ใบความรู้ที่ 16 วชิ าลกู เสอื กศน. รหสั วิชา สค32034 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เร่อื ง ปฐมพยาบาล 1 การปฐมพยาบาล 1.1 ความหมายของการปฐมพยาบาล การบาดเจ็บหรอื เกิดการเจ็บปวย ยอมเกดิ ขน้ึ ไดทกุ เวลา โดยเฉพาะอบุ ัตเิ หตุ การชวยเหลอื ผูประสบภยั ถ าผูใหการชวยเหลอื รูหลกั การ First Aid หรือทเ่ี รียกวา การปฐมพยาบาลสามารถชวยชีวติ ผูปวย ชวยบรรเทาความ เจ็บปวด ปองกันอาหารของโรคทรุดลงปองกันไมใหเกิดความพิการ หรือโรคแทรกซอนตามมา การปฐมพยาบาล หมายถึง การใหความชวยเหลือผูบาดเจบ็ เบื้องตน โดยใชเครอื่ งมือหรืออปุ กรณที่พอจะหาไดในบรเิ วณนั้น เพื่อช วยบรรเทาอาการและชวยใหผูบาดเจบ็ ไดรับอันตรายนอยลงกอนจะสงโรงพยาบาล เพื่อใหแพทยทาการรักษา 1.2 ความสาคัญของการปฐมพยาบาล ในชวงชวี ิตของมนุษยทุกคน อาจมีชวงทไ่ี ดรับบาดเจ็บหรือเจบ็ ปวยไดทุกเวลาทุกสถานที่ โดยเฉพาะ อบุ ัตเิ หตุ การปฐมพยาบาลตองกระทาอยางรวดเร็วและถกู ตอง ดงั น้นั จึงไมจาเปนวาผูใหการปฐมพยาบาลจะตอง เปนแพทยหรือพยาบาลเทานั้น เมอ่ื มีการบาดเจ็บเกดิ ขนึ้ ผูใหการชวยเหลอื สามารถใหการชวยเหลือ เพอ่ื บรรเทา ความเจ็บปวยได ความสาคัญของการปฐมพยาบาล มดี ังน้ี 1. เพื่อชวยเหลอื ผูบาดเจบ็ 2. เพอ่ื ปองกนั และลดความพิการท่ีอาจจะเกดิ ข้ึน 3. เพือ่ บรรเทาความเจบ็ ปวดและปองกนั อันตราย 1.3 หลักการของการปฐมพยาบาล 1. การมอง สารวจความปลอดภัย รวมท้ังสารวจระบบสาคัญของรางกายอยางรวดเรว็ และ วางแผนใหการชวยเหลอื อยางมีสติ ไมต่ืนเตนตกใจ 2.-หามเคลือ่ นยาย หรอื ไมควรเคล่ือนยายผูบาดเจ็บจนกวาจะแนใจวาเคล่ือนยายไดอยางรวดเร็ว ยกเวนกรณที ่เี กิดการบาดเจบ็ ในสถานทีท่ ี่ไมสะดวกตอการปฐมพยาบาลหรอื อาจเกดิ อนั ตรายมากข้ึนท้งั ผูบาดเจ็บ และผูชวยเหลือจาเปนตองเคล่อื นยายไปท่ีทีป่ ลอดภัยกอน 3.-ชวยเหลอื ดวยความนุมนวลและระมดั ระวงั ใหการชวยเหลอื ตามลาดับความสาคญั ของการมี ชวี ิตหรอื ตามความรุนแรงท่ผี ูบาดเจ็บไดรบั ดังนี้ 3.1 กลุมอาการชวยเหลือดวน ไดแก หยุดหายใจ หวั ใจหยุดเตน หมดสติ และเสยี เลือด 3.2-กลมุ อาการชวยเหลือรอง ไดแก ความเจ็บปวด การบาดเจบ็ ของกระดูก

อบุ ตั เิ หตทุ างนา้ อบุ ัติเหตทุ างน้าอาจเกิดจากสาเหตทุ ่ีสาคญั 2 ประการ คือ ตวั บุคคล และสภาพแวดลอม ซง่ึ สาเหตุสวน ใหญของอุบตั ิเหตทุ างน้ามักเกิดจากความประมาท และการกระทา ทไี่ มปลอดภัยของผูขับเรือ และผูโดยสาร อยางไรก็ตาม กรณีท่ีเกิดอุบตั ิเหตทุ างนา้ สวนใหญผูทปี่ ระสบเหตุท่จี ะไดรบั อันตราย คือ ผูท่ีอยูในสภาวะจมน้าและ ขาดอากาศหายใจ ในที่นจ้ี งึ ยกตัวอยางวิธกี ารปฐมพยาบาลกรณีจมน้าดังนี้ การจมนา้ การจมนา้ ทาใหเกิดอนั ตรายจากการขาดออกซเิ จนไปเลี้ยงสมองการชวยชีวิตและการกูฟนคนื ชีพจึงเปน ปจจยั สาคัญทที่ าใหรอดชีวิตมี วิธีการปฐมพยาบาล ดงั นี้ (1) จดั ใหนอนตะแคงกงึ่ คว่า รบี ตรวจสอบการหายใจ (2) ถาไมมีการหายใจใหชวยกชู ีพทนั ที (3) ใหความอบอุนกบั รางกายผูจมนา้ โดยถอดเส้ือผาท่เี ปยกนา้ ออกและใชผาแหงคลุมตวั ไว (4) นาสงสถานพยาบาล ขอควรระวงั (1) กรณีผูจมนา้ มปี ระวัตกิ ารจมนา้ เนื่องจากการกระโดดน้าหรือเลนกระดานโตคลื่น การชวย เหลือตองระวงั เรื่องกระดกู หัก โดยเฉพาะการเคล่ือนยายผูจมน้าโดยเม่ือนา ผูจมนา้ ข้ึนถึงนา้ ตื้นพอท่ผี ูชวยเหลอื จะ ยนื ไดสะดวกแลวใหใชไมกระดานแข็งสอดใตนา้ รองรับตัว ผูจมน้าใชผารดั ตัวผูจมนา้ ใหติดกบั ไมไว (2) ไมควรเสียเวลากบั การพยายามเอาน้าออกจากปอดหรอื กระเพาะอาหาร (3) หากไมสามารถนาผูจมน้าข้นึ จากนา้ ไดโดยเร็วอาจเปาปากบนผวิ นา้ โดย หลีกเลย่ี งการเปา ปากใตนา้ และหามนวดหนาอกระหวางอยูในน้า

ใบความรู้ครั้งท่ี 17 วิชากาญจนบุรีกับประชาคมอาเซียน รหัสวิชา สค33057 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง ประชาคมอาเซียน ความหมายและความสาคญั ของประชาคมอาเซยี น “ประชาคมอาเซียน” เป็นเป้าหมายของการรวมตัวกันของประเทศ สมาชิกอาเซียนเพื่อเพ่ิมอานาจ ต่อรองและขีดความสามารถการแข่งขันของอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศในทุกด้าน รวมถึงความสามารถในการ รับมือกับปัญหาใหม่ๆ ในระดับโลกท่ีส่งผลกระทบมาถึงภูมิภาคอาเซียน เช่น ภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย หรือ กล่าวอกี นยั หนึ่งคอื การเปน็ ประชาคมอาเซยี น คือการทาให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็น“ครอบครัวเดียวกัน” ท่ีมี ความแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานท่ีดี โดยสมาชิกในครอบครัวมีสภาพความอยู่ท่ีดี ปลอดภัย และสามารถทามา ค้าขายได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้นแรงผลักดันสาคัญท่ีทาให้ผู้นาประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันท่ีจัดต้ังประชาคม อาเซียน อันถือเป็นการปรับปรุงตัวครั้งใหญ่และวางรากฐานของการพัฒนาของ อาเซียน คือ สภาพแวดล้อม ระหว่างประเทศท่ีเปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม ที่ทาให้อาเซียนต้องเผชิญกับความท้า ทายใหม่ๆ เช่นโรคระบาดอาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน และ ความเส่ียงทอ่ี าเซียนอาจจะไม่สามารถแขง่ ขนั ทางเศรษฐกิจได้กับประเทศอื่นๆโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตรา การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดประชาคมอาเซียนถือกาเนิดข้ึนอย่างเป็นทางการเม่ือเดือนตุลาคม 2546 จากการท่ผี นู้ าอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน ที่เรียกว่า “ข้อตกลงบาหลี 2” เพอื่ เห็นชอบให้จัดตัง้ ประชาคมอาเซยี น ภายในปี 2563 แตต่ ่อมาไดต้ กลงรน่ ระยะเวลาจดั ตัง้ ให้เสร็จในปี 2558 ภาษาอาเซยี น ภาษาทางการที่ใช้ในการตดิ ต่อประสานงานระหวา่ งประเทศสมาชิก คือ ภาษาอังกฤษ

คาขวญั ของอาเซยี น \"หน่งึ วิสยั ทัศน์ หน่งึ เอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” อตั ลกั ษณ์อาเซยี น (One Vision, One Identity, One Community) อาเซียนจะต้องส่งเสรมิ อตั ลักษณร์ ว่ มกนั ของตนและความรูส้ ึกเปน็ เจ้าของในหมู่ประชาชนของ ตน เพื่อใหบ้ รรลุตามเป้าหมาย และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน ความหมายของสญั ลักษณ์อาเซยี น สัญลักษณ์อาเซยี น คอื ดวงตราอาเซียนเป็น รูปมดั รวงขา้ ว สเี หลอื งบนพนื้ วงกลม สีแดงลอ้ มรอบด้วยวงกลมสีขาว และสนี ้าเงิน รวงขา้ วสเี หลอื ง 10 ตน้ หมายถึง ความใฝ่ฝนั ของบรรดาสมาชกิ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ทัง้ 10 ประเทศ ใหม้ ีอาเซยี นที่ผูกพันธก์ นั อยา่ งมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว วงกลม เปน็ สัญลกั ษณ์แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน ตวั อกั ษรคาว่า asean สีน้าเงนิ อยใู่ ต้ภาพรวงข้าว แสดงถึงความมงุ่ มน่ั ที่จะทางานร่วมกนั เพอ่ื ความ มัน่ คง สันติภพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน สีเหลือง : หมายถงึ ความเจรญิ รุง่ เรือง สแี ดง : หมายถงึ ความกลา้ หาญและการมีพลวัติ สขี าว : หมายถึง ความบริสุทธ์ิ สนี า้ เงนิ : หมายถงึ สนั ติภาพและความมั่นคง

ใบความร้คู รัง้ ที่ 18 วชิ ากาญจนบรุ กี บั ประชาคมอาเซยี น รหัสวิชา สค33057 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย เร่อื ง ความพร้อมจังหวัดกาญจนบุรสี ปู่ ระชาคมอาเซียน ******************************************************************************* การสรา้ งความสัมพนั ธก์ บั สาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมยี นมาร์ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม ด้านเศรษฐกิจ ความสัมพนั ธด์ า้ นเศรษฐกิจระหวา่ งไทยกบั สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมาร์ ไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์น้ันนับว่าเป็นเพ่ือนบ้านกันมาช้านาน เพราะเป็นประเทศที่มี พรมแดนติดต่อกัน จึงได้สถาปนาความสัมพันธ์กันข้ึน เมื่อ24 สิงหาคม 2491 และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน มาร์ยังมี พ้ืนที่ติดต่อกับไทย คือ รัฐฉาน รัฐคะยา รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และมณฑล ตะนาวศรี โดยติดกับ 10 จังหวัดของไทย ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง มีพรมแดนร่วมกันยาว 2,401 กม. ด้วยเหตุที่ท้ังสองประเทศมีพื้นที่ติดต่อกันน้ัน จึงส่งผลให้มี ความสมั พนั ธ์ หรือมคี วามเก่ยี วขอ้ งกันในดา้ นตา่ งๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม ด้าน การท่องเทยี่ ว และท่สี าคัญนนั้ คงหนีไม่พ้น ด้านเศรษฐกจิ ซึง่ มกี ารตดิ ตอ่ รว่ มมือ และได้ทาขอ้ ตกลงต่างๆร่วมกันมา เปน็ เวลานาน เน่ืองจากท้งั สองประเทศน้ันต่างมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ท้ังแร่ธาตุ ก๊าซธรรมชาติต่างๆ รวมไปถึงมีสถานท่ีท่องเที่ยวที่สวยงาม เหมาะแก่การทาธุรกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศ มีความเติบโต และ เจริญก้าวหน้า จึงได้มีการทาข้อตกลงต่างๆร่วมกันมากมาย เพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ด้วยการทา ข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นความตกลงเพื่อให้ท้ังสองประเทศน้ันมี เศรษฐกิจระหว่างประเทศท่ีดีและ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเป็นการช่วย สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ และนารายได้เขา้ ส่ปู ระเทศของตน ดังน้ี ภาคเกษตรกรรม สาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมาร์ถอื เปน็ ประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกับประเทศไทย เห็นได้จากพ้ืนที่ใน การทาเกษตรกรรมและกสิกรรมต่าง ๆ สินค้าเกี่ยวกับการเกษตรถือเป็นสินค้าทุนที่สาคัญ เพื่อจะนามาใช้ในการ พัฒนาภาคเกษตรกรรม ซ่งึ การทาเกษตรกรรมสมยั ใหม่จาเป็นต้องอาศยั ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การเกษตร และเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าท่ีเก่ียวกับการเกษตรท่ีมีโอกาสของไทย ได้แก่ เคร่ืองมือ และอุปกรณ์เครือ่ งจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก และปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ ซึ่งสหภาพสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จัดเป็นประเทศท่ีมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบรูณ์ มีพ้ืนที่ที่มีศักยภาพสูงในการเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างย่ิง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมารม์ ีแหลง่ นา้ และ สภาพภูมิอากาศท่ีเหมาะแก่การผลิตสินค้าเกษตรเป็นจานวนมาก และหลากหลายชนิด เช่น ข้าว ข้าวสาลี อ้อย ฝ้าย ถ่ัวต่างๆ ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ ทานตะวัน หม่อน ชา งา ละหุ่ง กาแฟ ผกั และผลไม้ ยางพารา ปาล์ม และยังรวมไปถึงพืชที่นาใช้เป็นเครื่องปรุงรส อาทิ พริก หอม และกระเทียม เปน็ ตน้ แต่เน่อื งจากการเกษตรของประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมารน์ ้คี ่อนข้างพัฒนาช้าด้วยข้อจากัดเรื่อง การเข้าถึงแหล่งทุน ตลาด และเทคโนโลยี ส่งผลให้คุณภาพของผลผลิตยังไม่ได้มาตรฐาน รัฐบาลสาธารณรัฐแห่ง สหภาพเมียนมาร์จึงได้วางเป้าหมายที่จะส่งเสริมการเพาะปลูก การส่งออกและแปรรูปการเกษตรในประเทศให้

มากยิ่งข้ึนกวา่ การสงออกสินคา้ ขน้ั ตน้ ด้วยการพัฒนาปรับปรุงพ้ืนท่ีเกษตรใหม่ ๆ การจัดหาแหล่งชลประทานและ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพอื่ พัฒนาสนิ ค้า ใหท้ นั สมัยและมคี วามหลากหลายมากย่ิงข้ึน ดังน้ันจึงความจาเป็นต้องจัดหา สินค้าเกี่ยวกับการเกษตรเข้ามาช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เครื่องมือและอุปกรณ์รวมถึงเครื่องจักรกล การเกษตรขนาดเล็ก สาหรับธุรกิจ SMEs ท่ีจะเข้ามาดาเนินการค้าขายน้ัน ควรพิจารณาสินค้าเคร่ืองจักร และ สินค้าสนับสนุนการเกษตรที่มีวิธีการใช้งานที่ง่าย ราคาย่อมเยา เพ่ือให้คนในท้องถ่ินซึ่งมีรายได้น้อยได้มีโอกาสซ้ือ และส่วนใหญ่เกษตรกรของสหภาพสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เองน้ัน มีการศึกษาไม่มาก จึงควรจัดหา อุปกรณ์เคร่ืองจักรท่ีสามารถเข้าใจวิธีการใช้งานได้ง่าย สามารถควบคุมการทางาน ซ่อมแซม และบารุงรักษาได้ ดว้ ยตนเอง เคร่อื งมอื และอุปกรณ์การเกษตรท่ีมีขนาดเล็กและราคาถูก ได้แก่ เคร่ืองสีข้าวขนาดเล็ก รถไถเดินตาม เครื่องใส่ปุ๋ย เครื่องสูบน้า และเคร่ืองพ่นยาฆ่าแมลง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเคร่ืองพ่นยาฆ่าแมลงท่ีโยกด้วยมือ และ ถึงแม้ว่าเกษตรกรชาวสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์จะมีการใช้เคร่ืองมือทุ่นแรง และเคร่ืองจักรกลเกษตรอยู่ นอ้ ยมากกต็ าม แตจ่ ากการทีเ่ ริ่มหันมาเพาะปลูกเพ่ือการค้าแทนการปลูกเพือ่ การบรโิ ภคภายในครัวเรือนมากยิ่งข้ึน ความตอ้ งการเครอื่ งมือทุน่ แรงและเคร่ืองจกั รกลเกษตรจงึ นา่ จะเพ่มิ สูงขึ้นด้วย อยา่ งไรก็ตาม คู่แข่งจากประเทศจีน ได้มีการนาสินคา้ ดงั กล่าวเข้ามา จัดจาหน่ายในหลากหลายรูปแบบและมีราคาถูก เหมาะแก่กาลังซื้อของชาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมาร์ แต่มีข้อด้อยตรงอยู่ท่ีคุณภาพของสินค้าต่า เสียง่าย ซ่ึงแตกต่างจากสินค้าไทย ทมี่ คี ุณภาพดี และทนทาน ในสว่ นของปยุ๋ และเคมีภณั ฑน์ น้ั เน่ืองจากการเกษตรของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน มาร์ยังมีการใช้สารเคมีน้อย ดังน้ันหากจะดาเนินการค้าปุ๋ย จึงควรเน้นท่ีปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ย วิทยาศาสตร์ท่ีมีราคาแพงกว่า ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดและวัสดุเหลือใช้จาก โรงงาน อุตสาหกรรม รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในปัจจุบันได้ยกเลิกการควบคุมการผลิตธัญพืช และ อนุญาตให้เอกชนค้าขายได้อย่างเสรี รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรเพ่ือการส่งออกมากย่ิงข้ึน ย่อมเป็นการ เปิดทางให้กบั การคา้ ของไทย และถือเปน็ โอกาสอันดที ี่ไทยจะได้เข้าไปช่วยเหลือด้านวิชาการ และเทคโนโลยีให้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ซึ่งก็ย่อมเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย และสามารถสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร และอตุ สาหกรรมต่อเน่ืองให้มากย่ิงขึ้นอีกด้วย อาทิเช่น ผักและผลไม้กระป๋อง อาหารสัตว์ ฟอกหนังสัตว์และแปร รูปผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงธุรกิจอ่ืนๆที่จะตามมา ทั้งคลังสินค้า การบรรจุหีบห่อ การคัดเกรด การผลิตปุ๋ย เมลด็ พนั ธ์ุ ยาฆ่าแมลงและการผลิตเคร่ืองจักรกลการเกษตร เช่น โรงงานผงชูรส โรงงานน้าตาล และ โรงงานสุรา จึงเปน็ การสร้างประโยชน์ดว้ ยการสรา้ งคุณคา่ การตลาดของปยุ๋ ให้สูงข้นึ

ใบความรูท้ ่ี 19 วิชา ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวิต รหัสวิชา พว 32017 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง ความพรอ้ มจงั หวดั กาญจนบุรสี ู่ประชาคมอาเซียน สง่ิ มชี วี ติ ในโลกมีอยู่มากมาย แตล่ ะชนดิ ต่างกม็ ีรูปร่างลกั ษณะเฉพาะตวั และดารงชวี ติ อยู่ในแหล่งที่อยู่ท่ีแตกต่าง กนั ก่อใหเ้ กดิ ความหลากหลายทางชวี ภาพข้ึนในโลกของส่งิ มชี ีวิต สามารถแยกความหลากหลายของส่ิงมชี วี ติ แบ่ง ออกเปน็ 3 ระดบั คือ 1. ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม (genetic biodiversity) องคป์ ระกอบทางพันธุกรรมของ สิ่งมชี วี ติ ชนดิ ต่าง ๆ ทาให้เห็นความเหมือนและความแตกต่างของสิง่ มชี ีวติ ท้ังที่เปน็ ชนิดเดียวกนั และตา่ งชนิด กนั ได้ หากสง่ิ มชี วี ิตชนิดใดมคี วามแปรผันทางพันธุกรรมภายในสปชี ีส์ เดยี วกันก็จะทาใหเ้ กดิ ความหลากหลาย ทางพันธุกรรมข้นึ ภาพท่ี 1 - 1 ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมของหอยเต้าปูน 2. ความหลากหลายชนดิ ของส่งิ มีชีวติ (species biodiversity) ระบบนิเวศ หน่งึ อาจมสี ง่ิ มชี วี ติ หลากหลายทงั้ จานวนและชนิดบางระบบนเิ วศอาจมีสงิ่ มชี ีวติ เพียงไม่กชี่ นดิ ความแปรผันทางพันธกุ รรมของ ประชากรในแต่ละระบบนิเวศเปน็ ระยะเวลายาวนานจนก่อใหเ้ กดิ สปีชีสใ์ หม่ ๆ น้นั จะ เปน็ สาเหตุสาคญั ที่ทาให้ เกดิ ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ ภาพท่ี 1 - 2 ความหลากหลายสปีชสี ข์ องดอกพุทธรกั ษา

3. ความหลากหลายของระบบนิเวศ (ecological biodiversity) ความหลากหลายของแหล่งท่ีอยขู่ อง ส่งิ มีชวี ติ ในโลกของสงิ่ มีชีวิต สงิ่ มีชีวติ บางชนิดอาศยั อยูใ่ นแหล่งท่ีอยู่ท่ีหลากหลาย บางชนดิ อาศัยอยใู่ นแหล่งท่ีอยู่ จาเพาะเท่าน้ัน แหล่งทอ่ี ยจู่ งึ เป็นปจั จัยจากดั ต่อการกระจายของสิ่งมชี ีวติ ในแต่ละระบบนเิ วศ ภาพที่ 1-3 ระบบนิเวศ

ใบความรู้ หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอทา่ มะกา สานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั กาญจนบุรี สานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook