วิชาการนวดแผนไทย บทที่ 1 กายวิภาคศาสตร์และสรรี วทิ ยา
หน่วยท่ี 1 ความรเู้ บือ้ งต้นเกี่ยวกบั กายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา ความหมาย กายวิภาคศาสตร์ (anatomy) เปน็ ศาสตร์หรอื แขนงของการศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ เปน็ วชิ าท่ศี ึกษาเก่ยี วกบั โครงสรา้ งของ รา่ งกายของสัตวแ์ ละมนุษย์ รวมทัง้ ตาแหน่งและที่ต้งั anatomy เร่ิมครง้ั แรกในประเทศอยี ปิ ต์ ในกลางศตวรรษท่ี 4 Hippocrates ได้สอนวชิ าน้ี ในประเทศกรีก ใน คศ. 384-322 Aristotle เปน็ ผูร้ ิเรม่ิ ใช้คาว่า “anatome” ซง่ึ เปน็ คากรกี หมายถึง “cutting up“ เรยี กวา่ “ชาแหละ” การชาแหละ (dissection) เพื่อศึกษาผิวหนัง กล้ามเน้ือ หลอดเลือด เส้นประสาท กระดูก และอวัยวะต่างๆ เท่าที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และศึกษาได้โดยตัดชิ้นส่วนของ อวัยวะต่างๆ
วิชากายวภิ าคศาสตรจ์ ึงแบง่ ไดเ้ ป็น ๕ สาขาวชิ าใหญ่ คือ ๑. มหกายวิภาคศาสตร์ ศกึ ษาผวิ หนัง กลา้ มเนื้อ หลอดเลือด เส้นประสาท กระดูก และอวยั วะภายในต่างๆ ๒. จลุ กายวภิ าคศาสตร์ และสว่ นประกอบของอวัยวะต่างๆ ถึงระดับเซลลข์ องรา่ งกายอยา่ งละเอยี ด โดยอาศยั กลอ้ งจุลทรรศน์ ๓. เอมบรโี อวทิ ยา เปน็ การศึกษาให้รแู้ ละเข้าใจถงึ กาเนดิ การเจริญเตบิ โต และการเปลี่ยนแปลงของรา่ งกาย และอวัยวะต่างๆ การศกึ ษาสาขาวชิ าน้ี โดยมากศกึ ษาจากแอมบรโี อของไก่อายุตา่ งๆ ๔. ประสาทกายวิภาคศาสตร์ เปน็ การศึกษาใหร้ แู้ ละเขา้ ใจถึงรูปพรรณ โครงสรา้ ง สว่ นประกอบ และหนา้ ที่ของระบบประสาท ส่วนกลาง ได้แก่ สมอง และไขสันหลงั โดยอาศยั ท้งั การศกึ ษาดว้ ยตาเปล่า และด้วยกล้องจลุ ทรรศนศ์ กึ ษาส่วนต่างๆ ๕. กายวิภาคศาสตรป์ ระยุกต์ เป็นการนาความรทู้ างกายวิภาคศาสตร์ทุกสาขาวชิ าไปประยุกต์ใช้ในการวนิ จิ ฉยั การวิเคราะห์ การรกั ษา และการป้องกนั โรคภยั ไข้เจบ็ ตา่ งๆ ในผู้ปว่ ย หรอื ในชมุ ชนต่อไป
หนว่ ยท่ี 2 ระบบโครงกระดกู ระบบโครงกระดูก เป็นโครงสร้างของร่างกาย ช่วยป้องกันอวัยวะบอบบางต่างๆ ที่อยู่ภายในท่ีเกาะเกี่ยว อยู่ภายใน กระดูกแต่ละส่วนของร่างกาย ส่วนของกระดูกชั้นนอก กระดูกชั้นนอกหรือเรียกว่า กระดูกทึบ (Compact bone) ประกอบด้วยเกลือแร่สะสมอยู่เป็นวงกลมล้อม รอบท่อขนาดเล็กๆ ซ่ึงเรียกวา่ ท่อฮาเวอร์เชียน (Haversian canal) เซลล์ กระดูกรอบๆท่อฮาเวอร์เชียน จะได้รับอาหารและ-ออกซิเจนจากหลอดเลือดท่ีผ่านท่อฮาเวอร์เชียนท่ีผ่านท่อเหล่านี้ และถ้าหากว่า กระดูกเกิดแตกหักเสน้ ประสาทในท่อเลก็ ๆ นก้ี ็จะสง่ กระแสประสาทไปยงั สมองเราจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวด ส่วนกระดูกช้ันในน้ันมองดู คล้ายรวงผึ้ง เพราะมีลักษณะเป็นร่างแหที่มีช่องว่างระหว่างกระดูก เรียกว่า กระดูกพรุน (Spongy bone) แต่ก็มีความ แข็งแรงไม่แพ้ส่วนกระดูกทึบเช่นกันซ่ึงถ้ากระดูกของคนเราเป็นกระดูกทึบทั้งท่อนร่าง-กาย คงหนักมาก ไขกระดูกจะมีปริมาณราว ๆ 227 กรัม สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงได้ประมาณ 5,000 เม็ด/วัน สาหรับทารกในครรภ์ โครงกระดูกทุกชิ้น มีไข กระดูกแดงบรรจุอยู่ แต่เม่ือเจริญเติบโตถึงวัยผู้ใหญ่แล้วจะพบไขกระดูกน้ีเฉพาะในส่วนของกะโหลก ศีรษะ กระดูกหน้าอก กระดกู สันหลงั กระดกู สะโพกและบรเิ วณตอนปลายของกระดกู ช้นิ ยาวๆ เท่านน้ั
คาศพั ทท์ ่เี ก่ียวข้อง 1. Claviclel – ไหปลาร้า 2. Humerus – กระดกู ตน้ แขน 3. Sternum – กระดกู หน้าอก 4. Rib – กระดูกซ่ีโครง 5. Radius – กระดกู แขนดา้ นนอก 6. Ulna – กระดกู แขนด้านใน 7. Femur – กระดูกต้นขา 8. Patella – สะบา้ 9. Skull – กะโหลกศรี ษะ 10. Scapula – กระดกู สะบกั 11. Thoracic Vertebrae – กระดูกสนั หลงั 12. Lium – กระดกู สะโพก 13. Sacrum – กระดกู เชิงกราน 14. Tibia – กระดูกหนา้ แขง้ 15. Fibula – กระดูกนอ่ ง
ระบบโครงกระดูกประกอบไปด้วยองค์ประกอบทส่ี าคญั ดงั นี้ 1. กระดกู ออ่ น (Cartilage) ทาหนา้ ที่รองรับส่วนทอี่ อ่ นนุ่มของรา่ งกาย เพื่อที่จะทาให้การเคลื่อนไหวได้สะดวก ป้องกันการเสียดสี เนื่องจากผิวของกระดูกอ่อนเรยี บ จงึ พบว่ากระดูกออ่ นจะอยทู่ ่ปี ลายหรอื หัวกระดกู ที่ประกอบเป็นข้อตอ่ ต่าง ๆ และยังเป็นต้นกาเนิดของ กระดูกแข็งทว่ั รา่ งกาย 2. ขอ้ ต่อ (Joints) คือส่วนต่อระหวา่ งกระดกู ตง้ั แตส่ องช้นิ ขน้ึ ไปมาต่อกัน เพอ่ื การเคล่อื นไหวของร่างกาย 3. เอ็น (Tendon) มีท้ังที่เป็นเอ็นกล้ามเนื้อและเอ็นยึดข้อ (Ligament) เป็นเนื้อเยื่อท่ีมีความแข็งแรงมาก มีลักษณะเป็นเส้น ใยเหนยี ว ชว่ ยยึดกระดกู กบั กล้ามเน้ือสว่ นตา่ ง ๆ ไว้ด้วยกัน 4. กระดูก (Bone) เป็นส่วนท่ีแข็งท่ีสุด โครงกระดูกในผู้ใหญ่ ประกอบด้วยกระดูกจานวน 206 ช้ิน ส่วนในทารกแรกเกิดจะมี กระดกู ถึง 300 ชน้ิ เพราะกระดกู อ่อนยงั ไม่ติดกัน
มนษุ ยม์ กี ระดูกทงั้ หมด 206 ช้นิ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. กระดูกแกนกลางของร่างกาย (Axial skeletal) 2. กระดูกระยางค์ (Appendicular skeletal)
มนุษยม์ กี ระดกู ท้งั หมด 206 ช้นิ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. กระดกู แกนกลางของรา่ งกาย (Axial skeletal) มีท้งั หมด 80 ชน้ิ ได้แก่ 1. กระดกู กะโหลกศีรษะ (Cranium) – กระดูกหนา้ ผาก (Frontal bone) 1 ชน้ิ – กระดูกดา้ นขา้ งศีรษะ (Parietal bone) 2 ชน้ิ – กระดูกขมับ (Temporal bone) 2 ช้นิ – กระดูกท้ายทอย (Occipital bone) 1 ช้ิน – กระดกู ขือ่ จมูก (Ethmoid bone) 1 ชน้ิ – กระดกู รปู ผีเสือ้ (Sphenoid bone) 1 ชิ้น
มนษุ ยม์ กี ระดกู ทงั้ หมด 206 ช้ิน แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 2. กระดกู ใบหนา้ (Bone of face) – กระดูกสันจมกู (Nasal bone) 2 ช้ิน – กระดกู กน้ั ช่องจมูก (Vomer) 1 ชน้ิ – กระดูกข้างในจมกู (Inferior concha) 2 ชิ้น – กระดูกถงุ นา้ ตา (Lacrimal bone) 2 ช้นิ – กระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic bone) 2 ชิ้น – กระดกู เพดาน (Palatine bone) 2 ช้นิ – กระดกู ขากรรไกรบน (Maxillary) 2 ช้นิ – กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) 1 ชิ้น
มนษุ ยม์ กี ระดูกทั้งหมด 206 ช้ิน แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 3. กระดกู หู (Bone of ear – กระดกู รปู ฆอ้ น (Malleus) 2 ชิ้น – กระดูกรปู ทั่ง (Incus) 2 ช้ิน – กระดูกรปู โกลน (Stapes) 2 ชิน้ 4. กระดกู โคนล้ิน (Hyoid bone) 1 ชิ้น
มนุษย์มกี ระดูกท้ังหมด 206 ชนิ้ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 5. กระดกู สันหลัง (Vertebrae) 26 ชิ้น ไดแ้ ก่ – กระดกู สันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) 7 ชิ้น – กระดกู สันหลงั ส่วนอก (Thoracic vertebrae) 12 ชิน้ – กระดูกสันหลงั ส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5 ช้นิ – กระดูกกระเบนเหนบ็ (Sacrum) 1 ชิ้น – กระดูกกน้ กบ (Coccyx) 1 ชิ้น 6. กระดกู ทรวงอก (Sternum) 1 ชิ้น 7. กระดกู ซ่โี ครง (Rib) 24 ชิ้น
มนุษยม์ ีกระดูกท้ังหมด 206 ชิ้น แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 2. กระดูกระยางค์ (Appendicular skeletal) ประกอบด้วย กระดูก 126 ชนิ้ ได้แก่ 1. กระดูกไหล่ (Shoulder girdle) ประกอบด้วย – กระดกู ไหปลารา้ (Clavicle) 2 ช้นิ – กระดูกสะบกั (Scapular) 2 ชิ้น 2. กระดกู ตน้ แขน (Humerus) 2 ชิ้น 3. กระดูกปลายแขน (Bone of forearm) ประกอบด้วย – กระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) 2 ชิน้ – กระดกู ปลายแขนท่อนนอก (Radius) 2 ชิ้น
มนุษย์มีกระดกู ทง้ั หมด 206 ชิ้น แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 4. กระดกู ข้อมอื (Carpal bone) 16 ชิ้น 5. กระดูกฝ่ามอื (Metacarpal bone) 10 ชิ้น 6. กระดูกน้วิ มือ (Phalanges) 28 ชิ้น 7. กระดูกเชิงกราน (Hip bone) 2 ชิ้น 8. กระดกู ตน้ ขา (Femur) 2 ช้ิน 9. กระดกู หน้าแขง้ (Tibia) 2 ชน้ิ 10. กระดูกน่อง (Fibula) 2 ชิ้น 11. กระดูกขอ้ เทา้ (Tarsal bone) 14 ชิ้น 12. กระดกู ฝ่าเท้า (Metatarsal bone) 10 ชิ้น 13. กระดกู น้ิวเท้า (Phalanges) 28 ชิ้น
จานวนของกระดูก (Number of bone) จานวนของกระดกู ทั้งหมดในร่างกาย หมายถึง กระดกู ในผู้ใหญท่ เี่ จรญิ เต็มท่ีแล้ว มีท้ังสิ้น 206 ช้ิน โดยแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังน้ี – กะโหลกศรี ษะ( Cranium) 8 ชิ้น – กระดกู หน้า (Face) 14 ชิ้น – กระดูกหู (Ear) 6 ชิน้ - กระดูกโคนลนิ้ (Hyoid bone) 1 ชิ้น – กระดูกสนั หลงั 26 ชิ้น – กระดกู หน้าอก (Sternum) 1 ชิ้น – กระดูกซี่โครง (Ribs) 24 ชิ้น – กระดกู แขน (Upper extremities) 64 ชิ้น – กระดกู ขา (Lower extremities) 62 ชิ้น
แบง่ ตามลกั ษณะกระดูก แบ่งตามลกั ษณะกระดกู 1. กระดกู ยาว ได้แก่ กระดูกแขน กระดกู ขา 2. กระดูกสน้ั ไดแ้ ก่ กระดกู ข้อมือ กระดูกขอ้ เท้า 3. กระดูกแบน ได้แก่ กระดูกซ่ีโครง กระดูกอก กระดกู สะบัก 4. กระดูกยาว รปู รา่ งไมแ่ นน่ อน ไดแ้ ก่ กะโหลกศีรษะ กระดูกสนั หลัง กระดูกเชงิ กราน 5. กระดกู ลม 6. กระดกู โพรงกะโหลกศรี ษะ
หนา้ ทข่ี องกระดกู 1. ชว่ ยรองรับอวยั วะตา่ งๆ ใหท้ รงและต้งั อยูใ่ นตาแหน่งท่ีควรอยู่ (Organ of support) 2. เป็นส่วนท่ใี ชใ้ นการเคล่ือนไหว เช่น พาร่างกายยา้ ยจากท่หี นง่ึ ไปยังอกี ที่หนง่ึ (Instrument of locomotion) 3. เป็นโครงของส่วนแข็ง (Framework of hard material) 4. เปน็ ทยี่ ดึ เกาะของกล้ามเนือ้ ตา่ งๆ และ Ligament เพ่อื ทาหนา้ ท่ีเป็นคานให้กล้ามเนอ้ื ทาหน้าทเ่ี กี่ยวกบั การ เคลื่อนไหว 5. ช่วยปอ้ งกนั อวยั วะสาคัญไมใ่ หไ้ ด้รับอนั ตราย เช่น สมอง ปอด และหัวใจ เปน็ ต้น 6. ทาให้รา่ งกายคงรปู ได้ (Shape to whole body) 7. ภายในกระดูกมไี ขกระดูก (Bone marrow) ทท่ี าหนา้ ทีผ่ ลิตเม็ดเลือด (Blood cell) 8. เป็นทเ่ี กบ็ แรธ่ าตุ Calcium ในร่างกาย 9. ป้องกันเส้นประสาทและหลอดเลอื ดทที่ อดอยตู่ ามแนวของกระดกู นัน้
ขอ้ ตอ่ และกระดูก ➢ กระดูกท่ีละทอ่ นตอ่ เชื่อมกนั ดว้ ยเอ็นซึง่ ต่อกันได้หลายแบบแล้วแตก่ ารเคล่ือนท่ี การท่ีกระดูกประกอบด้วยช้ิน เล็กชน้ิ นอ้ ยมาตอ่ ๆกัน ทาใหร้ า่ งกายเคลื่อนไหวอยา่ งนิม่ นวลราบรนื่ มากข้นึ ➢ กระดูกทเี่ คลอ่ื นท่ไี ม่ได้ เช่น กะโหลกศีรษะ ➢ กระดูกเคล่อื นที่ได้เล็กน้อย เช่น กระดูกบรเิ วณกน้ กบ ➢ กระดูกแบบบานพบั เชน่ กระดกู ต้นแขน ขอ้ ต่อบริเวณหวั เขา่ ➢ กระดูกแบบหัวกลม เชน่ กระดกู กะโหลกศรี ษะ กระดูกต้นคอ กระดูกตน้ ขากระดกู สะบักเป็นต้น
อาหารบารงุ กระดกู อาหารช่วยเสรมิ สร้างความแข็งแรงให้กระดูก เช่นอาหารพวกที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นมสด ไข่แดง ผัก ใบเขยี ว ผลไม้ และอาหารทมี่ ีวติ ามินดี เช่น นา้ มนั ตับปลา ผกั สด การออกกาลังกายเป็นประจาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย พัฒนากระดูกให้เจริญอย่างเต็มท่ีและแข็งแรง ระวังอย่าให้น้าหนักตัวมากเกินไปเพราะอาจทาให้ข้อต่อชารุด เสอื่ มสภาพเร็ว
โรคเกีย่ วกบั กระดกู มาจากหลายสาเหตุ 1. จากพันธุกรรม 2. จากเชอื้ โรค 3. จากสงิ่ แวดลอ้ ม 4. จากวัย, อายทุ ี่เพิม่ ข้นึ
แบบฝกึ หัด 1. ให้นกั ศกึ ษาบอกประเภทของกระดกู แกนกลาง และกระดกู รยางค์ วา่ มีอะไรบา้ ง
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: