Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือปัญหา-เฉลยข้อสอบสนามหลวงวิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ. ๓

หนังสือปัญหา-เฉลยข้อสอบสนามหลวงวิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ. ๓

Published by อาจูหนานภิกขุ, 2020-01-29 11:42:04

Description: หนังสือปัญหา-เฉลยข้อสอบสนามหลวงวิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ. ๓

Search

Read the Text Version

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๔๖ และจะแปลงนิคคหิตเป็ น นฺ ไดใ้ นที่เช่นน้ีคือ เม่ือมีพยญั ชนะ ต วรรคอยู่หลงั นิคคหิตอย่หู นา้ แปลงนิคคหิตเป็นพยญั ชนะท่ีสุดวรรคคือ น ตวั อย่างเช่น ต-นิพฺพุต เป็น ตนฺนิพฺพตุ , ย-ทุนฺนิมิตฺต เป็น ยนฺทุนฺนิมิตฺต ฯ ปมุตฺยตฺถิ เป็น อาเทสสรสนธิ ตดั เป็น ปมุตฺติ-อตฺถิ ถา้ อิ เอ หรือ โอ อย่หู นา้ มีสระ อยเู่ บ้ืองหลงั แปลง อิ ตวั หนา้ เป็น ย ถา้ พยญั ชนะซอ้ นกนั ๓ ตวั ลบพยญั ชนะมีรูปเสมอ กนั เสียตวั หน่ึง ต่อเป็น ปมุตฺยตฺถิ ฯ หตฺถเมวานุกนฺตติ เป็ น อาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสรสนธิ ตัดเป็ น หตฺถ-เอว- อนุกนฺตติ ระหว่าง หตฺถ-เอว ถา้ สระอย่เู บ้ืองปลาย แปลงนิคคหิตเป็ น ม ต่อเป็ น หตฺถ เมว ระหว่าง หตฺถเมว-อนุกนฺตติ ถา้ สระท้งั ๒ เป็ นรัสสะมีรูปเสมอกนั คือ เป็ น อ หรือ อิ หรือ อุ ท้งั ๒ ตวั เมื่อลบแลว้ ตอ้ งทาสระท่ีไม่ไดล้ บดว้ ยทีฆสรสนธิ ต่อเป็ น หตฺถเม-วานุกนฺตติ ฯ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. นามศพั ท์ เมื่อนาไปใชใ้ นขอ้ ความท้งั ปวง จะตอ้ งทาอยา่ งไร ? ข. ศพั ทว์ า่ สทฺธาย, อตฺถาย เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? ศพั ทไ์ หนเป็นลิงคอ์ ะไร ? ค. “จตสฺโส สกุณา - นก ๔ ตวั ” “ตีณิ ขนฺธา - ขนั ธ์ ๓” ประกอบศพั ทอ์ ย่างน้ีถูก หรือไม่ ? ถา้ ไม่ถกู จงแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง. ง. เพราะเหตุไร ปุริสสัพพนาม จึงแบ่งบุรุษเป็น ๓ ? จ. ภนฺเต กบั อาวโุ ส มีวธิ ีใชต้ ่างกนั อยา่ งไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามดงั ต่อไปน้ี ก. นามศพั ท์ เมื่อนาไปใชใ้ นขอ้ ความท้งั ปวง จะตอ้ งประกอบดว้ ยลิงค์ วจนะ วภิ ตั ติ ฯ ข. สทฺธาย ถา้ เป็ นศพั ท์นาม เป็ นได้ ๕ วิภตั ติ คือ ตติยาวิภตั ติ จตุตถีวิภตั ติ ปัญจมี วภิ ตั ติ ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ และ สัตตมีวิภตั ติ เป็นอิตถีลิงค์ ถา้ เป็นศพั ทค์ ุณนาม เป็นได้ ๓ ลิงค์ ที่เป็นปุงลิงคแ์ ละนปุงสกลิงค์ เป็นจตุตถีวิภตั ติ ส่วนท่ีเป็ นอิตถีลิงค์ เป็ นได้ ๕ วิภตั ติ คือ ตติยาวภิ ตั ติ จตุตถีวภิ ตั ติ ปัญจมีวภิ ตั ติ ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ และสัตตมีวภิ ตั ติ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๔๗ อตฺถาย เป็น จตุตถีวภิ ตั ติ เป็นปุงลิงค์ ฯ ค. “จตสฺโส สกณุ า - นก ๔ ตวั ” ไม่ถกู แกเ้ ป็น จตฺตาโร สกณุ า “ตีณิ ขนฺธา - ขนั ธ์ ๓” ไม่ถกู แกเ้ ป็น ตโย ขนฺธา. ฯ ง. เพราะอนุโลมตามวภิ ตั ติในอาขยาตท่ีแบ่งเป็น ๓ เหมือนกนั ฯ จ. มีวธิ ีใชต้ ่างกนั ดงั น้ี ภนฺเต เป็นคาสาหรับคฤหสั ถเ์ รียกบรรพชิตดว้ ยเคารพ หรือบรรพชิตผอู้ ่อนพรรษา กวา่ เรียกบรรพชิตผแู้ ก่กวา่ อาวุโส เป็ นคาสาหรับบรรพชิตที่มีพรรษามากกวา่ เรียกบรรพชิตท่ีมีพรรษานอ้ ย กวา่ และสาหรับบรรพชิตเรียกคฤหสั ถ์ ฯ ๔. เมื่อเห็นกิริยาศพั ทท์ ี่ท่านประกอบ ม วิภตั ติ เช่น คจฺฉาม สังเกตอยา่ งไรจึงจะรู้ว่าเป็น วตั ตมานาหรือปัญจมี ? ปริวชฺชเย, ลชฺชเร, ปาปุณึสุ ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงอะไร ? ๔. จะตอ้ งสังเกตเน้ือความคาแปลในประโยคน้นั ๆ เช่น ถา้ แปลว่า อย,ู่ ยอ่ ม, จะ เป็น วตั ตมานา ถา้ แปลวา่ จง, เถิด, ขอ-จง เป็น ปัญจมี ฯ ปริวชฺชเย ประกอบดว้ ย ปริ บทหนา้ วชฺช ธาตุ ในความเวน้ , ละ, งด ลง ณย ปัจจยั เอยฺย สัตตมีวภิ ตั ติ ลบ ยฺย คงไวแ้ ต่ เอ ฯ ลชฺชเร ประกอบดว้ ย ลชฺช ธาตุ ในความละอาย ลง อ ปัจจยั อนฺติ วตั ตมานาวิภตั ติ แปลง อนฺติ เป็น เร. ปาปุณสึ ุ ประกอบดว้ ย ป บทหนา้ อป ธาตุ ในความถึง, บรรลุ, ได,้ ประสบ ลง อุณา ปัจจยั อุ อชั ชตั ตนีวภิ ตั ติ แปลง อุ เป็น อึสุ.

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๔๘ ๕. ปัจจัยกิตก์ตัวไหนบ้าง ใช้เป็ นนามกิตก์ก็ได้ เป็ นกิริยากิตก์ก็ได้ จงยกตัวอย่าง ประกอบดว้ ย ? อนฺตรธาโน (มนฺโต), กจวรจฺฉฑฺฑิกา (ทาสี), ปสาโท ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู. ๕. ปัจจยั กิตก์ ๓ ตวั คือ ณฺย อนีย ต ณฺ ย ปัจจัยแห่งนามกิตก์ ถ้าใช้เป็ นศัพท์กล่าวกิริ ยาของศัพท์ เป็ นกิริ ยากิตก์ ตวั อยา่ งเช่น เต จ ภิกฺขู คารยฺหา. อนีย ต ปัจจยั แห่งกิริยากิตก์ ถา้ ใชเ้ ป็นช่ือหรือวเิ สสนะของศพั ทอ์ ่ืน เป็นนามกิตก์ อนีย ปัจจยั ตวั อยา่ งเช่น ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวสิ ิ. ต ปัจจยั ตวั อยา่ งเช่น พทุ ฺโธ โลเก อุปฺปนฺโน ฯ อนฺตรธาโน (มนฺโต) ลง ยุ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ หรือ เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ว.ิ อนฺตรธายติ เตนาติ อนฺตรธาโน (มนฺโต) ว.ิ อนฺตรธายตีติ อนฺตรธาโน (มนฺโต) กจวรจฺฉฑฺฑกิ า (ทาสี) ลง ณฺวุ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ว.ิ กจวร ฉฑฺเฑตีติ กจวรจฺฉฑฺฑิกา (ทาสี) ปสาโท ลง ณ ปัจจยั เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ว.ิ ปสาทน ปสาโท. ๖. ทิคุสมาส กบั ทวนั ทวสมาส ต่างกนั อยา่ งไร ? จงตอบพร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบดว้ ย. สุธาปริกมฺมกตา (โปกฺขรณิโย), ปญฺจวณฺ ณปทุมสญฺฉนฺน (อุทก) เป็นสมาสอะไรบา้ ง ? จงต้งั วเิ คราะห์มาตามลาดบั . ๖. ต่างกนั อยา่ งน้ี กมั มธารยสมาส มีสังขยาอย่หู นา้ ชื่อทิคุสมาส ๆ น้นั มี ๒ อยา่ ง คือ สมาหารทิคุ และ อสมาหารทิคุสมาส ทิคุสมาส ที่ท่านรวบรวมนามศพั ทม์ ีเน้ือความเป็น พหุวจนะ ทาให้เป็ นเอกวจนะ นปุงสกลิงค์ ชื่อ สมาหารทิคุ ตวั อย่างเช่น ตโย โลกา ติโลก เป็นตน้ ทิคุสมาสที่ท่านไม่ไดท้ าอยา่ งน้ี ชื่อ อสมาหารทิคุ ตวั อยา่ งเช่น จตสฺโส ทิ สา จตุทฺทิสา เป็นตน้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๔๙ นามนามต้งั แต่ ๒ ศพั ทข์ ้ึนไป ท่านยอ่ เขา้ เป็นบทเดียวกนั ช่ือ ทวนั ทวสมาสๆ น้ี มี ๒ อย่าง คือ สมาหารทวันทสมาส และอสมาหารทวันทวสมาส เหมือนทิคุ ตวั อยา่ งเช่น สมโณ จ พฺราหฺมโณ จ สมณพฺราหฺมณา เป็นตน้ ฯ สุธาปริกมฺมกตา (โปกฺขรณิโย) เป็ นตติยาตปั ปุริสสมาส มีตติยาตปั ปุริสสมาสเป็ น ภายใน มีวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี ตติยา.ตปั . ว.ิ สุธาย ปริกมฺม สุธาปริกมฺม ตติยา.ตปั . ว.ิ สุธาปริกมฺเมน กตา สุธาปริกมฺมกตา (โปกฺขรณิโย) หรือเป็น ฉฏั ฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส มี ตติยาตปั ปุริสสมาส เป็นภายใน มีวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี ตติยา.ตปั . ว.ิ สุธาย ปริกมฺม สุธาปริกมฺม ฉ.ตุล. ว.ิ สุธาปริกมฺม กต ยาส ตา สุธาปริกมฺมกตา (โปกฺขรณิโย) ปญฺจวณฺณปทมุ สญฺฉนฺนํ (อทุ ก)ํ เป็น ตติยาตปั ปุริสสมาส มี ฉฏั ฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิ สมาส และวเิ สสนบุพพบท กมั มธารยสมาส เป็นภายใน มีวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี ฉ.ตุล. ว.ิ ปญฺจวณฺณา เยส ตานิ ปญฺจวณฺณานิ (ปทุมานิ) ว.ิ บุพ.กมั . ว.ิ ปญฺจวณฺณานิ ปทุมานิ ปญฺจวณฺณปทุมานิ หรือ ว.ิ ปญฺจวณฺณานิ จ ตานิ ปทุมานิ จาติ ปญฺจวณฺณปทุมานิ ตติยา.ตปั . ว.ิ ปญฺจวณฺณปทุเมหิ สญฺฉนฺน ปญฺจวณฺณปทุมสญฺฉนฺน (อุทก) ฯ ๗. สมุหตทั ธิต เป็นนามหรือเป็นคุณ ? ต่างจากตรตยาทิตทั ธิตอยา่ งไรบา้ ง ? กายโิ ก (อาพาโธ), พลวตี (ตณฺหา), อิทฺธิมย (รูป) ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู. ๗. สมุหตทั ธิต เป็นนาม ฯ สมุหตทั ธิต ต่างจากตรตยาทิตทั ธิต ดงั น้ี สมุหตทั ธิต สาเร็จรูปแลว้ ใชเ้ ป็นนามอยา่ ง เดียว ลงปัจจยั ๓ ตวั คือ กณฺ ณ ตา แทน สมุห ศพั ท์ ในเวลาต้งั วิเคราะห์ ศพั ทห์ นา้ ตอ้ ง ประกอบดว้ ย น ฉฏั ฐีวภิ ตั ติเสมอ ตวั อยา่ งเช่น

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๐ กณฺ ปัจจยั มนุสฺสาน สมุโห มานุสโก ณ ปัจจยั มนุสฺสาน สมุโห มานุโส ตา ปัจจยั ชนาน สมุโห ชนตา. ส่วนตรตยาทิตทั ธิต สาเร็จรูปแลว้ เป็ นคุณนามลว้ น ตอ้ งใช้อญั ญบทเสมอ ลง ณิก ปัจจยั แทนศพั ทไ์ ดท้ ว่ั ไป ตวั อยา่ งเช่น แทนกิริยาอาขยาต สกเฏน จรตีติ สากฏิโก (ชโน) แทนกิริยากิตก์ ราชคเห ชาโต ราชคหิโก (ชโน) แทนนามนาม สงฺฆสฺส สนฺตก สงฺฆิก (วตฺถุ) แทนคุณนาม นครสฺส อิสฺสโร นาคริโก (ชโน) กายโิ ก (อาพาโธ) ลง ณิก ปัจจยั ในตรตยาทิตทั ธิต ว.ิ กาเยน วตฺตตีติ กายโิ ก (อาพาโธ) พลวตี (ตณฺหา) ลง วนฺตุ ปัจจยั ในตทสั สตั ถิตทั ธิต ว.ิ พล อสฺสา อตฺถีติ พลวตี (ตณฺหา) อทิ ฺธิมยํ (รูปํ ) ลง มย ปัจจยั ในปกติตทั ธิต ว.ิ อิทฺธิยา ปกต อิทฺธิมย (รูป) ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระราชปริยตั ิเวที เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๑ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ที่ ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๔ ----------------------- ๑. พยญั ชนะในภาษาบาลี มีเท่าไร อะไรบา้ ง ? ต่างจากสระอยา่ งไร ? ๑. มี ๓๓ ตวั คือ ก ข ค ฆ ง จฉชฌญ ฏฐฑฒณ ตถทธน ปผพภม ยรลวสหฬอ ฯ ต่างจากสระอย่างน้ี คือ พยญั ชนะ ๓๓ ตวั น้ี ออกเสียงไม่ได้ตามลาพงั ตวั เอง เหมือนสระ ตอ้ งอาศยั สระจึงออกเสียงได้ ฯ ๒. ในสนธิกิริโยปกรณ์ อาเทส กบั วิการ มีลกั ษณะต่างกนั อยา่ งไร ? จงอธิบายพร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ ? ยเถวาย, กาโลยนฺเต เป็นสนธิอะไรบา้ ง ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. มีลกั ษณะต่างกนั อยา่ งน้ี คือ อาเทส ไดแ้ ก่ การแปลงสระใหเ้ ป็นพยญั ชนะ คือ แปลง อิ-เอ เป็น ย ตวั อยา่ งเช่น ปฏสิ ณฐฺ ารวุตตฺ ิ-อสฺส เป็น ปฏสิ ณฺฐารวุตฺยสสฺ เป็นตน้ ฯ แปลงพยญั ชนะ เป็นพยญั ชนะ คือ แปลง ติ เป็น ตฺย แลว้ ใหเ้ ป็น จฺจ ตวั อยา่ งเช่น ปติ-อุตฺตริตฺวา เป็น ปจฺจุตฺตริตฺวา, อิติ-เอว เป็น อิจฺเจว เป็นตน้ ฯ แปลงนิคคหิต เป็ น พยญั ชนะ คือ เม่ือพยญั ชนะวรรคอยู่หลงั นิคคหิต อยู่หน้า แปลงนิคคหิตเป็นพยญั ชนะที่สุดวรรค เช่น เอว-โข เป็น เอวงฺโข เป็นตน้ ฯ เมื่อ เอ และ ห อยหู่ ลงั แปลงนิคคหิตเป็น ญ ตวั อยา่ ง เช่น ต-เอว เป็น ตญฺเญว, ต-หิ เป็น ตญฺหิ เป็นตน้ .

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๒ ส่วน วิการ ไดแ้ ก่การแปลงสระเป็ นสระเท่าน้นั คือ การทาสระตวั หน่ึงใหเ้ ป็ นสระ อีกตวั หน่ึง เช่น ทา อิ ใหเ้ ป็น เอ ทา อุ ใหเ้ ป็น โอ ตวั อยา่ งเช่น มุนิ-อาลโย เป็น มุเนลโย, สุ-อตฺถี เป็น โสตฺถี เป็นตน้ ฯ ยเถวายํ เป็น โลปสรสนธิ และทีฆะสรสนธิ ตดั เป็น ยถา-เอว-อย. ระหว่าง ยถา-เอว ถา้ สระหน้าเป็ นทีฆะ สระหลงั เป็ นรัสสะ มีพยญั ชนะสังโยคอยู่ เบ้ืองหลงั กด็ ี เป็นทีฆะกด็ ี ลบสระหนา้ คือ อา ท่ีสุดแห่งศพั ท์ ยถา ต่อเป็น ยเถว. ระหวา่ ง ยเถว-อย ถา้ สระท้งั 2 เป็นรัสสะ มีรูปเสมอกนั คือ เป็น อ หรือ อิ หรือ อุ ท้งั ๒ เมื่อลบแลว้ ตอ้ งทีฆะสระที่ไม่ไดล้ บ คือ อ ท่ี อย เป็น อา ต่อเป็น ยเถวาย ฯ กาโลยนฺเต เป็นโลปสรสนธิ และ อาเทสนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น กาโล-อย-เต ระหว่าง กาโล-อย ถา้ สระท้งั ๒ คือ สระหนา้ และสระหลงั มีรูปไม่เสมอกนั ลบสระหลงั คือ อ ท่ี อย ต่อเป็น กาโลย ระหวา่ ง กาโลย-เต เมื่อมีพยญั ชนะวรรคอยหู่ ลงั มีนิคคหิตอยหู่ นา้ อาเทสนิคคหิตที่ กาโลย เป็นพยญั ชนะสุดวรรค ต่อเป็น กาโลยนฺเต ฯ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. อะไรเรียกวา่ การันต์ ? มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ข. ปกติสงั ขยา กบั ปูรณสังขยา ต่างกนั อยา่ งไร ? ค. อุปสคั กบั นิบาต ต่างกนั อยา่ งไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามดงั น้ี ก. สระท่ีสุดแห่งศพั ท์ เรียกวา่ การันต์ ฯ มี ๖ คือ อ อา อิ อี อุ อู ฯ ข. ต่างกนั อยา่ งน้ี คือ ปกติสงั ขยา สาหรับนบั โดยปกติ เป็นตน้ วา่ หน่ึง สอง สาม สี่ หา้ ส่วน ปูรณสังขยา สาหรับนบั นามนามที่เต็มในท่ีน้นั ๆ คือ นบั เป็ นช้นั ๆ เป็ นตน้ วา่ ที่หน่ึง ท่ีสอง ที่สาม ที่ส่ี ที่หา้ . ค. ต่างกนั อยา่ งน้ีคือ อุปสัค สาหรับใชน้ าหนา้ นามและกิริยาใหว้ เิ ศษข้ึน เม่ือนาหนา้ นาม มีอาการคลา้ ยคุณศพั ท์ เมื่อนาหนา้ กิริยามีอาการคลา้ ยกิริยาวเิ สสนะ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๓ ส่วน นิบาต สาหรับลงในระหว่างนามศพั ท์บา้ ง กิริยาศพั ท์บา้ ง บอกอาลปนะ กาล ท่ี ปริจเฉท อุปไมย ปฏิเสธ ความไดย้ ินเล่าลือ ความปริกบั ความถาม ความรับ ความ เตือน เป็นตน้ . ๔. วภิ ตั ติอาขยาตน้นั มกี ่ีหมวด ? หมวดไหนบอกกาลอะไร ? ๔. มี ๘ หมวด ฯ หมวดวตฺตมานา บอกปัจจุบนั หมวด ปญฺจมี บอกความบงั คบั ความหวงั ความออ้ นวอน หมวด สตฺตมี บอกความยอมตาม ความกาหนด และความราพึง เป็นตน้ หมวด ปโรกฺขา บอกอดีตกาลไม่มีกาหนด หมวด หิยตฺตนี บอกอดีตกาลต้งั แต่วานน้ี หมวด อชฺชตฺตนี บอกอดีตกาลต้งั แต่วนั น้ี หมวด ภวสิ ฺสนฺติ บอกอนาคตกาลแห่งปัจจุบนั หมวด กาลาติปตฺติ บอกอนาคตกาลแห่งอดีต ฯ ๕. รูปวิเคราะห์แห่งสาธนะ มีเท่าไร ? อย่างไหนเป็ นสาธนะอะไรไดบ้ า้ ง ? ธมฺมชีวี (ปุคฺคโล), คพฺภปาตน (เภสชฺช) ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและ สาธนะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู. ๕. มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. กตั ตุรูป เป็นไดท้ ุกสาธนะ เวน้ ภาวสาธนะ ๒. กมั มรูป เป็นได้ ๔ สาธนะ คือ กมั มสาธนะ กรณสาธนะ สัมปทานสาธนะ และ อธิกรณสาธนะ ๓. ภาวรูป เป็นภาวสาธนะไดอ้ ยา่ งเดียว ฯ ธมฺมชีวี (ปุคฺคโล) ลง ณี ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ ธมฺเมน ชีวติ ธมฺมชีวี (ปุคฺคโล) เป็ นกตั ตุรูป ลงในอรรถแห่งตสั สีละ ต้งั วิเคราะว่า ธมฺเมน ชีวติ สีเลนาติ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๔ ธมฺมชีวี (ปุคฺคโล ) เป็นสมาสรูป ตสั สีลสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า ธมฺเมน ชีวิตุํ สลี มสสฺ าติ ธมฺมชีวี (ปุคคฺ โล) ฯ คพฺภปาตนํ (เภสชฺชํ) ลง ยุ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์ว่า คพฺภ ปาเติ เตนาติ คพฺภปาตน (เภสชฺช). ๖. สมาสอะไรบา้ ง ท่ีนิยมบทแปลงเป็ นนปุงสกลิงค์ ? จะทราบไดอ้ ย่างไร ว่าเป็ นสมาส ไหน ? ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก (ภควา) เป็นสมาสอะไร จงต้งั วเิ คราะมาตามลาดบั ? ๖. สมาสที่นิยมบทปลงเป็นนปุงสกลิงค์ มี ๓ คือ สมาหารทิคุสมาส ๑ อสมาหาร ทวนั ทวสมาส ๑ อพั ยยภี าวสมาส ๑ ฯ จะทราบไดว้ า่ เป็นสมาสใด โดยความนิยมดงั น้ี สมาหารทคิ ุสมาส นิยมสงั ขยาเป็นบทหนา้ บทหลงั เป็นประธาน. สมาหารทวันทวสมาส นิยมนามนามต้ังแต่ ๒ ศพั ท์ข้ึนไป ท่านย่อเขา้ บท เดียวกนั และเป็นบทประธานท้งั สิ้น. ส่วนอพั ยยภี าวสมาส นิยมอุปสัคและนิบาต เป็นบทหนา้ และใชเ้ ป็นประธาน แห่งบทหลงั ฯ ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก (ภควา) เป็น ตติยาตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส มีอวธารณ บุพพบท กมั มธารยสมาส และวิเสสนบุพพบท กมั มธารยสมาสเป็นภายใน ต้งั วเิ คราะห์ ตามลาดบั ดงั น้ี (อว. กมั . ว.ิ ) ธมฺโม เอว จกฺก ธมฺมจกฺก (ว.ิ บุพพ. กมั . ว.ิ ) ปวร ธมฺมจกฺก ปวรธมฺมจกฺก (ตติ. ตุล. พหุพ. ว.ิ ) ปวตฺติต ปวรธมฺมจกฺก เยน โส ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก (ภควา) ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๕ ๗. ตทสั สัตถิตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ปัจจยั ตวั ไหน ใชแ้ ทนศพั ทอ์ ะไร ? พาลฺย, ปาหุเนยฺโย ลงปัจจยั อะไร ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะมาดูดว้ ย ๗. ตทสั สตั ถิตทั ธิต มีปัจจยั ๙ ตวั คือ วี ส สี อิก อี ร วนฺตุ มนฺตุ ณ ฯ ท้งั หมดใชล้ งแทน อตฺถิ ศพั ทเ์ ท่าน้นั ฯ พาลฺยํ ลง ณฺย ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ต้งั วเิ คราะหว์ า่ พาลสฺส ภาโว พาลฺย ปาหุเนยฺโย ลง เอยฺย ปัจจยั ในฐานตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ ปาหุน อรหตีติ ปาหุเนยฺโย ปาหุนาย อนุจฺฉวโิ ก โหติ วา ปาหุเนยโฺ ย ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระราชปริยตั ิเวที เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๖ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ที่ ๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๕ -------------------- ๑. อะไรเป็ นฐานและกรณ์ของพยญั ชนะวรรค ? ในพยญั ชนะวรรคเหล่าน้ี ตวั ไหน เป็นโฆสะ ? ตวั ไหนเป็นอโฆสะ ? ๑. ฐานกรณ์ของพยญั ชนะวรรคมีดงั น้ี คือ กณฺโฐ คอ เป็นฐาน และ สกฏฐฺ าน ฐานของตน เป็นกรณ์ของ พยญั ชนะ ก วรรค ตาลุ เพดาน เป็นฐาน และ ชิวฺหามชฺฌ ท่ามกลางลิ้น เป็นกรณ์ของพยญั ชนะ จ วรรค มุทฺธา ศีรษหรือป่ ุมเหงือก เป็นฐาน และ ชิวฺโหปคฺค ถดั ปลายลิ้นเขา้ มา เป็นกรณ์ของ พยญั ชนะ ฏ วรรค ทนฺโต ฟัน เป็นฐาน และ ชิวฺหคฺค ปลายลิ้น เป็นกรณ์ของพยญั ชนะ ต วรรค โอฏโฺ ฐ ริมฝีปาก เป็นฐาน และ สกฏฐฺ าน ฐานของตน เป็นกรณ์ ของพยญั ชนะ ป วรรค พยญั ชนะท่ี ๓ ท่ี ๔ ที่ ๕ ในวรรคท้งั ๕ คือ ค ฆ ง, ช ฌ ญ, ฑ ฒ ณ, ท ธ น, และ พ ภ ม เป็น โฆสะ. ส่วนพยญั ชนะท่ี ๑ ท่ี ๒ ในวรรคท้งั ๕ คือ ก ข, จ ฉ, ฏ ฐ, ต ถ, และ ป ผ เป็น อโฆสะ ฯ ๒. ในพยญั ชนะสนธิ อาคโม กบั สัญโญโค มีลกั ษณะต่างกนั อยา่ งไร ? จงตอบพร้อม ท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ ? ยโถทเก, อาจิณฺณเมเวต เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร. ๒. มีลกั ษณะต่างกนั อยา่ งน้ี คือ อาคโม ไดแ้ ก่ การลงพยญั ชนะอาคม ๘ ตวั คือ ย ว ม ท น ต ร ฬ ในเมื่อมีสระอยเู่ บ้ืองหลงั ตวั อยา่ งเช่น ยถา-อิท เป็น ยถายทิ เป็นตน้ ส่วน สญฺโญโค น้นั ไดแ้ ก่ การซอ้ นพยญั ชนะ มี ๒ ลกั ษณะ คือ ซอ้ นพยญั ชนะท่ีมี รูปเหมือนกันอย่างหน่ึง ตัวอย่างเช่น อิธ-ปโมทติ เป็ น อิธปฺปโมทติ เป็ นต้น ซ้อน พยญั ชนะที่มีรูปไม่เหมือนกนั อยา่ งหน่ึง ตามหลกั การสังโยค คือ บรรดาพยญั ชนะวรรค

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๗ ท้ังปวง พยญั ชนะท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยญั ชนะ ที่ ๑ และ ที่ ๒ ในวรรคของตนได้ พยญั ชนะท่ี ๓ ซ้อนหนา้ พยญั ชนะท่ี ๓ และที่ ๔ ในวรรคของตนได้ พยญั ชนะที่ ๕ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะทุกตวั ในวรรคของตนได้ เวน้ พยญั ชนะ คือ ง ซ้อนหนา้ พยญั ชนะท้งั ๕ ในวรรคของตนได้ แต่ซ้อนหนา้ ตวั เองไม่ได้ ตวั อยา่ งเช่น จตฺตาริ-ฐานานิ เป็น จตตฺ ารฏิ ฺฐานานิ เป็นตน้ ฯ ยโถทเก เป็นวิการสรสนธิ ตดั เป็น ยถา-อุทเก เมื่อลบสระหนา้ แลว้ วิการสระหลงั คือ ลบ อา ที่ ยถา วกิ าร อุ ที่ อุทเก เป็น โอ ต่อเป็น ยโถทเก อาจิณฺณเมเวตํ เป็ นอาเทสนิคคหิตสนธิ และ โลปสรสนธิ ตดั เป็ น อาจิณฺ ณ - เอว-เอต ระหวา่ ง อาจิณฺณ-เอว ถา้ สระอยเู่ บ้ืองปลาย แปลงนิคคหิตเป็น ม ต่อเป็น อาจิณฺณเมว ระหว่าง อาจิณฺณเมว-เอต ถา้ สระหนา้ เป็นรัสสะ สระหลงั เป็นรัสสะ มีพยญั ชนะ สังโยคอย่เู บ้ืองหลงั กด็ ี เป็ นทีฆะก็ดี ลบสระหนา้ คือ ลบ อ ที่สุดแห่ง อาจิณฺ ณเมว เสีย ต่อเป็น อาจิณฺณเมเวต ฯ ๓. มโนคณะ ไดแ้ ก่ศพั ทอ์ ะไรบา้ ง ? มีวธิ ีแจกวิภตั ติแปลกจาก อ การันตอ์ ่ืนๆ อยา่ งไร ? เมื่อเขา้ สมาสแลว้ นิยมใหท้ าอยา่ งไร ? ๓. ไดแ้ ก่ศพั ทเ์ หล่าน้ี คือ มน ใจ เตช เดช อย เหลก็ ปย น้านม อุร อก ยส ยศ เจต ใจ วจ วาจา ตป ความร้อน วย วยั ตม มืด สิร หวั ฯ มีวิธีแจกวิภตั ติแปลกจาก อ การันตอ์ ่ืนๆ อยู่ ๕ วภิ ตั ติ คือ นา กบั สฺมา เป็น อา, ส ท้ั ง ๒ เป็น โอ, สฺมึ เป็น อิ, แลว้ ลง ส อาคม เป็น สา เป็น โส เป็น สิ เอา อ เป็น โอ ไดบ้ า้ ง เหมือนคาวา่ ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย ชนไดแ้ ลว้ ซ่ึงยศ ไม่พงึ มวั เมา เป็นตน้ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๘ เมื่อเขา้ สมาสแลว้ นิยมเอาสระที่สุดศพั ทข์ องตนเป็ น โอ ได้ เหมือน คาว่า มโนคโณ หมู่แห่งมนะ อโยมย ของบุคคลทาดว้ ยเหล็ก เป็นตน้ เวน้ วจ ศพั ท์ ไม่นิยมเช่นน้นั แต่นิยมเอาสระท่ีสุดของตนเป็น อี เหมือนคาวา่ วจีกมฺม วจีทฺวาร ฉะน้นั ฯ ๔. กิริยาอาขยาตประกอบดว้ ยเครื่องปรุงเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? จะทราบ กาล บท วจนะ และบุรุษได้ ตอ้ งอาศยั อะไร ? ปมชฺชึสุ, นิเวสเย ประกอบดว้ ยเครื่องปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. ประกอบดว้ ยเครื่องปรุง ๘ อยา่ งคือ วภิ ตั ติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก และปัจจยั ฯ ตอ้ งอาศยั วภิ ตั ติ ฯ ปมชฺชึสุ ประกอบดว้ ย ป บทหน้า มทฺ ธาตุ ในความเมา ความประมาท ลง ย ปัจจยั แปลง ย กบั ที่สุดธาตุคือ ท เป็น ชฺช ลง อุ อชั ชตั ตนีวภิ ตั ติ แปลง อุ เป็น อึสุ ฯ นิเวสเย ประกอบดว้ ย นิ บทหนา้ วิสฺ ธาตุ ในความเขา้ ไป ลง ณย ปัจจยั ปัจจยั ท่ีเนื่อง ดว้ ย ณ พฤทธ์ิ อิ ที่ วสิ ฺ ธาตุ เป็น เอ ลง เอยฺย สัตตมีวภิ ตั ติ ลบ ยฺย คงไวแ้ ต่ เอ. ๕. ตูนาทิปัจจยั คือปัจจยั อะไร ? ในที่เช่นไร นิยมแปลงเป็น ย ? ในที่เช่นไรตอ้ งแปลง ย เป็นอยา่ งอื่นต่อไปอีก ? จงตอบพร้อม ท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ ? อตฺถกถา, โกโธ ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๕. คือปัจจยั มี ตูน เป็นตน้ หมายถึง ปัจจยั ๓ ตวั คือ ตูน ตฺวา ตฺวาน ฯ ในที่เช่นน้ี คือ ธาตุมีอุปสัคอยหู่ นา้ นิยมแปลง ตูนาทิปัจจยั เป็น ย ตวั อยา่ งเช่น อาทาย ปหาย เป็นตน้ . ในท่ีตอ้ งแปลง ย เป็ นอย่างอื่นอีก คือ ธาตุที่มี ม เป็ นที่สุดอย่หู น้า แปลง ย กบั ที่สุด ธาตุเป็น มฺม ตวั อยา่ งเช่น อาคมฺม, นิกฺขมฺม เป็นตน้ . ธาตุท่ีมี ท เป็นที่สุดอย่หู นา้ แปลง ย กบั ที่สุดธาตุเป็ น ชฺช ตวั อยา่ งเช่น อุปฺปชฺช, ปมชฺช เป็นตน้ . ธาตุที่มี ธ กบั ภ เป็ นท่ีสุดอยู่หน้า แปลง ย กบั ที่สุดธาตุเป็ น ทฺธา พฺภ ตวั อย่างเช่น วทิ ฺธา, อารพฺภ เป็นตน้ .

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๕๙ ธาตุท่ีมี ห เป็นท่ีสุดอยหู่ นา้ แปลง ย กบั ที่สุดธาตุเป็น ยฺห ตวั อยา่ งเช่น ปคฺคยฺห อารุยฺห เป็นตน้ ฯ อตฺถกถา ลง อ ปัจจยั เป็นกมั มรูป กมั มสาธนะ ต้งั วิเคราะห์วา่ อตฺโถ กถิยติ เอตายาติ อตฺถกถา (วาจา) หรือเป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ อตฺถ กเถนฺติ เอตายาติ อตฺถกถา (วาจา) หรือเป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ อตฺถกถน อตฺถกถา ฯ โกโธ ลง ณ ปัจจยั เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ต้งั วเิ คราะหว์ า่ กชุ ฺฌน โกโธ หรือเป็นกตั ตุรูป กตุ ตุสาธนะ ต้งั วเิ คราะหว์ า่ กชุ ฺฌตีติ โกโธ (ชโน) หรือเป็นกตั ตุรูป สมั ปทานสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ กชุ ฺฌติ ตสฺสาติ โกโธ (ชโน) ฯ ๖. วเิ สสนบุพพบท กบั วิเสสโนภยบท กมั มธารยสมาส ต่างกนั อยา่ งไร ? จงตอบพร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ ? ยถาเวค, อุปฺปนฺนพลวโกธา (เทวตา) เป็นสมาสอะไรบา้ ง จงต้งั วเิ คราะห์มาตามลาดบั ? ๖. ต่างกนั อยา่ งน้ี คือ วเิ สสนบุพพบท กมั มธารยสมาส มีบทวเิ สสนะอยตู่ น้ บทประธานอยู่ ขา้ งหลงั ตวั อย่างเช่น มหนฺโต ปุริโส มหาปุริโส บุรุษใหญ่ ขตฺติยา กญฺญา ขตฺติยกญฺญา นางกษตั ริย์ เป็นตน้ . ส่วน วิเสสโนภยบท กมั มธารยสมาส มีบทท้งั ๒ เป็นวิเสสนะ มีบทอื่นเป็นประธาน ตวั อย่างเช่น สีตญฺจ สมฏฺฐญฺจ สีตสมฏฺฐ (ฐาน ที่) ท้งั เยน็ ท้งั เกล้ียง, อนฺโธ จ วธิโร จ อนฺธวธิโร (ปุริโส บุรุษ) ท้งั บอดท้งั หนวก เป็นตน้ ฯ ยถาเวคํ เป็นนิปาตปุพพกะ อพั ยยภี าวสมาส ต้งั วเิ คราะหว์ า่ เวคสฺส ปฏิปาฏิ ยถาเวค หรือต้งั วเิ คราะห์วา่ โย โย เวโค ยถาเวค. อุปฺปนฺนพลวโกธา (เทวตา) เป็ นจตุตถีพหุพพิหิสมาส มีวิเสสนบุพพบท กมั มธารย สมาสเป็นภายใน ต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี ว.ิ บุพ. กมั . ว.ิ พลวา โกโธ พลวโกโธ หรือ ว.ิ พลวา จ โส โกโธ จาติ พลวโกโธ จ.พหุพ. ว.ิ อุปฺปนฺโน พลวโกโธ ยสฺสา สา อุปฺปนฺนพลวโกธา (เทวตา) ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๐ ๗. ตทั ธิตโดยย่อมีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? เพราะเหตุไรจึงจดั อยา่ งน้ัน ? โกสมฺพิกา (ภิกฺขู), ปาปิ มา (มาโร) ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๗. มี ๓ อยา่ ง. คือ สามญั ญตทั ธิต ภาวตทั ธิต และอพั ยยตทั ธิต. เพราะจดั ตามลกั ษณแห่งตทั ธิตน้นั ๆ กล่าวคือ สามญั ญตทั ธิต เป็นตทั ธิตสามญั ใชล้ งแทนศพั ทไ์ ดท้ ว่ั ไป ท้งั ที่เป็ น นามนาม คุณนาม และกิริยา. ภาวตทั ธิต ใชป้ ัจจยั ลงแทนไดเ้ ฉพาะ ภาว ศพั ทอ์ ยา่ งเดียว. อพั ยยตทั ธิต ใชป้ ัจจยั ลงแทน ปการ ศพั ท์ หลงั สัพพนาม แลว้ สาเร็จรูป เป็น อพั ยยตทั ธิต แจกดว้ ยวภิ ตั ติท้งั ๗ ไม่ได้ ฯ โกสมฺพิกา ลง ณิก ปัจจัย ในตรัตยาทิตัทธิต ต้ังวิเคราะห์ว่า โกสมฺพิย วสนฺตีติ โกสมฺพกิ า (ภิกฺข)ู ฯ ปาปิ มา ลง อิมนฺตุ ปัจจยั ในตทสั สัตถิตทั ธิต ตามนยั แห่งสัททนีติ ต้งั วเิ คราะห์ว่า ปาป อสฺส อตฺถีติ ปาปิ มา (มาโร) ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชวั่ โมง พระราชปริยตั ิเวที เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๑ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๖ --------------------- ๑. อะไรเรียกวา่ อกั ขระ และนิคคหิต ? ในคาท้งั ๓ น้นั คาไหนแปลวา่ อยา่ งไร ? ๑. เสียงกด็ ี ตวั หนงั สือกด็ ี เรียกวา่ อกั ขระ ฯ อกั ขระที่เหลือจากสระ ๓๓ ตวั มี ก เป็นตน้ มีนิคคหิตเป็นที่สุด เรียกวา่ พยญั ชนะ ฯ พยญั ชนะ คือ อ เรียกวา่ นิคคหิต ฯ ๒. การลงอาคมอาคมในพยญั ชนะสนธิและนิคคหิตสนธิ มีลกั ษณะต่างกนั อย่างไร ? จงอธิบายพร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งประกอบ ? ยตฺรฏฺ ฐิโต, อหนฺทานิ เป็นสนธิอะไร ? ตดั ต่ออยา่ งไร ? ๒. มีลกั ษณะต่างกนั อยา่ งน้ี คือ การลงอาคมในพยญั ชนะสนธิ ถา้ มีสระอยู่เบ้ืองหลงั ลงพยญั ชนะอาคม ๘ ตวั คือ ย ว ม ท น ต ร ฬ ไดบ้ า้ ง ตวั อยา่ ง ย อาคม ยถา - อิท เป็น ยถายทิ ว อาคม อุ - ทิกฺขติ เป็น วทุ ิกฺขติ ม อาคม ครุ - เอสฺสติ เป็น ครุเมสฺสติ ท อาคม อตฺต - อตฺโถ เป็น อตฺถทตฺโถ น อาคม อิโต - อานติ เป็น อิโตนายติ ต อาคม ตสฺมา - อิห เป็น ตสฺมาติห ร อาคม สพฺภิ - เอว เป็น สพฺภิเรว ฬ อาคม ฉ - อายตน เป็น ฉฬายตน ในสทั ทนีติวา่ ลง ห อาคมกไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น สุ-อุชุ เป็น สุหุชุ ส่วนการลงอาคมในนิคคหิตสนธิ เม่ือสระะกด็ ี พยญั ชนะกด็ ี อยเู่ บ้ืองหลงั ลงนิคคหิต อาคมไดบ้ า้ ง ตวั อยา่ งเช่น อว-สิโร เป็น อวสิโร เป็นตน้ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๒ ยตฺรฏฺฐิโต เป็นสัญโญโคพยญั ชนะสนธิ ตดั เป็น ยตฺร-ฐิโต ซ้อนหนา้ พยญั ชนะท่ีมี รูปไม่เหมือนกนั ตามหลกั แห่งการสังโยค คือ บรรดา พยญั ชนะท้งั ปวง พยญั ชนะที่ ๑ ซ้อนหน้าพยญั ชนะท่ี ๑ และท่ี ๒ ในวรรคของตนได้ พยญั ชนะที่ ๓ ซ้อนหน้า พยญั ชนะท่ี ๓ และที่ ๔ ในวรรคของตนได้ พยญั ชนะท่ี ๕ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะทุกตวั ในวรรคของตนได้ เวน้ พยญั ชนะ คือ ง ซ้อนหนา้ พยญั ชนะท้งั ๔ ในวรรคของตนได้ แต่ซอ้ นหนา้ ตวั เองไม่ได้ ในคาวา่ ยตฺรฏฺฐิโต น้ี พยญั ชนะที่ ๑ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะที่ ๒ ต่อเป็น ยตรฺ ฏฺฐิโต ฯ อหนฺทานิ เป็นโลปสรสนธิและอาเทสนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น อห-อิทานิ เมื่อนิคคหิตอยู่ หนา้ ลบสระเบ้ืองปลาย คือ อิ ที่ อิทานิ แลว้ อาเทสนิคคหิต เป็น น ต่อเป็น อหนฺทานิ ฯ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. จกฺขุ เป็นอะไรในนามศพั ทแ์ ละลิงคอ์ ะไร ? ข. อุปาสิกา เมื่อแจกในอาลปนวภิ ตั ติ มีรูปเป็นอยา่ งไรบา้ ง ? ค. อายสฺมนฺโต เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? ฆ. สฏฺฐ,ี ปณฺณรสี เป็นสังขยาชนิดไหน ? ง. ตทา, กหุ ึ แปลวา่ อยา่ งไร สาเร็จมาจากอะไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามต่อไปน้ี คือ ก. จกฺขุ เป็นนามนาม และ เป็นนปุงสกลิงค์ ฯ ข. อุปาสิกา เม่ือแจกในอาลปนวภิ ตั ติ มีรูปเป็นอยา่ งน้ี คือ เอกวจนะ เป็น อุปาสิเก พหุวจนะ เป็น อุปาสิกาโย อุปาสิกา ฯ ค. อายสฺมนฺโต เป็นได้ ๒ วภิ ตั ติ คือ ส จตุตถีวภิ ตั ติและฉฏั ฐีวภิ ตั ติ เอกวจนะ ฯ ฆ. สฏฺฐี เป็นปกติสงั ขยา ปณฺณรสี เป็นปูรณสังขยา ฯ ง. ตทา แปลว่า ในกาลน้นั สาเร็จมาจาก ต ศพั ท์ + ทา ปัจจยั กุหึ แปลว่า ใน-ไหน สาเร็จมาจาก กึ ศพั ท์ + หึ ปัจจยั แปลง กึ เป็น กุ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๓ ๔. ในอาขยาตจดั วาจกไวเ้ ท่าไร ? อะไรบา้ ง ? วาจกไหนลงปัจจยั อะไร ? จงแกค้ าท่ีเห็นวา่ ผดิ ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ในประโยคต่อไปน้ี ก. โสโก วา ภย วา เปมโต ชายนฺติ. ข. สา กมุ ารกิ า โสตาปตตฺ ผิ เล ปตฏิ ฐฺ หสึ .ุ ๔. ในอาขยาตจดั วาจกได้ ๕ คือ กตั ตุวาจก ๑ กมั มวาจก ๑ ภาววาจก ๑ เหตุกตั ตุวาจก ๑ เหตุกมั มวาจก ๑. แต่ละวาจกลงปัจจยั ดงั น้ี คือ กตั ตุวาจก ลงปัจจยั ๑๐ ตวั คือ อ เอ ย ณุ นา ณา ณฺหา โอ เณ ณย, กมั มวาจกลง ย ปัจจยั กบั ท้งั อิ อาคมหนา้ ย ดว้ ย, ภาววาจก ลง ย ปัจจยั , เหตุกตั ตุวาจก ลงปัจจยั ๔ ตวั คือ เณ ณย ณาเป ณาปย ตวั ใดตวั หน่ึง, เหตุกมั มวาจก ลงปัจจยั ๑๐ ตวั น้นั ดว้ ย ลงเหตุปัจจยั คือ ณาเป ดว้ ย ลง ย ปัจจยั ท้งั อิ อาคมหนา้ ย ดว้ ย ฯ ไดแ้ ก่คาท่ีเห็นวา่ ผดิ ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ดงั น้ี ก. โสโก วา ภย วา เปมโต ชายติ. หรือ โสโก จ ภย จ เปมโต ชายนฺติ. ข. สา กมุ าริกา โสตาปตฺติผเล ปตฏิ ฐฺ ห.ิ หรือ ตา กมุ าริกา โสตาปตติผเล ปติฏฐฺ หึสุ ฯ ๕. ต ปัจจยั ในกิริยากิตกใ์ นท่ีเช่นไร ใชบ้ อกกตั ตุวาจก ? ในท่ีเช่นไร ใชบ้ อกกมั มวาจก ? จงตอบพร้อมท้งั ยกตวั อย่างประกอบ ? สุขานุภวน (ฐาน), สุภานุปสฺสี ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู. ๕. ในท่ีลงหลงั อกมั มธาตุ บอกกตั ตุวาจก ตวั อยา่ ง มโต ฐโิ ต นิสินฺโน เป็นตน้ ในที่ลงหลงั สกมั มธาตุ บอกกมั มวาจก ตวั อยา่ ง กโต หโต ทฏิ โฺ ฐ เป็นตน้ สุขานุภาวน (ฐาน) ลง ยุ ปัจจยั เป็ นกตั ตุรูป อธิกรณสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า สุข อนุ ภวติ เอตฺถาติ สุขานุภวน (ฐาน).

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๔ สุภานุปสฺสี ลง ณี ปัจจัย เป็ นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตสั สีละ ต้งั วเิ คราะห์วา่ สุภ อนุปสฺสติ สีเลนาติ สุภานุปสฺสี หรือเป็นสมาสรูป ตสั สีลสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ สภุ อนปุ สฺสติ ุํ สลี มสฺสาติ สุภานปุ สสฺ ี ฯ ๖. กมั มธารยสมาสกบั ตปั ปุริสสมาส ต่างกนั อย่างไร ? จงตอบพร้อม ท้งั ยกตวั อย่าง ประกอบ ? อญฺญาณาภิภูโต (ปุริโส), สวิญฺญาณก (ธน) เป็นสมาสอะไรบา้ ง ? จง ต้งั วเิ คราะห์มาตามลาดบั ? ๖. ต่างกนั อยา่ งน้ี คือ กมั มธารยสมาส มีวภิ ตั ติและวจนะเสมอกนั บทหน่ึงเป็ นประธาน คือ เป็นนามนาม บทหน่ึงเป็นวเิ สสนะ คือเป็น คุณนาม หรือเป็นคุณนามท้งั ๒ บท มีบทอ่ืน เป็ นประธานท่ีท่าน ยอ่ เป็ น บทเดียวกนั ตวั อย่าง มหนฺโต ปุริโส - มหาปุริโส, ขตฺติยา กญฺญา - ขตฺตยิ กญญฺ า, นีล อุปปฺ ล - นีลุปปฺ ล เป็นตน้ ฯ ส่วน ตปั ปุริสสมาส มีวิภตั ติและวจนะ ไม่เสมอกนั ตวั อยา่ ง สุข ปตฺโต - สุขปฺปตฺโต, สลฺเลน วทิ ฺโธ - สลฺลวทิ ฺโธ, รญฺโญ ปุตฺโต - ราชปุตฺโต เป็นตน้ ฯ อญญฺ าณาภภิ ูโต (ปรุ โิ ส) เป็นตติยาตปั ปุริสสมาส มี น บุพพบท กมั มธารยสมาส เป็น ภายใน ต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี น. บุพ. กมั . ว.ิ น ญาณ อญฺญาณ ต. ตปั . ว.ิ อญฺญาเณน อภิภูโต อญฺญาณาภิภโู ต (ปุริโส) ฯ สวญิ ฺญาณกํ (ธนํ) เป็นสหบุพพบท พหุพพิหิสมาส ต้งั วเิ คราะห์วา่ สห วิญญฺ าเณน ย วตตฺ ตีติ สวญิ ฺญาณก (ธน) ฯ ๗. วิภาคตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ปัจจยั เหล่าน้นั นิยมใชป้ ระกอบกบั ศพั ท์ ชนิดไหน ? อุฏฺฐานวา, โสสานิกา (ภิกฺขู) ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จง ต้งั วเิ คราะหม์ าดู ? ๗. มี ๒ ตวั ฯ คือ ธา โส ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๕ นิยมใชป้ ระกอบกบั ศพั ทด์ งั ต่อไปน้ีคือ ธา ปัจจยั นิยมใชป้ ระกอบกบั ศพั ทท์ ี่เป็นปกติสังขยา เช่น เอกธา ทฺวธิ า ติธา เป็นตน้ โส ปัจจยั นิยมใช้ประกอบกบั ศพั ทท์ ่ีเป็ นนามนาม เช่น สุตฺตโส พยญฺชนโส ปทโส เป็นตน้ . อฏุ ฐฺ านวา ลง วนฺตุ ปัจจยั ในตทสั สตั ถิตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ อฏุ ฐฺ าน อสสฺ อตฺถตี ิ อุฏฺฐานวา. โสสานิกา (ภกิ ขฺ ู) ลง ณิก ปัจจยั ในตรตยาทิตทั ธิต ต้งั วเิ คราะหว์ า่ สุสาเน วสนฺตีติ โส สานิกา (ภิกฺข)ู . ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชวั่ โมง พระราชปริยตั ิเวที เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๖ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ท่ี ๑๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๗ --------------------------------- ๑. อกั ขระพวกไหนชื่อวา่ นิสัย ? พวกไหนชื่อวา่ นิสสิต ? เพราะเหตุไร จึงเรียกอยา่ งน้นั ? ๑. อกั ขระ ๘ ตวั ต้งั แต่ อ จนถึง โอ ช่ือวา่ สระ ออกเสียงไดต้ ามลาพงั ตวั เองและทาพยญั ชนะ ใหอ้ อกเสียงได้ ชื่อวา่ นิสสยั เพราะเป็นที่อาศยั ของพยญั ชนะ อกั ขระที่เหลือจากสระ ๓๓ ตวั น้นั มี ก เป็นตน้ มีนิคคหิตเป็นท่ีสุด ชื่อวา่ พยญั ชนะๆ แปลวา่ ทาเน้ือความใหป้ รากฏ ช่ือวา่ นิสสิต เพราะตอ้ งอาศยั สระจึงออกเสียงได้ ฯ ๒. ในวกิ ารสระสนธิ วกิ ารแบ่งเป็นก่ีอยา่ ง ? อะไรบา้ ง ? ยโถทเก จดั เขา้ ในอยา่ งไหน ? เกวลญฺจสฺสาห เป็น สนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. ในสระสนธิ วกิ าร แบ่งเป็น ๒ อยา่ ง คือ วกิ ารในเบ้ืองตน้ ๑ วกิ ารในเบ้ืองปลาย ๑ ฯ ยโถทเก จดั เขา้ ในวกิ ารเบ้ืองปลาย ฯ เกวลญฺจสฺสาห เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตดั เป็น เกวล-จ-อสฺส-อห ระหว่าง เกวล-จ เมื่อพยญั ชนะอย่หู ลงั นิคคหิตอยู่หน้า แปลงนิคคหิตเป็ นพยญั ชนะ ท่ีสุดวรรคไดท้ ้งั ๕ ตามสมควร ในท่ีน้ีแปลงนิคคหิต เป็น ญ ต่อเป็น เกวลญฺจ ระหว่าง เกวลญฺจ-อสฺส ถา้ สระท้งั ๒ มีพยญั ชนะคน่ั ในระหว่าง ลบสระเบ้ืองตน้ คือ อ ท่ี เกวลญฺจ เสีย ต่อเป็น เกวลญฺจสฺส ระหว่าง เกวลญฺจสฺส-อห ถา้ สระท้งั ๒ คือ สระหนา้ และสระหลงั มีรูปเสมอกนั คือ เป็น อ หรือ อิ หรือ อุ ท้งั ๒ ตวั เมื่อลบแลว้ ตอ้ งทีฆะสระท่ีไม่ไดล้ บ คือ ทีฆะ อ ที่ อห เป็ น อา ต่อเป็ น เกวลญฺจสฺสาห ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๗ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก.เพราะเหตุไร ? คุณนามจึงเป็นไดท้ ้งั ๓ ลิงค์ ? ข.ในอิตถีลิงค์ มีการันตเ์ ท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ค.ภวนฺโต เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? จ.เอต ศพั ทเ์ ป็นสัพพนามชนิดไหน ? ง.อุปสัคมีวธิ ีใชอ้ ยา่ งไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามต่อไปน้ี คือ ก. เพราะคุณนามเป็นนามที่แสดงลกั ษณะของนามนาม สาหรับหมายใหร้ ู้ว่านามนาม น้นั ดีหรือวา่ ชว่ั เป็นตน้ เม่ือนามนามสามารถเป็นได้ ๓ ลิงค์ คุณนามที่แสดงลกั ษณะของ นามนามกย็ อ่ มเป็นได้ ๓ ลิงคต์ ามนามนามเหมือนกนั ฯ ข. ในอิตถีลิงคม์ ีการันต์ ๕ คือ อา อิ อี อุ อู ฯ ค. ภควนฺโต เป็นได้ ๓ วิภตั ติคือ ปฐมาวิภตั ติ ๑ ทุติยาวิภตั ติ ๑ อาลปนะวิภตั ติ๑ ฝ่ ายพหุวจนะ ฯ จ. เอต ศพั ทเ์ ป็นนิยมวเิ สสนสพั พนาม ฯ ง. อุปสัคสาหรับใชน้ าหนา้ นามและกิริยาให้วิเศษข้ึน เมื่อนาหนา้ นามมีอาการคลา้ ย คุณศพั ท์ เมื่อนาหนา้ กิริยามีอาการคลา้ ยกิริยาวเิ สสนะ ฯ ๔. ในอาขยาต อ อาคม และ อิ อาคม ใชป้ ระกอบกบั กิริยาไดท้ ว่ั ไปหรือมีขอ้ จากดั อยา่ งไร ? อวมญเฺ ญถ ในคาวา่ “มาวมญเฺ ญถ ปาปสสฺ ” ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. ใชป้ ระกอบกบั กิริยาไดไ้ ม่ทว่ั ไป มีจากดั ดงั น้ี อ อาคม ใชป้ ระกอบกบั กิริยาหมวด หิยตั ตนีวิภตั ติ อชั ชตั ตนีวภิ ตั ติ และกาลาติปัตติ วภิ ตั ติ อิ อาคม ใชป้ ระกอบกบั กิริยาหมวด อชั ชตั ตนีวิภตั ติ ภวสิ ฺสนฺติวภิ ตั ติ และกาลาติปัตติ วภิ ตั ติ ในหมวดธาตุท้งั ปวง อวมญเฺ ญถ ประกอบดว้ ย อว บทหนา้ มน ธาตุ ลง ย ปัจจยั แปลง ย กบั ที่สุดธาตุ คือ น เป็น ญญฺ ลง เอถ วภิ ตั ติหมวดสตั ตมีสาเร็จเป็น อวมญฺเญถ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๘ ๕. ในสาธนะท้งั ๗ น้นั สาธนะไหนเป็ นไดก้ ่ีรูป อะไรบา้ ง ? รโชหรณ (วตฺถ) ,ธมฺมชีวี ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสานะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู ? ๕. ในสาธนะท้งั ๗ น้นั กตั ตุสาธนะและอปทานสาธนะ เป็นกตั ตุรูปอยา่ งเดียว ฯ กมั มสาธนะ กรณสาธนะ สมั ปทานสาธนะ อธิกรณสาธสะ เป็นไดท้ ้งั กตั ตรูป และกมั มรูป ฯ ส่วนภาวสาธนะ เป็นภาวรูปอยา่ งเดียว ฯ รโชหรณํ (วตฺถ) ลง ยุ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ต้งั วเิ คราะหว์ า่ รช หรตีติ รโช หรณ (วตฺถ) หรือ ต้งั วเิ คราะหว์ า่ รช หรติ เตนาติ รโชหรณ (วตฺถ) ฯ ธมฺมชีวี ลง ณี ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตสั สีละ ต้งั วเิ คระห์ว่า ธมฺเมน ชีวติ สีเลนาติ ธมฺมชีวี หรือเป็น สมาสรูปตสั สีละสาธนะ วเิ คราะหว์ า่ ธมฺเมน ชีวติ ุ สีลมสฺสาติ ธมฺมชีวี ฯ ๖. สมาสว่าโดยกิจมีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? แต่ละอยา่ งต่างกนั อย่างไร ? ฯ มรณภยภีโต (ปุริโส) ,อเปตวิญญฺ าโณ (กาโย) เป็นสมาสอะไร ? จงต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดบั มาดู ฯ ๖. สมาสวา่ โดยกิจมี ๒ อยา่ ง คือ ลุตตสมาส ๑ อลุตตสมาส ๑ ต่างกนั อย่างน้ี คือ ลุตตสมาส ไดแ้ ก่ สมาสที่ท่านลบวิภตั ติของศพั ทห์ น้าเสียแลว้ ย่อ เขา้ เป็ นบทเดียวกนั เช่น กฐินสฺส ทุสฺส เป็ น กฐินทุสฺส ผา้ เพ่ือกฐิน เป็นตน้ อลุตตสมาส ไดแ้ ก่ สมาสที่ท่านไม่ไดล้ บวิภตั ติของศพั ทห์ นา้ คงไวต้ ามเดิม เช่น ทูเร นิทาน เป็น ทูเรนิ ทาน วตั ถุมีนิทานในที่ไกล เป็นตน้ ฯ มรณภยภีโต (ปุริโส) เป็ นปัญจมีตปั ปุริสสมาส มีอวธารณบุพพบท กมั มธารยสมาส เป็นภายใน ต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี อวธารณบุพพ.กมั ม. วิ มรณ เอว ภย มรณภย ปญฺจ.ตปฺ. ว.ิ มรณภยสฺมา ภีโต มรณภยภีโต (ปุริโส) ฯ อเปตวญิ ฺญาโณ (กาโย) เป็นปัญจมีตปั ปุริสสมาส ว.ิ อเปต วญิ ฺญาณ ยสฺมา โส อเปต วิญญฺ าโณ (กาโย) ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๖๙ ๗. ปูรณตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ปณฺณรสี ,พาลฺย , โสกิณี (ปชา) ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู ๗. ในปรู ณตทั ธิต มีปัจจยั ๕ ตวั ฯ คือ ตยิ ถ ฐ ม อี ฯ ปณฺณรสี ลง อี ปัจจยั ในปูรณตทั ธิต ว.ิ ปณฺณรสนฺน ปรู ณี ปณฺณรสี พาลยฺ ํ ลง ณฺย ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ว.ิ พาลสฺส ภาโว พาลฺย โสกินี (ปชา) ลง อี ปัจจยั ในตทสั สัตถิตทั ธิต วิ. โสโก อสฺส อตฺถีติ โสกินี (ปชา) (ที่เป็น โสกินี ลง อินี เคร่ืองหมายอิตถีลิงค)์ ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระราชปริยตั ิเวที เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๐ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ท่ี ๗ มนี าคม ๒๕๔๘ ---------------- ๑. ลกั ษณะที่จะประกอบสังโยคได้ เฉพาะในพยญั ชนะวรรคมีหลกั อยา่ งไร ? อหิงฺสา , อพฺปาเทสิ, วฏุ ฺโฒ, เอกกฺคตา, ปนฺยาญิ ประกอบสังโยคผดิ หรือถกู ? ถา้ ผดิ จงแกใ้ หถ้ กู ฯ ๑. ลกั ษณะท่ีจะประกอบสงั โยคได้ เฉพาะในพยญั ชนะวรรคมีหลกั ดงั น้ี คือ พยญั ชนะที่ ๑ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะท่ี ๑ ที่ ๒ ในวรรคของตนได้ , พยญั ชนะที่ ๓ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะท่ี ๓ ที่ ๔ ในวรรคของตนได,้ พยญั ชนะท่ี ๕ สุดวรรค ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะในวรรคของตนไดท้ ้งั ๕ ตวั ยกเสีย แต่ ง ซ่ึงเป็นตวั สะกดอยา่ งเดียวมิไดม้ ีสาเนียงในภาษาบาลี ซอ้ นหนา้ ตวั เองไม่ได้ ฯ อหิงฺสา ประกอบสังโยคผดิ แกใ้ หถ้ ูกเป็น อหึสา อพปฺ าเทสิ ประกอบสังโยคผดิ แกใ้ หถ้ กู เป็น อุปฺปาเทสิ วุฏฺ โฒ ประกอบสังโยคผดิ แกใ้ หถ้ ูกเป็น วฑุ ฺโฒ เอกกฺคตา ประกอบสังโยคผดิ แกใ้ หถ้ ูกเป็น เอกคฺคตา ปนยฺ าญิ ประกอบสงั โยคผดิ แกใ้ หถ้ กู เป็น ปญฺญายิ ฯ ๒. โลปนิคคหิตสนธิ ในที่เช่นไร ? จึงลบนิคคหิตได้ ? จงตอบพร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งมา ประกอบดว้ ย ? สมฺปทเมเวต เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. ในท่ีเช่นน้ีคือ เม่ือมีสระหรือพยญั ชนะอยเู่ บ้ืองหลงั ลบนิคคหิตซ่ึงอยหู่ นา้ บา้ งกไ็ ด้ ฯ ตวั อย่างที่มีสระอยู่เบ้ืองหลัง เช่น ตาส-อห เป็ น ตาสาห,วิทูน-อคฺค เป็ น วิทูนคฺค ตวั อยา่ งที่มีพยญั ชนะอยเู่ บ้ืองหลงั เช่น อริยสจฺจาน-ทสฺสน เป็น อริสจฺจานทสฺสน , พุทฺธาน- สาสน เป็น พุทฺธานสาสน ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๑ สมฺปทานเมเวตํ เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตดั เป็น สมฺปท-เอว ระหว่าง สมฺปท-เอว นิคคหิตอยู่หน้า สระอยูหลงั แปลงนิคคหิต เป็ น ม ต่อเป็ น สมฺปทเมว ระหวา่ ง สมฺปทเมว-เอต ถา้ สระหนา้ เป็นรัสสะ สระหลงั เป็นทีฆะ ลบสระหนา้ คือ ลบ อ ที่ สมฺปทานเมว เสีย ต่อเป็น สมฺปทานเมเวต ฯ ๓.จงตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี ก.ราชคห เป็นนามนามชนิดไหน ? ข.ศพั ทม์ โนคณะเมื่อเขา้ สมาสแลว้ นิยมทาอยา่ งไร ? ค.อาสฺมโต เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? จ.อมฺห ศพั ทเ์ ป็นสพั พนามชนิดไหน ? ง.โต ตฺถ ปัจจยั เป็นเครื่องหมายวภิ ตั ติอะไร ? ๓.ไดต้ อบคาถามดงั ต่อไปน้ี ก. ราชคห เป็นนามนามชนิดอสาธารณนาม ฯ ข. ศพั ทม์ โนคณะ เม่ือเขา้ สมาสแลว้ นิยมเอาสระท่ีสุดของตนเป็น โอ ไดเ้ หมือนคาวา่ มโนคโณ หมู่แห่งคณะ อโยมย ของบุคคลทาดว้ ยเหล็ก เป็ นตน้ เวน้ วจ ศพั ท์ ไม่นิยมทา เช่นน้นั แต่นิยมเอาสระที่สุดของตนเป็น อี เหมือนคาวา่ วจีกมฺม วจีทฺวาร เป็นตน้ ฯ ค.อายสฺโต เป็นได้ ๒ วภิ ตั ติคือ จตุตถีวภิ ตั ติและฉฏั ฐิวภิ ตั ติ ฯ จ.อมฺห ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนิดปุริสสพั พนาม ฯ ง.โต ปัจจยั เป็นเครื่องหมายตติยาวภิ ตั ติและปัญจมีวภิ ตั ติ ส่วน ตฺถ ปัจจยั เป็นเคร่ืองหมายสตั ตมีวภิ ตั ติ ฯ ๔. ในอาขยาต แบ่งธาตุออกเป็นกี่ชนิด ? ชนิดไหนเป็นไดก้ ี่วาจก ? อุทปาทิ และ วโิ สธเย ในคาวา่ “ ตสฺมา สีล วโิ สธเย” ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. ในอาขยาตท่านแบ่งธาตุออกเป็น ๒ ชนิดคือ สกมั มธาตุ และ อกมั มธาตุ ฯ สกมั มธาตุ เป็นได้ ๔ วาจก คือ กตั ตุวาจก กมั มวาจก เหตุกตั ตุวาจก และเหตุกมั มวาจก

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๒ อกมั มธาตุ เป็นได้ ๓ วาจก คือ กตั ตุวาจก ภาววาจก และเหตุกตั ตุวาจก ฯ อุทปาทิ ประกอบด้วยเครื่องปรุงคือ อุ บทหน้า ปท ธาตุ ลง อ ปัจจัย แปลง อี อชั ชัตตนี เป็ น อิ แลว้ ลง อ อาคม หนา้ ธาตุ ไดร้ ูปเป็ น อุ-อปาทิ แลว้ ลง ท อาคม สาเร็จรูปเป็น อุทปาทิ ฯ วิโสธเย ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงคือ วิ บทหนา้ สุธ ธาตุ ลง ณย ปัจจยั ปัจจยั ท่ีเน่ือง ดว้ ย ณ พฤธ์ิ อุ ท่ีสุด สุธ เป็น โอ ลง เอยฺย สตั ตมีวภิ ตั ติ ลบ เอยฺย คงไวแ้ ต่ เอ สาเร็จรูปเป็น วโิ สธเย ฯ ๕. ปัจจยั นามกิตก์ แบ่งเป็นกี่พวก ? และใชต้ ่างกนั อยา่ งไร ? จีวรปารุปน (ฐาน), โคโป, ทุลฺลโภ ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๕. ปัจจยั แห่งนามกิตกแ์ บ่งเป็น ๓ พวก คือ กิตปัจจยั ใชป้ ระกอบกบั ศพั ท่ีเป็นกตั ตุรูปอยา่ งเดียว กิจจปัจจยั ใชป้ ระกอบกบั ศพั ทท์ ี่เป็นกมั มรูปและภาวรูป กิตกิจจปัจจยั ใชป้ ระกอบกบั ศพั ทแ์ มท้ ้งั ๓ เหล่าคือ กตั ตุรูป กมั มรูป ภาวรูป ฯ จีวรปารปุ น (ฐาน) เป็น กตั ตุรูป อธิกรณสาธนะ ต้งั วิเคราะห์วา่ จีวร ปารุปติ เอตฺถาติ จวี รปารปุ (ฐาน) ฯ โคโป ลง กฺวิ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ คาโว ปาเลตีติ โคโป ฯ ทุลฺลโภ ลง ข ปัจจยั เป็ นกมั มรูป กมั มสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า ทุกฺเขน ลพฺภตีติ ทุลฺลโภ ฯ ๖. สมาสเช่นไร ช่ือว่า กมั มธารยสมาส ? มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? เทวมนุสฺสปูชิโต (สตฺถา) , อนฺโตเคห เป็นสมาสอะไรบา้ ง จงต้งั วเิ คราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. นามศพั ท์ ๒ บท มีวภิ ตั ติและวจนะเป็นอยา่ งเดียวกนั บทหน่ึงเป็นประธานคือเป็นนาม นาม บทหน่ึงเป็ นวิเสสนะ คือเป็ นคุณนาม หรือเป็ นเป็ นคุณนามท้งั ๒ บท มีบทอื่นเป็ น ประธาน ที่ท่านยอ่ เขา้ เป็นบทเดียวกนั ช่ือวา่ กมั มธารยสมาส ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๓ มี ๖ อย่างคือ วิเสสนบุพฺพบท วิเสสนุตฺตรบท วิเสสโนภยบท วิเสสโนปมบท สมฺภาวนบุพฺพบท อวธารณบุพฺพบท ฯ เทวมนุสฺสปูชิโต (สตฺถา) เป็นตติยาตปั ปุริสสมาส มี อสมาหารทวนั ทวสมาส เป็นท้อง ต้งั วเิ คราะห์ตามลาดลั ดงั น้ี อสมาหาร.ทวนั . ว.ิ เทวา จ มนุสฺสา จ เทวมนุสฺสา หรือ เทโว จ มนุสฺโส จ เทวมนุสฺสา ตติยาตปั . ว.ิ เทวมนุสฺเสหิ ปูชิโต เทวมนุสฺสปูชิโต (สตฺถา) ฯ อนฺโตเคหํ เป็น นิบาตพปุพพก อพั ยยีภาวสมาส ต้งั วิเคราะห์ว่า เคหสฺส อนฺโต อนฺโต เคห ฯ ๗. เสฏฐตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? อรหตฺต, เหรญฺญิโก, อฏฺฐโม ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ฯ ๗. เสฏฐตทั ธิต มีปัจจยั ๕ ตวั คือ ตร,ตม,อิยิสสฺ ก,อยิ ,อฏิ ฐฺ ฯ อรหตฺตํ ลง ตฺต ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ อรหโต ภาโว อหรตฺต ฯ เหรญฺญิโก ลง ณิก ปัจจยั ในตรยาทิตทั ธิต ต้งั วิเคราะห์ว่า หิรญฺเญสุ นิยุตฺโต เหรญฺญิ โก ฯ อฏฐฺ โม ลง ม ปัจจยั ในปูรณตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ อฏฐฺ นนฺ ปูรโณ อฏฺฐโม ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๔ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบคร้ังท่ี ๒ วนั ท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘ -------------------------------- ๑. ชิวฺหคฺค – ปลายลิน้ เป็นกรณ์ของอกั ขระอะไรบา้ ง ? อกั ขระเหล่าน้นั เกิดในฐานไหน ? เรียกวา่ อะไร ? ๑. ชิวฺหคฺค – ปลายลิ้น เป็นกรณ์ของอกั ขระ ๗ ตวั คือ ต, ถ, ท, ธ, น, ล, ส ฯ อกั ขระเหล่าน้นั เกิดที่ฟัน ฯ เรียกวา่ ทนั ตชา ฯ ๒. ในสนธิ การต่อมีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? จงตอบพร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ ? มยฺห เมเวโส เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. ในสนธิมีต่อ ๒ อยา่ ง คือ ต่อศพั ทท์ ี่มีวิภตั ติให้เน่ืองดว้ ยศพั ทท์ ี่มีวิภตั ติ ตวั อย่างเช่น จตฺตาโร – อิเม ต่อเป็ น จตฺตาโรเม เป็นตน้ ๑ ฯ ต่อบทสมาส ย่ออกั ษรให้นอ้ ยลง ตวั อยา่ งเช่น กต – อุปกาโร ต่อเขา้ เป็ น กโตปการโร เป็นตน้ ๑ ฯ มยฺหเมเวโส เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตดั เป็น มยฺห – เอว – เอโส ระหว่าง มยฺห นิคคหิตอย่หู นา้ ถา้ พยญั ชนะอยเู่ บ้ืองปลาย แปลงนิคคหิตเป็น ม ต่อเป็น มยฺหเมว ระหว่าง มยฺหเมว – เอโส ถา้ สระหนา้ และสระหลงั ไม่มีพยญั ชนะคนั่ ในระหว่างลบ สระหนา้ คือ อ ที่ มยฺหเมว ต่อเป็น มยฺหเมเวโส ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๕ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. เสยฺโย เป็นคุณนามช้นั ไหน ? ข. ในปุงลิงค์ มีการันตอ์ ะไรบา้ ง ? ค. ปสโว เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? ฆ. เอต ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนิดไหน ? ง. ภเณ, เหฏฐา เป็นนิบาตบอกอะไร ? ๓. ไดต้ อบคาถาม ต่อไปน้ี คือ ก. เสยฺโย เป็นคุณนามช้นั วเิ สส ฯ ข. ในปุงลิงคม์ ีการันต์ ๕ คือ อ อิ อี อุ อู ฯ ค. ปสโว เป็นได้ ๓ วภิ ตั ติ คือ ปฐมาวภิ ตั ติ ทุติยาวภิ ตั ติ และอาลปนะ ฯ ฆ. เอต ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนิดนิยมสัพพนาม ฯ ง. ภเณ เป็นนิบาตบอกอาลปนะ ส่วน เหฏฺฐา เป็นนิบาตบอกที่ ฯ ๔. อาย, อิย ปัจจยั เป็ นไปในความอะไร ? ใช้ประกอบกบั อะไร ? ทสฺสามิ, และ ปจฺจสฺโสสุ ประกอบดว้ ยเครื่องปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. อาย, อิย ปัจจยั เป็นไปในความประพฤติ ฯ ใชป้ ระกอบกบั นามศพั ทท์ ้งั ที่เป็น นามนาม ท้งั ท่ีเป็นคุณนาม ใหเ้ ป็นกิริยาศพั ท์ ฯ ทสฺสามิ ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุง คือ ทา ธาตุ อ ปัจจยั สฺสามิ วิภตั ติ หมวดภวสิ สนั ติวภิ ตั ติ สาเร็จรูปเป็น ทสฺสามิ ฯ ปจฺจสฺโสสุ ประกอบดว้ ยเครื่องปรุง คือ ปฏิ บทหนา้ อ บทหนา้ สุ ธาตุ ลง อ ปัจจยั ลง อุ วิภตั ติ หมวดอชั ชตั ตนีวิภตั ติ ลง ส อาคม สาเร็จรูปเป็น ปจฺจสฺโสสุ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๖ ๕. กิริยากิตก์ มีเครื่องประกอบต่างจากกิริยาอาขยาตอยา่ งไร ? หตฺถิมารโก, โพธิ (ญาณ), ปมาโท ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๕. กิริยากิตก์ มีเคร่ืองประกอบต่างจากกิริยาอาขยาต คือ ไม่มีบทหนา้ และบุรุษเท่าน้นั ฯ หตฺถิมารโก ลง ณวุ ปัจจยั เป็ นกตั ตุรูป กตั ุสาธนะ ต้งั วิเคราะห์วา่ หตฺถึ มาเรตีติ หตฺถิมารโก ฯ โพธิ (ญาณ) ลง อิ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า พุชฺฌติ เตนาติ โพธิ (ญาณ) ฯ ปมาโท ลง ณ ปัจจยั เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์วา่ ปมชฺชน ปมาโท หรือ เป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วเิ คราะหว์ า่ ปมชฺชติ เตนาติ ปมาโท ฯ ๖. ตปั ปุริสมาส กบั อพั ยยภี าวสมาส ต่างกนั อยา่ งไร ? ปาปรทิโต (ภิกฺขุ), สสาวกสงฺโฆ (ตถาคโต) เป็นสมาสอะไรบา้ ง จงต้งั วเิ คราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. ต่างกนั อย่างน้ี คือ นามศพั ทม์ ี อ วิภตั ติเป็นตน้ ในท่ีสุด ท่านยอ่ เขา้ ดว้ ยบทเบ้ืองปลาย ชื่อตปั ปุริสสมาส สมาสท่ีมีอุปสัคหรือนิบาตอยหู่ นา้ ช่ืออพั ยยภี าวสมาส ฯ ปาปรหิโต (ภิกฺขุ) เป็ นปัญจมีตปั ปุริสสมาส ต้งั วิเคราะห์ว่า รหิโต ปาปรหิโต (ภิกฺข)ุ สสาวกสงฺโฆ (ตถาคโต) เป็นสหบุพพบทพหุพพิหิสมาส มีฉฏั ฐีตปั ปุริสสมาสเป็น ภายใน มีวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี ฉ. ตปั . ว.ิ สาวกานฎ สงฺโฆ สาวกสงฺโฆ ส. พหุพ. ว.ิ สห สาวกสงฺเฆน โย วตฺตตีติ สสาวกสงฺโฆ (ตถาคโต) ฯ ๗. ณิก ปัจจยั มีในตทั ธิตไหนบา้ ง ? และใช้ต่างกนั อย่างไร ? มณิมย (รถจกฺก), เวรี, โกสลฺล, ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู ? ๗. ณิก ปัจจยั มีในโคตตตทั ธิต และตรตยาทิตทั ธิต ฯ ใชต้ ่างกนั อย่างน้ี คือ ณิก ปัจจยั ในโคตตตตทั ธิตใชแ้ ทนศพั ทไ์ ดเ้ ฉพาะ “อปจฺจ” ศพั ทอ์ ยา่ งเดียว

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๗ ส่วน ณิก ปัจจยั ในตรยาทิตทั ธิต ใชแ้ ทนศพั ทไ์ ดท้ วั่ ไปไม่จากดั ฯ มณิมย (รถจกฺก) ลง มย ปัจจยั ในปกติตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ มณินา ปกต มณิมย (รถจกฺก) ฯ หรือ มณิสฺส วกิ าโร มณิมย (รถจกฺก) ฯ เวรี ลง อี ปัจจยั ในตทสั สตั ถิตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ เวร อสฺส อตฺถีติ เวรี ฯ โกสลฺล ลง ณฺย ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ต้งั วเิ คราะห์วา่ กสุ ลสฺส ภาโว โกสลฺล ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชวั่ โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๘ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ท่ี ๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๙ -------------------------- ๑. อะไรช่ือวา่ อกั ขระ ? และอกั ขระน้นั แปลวา่ อะไร ? อกั ขระที่ใชใ้ นภาษาบาลีมีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ๑. เสียงกด็ ี ตวั หนงั สือกด็ ี ช่ือวา่ อกั ขระ ฯ อกั ขระแปลวา่ ไม่รู้จกั สิ้นอยา่ งหน่ึง ไม่เป็นของแขง็ อยา่ งหน่ึง ฯ อกั ขระท่ีใชใ้ นภาษาบาลี มี ๔๑ ตวั คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๘ ตวั น้ี ชื่อวา่ สระ ฯ ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว ส ห ฬ อ ๓๓ ตวั น้ี ชื่อวา่ พยญั ชนะ ฯ ๒. สนธิกิริโยปกรณ์ มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ชีวิตญฺจิท เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่อ อยา่ งไร ? ๒. สนธิกิริโยปกรณ์มี ๘ อยา่ ง คือ โลโป อาเทโส อาคโม วกิ าโร ปกติ ทีโฆ รสฺส สญฺโญโค ฯ ชีวติ ญฺจทิ ํ เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตดั เป็น ชีวติ -จ-อิท ระหวา่ ง ชีวติ -จ ถา้ พยญั ชนะวรรคอยขู่ า้ งหลงั มีนิคคหิตอยหู่ นา้ ใหแ้ ปลงนิคคหิตเป็น พยญั ชนะที่สุดวรรคได้ คือในที่น้ีแปลงนิคคหิตท่ี ชีวติ เป็น ญ ต่อเป็น ชีวติ ญฺจ ระหว่าง ชีวิตญฺจ-อิท ถา้ สระหนา้ และสระหลงั เป็ นรัสสะมีรูปเสมอกนั ลบสระหนา้ คือ อ ท่ี ชีวติ ญฺจ ต่อเป็น ชีวติ ญฺจิท ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๗๙ ๓.จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. นามศพั ทท์ ้งั ๓ เมื่อนาไปใช้ ตอ้ งประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ? ข. สุขาย,เทวตาย เป็นวภิ ตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? ค. เอกนู วสี ติ กบั เอกนู วสี ติโม ต่างกนั อยา่ งไร ? จ. อญญฺ , ตุมฺห ศพั ท์ เป็นสัพพนามชนิดไหน ? ง. นิบาตน้นั สาหรับใชอ้ ยา่ งไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามน้นั ต่อไปน้ี ก.นามท้งั ๓ น้นั เม่ือนาไปใช้ ตอ้ งประกอบดว้ ยลิงค์ วจนะ วภิ ตั ติ ฯ ข.สุขาย เป็น จตุตถีวิภตั ติ ส่วน เทวตาย เป็นได้ ๕ วิภตั ติ คือ ตติยาวภิ ตั ติ จตุตถีวิภตั ติ ปัญจมีวภิ ตั ติ ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ และสตั ตมีวภิ ตั ติ ค.ต่างกนั อยา่ งน้ีคือ เอกนู วสี ติ เป็น ปกติสังขยา ส่วน เอกนู วสี ติโม เป็น ปรู ณสังขยา ฯ จ. อญญฺ ศพั ท์ เป็นสัพพนามชนิดอนิยมวเิ สสนสัพพนาม ส่วน ตุมฺห ศพั ทเ์ ป็นสพั พนามชนิดปุริสสัพพนาม ฯ ง. นิบาตน้นั สาหรับลงในระหว่างนามศพั ทบ์ า้ ง กิริยาศพั ทบ์ า้ ง บอก อาลปนะ กาล ที่ ปริเฉท อุปไมย ปฏิเสธ ความไดย้ นิ เล่าลือ ความปริกปั ความถาม ความรับ ความเตือน เป็นตน้ ฯ ๔. วิภตั ติอาขยาต เป็นเคร่ืองหมายใหร้ ู้อะไรบา้ ง ? จดั เป็ นก่ีหมวด ? ภินฺทติ กบั ภิชฺชติ แปลวา่ อะไร ? ลงปัจจยั อะไรบา้ ง ? ในธาตุหมวดไหน ? ๔.วภิ ตั ติอาขยาต เป็นเคร่ืองหมายใหร้ ู้ กาล บท วจนะ บุรุษ ฯ จดั เป็น ๘ หมวด ฯ ภนิ ฺทติ แปลวา่ ยอ่ มต่อย,ยอ่ มทาลาย ลง อ ปัจจยั ในหมวด รุธฺ ธาตุ ฯ ภิชฺชติ แปลวา่ ยอ่ มแตก ลง ย ปัจจยั ใน หมวด ทิวฺ ธาตุ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๐ ๕. กิตกน์ ้นั เป็นชื่อของอะไร ? แบ่งเป็นเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? มนาปาทายี และ สมฺปทา ในคาวา่ “สีเลน โภคสมฺปทา” ลงปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงต้งั วิเคราะห์ มาดู ฯ ๕. กิตกน์ ้นั เป็นช่ือของศพั ทท์ ี่ท่านประกอบปัจจยั หมู่หน่ึง ซ่ึงเป็นเคร่ือกาหนดหมาย เน้ือความของนามศพั ท์ และกิริยาศพั ทท์ ่ีต่างๆ กนั กิตกน์ ้นั แบ่งเป็น ๒ อยา่ งคือ เป็นนามศพั ทอ์ ยา่ หน่ึง เป็นกิริยาศพั ทอ์ ยา่ งหน่ึง ฯ มนาปทายี ลง ณี ปัจจัย เป็ นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ต้ังวิเคราะห์ว่า มนาป เทตีติ มนาปทายี หรือเป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตสั สีละ วิ. มนาป เทติ สีเลนาติ มนาปทายี หรือ สมาสรูปตสั สีลสาธนะ ว.ิ มนาป ทาตุ สีลมสฺสาติ มนาปทายี ฯ สมฺปทา ในคาว่า “สีเลน โภคสมฺปทา” ลง อ ปัจจยั เป็น ภาวรูป ภาวสาธ นะ ว.ิ สมฺปชฺชน สมฺปทา ฯ ๖. น บุพพบท กมั มธารยสมาส กบั น บุพพบท พหุพพิหิสมาส ต่างกนั อย่างไร ? สพฺพโรควมิ ุตฺโต (ปุริโส), นิพฺภยา (ชนา) เป็นสมาสอะไร จงต้งั วเิ คราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. ต่างกนั อยา่ งน้ีคือ น บุพพบท กมั มธารยสมาส ใชป้ ฏิเสธนามศพั ท์ ซ่ึงแปลวา่ สิ่งน้ีไม่ใช่ ส่ิงน้นั เช่น อนสฺโส สัตวน์ ้ีไม่ใช่มา้ ส่วน น บุพพบท พหุพพิหิสมาส ใชป้ ฏิเสธคุณศพั ท์ และกิริยาศพั ท์ ซ่ึงแปลวา่ มี-หามิได้ หรือว่า ไม่มี เช่น อปุตฺตโก บุคคลมีบุตรหามิไดห้ รือ บุคคลไม่มีบุตร ฯ สพฺพโรควมิ ุตฺโต (ปรุ ิโส) เป็นปัญจมีตปั ปุริสสมาส มีวเิ สสนบุพพบท กมั มธารยสมาส เป็นภายใน ต้งั วเิ คราะห์ตามลาดบั ดงั น้ี ว.ิ บุพ. ว.ิ สพฺเพ โรคา สพฺพโรคา ปัญจ.ตปั . ว.ิ สพฺพโรเคหิ วนิ ิมุตฺโต สพฺพโรควมิ ุตฺโต (ปุริโส) ฯ นิพฺภยา (ชนา) เป็นปัญจมีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ต้งั วิเคราะห์ว่า นิคฺคต ภย เยหิ เต นิพฺภยา (ชนา) ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๑ ๗. ปัจจยั ในสมุหตทั ธิต ลงแทนศพั ทอ์ ะไรบา้ ง ? สาเร็จแลว้ เป็นลิงคอ์ ะไร ? พาหุสจฺจ, พลวา, ปณฺณรสี, ลงปัจจยั อะไร ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู ฯ ๗. ปัจจยั ในสมุหตทั ธิต ลงแทน สมุห ศพั ท์ เม่ือเป็ นรูปสาเร็จแลว้ ท่ีลง กฺณ และ ณ ปัจจยั เป็นปุงลิงค์ ส่วนที่ลง ตา ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ฯ พาหุสจฺจํ ลง ณฺ ย ปัจจยั ในภาวตทั ธิตมีฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส เป็นท้อง ต้งั วเิ คราะห์ตามลาดบั ดงั น้ี ฉ.ตุล.พหุพ.ว.ิ พหุ สุต ยสฺส โส พหุสฺสุโต ณฺย ปัจจยั ในภาวตทั ธิต ว.ิ พหุสฺสุตฺตสฺส ภาโว พาหุสจฺจ ฯ พลวา ลง วนฺตุ ปัจจยั ในตทสั สตั ถิตทั ธิต ต้งั วเิ คราะหว์ า่ พล อสฺส อตฺถีติ พลวา ฯ ปณฺณรสี ลง อี ปัจจยั ในปูรณตทั ธิต จ้งั วเิ คราะห์วา่ ปณฺณรสนฺน ปรู ณี ปณฺณรสี ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชวั่ โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๒ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบคร้ังท่ี ๒ วนั ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ -------------------- ๑. เอ และ โอ สระ ๒ ตวั น้ี วา่ โดยฐานต่างจากสระอื่นอยา่ งไร ? และเพราะเหตุไร จึงจดั เป็นสงั ยตุ ตสระดว้ ย ? ๑. เอ และ โอ สระท้งั ๒ ตวั น้ี วา่ โดยฐานต่างจากสระอ่ืน ดงั น้ี เอ เกิดใน ๒ ฐาน คือ คอและเพดาน เรียกว่า กณฺฐตาลุโช โอ เกิดใน ๒ ฐาน คือ คอและริมฝีปาก เรียกวา่ กณโฐฏฐฺ โช ฯ เพราะประกอบเสียงสระ ๒ ตวั เป็นเสียงเดียวกนั คือ อ กบั อิ ผสมกนั เอ, อ กบั อุ ผสมกนั เป็น โอ ฉะน้นั จึงจดั เป็นสงั ยตุ ตสระดว้ ย ฯ ๒. ในพยญั ชนะสนธิ สัญโญโค มีวิธีซ้อนกี่อย่าง ? อะไรบา้ ง ? นกฺขมติ จดั เขา้ อยา่ งไหน ฯ อิเธวเมโส เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. ในพยญั ชนะสนธิ สัญโญโค มีวธิ ีซอ้ น ๒ อยา่ ง ฯ ซอ้ นพยญั ชนะที่มีรูปเหมือนกนั อยา่ ง ๑ ซอ้ นพยญั ชนะที่มีรูปไม่เหมือนกนั อยา่ ง ๑ ฯ นกขฺ มติ จดั เขา้ ในวธิ ีซอ้ นพยญั ชนะท่ีมีรูปเสมอกนั ฯ อเิ ธวเมโส เป็นโลปสระสนธิและนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น อิธ – เอว – เอโส ระหว่าง อิธ – เอว ถา้ สระหนา้ และสระหลงั ไม่มีพยญั ชนะคนั่ ในระหว่าง ลบสระ หนา้ คือ อ ที่ อิธ ต่อเป็น อิเธว ระหว่าง อิเธว – เอโส นิคคหิตอย่หู นา้ สระอยเู่ บ้ืองปลาย แปลงนิคคหิตเป็ น ม ต่อเป็น อิเธวเมโส ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๓ ๓. สัพพนามคืออะไร ? แบ่งเป็ นเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? จงบอกคาท่ีขีดเส้นใตใ้ นประโยค ต่อไปน้ีว่าเป็ นสัพพนามชนิดไหน “อิท มยา เวชฺชกมฺม กตฺวา ลทฺธ, ตมุ ฺเห อญญฺ ตฺถ เอวรปู ํ โภชน น ลภสิ ฺสถ, ต ภญุ ชฺ ถ” ? ๓. สัพพนาม คือ ศพั ทส์ าหรับใชแ้ ทนนามนาม ที่ออกชื่อมาแลว้ ขา้ งตน้ เพื่อจะไม่ใหซ้ ้า ๆ ซาก ๆ ซ่ึงไม่เพราะหู ฯ แบ่งเป็น ๒ อยา่ ง ฯ คือ ปุริสสพั พนาม ๑ วเิ สสนสพั พนาม ๑ ฯ ไดต้ อบคาท่ีขีดเส้นใตใ้ นประโยคต่อไปน้ีคือ “อิท มยา เวชฺชกมฺม กตฺวา ลทฺธ , ตุมฺเห อญฺญตฺถ เอวรูปํ โภชน น ลภิสฺสถ, ต ภุญฺชถ” ดงั น้ี อท เป็น วเิ สสนสัพพนาม มยา เป็น ปุริสสัพพนาม ตุมฺเห เป็น ปุริสสพั พนาม ต เป็น วเิ สสนสพั พนาม หรือ ปุริสสพั พนาม ฯ ๔. ในอาขยาต วภิ ตั ติไหน มธั ยมบุรุษมีที่ใชน้ อ้ ย แต่ใชป้ ฐมบุรุษแทนเป็นส่วนมาก ? ๔. ในอาขยาต มี โอ วิภตั ติ มธั ยมบุรุษ ในหมวดหิยตั ตนี และอชั ชตั ตนี เอกวจนะมี ที่ใชน้ อ้ ยใชป้ ฐมบุรุษแทนเป็นส่วนมาก ฯ ๕. ปัจจยั ในนามกิตก์ กบั กิริยากิตก์ เหมือนกนั และต่างกนั อยา่ งไร ฯ ๕. ปัจจยั ในนามกิตก์ กบั กิริยากิตก์ เหมือนกนั และต่างกนั ดงั น้ี เหมือนกนั คือ แบ่งเป็น ๓ พวก ไดแ้ ก่ กิตปัจจยั ๑ กิจจปัจจยั ๑ กิตกิจจปัจจยั ๑ และใชป้ ระกอบกบั ธาตุ เป็นที่ต้งั ท้งั สิ้น ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๔ ต่างกนั คือ ปัจจยั ในนามกิตก์ ทาธาตุที่ประกอบน้ันให้เป็ นสาธนะน้ัน ๆ และใช้ ในปฐมาวิภตั ติและจตุตถีวิภตั ติไดบ้ า้ ง เช่น กรณ ทายโก กาตุ เป็ นตน้ ส่วนปัจจยั ใน กิริยากิตกน์ ้นั ทาธาตุที่ประกอบใหเ้ ป็นกิริยา และเป็นเคร่ืองหมายใหร้ ู้กาลและวาจกได้ เช่น คนฺตฺวา คจฺฉนฺโต นีหริยมาโน กรณีย คนฺตพฺพ เป็น ฯ ๖. สมาส วา่ โดยกิจและวา่ โดยชื่อ มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? สมาส วา่ โดยกิจมี ๒ อยา่ ง คือสามสท่ีท่านลบวภิ ตั ติเสียแลว้ เรียกว่า ลุตฺตสมาโส, สมาสท่ีท่านยงั มิไดล้ บวภิ ตั ติ เรียกวา่ อลุตฺตสมาโส ฯ สมาส ว่าโดยชื่อ มี ๖ อย่าง คือ กมฺมธารโย, ทิคุ, ตปฺปุริโส, ทวนฺทโว, อพฺยยภี าโว, พหุพฺพิหิ ฯ ๗. อะไรเรียกวา่ ตทั ธิต ? โดยสังเขปแบ่งเป็นเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ๗. ปัจจยั หมู่หน่ึงเป็นประโยชน์เก้ือกลู แก่เน้ือความยอ่ สาหรับใชแ้ ทนศพั ทย์ อ่ คาพูดใหส้ ้ัน เรียกง่าย ๆ เหมือนคาวา่ สฺยาเม ชาโต เกิดในสยาม ลงปัจจยั แทน ชาต เอาไวแ้ ต่ สฺยาม เป็น สยฺามิโก เรียกวา่ ตทั ธิต ฯ คือ สามญฺญตทฺธิต, ภาวตทฺธิต, อพฺยยตทฺธิต ฯ โดยสังเขป แบ่งเป็น ๓ อยา่ ง ฯ คือ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๕ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ท่ี ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๐ ----------------------- ๑. คาต่อไปน้ีคือ ปุพฺผ, วงฺโส, สทฺโต, นิคฺขมติ, วุฒฺโฒ ประกอบสังโยคผิด จงแกใ้ ห้ ถกู ตอ้ งตามหลกั ของสงั โยค ? ๑. ไดแ้ กค้ าที่ประกอบสังโยคผดิ ใหถ้ กู ตอ้ งดงั น้ีคือ ปุพฺผ แกถ้ กู เป็น ปุปผฺ วงฺโส แกถ้ ูกเป็น วโส สทฺโต แกถ้ กู เป็น สตฺโต นิคฺขมติ แกถ้ กู เป็น นิกฺขมติ วฒุ ฺโฒ แกถ้ กู เป็น วฑุ ฺโฒ ๒. สนธิคืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่อ อยา่ งไร ? ๒. สนธิคือการต่อศพั ทแ์ ละอกั ขระให้เนื่องกนั ดว้ ยอกั ขระ เพื่อจะย่นอกั ษรให้นอ้ ยลง เป็ น อุปการะในการแต่งฉนั ทแ์ ละทาคาพดู ใหส้ ละสลวย ฯ มี ๓ อยา่ ง ตามความท่ีเป็นประธานก่อน คือ สระสนธิ ต่อสระ ๑ พยญั ชนะสนธิ ต่อพยญั ชนะ ๑ นิคคหิตสนธิ ต่อนิคคหิต ๑ ฯ ตตฺราภริ ติมจิ ฺเฉยฺย เป็นโลปสระสนธิ และอาเทสนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น ตตฺร-อภิรตึ – อิจฺเฉยฺย ระหวา่ ง ตตฺร-อภิรตึ ถา้ สระท้งั ๒ เป็นรัสสะมีรูปเสมอกนั คือเป็น อ หรือเป็น อิ หรือ เป็น อุ ท้งั ๒ ตวั เม่ือลบตวั ใดตวั หน่ึงแลว้ ตอ้ งทีฆะสระท่ีไม่ไดล้ บ ต่อเป็น ตตฺราภิรตึ ระหว่าง ตตฺราภิรตึ – อิจฺเฉยฺย ถา้ นิคคหิตอย่หู นา้ สระอยหู่ ลงั แปลงนิคคหิตเป็ น ม ต่อเป็น ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๖ ๓.จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก.อะไรเรียกวา่ การันต์ ? ข.ภิกฺขโว, โจเร เป็นวภิ ตั ติอะไรบา้ ง ? ค.ต้งั แต่ เอกนู สติ จนถึง อฏฺฐนวตุ ิ เป็นวจนะและลิงคอ์ ะไร ? จ.เอกจเจ,เอต ศพั ท์ เป็นวเิ สสนสัพพนามชนิดไหน ? ง.ปัจจยั ในอพั ยยศพั ทน์ ้นั ลงที่ไหน เป็นเครื่องหมายของอะไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามต่อไปน้ีคือ ก. สระที่สุดแห่งศพั ทเ์ รียกวา่ การันต์ ฯ ข. ภิกฺขโว เป็นได้ ๓ วภิ ตั ติ คือ ปฐมาวภิ ตั ติ ทุติยาวภิ ตั ติ และ อาลปนวภิ ตั ติ โจเร เป็นได้ ๒ วภิ ตั ติคือ ทุติยาวภิ ตั ติ และสตั ตมีวภิ ตั ติ ฯ ค. ต้งั แต่ เอกนู สติ จนถึง อฏฺฐนวตุ ิ เป็น เอกวจนะและอิตถีลิงคอ์ ยา่ งเดียว ฯ จ.เอกจฺจ ศพั ท์ เป็นอนิยมวเิ สสนสพั พนาม เอต ศพั ท์ เป็น นิยมวเิ สสนสัพพนาม ฯ ง.ปัจจยั ในอพั ยยศพั ท์น้นั ลงทา้ ยนามศพั ท์เป็ นเคร่ืองหมายวิภตั ติบา้ ง ลงทา้ ยธาตุ เป็นเครื่องหมายกิริยาบา้ ง ฯ ๔. การแยกวิภตั ติอาขยาตออกเป็ น ปรัสสบท และอตั ตโนบท เพ่ือประสงค์อะไร ? อานยสึ ุ และ วจุ ฺจเร ในคาวา่ “ เทวธมฺมาติ วจุ ฺจเร” ประกอบดว้ ยเครื่องปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. เพื่อประสงคจ์ ะไดก้ าหนดรู้วาจก เพราะปรัสสบท เป็นเครื่องหมายใหร้ ู้กิริยาท่ีเป็น กตั ตุวาจก ส่วนอตั ตโนบทเป็นเครื่องหมายใหร้ ู้กิริยาที่เป็นกมั มวาจกและภาววาจก แต่จะ นิยมลงเป็ นแน่เลยทีเดียวกก็ไม่ได้ บางคราวปรัสสบท เป็ นกมั มวาจกและภาววาจกก็มี เหมือนคาบาลีวา่ สทิโส เม น วิชฺชติ คนเช่นกบั ดว้ ยเรา (อนั ใครๆยอ่ มหามิได)้ บางคราว อตั ตโนบทเป็ นกตั ตุวาจกกม็ ี เหมือนคาบาลีวา่ ปิ ยโต ชายเต โสโก ความโสกย่อมเกิดแต่ ของอนั เป็นที่รัก เป็นตน้ ฯ อานยสึ ุ ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุง คือ อา บทหนา้ นี ธาตุ ในความนาไป ลง อ ปัจจยั อุ อชั ชตั ตนีวภิ ตั ติ แปลง อี ที่ นี ธาตุ เป็น อย แปลง อุ เป็น อึสุ สาเร็จเป็น อานยสึ ุ ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๗ วุจฺจเร ประกอบด้วยเครื่องปรุง คือ วจฺ ธาตุ ในความกล่าว ลง ย ปัจจยั ลง อนฺติ วิภตั ติหมวดวตั ตมานา แปลง ว เป็น วุ หรือ เอา อ ที่ ว เป็น อุ แปลง ย กบั จ ที่สุดธาตุ เป็น จฺจ แปลง อนฺติ เป็น เร สาเร็จเป็น วจุ ฺจเร ฯ ๕. สาธนะคืออะไร ? อฏุ ฺฐาน ในคาวา่ “ อุฏฺฐานกาเล” และ “อฏุ ฺฐานวิรยิ วนฺตสฺส” ลง ปัจจยั อะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ฯ ๕. สาธนะ คือ ศพั ทท์ ่ีท่านใหส้ าเร็จมาจากรูปวเิ คราะห์ ฯ อุฏฺฐาน ในคาว่า อุฏฺฐานกาเล ลง ยุ ปัจจยั เป็ นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า อฏุ ฺฐาติ เอตถฺ าติ อฏุ ฐฺ าโน (กาโล) ฯ อุฏฐฺ าน ในคาวา่ อุฏฐฺ านวริ ยิ นฺตสฺส ลง ยุ ปัจจยั เป็นกตั ตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วเิ คราะห์ วา่ อฏุ ฐฺ าติ เตนาติ อฏฺฐาน (วริ ยิ ) ฯ ๖. สมาสเช่นไร ชื่อว่า ตปั ปุริสสมาส ? และตปั ปุริสสมาสน้นั มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? ตโยชนาวตฺถุ, ปูริตปารมี (สตฺโต ) เป็นสมาสอะไรบา้ ง ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าตามลาดบั ดู ฯ ๖. นามศพั ทม์ ี อ วภิ ตั ติเป็นตน้ ในท่ีสุดท่านยอ่ เขา้ ดว้ ยบทเบ้ืองปลาย ชื่อวา่ ตปั ปุริสสมาส ฯ มี ๖ อย่างคือ ทุติยาตปั ปุริสสมาส ตติยาตปั ปุริสสมาส จตุตถีตปั ปุริสสมาส ปัญจมีตปั ปุริสสมาส ฉฏฺฐีตปั ปุริสสมาส สตั ตมีตปั ปุริสสมาส ฯ ตโยชโนวตฺถุ เป็ นฉัฏฐีตปั ปุริสสมาส มีอสมาหารทิคุสมาส เป็ นทอ้ ง ต้งั วิเคราะห์ ตามลาดบั ดงั น้ี อ.ทิคุ. ว.ิ ตโย ชนา ตโยชนา ฉ.ตปั . ว.ิ ตโยชนาน วตฺถุ ตโยชนวตฺถุ ฯ ปูริตปารมี (สตฺโต) เป็นตติยาพหุพพิหิสมาส ต้งั วเิ คราะห์วา่ ปูริตา ปารมี เยน โส ปรู ิตปารมี (สตฺโต) ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๘ ๗. ปรู ณตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? เตปิ ฏกา (ภิกฺข)ู จตุทฺธา, ยสวา ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? ๗. ปรู ณตทั ธิตมีปัจจยั ๕ ตวั คือ ฯ ติย ถ ฐ ม อี ฯ เตปิ ฏกา (ภกิ ขฺ ู) ลง ณ ปัจจยั ในราคาทิตทั ธิต ฯ จตุทฺธา ลง ธา ปัจจยั ในวภิ าคตทั ธิต ฯ ยสวา ลง วนฺตุ ปัจจยั ในตทสั สัตถิตทั ธิต ฯ ------------------------ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๘๙ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบคร้ังท่ี ๒ วนั ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ --------------------- ๑. พยญั ชนะในบาลีภาษา มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? อาศยั อะไรจึงออกเสียงได้ ? ๑. พยญั ชนะในบาลีภาษา มี ๓๓ ตวั ฯ คือ ก ข ค ฆง จ ฉช ฌญ ฏฐ ฑฒณ ปผ พภ ม ย ร ลว สหฬอฯ อาศยั สระ จึงออกเสียงได้ ฯ ๒. สนธิ มีอุปการะแก่บาลีไวากรณ์อยา่ งไร ? สาลมิโวตฺถต เป็นสนธิอะไร ? ตดั และ ต่ออยา่ งไร ? ๒. สนธิ มีอุปการะแก่บาลีไวยากรณ์อย่างน้ี คือ ต่อศพั ท์และอกั ขระให้เนื่องถึงกนั ดว้ ย อกั ขระ เพ่อื ยน่ อกั ขระใหน้ อ้ ยลง เป็นอุปการะในการแต่งฉนั ทแ์ ละใหค้ าพดู สระสรวย ฯ สาลมิโวตฺถตํ เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิตดั เป็ น สาล - อิว – โอตฺถต ระหว่าง สาล – อิว ถา้ สระอยหู่ ลงั นิคคหิตอยหู่ นา้ แปลงนิคคหิตเป็น ม ต่อเป็น สาลมิว ระหวา่ ง สาลมิว - โอตฺถต สระหนา้ เป็นรัสสะ สระหลงั อยหู่ นา้ พยญั ชนะสังโยค บา้ ง เป็นทีฆะบา้ ง ใหล้ บสระหนา้ คือ ลบ อ ในที่สุดแห่ง สาลมิว ต่อเป็ น สาลมิโวตฺถต ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๐ ๓. สังขยาคืออะไร ? มีก่ีชนิด ? อะไรบา้ ง ? ต้งั แต่ไหนถึงไหน เป็ นนามอะไร ? สังขยานาม กบั สงั ขยาคุณ ใชต้ ่างกนั อยา่ งไร ? ๓. สงั ขยา คือ ศพั ทท์ ี่เป็นเครื่องกาหนดนบั นามนาม ฯ มี ๒ ชนิด ฯ คือ ปกติสังขยาอยา่ ง ๑ ปรู ณสังขยาอยา่ ง ๑ ฯ ปกติสังขยา ต้งั แต่ เอก ถึง จตุ เป็ นสัพพนาม ต้งั แต่ ปญฺจ ถึง อฏฺฐนวตุ ิ เป็นคุณนาม ต้งั แต่ เอกนู สต ข้ึนไป เป็นนามนาม ส่วนปูรณสังขยา เป็นคุณนามแท้ ฯ ใชต้ ่างกนั อย่างน้ี คือ สังขยานาม ใช้เช่นเดียวกบั นามนาม เมื่อใชน้ บั จานวนนาม นามบทใด ใหเ้ รียงไวห้ ลงั นามนามบทน้นั ส่วนสังขยาคุณน้นั ใช่เช่นเดียวกบั คุณนาม คือ เม่ือใชน้ บั นามนาม บทใด ใหเ้ รียงไว้ หนา้ นามนามบทน้นั ฯ ๔. วาจกคืออะไร ? ท่านจดั ไวเ้ ท่าไร ? อะไรบา้ ง ? วิธีจะจาวาจกไดแ้ ม่นยาน้นั ตอ้ ง อาศยั อะไร ? ๔. วาจกคือกิริยาศพั ทท์ ่ีกล่าวบทที่เป็นประธานของกิริยา ฯ ท่านจดั ไว้ ๕ อยา่ ง ฯ คือ กตั ตุวาจก ๑ กมั มวาจก ๑ ภาววาจก ๑ เหตุกตั ตุวาจก ๑ เหตุกมั มวาจก ๑ ฯ วธิ ีท่ีจะกาหนดไดแ้ ม่นยา ตอ้ งอาศยั ปัจจยั ที่ประกอบ ฯ ๕. ปัจจยั ที่สาหรับประกอบกิริยากิตก์ แบ่งเป็นกี่หมวด ? แต่ละหมวดมีปัจจยั อะไรบา้ ง ? ปัจจยั ไหนบอกกาลอะไร ฯ ๕. ปัจจยั ท่ีกาหนดสาหรับประกอบกบั กิริยากิตก์ แบ่งออกเป็น ๓ หมวด ฯ แต่ละหมวด มีปัจจยั ดงั น้ี กิตปัจจยั มีปัจจยั ๓ ตวั คือ อนฺต ตวนฺตุ ตาวี กิจจปัจจยั มีปัจจยั ๒ ตวั คือ อนีย ตพฺพ กิตกิจจปัจจยั มีปัจจยั ๕ ตวั คือ มาน ต ตูน ตฺวา ตฺวาน ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๑ ปัจจยั ท้งั ๓ หมวดน้นั บอกกาล ดงั น้ี อนฺต มาน ปัจจยั บอกปัจจุบนั กาล ตวนฺตุ ตาวี ต ตนู ตฺวา ตฺวาน บอกอดีตกาล อนีย ตพฺพ ปัจจยั บอกความจาเป็น ฯ ๖. สมาสเช่นไร ช่ือว่าทวนั ทวสมาส ? มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (ภควา) เป็นสมาสอะไรบา้ ง จงต้งั วเิ คราะห์มาตามลาดบั ? ๖. สมาสที่มีนามนามต้งั แต่ ๒ ศพั ทข์ ้ึนไป ท่านย่อเขา้ เป็ นบทเดียวกนั ช่ือว่าทวนั ทว สมาส ฯ มี ๒ อยา่ ง ฯ คือ สมาหารทวนั ทวสมาส ๑ อสมาหารทวนั ทวสมาส ๑ ฯ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (ภควา) เป็นตติยาตปั ปุริสสมาส มีสมาหารทวนั ทวสมาส เป็นภายใน ต้งั วเิ คราะห์ตามลาดบั ดงั น้ี ส.ทวนั . ว.ิ วชิ ฺชา จ จรณ จ วชิ ฺชาจรณ ต.ตปั . ว.ิ วชิ ฺชาจรณน สมฺปนฺโน วชิ ฺชาจรณสมฺปนฺโน (ภควา) ฯ ๗. ภาวตทั ธิต มีปัจจยั เท่าไร ? อะไรบา้ ง ? มทฺทว, ปญฺจก ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิต ไหน ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ฯ ๗. ภาวตทั ธิต มีปัจจยั ๖ ตวั ฯ คือ ตฺต ณฺย ตฺตน ตา ณ กณฺ ฯ มทฺทวํ ลง ณ ปัจจยั ในภาวตทั ธิต วเิ คราะหว์ า่ มุทุโน ภาโว มทฺทว ฯ ปญฺจกํ ลง ก ปัจจยั ในสังขยาตทั ธิต วเิ คราะห์ว่า ปญฺจ ปริมาณานิ อสฺสาติ ปญฺจก ฯ ใหเ้ วลา ๓ ชวั่ โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๒ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหาและเฉลย บาลไี วยากรณ์ สอบวนั ที่ ๔ มนี าคม ๒๕๕๑ --------------------- ๑. ชิวฺหามชฺฌ - ท่ามกลางลิ้น เป็ นกรณ์ของอกั ขระอะไรบา้ ง ? และอกั ขระเหล่าน้นั เกิดในฐานไหน ? เรียกวา่ อะไร ? ๑. ชิวฺหามชฺฌ - ท่ามกลางลิ้น เป็นกรณ์ของอกั ขระ ๘ ตวั คือ อิ อิ , จ ฉ ช ฌ ญ ย ฯ และอกั ขระเหล่าน้นั เกิดท่ีเพดาน ฯ เรียกวา่ ตาลุชา ฯ ๒. อาเทสสระสนธิ ในท่ีเช่นไร จึงแปลงสระเบ้ืองหน้าได้ ? จงตอบพร้อมยกตวั อย่าง ประกอบ ? เอตมฺมงฺคลมุตฺตม เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. อาเทาสระสนธิ แปลงสระเบ้ืองหนา้ ไดใ้ นที่เช่นน้ี คือ ถา้ อิ เอ หรือ โอ อยหู่ นา้ มีสระอยเู่ บ้ืองหลงั แปลง อิ ตวั หนา้ เป็น ย ถา้ พยญั ชนะซอ้ นกนั ๓ ตวั ลบพยญั ชนะ ที่มีรูปเสมอกนั เสียตวั หน่ึง อุ. ปฏิสณฺ ฐารวุตฺติ - อสฺส เป็ น ปฏิสณฺ ฐารวุตฺยสฺส, อคฺคิ – อาคาร เป็น อคฺยาคาร , เอา เอ เป็น ย อุ. วา่ เต - อสฺส เป็น ตฺยสฺส , เม – อย เป็น มฺยาย, เต - อห เป็น ตฺยาห, เอา โอ เป็ น ว อุ. ว่า อถโข - อสฺส เป็ น อถขฺวสฺส เอา อุ เป็น ว อุ. วา่ พหุ – อาพาโธ เป็น พหฺวาพาโธ, จกฺขุ - อาปาถ เป็น จกฺขฺวาปาถ ฯ เอตมฺมงฺคลมตุ ฺตมํ เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น เอต - มงฺคล – อุตฺตม ระหวา่ ง เอต - มงฺคล ถา้ พยญั ชนะอย่หู ลงั นิคคหิตอยหู้ นา้ ใหแ้ ปลงนิคคหิตเป็น พยญั ชนะท่ีสุดวรรคได้ คือ แปลง นิคคหิตท่ี เอต เป็น ม ต่อเป็น เอตมฺมงฺคล ระหว่าง เอตฒมงฺคล - อุตฺตม นิคคหิตอยหู่ นา้ ถา้ สระอยเู่ บ้ืองปลาย แปลงนิคคหิต เป็น ม และ ท ในที่น้ีแปลงนิคคหิตที่ เอตตมฺมงฺคล เป็น ม ต่อเป็น เอตมฺมงฺคลมุตฺตม ฯ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๓ ๓. จงตอบคาถามต่อไปน้ี ก. คุณนามเช่นไร จดั เป็นอติวเิ สส ? ข. ภควโต มีวธิ ีทาตวั อยา่ งไร ? ค. ปรู ณสังขยา มีวธิ ีใชอ้ ยา่ งไร ? ฆ. ต ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนิดไหน ? ง. ทานิ ปัจจยั ในอพั ยยศพั ท์ เป็นเครื่องหมายอะไร ? ๓. ไดต้ อบคถามต่อไปน้ี คือ ก. คุณนามท่ีแสดงความดีหรือชวั่ มากที่สุดหรือนอ้ ยท่ีสุด เหมือนคาว่า ปณฺ ฑิตตโม เป็นบณั ฑิตท่ีสุด ปาปตโม เป็นบาปที่สุด จดั เป็น อติวเิ สส ฯ ข. ภควโต ทาตวั อยา่ งน้ี คือศพั ทเ์ ดิมเป็น ภควนฺตุ เอา นฺตุ แห่ง วนฺตุ ปัจจยั กบั ส จตุตถีและฉฏั ฐีวภิ ตั ติเป็น โต สาเร็จณูปเป็น ภควโต ฯ ค. ปรู ณสงั ขยา มีวธิ ีใชด้ งั น้ี คือ สาหรับนบั นามนามท่ีเตม็ ในท่ีน้นั ๆ คือ นบั เป็น ช้ัน ๆ เป็ นตน้ ว่า ท่ีหน่ึง ท่ีสอง ที่สาม ท่ีสี่ ท่ีห้า เหมือนคาพูดในภาษาของเราว่า บุตรชายท่ี ๑ ของผูม้ ีชื่อไปเรียนหนังสือที่สานักครูท่ี ๒ พอถึงปี ที่ ๓ ก็สอลไล่ได้ ประโยคท่ี ๔ ยงั ไม่ถึงช้นั ที่ ๕ เป็นตน้ ฯ ฆ. ต ศพั ท์ เป็นปุริสสพั พนาม ประถมบุรุษ และเป็นนิยมวเิ สสนสพั พนาม ฯ ง. ทานิ ปัจจยั ในอพั ยยศพั ท์ เป็นเคร่ืองหมายสัตตมีวภิ ตั ติลงในกาล ฯ ๔. สกมั มธาตุ กบั อกมั มธาตุ ใชใ้ นวาจกอะไรไดบ้ า้ ง ฯ ภิทฺ ธาตุ และ มุจฺ ธาตุ เป็น สกมั มธาตุ หรือ เป็นอกมั มธาตุ จงอธิบาย ฯ ๔. สกมั มธาตุ ใชไ้ ดใ้ น ๔ วาจก คือ กตั ตุวาจก กมั มวาจก เหตุกตั ตุวาจก และเหตุ กมั มวาจก อกมั มธาตุ ใชไ้ ดใ้ น ๓ วาจก คือ กตั ตุวาจก ภาววาจก และเหตุกตั ตุ วาจก ฯ ภิทฺ ธาตุ และ มุจฺ ธาตุ เป็นไดท้ ้งั สกมั มธาตุ ท้งั อกมั มธาตุ

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๔ ภิทฺ ธาตุ ถา้ ลงในหมวด รุธฺ ธาตุ เป็นสกมั มธาตุ เรียกหากรรม แปลว่า ต่อย หรือ ทาลาย อุ. สูโท ภาชน ภินฺทติ ถา้ ลงในหมวด ทิวฺ ธาตุ เป็ นอกมั มธาตุ ไม่เรียกหา กรรม แปลวา่ แตก อุ. ภาชน ภิชฺชติ มุจฺ ธาตุ ถา้ ลงในหมวด รุธฺ ธาตุ เป็ นสกมั มธาตุ เรียกหากรรม แปลว่า ปล่อย หรือวา่ ง อุ. โคปาโล โคณ มุญฺจติ ถา้ ลงในหมวด ทิวฺ ธาตุ เป็นอกมั มธาตุ ไม่เรียกหา กรรม แปลวา่ หลุด หรือพน้ อุ. โคโณ มุจฺจติ ฯ ๕. กตั ตุสาธนะ ท่านบญั ญให้แปลว่าอย่างไร ฯ จงตอบพร้อมยกตวั อย่างรูปวิเคราะห์ ประกอบ ? ทุทฺทโม (อตฺตา), มรณ ลงปัจจยั อะไร ฯ เป็นรูปและสาธนะอะไร จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๕. กตั ตุสาธนะ ท่านบญั ญตั ใหแ้ ปลว่า “ผ”ู้ อุ. กมุ ฺภ กโรตีติ กุมฺโภกาโร ผทู้ าซ่ึงหมอ้ , เทตีติ ทายโก ผูใ้ ห,้ ถา้ ลงในอรรถคือตสั สีละ แปลว่า “ผู้ - โดยปกติ” อุ. ธมฺม วทติ สีเลนาติ ธมฺมวาที ผกู้ ล่าวซ่ึงธรรมโดยปกติ ปาป กโรติ สีเลนาติ ปาปการี ผทู้ าซ่ึงบาป โดยปกติ, ถา้ เป็นสมาสรูปตสั สีลสาธนะ แปลว่า “ผมู้ ีอนั – เป็นปกติ” อุ. ธมฺม จริตุ สีลมสฺสาติ ธมฺมจารี ผูม้ ีอนั ประพฤติ ซ่ึงธรรมเป็ นแกติ ปาป กาตุ สีลมสฺสาติ ปาปการี ผมู้ ีอนั ทาซ่ึงบาปเป็นปกติ ฯ ทุทฺทโม (อตฺตา) ลง ข ปัจจยั เป็ นกมั มรูป กมั มสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า ทุกฺเขน ทมิยเตติ ทุทฺทโม (อตฺตา) ฯ มรณํ ลง ยุ ปัจจยั เป็ นภาวรูป ภาวสาธนะ ต้งั วิเคราะห์ว่า มรณ มรณ หรือ มรยเต มรณ ฯ ๖. อะไรช่ือว่าทิคุสมาส ? ทิคุสมาส กบั วิเสสนบุพพบท กมั มธารยสมาส ต่างกนั อยา่ งไร ? อนฺโตเคหปฺปเวสน เป็นสมาสอะไรบา้ ง จงต้งั วเิ คราะห์มาตามลาดบั ? ๖. กมั มธารยสมาสมีสงั ขยาอยขู่ า้ งหนา้ ช่ือวา่ ทิคุสมาส ฯ ต่างกนั อยา่ งน้ี คือ ทิคุสมาส เป็นสมาสที่มีสังขยาอยขู่ า้ งหนา้ บทประธานอยหู่ ลงั อุ. ตโย โลกา = ติโลก ปญฺจ อินฺทฺริยานิ = ปญฺจินฺทฺริย เป็นตน้

ปั ญ ห า - เ ฉ ล ย วิ ช า บ า ลี ไ ว ย า ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ ข นฺ ติ ส ร โ ณ ภิ กฺ ขุ | ๙๕ ส่วนวเิ สสนบุพพบท กมั มธารยสมาส เป็นสมาสที่มีบทวเิ สสนอยตู่ น้ บอประธาน อยขู่ า้ งหลงั อุ. มหนฺโต ปุริโส = มหาปุริโส นีล อุปปฺ ล = นีลุปฺปล เป็นตน้ ฯ อนฺโตเคหปฺปเวสนํ เป็นฉฏั ฐีตปั ปุริสสมาส มีนิปาตปุพพกะ อพั ยยภี าวสมาส เป็น ภายใน ต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี นิปาต. อพั ยย.ี ว.ิ เคหสฺส อนฺโต อนฺโตเคห ฉ.ตปั ว.ิ อนฺโตเคหสฺส ปเสสน อนฺโตเคหปฺปเวสน ฯ ๗. ตา ปัจจยั มีในตทั ธิตไหนบา้ ง ? และใชต้ ่างกนั อย่างไร ? ทุกฺขี (ชโน), ปาสาทิก (รูป), ทฺวาทสโม (วคฺโค) ลงปัจจยั อะไร ? ในตทั ธิตไหน ? จงต้งั วเิ คราะห์มาดู ? ๗. ตา ปัจจยั มีใน ๒ ตทั ธิต คือ สมุหตทั ธิต และภาวตทั ธิต ฯ และใชต้ ่างกนั อยา่ งน้ี คือ ในสมุหตทั ธิต ใชแ้ ทน สมุห ศัพท์ แปลว่า ประชุม อุ. สหายาน สมุโห สหายตา ประชุมแห่งสหาย ท. ชื่อวา่ สหายตา ประชุมแห่งสหาย ส่วนในภาวตทั ธิต ใชแ้ ทน ภาว ศพั ท์ แปลว่า ความเป็ น อุ. สหายสฺส ภาโว สหายตา ความเป็นแห่งสหาย ชื่อวา่ สหายตา ความเป็นแห่งสหาย ฯ ทุกฺขี (ชโน) ลง อี ปัจจยั ในตทสั สัตถิตทั ธิต ต้งั วิเคราะห์ว่า ทุกฺข อสฺส อตฺถีติ ทุกฺขี (ชโน) ปาสาทกิ ํ (รูปํ ) ลง ณิก ปัจจยั ในตรตยาทิตทั ธิต ต้งั วิเคราะห์วา่ ปสาท อาหรตีติ ปาสาทิก (รูป) ทฺวาทสโม (วคฺโค) ลง ม ปัจจยั ในปูรณตทั ธิต ต้งั วิเคราะห์ว่า ทฺวาทสนฺน ปูรโณ ทฺวาทสโม (วคฺโค) ฯ ใหเ้ วลา ๓ ชว่ั โมง พระเทพปริยตั ิมุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้