3๓3๒1๗ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ เรยี กวา่ เตวาจิกาญัตติ เมอื ตงั ญตั ตอิ ยา่ งนีตอ้ งปวารณา ๓ หน จะลด ไมค่ วร ๒. ถาปวารณา ๒ หน พึงตั้งญัตติเหมือนกันนั้น แตเปล่ียนคําลงทายวา “สงฺโฆ เทฺว วาจิกํ ปวาเรยฺย.” แปลวา “สงฆพึงปวารณา ๒ หน” อยางน้ีเรียกวา เทววาจิกาญัตติ จะปวารณา ๒ หน หรือมากกวานนั้ ได แตจะลดไมควร ๓. ถาจะปวารณาหนเดียว พึงตั้งญัตติลงทายวา “สงฺโฆ เอกวาจิกํ ปวาเรยฺย.” แปลวา “สงฆพึงปวารณาหนเดียว” อยางน้ีเรียกวา เอกวาจิกาญัตติ จะปวารณาหนเดียว หรือ มากกวา น้ันได แตผูมพี รรษาเทากัน จะปวารณาพรอ มกนั ไมควร ๔. ถาจัดภิกษุมีพรรษาเทากันใหปวารณาพรอมกัน พึงต้ังญัตติลงทายวา “สงฺโฆ สมานวสสฺ ิกํ ปวาเรยฺย.” แปลวา “สงฆพึงปวารณามีพรรษาเทากัน” อยางนี้เรียกวา สมาน- วสั สิกาญตั ติ ภกิ ษมุ ีพรรษาเทากันปวารณาพรอ มกนั ๓ หน ๒ หน หรอื หนเดียวไดทัง้ นน้ั ๕. ถาจะไมระบุประการ พึงตั้งครอบท่ัวไปทั้งต้ังญัตติ ลงทายวา “สงฺโฆ ปวาเรยฺย.” แปลวา “สงฆพึงปวารณา” อยางนี้เรียกวา สัพพสังคาหิกาญัตติ จะปวารณาก่ีหน ไดทั้งน้ัน แตหา มภิกษุผมู ีพรรษาเทากันปวารณาพรอ มกัน อันตราย ๑๐ อยาง โดยท่ีสุดแมทายกมาทําบุญหรือฟงพระธรรมเทศนาอยูจนสวาง ทา นใหถ อื เปนเหตุขดั ของได คาํ ปวารณาของภกิ ษุผูเปน เถระ วา ดังน้ี “สงฺฆํ อาวุโส ปวาเรมิ, ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมปฺ ํ อปุ าทาย, ปสสฺ นฺโต ปฏิกฺกริสสฺ ามิ” แปลวา “เธอ ฉันปวารณาตอสงฆ ดวยไดเห็นก็ดี ดวยไดฟงก็ดี ดวยสงสัยก็ดี ขอทานท้ังหลายจงอาศัยความกรุณา วากลาวฉัน ฉันเห็นอยูจักทํา คนื ” ภิกษุอ่ืนพึงปวารณาตามลําดับพรรษาทีละรูป เวนไวแตคราวใหผูมีพรรษาเทากัน ปวารณา พรอ มกัน โดยเปล่ยี นใชคําวา “ภนฺเต” แทนคําวา “อาวุโส” ในคราวนําปวารณาของภิกษุอ่ืนมา ผูนําควรจะปวารณาแทนภิกษุน้ัน เมื่อถึงลําดับเธอ (ตัวอยางคาํ ปวารณาพึงดูในวนิ ยั มขุ เลม ๒) เหตุยกข้ึนอางในการเลื่อนปวารณามี ๒ คือ (๑) มีภิกษุจะเขาสมทบดวย เพื่อหมาย จะคดั คา นผูน ั้นผูนี้ เพ่ือใหเกิดอธิกรณข้ึน (๒) อยูดวยกันเปนผาสุก ปวารณาแลวตางจะจาริกไป ทอี่ ืน่ เสยี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 331
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 332 332
3๓3๒3๙ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ กณั ฑท่ี ๑๘ อปุ ปถกิริยา การกระทาํ นอกลูน อกทาง คอื การประพฤตินอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกวา อุปปถกิริยา ทานจาํ แนกใหศ ึกษา ๓ ประเภท คอื เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๑. อนาจาร คือ ความประพฤติไมด ไี มงามและการเลน มปี ระการตา ง ๆ ๒. ปาปสมาจาร คือ ความประพฤตเิ ลวทราม ๓. อเนสนา คอื การเลย้ี งชพี ไมสมควร อนาจาร อนาจาร คือ ความประพฤติไมดีไมงาม และการละเลนตางๆ แบงเปน ๓ ประเภท คือ (๑) การเลนอยา งตา งๆ (๒) การรอ ยดอกไม (๓) การเรยี นเดรจั ฉานวิชา (หรือดิรัจฉานวชิ า) การเลนอยางตาง ๆ มี ๕ ประเภท คือ (๑) การเลนอยางเด็ก เชน เลนเรือนเล็กๆ รถเล็กๆ เรือเล็กๆ ผิวปากเลน (๒) การเลนคะนอง เชน เลนปลํ้ากัน ชกกัน (๓) การเลนพนัน 333
3๓๓3๐4 คมู ือการศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 เชน หมากรุก สกา เปนตน (๔) การเลนปูยีป่ ูยํา คือทําความเสียหายใหแกผูอื่น เชน จุดไฟเผาปาเลน (๕) การเลนอึงคะนงึ เชน การสวดการแสดงธรรมดว ยเสียงขับยดื ยาว การเทศนต ลกคะนอง เมื่อภิกษเุ ลนอยา งตา ง ๆ ท้งั ๕ ประเภทนี้ ทานปรับดว ยอาบตั ิทกุ กฏ การรอยดอกไม (บุปผวิกัติ) มี ๖ ชนิด คือ (๑) คนฺถิมํ รอยตรึง ไดแก ดอกไม ที่เรียกวาระเบียบ ใชดอกมะลิเปนตนเสียบเขาในระหวางใบตองที่เจียนไวแลวตรึงใหติดกัน โดยรอบ แลว รอยผสมกับอยา งอนื่ เปนพวง (๒) โคปฺผมิ ํ รอ ยควบหรือรอยคมุ ไดแก ดอกไมท่ีรอย เปนสาย ๆ แลวตามหรือคุมเขาเปนพวง (๓) เวธิมํ รอยแทงหรือรอยเสียบ ไดแก ดอกไมท่ีรอย สวมดอก (๔) เวถมิ ํ รอยพันหรือรอยผูก ไดแก ชอดอกไม และกลุมดอกไมที่เขาเอาไมเสียบกาน ดอกไมแลว พนั ดว ยดา ยหรือผูกทําขึ้น (๕) ปรุ ิมํ รอยวง ไดแก ดอกไมท่รี อยสวมดอกหรือรอยแทง กานเปนสายแลวผูกเขาเปนวง ท่ีเรียกวาพวงมาลัย (๖) วายิมํ รอยกรอง ไดแกดอกไมที่รอยถัก เปน ตาขา ย การรอยดอกไมทั้ง ๖ ชนิดน้ี ทานหามทง้ั นนั้ และปรับเปนอาบตั ิทกุ กฏ เดรัจฉานวิชา หมายถึง วิชาความรูท่ีขวางทางไปสูสวรรคและนิพพาน หรือวิชาที่ไมอาจ นําไปสูการบรรลุมรรคผลนิพพานได วิชานี้อาจจะยังผลใหสําเร็จไดบาง เพราะอํานาจจิตที่เปน สมาธิ แตก็เปนไปในทางที่ช่ัวที่ทุจริต เปนบอเกิดแหงอกุศลกรรม มีโลภ โกรธ หลงเปนตน เปนเหตุ เชน วิชาความรูในการเปนหมอดูทํานายตาง ๆ อันไมกอใหเกิดประโยชนท้ังแกตนและ ผอู ่นื เพราะเมื่อเรยี นหรือใชปฏบิ ัติ ตนเองก็หลงเพลนิ หมกมุนท้ังทําใหผอู ืน่ ลมุ หลงงมงาย เปนอัน ปฏิเสธกรรม ไมเปนอันปฏิบัติกิจหนาท่ีและประกอบการตามเหตุผล ทานจําแนกไว ๕ ประเภท คือ (๑) ความรูในการทําเสนหเพื่อใหชายน้ันหญิงน้ีรักกัน (๒) ความรูในการทําใหผูน้ันผูนี้ถึง ความวิบัติ (๓) ความรูในทางใชภูตผีอิทธิฤทธ์ิเดชตาง ๆ (๔) ความรูในทางทํานายทายทัก เชน บอกใบใหเลขหวย (๕) ความรูในอันจะนําใหหลงงมงาย เชน หุงปรอทใหมีอิทธิฤทธิ์ หุงเงินหรือ ทองแดงใหเปน ทองคําท่ีเรียกวา เลน แรแปรธาตุ ความรูเหลาน้ี ที่ทานเรียกวาเดรัฐฉานวิชา เพราะเปนความรูท่ีเขาสงสัยวาลวงหรือหลง ไมใชความรูจริงจัง ผูบอกเปนผูลวง ผูเรียนก็เปนผูหัดเพื่อจะลวงหรือเปนผูหลงงมงาย ดังนั้น พระพทุ ธองคจงึ ทรงหา มภิกษุเกี่ยวของท้งั การเรยี นการสอน ปาปสมาจาร การประพฤติมิชอบ และไมสมควรตอคฤหัสถท่ีตนคบและสมาคม ที่เรียกวาภิกษุ ผูประทุษรา ยสกุล ทา นจําแนกประเภทไว ดงั น้ี 334
3๓3๓5๑ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ ๑. ใหของกาํ นลั แกบุคคลในสกลุ อยา งคฤหสั ถเ ขาทํากัน เชน ใหด อกไม เปน ตน ๒. ทําสวนดอกไมไว ตลอดถึงรอ ยดอกไมไ วเ พ่อื บาํ เรอเขา ๓. แสดงอาการประจบเขา เม่ือเขาไปสูสกุล เชน พูดประจอประแจเอาใจ และอุมเด็ก ผูเ ปนบตุ รหลานเขา ๔. ยอมตวั ลงใหเขาใชสอยไปโนนไปนี่ ทําอยางนั้นอยางน้ีนอกกิจพระศาสนา การติดสอย หอยตามเขาไปกร็ วมเขาในขอน้ี (แตจ ะรับธรุ ะเขาในทางกจิ พระศาสนา เชน เขาตองการฟงธรรม ชวยนิมนตพระเทศนใ ห เปนตน ทา นวา ไมม ีโทษ หรือธรุ ะของโยมมารดา บิดา คนเตรียมมาบวช คนจะขอบวชท่ีเรียกวา ปณฑุปลาส และไวยาวัจกรของตน แมเปนธุระนอกจากกิจพระศาสนา ทา นกอ็ นญุ าต แตก ็ควรเลือกกจิ ที่สมควร) ๕. รบั เปนหมอรักษาไขของคนในสกุล คือ เปนหมอประจาํ บา นเขา ๖. รับของฝากของเขาอันไมสมควรรับ เชน รับของโจรและของตองหาม ปาปสมาจาร เหลานี้ปรับอาบัติทุกกฏเสมอกัน นอกจากนั้น เปนฐานท่ีสงฆจะทําการลงโทษไดอีก ๓ สถาน สถานใดสถานหนึ่ง คือ (๑) ตําหนิโทษ เรียก ตัชชนียกรรม (๒) ถอดยศ เรียก นิยสกรรม (๓) ขับเสีย จากวัด เรยี ก ปพ พาชนยี กรรม ปาปสมาจารท่เี น่ืองดวยการรกุ รานหรือตดั รอนคฤหัสถ มี ๗ ประเภท คอื (๑) ขวนขวาย เพื่อตัดลาภเขา (๒) ขวนขวายเพื่อความเสื่อมเสียแหงเขา (๓) ขวนขวายเพื่อใหเขาอยูไมได (๔) ดาวาเปรียบเปรย (๕) ยุยงใหเขาแตกกัน (๖) พูดกดเขาใหเปนคนเลว (คือพูดวาจา หยาบคาย เชนเรียกไอ เรียกอี มึง กู เปนตน) (๗) ใหปฏิญาณอันเปนธรรมแกเขาแลวไมทําให สมจริง ความประพฤติเลวทรามเหลาน้ี นอกจากปรับอาบัติตามวัตถุแลว และยังเปนฐานท่ีสงฆ จะลงโทษดวยปฏิสารณียกรรม คือใหหวนระลึกถึงความผิดและขอขมาคฤหัสถที่ตนรุกรานหรือ ตัดรอน ภิกษุผูถึงพรอมดวยอาจาระ ยอมไมทนงตนเปนคนสนิทของสกุล โดยฐานเปนคนเลว และไมรุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใส นับถือใหเกิด ในตนเรียกวา “กุลปสาทโก” (ผูทําใหตระกูลคฤหัสถเล่ือมใส) เหมือนกับพระกาฬุทายีเถระ ที่พระพุทธองค ทรงยกยอ งวา เปน เลศิ (เอตทคั คะ) ในทางน้ี ซึ่งนบั เปนศรีของพระพุทธศาสนา อเนสนา อเนสนา หมายถึง กิริยาท่ีภิกษุแสวงหาเล้ียงชีพในทางไมสมควร จําแนกเปน ๒ ประเภท คือ (๑) การแสวงหาที่เปนโลกวัชะ คือ มีโทษทางโลก เชน ทําโจรกรรม เปนตน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 335
3๓๓3๒6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 (๒) การแสวงหาท่ีเปนปณณัตติวัชชะ คือ มีโทษทางพระวินัย เชนการทําวิญญัติ คือ ออกปากขอ ตอคนทไี่ มควรขอหรือในเวลาที่ไมควรขอ การแสวงหาที่เปนปณณัติวัชชะ มี ๕ ประเภท คือ (๑) ทําวิญญัติ คือออกปากขอตอ คนไมควรขอหรือในเวลาไมควรขอ (๒) แสวงหาลาภดวยลาภ คือ ใหของนอยเพื่อหวังไดมาก (๓) ใชจายรูปยะ ไดแก การลงทุนหาผลประโยชนเชนทําการคาขาย (๔) หากินในทางเวชกรรม คือ ทําการแพทย (๕) การทาํ ปรติ ร ไดแ ก การทาํ นาํ้ มนตเสกเปา ตา ง ๆ เปน ตน เวชกรรมท่ีตองหาม น้ัน มี ๓ ประเภท คือ (๑) เวชกรรมท่ีหามไวในวินีตวัตถุ แหง ตติยปาราชิกสิกขาบทโดยปรับอาบัติทุกกฏ คือทํานอกรีตนอกรอย หรือทําไมสันทัด วางยาผิดๆ ถูกๆ (๒) เวชกรรมท่ีหามโดยความเปนปาปสมาจาร คือการยอมทอดตนใหสกุลเขาใชในการ รักษาความเจ็บไขของคนในสกุล (๓) เวชกรรมท่ีหามโดยความเปนอเนสนา คือการรักษาโรค เรียกเอาขวัญขา ว คายา คา รกั ษาเปน การหาประโยชน ภิกษุรับของท่ีเขาถวายเพ่ือเก้ือกูลแกพระศาสนาแลวไมบริโภค ใหเสียแกคฤหัสถเพื่อ สงเคราะห ทาํ ทายกผูบรจิ าคเสียศรทั ธา เรยี กวา ทําศรทั ธาไทยใหต ก โภชนะทไ่ี ดม ายงั ไมไ ดห ยบิ ไวฉัน เรียก อนามัฏฐบิณฑบาต ทานหามไมใหแกคฤหัสถ อ่นื นอกจากมารดาบดิ า สวนมารดาบิดานนั้ เปนภาระท่ีภิกษุจะตอ งเล้ียงดู ทานอนุญาตใหไดแม สมณจีวรกส็ ามารถใหแ กม ารดาบิดาได 336
3๓3๓7๓ วชิ า วนิ ัยบญั ญตั ิ กัณฑท่ี ๑๙ กาลิก ๔ คําวา กาลิก แปลวา เน่ืองดวยกาล ข้ึนกับกาล ในที่น้ีมุงถึงของอันจะกลืนกินใหลวง ลําคอเขาไป ซึ่งพระวินัยบัญญัติใหภิกษุรับ เก็บไว และฉันไดภายในเวลาที่กําหนด จําแนก เปน ๔ อยา ง คือ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๑. ยาวกาลิก ของที่รับประเคนไวและฉันไดช่ัวเวลาเชาถึงเท่ียงของวันน้ัน เชน ขาว ปลา เนอ้ื ผัก ผลไม เปน ตน ๒. ยามกาลิก ของท่ีรับประเคนไว และฉันไดช่ัววันหน่ึงกับคืนหนึ่ง คือกอนอรุณขึ้น ของวนั ใหม ไดแ ก น้าํ อฏั ฐปานะ คือนํ้าค้นั ผลไมท ี่รงอนญุ าต ๘ ชนดิ ๓. สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคนไวแลวฉันไดภายใน ๗ วัน ไดแก เภสัชท้ัง ๕ คือ เนยใส เนยขน น้าํ มนั นาํ้ ผ้ึง และน้าํ ออย ๔. ยาวชีวิก ของที่รับประเคนแลวฉันไดตลอดไปไมจํากัดเวลา ไดแก ของที่ใชปรุง เปนยานอกจากของทีเ่ ปน กาลกิ ๓ ขา งตน เชน ขมิน้ ขิง เปนตน 337
3๓๓3๔8 คมู ือการศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ยาวกาลิก ของทใ่ี ชบ ริโภคเปน อาหาร จดั เปน ยาวกาลกิ มี ๒ อยา ง คอื ๑. โภชนะ ๕ อยาง คือ (๑) ขาวสุก ไดแก ธัญชาติทุกชนิดที่หุงใหสุกแลว เชน ขาวเจา เปนตน (๒) ขนมกุมมาส คือ ขนมสดมีอันจะบูดได เมื่อลวงกาลแลว (๓) สัตตุ คือ ขนมแหง ทไ่ี มบ ูด เชน ขนมปง (๔) ปลา สงเคราะหสัตวน้ําเหลาอื่นดวย (๕) เน้ือ คือ มังสะ ของสัตวบกท่ใี ชเ ปนอาหาร ๒. ขาทนยี ะ ของขบเคีย้ ว คือผลไมแ ละเหงา มีมันเปน ตน พืชที่ใชเปนโภชนะ มี ๒ ชนิด คือ (๑) ปุพพัณณะ (หรือ บุพพัณณะ) คือพืชมีกําเนิด เปนขา วทกุ ชนดิ (๒) อปรณั ณะ คอื ถว่ั ตางชนิดและงา ปุพพัณณะ (บุพพัณณะ) นั้นทานแสดงไวในพระบาลี มี ๗ ชนิด คือ (๑) สาลี ขาวสาลี (๒) วีหิ ขาวเจา (๓) ยโว ขาวเหนียว (๔) โคธูโม ขาวละมาน (๕) กงฺคุ ขาวฟาง (๖) วรโก ลกู เดอื ย (๗) กทู ฺรูสโก หญากับแก เนื้อที่ตองหามโดยกําเนิด มี ๑๐ ชนิด คือ (๑) เน้ือมนุษย เลือดก็สงเคราะหเขาดวย (๒) เนื้อชา ง (๓) เน้อื มา (๔) เน้ือสุนัข (๕) เนื้องู (๖) เนื้อราชสีห (๗) เน้ือเสือโครง (๘) เน้ือเสือเหลือง (๙) เน้ือหมี (๑๐) เนื้อเสอื ดาว เนื้อมนุษยเปนวัตถุแหงถุลลัจจัย เน้ือนอกน้ันเปนวัตถุแหงทุกกฏ เน้ือดิบ แมเปนเน้ือ นอกจากทีห่ ามไว ทานก็หา มฉนั เน้ือชนิดท่ีเปนอุทิสสมังสะ คือเน้ือที่ฆาเฉพาะตน ทานก็หาม แตถาไมรู ฉันไมเปน อาบัติ สวนเนอ้ื ทเี่ ปน ปวัตตมังสะ คอื เนื้อที่เขาฆา บรโิ ภคกันทัว่ ไป หรอื เนอื้ ทขี่ ายตามตลาด ไมหา ม เนื้อท่ีบริสุทธิโดยสวน ๓ คือภิกษุ (๑) ไมไดเห็น (๒) ไมไดยิน (๓) ไมไดสงสัยวา เขาฆา เฉพาะตน ภิกษฉุ นั ได ไมม ีโทษ แมป ลาก็เหมือนกัน จําพวกของขบเค้ียว ชนิดท่ีมีเม็ดและเหงาอาจจะปลูกข้ึน กอนฉันทานอนุญาตให อนุปสัมบัน ทําใหเปนกัปปยะ (สมควร) กอน ดวยวิธี ๓ วิธี คือ (๑) ใชไฟจ้ี (๒) ใชมีดกรีด (๓) ใชเล็บจกิ ในคราวเดินทาง ทานอนุญาตใหภิกษุสามเณรหาเสบียงเดินทางได เชน ขาวสาร ถั่ว เกลือ นํ้าออ ย น้าํ มนั และเนย ตามตอ งการ 338
3๓3๓9๕ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ กปั ปย ภมู ิ ๔ ชนิด คําวา กัปปยภูมิ แปลวา สถานที่เก็บของอันเปนกัปปยะ หมายถึง สถานที่สําหรับ เก็บเสบียงอาหารรวมทั้งเปนท่ีหุงตมจัดแจงอาหารของวัด หรือโรงครัวของวัด ทรงอนุญาตไว ในทส่ี ุด ๔ ประเภท คือ ๑. อุสสาวนันติกา กัปปยภูมิที่ทําดวยการประกาศใหรูกันแตแรกสรางวาจะทําเปน กับปยภูมิ ไดแก กุฎีที่ภิกษุทั้งหลายตกลงกันแตตนวาจะทําเปนกัปปยกุฎี (เรือนครัว) ในเวลา ที่ทํา พอชวยกันยกเสาหรือตั้งฝาทีแรก ก็รองประกาศใหรูกันสามหนวา “กปปยกุฏึ กโรม เราทง้ั หลาย ทาํ กัปปยกฎุ ี” ๒. โคนสิ าทกิ า กับปย ภมู ิดุจท่ีโคจอม ไดแ ก เรือนครวั นอ ย ๆ ที่ไมไดปกเสา ตั้งอยูกับที่ ต้ังฝาบนคาน สามารถยกเลื่อนไปจากที่ไดมี ๒ ประเภท คืออารามโคนิสาทิกา เรือนครัวขนาดเล็ก สําหรับอารามและกฎุ ีท่ีไมไดล อมรว้ั และ วิหารโคนสิ าทิกา เรือนครัวขนาดเลก็ สําหรับอารามท่ีมี ร้ัวลอมเฉพาะกฎุ ีทง้ั หมดหรือบางสว น ๓. คหปติกา กัปปยภูมิของคฤหัสถ ไดแก เรือนท่ีพวกชาวบานสรางถวายใหเปน กปั ปย กฎุ สี ําหรบั สงฆ ๔. สัมมตกิ า กัปปย ภมู ิท่ีสงฆสมมติ ไดแกกุฎีท่ีสงฆเลือกจะใชเปนกัปปยกุฎีแลวสวด ประกาศใหทราบดวยญัตตทิ ตุ ิยกรรม ยาวกาลกิ ที่เกบ็ ไวในทีอ่ ยูของภิกษุ แมเปนของสงฆ จัดเปน อันโตวุฏฐะ แปลวา อยูใน ภายใน ถา หุงตมในนั้น จัดเปน อันโตปกกะ แปลวา สุกในภายใน ถา หุงตมเองจดั เปน สามปก กะ แปลวา ใหสกุ เองทั้ง ๓ อยางน้ี เปน วัตถุแหงทุกกฏ ทานหามไมใ หฉ ัน ยาวกาลิกท่ีเก็บไวในกัปปยกุฎี ไมเปนอันโตวุฏฐะ ไมเปนอันโตปกกะ แตถาทําเองเปน สามปกกะ ทานหาม แตจ ะอนุ ของท่คี นอื่นทาํ สุกแลว ทา นอนุญาต ยามกาลิก นํ้าปานะ คือน้ําสําหรับดื่มที่คั้นจากผลไม เรียก ยามกาลิก มี ๘ ชนิด คือ (๑) อมฺพปานํ นํา้ มะมว ง (๒) ชมฺพปุ านํ นา้ํ ชมพูหรือน้าํ ลูกหวา (๓) โจจปานํ นาํ้ กลวยมีเม็ด (๔) โมจปานํ นํ้ากลวยไมมีเม็ด (๕) มธุกปานํ น้ํามะซาง (๖) มุทฺทกิ ปานํ นํ้าลูกจันทนหรือองุน (๗) เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 339
๓3๓4๖0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 สาลกุ ปานํ นาํ้ เหงา อุบล (๘) ผารสุ กปานํ นา้ํ มะปรางหรือน้าํ ล้นิ จ่ี วธิ ีทาํ นํา้ ปานะ คอื ปอกหรอื ควานผลไมเ หลา นท้ี ีส่ ุก เอาผาหอ บิดผาใหตึง อัดเนื้อผลไม ใหคายนํ้าออกจากผา เติมน้ําลงไปใหพอดี เติมนํ้าตาลและเกลือพอเขารส ใหใชของสด หามตม ดวยไฟ อนุปสัมบันทําจึงควรในวิกาล ภิกษุทําเองมีคติอยางยาวกาลิก เพราะรับประเคนท้ังผล เม่ือลว งกําหนดคนื หนึ่ง หา มมิใหฉนั ปรับอาบัติทุกกฏ สตั ตาหกาลกิ สัตตาหกาลิก ไดแก เภสัช ๕ ชนิด คือ (๑) เนยใส (๒) เนยขน (๓) น้ํามัน (๔) น้ําผึ้ง (๕) นํา้ ออย วัตถุที่อนุญาตทํานํ้ามัน มี ๓ ชนิด คือ (๑) มันเปลวแหงสัตว (๒) พืชอันมีกําเนิดเปน ยาวกาลิก เชน เม็ดงา (๓) พชื อนั มีกําเนิดเปน ยาวชีวิก เชน เม็ดพนั ธุผกั กาด มันเปลวสัตว มี ๕ ชนิด คือ (๑) เปลวหมี (๒) เปลวปลา (๓) เปลวปลาฉลาม (๔) เปลวหมู (๕) เปลวลา มันเปลวสัตวเหลานี้ทานอนุญาตใหรับประเคนแลวเจียวเปนน้ํามันได แตตองทาํ ใหเ สร็จภายในกาล ถา ทํานอกหรอื คาบกาล หามมิใหฉัน น้ํามันท่ีสกัดจากพืชอันเปนยาวกาลิก ภิกษุทําเอง มีคติอยางยาวกาลิก เท่ียงแลวไป หา มมใิ หฉนั สว นนาํ้ มันที่สกัดจากพชื อนั เปนยาวกาลกิ ภิกษทุ ําเองได ยาวชวี ิก ของท่ีใชประกอบเปนยานอกจากกาลิก ๓ อยางน้ัน จัดเปนยาวชีวิก ทานแบงไว ๖ ประเภท ดังน้ี (๑) รากไม เรียกมูลเภสัช (๒) น้ําฝาด เรียกกสาวเภสัช (๓) ใบไม เรียก ปณณเภสชั (๔) ผลไมเ รียกวา ผลเภสัช (๕) ยางไม เรียกชตเุ ภสัช (๖) เกลอื เรียกโลณเภสชั กาลิกระคนกัน กาลิกอยางหน่ึงระคนกับกาลิกอีกอยางหน่ึง มีกําหนดใหใชไดชั่วคราวของกาลิก มอี ายสุ ั้น เวชชิ นา วนนิ ้ําัยผบงึ้ญั เญปตั น ิ สตั ตาหกาลิก ผสมกบั ธญั ชาติ เชน ขาว เปน ตน ซ่ึงเปนยาวกาลิก น้ํ๓าผ๓้ึง๗ ก็กลายเปนยาวกาลิกดวย ดังนี้เปนตน สัตตาหกาลิกและยาวชีวิกที่รับประเคนไวคางคืน ทาน หามไมใ หเ อาปนกบั ยาวกาลกิ ปรบั เปน อาบัตปิ าจติ ตยี 340
341 341 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 342 342
3๓4๓๙3 วชิ า วนิ ัยบญั ญตั ิ กณั ฑที่ ๒๑ วนิ ยั กรรม วิธแี สดงอาบตั ิ การแสดงอาบัตนิ ัน้ คอื การเปดเผยโทษของตนแกภิกษุอ่นื มวี ธิ ีดงั นี้ ๑. วิธแี สดงอาบตั ิตัวเดียว ผแู สดงวา “อหํ อาวโุ ส ปาจิตฺติยํ อาปตฺตึ อาปนโฺ น ตํ ปฏเิ ทเสมิ” แปลวา “แนะคุณ ผมตองอาบัตปิ าจิตตยี ผ“มอแหสํ ดองาอวาุโบสตั ปินาั้นจ”ิต(ตฺ สยิ มํ มอตาปวิ าตตฺตอึ งออาาปบนัตฺโิปนาตจํิตปตฏียเิ ตทัวเเสดมียิ ว) ผูรบั วา “ปสสฺ ถ ภนเฺ ต” (ทา น เห็นหรอื ) ผแู สดงวาป“สอฺสาถมภอนาฺเวตุโส ปสสฺ ามิ” (เออ คุณ ผมเหน็ ) ผรู ับวา “อายอาตมึ ภอนาเฺ วตโุ สวํ ปเรสยฺสยฺาามถิ ” (ทา นจงสํารวมตอ ไป) ผูแสดงวาอา“สยาตธึ ุภสนฏุ เฺ ตุ อสาํววเุโรสยฺยสาวํ ถร”สิ สฺ ามิ” (ดลี ะ คณุ ผมจักสาํ รวมดวยดี) ๒. ตอ งอาบตั “อิสยาธา ุงสเุฏดยี ุวอกาันวุโหสลสาวํยรติสวั ฺสามิ ผแู สดงวา “อหํ อาวโุ ส สมพฺ หุลา นานาวตฺถุกาโย ทุกฺกฏาโย อาปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ” อหํ อาวโุ ส สมฺพหุลา นานาวตฺถุกาโย ทุกฺกฏาโย อาปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏเิ ทเสมิ”(ถา ๒ ตัว ใช “เทวฺ นานาวตฺถุกาโย” ตั้งแต ๓ ขึน้ ไปใช “สมพฺ หุลา”) อาบตั นิ นั้ ทา นใเหทแวฺ สนดางนโดายวคตวฺถรุกแากโชยื่อวัตถแุ ละจาํ นวน แสดงผิดชอ่ื ใชไ มได ผิดวัตถุ และผิดจาํ นวนขางมาก แสดงเปน นอย ใชไมได ขางนอ ยแสดงเปน มาก ใชไ ด ถา สงสยั อาบตั บิ างตวั ทา นใหบอก ดังนี้ “อหํ อาวโุ ส อติ ถฺ นนฺ ามาย อาปตฺตยิ า เวมตโิ ก ยทา นพิ ฺเพมติโก ภวสิ ฺสามิ ตาทา ตํ อาปตฺตึ ปฏิก“ฺกอรหิสํ อฺสาาวมุโิส” แอปิตลถฺ วนาฺนา“มแานยะคอุณาปตผฺตมยิมาีคเววามมตสโิ งกสยั ทในาอนาพิ บเฺ ัตพิชม่ือตนโิ ก้ี จภักวสสิ้นฺสสางมสิ ัยตเามท่ือาใดตํ จอกัาทปําตคฺตืนึ อปาฏบิกตั ฺกนิ รัน้ ิสเฺมส่ือานมิั้น” ” แบบคําบาลีบอกช่อื อาบัติ ดังนี้ อาบัติตัวเดียว “ถุลฺลจฺจยํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ทุกฺกฏํ ทุพฺภาสิตํ” อาบตั หิ ลายตวั “ถลุ ฺลจจฺ ยาโย นสิ สฺ คฺคยิ าโย ปาถจุลิตฺลตฺ จิยฺจายโยํ นทิสกฺุสกฺคฏฺคาิยโํ ยปาทจุพิตภฺ ฺตาิยสํ ิตทาุกโฺกยฏ” ํ ทุพฺภาสิตํ” “ถุลลฺ จฺจยอาาโบยัตนิวสิัตสฺ ถคุเดฺคีิยาวโกยันปภาิกจิตษฺตุ ยิอางโเยหมทือุกนฺกกฏันาโเยชนทุพฉฺภันาอสาติ หาาโรยใ”นเวลาวิกาลรวมกัน เรียกวา สภาคาบัติ แปลวา อาบัติมีสวนเสมอกัน หามมิใหแสดงและมิใหรับแสดง ใหแสดงกับภิกษุอ่ืน ถาสงฆตองสภาคาบัติทั้งหมด เชน ขุดดินรวมกัน ทานใหสงภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น แลว ภิกษุท่ีเหลอื พึงแสดงกับภกิ ษรุ ูปนั้น เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 343
๓3๔4๐4 คมู ือการศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 แลว ภิกษทุ ่เี หลอื พึงแสดงกบั ภิกษุรูปนั้น อธิษฐาน อธิษฐาน แปลวา ตั้งเอาไว ในทางพระวินัยหมายถึงการตั้งเอาไวหรือต้ังใจกําหนด เอาไว คอื ต้งั เอาไวเปนของน้นั ๆ หรอื ตงั้ ใจกาํ หนดเอาไวว าจะใชเ ปน ของประจําตวั ชนิดนนั้ ๆ เชน ไดผามาผืนหน่ึงตั้งใจวาจะใชเปนสังฆาฏิ สบง จีวร ก็อธิษฐานเปนอยางน้ันๆ เมื่ออธิษฐานแลว ผาน้ัน เรียกวาเปนผาอธิษฐาน หรือผาครอง วิธีอธิษฐานมี ๒ ลักษณะ โดยใชกายคือมือสัมผัส แลวกาํ หนดนกึ คาํ อธษิ ฐานในใจ หรือเปลง วาจาก็ได บรขิ ารทภ่ี กิ ษุตอ งอธษิ ฐาน คอื (๑) สงั ฆาฏิ (๒) อตุ ตราสงค (๓) อนั ตรวาสก อธิษฐาน ไดผ นื เดยี ว (๔) บาตร อธิษฐานไดใ บเดียว (๕) ผาปูน่ัง (๖) ผาปูนอน (๗) ผาเช็ดหนาหรือผาเช็ด ปาก (๘) ผาใชเปนบริขารอื่นเล็กๆนอยๆ เชนถุงบาตร ยาม (๙) ผาปดฝ อธิษฐานไดผืนหนึ่ง คราวอาพาธ (๑๐) ผา อาบน้าํ ฝน อธษิ ฐานได ๑ ผืน ตลอด ๔ เดือนฤดฝู น คําอธิษฐานบริขารสิ่งเดียว แสดงสังฆาฏิเปนตัวอยาง ดังน้ี “อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฐามิ” แปลวา “เราตง้ั เอาไวซงึ่ ผา สังฆาฏผิ นื น้ี” อธิษฐานบริขารอ่ืนพึงเปล่ียนช่ือ ดังนี้ อุตฺตราสงฺคํ สําหรับผาอุตตราสงค (ผาหม) อนฺตรวาสกํ สําหรับผา อันตรวาสก (ผา นุง) นิสที นํ สําหรับผานิสสีทนะ (ผาปูนั่ง)กณฺทุปฏิจฺฉาทึ สําหรับผาปดฝ วสฺสิกสาฏิกํ สําหรับผาอาบนํ้าฝน ปจฺจตฺถรณํ สําหรับผาปูนอน มุขปฺุฉนโจลํ สาํ หรับผา เชด็ ปาก ปรกิ ฺขารโจลํ สําหรบั ผา เปน บริขาร ผืนเลก็ ๆ นอยๆ ปตฺตํ สําหรบั บาตร ถาจะอธิษฐานผาหลายผืนรวมกัน พึงวาดังน้ี เชน อธิษฐานผาปูนอนวา “อิมานิ ปจจฺ ตถฺ รณานิ อธิฏฺฐามิ” อธิษฐานมี ๒ อยา ง คอื (๑) อธษิ ฐานดวยกาย โดยเอามือลูบคลําบริขารท่ีอธิษฐานนั้น (๒) อธิษฐานดว ยวาจา โดยเปลงวาจาอธษิ ฐานไมต องถูกตอ งดว ยกายกไ็ ด อธิษฐานดว ยวาจานั้น แยกเปน ๒ คือ (๑) อธิษฐานในหัตถบาสวา “อิมํ” หรือ “อิมานิ” (๒) อธษิ ฐานนอกหัตถบาสวา “เอต”ํ หรอื “เอตานิ” เม่อื อธษิ ฐาน ตองถอนบรขิ ารเกากอ นเสมอ ซ่ึงเรยี กวา ปจ จทุ ธรณ ตัวอยางการปจจุทธรณสังฆาฏิวาดังนี้ “อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ” แปลวา “เรายกเลิก สงั ฆาฏผิ นื น้ี” คาํ พินทวุ า “อิมํ พินฺทุกปฺป กโรมิ” แปลวา “เราทําเคร่อื งหมายจุดน้ี” 344
3๓4๔5๑ วชิ า วนิ ัยบญั ญตั ิ เหตขุ าดอธษิ ฐาน บริขารท่ภี กิ ษุอธษิ ฐานแลว จะละหรือขาดอธษิ ฐานไปดว ยเหตุ ๙ ประการ คือ (๑) ใหแก ผอู ื่น (๒) ถูกโจรแยง ชิงเอาไปเสีย (๓) มิตรถือเอาไปดวยวสิ าสะ (๔) เจาของหันไปเพื่อความเปน คนเลว (๕) เจาของลาสิกขา (๖) เจาของทํากาลกิริยา (๗) เพศกลับ (๘) ถอนเสียจากอธิษฐาน (๙) เปน ชอ งทะลุ (เฉพาะจีวรและบาตร) วิกัป คําวา วิกัป หมายถึง การทําใหเปนสองเจาของ คือขอใหภิกษุสามเณรอ่ืนรวมเปน เจา ของจวี รหรอื บาตรน้ันๆ ดว ย ซงึ่ มีผลทําใหไ มต อ งอาบตั เิ พราะเก็บอดิเรกจีวรหรืออดิเรกบาตร ไวเกินกําหนด มี ๒ ลกั ษณะ (๑) สัมมุขาวิกัป วิกัปตอหนา คือการนําผาอดิเรกจีวรเขาไปหาภิกษุท่ีตนตองการ จะวิกัปดว ยแลว กลา วคาํ วกิ ปั ตอหนา (๒) ปรัมมุขาวิกัป วิกัปลับหลัง คือการเอาอดิเรกจีวรไปฝากใหภิกษุรูปอื่นชวยวิกัป กบั ภิกษุอีกรูปหนงึ่ บรขิ ารทจ่ี ะวิกัปไดน ้ัน ไดแก อดิเรกจวี รและอดเิ รกบาตร คําวิกัปตอหนาในหัตถบาส จีวรผืนเดียว วาดังนี้ “อิมํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ” แปลวา “ขา พเจา วิกัปจีวรผนื น้ีแกทาน” จีวรหลายผนื วา “อมิ านิ จีวรานิ” บาตรใบเดยี ววา “อิมํ ปตฺตํ ตยุ ฺหํ วิกปเฺ ปมิ” บาตรหลายใบวา “อิเม ปตฺเต” จีวรท่ีวิกัปไวจ ะใชสอยตองขอใหผรู ับถอนกอน ไมท ําอยางนน้ั ใชส อย ตอ งอาบัติปาจติ ตยี คําถอนในหัตถบาส วา ดังน้ี “อิมํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภฺุช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ” แปลวา “จีวรผืนนี้ของขาพเจา ทานจงใชสอยก็ตาม จงสละก็ตาม จงทําตามปจจัย ก็ตาม” บาตรท่ีวิกัปไวไมกําหนดใหถอนกอน พึงใชสอยเปนของวิกัป แตเมื่อจะอธิษฐาน พงึ ถอนกอน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 345
3๓๔4๒6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 กณั ฑท ่ี ๒๒ ปกิณณกะ มหาปเทส ๔ ส่งิ ของบางอยางมีเฉพาะถนิ่ บางอยา งยอมเกดิ ข้นึ ใหม ภกิ ษุเกดิ ภายหลังยอมไดพบเห็น วตั ถแุ ละกจิ การตางๆ นานา จากที่กลาวไวในคัมภีร พระบรมศาสดาผูมีพระญาณเห็นการณไกล ไดท รงประทานแบบไวเ พ่ือเปน หลกั สันนษิ ฐาน เรียกวา มหาปเทส แปลวา ขอสําหรับอางใหญ จําแนกเปน ๔ ประการ ดังนี้ ๑. สิ่งใดไมไดทรงหามไววาไมควร แตเขากันกับสิ่งเปนอกัปปยะ ขัดกันตอสิ่งเปน กปั ปยะส่ิงนั้นไมควร ๒. สิ่งใดไมไดทรงหามไววาไมควร แตเขากันกับส่ิงเปนกัปปยะ ขัดกันตอสิ่งเปน อกัปปยะส่ิงน้นั ควร ๓. สิ่งใดไมไดทรงอนุญาตไววาควร แตเขากันกับสิ่งเปนอกัปปยะ ขัดกันตอสิ่งเปน กัปปย ะสิง่ น้ันไมค วร ๔. สิ่งใดไมไดทรงอนุญาตไววาควร แตเขากันกับสิ่งเปนกัปปยะ ขัดกันตอสิ่งเปน อกัปปยะสงิ่ นั้นควร ตัวอยาง เชน ฝนไมไดทรงหามไว แตเขาไดกับสุราท่ีทรงหามไว จึงเปนของไมควร นํา้ ตาลไมไดทรงอนญุ าตไว แตเขากนั ไดกบั นํ้าออยทีท่ รงอนญุ าต จึงเปนของควร พระพทุ ธานญุ าตพเิ ศษ ขอที่ทรงหามไวในบางขอไดทรงอนุญาตยกเวนเปนพิเศษไวก็มี ในท่ีนี้จักกลาวเฉพาะ ท่ที รงอนญุ าตเปนพิเศษแทๆ ซึ่งสรุปได ๕ ขอ คือ ๑. ทรงอนญุ าตเฉพาะอาพาธ เชน ยามหาวิกัฏ ๔ คือมูตร คูถ เถา ดิน ทรงอนุญาต เฉพาะภิกษุผูถูกงูกัด แมไมไดรับประเคน ก็ฉันได ไมเปนอาบัติ น้ําขาวใสหรือนํ้าขาวตมที่ไมมี กากและน้ําเนือ้ ตมทไ่ี มม กี าก เปน ของทรงอนญุ าตแกภิกษุไขท ่จี าํ จะตองไดอ าหารในเวลาวิกาล 346
3๓4๔7๓ วชิ า วนิ ัยบญั ญตั ิ ๒. ทรงอนุญาตเฉพาะบุคคล เชน ทรงอนุญาตอาหารที่เรอหรือสํารอกออกมาถึง ลาํ คอแลว กลบั เขา ไปแกภกิ ษุผมู ักเรออวก ไมเปนอาบัติเพราะวิกาลโภชนสกิ ขาบท ๓. ทรงอนุญาตเฉพาะกาล เชน ทรงอนญุ าตใหเ จยี วมนั เปลวสตั วท ําเปนน้าํ มนั ไดเ อง แตต อ งทาํ ใหเ สรจ็ ในกาล คือเชา ถึงเที่ยง ๔. ทรงอนุญาตเฉพาะถิ่น เชน ทรงอนุญาตใหอุปสมบทไดดวยสงฆปญจวรรค (๕ รูป) ใหอ าบน้ําไดเปนนิตย ใหใชรองเทาสชี่ ้ันเปน ของใหมๆ ไดใ นปจจันตชนบท ๕. ทรงอนุญาตเฉพาะยา เชน ทรงอนุญาตใหด่ืมน้ํามันเจือนํ้าเมาท่ีไมมากจนถึงมีสี และกลิ่นปรากฏได และทรงอนญุ าตใหใชก ระเทยี มเปนยาได แตหามฉนั เปน อาหาร ขออารักขา ขออารักขา หมายถึง การขอความคุมครองปองกันจากบานเมือง โดยปกติบรรดา ภิกษุยอมไมชอบที่จะเปนความกับใคร ไมแสหาเหตุเล็กนอยเปนเครื่องปลูกคดีข้ึน พอจะอดได น่งิ ไดก ็อดก็น่ิง แตเมื่อถึงคราวจาํ เปน คือถกู คนอืน่ ฟองรอง ก็เปน จําเลยวา ความเพื่อเปล้ืองตนได เมื่อถูกคนอื่นขมเหงเหลืออดเหลือทน ก็บอกขออารักขา แมเจาะจงช่ือก็ได หรือเมื่อถูกทําราย แตไมรูวาใครทํา จะบอกใหถอยคําไวแกเจาหนาที่ตํารวจก็ได หรือบริขารสูญหาย แตไมรูวาใครลัก จะบอกตราสิน (แจงความ) ไวแกเขากไ็ ด ไมมีโทษในเพราะเหตเุ หลา น้ี วิบัติ ๔ วิบตั ิ หมายถึง ความเสอ่ื มเสียหายของภกิ ษุ มี ๔ อยาง คือ ๑. สีลวิบัติ ความเสียหายแหงศีล หมายถึงการตองอาบัติปาราชิก หรือสังฆาทิเสส ซ่ึงจัดเปน อาบัติหนัก ๒. อาจารวิบัติ ความเสียมารยาท หมายถึง อาการท่ีตองลหุกาบัติ ตั้งแตอาบัติ ถลุ ลัจจัย ลงมาจนถึงอาบัติทพุ ภาสติ ๓. ทฏิ ฐิวิบตั ิ คอื ความเหน็ ผิดธรรมผดิ วินัย และมีความเหน็ ท่ีสดุ โตงเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง ๔. อาชีววิบัติ ความเสียหายแหงการเลี้ยงชีพ หมายถึง อาการท่ีตองอาบัติบางอยาง เพราะเหตแุ หงการเลยี้ งชีพ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 347
๓3๔4๔8 คมู ือการศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 อโคจร บคุ คลหรือสถานทท่ี ภ่ี กิ ษไุ มควรไปมาหาสูลาํ พงั อยา งไมเปนกิจจะลักษณะ หรือผิดเวลา เรยี กวา อโคจร มี ๖ ประเภทคือ ๑. หญิงแพศยา คอื หญงิ ทหี่ ากนิ ในทางกามคุณทกุ ประเภท ๒. หญงิ หมา ย คอื หญงิ ทีส่ ามตี ายหรอื หยารา ง ทเี่ รียกวา แมหมาย แมรา ง ๓. สาวเทอ้ื คอื หญิงโสด ไมมสี ามี อยลู ําพังตนจนเปน สาวแก ๔. ภิกษุณี เปนพรหมจารินี จัดวาเปนหญิงโสด เปนสหธรรมิกดวยกันก็ยังสมควร จะคบกันแตพอดีพองาม ๕. บัณเฑาะก คือบุรุษท่ีเขาตอนเสียแลว (อน่ึง หมายถึงชาย ๓ ประเภท คือชายท่ีมี ราคะกลา ชายทถี่ กู ตอน และกระเทยโดยกาํ เนิด) ๖. รา นสุรา คอื ท่ขี ายสรุ าและโรงกล่ันสรุ า (รวมถงึ สถานบนั เทิงตา งๆ) ภิกษุผูเวนจากอโคจรทั้ง ๖ น้ี ควรเลือกบุคคล เลือกสถานท่ีอันสมควรไปอยางเปน กิจจะลักษณะ ในเวลาอันควร ไมไปพรํ่าเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไมเปนที่รังเกียจของ เพ่ือนสหธรรมิกเพราะการเที่ยวไป เรียกวา โคจรสมปฺ นฺโน ผูถึงพรอมดวยโคจร ซึ่งเปนหลักคู กับมารยาท ท่ีรวมเรียกวา อาจารโคจรสมปฺ นฺโน ผูถึงพรอมดวยมารยาทและโคจร เปนคูกับ คุณบทวา สีลสมปฺ นฺโน ผูถึงพรอมดวยศีล ภิกษุผูถึงพรอมดวยคุณธรรมดังกลาวนี้ ยอมประดับ พระศาสนาใหรุง เรืองแล 348
3๓4๔9๕ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ ¢ÍŒ Êͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅÑ¡ÊÙμùѡ¸ÃÃÁªÑ¹é â· ÇªÔ ÒÇԹѠ: Ç¹Ô ÑºÞÑ ÞμÑ Ô »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 349
3๓๔5๘0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒÇ¹Ô ÑºÞÑ ÞÑμÔ ¹¡Ñ ¸ÃÃÁªé¹Ñ â· Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Çѹ¨Ñ¹·Ã ·Õè óð ¾ÄȨԡÒ¹ ¾.È. òõõø ๑. ภกิ ษุผูป้ ฏบิ ตั พิ ระวนิ ัยสว่ นอภสิ มาจารใหด้ ีงาม จะตอ้ งปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ? เฉลย ตอ้ งปฏิบตั ิโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครดั อย่างงมงาย จนเป็นเหตุทาํ ตนให้ ลาํ บากเพราะเหตธุ รรมเนียมเลก็ ๆ นอ้ ยๆ อนั ขดั ต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามกั งา่ ย ละเลยต่อธรรมเนียมของภกิ ษุ จนถงึ ทาํ ตนใหเ้ป็นคนเลวทราม ฯ ๒. ภกิ ษุผูล้ ะเมดิ สกิ ขาบทนอกพระปาตโิ มกข์ ตอ้ งอาบตั อิ ะไรไดบ้ า้ ง ? เฉลย ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั และ ทกุ กฏ ฯ ๓. ผา้ สาํ หรบั ทาํ จวี รนุ่งห่มนัน ทรงอนุญาตไวก้ ชี นิด ? อะไรบา้ ง ? เฉลย ๖ ชนิด ฯ คือ ๑. โขมะ ผา้ ทาํ ดว้ ยเปลอื กไม้ ๒. กปั ปาสกิ ะ ผา้ ทาํ ดว้ ยฝ้าย ๓. โกเสยยะ ผา้ ทาํ ดว้ ยใยไหม ๔. กมั พละ ผา้ ทาํ ดว้ ยขนสตั ว์ ยกเวน้ ผมและขนมนุษย์ ๕. สาณะ ผา้ ทาํ ดว้ ยเปลอื กป่าน ๖. ภงั คะ ผา้ ทที าํ ดว้ ยของ ๕ อยา่ งนนั แต่อย่างใดอยา่ งหนึงปนกนั ฯ 350
3๓5๔1๗ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ ๔. ในบาลแี สดงเหตนุ ิสสยั ระงบั จากอปุ ชั ฌายะไว้ ๕ ประการ มอี ะไรบา้ ง ? เฉลย มีอุปชั ฌายะหลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเขา้ รีตเดียรถียเ์ สีย ๑ สงั บงั คบั ๑ ฯ ๕. ภกิ ษุผูอ้ าพาธควรปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร จงึ ไม่เป็นภาระแกผ่ ูพ้ ยาบาล ? เฉลย ควรปฏบิ ตั ิตนใหเ้ป็นผูพ้ ยาบาลง่าย คือทาํ ความสบายใหแ้ ก่ตน (ไมฉ่ นั ของแสลง) รูจ้ กั ประมาณในการบริโภค ฉนั ยาง่าย บอกอาการไขต้ ามเป็นจริงแก่ผูพ้ ยาบาล เป็นผูอ้ ดทนต่อทกุ ขเวทนา ฯ ๖. การลกุ ยนื ขนึ รบั เป็นกจิ ทผี ูน้ อ้ ยพงึ ทาํ แกผ่ ูใ้ หญ่ จะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรจงึ ไม่ขดั ตอ่ พระวนิ ยั ? เฉลย นงั อยูใ่ นสาํ นกั ผูใ้ หญ่ ไมล่ ุกรบั ผูน้ อ้ ยกว่าทา่ น นงั เขา้ แถวในบา้ น เขา้ ประชมุ สงฆ์ ในอาราม ไมล่ ุกรบั ท่านผูใ้ ดผูห้ นึง ฯ ๗. ธุระเป็นเหตไุ ปดว้ ยสตั ตาหกรณียะทที า่ นกลา่ วไวใ้ นบาลี มีอะไรบา้ ง ? เฉลย มี ๑. สหธรรมกิ หรอื มารดาบดิ าเจบ็ ไข้ รูเ้ขา้ ไปเพอื รกั ษาพยาบาล ๒. สหธรรมกิ กระสนั จะสกึ รูเ้ขา้ ไปเพอื ระงบั ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึน เป็นตน้ ว่า วิหารชํารุดลงในเวลานัน ไปเพือหาเครือง ทพั พสมั ภาระมาปฏสิ งั ขรณ์ ๔. ทายกตอ้ งการจะบาํ เพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพือบาํ รุงศรทั ธาของเขา หรอื แมธ้ ุระอนื นอกจากนี ทเี ป็นกจิ ลกั ษณะ อนุโลมตามนี ฯ ๘. บพุ พกรณ์และบพุ พกจิ ในการทาํ อโุ บสถสวดปาตโิ มกข์ ตา่ งกนั อย่างไร ? เฉลย ต่างกนั อย่างนี บุพพกรณ์เป็นกิจทภี กิ ษุพึงทาํ ก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มกี วาดบริเวณ ทีประชุมเป็ นตน้ ส่วนบุพพกิจเป็ นกิจทีภิกษุพึงทําก่อนแต่สวดปาติโมกข์ มนี าํ ปารสิ ุทธขิ องภกิ ษุผูอ้ าพาธมาเป็นตน้ ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 351
3๓๔5๘2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๙. อปุ ปถกริ ยิ า คอื อะไร ? มีกอี ย่าง ? อะไรบา้ ง ? เฉลย คือการทาํ นอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คืออนาจาร ไดแ้ ก่ความ ประพฤติไม่ดีไม่งาม ปาปสมาจาร ไดแ้ ก่ความประพฤติเลวทราม และอเนสนา ไดแ้ ก่ความหาเลยี งชพี ไมส่ มควร ฯ ๑๐. มหาปเทส แปลวา่ อะไร ? ทรงประทานไวเ้ พอื ประโยชน์อะไร ? เฉลย แปลว่า ขอ้ สาํ หรบั อา้ งใหญ่ ฯ เพือเป็นหลกั แห่งการวินิจฉัยทงั ในทางธรรมทัง ในทางวนิ ยั ฯ ********* 352
3๓5๔๙3 วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ »˜ÞËÒáÅÐà©ÅÂÇªÔ ÒÇÔ¹ÂÑ ºÞÑ ÞμÑ Ô ¹Ñ¡¸ÃÃÁª¹éÑ â· Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ Íѧ¤Òà ·Õè ññ ¾ÄȨ¡Ô Ò¹ ¾.È. òõõ÷ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 353
3๓๕5๐4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 354
3๓5๕5๑ วชิ า วนิ ยั บญั ญตั ิ .. เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 355
3๓๓๔๕5๖๒6 คคมูมู ืออื กกาารรศศกึกึ ษษาานนกักั ธธรรรรมมชชน้ันั้ โโทท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ปญ หาและเฉลยวชิ าวนิ ยั นกั ธรรมชัน้ โท สอบในสนามหลวง วนั ศุกร ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๖ ๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? เปนเหตุใหตองอาบตั ิอะไรบาง ? ๑. คอื ขนบธรรมเนยี มของภกิ ษุ ฯ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั และอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ ๒. ขอวา อยา พึงนงุ หมผาอยางคฤหัสถ นัน้ มีอธิบายอยางไร ? ๒. มอี ธบิ ายว่า หา้ มนุ่งห่มเครอื งนุ่งห่มของคฤหสั ถ์ เช่น กางเกง เสอื ผ้าโพก หมวก ผา้ นุ่ง ผา้ หม่ สตี ่าง ๆ ชนดิ ต่าง ๆ และหา้ มอาการนุ่งหม่ ต่าง ๆ ทไี มใ่ ชข่ องภกิ ษุ ฯ ๓. บริขาร ๘ มีอะไรบา ง ? ทจ่ี ดั เปน บรขิ ารบริโภคและบรขิ ารอุปโภคมีอะไรบา ง ? ๓. มี ไตรจวี ร คอื ผา้ นุ่งผา้ หม่ และผา้ ทาบ บาตร ประคดเอว เขม็ มดี โกน และผา้ กรองนํา ฯ ไตรจวี ร บาตร ประคดเอว รวม ๕ อยา่ ง จดั เป็นบรขิ ารบรโิ ภค เขม็ มดี โกน และผา้ กรองนํา จดั เป็นบรขิ ารอปุ โภค ฯ ๔. คําวา ถือนิสัย หมายความวาอยางไร ? ภิกษุผูเปนนวกะจะตองถือนิสัยเสมอไป หรอื ไมประการใด ? ๔. หมายความว่า ยอมตนอย่ใู นความปกครองของพระเถระผมู้ คี ุณสมบตั คิ วรปกครองตนได้ ยอมตนใหท้ า่ นปกครอง พงึ พงิ พาํ นกั อาศยั ทา่ น ฯ ตอ้ งถอื นสิ ยั เสมอไป แตม่ ขี อ้ ยกเวน้ ภกิ ษุผยู้ งั ไมต่ งั เป็นหลกั แหล่ง คอื ภกิ ษุเดนิ ทาง ภกิ ษุผู้ เป็นไข้ ภกิ ษุผู้พยาบาลภกิ ษุไว้ผูไ้ ด้รบั การขอร้องของคนไขเ้ พอื ใหอ้ ยู่ ภิกษุผู้เขา้ ป่าเพอื เจรญิ สมณธรรมชวั คราว และกรณที ใี นทใี ดหาทา่ นผใู้ หน้ สิ ยั มไิ ด้ และมเี หตุขดั ขอ้ งทจี ะไปอยู่ ในทอี นื ไมไ่ ด้ จะอยใู่ นทนี นั ดว้ ยผกู ใจว่าเมอื ใดมที า่ นผใู้ หน้ ิสยั ไดม้ าอยู่ จกั ถอื นิสยั ในท่าน ก็ ใชไ้ ด้ ฯ 356
3๓5๕7๓ วชิ า วนิ ัยบญั ญตั ิ ๕. ภิกษเุ มอ่ื จะน่ังลงบนอาสนะ ทรงใหปฏิบัติอยา งไรกอ น ? ท่ีทรงใหป ฏิบัติอยางน้ันเพื่อ ประโยชนอะไร ? ๕. ทรงใหพ้ จิ ารณากอ่ น อยา่ ผลนุ ผลนั นงั ลงไป ฯ เพือว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนัน จะทับหรือจะกระทบของนัน ถ้าเป็นขนั นําก็จะหก เสยี มารยาท พงึ ตรวจดูดว้ ยนัยน์ตา หรอื ดว้ ยมอื ลบู ก่อน ตามแต่จะรไู้ ดด้ ว้ ยอย่างไร แลว้ จงึ คอ่ ยนงั ลง ฯ ๖. วันเขาพรรษาในบาลีกลาวไว ๒ วัน คือวันเขาพรรษาตน และวันเขาพรรษาหลัง ใน แตล ะอยา งกําหนดวันไวอยา งไร ? ๖. วนั เขา้ พรรษาตน้ กาํ หนดเมอื พระจนั ทรเ์ พญ็ เสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแลว้ วนั หนึง คอื วนั แรม ๑ คาํ เดอื น ๘ วนั เขา้ พรรษาหลงั กาํ หนดเมอื พระจนั ทรเ์ พญ็ เสวยฤกษ์อาสฬหะนัน ล่วงแล้วเดอื น ๑ คอื วนั แรม ๑ คาํ เดอื น ๙ ฯ ๗. ในวดั หนง่ึ มภี ิกษุอยูกัน ๔ รปู ๓ รูป ๒ รูป ๑ รปู เมอ่ื ถงึ วนั อุโบสถพึงปฏิบตั ิอยางไร ? ๗. มภี กิ ษุ ๔ รปู พงึ ประชมุ กนั ในโรงอโุ บสถ สวดปาตโิ มกข์ มภี กิ ษุ ๓ รปู พงึ ประชมุ กนั ทาํ ปารสิ ทุ ธอิ ุโบสถ รปู หนึงสวดประกาศญตั ติ จบแลว้ แต่ละรปู พงึ บอกความบรสิ ทุ ธขิ องตน มภี กิ ษุ ๒ รปู ไมต่ อ้ งตงั ญตั ติ พงึ บอกความบรสิ ทุ ธแิ กก่ นั และกนั มภี กิ ษุ ๑ รปู พงึ อธษิ ฐาน หรอื มภี กิ ษุตาํ กวา่ ๔ รปู จะไปทาํ สงั ฆอโุ บสถกบั สงฆใ์ นอาวาสอนื กค็ วร ฯ ๘. ภิกษุไดช่ือวาผูประทุษรายสกุล กับภิกษุไดช่ือวาผูยังสกุลใหเลื่อมใส เพราะมีความ ประพฤติตางกนั อยา งไร ? ๘. ต่างกนั อย่างนี ภกิ ษุผปู้ ระทษุ รา้ ยสกุล เป็นผปู้ ระพฤตใิ หเ้ ขาเสยี ศรทั ธาเลอื มใส ประจบเขา ด้วยกิรยิ าทําตนอย่างคฤหสั ถ์ ให้ของกํานัลแก่สกุลอย่างคฤหสั ถ์เขาทํา ยอมตน ให้เขา ใชส้ อย หรอื ดว้ ยอาการเอาเปรยี บโดยเชงิ ใหส้ งิ ของเล็กน้อยดว้ ยหวงั ไดม้ าก สว่ นภกิ ษุผยู้ งั สกลุ ใหเ้ ลอื มใส เป็นผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยอาจาระ ไมท่ อดตนเป็นคนสนิทของสกุลโดยฐานเป็นคน เลว ไมร่ กุ รานตดั รอนเขา แสดงเมตตาจติ ประพฤตพิ อดงี าม ทาํ ใหเ้ ขาเลอื มใสนบั ถอื ตน ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 357
๓๔๘ คมู ือการศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๓3๕5๔8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท ๙. กอนหนาปรินิพพาน ตรัสส่ังภิกษุทั้งหลายใหแสดงความเคารพดวยการเรียกกันวา อยา งไร ? ๙. ตรสั ใหภ้ กิ ษุผอู้ ่อนพรรษากว่าเรยี กผแู้ ก่พรรษากว่าว่า ภนั เต และใหภ้ กิ ษุผแู้ ก่พรรษากว่า เรยี กผอู้ อ่ นพรรษากวา่ วา่ อาวโุ ส ฯ ๑๐. อนามฏั ฐบณิ ฑบาต ไดแกโภชนะเชนไร ? มขี อ หามตามพระวนิ ัยไวอ ยา งไร ? ๑๐. ไดแ้ กโ่ ภชนะทภี กิ ษุไดม้ ายงั ไมไ่ ดห้ ยบิ ไวฉ้ นั ฯ มขี อ้ หา้ มไมใ่ หภ้ กิ ษุใหแ้ กค่ ฤหสั ถอ์ นื นอกจากมารดาและบดิ า ฯ 358
Search