๑.ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กดั ฟัน) กดพระตาลดุ ้วยพระชิวหา (เอาลนิ ้ ดนุ เพดาน) ไว้จนแนจ่ นพระเสโท (เหง่ือ) ไหลออกจากพระ กจั ฉะ (รักแร้) ๒.ทรงผอ่ นกลนั้ ลมหายใจเข้าออก ๓.ทรงอดพระกระยาหาร ฯ (ปี 2554) พระมหาบรุ ุษทรงบาเพ็ญทกุ รกิริยา ณ ท่ไี หน? ผ้ทู ่ีรู้เห็นเป็ นพยานในเร่ืองนคี ้ อื ใคร? ตอบ ณ ตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม แคว้นมคธ ท่ีรู้เห็นเป็ นพยานคือ พระปัญจวคั คี (ปี 2552) การทีพ่ ระมหาบรุ ุษทรงเลกิ บาเพญ็ ทกุ กรกิริยานนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะทรงดาริวา่ ทกุ กรกิริยาทีท่ รงบาเพญ็ นนั้ จะยงิ่ ไปกวา่ นไี ้ มม่ ี แตก่ ็ไมเ่ ป็ นทางให้ตรัสรู้ได้ การบาเพญ็ เพยี รทางจิตจกั เป็ นทาง ตรัสรู้ได้กระมงั แตค่ นซบู ผอมเช่นนไี ้ มส่ ามารถทาได้ จึงทรงเลกิ บาเพ็ญทกุ กรกิริยา กลบั มาเสวย พระอาหารตามปกติ ฯ ก่อนตรัสรู้ (ปี 2555) นางสุชาดา เป็ นผ้ถู วายข้าวมธปุ ายาสก่อนตรัสรู้ (ปี 2544) ในวนั ตรัสรู้ทรงอธิษฐานพระหฤทยั ท่ใี ต้ต้นมหาโพธ์ิวา่ อยา่ งไร? ตอบ ทรงอธิษฐานพระหฤทยั วา่ \"ยงั ไม่บรรลุโพธิญาณเพยี งใด จกั ไม่ลุกขนึ้ เพยี งนัน้ เนือ้ เลอื ดแห้งไป เหลอื หนังหุ้มกระดูก ก็ตาม\" (ปี 2544) พระสทิ ธตั ถะทรงผจญมารได้ชยั ชนะด้วยบารมีธรรมอะไรบ้าง? ตอบ ด้วยบารมธี รรม ๑๐ อยา่ ง คือ ทาน ศีล เนกขมั มะ ปัญญา วริ ิยะ ขนั ติ สจั จะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา (ปี 2548) พระญาณทีเ่ กิดขนึ ้ แกพ่ ระมหาบรุ ุษในวนั ทต่ี รัสรู้นนั้ คอื อะไรบ้าง? ตอบ คือ ๑.ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ญาณเป็นเคร่ืองระลกึ ถึงชาตหิ นหลงั ของพระองค์ได้ ๒.จตุ ปู ปาตญาณหรือทพิ พจกั ขญุ าณ ญาณหยง่ั รู้การจตุ ิและการเกิดของสตั ว์ทงั้ หลายที่เป็ นไปตามกรรม ๓.อาสวกั ขยญาณ ญาณเป็ นเหตสุ นิ ้ อาสวะอนั หมกั หมมอยใู่ นจิตตสนั ดาน ฯ (เร่ืองญาณ ๓ ปี 2545 และ 2543) ในราตรีแหง่ การตรัสรู้ พระมหาบรุ ุษทรงบรรลญุ าณอะไรในแตล่ ะยาม? ตอบ ทรงบรรลปุ พุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ในปฐมยาม ทรงบรรลจุ ตุ ปู ปาตญาณหรือทพิ พจกั ษุญาณ ในมชั ฌิมยาม ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ ในปัจฉิมยาม ฯ (ปี 2543) ญาณข้อไหน ทที่ าให้พระองค์ทรงสาเร็จความเป็ นพทุ ธะโดยสมบรู ณ์ ? ตอบ ญาณ ข้อท่ี ๓ หลงั ตรัสรู้ (ปี 2553) เมอ่ื พระพทุ ธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ทรงพจิ ารณาบคุ คลผ้สู ามารถจะตรัสรู้ธรรมได้โดยเปรียบเทียบกบั บวั ๓ เหลา่ อยา่ งไร บ้าง? ตอบ บัว ๓ เหล่า 8|Page
๑.ดอกบัวท่โี ผล่พ้นนา้ แล้ว เม่อื ถกู แสงพระอาทิตย์กพ็ ร้อมท่ีจะเบ่งบานทนั ทีคอื ผ้เู ข้าใจเร็วพลนั เพียงทา่ นยกหวั ข้อธรรมขนึ ้ แสดง (กิเลสน้อย อนิ ทรีย์กล้า) ๒.ดอกบัวท่ีอย่เู สมอนา้ พร้อมจะบานในวนั พรุ่ง คือผ้รู ู้และเข้าใจได้ตอ่ เม่ือทา่ นอธิบายขยายเนอื ้ ความจึงรู้แจ้ง (กิเลสปานกลาง อนิ ทรีย์ปานกลาง) ๓.ดอกบวั ท่อี ย่ใู ต้นา้ พร้อมท่จี ะบานในวันต่อๆ ไป คอื ผ้พู อแนะนาพร่าสอนบอ่ ยๆ คอ่ ยเข้าใจได้ (กิเลสหนา อนิ ทรีย์ออ่ น) (ปี 2558) ผ้ปู ระกาศตนเป็ นอบุ าสกด้วยการถงึ รัตนะ ๒ เป็ นครัง้ แรก คอื ใคร ? ได้พบพระพทุ ธเจ้าท่ไี หน ? ตอบ คือตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ ฯ ทีใ่ ต้ต้นราชายตนะ ฯ (ปี 2551) พระกระยาหารมือ้ แรกของพระพทุ ธเจ้าหลงั ตรัสรู้คืออะไร? ใครเป็ นผ้ถู วาย? ตอบ คอื ข้าวสตั ตผุ ง ข้าวสตั ตกุ ้อน ฯ พอ่ ค้า ๒ คน ช่ือตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ฯ (ปี 2545) พระพทุ ธองค์ทรงตดั สนิ พระทยั แสดงธรรมโปรดเวไนยสตั ว์เพราะทรงพจิ ารณาอยา่ งไร? ตอบ เพราะทรงพจิ ารณาวา่ บคุ คลผ้มู ีกิเลสน้อยเบาบางก็มี หนาก็มี ผ้มู ีอินทรีย์กล้าก็มี ออ่ นก็มี เป็ นผ้จู ะพงึ สอนให้รู้ได้โดยง่ายก็มี โดยยากก็มี เป็ นผ้สู ามารถจะรู้ได้ก็มี ไมส่ ามารถจะรู้ได้ก็มี เปรียบเหมือนดอกบวั ๔ เหลา่ เมือ่ เป็ นเช่นนนั้ พระธรรมเทศนาคงไมไ่ ร้ผล จกั ยงั ประโยชน์ให้สาเร็จแก่คนทกุ เหลา่ เว้นแตจ่ าพวกท่ีมิใช่เวไนยสตั ว์ท่เี ปรียบด้วยดอกบวั อนั เป็ นภกั ษาแหง่ ปลาและเตา่ ฯ (ปี 2544) พระสทิ ธตั ถะทรงบาเพ็ญเพียรอยเู่ ป็ นเวลาก่ีปี จึงได้ตรัสรู้ ? ตอบ เป็ นเวลา ๖ ปี (ปี 2556) เม่ือพระศาสดาเสด็จไปเมืองพาราณสเี พอ่ื โปรดปัญจวคั คีย์ ทรงพบใครในระหวา่ งทาง? และหลงั สนทนากนั แล้วผ้นู นั้ ได้ บรรลผุ ลอะไร? ตอบ ทรงพบอปุ กาชีวก ฯ ไมไ่ ด้บรรลผุ ลอะไร ฯ (ปี 2547) หลงั จากตรัสรู้แล้ว ในระหวา่ งทางที่เสด็จไปป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวนั พระพทุ ธองค์ทรงสนทนากบั ใคร? และผ้นู นั้ ได้บรรลุ ธรรมชนั้ ไหน? ตอบ ทรงพบอปุ กาชีวก ฯ อปุ กาชีวกไมไ่ ด้บรรลธุ รรมชนั้ ไหนเลย ฯ (ปี 2545) พระพทุ ธองค์ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ในพรรษาแรกเสดจ็ ประทบั อยทู่ ่ีไหน? และทรงบาเพ็ญพทุ ธกิจไว้อยา่ งไร? ตอบ ประทบั อยู่ ณ ป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ฯ ได้ทรงบาเพ็ญพทุ ธกิจท่ีสาคญั ไว้ดงั นี ้ ๑)ทรงแสดงธรรมโปรดพระภกิ ษุปัญจวคั คยี ์ให้ได้สาเร็จมรรคผลสงู สดุ ๒)ทรงแสดงธรรมโปรดพระยสะพร้อมด้วยสหายอีก ๕๔ คน จนสาเร็จพระอรหตั ผลทงั้ หมด ๓)ทรงแสดงธรรมโปรดบดิ ามารดาและภรรยาเกา่ ของพระยสะให้ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วแสดงตนเป็ นอบุ าสกอบุ าสกิ า ผ้ถู ึงพระ รัตนตรัยกอ่ นกวา่ ชนทงั้ ปวงในโลก ๔) ทรงสง่ พระอรหนั ตสาวก ๖๐ องค์ ไปประกาศพระศาสนายงั ถิ่นตา่ งๆ เพ่ือประโยชน์สขุ แก่ชาวโลก ฯ 9|Page
ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคยี ์ (คอยอุปัฏฐาก) ได้แก่ โกณฑัญญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ อัสสชิ วนั อาสาฬหบชู า พระพทุ ธเจ้าแสดงธรรมจกั รกัปปวตั ตนสตู ร บรรพชิตไมค่ วรเสพ ๑.กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค ๒.อตั ตกิลมถานุ โยค มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ข้อปฏบิ ตั อิ นั เป็ นทางสายกลางอริยมรรคมอี งค์ ๘ และอริยสจั ๔] บรรลเุ ป็ นพระอรหนั ต์พร้อมกนั ทงั้ หมดในวนั แรม ๕ คา่ เดอื น ๘ ด้วยธรรมะช่ือวา่ อนัตตลกั ขณสตู ร (ขนั ธ์ทงั้ ๕ เป็ นของไม่ เที่ยง เป็ นทกุ ข์ เป็ นอนตั ตา ไมค่ วรยดึ มนั่ ) พระอัญญาโกณฑญั ญะ ได้ดวงตาเหน็ ธรรมวา่ “ส่ิงใดส่ิงหน่ึง มีความเกิดเป็ นธรรมดา ส่งิ นัน้ ทงั้ หมดมีความดบั ไป เป็ นธรรมดา” ปัญจวคั คีย์ -> ได้ฟัง ธรรมจกั รกปั ปวตั ตนสตู ร มชั ฌิมาปฏปิ ทา อริยสจั ๔ และอตั ตลกั ขณสตู ร (ปี 2562, 2554) พระอญั ญาโกณฑญั ญะได้ชื่อวา่ เป็ นปฐมสาวก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะได้ฟังธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็ นองค์แรก ฯ (ปี 2561 และ 2555) พระพทุ ธเจ้าทรงตดั สนิ พระทยั จะแสดงธรรมแกป่ ัญจวคั คีย์ก่อนเพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะทรงระลกึ ถึงอปุ การคณุ ของปัญจวคั คีย์ที่ได้คอยอปุ ัฏฐากพระองค์เมื่อครัง้ ทรงบาเพญ็ ทกุ รกิริยา ฯ (ปี 2559) พระอรหนั ตสาวก ๕ รูปแรก คอื ใครบ้าง ? ตอบ ๑. พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๒. พระวปั ปะ ๓. พระภทั ทยิ ะ ๔. พระมหานามะ ๕. พระอสั สชิ เรียกวา่ พระปัญจวคั คยี ์ ฯ (ปี 2559) หลงั จากตรัสรู้แล้ว พระพทุ ธเจ้าทรงพระประสงค์จกั แสดงธรรมแก่ใครกอ่ น? และสมพระประสงค์หรือไม่ ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ ทรงพระประสงค์จกั แสดงแก่อาฬารดาบส กาลามโคตร และอทุ กดาบส รามบตุ ร ฯ ไมส่ มพระประสงค์ ฯ เพราะทา่ นทงั้ ๒ นนั้ สนิ ้ ชีพเสยี แล้ว ฯ (ปี 2558) ปัญจวคั คีย์ ได้แกใ่ ครบ้าง ? ทา่ นเหลา่ นนั้ อปุ สมบทด้วยวิธีอะไร ? ตอบ ได้แก่พระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระวปั ปะ พระภทั ทยิ ะ พระมหานามะ และ พระอสั สชิ ฯ ด้วยวิธีเอหิภกิ ขอุ ปุ สมั ปทาฯ (ปี 2557) พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ใคร และบงั เกิดผลเลศิ อยา่ งไร? ตอบ แก่พระปัญจวคั คยี ์ ฯ บงั เกิดผลเลศิ คือพระอญั ญาโกณฑญั ญะได้ดวงตาเหน็ ธรรมแล้วทลู ขอบรรพชา ฯ (ปี 2553) ปัญจวคั คยี ์ คอื ใคร? มคี วามเก่ียวข้องกบั พระพทุ ธเจ้าขณะท่ียงั ทรงบาเพ็ญทกุ รกิริยาอยา่ งไร? ตอบ คอื นกั บวชกลมุ่ หนงึ่ มีทงั้ หมด ๕ คน มีทา่ นโกณทญั ญะเป็ นหวั หน้า ฯ ได้ตามเสดจ็ คอยอปุ ัฏฐากรับใช้อยตู่ ลอดเวลา ฯ (ปี 2546) ปัญจวคั คีย์ ได้แกใ่ ครบ้าง? ทา่ นเหลา่ นนั้ อปุ สมบทด้วยวธิ ีอะไร? และบรรลอุ รหตั ผลท่ไี หน? ตอบ ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๑ พระวปั ปะ ๑ พระภทั ทยิ ะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอสั สชิ ๑ ฯ อปุ สมบทด้วยวธิ ีเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา ฯ บรรลอุ รหตั ผลท่ปี ่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี ฯ (ปี 2544) จงให้ความหมายของคาวา่ ปฐมเทศนา และมชั ฌิมาปฏปิ ทา ดอบ ปฐมเทศนา คอื การแสดงธรรมครัง้ แรก มชั ฌิมาปฏปิ ทา คือข้อปฏบิ ตั อิ นั เป็ นทางสายกลาง (ปี 2543) พระพทุ ธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาเมอื่ ไร? ใจความแหง่ ปฐมเทศนานนั้ วา่ ด้วยเรื่องอะไร? ตอบ เม่อื วนั เพ็ญ เดอื นอาสาฬหะ สองเดอื นหลงั จากตรัสรู้ วา่ ด้วยท่ีสดุ สองอยา่ งอนั บรรพชิตไมค่ วรเสพ, มชั ฌิมาปฏปิ ทา, และอริยสจั ๔ 10 | P a g e
ยสะกุลบุตร ยสกุลบุตร -> ได้ฟัง อนปุ พุ พีกถา และ อริยสจั ๔ (ปี 2562, 2559, 2555 และ 2544 ออกแทบทุกปี ) คาวา่ \"ที่นว่ี นุ่ วายหนอ ที่น่ีขดั ข้องหนอ\" เป็ นคาอทุ านของใคร ? เพราะเหตใุ ดจึง อทุ านเชน่ นนั้ ? ตอบ ของยสกลุ บตุ ร ฯ เพราะเหน็ อาการพิกลตา่ ง ๆ ของหมชู่ นบริวารท่ีนอนหลบั ไมเ่ ป็ นท่ตี งั้ แหง่ ความยินดเี หมอื น เมือ่ กอ่ น หมชู่ นบริวารเหลา่ นนั้ ปรากฏแกย่ สกลุ บตุ ร ดจุ ซากศพท่ีทงิ ้ อยใู่ นป่ าช้า ครัน้ เห็นแล้วเกิดความสงั เวชสลดใจ คดิ เบอื่ หนา่ ย จึง ได้ออกอทุ านเช่นนนั้ ฯ (ปี 2558) อนปุ พุ พกี ถา ๕ วา่ ด้วยเร่ืองอะไร ? ทรงแสดงครัง้ แรกแก่ใคร ? ตอบ วา่ ด้วยทาน ศลี สวรรค์ โทษแหง่ กาม และอานิสงส์แหง่ การออกจากกาม ฯ แกย่ สกลุ บตุ ร ฯ (ปี 2557) คาวา่ “ทีน่ ไี่ มว่ นุ่ วาย ทีน่ ่ีไมข่ ดั ข้อง” เป็ นวาจาของใคร? กลา่ วกะใคร? ตอบ ของพระพทุ ธเจ้า ฯ กะยสกลุ บตุ ร ฯ (ปี 2554) ท่นี ่ีวุ่นวายหนอ ท่นี ่ีขดั ข้องหนอ” เป็ นคาอุทานของใคร? ความวุ่นวายขดั ข้องนัน้ สงบลงได้อย่างไร ตอบ คาอทุ านของ ยสะกลุ บตุ ร ความวนุ่ วายขดั ข้องนนั้ สงบลงได้โดยการฟังพระธรรมเทศนา อนปุ พุ พกี ถาและอริยสจั ๔ ที่ พระพทุ ธเจ้าแสดงโปรด ชฎิล ๓ พ่ีน้อง ชฎลิ ๓ พ่ีน้อง -> ได้ฟัง อาทติ ตปริยายสตู ร ชฎิล ๓ พ่ีน้อง คอื อุรุเวลกสั สปะ นทีกสั สปะ คยากสั สปะ และบริวาร ๑,๐๐๐ คน พระพทุ ธเจ้าแสดงอาทติ ตปริยาย สูตร ท่ตี าบลคยาสสี ะ ใกล้แมน่ า้ คยา ใจความวา่ “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็ นของร้อนๆ เพราะไฟกิเลสมีความ กาหนดั ความโกรธหรือความหลง เผาลนจิตใจ และร้อนเพราะไฟทกุ ข์ มคี วามเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศก ร่าไร ราพนั ความ คบั แค้นใจ เป็ นต้น มาเผาลนให้ร้อน” (ปี 2551) พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงอาทิตตปริยายสตู รแก่ใคร? ท่ีไหน? ตอบ แกช่ ฎลิ ๓ พี่น้อง และบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ทต่ี าบลคยาสสี ะ ใกล้แมน่ า้ คยา ฯ โปรดพระเจ้าพิมพสิ าร ลฏั ฐิวนั (สวนตาลหนมุ่ ) เมอื งราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็ นสถานท่ีแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพมิ พสิ ารและข้าราชบริพารจน สาเร็จเป็ นพระโสดาบนั (๑๑ นหตุ บรรลโุ สดาบนั สว่ นอกี ๑ นหตุ ขอถึงพระรัตนตรัย) นหตุ คอื หนงึ่ หม่นื (ปี 2552) พระพทุ ธเจ้าทรงเลอื กแคว้นมคธเป็ นที่ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาเป็ นแหง่ แรก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะแคว้นมคธ เป็ นแคว้นใหญ่มอี านาจและบริบรู ณ์ด้วยสมบตั ิ มปี ระชาชนมาก มีเจ้าลทั ธิมาก จงึ ทรงเลอื ก ฯ (ปี 2549) เพราะเหตใุ ดพระพทุ ธเจ้าทรงเลอื กแคว้นมคธเป็ นทีป่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาเป็ นครัง้ แรก ? ตอบ เพราะแคว้นมคธเป็ นเมอื งใหญ่มอี านาจและบริบรู ณ์ด้วยสมบตั ิ คบั คงั่ ด้วยประชาชน พระเจ้าพิมพสิ ารทรงปกครองโดยสทิ ธ์ิขาด ทงั้ เป็ นท่อี ยแู่ หง่ ครูเจ้าลทั ธิมากกวา่ มาก ฯ (ปี 2545) พระราชาของแคว้นไหนทนี่ บั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็ นองค์แรก? และทรงพระนามวา่ อะไร? 11 | P a g e
ความปรารถนาวา่ \"ขอให้ข้าพเจ้ารู้ทว่ั ถงึ ธรรมของพระอรหนั ต\"์ เป็ นความปรารถนาของใคร? และความปรารถนานนั้ สาเร็จบริบรู ณ์ เมอ่ื ไร? ตอบ พระราชาของแคว้นมคธ ทรงพระนามวา่ พิมพิสาร ฯ ของพระเจ้าพมิ พสิ ารครัง้ ยงั ทรงเป็นพระราชกมุ าร ฯ สาเร็จบริบรู ณ์ในวนั ท่ีได้ฟังอนปุ พุ พกี ถาและอริยสจั ๔ ที่พระพทุ ธเจ้าทรงแสดง โปรด ณ สวนตาลหนมุ่ จนได้ดวงตาเหน็ ธรรม ฯ (ปี 2543) พระพทุ ธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์ครัง้ แรกภายหลงั ตรัสรู้ประทบั ทไ่ี หน? ทรงรับถวายพระอารามแหง่ แรกช่ืออะไร? ตอบ ประทบั ณ ลฏั ฐิวนั สวนตาลหนมุ่ ฯ ชื่อวา่ เวฬวุ นารามฯ พระอสั สชิ พระสารีบุตร พระพระโมคคัลลานะ พระอสั สชิ แสดงธรรมให้อปุ ติสสะวา่ “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านัน้ และ ความดับของธรรมเหล่านัน้ พระองค์มปี กติตรัสอย่างน”ี้ พระสารีบุตร(อุปติสสะ) สาเร็จเป็ นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากพระอสั สชิ ได้ดวงตาเหน็ ธรรมวา่ “ส่งิ ใดส่ิงหน่ึง มี ความเกดิ เป็ นธรรมดา ส่งิ นัน้ ทงั้ หมดมคี วามดับไปเป็ นธรรมดา” และหลงั บวชได้๑๕ วนั บรรลพุ ระอรหนั ต์ พระโมคคัลลานะ(โกลิตะ) สาเร็จเป็ นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากพระสารีบตุ ร ได้ดวงตาเหน็ ธรรมเพราะฟังธรรมจาก พระสารีบตุ ร และหลงั บวชได้ ๗ วนั บรรลพุ ระอรหนั ต์ (ปี 2561) พระสารีบตุ รสาเร็จเป็ นพระโสดาบนั เพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนนั้ มใี จความวา่ อยา่ งไร ? ตอบ จากพระอสั สชิเถระ ฯ ใจความวา่ \"ธรรมใดเกิดแตเ่ หตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตแุ หง่ ธรรมนนั้ และความดบั แหง่ ธรรมนนั้ \" ฯ (ปี 2560 และ 2552) พระอคั รสาวกทงั้ ๒ องค์สาเร็จเป็ นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากใคร ? ตอบ พระสารีบตุ ร ฟังธรรมจากพระอสั สชิเถระ ฯ พระโมคคลั ลานะ ฟังธรรมจากพระสารีบตุ ร ฯ (ปี 2557) พระสารีบตุ ร พระโมคคลั ลานะ ได้ดวงตาเหน็ ธรรมเพราะฟังธรรมจากใคร? ตอบ พระสารีบตุ รฟังธรรมจากพระอสั สชิ พระโมคคลั ลานะฟังธรรมจากพระสารีบตุ ร ฯ (ปี 2553) คาวา่ ดวงตาเห็นธรรม นนั้ คือเห็นอยา่ งไร? พระโมคคลั ลานะและพระสารีบตุ รได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากใคร? ตอบ คือเหน็ วา่ สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ มีความเกิดขนึ ้ เป็ นธรรมดา สงิ่ นนั้ ทงั้ มวลมีความดบั เป็ นธรรมดา ฯ พระโมคคลั ลานะได้ดวงตาเหน็ ธรรม เพราะฟังธรรมจากพระสารีบตุ ร และพระสารีบตุ รได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากพระอสั สชิเถระ ฯ จาตุรงคสนั นิบาต (วนั มาฆบขู า) จาตุรงคสันนิบาต เกิดขนึ ้ ทว่ี ดั เวฬวุ นั (ปี 2551) จาตรุ งคสนั นบิ าต คือ การประชมุ ท่ปี ระกอบด้วยองค์อะไรบ้าง? ตอบ ด้วยองค์ คือ ๑. พระสาวกผ้เู ข้าประชมุ นนั้ ล้วนเป็ นพระอรหนั ต์ ๒. ทกุ ทา่ นล้วนได้รับเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา ๓. ไมไ่ ด้มกี ารนดั หมาย ตา่ งมาประชมุ พร้อมกนั เอง ๔. วนั นนั้ เป็ นวนั เพญ็ เดือนมาฆะ และพระศาสดาประทาน พระบรมพทุ โธวาท ซง่ึ เรียกวา่ โอวาทปาฏโิ มกข์ ฯ 12 | P a g e
(ปี 2548) ในวนั จาตรุ งคสนั นบิ าต พระศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ใคร? ทไี่ หน? ทรงยกธรรมข้อใดขนึ ้ แสดงเป็ นข้อต้น? ตอบ ทรงแสดงแกพ่ ระอรหนั ตขีณาสพ จานวน ๑,๒๕๐ องค์ ฯ ณ เวฬวุ นาราม ยกธรรมข้อขนั ติขนึ ้ แสดงเป็ นข้อต้น พระธรรมเทศนาพระสูตร อริยสัจ ๔ (ปี 2549) ในปฐมเทศนา พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงอริยสจั ไว้เทา่ ไร? อะไรบ้าง? ตอบ ทรงแสดงอริยสจั ไว้ ๔ ประการ ฯ คอื ๑.ทกุ ข์ ๒.สมทุ ยั ๓.นิโรธ ๔.มรรค ฯ อนัตตลักขณสูตร (ขนั ธ์ทงั้ ๕ เป็ นของไมเ่ ทยี่ ง เป็ นทกุ ข์ เป็ นอนตั ตา ไมค่ วรยดึ มนั่ ) มผี ลให้พระปัญจวคั คที งั้ ๕ บรรลุ อรหตั ตผล (ปี 2552) อนตั ตลกั ขณสตู ร วา่ ด้วยเร่ืองอะไร? ทรงแสดงเมอื่ ไร? ผลเป็ นอยา่ งไร? ตอบ วา่ ด้วย ขนั ธ์ ๕ เป็ นอนตั ตา ฯ เมอ่ื วนั แรม ๕ ค่า เดือน ๘ ฯ ผลคือจิตของพระปัญจวคั คีย์ทงั้ ๕ พ้นแล้วจากอาสวะ ไมถ่ ือมนั่ ด้วย อปุ าทาน ฯ (ปี 2543) พระธรรมเทศนาตอ่ ไปนี ้พระพทุ ธองค์ทรงแสดงทีไ่ หน และมผี ลอยา่ งไร ? ก.อนตั ตลกั ขณสตู ร ข.อาทติ ตปริยายสตู ร ตอบ ก.ทรงแสดงท่ปี ่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั มีผลให้พระปัญจวคั คีย์ทงั้ ๕ ได้บรรลอุ รหตั ตผล ข.ทรงแสดงท่ตี าบลคยาสสี ะ ใกล้แมน่ า้ คยา มีผลให้พระภกิ ษุปรุ าณชฎิลบรรลอุ รหตั ตผล อนุปุพพกี ถา (ปี 2558) อนปุ พุ พกี ถา ๕ วา่ ด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงครัง้ แรกแกใ่ คร ? ตอบ วา่ ด้วยทาน ศลี สวรรค์ โทษแหง่ กาม และอานิสงส์แหง่ การออกจากกาม ฯ แกย่ สกลุ บตุ ร ฯ (ปี 2548) อนปุ พุ พกี ถา คอื อะไรบ้าง? ทรงแสดงแกใ่ ครเป็ นครัง้ แรก? ตอบ คอื ทาน ศลี สวรรค์ กามาทีนพ และเนกขมั มานสิ งส์ ฯ แก่ยสกลุ บตุ ร ฯ อาทติ ตปริยายสูตร ท่ีตาบลคยาสสี ะ ใกล้แมน่ า้ คยา ใจความวา่ “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็ นของร้อนๆ เพราะ ไฟกิเลสมคี วามกาหนดั ความโกรธหรือความหลง เผาลนจิตใจ และร้อนเพราะไฟทกุ ข์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศกร่า ไร ราพนั ความคบั แค้นใจ เป็ นต้น มาเผาลนให้ร้อน” มผี ลทาให้ชฎิล บรรลอุ รหตั ตผล เวทนาปริคคหสตู ร แกท่ ฆี นขปริพาชก ณ ถา้ สกุ รขาตา เขาคิชฌกฏู แขวงเมืองราชคฤห์ ฯ มีใจความวา่ “ให้พจิ ารณา ร่างกาย ซง่ึ มคี วามแตกทาลายไมย่ ง่ั ยืน และแสดงผลเสยี ของการยดึ มน่ั พร้อมกบั ตรัสให้ละเลกิ ทิฏฐิอยา่ งนนั้ เสยี ” (ปี 2545) พระพทุ ธองค์ทรงแสดงธรรมตอ่ ไปนแี ้ ก่ใคร? ทีไ่ หน? ก) โอวาทปาฏโิ มกข์ ข) เวทนาปริคคหสตู ร 13 | P a g e
ตอบ ก) แก่พระอรหนั ตขณี าสพ ๑,๒๕๐ องค์ ณ เวฬวุ นาราม แคว้นมคธ ข) แก่ทีฆนขปริพาชก ณ ถา้ สกุ รขาตา เขาคิชฌกฏู แขวงเมอื งราชคฤห์ ฯ ส่งิ แรก/ส่ิงสุดท้าย ท่ีน่าจา (ปี 2562, 2554) พระอญั ญาโกณฑญั ญะได้ช่ือวา่ เป็ นปฐมสาวก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะได้ฟังธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็ นองค์แรก ฯ (ปี 2561) ปฐมสาวกและปัจฉิมสาวก คอื ใคร ? ตอบ ปฐมสาวก คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ปัจฉิมสาวก คอื พระสภุ ทั ทะ ฯ (ปี 2560, 2555 และ 2546) เทศนากณั ฑ์แรก ชื่ออะไร ? ปัจฉิมสกั ขสิ าวก คอื สาวกองค์สดุ ท้าย ท่ีได้เหน็ พระศาสดา ได้แก่ใคร ? ตอบ เทศนากณั ฑแ์ รก ช่ือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ฯ ปัจฉิมสกั ขิสาวก ได้แก่ พระสภุ ทั ทะ ฯ (ปี 2560 และ 2550) ธรรมจกั ษุ ดวงตาเห็นธรรมนนั้ คือเหน็ วา่ อยา่ งไร? ได้เกิดขนึ ้ แก่ ผ้ใู ดเป็ นคนแรก? ตอบ เหน็ วา่ “สงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ มีความเกิดขนึ ้ เป็ นธรรมดา สง่ิ นนั้ ทงั้ หมดล้วนมคี วามดบั เป็ นธรรมดา” ฯ เกิดแก่โกณฑญั ญพราหมณ์เป็ น คนแรก ฯ (ปี 2558) ผ้ปู ระกาศตนเป็ นอบุ าสกด้วยการถงึ รัตนะ ๒ เป็ นครัง้ แรก คอื ใคร ? ได้พบพระพทุ ธเจ้าท่ีไหน ? ตอบ คือตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ ฯ ท่ใี ต้ต้นราชายตนะ ฯ (ปี 2558) ใครถวายบิณฑบาตแดพ่ ระพทุ ธองค์กอ่ นตรัสรู้ และกอ่ นปรินิพพาน ? ตอบ ก่อนตรัสรู้ คอื นางสชุ าดา ก่อนปรินิพพาน คือนายจนุ ทะ ฯ (ปี 2556) บคุ คลผ้แู สดงตนเป็ นอบุ าสกด้วยการถงึ รัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ เป็ นคนแรกคอื ใคร ? ตอบ ผ้ถู งึ รัตนะ ๒ คือตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ฯ ผ้ถู งึ รัตนะ ๓ คอื บิดาพระยสะ ฯ (ปี 2555) พระโสดาบนั องค์แรก เรียกวา่ เป็ น ปฐมสาวก คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ (ปี 2555) พระอรหนั ต์ มคี รัง้ แรก คือ พระปัญจวัคคยี ์ (ปี 2560 และ 2552) คฤหสั ถ์ทีบ่ รรลพุ ระอรหตั ผลคนแรกคอื ใคร ? เพราะฟังธรรมอะไร ? ตอบ คอื ยสกลุ บตุ ร ฯ เพราะฟังอนปุ พุ พกี ถา และอริยสจั ๔ ฯ (ปี 2552) พระพทุ ธเจ้าทรงเลอื กแคว้นมคธเป็ นทปี่ ระดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็ นแห่งแรก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะแคว้นมคธ เป็ นแคว้นใหญ่มีอานาจและบริบรู ณ์ด้วยสมบตั ิ มีประชาชนมาก มีเจ้าลทั ธิมาก จงึ ทรงเลอื ก ฯ (ปี 2551) พระอรหนั ตสาวก ๕ รูปแรก คอื ใครบ้าง? ตอบ คือ ๑. พระโกณฑญั ญะ ๒. วปั ปะ ๓. ภทั ทยิ ะ ๔. มหานามะ ๕. อสั สชิ (ปี 2549) ผ้ใู ดได้ถวายภตั ตาหารมอื ้ แรกหลงั จากตรัสรู้ และภตั ตาหารมือ้ สดุ ท้ายก่อนปรินิพพานแก่พระพทุ ธเจ้า? ตอบ ตปุสสะและภลั ลิกะ ๒ พาณิช ได้ถวายภตั ตาหารมือ้ แรกหลงั จากตรัสรู้แล้ว นายจุนทกัมมารบุตร ได้ถวายภตั ตาหารมือ้ สดุ ท้ายก่อนปรินิพพาน ฯ (ปี 2548) อนปุ พุ พีกถา คอื อะไรบ้าง? ทรงแสดงแกใ่ ครเป็ นครัง้ แรก? ตอบ คือ ทาน ศีล สวรรค์ กามาทนี พ และเนกขมั มานิสงส์ ฯ แกย่ สกลุ บตุ ร ฯ (ปี 2545) พระพทุ ธองค์ประทบั จาพรรษาสดุ ท้าย ณ ท่ีใด? พระองค์ทรงปลงอายสุ งั ขารเมอื่ ใด? ตอบ ณ บ้านเวฬวุ คาม กรุงเวสาลี แคว้นวชั ชี ฯ เมื่อวนั เพ็ญเดอื น ๓ คอื ๓ เดือนกอ่ นเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน ฯ 14 | P a g e
(ปี 2543) พระพทุ ธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์ครัง้ แรกภายหลงั ตรัสรู้ประทบั ท่ไี หน? ทรงรับถวายพระอารามแหง่ แรกชอื่ อะไร? ตอบ ประทบั ณ ลฏั ฐิวนั สวนตาลหนมุ่ ฯ ช่ือวา่ เวฬวุ นารามฯ ก่อนปรินิพพาน (ปี 2562 และ 2547) การปลงอายสุ งั ขารของพระพทุ ธองค์ ถือโดยใจความวา่ อยา่ งไร ? และทรงปลงอายสุ งั ขารเมื่อใด ? ตอบ ถือโดยใจความวา่ พระองค์ทรงปรารภถึงสงั ขารวา่ ทรงพระชราลว่ งกาลผา่ นไปไมส่ ามารถ บาเพญ็ พทุ ธกิจตอ่ ไปได้อีกแล้ว ฯ เมอ่ื วนั เพญ็ เดอื น ๓ ก่อนวนั ปรินพิ พาน ๓ เดือน ฯ (ปี 2550) พระพทุ ธองค์ทรงปลงอายสุ งั ขาร คือทรงทาอยา่ งไร? ทไ่ี หน? เมอ่ื ไร? ตอบ คอื ทรงกาหนดพระหฤทยั วา่ “จกั ปรินพิ พานในอกี ๓ เดือนข้างหน้า” ฯ ทรงทาที่ปาวาลเจดยี ์ เมอื งเวสาลี แคว้นวชั ชี ฯ เมอ่ื วนั เพญ็ เดือน ๓ ก่อนปรินิพพาน ๓ เดอื น (วนั มาฆบชู า) ฯ (ปี 2545) พระพทุ ธองค์ประทบั จาพรรษาสดุ ท้าย ณ ท่ีใด? พระองค์ทรงปลงอายสุ งั ขารเมอื่ ใด? ตอบ ณ บ้านเวฬวุ คาม กรุงเวสาลี แคว้นวชั ชี ฯ เมอ่ื วนั เพญ็ เดอื น ๓ คือ ๓ เดอื นก่อนเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน ฯ (ปี 2543) พระพทุ ธองค์ทรงจาพรรษาสดุ ท้ายทเ่ี มอื งอะไร? ทรงรับภตั ตาหารมอื ้ สดุ ท้ายทีเ่ มืองอะไร? ตอบ ทเ่ี วฬวุ คาม เขตเมอื งเวสาลฯี ทีป่ าวานคร ฯ (ปี 2544) พระพทุ ธองค์ได้ตรัสถึงสาเหตขุ องแผน่ ดินไหวไว้อยา่ งไรบ้าง ? จงบอกมา ๕ สาเหตุ ตอบ ตรัสถงึ สาเหตดุ งั ตอ่ ไปนี ้ (เลอื กตอบเพยี ง ๕ ข้อ) ๑) ลมกาเริบ ๒) ทา่ นผ้มู ีฤทธ์ิบนั ดาล ๓) พระโพธิสตั ว์จตุ ิจากดสุ ติ ลงสพู่ ระครรภ์ ๔) พระโพธิสตั ว์ประสตู ิ ๕) พระพทุ ธเจ้าตรัสรู้พระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๖) พระพทุ ธเจ้ายงั ธรรมจกั รให้เป็ นไป ๗) พระพทุ ธเจ้าทรงปลงอายสุ งั ขาร ๘) พระพทุ ธเจ้าปรินพิ พานด้วยอนปุ าทิเสสนพิ พานธาตุ (ปี 2550) พระพทุ ธเจ้าเสวยพระกระยาหารอะไร กอ่ นแตเ่ สดจ็ ปรินิพพาน? ใครถวาย? ตอบ เสวยมงั สะสกุ รออ่ น (สกู รมทั ทวะ) ฯ นายจนุ ทกมั มารบตุ รถวาย ฯ (ปี 2545) เมือ่ จะเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน พระพทุ ธองค์ได้ประทานพระโอวาทเร่ืองศาสดาแทนพระองค์ไว้อยา่ งไร? พระผ้มู ีพระภาคได้ตรัสถงึ วิธีปฏบิ ตั ิตอ่ ภิกษุผ้ถู กู ลงพรหมทณั ฑ์ไว้อยา่ งไร? 15 | P a g e
ตอบ ได้ประทานพระโอวาทวา่ \"ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วนิ ัยกด็ ี อันใด อนั เราได้แสดงแล้ว ได้บัญญตั ิแล้วแก่ท่านทงั้ หลาย ธรรมและวนิ ัยนัน้ จักเป็ นศาสดาแห่งท่านทงั้ หลาย โดยกาลท่ลี ่วงไปแล้วแห่งเรา\" ฯ ตรัสไว้วา่ \"ภิกษุนนั้ จะพงึ ปรารถนาเจรจาคาใด ก็พงึ เจรจาคานนั้ ภกิ ษุทงั้ หลายไมพ่ งึ วา่ ไมพ่ งึ โอวาท ไมพ่ งึ สงั่ สอนเลย\" ฯ (ปี 2544) พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงแกพ่ ระอานนท์เก่ียวกบั การท่ีภิกษุจะพงึ ปฏบิ ตั ิตอ่ สตรีไว้อยา่ งไร? ตอบ ทรงแสดงวา่ \" ไม่เห็นเสียเลยดกี ว่า ถ้าจาเป็ นจะต้องเหน็ กอ็ ย่าพดู ด้วย ถ้าจาเป็ นจะต้องพดู ก็ให้มสี ติสารวมระวังอย่า ให้แปรปรวนไปด้วยราคะ \" (ปี 2548) พระปัจฉิมโอวาท มีใจความวา่ อยา่ งไร? ทรงประทานท่ไี หน? ตอบ พระปัจฉิมโอวาท มีใจความ “ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย บดั นเี ้ราขอเตือนทา่ นทงั้ หลายวา่ สงั ขารทงั้ ปวงมีความเสอื่ มไปเป็ นธรรมดา ทา่ นทงั้ หลายจงยงั กิจของตนและของคนอ่ืนให้ถงึ พร้อม ด้วยความไมป่ ระมาทเถิด” ทรงประทานที่ สาลวโนทยาน เมอื งกสุ นิ ารา แคว้น มลั ละ (ปี 2561 และ 2553) พระพทุ ธเจ้าทรงสรรเสริญปฏบิ ัติบชู าย่งิ กวา่ อามิสบูชาเพราะเหตไุ ร ? ตอบ การปฏิบตั บิ ชู า ถ้าปฏบิ ตั สิ มควรแกธ่ รรม ก็จะเป็ นเหตปุ ัจจยั ให้ตรัสรู้ธรรมได้ เป็ นไปตามจดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ในพระศาสนา เป็ น พทุ ธประสงค์หลกั ในการเผยแผศ่ าสนา และทาให้ศาสนาตงั้ อยไู่ ด้นาน ถปู ารหบุคคล คอื บคุ คลที่ควรแกก่ ารบรรจอุ ฐั ิธาตไุ ว้ในสถปู เพื่อบชู า มี ๔ ประเภท ได้แก่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า, พระปัจเจกพทุ ธเจ้า, พระอรหนั ตสาวก และพระเจ้าจกั รพรรด์ิ (ปี 2559) ถปู ารหบคุ คล มีกี่ประเภท ? คอื ใครบ้าง ? ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ๒. พระปัจเจกพทุ ธเจ้า ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจ้าจกั รพรรด์ิ ฯ (ปี 2554 และ 2546) ถปู ารหบคุ คล คอื บคุ คลเช่นไร? ได้แกใ่ ครบ้าง? หลังปรินิพพาน (ปี 2558) สถานทถี่ วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ ชื่อวา่ อะไร ? ตงั้ อยใู่ นเมืองอะไร ? ตอบ ช่ือวา่ มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ ฯ เมืองกสุ นิ ารา ฯ (ปี 2557) ผ้ทู ่ีกลา่ วสนุ ทรพจน์ระงบั ไมใ่ ห้เกิดสงครามแยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุ คอื ใคร? ตอบ โทณพราหมณ์ ฯ (ปี 2546) เมอื่ วนั พระศาสดาปรินิพพาน มีพระสาวกผ้ใู หญ่อยใู่ นทนี่ นั้ ก่ีรูป? ใครบ้าง? หลงั พทุ ธปรินิพพานแล้ว ได้มีการถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระทไี่ หน? เมอ่ื ไร? ตอบ มี ๒ รูป คอื พระอนรุ ุทธเถระ และพระอานนทเถระ ฯ ที่ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ ฯ หลงั พทุ ธปรินิพพานได้ ๗ วนั ฯ สงั คายนา (ปี 2547) พระพทุ ธศาสนาสบื เนอ่ื งมาถงึ ปัจจบุ นั นไี ้ ด้อยา่ งไร? 16 | P a g e
ตอบ ได้ด้วยการที่บริษัททงั้ ๔ ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั และด้วยวธิ ีท่พี ระสงฆ์สาวกผ้ใู หญ่ มีพระมหากสั สปะเป็ นต้น เป็ นประธาน จดั ทาสงั คายนาพระธรรมวินยั วางแบบแผนที่ถกู ต้องลงไว้ในพระพทุ ธศาสนาเป็ นครัง้ แรก เพอ่ื ให้บริษัท ๔ ได้เลา่ เรียนปฏิบตั ติ าม เมอื่ มสี ง่ิ ไรไมเ่ ป็ นธรรมเกิดขนึ ้ ในพระพทุ ธศาสนา พระอริยสงฆ์ในยคุ นนั้ ๆ ได้ชว่ ยกนั ทาสงั คายนาเป็ นครัง้ ท่ี ๒ และครัง้ ท่ี ๓ เป็ นลาดบั มา เพือ่ ชาระสทั ธรรมปฏริ ูปนนั้ เสยี จนได้จารึกไว้ในพระคมั ภีร์ให้แพร่หลาย รวมทงั้ จดั การสง่ พระสงฆ์ไปประกาศพระพทุ ธศาสนาใน ดนิ แดนตา่ งๆ ให้ชมุ ชนในดนิ แดนนนั้ ๆ เลอ่ื มใสปฏบิ ตั ิตาม จงึ ทาให้พระพทุ ธศาสนาสบื เนื่องมาจนปัจจบุ นั นี ้ฯ สถานท่เี ก่ยี วกับพระพุทธเจ้า สังเวชนีสถาน ๔ ประสตู ิ ใต้ต้นสาละ สวนลมุ พนิ ีวนั ตรัสรู้ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ริมฝ่ังแมน่ า้ เนรัญชรา ตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม ปฐมเทศนา ป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี แคว้นมคธ ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละคู่ ณ สาลวนั (สาลวโนทยาน) เมอื งกสุ นิ ารา แคว้นมลั ละ (ปี 2557) สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบล เป็ นสถานท่ใี ห้ระลกึ ถงึ เหตกุ ารณ์สาคญั อะไรบ้าง? ตอบ เหตกุ ารณ์ทพี่ ระพทุ ธองค์ ๑. ประสตู ิ ๒. ตรัสรู้ ๓. ทรงแสดงธรรมจกั กปั ปวตั ตนสตู รเป็ นครัง้ แรก ๔. เสด็จปรินิพพาน ฯ (ปี 2553 และ 2544) สงั เวชนยี สถาน ๔ ได้แกท่ ่ีใดบ้าง? ตอบ ได้แก่ ๑. สถานทีป่ ระสตู ิ ๒. สถานทีต่ รัสรู้ ๓. สถานทแ่ี สดงปฐมเทศนา ๔. สถานที่ปรินพิ พาน ฯ (ปี 2551) สถานที่ตอ่ ไปนเี ้ก่ียวข้องกบั พระพทุ ธเจ้าอยา่ งไร ก. ลมุ พนิ ีวนั ข. อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ค. สาลวโนทยาน ตอบ ก. ลมุ พนิ ีวนั เป็ นสถานทปี่ ระสตู ิ ข. อิสปิ ตนมฤคทายวนั เป็ นสถานท่ที รงแสดงปฐมเทศนา ค. สาลวโนทยาน เป็ นสถานทีป่ รินพิ พาน สถานท่อี ่ืนๆ ป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี แคว้นมคธ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวคั คยี ์ ลฏั ฐิวนั (สวนตาลหนมุ่ ) เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็ นสถานท่ีแสดงอนปุ พุ พกี ถาและอริยสจั ๔ เพ่ือโปรดพระเจ้าพมิ พสิ ารและ ข้าราชบริพารจนสาเร็จเป็ นพระโสดาบนั (๑๑ นหตุ บรรลโุ สดาบนั สว่ นอกี ๑ นหตุ ขอถงึ พระรัตนตรัย) นหตุ คอื หนงึ่ หมน่ื วดั เวฬุวนั (สวนไม้ไผ่ หรือ เวฬวุ นาราม) เมอื งราชคฤห์ แคว้นมคธ วดั แรกในพระพทุ ธศาสนา พระเจ้าพิมพิสาร เป็ นผ้สู ร้างถวาย เป็ นสถานท่พี ระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหนั ตขีณาสพ ๑,๒๕๐ องค์ 17 | P a g e
วดั เชตวัน เมืองสาวตั ถี แคว้นโกศล อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เป็ นผ้สู ร้างถวาย และพระพทุ ธองค์ประทบั จาพรรษานานถงึ ๑๙ พรรษา สาลวนั (สาลวโนทยาน) เมืองกสุ นิ ารา แคว้นมลั ละ ทรงแสดงมรรคมีองค์แปดแก่สภุ สั ททปริพาชก เป็ นสถานทีป่ รินิพพาน *** แนวข้อสอบมกั จะถามว่า ครัง้ พทุ ธกาล วดั (สถานท่ี)นนั้ ตงั้ อยเู่ มืองอะไร? ใครเป็ นผ้สู ร้างถวาย? สถานท่นี นั้ เก่ียวข้องกบั พระบรม ศาสดาอยา่ งไร? แสดงธรรมอะไรในท่ีนนั้ ? *** (ปี 2562 และ 2555) ครัง้ พทุ ธกาล วดั เชตวนั ตงั้ อยทู่ ี่เมืองอะไร ? ใครเป็ นผ้สู ร้างถวาย ? ตอบ เมืองสาวตั ถี ฯ อนาถบณิ ฑิกเศรษฐีเป็นผ้สู ร้างถวาย ฯ (ปี 2554 และ 2546) สถานท่ตี อ่ ไปนเี ้ก่ียวข้องกบั พระบรมศาสดาอยา่ งไร? ๑. ลมุ พินวี นั ๒. อิสปิ ตนมฤคทายวนั ๓. ลฏั ฐิวนั ๔. เวฬวุ นั ๕. สาลวนั ตอบ ๑. ลมุ พนิ วี นั เป็ นสถานท่ีประสตู ิ ๒. อิสปิ ตนมฤคทายวนั เป็ นสถานท่ที รงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวคั คยี ์ ๓. ลฏั ฐิวนั เป็ นสถานทท่ี รงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพสิ ารและบริวารจนสาเร็จเป็ นพระโสดาบนั ๔. เวฬวุ นั เป็ นสถานท่ีทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ ๕. สาลวนั เป็ นสถานที่ทรงแสดงมรรคมอี งค์แปดแก่สภุ ทั ทปริพาชก และเป็ นสถานทีเ่ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน ฯ (ปี 2546) สถานทต่ี อ่ ไปนเี ้กี่ยวข้องกบั พระพทุ ธเจ้าอยา่ งไร ? ก. ลฏั ฐิวนั ข. เชตวนั ตอบ ก.ลฏั ฐิวนั เป็ นสถานท่ที ีพ่ ระศาสดาทรงแสดงอนปุ พุ พีกถาและอริยสจั ๔ แดพ่ ระเจ้าพมิ พิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารผ้เู สดจ็ ไป เข้าเฝ้ า ณ ท่ีนน่ั ฯ ข. เชตวนั เป็ นพระอารามซงึ่ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐีสร้างถวาย และพระพทุ ธองค์ประทบั จาพรรษานานถงึ ๑๙ พรรษา ฯ (ปี 2545) สถานทต่ี อ่ ไปนมี ้ ีความเก่ียวเนอ่ื งกบั พระพทุ ธองค์อยา่ งไร ? ก) เวฬวุ นั ข) สาลวนั ตอบก)เป็ นพระราชอทุ ยานของพระเจ้าพิมพิสารซง่ึ ทรงถวายเป็ นที่ประทบั ของพระพทุ ธองค์พร้อมกบั พระสงฆ์ เป็ นสงั ฆารามแหง่ แรกฯ ข) เป็ นสถานทีแ่ สดงธรรมโปรดสภุ ทั ทปริพาชกผ้เู ป็ นปัจฉิมสกั ขสิ าวก และเป็ นสถานทีป่ รินพิ พาน ฯ ประเภทของเจดีย์ ๑.ธาตุเจดยี ์ บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ๒.บริโภคเจดีย์ สง่ิ ของหรือสถานที่ที่พระพทุ ธเจ้าเคยทรงใช้สอย มี สงั เวชนยี สถาน, บาตร, จีวร, กฏุ ,ิ วิหาร,ตมุ พสถปู (สถปู บรรจุ ทะนานทองที่ใช้ตวงพระธาตุ เม่อื พระพทุ ธเจ้าปรินิพพานแล้ว) ,องั คารสถปู ๓.ธรรมเจดยี ์ สงิ่ ท่ีจารึกคาสอนพระพทุ ธเจ้า เชน่ คาภรี ์ พระไตรปิ ฎก ใบลาน แผน่ ศิลา หนงั สอื ๔.อุทเทสิกเจดีย์ พระพทุ ธรูป (ปี 2552) พระพทุ ธรูป สงั เวชนียสถาน ตมุ พสถปู และ องั คารสถปู อยา่ งไหนเป็ นบริโภคเจดยี ์และอทุ เทสกิ เจดีย์ ? ตอบ สงั เวชนียสถาน ตมุ พสถปู และ องั คารสถปู เป็ นบริโภคเจดยี ์ 18 | P a g e
พระพทุ ธรูป เป็ นอทุ เทสกิ เจดีย์ ฯ อ่ืน ๆ (ปี 2547) ในพิธีศวิ าราตรี ถือวา่ การอาบนา้ ชาระร่างกายในแมน่ า้ เป็ นการลอยบาป สว่ นในทางพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจ้าทรงแสดง วิธีลอยบาปไว้อยา่ งไร? ตอบ ทรงแสดงไว้วา่ การยงั บาปให้สงบระงบั จากสนั ดาน ละกิเลสทท่ี าให้เป็ นผ้ดู รุ ้ายเยอ่ หยิ่งและกิเลสทีย่ ้อมจิตให้ติดแนน่ ใน กามารมณ์ เป็ นการลอยบาป ฯ ศาสนพิธ๊ ศาสนพธิ ี คือ แบบอยา่ งหรือแบบแผนตา่ งๆ ท่พี งึ ปฏบิ ตั ใิ นทางพระพทุ ธศาสนา แยกออกเป็ น ๔ หมวด ดงั นี ้ ๑.กุศลพิธี (หมายถงึ พธิ ีการบาเพญ็ กุศล) เป็ นพิธีกรรมทาความดีแกต่ นเอง ได้แก่ พิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ พิธีเวียนเทียนใน วนั สาคญั ทางพทุ ธศาสนา พิธีรกั ษาอโุ บสถ ๒.บุญพิธี (หมายถงึ พิธีการทาบุญ) เป็ นพิธีบญุ เนือ่ งด้วยประเพณีในครอบครัวของชาวพทุ ธ เกี่ยวกบั ชีวติ ของคนไทยทวั่ ไป เก่ียวกบั เร่ืองฉลองบ้าน เร่ืองต้องการให้เกิดสริ ิมงคลบ้าง เร่ืองตายบ้าง จึงเกิดมีพิธีกรรมท่ีจะต้องปฏิบตั ขิ นึ ้ และถือปฏบิ ตั ิสบื ๆ กนั มาตงั้ แต่ โบราณกาล ได้แก่ ทาบญุ งานมงคล ทาบญุ งานอวมงคล ๓.ทานพิธี พิธีถวายทานตา่ งๆ มกี าร ถวายสงั ฆทาน เป็ นต้น ๔.ปกณิ กพธิ ี ข้อปฏบิ ตั ใิ นพิธีกรรมทว่ั ๆ ไปท่ีชาวพทุ ธนยิ มทากนั แตย่ งั ไมเ่ ป็ นหมวดมารวบรวมเป็ นหมวดหมู่ ได้แก่ การแสดงความ เคารพพระ การประเคนของพระ การทาหนงั สืออาราธนาและใบปวารณาถวายจตปุ ัจจยั การอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนา พระปริตร และ การกรวดน้า (ปี 2562, 2559) ศาสนพธิ ี คอื อะไร ? ผ้ทู ีไ่ ด้เรียนรู้แล้วได้รับประโยชน์อยา่ งไรบ้าง ? ตอบ คือ แบบอยา่ ง หรือแบบแผนตา่ ง ๆ ทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ิในทางพระศาสนา ฯ ยอ่ มได้รับประโยชน์ คือ เป็ นผ้ฉู ลาดในพิธีกรรมท่ีเก่ียวด้วยการบาเพญ็ กศุ ล การทาบญุ และการถวายทาน สามารถในการจดั พิธีตา่ ง ๆ ได้ถกู ต้องตามระเบยี บแบบแผน ชื่อวา่ เป็ นผ้รู ักษาขนบประเพณอี นั งดงามของพระพทุ ธศาสนาไว้ได้ด้วย ฯ ปี 2557) ศาสนพธิ ี คืออะไร? มหี มวดอะไรบ้าง? ตอบ คือแบบอยา่ งหรือแบบแผนตา่ งๆ ที่พงึ ปฏบิ ตั ิในทางพระพทุ ธศาสนา ฯ มี ๑. หมวดกศุ ลพิธี ๒. หมวดบญุ พธิ ี ๓. หมวดทานพธิ ี ๔. หมวดปณิณกะ ฯ (ปี 2556) บญุ พิธีมีกี่อยา่ ง ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๒ อยา่ ง ฯ คือ ๑. การทาบญุ งานมงคล ๒. การทาบญุ งานอวมงคล ฯ (ปี 2550, 2544) ศาสนพิธี คืออะไร? เม่ือแยกเป็ นหมวดจะได้หมวดอะไรบ้าง การทาบญุ ขนึ ้ บ้านใหมจ่ ดั อยใู่ นหมวดไหน? ตอบ คือ แบบอยา่ งหรือแบบแผนตา่ ง ๆ ที่พงึ ปฏิบตั ใิ นทางพระพทุ ธศาสนา ฯ จะได้ ๑. หมวดกศุ ลพิธี ๒. หมวดบญุ พิธี ๓. หมวดทานพิธี ๔. หมวดปกิณกะ ฯ 19 | P a g e
จดั อยใู่ นหมวดบญุ พิธี ฯ (ปี 2549) กศุ ลพิธี หมายถงึ ? บญุ พธิ ี หมายถงึ ? (ปี 2548) ศาสนพิธี คืออะไร? ผ้ทู ี่ได้เรียนรู้แล้วได้รับประโยชน์อยา่ งไรบ้าง? ตอบ คอื แบบอยา่ ง หรือแบบแผนตา่ ง ๆ ทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ิในทางพระศาสนา ฯ ยอ่ มได้รับ ประโยชน์ คือ เป็ นผ้ฉู ลาดในพิธีกรรมท่ีเกี่ยวด้วยการบาเพญ็ กศุ ล การทาบญุ และการถวายทาน สามารถในการจดั พธิ ตี า่ งๆ ได้ถกู ต้อง ตามระเบยี บแบบแผน ชื่อวา่ เป็ นผ้รู ักษาขนบประเพณีอนั งดงามของพระพทุ ธศาสนาไว้ได้ด้วย ฯ (ปี 2547) ในพิธีทาบญุ ตา่ งๆ มผี ้เู กี่ยวข้องในการปฏบิ ตั กิ ี่ฝ่ าย? คือใครบ้าง? ตอบ มีผ้เู ก่ียวข้องในการปฏบิ ตั ิ ๒ ฝ่ าย คือ ๑. ฝ่ ายเจ้าภาพ คอื ทายกทายิกา ผ้ปู ระกอบการทาบญุ ๒. ฝ่ ายปฏคิ าหก คือผ้รู ับทานและประกอบพิธีกรรมตามประสงค์ ของเจ้าภาพ ซงึ่ เป็ นบรรพชิต เรียกอีกอยา่ งวา่ ฝ่ ายพระสงฆ์ ฯ (ปี 2546 และ 2543) ทา่ นได้ศกึ ษาศาสนพิธีแล้ว เข้าใจเร่ืองตอ่ ไปนอี ้ ยา่ งไร? ก.บญุ พธิ ี ข.ทานพิธี ตอบ ก.บญุ พิธี วา่ ด้วยพิธีทาบญุ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑) ทาบญุ งานมงคล เชน่ ทาบญุ ขนึ ้ บ้านใหม่ ทาบญุ อายเุ ป็ นต้น ๒) ทาบญุ งานอวมงคล เชน่ งานศพ เป็ นต้น ฯ ข.ทานพธิ ี วา่ ด้วยพธิ ีถวายทานตา่ ง ๆ เช่น ถวายสงั ฆทานเป็ นต้น ฯ พุทธมามกะ (กุศลพิธี) หมายถึง ผ้ทู ี่ประกาศตนวา่ เป็ นผ้รู ับนบั ถือพระพทุ ธเจ้า เป็ นการแสดงตนให้ปรากฏวา่ ยอมรับนบั ถือ พระพทุ ธศาสนาประจาชีวติ ของตน (ปี 2561 และ 2558) การแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ หมายถึงอะไร ? ตอบ หมายถงึ การประกาศตนของผ้แู สดงวา่ ยอมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาประจาชีวติ ของตน ฯ (ปี 2553) พทุ ธมามกะหรือพทุ ธมามิกาหมายถงึ บคุ คลเชน่ ไร? (ปี 2549) พทุ ธมามกะ หมายถึง? (ปี 2544) พธิ ีแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ หมายถงึ อะไร? ตอบ หมายถงึ การประกาศตนของผ้แู สดงวา่ เป็ นผ้รู ับนบั ถือพระพทุ ธเจ้าเป็ นของตน เป็ นการแสดงตนให้ปรากฏวา่ ยอมรับนบั ถือ พระพทุ ธศาสนาประจาชีวิตของตน การแสดงความเคารพในศาสนพธิ ี มี ๓ อย่าง (ปกณิ กพิธ)ี ประนมมอื (อญั ชล)ี คอื การไหว้กระพมุ่ มือทงั้ สองประกบกนั ไว้ระหวา่ งอกโดยให้ทกุ นวิ ้ ของมอื ทงั้ สองแนบชิดติดตรงกนั ไหว้ (วนั ทา หรือ นมสั การ) คอื การยกมือท่ปี ระนมขนึ ้ พร้อมก้มศีรษะเลก็ น้อย ให้มอื ประนมจรดหน้าผาก นวิ ้ มือทงั้ ๒ อยรู่ ะหวา่ งคิว้ กราบ (อภิวาท) คอื การแสดงอาการกราบราลงพนื ้ ด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ 20 | P a g e
(ปี 2556) การแสดงความเคารพพระสงฆ์มกี ่ีวธิ ?ี อะไรบ้าง? ตอบ มี ๓ วิธี ฯ คอื ๑. ประนมมอื เรียกวา่ อญั ชลี ๒. ไหว้ เรียกวา่ นมสั การ ๓. กราบ เรียกวา่ อภิวาท ฯ (ปี 2552) การแสดงความเคารพในศาสนพธิ ีมีอะไรบ้าง? ในแตล่ ะอยา่ งมวี ิธีปฏิบตั อิ ยา่ งไร? ตอบ มี ประนมมอื ๑ ไหว้ ๑ กราบ ๑ ฯ ประนมมอื คือการกระพมุ่ มอื ทงั้ สองประกบกนั ไว้ระหวา่ งอก โดยให้ทกุ นวิ ้ ของมือทงั้ สองแนบชิดตดิ ตรงกนั ไหว้ คือการยกมือทีป่ ระนมขนึ ้ พร้อมก้มศีรษะเลก็ น้อยให้มอื ประนมจรดหน้าผาก นวิ ้ มอื ทงั้ ๒ อยรู่ ะหวา่ งคิว้ กราบ คือการแสดงอาการกราบราบลงพนื ้ ด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ฯ (ปี 2549) การแสดงความเคารพพระมีกี่วธิ ี ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๓ วธิ ี ฯ คือ ๑.ประนมมอื ในบาลเี รียกวา่ ทาอญั ชลี ๒.ไหว้ ในบาลเี รียกวา่ นมสั การ ๓.กราบ ในบาลเี รียกวา่ อภวิ าท ฯ (ปี 2546) การแสดงความเคารพมีกี่วิธ?ี อะไรบ้าง? ในแตล่ ะวิธีนนั้ มวี ธิ ีปฏบิ ตั ิอยา่ งไร? ตอบ มี ๓ วธิ ีคือ ประนมมอื ๑ ไหว้ ๑ กราบ ๑ ฯ ประนมมอื คือการกระพมุ่ มือทงั้ สองประกบกนั ไว้ระหวา่ งอก โดยให้ทกุ นวิ ้ ของมือทงั้ สองแนบชิดตดิ ตรงกนั ไหว้ คอื การยกมอื ท่ีประนมขนึ ้ พร้อมก้มศรี ษะเลก็ น้อยให้มอื ประนมจรดหน้าผาก นวิ ้ มือทงั้ ๒ อยรู่ ะหวา่ งควิ ้ กราบ คือการแสดงอาการกราบราบลงพนื ้ ด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ได้แก่กราบด้วยองค์ ๕ คอื หน้าผาก ๑ ฝ่ ามอื ๒ เขา่ ๒ จรดพนื ้ ฯ (ปี 2545 และ 2543) การกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ หมายถงึ อยา่ งไร? ตอบ หมายถงึ การกราบพร้อมด้วยองค์ ๕ คือให้หน้าผาก กบั ฝ่ ามอื สองข้าง เขา่ สองข้างจดพนื ้ ฯ การประเคนของ (ปกณิ กพธี )ี (ปี 2553) ในการประเคนของถวายพระ มวี ธิ ีปฏิบตั ิอยา่ งไร? ตอบ จบั ของท่ีประเคนด้วยมือทงั้ สอง ยกขนึ ้ สงู เลก็ น้อยแล้วน้อยไปประเคนพระ ซง่ึ พระทา่ นจะยน่ื มอื มารับ ถ้าผ้ปู ระเคนเป็ นผ้หู ญิง พระผ้รู ับทา่ นจะปผู ้ารับประเคนแล้วผ้ปู ระเคนก็เอาของวางบนผ้ารับประเคน เสร็จพงึ ไหว้หรือกราบก็เป็ นอนั เสร็จ (ปี 2544) จงอธิบายวธิ ีปฏบิ ตั ิในการประเคนของถวายพระ การเผดียงสงฆ์/การอาราธนา การเผดียงสงฆ์ (ปกิณกพิธ)ี หมายถงึ การแจ้งความประสงค์ให้สงฆ์ทราบ การอาราธนา (ปกณิ กพิธ)ี หมายถงึ การนิมนต์พระสงฆ์ในพิธีให้ศีล สวดพระปริตร หรือแสดงธรรม (ปี 2561) การเผดยี งสงฆ์และการอาราธนา ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั คอื การเผดยี งสงฆ์ ได้แก่ การแจ้งความประสงค์ให้สงฆ์ทราบ 21 | P a g e
การอาราธนา ได้แก่ การนมิ นต์พระสงฆ์ในพธิ ีให้ศลี สวดพระปริตร หรือแสดงธรรม ฯ (ปี 2547) การเผดียงสงฆ์ และ การอาราธนา หมายถึงอะไร? (ปี 2545) คาวา่ \"เผดยี งสงฆ์\" หมายถึงอะไร ? ปาฏบิ ุคลกิ ทาน คอื ทานทถี่ วายเจาะจงเฉพาะพระรูปนนั้ รูปนี ้ สังฆทาน คือ ทานทีถ่ วายไมเ่ จาะจงพระรูปใด มอบเป็ นของกลางให้สงฆ์เฉลยี่ กนั ใช้สอย (ปี 2560, 2549 และ 2544) ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน และ สงั ฆทาน หมายถงึ อะไร ? (ปี 2554) ปาฏิบคุ ลกิ ทานตา่ งจากสงั ฆทานอยา่ งไร? งานมงคล/อวมงคล (บุญพธิ ี) (ปี 2555 และ 2545) เจริญพระพทุ ธมนต์ กบั สวดพระพทุ ธมนต์ ใช้ในพิธีตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ ใช้ในพธิ ีมงคล สวดพระพุทธมนต์ ใช้ในพธิ ีอวมงคล (ปี 2551) คาอาราธนาพระสงฆ์มาสวดมนต์ในพิธีทาบญุ งานมงคลกบั ในพธิ ีทาบญุ งานอวมงคล ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ ในงานมงคล ใช้คาวา่ ขออาราธนาเจริญพระพทุ ธมนต์ สว่ นในงานอวมงคล ใช้คาวา่ ขออาราธนาสวดพระพทุ ธมนต์ (ปี 2551)ในพธิ ีทาบญุ งานมงคล เจ้าภาพพงึ จดุ เทียนนา้ มนต์ เมื่อพระสงฆ์เจรญิ พระพทุ ธมนต์สตู รใด? ตอบ มงคลสตู ร ฯ (ปี 2544) ในงานมงคลควรจดุ เทียนนา้ มนต์เมอ่ื ไร? ตอบ เม่ือพระสงฆ์เจริญพระพทุ ธมนต์ ถึงมงคลสตู ร ขนึ ้ ต้นบทวา่ อเสวนา จ พาลาน พิธีเวียนเทียนในวันสาคัญทางพุทธศาสนา (กุศลพธิ ี) วันสาคัญทางศาสนา มี ๔ วัน (พธิ ีเวยี นเทียนในวันสาคญั ทางพุทธศาสนา) ๑.วนั มาฆบชู า ขนึ ้ ๑๕ ค่าเดอื น ๓ เป็ นวนั คล้ายวนั ท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในทา่ มกลางพระอริยสงฆ์จานวน ๑,๒๕๐ องค์ ๒.วนั วสิ าขบูชา ขนึ ้ ๑๕ ค่าเดือน ๖ เป็ นวนั คล้ายวนั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้า ประสตู ิ ตรัสรู้ ปรินพิ พาน ๓.วันอัฏฐมบี ชู า แรม ๘ ค่าเดอื น ๖ เป็ นวนั คล้ายวนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธเจ้า ๔.วนั อาสาฬหบชู า ขนึ ้ ๑๕ ค่าเดือน ๘ เป็ นวนั คล้ายวนั ท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา (ปี 2562 และ 2558) วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา กาหนดไว้กี่วนั ? มีวนั อะไรบ้าง? ตอบ ๔ วนั ฯ มีวนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมีบชู า วนั มาฆบชู า และวนั อาสาฬหบชู า ฯ (ปี 2560) วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีนิยมประกอบพิธีการบชู าเป็ นพเิ ศษ ในปี หนงึ่ ๆ มวี นั อะไรบ้าง ? ตอบ วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมีบชู า วนั มาฆบชู า และวนั อาสาฬหบชู า ฯ 22 | P a g e
(ปี 2559) วนั แรม ๘ ค่า เดอื น ๖ เป็ นวนั อะไร ? มีเหตกุ ารณ์สาคญั อะไรเกิดขนึ ้ ในวนั นนั้ ? ตอบ เป็ นวนั อฏั ฐมีบชู า ฯ เป็ นวนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ ฯ (ปี 2550) วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาทนี่ ยิ มประกอบพิธีกรรมมีการบชู าเป็ นต้น ปี หนง่ึ ๆ มีวนั อะไรบ้าง? ตอบ วนั วิสาขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า วนั มาฆบชู า และวนั อาสาฬหบชู า ฯ (ปี 2550) การเดนิ เวียนเทียนรอบปชู นียสถานในวนั สาคญั ทางพระศาสนา เดินเวยี นซ้ายหรือเดนิ เวียนขวา? เดินเวยี นกี่รอบ? แตล่ ะรอบพงึ ปฏิบตั อิ ยา่ งไร ตอบ การเดินเวยี นเทียนรอบสถานท(ี่ ปชู นยี สถาน) เดินเวียนขวา คือ เดนิ เวยี นไปทางที่มอื ขวาของตน หนั เข้าหาสถานที่ทเ่ี วียนนนั้ เวยี น ๓ รอบ พงึ ปฏิบตั ิอยา่ งนี ้ รอบท่ี ๑ พงึ ตงั้ ใจระลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ โดยนยั บท อติ ปิ ิ โส ภควา อรห ฯลฯ รอบท่ี ๒ พงึ ตงั้ ใจระลกึ ถึงพระธรรมคณุ โดยนยั บท สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม ฯลฯ รอบท่ี ๓ พงึ ตงั้ ใจระลกึ ถึงพระสงั ฆคณุ โดยนยั บท สปุ ฏปิ นโฺ ภควโต สาวกสงฺโฆ ฯลฯ (ปี 2548) วนั อาสาฬหบชู า ตรงกบั วนั อะไรทางจนั ทรคต?ิ มคี วามสาคญั อยา่ งไร? ตอบ ตรงกบั วนั เพ็ญเดือน ๘ ก่อนวนั เข้าปรุ ิมพรรษา ๑ วนั ฯ มคี วามสาคญั เพราะเป็ นวนั ทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด พระปัญจวคั คีย์ท่ีป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี ในปี ทีต่ รัสรู้ใหม่ และผลของการแสดงพระธรรมเทศนากณั ฑ์นี ้เป็ นเหตุ ให้พระโกณฑญั ญะได้ดวงตาเหน็ ธรรม และทลู ขอบรรพชาอปุ สมบท เป็ นพระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพทุ ธศาสนา จึงเป็ นวนั ทม่ี รี ัตนะ ครบ ๓ บริบรู ณ์ เรียกวา่ พระรัตนตรัย ฯ (ปี 2545) วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา กาหนดไว้กี่วนั ? มีวนั อะไรบ้าง ? วนั แรม ๘ คา่ เดอื น ๖ เป็ นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาอยา่ งไร ? ตอบ ๔ วนั มวี นั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า วนั มาฆบชู า และวนั อาสาฬหบชู า ฯ เป็ นวนั อฏั ฐมีบชู า คอื วนั คล้ายกบั วนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ ฯ อุโบสถ กบั ปกตอิ ุโบสถ (ปี 2548) อโุ บสถ กบั ปกติอโุ บสถ หมายถงึ อะไร? ตอบ อุโบสถ หมายถงึ การเข้าจา คือการจาศีล เป็ นอบุ ายขดั เกลากิเลสอยา่ งหยาบให้เบาบาง เป็ นทางแหง่ ความสงบระงบั อนั เป็ น ความสขุ อยา่ งสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา ปกติอุโบสถ หมายถงึ อโุ บสถที่รักษากนั ในวนั พระตามปกตเิ ฉพาะวนั หนง่ึ คืนหนง่ึ อยา่ งท่อี บุ าสกอบุ าสกิ ารักษาอยปู่ ัจจบุ นั บทสวดต้องท่องไปสอบ ให้ฝึ กเขียนให้ถกู ต้องทุกบท () คาอาราธนาศีล ๕ (ออกปี 2555 และ 2551) มย ภนฺเต วสิ ุ วสิ ุ รกฺขณตฺถาย ตสิ รเณน สห, ปญฺจ สลี านิ ยาจาม ทตุ ิยมปฺ ิ, มย ภนเฺ ต วิสุ วสิ ุ รกฺขณตถฺ าย ติสรเณน สห, ปญฺจ สลี านิ ยาจาม ตติยมปฺ ิ, มยฺ ภนเฺ ต วสิ ุ วิสุ รกฺขณตถฺ าย ติสรเณน สห, ปญฺจ สลี านิ ยาจาม 23 | P a g e
คาอาราธนาพระปริตร (ออกปี 2557, 2554 , 2545) วิปตฺตปิ ฏพิ าหาย สพพฺ สมปฺ ตตฺ สิ ทิ ฺธิยา สพพฺ ทกุ ฺขวนิ าสาย ปริตฺต พฺรูถ มงฺคล วปิ ตฺติปฏพิ าหาย สพพฺ สมฺปตตฺ สิ ทิ ธฺ ิยา สพพฺ ภยวินาสาย ปริตฺต พฺรูถ มงฺคล วิปตตฺ ิปฏิพาหาย สพพฺ สมปฺ ตตฺ ิสทิ ฺธิยา สพฺพโรควินาสาย ปริตตฺ พฺรูถ มงฺคล คาสมาทานอุโบสถศลี (ออกปี 2552) => อย่ใู นหมวดกุศลพธิ ี ๑.ปาณาติปาตา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ๒.อทินนฺ าทานา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ๓.อพฺรหฺมจริยา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ๔.มสุ าวาทา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทยิ ามิ ๕.สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทยิ ามิ ๖.วกิ าลโภชนา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ๗.นจฺจคีตวาทติ วสิ กู ทสสฺ นา มาลาคนฺธวเิ ลปนธารณมณฺฑนวภิ สู นฏฺฐานา เวรมณี สกิ ฺขาปท สมาทยิ ามิ ๘.อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สกิ ฺขาปท สมาทยิ ามิ (ปี 2552) อโุ บสถศีล มกี ่ีข้อ? ข้อท่ี ๓ วา่ อยา่ งไร? การเข้าจาอโุ บสถศลี นอี ้ ยใู่ นหมวดไหนของศาสนพิธี? ตอบ มี ๘ ข้อ ฯ ข้อท่ี ๓ วา่ อพรฺ หมฺ จริยา เวรมณี สกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ฯ อยใู่ นหมวดกศุ ลพิธี การกรวดนา้ (ปกิณกพิธี ปี 2549 ปี 2547 ปี 2543) (ปี 2549 และ 2543) การกรวดนา้ มีวิธีทาอยา่ งไรบ้าง ? คากรวดนา้ แบบยอ่ ทส่ี ดุ วา่ อยา่ งไร ? ตอบ วิธีกรวดนา้ คอื เตรียมนา้ สะอาดใสไ่ ว้ในภาชนะทใ่ี สน่ า้ กรวด พอพระสงฆ์เริ่มอนโุ มทนาด้วยบทวา่ ยถา… ก็เร่ิมกรวดนา้ เวลาริน ไมใ่ ห้นา้ ขาดสาย โดยตงั้ ใจนกึ อทุ ศิ สว่ นบญุ ฯ คากรวดนา้ แบบยอ่ วา่ อิท เม ญาตนี โหตุ แปลวา่ ขอบญุ กศุ ลนี ้จงสาเร็จแก่ญาตทิ งั้ หลายของข้าพเจ้าเถิด (หรือ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย แปลวา่ ขอญาตทิ งั้ หลายจงเป็ นสขุ ๆ เถิดๆ) (ปี 2547) เพือ่ ปฏบิ ตั ใิ ห้ถกู ต้องตามหลกั ศาสนพธิ ี เจ้าภาพพงึ กรวดนา้ และประนมมอื รับพรตอนไหน? ตอบ เม่ือพระสงฆ์เริ่มอนโุ มทนาด้วยบทวา่ ยถา วาริวหา ฯเปฯ เจ้าภาพพงึ กรวดนา้ ไมใ่ ช้นวิ ้ มือรอง เวลารินไมใ่ ห้นา้ ขาดสาย พอวา่ บท สพพฺ ีติโย ฯเปฯ รินนา้ ให้หมดแล้วประนมมือรับพรตอ่ ไปจนจบ ฯ 24 | P a g e
(คาลากลบั บ้าน ปี 2546) คาวา่ หนทฺ ทานิ มย ภนเฺ ต อาปจุ ฺฉาม พหกุ ิจฺจา มย พหกุ รณียา ใครเป็ นผ้กู ลา่ ว และกลา่ วในโอกาสอะไร? ใครเป็ นผ้กู ลา่ วตอบคานนั้ และกลา่ ววา่ อยา่ งไร? ตอบ อบุ าสกอบุ าสกิ าผ้ไู ปฟังธรรมในวนั ธมั มสั สวนะเป็ นผ้กู ลา่ วในโอกาสลากลบั บ้าน ฯ พระสงฆ์กลา่ ว และกลา่ ววา่ ยสสฺ ทานิ ตมุ ฺเห กาล มญฺญถ ฯ คาถวายสงั ฆทานพร้อมคาแปล (ปี 2543) อิมานิ มย ภนเฺ ต, ภตฺตาน,ิ สปริวาราน,ิ ภกิ ฺขสุ งฺฆสสฺ , โอโณชยาม, สาธโุ น ภนเฺ ต, ภกิ ฺขสุ งฺโฆ, อิมาน,ิ ภตตฺ านิ สปริวาราน,ิ ปฏิคคฺ ณหฺ าตุ , อมหฺ าก, ทีฆรตฺต, หิตาย, สขุ าย แปล ข้าแตพ่ ระสงฆ์ผ้เู จริญ ข้าพเจ้าทงั้ หลายขอน้อมถวายซง่ึ ภตั ตาหารกบั ของทเ่ี ป็ นบริวาร ทงั้ หลายเหลา่ นแี ้ ดพ่ ระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับซงึ่ ภตั ตาหารกบั ของท่ีเป็ นบริวารทงั้ หลาย เหลา่ นเี ้พื่อประโยชน์ เพ่ือความสขุ แก่ข้าพเจ้าทงั้ หลายสนิ ้ กาลนานเทอญ 25 | P a g e
ทบทวน วินัยมุข เร่ืองการบวช วิธีอุปสมบทมี ๓ อย่าง ๑.เอหิภกิ ขุอุปสัมปทา พระพทุ ธเจ้าบวชให้ ด้วยวาจาวา่ “เธอจงเป็ นภกิ ษุมาเถดิ ” ๒.ตสิ รณคมนูปสมั ปทา พระสาวกบวชให้ อปุ สมบทด้วยการให้ถึงสรณะ ๓ ในปัจจบุ นั เป็ นการบวชเณร ๓.ญตั ติจตุตถกัมมอุปสัมปทา มอบให้สงฆ์เป็ นใหญ่ในการอปุ สมบท อปุ สมบทด้วยกรรมมญี ตั ตเิ ป็ นที่ ๔ (ปี 2547) อปุ สมั ปทา (การอปุ สมบท) มี ๓ วธิ ี ในปัจจบุ นั ใช้วธิ ีไหน? กาหนดสงฆ์อยา่ งตา่ ไว้เทา่ ไร? ตอบ ใช้ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา การอปุ สมบทด้วยกรรมมญี ตั ติเป็ นที่ ๔ ฯ กาหนดสงฆ์อยา่ งต่าไว้คอื ในมธั ยมประเทศ ๑๐ รูป ในปัจจนั ตชนบท ๕ รูป ฯ ความหมายพระวินัย พระวินัย ได้แก่ พระพทุ ธบญั ญตั ิ และอภสิ มาจาร [ทงั้ ๒ นเี ้รียกวา่ พระวนิ ยั ] พุทธบัญญตั ิ คือ ข้อห้ามที่พระพทุ ธเจ้าทรงตงั้ ขนึ ้ เพ่ือป้ องกนั ความประพฤติเสยี หาย และวางโทษแกภ่ กิ ษุผ้ลู ว่ งละเมดิ ด้วยปรับอาบตั ิหนกั บ้าง เบาบ้าง อภสิ มาจาร คือ ขนบธรรมเนียมท่ีทรงแตง่ ตงั้ ขนึ ้ เพอื่ ชกั นาความประพฤติของภกิ ษุสงฆ์ให้ดงี าม (ปี 2562, 2558) พระวนิ ยั คอื อะไร ? ภิกษุรักษาพระวินยั แล้ว ยอ่ มได้อานสิ งส์อะไร ? ตอบ คือพระพทุ ธบญั ญตั ิและอภิสมาจาร ฯ ได้อานสิ งส์ คอื ไมต่ ้องเดอื ดร้อนใจ ได้รับความแช่มช่ืนวา่ ได้ประพฤติดงี าม จะเข้าหมภู่ ิกษุผ้มู ีศีลก็องอาจไมส่ ะทกสะท้าน ฯ (ปี 2555) ภิกษุผ้ปู ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร จึงชื่อวา่ มศี ลี ? ตอบ ภิกษุสารวมกายวาจาให้เรียบร้อย เว้นข้อท่ีทรงห้าม ทาตามข้อท่ที รงอนญุ าต จึงช่ือว่ามศี ีล (ปี 2553) พระวนิ ยั ได้แกอ่ ะไร? สกิ ขาบทท่ีเป็ นอเตกิจฉา คอื ท่ภี ิกษุลว่ งละเมิด แล้วไมส่ ามารถจะแก้ไขได้ ได้แก่อะไร? ตอบ ได้แก่ พระพทุ ธบญั ญตั ิ และอภสิ มาจาร ฯ ได้แก่ ปาราชิก ๔ (ปี 2552) พทุ ธบญั ญตั ิและอภิสมาจาร คอื อะไร? ทงั้ ๒ รวมเรียกวา่ อะไร? ตอบ พทุ ธบญั ญตั ิ คอื ข้อห้ามทีพ่ ระพทุ ธเจ้าทรงตงั้ ขนึ ้ เพ่อื ป้ องกนั ความประพฤตเิ สยี หาย และวางโทษแก่ภิกษุผ้ลู ว่ ง ละเมดิ ด้วยปรับอาบตั หิ นกั บ้าง เบาบ้าง สว่ นอภิสมาจาร คอื ขนบธรรมเนียมทท่ี รงแตง่ ตงั้ ขนึ ้ เพ่ือชกั นาความประพฤตขิ อง ภกิ ษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ ทงั้ ๒ นีร้ วมเรียกว่า พระวินัย ฯ (ปี 2550) พระศาสดาทรงบญั ญตั พิ ระวินยั ไว้เพ่อื อะไร? ตอบ เพ่ือป้ องกนั ความประพฤตเิ สยี หายของภกิ ษุสงฆ์ และเพือ่ ชกั นาความประพฤตขิ องภกิ ษุสงฆ์ให้ดงี าม (ปี 2549) ทาไมต้องมพี ระวนิ ยั สาหรับปกครองหมภู่ ิกษุ และหมภู่ ิกษุทาไมต้องประพฤติตามพระวนิ ยั ? 1|Page
ตอบ หากจะไมม่ ีพระวนิ ยั สาหรับปกครอง หรือหมภู่ ิกษุจะไมป่ ระพฤตติ ามพระวนิ ยั ก็จะเป็ นหมภู่ กิ ษุที่เลวทราม ไมเ่ ป็ น ทต่ี งั้ แหง่ ศรัทธาและเลอ่ื มใส แตถ่ ้าตา่ งรูปประพฤตติ ามพระวินยั ก็จะเป็ นหมภู่ กิ ษุท่ดี ี ทาให้เกิดศรัทธาเลอ่ื มใส พระวินยั จงึ รักษาหมภู่ ิกษุให้ตงั้ อยเู่ ป็ นอนั ดี และทาให้เป็ นหมทู่ ่ีงดงาม ฯ (ปี 2549) พระศาสดาผ้เู ป็ นสงั ฆบดิ รดแู ลภกิ ษุสงฆ์ ทรงทาหน้าทท่ี างพระวินยั อยา่ งไร ? ตอบ ทรงทาหน้าที่ ๒ ประการ คือ ๑.ทรงตงั้ พทุ ธบญั ญตั เิ พื่อป้ องกนั ความประพฤตเิ สยี หาย และวางโทษแก่ภกิ ษุผ้ลู ว่ งละเมดิ ด้วยปรับอาบตั หิ นกั บ้าง เบา บ้าง ๒.ทรงตงั้ ขนบธรรมเนียม ซง่ึ เรียกวา่ อภิสมาจารเพอื่ ชกั นาความประพฤตขิ องภกิ ษุสงฆ์ให้ดงี าม (ปี 2548) ในพระวนิ ยั กาหนด ๑ ปี มกี ี่ฤด?ู อะไรบ้าง? ตงั้ แตว่ นั แรม ๑ คา่ เดือน ๘ ถึงวนั ขนึ ้ ๑๕ คา่ เดอื น ๑๒ เป็ นฤดู อะไร? ตอบ ๓ ฤดู คือ ฤดหู นาว ๑ ฤดรู ้อน ๑ ฤดฝู น ๑ ฯ ฤดฝู น ฯ (ปี 2546) ข้อความวา่ “ พระศาสดาทรงตงั้ อยใู่ นทีเ่ ป็ นพระธรรมราชาผ้ปู กครอง ” หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ หมายความวา่ ทรงตงั้ พระพทุ ธบญั ญตั เิ พ่อื ป้ องกนั ความประพฤติเสยี หาย และวางโทษแกผ่ ้ลู ว่ งละเมดิ ด้วยปรับ อาบตั ิหนกั บ้าง เบาบ้าง อยา่ งเดียวกบั พระเจ้าแผน่ ดินทรงตราพระราชบญั ญตั ิ ฯ (ปี 2546) พระบญั ญตั ทิ ที่ รงตงั้ ไว้เดิมเรียกวา่ อะไร ? ตอบ เรียกวา่ มลู บญั ญตั ิ ฯ (ปี 2545) พระวินยั คอื อะไร? ตอบ คือพระพทุ ธบญั ญตั แิ ละอภสิ มาจาร ฯ (ปี 2545) \"อาทิกมั มกิ ะ\" ความหมายอยา่ งไร? ตอบ ภิกษุผ้กู ่อเหตใุ ห้ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบทขนึ ้ (ปี 2544) พทุ ธบญั ญตั ิ มลู บญั ญตั ิ อนบุ ญั ญตั ิ คืออะไร? ตอบ พุทธบัญญัติ คือข้อท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงตงั้ ไว้เป็ นบทบงั คบั ให้ภกิ ษุประพฤติ มลู บัญญตั ิ คือข้อท่ีทรงบญั ญตั ิไว้เดิม อนุบัญญัติ คือข้อท่ที รงบญั ญตั ิเพม่ิ เตมิ ภายหลงั (ปี 2544) ทา่ นเปรียบพระวินยั เหมือนด้ายร้อยดอกไม้ หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ หมายความวา่ ด้ายร้อยดอกไม้ควบคมุ ดอกไม้ไว้ไมใ่ ห้กระจดั กระจายฉนั ใด พระวนิ ยั ยอ่ มรักษาสงฆ์ให้ตงั้ อยเู่ ป็ นอนั ดีฉนั นนั้ อานิสงส์ของผู้รักษาวนิ ัยดี ๑.ไมเ่ ดอื ดร้อนใจภายหลงั (เกิดวิปฏสิ าร) ๒.ได้รับความแชม่ ช่ืนใจ เพราะรู้สกึ วา่ ตนประพฤติดีงามแล้ว ๓.มีความองอาจในหมภู่ ิกษุผ้มู ีศลี (ปี 2559) ภกิ ษุปฏบิ ตั ศิ ลี สมาธิ ปัญญาดีแล้ว จะได้รับประโยชนอ์ ยา่ งไร ? ตอบ ยอ่ มได้รับประโยชน์ คือ 2|Page
ปฏิบตั ิศลี ทาให้เป็ นผ้มู ีกาย วาจาเรียบร้อย ปฏิบตั ิสมาธิ ทาให้ใจสงบมน่ั คง ไมฟ่ ้ งุู ซา่ น ปฏิบตั ปิ ัญญา ทาให้รอบรู้ในกองสงั ขาร ฯ (ปี 2558) พระวนิ ยั คืออะไร ? ภกิ ษุรักษาพระวินยั แล้ว ยอ่ มได้อานิสงส์อะไร ? ตอบ คอื พระพทุ ธบญั ญตั แิ ละอภิสมาจาร ฯ ได้อานสิ งส์ คอื ไมต่ ้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแชม่ ช่ืนวา่ ได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมภู่ กิ ษุผ้มู ศี ลี ก็องอาจไมส่ ะทกสะท้าน ฯ (ปี 2554 และ 2544) พระภิกษุผ้รู ักษาพระวินยั ดีโดยถกู ทางแล้ว ยอ่ มได้อานิสงส์อะไร? ความหมายสิกขา สกิ ขาบท อาบตั ิ สิกขา ได้แก่ ข้อทภี่ กิ ษุควรศกึ ษา มี ๓ อยา่ ง คือ สลี สกิ ขา จติ ตสกิ ขา และ ปัญญาสิกขา สกิ ขาบท ได้แก่ พระบญั ญตั ิมาตราหนงึ่ ๆ (มาในพระปาตโิ มกข์ และมานอกปาตโิ มกข)์ อาบตั ิ ได้แก่ โทษทีเ่ กิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพทุ ธเจ้าห้าม (ปี 2561) สกิ ขา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? ตอบ คอื ข้อท่ีภกิ ษุต้องศกึ ษา ฯ มี ๑. ศีล ความรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ๒. สมาธิ ความรักษาใจมนั่ ๓. ปัญญา ความรอบรู้ในกองสงั ขาร ฯ (ปี 2560) สกิ ขา กบั สกิ ขาบท ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี ้สกิ ขา ได้แกข่ ้อทีค่ วรศกึ ษา คอื ศลี สมาธิ และปัญญา ฯ สกิ ขาบท ได้แก่พระบญั ญตั มิ าตราหนงึ่ ๆ ฯ (ปี 2558) สกิ ขาบทท่มี าในพระปาติโมกข์มเี ทา่ ไร ? สกิ ขาบทวา่ ด้วยปาราชิกมีอะไรบ้าง ? ตอบ มี ๒๒๗ สกิ ขาบท ฯ มี ๑. เสพเมถนุ ๒. ภกิ ษุถือเอาของทีเ่ จ้าของเขาไมไ่ ด้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ๓. ภิกษุแกล้งฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ๔. ภกิ ษุอวดอตุ ตริมนสุ สธรรม (คอื ธรรมอนั ยงิ่ ของมนษุ ย)์ ที่ไมม่ ใี นตน ฯ (ปี 2557) สกิ ขา และ สกิ ขาบท ได้แก่อะไร? ตอบ สกิ ขา ได้แกข่ ้อทคี่ วรศกึ ษา สกิ ขาบท ได้แกพ่ ระบญั ญตั มิ าตราหนงึ่ ๆ ฯ (ปี 2556) อาบตั ิ คอื อะไร? อาการท่ภี กิ ษุต้องอาบตั มิ ี ๖ อยา่ ง จงบอกมาสกั ๓ อยา่ ง ฯ ตอบ คือ โทษทเ่ี กิดเพราะความละเมดิ ในข้อที่พระพทุ ธเจ้าทรงห้าม ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๓ ข้อ) ๑. ต้องด้วยไมล่ ะอาย ๒. ต้องด้วยไมร่ ู้วา่ สงิ่ นจี ้ ะเป็ นอาบตั ิ ๓. ต้องด้วยสงสยั แล้วขนื ทาลง ๔. ต้องด้วยสาคญั วา่ ควรในของทไ่ี มค่ วร 3|Page
๕. ต้องด้วยสาคญั วา่ ไมค่ วรในของท่คี วร ๖. ต้องด้วยลมื สติฯ (ปี 2554) สกิ ขา สกิ ขาบท และอาบตั ิ ได้แกอ่ ะไร? (ปี 2552 ,2547 และ 2545) สกิ ขากบั สกิ ขาบท ตา่ งกนั อยา่ งไร? อยา่ งไหนมีเทา่ ไร? อะไรบ้าง? ตอบ สกิ ขา คือ ข้อทีภ่ ิกษุควรศกึ ษา มี ๓ ได้แก่ สลี สกิ ขา จิตตสกิ ขา ปัญญาสกิ ขา สว่ นสกิ ขาบท คอื พระบญั ญตั มิ าตราหนง่ึ ๆ เป็ นสกิ ขาบทหนงึ่ ๆ มี ๒๒๗ สกิ ขาบท ได้แก่ ปาราชิก ๔ สงั ฆาทิเสส ๑๓ อนยิ ต ๒ นิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตยี ์ ๙๒ ปาฏเิ ทสนยี ะ ๔ เสขยิ ะ ๗๕ และ อธิกรณสมถะ ๗ ฯ (ปี 2551) อะไรเรียกวา่ สกิ ขาบท? มาจากไหน? ตอบ พระบญั ญตั ิมาตราหนงึ่ ๆ เรียกวา่ สกิ ขาบท ฯ มาในพระปาตโิ มกข์ ๑ มานอกพระปาติโมกข์ ๑ ฯ (ปี 2550 และ 2545) สกิ ขาบททมี่ ีมาในพระปาตโิ มกข์ มีเทา่ ไร? วา่ โดยหมวดมอี ะไรบ้าง? ตอบ มี ๒๒๗ สกิ ขาบท ฯ มี ปาราชิก ๔ สงั ฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตยี ์ ๙๒ ปาฏเิ ทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ฯ (ปี 2545) สกิ ขา ๓ เม่อื ศกึ ษาแล้วจะได้ประโยชน์อยา่ งไร? ตอบ ยอ่ มได้ประโยชน์ดงั นี ้ศกึ ษาเร่ืองศลี ทาให้เป็ นผ้มู กี าย วาจาเรียบร้อย ศกึ ษาเรื่องสมาธิทาให้ใจสงบมน่ั คง ไมฟ่ ้ งุ ซา่ น ศกึ ษาเร่ืองปัญญา ทาให้รอบรู้ในกองสงั ขาร ฯ อาบัตทิ ่เี ป็ นโลกวชั ชะ/อาบตั ทิ ่เี ป็ นปัณณัตตวิ ัชชะ (ปี 2552 และ 2544) อาบตั ิ คืออะไร? อาบตั ทิ ่ีเป็ นโลกวชั ชะและทีเ่ ป็ นปัณณตั ติวชั ชะหมายความวา่ อยา่ งไร?จง ยกตวั อยา่ งประกอบด้วย ตอบ คอื โทษทเ่ี กิดเพราะความละเมดิ ในข้อที่พระพทุ ธเจ้าห้าม ฯ อาบตั ทิ ่เี ป็ นโลกวัชชะหมายความวา่ อาบตั ิท่มี ีโทษซงึ่ ภิกษุทาเป็ นความผดิ ความเสยี คนสามญั ทาก็เป็ นความผดิ ความ เสยี เหมอื นกนั เช่น ทาโจรกรรม เป็ นต้น สว่ นที่เป็ นปัณณัตตวิ ัชชะหมายความวา่ อาบตั ทิ ่ีมีโทษเฉพาะภกิ ษุทา แตค่ น สามญั ทาไมเ่ ป็ นความผิดความเสยี เชน่ ขดุ ดิน เป็ นต้น ฯ อนุศาสน์ ๘ นิสสยั ๔ คอื ปัจจยั เคร่ืองอาศยั ของบรรพชิต ๑.เทย่ี วบิณฑบาต ๒.นงุ่ หม่ ผ้าบงั สกลุ ๓.อยโู่ คนไม้ ๔.ฉนั ยาดองด้วยนา้ มตู รเนา่ อกรณียกจิ ๔ คือ กิจทไ่ี มค่ วรทา ๑.เสพเมถนุ ๒.ลกั ของเขา ๓.ฆา่ สตั ว์ ๔.พดู อวดคณุ พิเศษทีไ่ มม่ ีในตน 4|Page
(ปี 2562 และ 2553) นิสสยั คอื อะไร ? มีเทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? ตอบ คอื ปัจจยั เครื่องอาศยั ของบรรพชิต ฯ มี ๔ อยา่ ง ฯ ได้แก่ ๑. เท่ียวบณิ ฑบาต ๒. นงุ่ หม่ ผ้าบงั สกุ ลุ ๓. อยโู่ คนต้นไม้ ๔. ฉนั ยาดองด้วยนา้ มตู รเนา่ ฯ (ปี 2561 และ 2559) กิจท่บี รรพชิตไมค่ วรทา เรียกวา่ อะไร ? มอี ะไรบ้าง ? ตอบ เรียกวา่ อกรณียกิจ ฯ มี ๔ คือ ๑. เสพเมถนุ ๒. ลกั ทรัพย์ ๓. ฆา่ สตั ว์ ๔. พดู อวดคณุ วิเศษท่ีไมม่ ใี นตน ฯ (ปี 2560, 2547 และ 2544) นสิ สยั และ อกรณียกิจ คอื อะไร ? ทงั้ ๒ อยา่ งรวมเรียกวา่ อะไร ? ตอบ นสิ สยั คือ ปัจจยั เคร่ืองอาศยั ของบรรพชิต อกรณียกิจคอื กิจที่บรรพชิตไมค่ วรทา ฯ ทงั้ ๒ อยา่ ง รวมเรียกวา่ อนศุ าสน์ ฯ (ปี 2558) ปัจจยั เครื่องอาศยั ของบรรพชิตเรียกวา่ อะไร ? มีก่ีอยา่ ง ? อะไรบ้าง ? ตอบ เรียกวา่ นสิ สยั ฯ มี ๔ อยา่ งฯ คอื ๑.เทย่ี วบณิ ฑบาต ๒.นงุ่ หม่ ผ้าบงั สกุ ลุ ๓.อยโู่ คนต้นไม้ ๔.ฉนั ยาดองด้วยนา้ มตู รเนา่ ฯ (ปี 2556) อกรณียกิจ คอื กิจท่บี รรพชิตไมค่ วรทา มีก่ีอยา่ ง? อะไรบ้าง? ตอบ มี ๔ อยา่ ง ฯ คอื ๑. เสพเมถนุ ๒. ลกั ของเขา ๓. ฆา่ สตั ว์ ๔. พดู อวดคณุ พิเศษทไี่ มม่ ีในตน ฯ (ปี 2555) นิสสยั ๔ ในอนศุ าสน์ ๘ อยา่ ง หมายถงึ อะไร? มีอะไรบ้าง? (ปี 2551) อรณียกิจ ๔ คืออะไร? ข้อท่ี ๓ วา่ อยา่ งไร ตอบ คือ กิจที่ไมค่ วรทา ๔ ฯ วา่ ฆา่ สตั ว์ ฯ (ปี 2549 และ 2548) กิจทบี่ รรพชิตไมค่ วรทาซง่ึ เรียกวา่ อกรณียกิจ มีก่ีอยา่ ง? อะไรบ้าง? อาบัติมโี ทษ ๓ สถาน อย่างหนัก ยงั ผ้ตู ้องให้ขาดจากความเป็ นภกิ ษุ อย่างกลาง ยงั ผ้ตู ้องให้อยกู่ รรม คือประพฤติวตั รอยา่ งหนงึ่ เพอ่ื ทรมานตน อย่างเบา ยงั ผ้ตู ้องให้ประจานตนตอ่ หน้าภกิ ษุด้วยกนั ฯ อาบัติมโี ทษ ๒ สถาน อเตกิจฉา อาบตั ทิ แี่ ก้ไขไมไ่ ด้ สเตกิจฉา อาบตั ิทแี่ ก้ไขได้ (ปี 2561) อาบตั ิ คืออะไร ? มโี ทษก่ีสถาน ? อะไรบ้าง ? ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมดิ ในข้อทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงห้าม ฯ มี ๓ สถาน ฯ คือ อยา่ งหนกั ยงั ผ้ตู ้องให้ขาดจากความเป็ นภิกษุ อยา่ งกลาง ยงั ผ้ตู ้องให้อยกู่ รรม คอื ประพฤติวตั รอยา่ งหนงึ่ เพอื่ ทรมานตน อยา่ งเบา ยงั ผ้ตู ้องให้ประจานตนตอ่ หน้าภกิ ษุด้วยกนั ฯ 5|Page
(หรือจะตอบว่า มี ๒ สถาน คอื แก้ไขได้ และแก้ไขไม่ได้ ก็ได้) (ปี 2557) จงอธิบายความหมายของอาบตั ติ อ่ ไปนี ้ ก. สเตกิจฉา ข. สจติ ตกะ ตอบ ก. ได้แกอ่ าบตั ทิ แี่ ก้ไขได้ ข. ได้แก่อาบตั ทิ ่ตี ้องเพราะมีเจตนา ฯ (ปี 2555 ,2545 และ 2544) อเตกิจฉา และสเตกิจฉา ได้แกอ่ าบตั ิอะไร? ทงั้ ๒ อยา่ งนนั้ ภกิ ษุต้องเข้าแล้ว จะเกิดโทษ อยา่ งไร? ตอบ อเตกิจฉา อาบตั ทิ ี่แก้ไขไมไ่ ด้ คือ ปาราชิก ทาให้ขาดจากความเป็ นภิกษุ ฯ สเตกจิ ฉา อาบตั ทิ ีแ่ ก้ไขได้ คือ สงั ฆาทิเสส และอาบตั อิ ีก ๕ ท่เี หลอื ฯ สงั ฆาทเิ สสต้องอยกู่ รรมจงึ พ้นได้ อาบตั ิอีก ๕ ท่ี เหลอื พงึ แสดงตอ่ หน้าสงฆ์หรือคณะหรือรูปใดรูปหนงึ่ จึงพ้นได้ ฯ (ปี 2554) ครุกาบตั ิ ท่ีแก้ไขได้ก็มี ทีแ่ ก้ไขไมไ่ ด้ก็มี ที่แก้ไขได้ได้แกอ่ าบตั อิ ะไร? ตอบ ท่ีแก้ไขได้ ได้แก่ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ที่แก้ไมไ่ ด้ ได้แก่อาบตั ปิ าราชิก (ปี 2550) เมื่อภกิ ษุต้องอาบตั ิแล้ว จะพงึ ปฏบิ ตั ิอยา่ งไร? ตอบ พงึ บอกภกิ ษุด้วยกนั ในวนั นนั้ และพงึ แก้ไขตามวธิ ีนนั้ ๆ ฯ (ปี 2549 และ 2544) คาวา่ ต้องอาบตั ิ หมายความวา่ อยา่ งไร? อาบตั มิ ีโทษก่ีสถาน? อะไรบ้าง? ตอบ หมายความวา่ ต้องโทษ คอื มคี วามผิดฐานละเมดิ ข้อท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงห้าม ฯ มี ๓ สถาน คือ อย่างหนัก อย่างกลาง และ อย่างเบา (หรือจะตอบว่า มี ๒ สถาน คอื แก้ไขได้ และแก้ไขไม่ได้ กไ็ ด้) สจิตตกะ/อจติ ตกะ สจิตตกะ อาบตั ทิ ต่ี ้องเพราะมเี จตนาลว่ งละเมิด อจิตตกะ อาบตั ทิ ่ตี ้องแม้ไมม่ ีเจตนาลว่ งละเมดิ (ปี 2559) ปาราชิกทงั้ ๔ สกิ ขาบท เป็ นสจิตตกะหรืออจิตตกะ ? เพราะเหตใุ ด ? ตอบ เป็ นสจิตตกะ ฯ เพราะมเี จตนาลว่ งละเมิด ฯ (ปี 2557) จงอธิบายความหมายของ สจิตตกะ (ปี 2548) สจิตตกะ และ อจิตตกะ มีความหมายอยา่ งไร ตอบ สจิตตกะ อาบตั ิทีต่ ้องเพราะมีเจตนาลว่ งละเมิด อจิตตกะ อาบตั ิที่ต้องแม้ไมม่ ีเจตนาลว่ งละเมดิ ฯ อาการท่ภี กิ ษุต้องอาบัติ ๖ อย่าง ๑.ต้องด้วยไมล่ ะอาย ๒.ต้องด้วยไมร่ ู้วา่ สงิ่ นจี ้ ะเป็ นอาบตั ิ ๓.ต้องด้วยสงสยั แล้วขนื ทา ๔.ต้องด้วยสาคญั วา่ ควรในของที่ไมค่ วร 6|Page
๕.ต้องด้วยสาคญั วา่ ไมค่ วรในของทีค่ วร ๖.ต้องด้วยลมื สติ (ปี 2560, 2559 และ 2543) อาบตั ิคืออะไร ? อาการทภ่ี กิ ษุต้องอาบตั ิ ๖ อยา่ งนนั้ อยา่ งไหนเสยี หายมากทส่ี ดุ ? ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อท่พี ระพทุ ธเจ้าห้าม ฯ ต้องด้วยไมล่ ะอาย จดั วา่ เสยี หายมากทส่ี ดุ ฯ (ปี 2556) อาบตั ิ คอื อะไร? อาการทภ่ี ิกษุต้องอาบตั มิ ี ๖ อยา่ ง จงบอกมาสกั ๓ อยา่ ง ฯ ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพทุ ธเจ้าทรงห้าม ฯ (เลอื กตอบเพียง ๓ ข้อ) ๑. ต้องด้วยไมล่ ะอาย ๒. ต้องด้วยไมร่ ู้วา่ สงิ่ นจี ้ ะเป็ นอาบตั ิ ๓. ต้องด้วยสงสยั แล้วขนื ทาลง ๔. ต้องด้วยสาคญั วา่ ควรในของที่ไมค่ วร ๕. ต้องด้วยสาคญั วา่ ไมค่ วรในของท่ีควร ๖. ต้องด้วยลมื สตฯิ (ปี 2554) อาการทภ่ี ิกษุจะต้องอาบตั ิ มอี ะไรบ้าง? (ปี 2550) อาการท่ภี ิกษุจะต้องอาบตั ิ มีเทา่ ไร? ต้องด้วยไมล่ ะอาย มอี ธิบายอยา่ งไร? ตอบ มี ๖ อยา่ ง ฯ ภกิ ษุรู้อยแู่ ล้ว และละเมิดพระบญั ญตั ิด้วยใจด้านไมร่ ู้จกั ละอาย ชื่อวา่ ต้องด้วยไมล่ ะอาย ฯ (ปี 2547) อาการทภ่ี กิ ษุจะต้องอาบตั ขิ ้อทว่ี า่ ต้องด้วยสงสยั แล้วขนื ทาลง มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มอี ธิบายวา่ ภิกษุสงสยั อยวู่ า่ ทาอยา่ งนนั้ ๆ ผิดพระบญั ญตั ิหรือไม่ แตข่ นื ทาด้วยความสะเพร่าเชน่ นี ้ถ้าการท่ีทานนั้ ผิดพระบญั ญตั กิ ็ต้องอาบตั ิตามวตั ถุ ถ้าไมผ่ ิด ก็ต้องอาบตั ทิ กุ กฏเพราะสงสยั แล้วขนื ทา ฯ (ปี 2545) อาการที่ภกิ ษุจะต้องอาบตั มิ เี ทา่ ไร? อะไรบ้าง? อาบตั ิว่าโดยช่อื มี ๗ อย่าง คือ ๑.ปาราชิก ๒.สงั ฆาทิเสส ๓.ถลุ ลจั จยั ๔.ปาจิตตยี ์ ๕.ปาฏเิ ทสนยี ะ ๖.ทกุ กฏ ๗.ทพุ ภาสติ (ปี 2557) อาบตั ิ คืออะไร? วา่ โดยช่ือมีอะไรบ้าง? 7|Page
ตอบ อาบตั ิ คอื โทษท่ีเกิดเพราะความละเมดิ ในข้อที่พระพทุ ธเจ้าห้าม ฯ มี ๑. ปาราชิก ๒. สงั ฆาทิเสส ๓. ถลุ ลจั จยั ๔. ปาจิตตยี ์ ๕. ปาฏเิ ทสนยี ะ ๖. ทกุ กฏ ๗. ทพุ ภาสติ ฯ (ปี 2553) อาบตั ิวา่ โดยชื่อมกี ี่อยา่ ง? อะไรบ้าง? อนุปสมั บัน หมายถงึ บคุ คลทมี่ ิใชภ่ กิ ษุ (ปี 2554) อนปุ สมั บนั หมายถึง? เภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นา้ มนั นา้ ผงึ ้ นา้ อ้อย พระภกิ ษุรับประเคนแล้วเกบ็ ไว้ฉันได้ ๗ วนั (ปี 2561 และ 2543) เภสชั ๕ มีอะไรบ้าง? นา้ ตาลทรายจดั เข้าในเภสชั ประเภทใด? ตอบ เภสชั ๕ มี เนยใส เนยข้น นา้ มนั นา้ ผงึ ้ นา้ อ้อย นา้ ตาลทรายจดั เข้าในนา้ อ้อย (ปี 2557) เภสชั ๕ ได้แกอ่ ะไรบ้าง? ตอบ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นา้ มนั นา้ ผงึ ้ นา้ อ้อย ฯ (ปี 2554 และ 2548) เภสชั ๕ ได้แก่อะไรบ้าง? ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉนั ได้กี่วนั เป็ นอยา่ งยิ่ง? (ปี 2551) เภสชั ๕ ในปัตตวรรคท่ี ๓ ได้แกอ่ ะไรบ้าง? รับประเคนแล้วเก็บไว้ฉนั ได้ก่ีวนั ? ไตรครอง/อตเิ รกจีวร/จวี รกาล จีวรกาล หมายถงึ คราวทเ่ี ป็ นฤดถู วายจีวร (คอื อยจู่ าพรรษาแล้ว ถ้าไมไ่ ด้กรานกฐิน นบั แตว่ นั ปวารณาไป ๑ เดอื น ถ้าได้ กรานกฐิน เพิม่ ออกไปอกี ๔ เดอื นในฤดหู นาว) ไตรจีวร ประกอบด้วย ผ้าสังฆาฏิ (ผ้าคลมุ ) ผ้าอุตตราสงค์ (จีวร หรือ ผ้าหม่ ) และอนั ตรวาสก (สบง หรือ ผ้านงุ่ ) ผ้าไตรครอง เป็ นผ้าทภี่ กิ ษุอธิษฐาน มจี านวนจากดั คือ ๓ ผืน อตเิ รกจวี ร หมายถงึ จีวรท่ีไมใ่ ชจ่ ีวรอธิษฐาน [หรือ ผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครองมไี ด้ไมจ่ ากดั จานวน] ผ้าจานาพรรษา ได้แกผ่ ้าทท่ี ายกถวายแก่ภกิ ษุผ้ปู วารณาออกพรรษาแล้ว (ปี 2561) ผ้าไตรจีวร ทที่ รงอนญุ าตให้ภกิ ษุอธิษฐานไว้ใช้มกี ่ีอยา่ ง ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คือ ๑. สงั ฆาฏิ (ผ้าคลมุ ) ๒. อตุ ตราสงค์ (ผ้าหม่ ) ๓. อนั ตรวาสก (ผ้านงุ่ ) ฯ (ปี 2557) อตเิ รกจีวร และผ้าจานาพรรษา ได้แก่ผ้าเช่นไร? ตอบ อติเรกจีวร ได้แก่ผ้ายาว ๘ นวิ ้ กว้าง ๔ นวิ ้ ขนึ ้ ไป พอใช้ประกอบเข้าเป็ นเครื่องนงุ่ หม่ ได้ นอกจากผ้าท่ีอธิษฐาน ผ้าจานาพรรษา ได้แก่ผ้าท่ีทายกถวายแก่ภกิ ษุผ้ปู วารณาออกพรรษาแล้ว ฯ (ปี 2556) ไตรจีวร อติเรกจีวร ได้แกจ่ ีวรเชน่ ไร? ตอบ ไตรจีวร ได้แกจ่ ีวร ๓ ผืน ประกอบด้วย อตุ ตราสงค์ (ผ้าหม่ ) อนั ตรวาสก (ผ้านงุ่ ) และสงั ฆาฏิ (ผ้าคลมุ หรือผ้าทาบ) ฯ 8|Page
อตเิ รกจีวร ได้แกผ่ ้ามีขนาดกว้าง ๔ นวิ ้ ยาว ๘ นวิ ้ ซงึ่ อาจนาไปทาเป็ นเครื่องนงุ่ หม่ ได้ นอกจากผ้าทีอ่ ธิษฐาน ฯ (ปี 2554) อตเิ รกจีวร หมายถงึ ? จีวรกาล หมายถงึ ? ตอบ อติเรกจีวร หมายถึงจีวรท่ไี มใ่ ช่จีวรอธิษฐาน ฯ จีวรกาล หมายถงึ คราวที่เป็ นฤดถู วายจีวร (คืออยจู่ าพรรษาแล้ว ถ้าไมไ่ ด้กรานกฐิน นบั แตว่ นั ปวารณาไป ๑ เดือน ถ้าได้ กรานกฐิน เพ่ิมออกไปอกี ๔ เดอื นในฤดหู นาว) (ปี 2552) ผ้าไตรครอง มอี ะไรบ้าง? ตา่ งจากอตเิ รกจีวรอยา่ งไร? ตอบ มี สงั ฆาฏิ อตุ ตราสงค์ อนั ตรวาสก ฯ ตา่ งกนั อยา่ งนี ้ผ้าไตรครองเป็ นผ้าท่ภี ิกษุอธิษฐาน มีจานวนจากดั คือ ๓ ผนื สว่ นอติเรกจีวร คือผ้าท่นี อกเหนอื จากผ้าไตรครอง มีได้ไมจ่ ากดั จานวน ฯ (ปี 2548) ผ้าไตรจีวรคอื ผ้าอะไร? ได้แก่อะไรบ้าง? (ปี 2548) อตเิ รกบาตร คืออะไร? ภิกษุเก็บไว้เกินกี่วนั ต้องอาบตั ินิสสคั คิยปาจิตตยี ?์ ตอบ คอื บาตรนอกจากบาตรอธิษฐาน ฯ เกิน ๑๐ วนั ฯ (ปี 2546) อติเรกจีวร ได้แกจ่ ีวรเช่นไร? การที่ทรงห้ามไมใ่ ห้ภิกษุเก็บอตเิ รกจีวร ด้วยมีพระพทุ ธประสงค์อยา่ งไร? ตอบ ได้แก่ จีวรนอกจากจีวรอธิษฐาน ฯ ด้วยมีพระพทุ ธประสงค์เพอื่ ป้ องกนั ความสรุ ุ่ยสรุ ่าย และความมกั มากของภิกษุ ฯ ปาจิตตยี ์ (ปี 2560) ภกิ ษุต้องอาบตั ินสิ สคั คยิ ปาจิตตีย์ หรืออาบตั ปิ าจิตตีย์ มีวธิ ีแสดงอาบตั ิ ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ นสิ สคั คิยปาจิตตีย์ ต้องเสยี สละวตั ถอุ นั เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ินนั้ เสยี ก่อน จงึ แสดงอาบตั ิได้ สว่ นอาบตั ปิ าจิตตีย์นนั้ ภกิ ษุพงึ แสดงอาบตั ิได้เลย ไมม่ วี ตั ถใุ ด ๆ ท่ตี ้องสละ ฯ (ปี 2549 , 2546 และ 2544) นสิ สคั คิยปาจิตตยี ์ หมายความวา่ อยา่ งไร? ภิกษุต้องอาบตั ินแี ้ ล้ว ทาอยา่ งไรจึงจะพ้น? ตอบ นสิ สคั คยิ ปาจิตตยี ์ หมายความวา่ อาบตั ปิ าจิตตยี ์ท่จี าต้องสละสง่ิ ของ ฯ ภกิ ษุต้องอาบตั นิ แี ้ ล้วต้องสละสง่ิ ของอนั เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ินนั้ กอ่ นแล้วแสดงอาบตั ิจึงพ้นจากอาบตั นิ นั้ ได้ ฯ (ปี 2547) จีวรท่เี ป็ นนสิ สคั คยี ์แล้ว ควรสละให้แกใ่ คร? ถ้าจีวรนนั้ สญู หาย พงึ ปฏบิ ตั ิเชน่ ไร? ตอบ ควรสละให้แกส่ งฆ์ก็ได้ แกค่ ณะกไ็ ด้ แกบ่ คุ คลก็ได้ ฯ ถ้าจีวรนนั้ สญู หาย พงึ แสดงอาบตั ิเทา่ นนั้ ฯ (ปี 2544) ปาจิตตยี ์แบง่ เป็ น นิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ และสทุ ธิกปาจิตตยี ์ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะวา่ นสิ สคั คิยปาจิตตยี ์นนั้ จาต้องเสยี สละวตั ถอุ นั เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ินนั้ เสยี กอ่ น จงึ แสดงอาบตั ิได้ สว่ นสทุ ธกิ ปาจิตตยี ์นนั้ ภิกษุพงึ แสดงอาบตั ไิ ด้เลย ไมม่ วี ตั ถใุ ด ๆ ท่ีจาต้องสละ (ปี 2543) ในปาจติ ตีย์ ๙ วรรคนัน้ วรรคท่เี ท่าไร มี ๑๒ สกิ ขาบท? ตอบ วรรคท่ี ๘ (สหธรรมิกวรรค) บริขาร ๘ (ปี 2543) บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง? 9|Page
ตอบ บริขาร ๘ มี ๑)สงั ฆาฏิ ๒)อตุ ตราสงค์ ๓)อนั ตรวาสก ๔)บาตร ๕)มีดโกน ๖)กลอ่ งเข็ม ๗)ประคดเอว ๘)ผ้ากรองนา้ อาบตั ทิ ่ไี ม่มีมูล กาหนดโดยอาการอย่างไร? ๑.ไมไ่ ด้เห็นเอง ๒.ไมไ่ ด้ยนิ เอง ๓.ไมไ่ ด้เกิดรังเกียจสงสยั (ปี 2560, 2552 และ 2545) อาบตั ิไมม่ ีมลู กาหนดโดยอาการอยา่ งไร ? โจทด้วยอาบตั ไิ มม่ ีมลู เป็ น อาบตั ิอะไร ? ตอบ กาหนดโดยอาการ ๓ คือ ไมไ่ ด้เห็นเอง ๑ ไมไ่ ด้ยนิ ๑ ไมไ่ ด้รังเกียจ ๑ วา่ ภิกษุนนั้ ต้องอาบตั ชิ ่ือนนั้ ฯ โจทด้วยอาบตั ิปาราชิกต้องสงั ฆาทิเสส โจทด้วยอาบตั ิสงั ฆาทเิ สสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบตั ิอืน่ จากนตี ้ ้องปาจิตตยี ์ ในสมั ปชานมสุ าวาทสกิ ขาบท ฯ (ปี 2558) ภกิ ษุโจทภกิ ษุอนื่ ด้วยอาบตั ิปาราชิกอยา่ งไร ภิกษุผ้โู จทจึงต้องอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ? ตอบ ภิกษุโกรธเคอื ง แกล้งโจทภกิ ษุอนื่ ด้วยอาบตั ปิ าราชิกไมม่ ีมลู และภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอืน่ ด้วยอาบตั ิ ปาราชิก อาบตั ทิ ่ตี ้องให้ท่องจาเป็ นชุดๆ (ปี 2546) ภกิ ษุต้องอาบตั เิ พราะความซุกซน มอี ย่างไรบ้าง? ภกิ ษุซ่อนบาตร ซ่อนปากกาของภกิ ษุอ่ืนเพ่ือล้อเล่น ต้องอาบัตอิ ะไร? ตอบ มอี ยา่ งนี ้คือ เลน่ จี ้เลน่ นา้ หลอนภกิ ษุ ซอ่ นของเพอ่ื ล้อเลน่ พดู เย้าให้เกิดราคาญ ฯ ซอ่ นบาตร ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ ซอ่ นปากกา ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ฯ ซ่อนบริขาร ภกิ ษุซอ่ นบริขาร คอื บาตร จวี ร ผ้าปูน่ัง กล่องเข็ม ประคดเอว สงิ่ ใดสงิ่ หนงึ่ ของภิกษุอ่นื ด้วยคิดว่าจะ ล้อเล่น ต้องปาจติ ตยี ์ ภกิ ษุซอ่ นบริขารอ่นื (ไมใ่ ชบ่ าตร จีวร ผ้าปนู ง่ั กลอ่ งเขม็ ประคดเอว) หรือซอ่ นของอนปุ สมั บนั (ผ้ไู มใ่ ช่ภิกษุ) เป็ น ทุกกฏ เก็บบริขารไมไ่ ด้หมายจะล้อเลน่ เหน็ วางไมด่ ี ช่วยเก็บให้ ไม่เป็ นอาบตั ิ (ปี 2561) ภิกษุซอ่ นบาตร จีวร ร่ม และรองเท้าของเพอื่ นภิกษุเพื่อล้อเลน่ ต้องอาบตั ิอะไรบ้าง ? ตอบ ซอ่ นบาตร จีวร ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ซอ่ นร่ม รองเท้า ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2551) ภกิ ษุซอ่ นผ้าอาบนา้ ฝน บาตร จีวร กลอ่ งเขม็ ด้าย ของเพอื่ นภิกษุหรือสามเณรเพื่อล้อเลน่ เป็ นอาบตั ิอะไร? 10 | P a g e
ตอบ ซอ่ นผ้าอาบนา้ ฝน ด้าย ของเพอ่ื นภกิ ษุ เป็ นอาบตั ิทกุ กฏ ซอ่ น บาตร จีวร กลอ่ มเข็ม ของเพ่ือนภกิ ษุ เป็ นอาบตั ปิ าจิตตีย์ ซอ่ นของสามเณรทกุ อยา่ งเป็ นอาบตั ทิ กุ กฏ ลักทรัพย์ท่เี จ้าของไม่ได้ให้ ต้อง… ทรัพย์ มีราคาตงั้ แต่ ๕ มาสกขนึ ้ เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ปิ าราชิก ทรัพย์ มีราคาไมถ่ ืง ๕ มาสก แตม่ ากกวา่ ๑ มาสก เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ิถลุ ลจั จยั ทรัพย์ มีราคาตงั้ แต่ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ (ปี 2558) ในอทนิ นาทานสกิ ขาบท กาหนดราคาทรัพย์ เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ไิ ว้อยา่ งไรบ้าง ? ตอบ ทรัพย์มรี าคาตงั้ แต่ ๕ มาสก ขนึ ้ ไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิปาราชิก ทรัพย์มรี าคาตา่ กวา่ ๕ มาสก แตส่ งู กวา่ ๑ มาสก เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ทรัพย์มีราคาตงั้ แต่ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิทกุ กฏ ฯ (ปี 2552) ในสิกขาบทท่ี ๒ แห่งอาบัตปิ าราชิก ทรัพย์เป็ นเหตุให้ต้องอาบัตปิ าราชิก อาบตั ิถลุ ลัจจยั และอาบัติ ทุกกฏ มกี าหนดราคาไว้เท่าไร? ตอบ ทรัพย์ มีราคาตงั้ แต่ ๕ มาสกขนึ ้ เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ปิ าราชิก ทรัพย์ มีราคาไมถ่ ืง ๕ มาสก แตม่ ากกวา่ ๑ มาสก เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ทรัพย์ มรี าคาตงั้ แต่ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษุมีความกาหนัดจับต้อง... ภกิ ษุมคี วามกาหนดั จบั ต้องกายหญิง ต้องสงั ฆาทิเสส ภิกษุมีความกาหนดั จบั ต้องกายกะเทย(บณั เฑาะก์) ต้องถลุ ลจั จยั ภกิ ษุมคี วามกาหนดั จบั ต้องกายบรุ ุษ จบั ต้องสตั ว์ดริ ัจฉานทงั้ เพศผ้เู พศเมีย ต้องทกุ กฏ (ปี 2559) ภกิ ษุมีความกาหนดั จบั ต้องกายอนปุ สมั บนั ต้องอาบตั อิ ะไร ? ตอบ ต้องอาบตั ดิ งั นี ้ ๑. จบั ต้องกายหญิง ต้องอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ๒. จบั ต้องกายกะเทย(บณั เฑาะก์) ต้องอาบตั ิถลุ ลจั จยั ๓. จบั ต้องกายบรุ ุษ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2549 และ 2545) ภกิ ษุมีความกาหนดั จบั ต้องกายหญิง กะเทย บรุ ุษ สตั วด์ ริ ัจฉานเพศผู้ สตั ว์ดริ ัจฉานเพศเมยี ต้อง อาบตั ิอะไร? พระภกิ ษุจบั ต้องวัตถุอนามาสโดยไม่มีความกาหนัด เป็ นอาบตั ิทุกกฏ วัตถอุ นามาส คอื สงิ่ ที่พระไมค่ วรแตะต้อง มี ๖ ประเภท ดงั นี ้ 11 | P a g e
๑.คนหญิง คนกะเทย เคร่ืองแตง่ กายของคนเหลา่ นนั้ แตท่ ่เี ขาสละแล้วไมน่ บั ต๊กุ ตาหญิง สตั ว์ดิรัจฉานตวั เมยี ๒.ทอง เงิน มกุ ดา มณี ไพฑรู ย์ ประพาฬ ทบั ทมิ บษุ ราคมั สงั ข์ที่ขดั แล้ว ศิลาชนิดดี เช่น หยก โมรา ๓.ศสั ตราวธุ ตา่ งชนิด ท่ใี ช้ทาร้ายชีวิตร่างกาย ๔.เครื่องดกั สตั ว์บก-นา้ ๕.เครื่องประโคม ๖.ข้าวเปลอื กและผลไม้อนั เกิดอยใู่ นท่ี ภกิ ษุแกล้งฆ่าสตั ว์ให้ตาย ต้องอาบตั …ิ ฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ต้องอาบตั ิปาราชิก ฆา่ อมนษุ ย์ให้ตาย และ การปลงชีวติ มนษุ ย์แตไ่ มส่ าเร็จ คอื ไมต่ าย เป็ นแคบ่ าดเจ็บ ต้องอาบตั ิถลุ ลจั จยั ฆา่ สตั ว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ พยายามฆา่ ตนเอง ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2559) ภิกษุทาคนอ่ืนให้ถงึ แกค่ วามตาย ต้องอาบตั ิอะไรหรือไม่ ? ตอบ ถ้าไมจ่ งใจ ไมเ่ ป็ นอาบตั ิ แตถ่ ้าจงใจประสงค์จะให้เขาตาย เป็ นอาบตั ิ ฯ (ปี 2557) ภิกษุฆา่ มนษุ ย์ ฆา่ สตั ว์เดยี รัจฉาน ต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ ฆา่ มนษุ ย์ ต้องอาบตั ิปาราชิก ฆา่ สตั ว์เดียรัจฉาน ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ฯ (ปี 2556) ภกิ ษุพยายามฆา่ ตนเอง แตท่ าไมส่ าเร็จ จะต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2554) ภกิ ษุแกล้งฆา่ สตั ว์ให้ตาย ต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ ฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ต้องอาบตั ิปาราชิก ฆา่ อมนษุ ย์ให้ตาย และ การปลงชีวติ มนษุ ย์แตไ่ มส่ าเร็จ คอื ไมต่ าย เป็ นแคบ่ าดเจ็บ ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ฆา่ สตั ว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ พยายามฆา่ ตนเอง ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2548 และ 2544) ภกิ ษุฆา่ สตั ว์ให้ตายและพยายามฆา่ ตนเอง ต้องอาบตั อิ ะไร? (ปี 2546) การปลงชีวติ อยา่ งไร ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ? ตอบ การปลงชีวิตมนษุ ย์แตไ่ มส่ าเร็จ คอื ไมต่ าย เป็ นแคบ่ าดเจ็บ ๑ ปลงชีวิตอมนษุ ย์ มียกั ษ์ เปรต เป็ นต้น ๑ ฯ ภกิ ษุโจทภกิ ษุอ่นื ด้วยอาบตั ิไม่มีมลู ต้องอาบัต…ิ โจทด้วยอาบตั ิปาราชิก เป็ นอาบตั ิสงั ฆาทิเสส โจทด้วยอาบตั นิ อกจากนี ้เป็ นอาบตั ิปาจิตตยี ์ 12 | P a g e
(ปี 2553) ภกิ ษุโจทภกิ ษุอ่นื ด้วยอาบัตไิ ม่มมี ูล เป็ นอาบตั ิอะไรบ้าง ตอบ โจทด้วยอาบตั ปิ าราชิก เป็ นอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส โจทด้วยอาบตั ินอกจากนี ้เป็ นอาบตั ิปาจิตตีย์ ภกิ ษุรู้อยู่ น้อมลาภเพ่ือ… ต้องอาบัต…ิ น้อมมาเพอ่ื ตน เป็ นอาบตั นิ ิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ น้อมมาเพ่อื บคุ คลอน่ื เป็ นอาบตั ปิ าจิตตีย์ น้อมมาเพ่อื เจดีย์และเพื่อสงฆ์หมอู่ ืน่ เป็ นอาบตั ิทกุ กฏ (ปี 2559 และ 2546) ภกิ ษุรู้อยู่ น้อมลาภท่ีเขา จะถวายสงฆ์มาเพ่อื ตนต้องอาบตั อิ ะไร ? ลาภนนั้ ได้แก่อะไรบ้าง ? ตอบ ต้องอาบตั นิ ิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ ฯ ได้แก่ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ซง่ึ เรียกวา่ ปัจจยั ๔ และของท่เี ป็ นกปั ปิ ยะอยา่ งอ่นื อีก ฯ (ปี 2556) มีผ้นู าอาหารบณิ ฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภิกษุแนะนาให้ถวายแก่ตนเองและได้มา เช่นนจี ้ ะต้องอาบตั ิหรือไม่ ? ถ้าต้อง จะต้องอาบตั ิอะไร ? ตอบ ต้องอาบตั ิ ฯ ต้องอาบตั ินสิ สคั คิยปาจิตตีย์ ฯ (ปี 2553 และ 2547) ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภทเ่ี ขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพ่อื ตน เพ่อื บคุ คลอืน่ เพ่ือเจดีย์ เพอื่ สงฆ์หมอู่ น่ื จะต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ น้อมมาเพอื่ ตน เป็ นอาบตั นิ ิสสคั คิยปาจิตตยี ์ น้อมมาเพ่ือบคุ คลอ่นื เป็ นอาบตั ิปาจิตตยี ์ น้อมมาเพ่อื เจดยี ์และเพอ่ื สงฆ์หมอู่ น่ื เป็ นอาบตั ทิ กุ กฏ (ปี 2551) ภกิ ษุนอนในท่มี ุงท่บี ังอนั เดยี วกับอนุปสมั บัน(ผู้ไม่ใช่ภกิ ษุ) เป็ นอาบตั หิ รือไม่อย่างไร? ตอบ ถ้าเป็ นผ้ชู าย เกินกว่า ๓ คืน เป็ นอาบตั ปิ าจิตตีย์ ถ้าเป็ นผ้หู ญิง แม้ในคนื แรก เป็ นอาบตั ิปาจิตตีย์ เสขิยวตั ร ๗๕ คอื ธรรมเนียมหรือวตั รทีภ่ กิ ษุพงึ ศกึ ษา มี ๗๕ ข้อ ภกิ ษุไมป่ ฏิบตั ติ าม ต้องอาบตั ิทกุ กฏ แบ่งออกเป็ น ๔ หมวด ดงั นี ้ ๑.สารูป วา่ ด้วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน ๒.โภชนปฏิสังยตุ วา่ ด้วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉนั อาหาร (การขบฉนั ) หมวด๒ ออกข้อสอบบ่อย** ๓.ธัมมเทสนาปฏสิ ังยตุ วา่ ด้วยธรรมเนียมไมใ่ ห้แสดงธรรมแก่บคุ คลผ้แู สดงอาการไมเ่ คารพ ๔.ปกิณกะ วา่ ด้วยธรรมเนียมถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ หมวด๔ ออกข้อสอบบ่อย** (ปี 2562 และ 2556) เสขิยวตั ร คอื อะไร ? โภชนปฏสิ งั ยตุ วา่ ด้วยเรื่องอะไร ? ตอบ คอื วตั รหรือธรรมเนยี มทีภ่ กิ ษุจาต้องศกึ ษา ฯ วา่ ด้วยเรื่องการรับและการฉนั อาหาร ฯ 13 | P a g e
(ปี 2561, 2548 และ 2544) เสขยิ วตั ร คอื อะไร ? ภิกษุไมเ่ ออื ้ เฟือ้ ในเสขิยวตั รนนั้ ต้องอาบตั อิ ะไร ? ตอบ คอื วตั รหรือธรรมเนยี มท่ภี กิ ษุต้องศกึ ษา ฯ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ฯ (ปี 2559) เสขยิ วตั ร คอื อะไร ? ภิกษุไมป่ ฏบิ ตั ิตาม ต้องอาบตั อิ ะไร ? ตอบ คอื ธรรมเนียมท่ีภกิ ษุต้องศกึ ษา ฯ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2557) วตั รทภี่ ิกษุสามเณรจะต้องศกึ ษา เรียกวา่ อะไร? มีทงั้ หมดกี่ข้อ? ตอบ เรียกวา่ เสขิยวตั ร ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ (ปี 2556) ภิกษุไมเ่ ออื ้ เฟือ้ ในเสขิยวตั ร ปฏบิ ตั ิผดิ ธรรมเนยี มไป ต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ฯ (ปี 2553) เสขยิ วตั ร คอื อะไร? แบง่ เป็ นกี่หมวด? หมวดที่ ๒ วา่ ด้วยเรื่องอะไร? ตอบ คอื ธรรมเนียมหรือวตั รทภ่ี ิกษุพงึ ศกึ ษา ฯ แบง่ เป็ น ๔ หมวด ฯ วา่ ด้วยเร่ือง โภชนปฏสิ งั ยตุ คือธรรมเนยี มวา่ ด้วยเรื่องการขบฉนั ฯ (ปี 2551) เสขยิ วตั ร คอื อะไร? มีทงั้ หมดกี่ข้อ? ตอบ คือ ธรรมเนียมหรือวตั รทีภ่ ิกษุต้องศกึ ษา ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ (ปี 2549) เสขิยวตั ร คืออะไร? มีกี่ข้อ? ภกิ ษุละเมิดต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ คอื วตั รท่ีภกิ ษุจะต้องศกึ ษา ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2546) เสขยิ วตั ร คืออะไร? หมวดท่ี ๒ วา่ ด้วยเรื่องอะไร? ภกิ ษุไมเ่ ออื ้ เฟือ้ ในเสขยิ วตั ร ปฏิบตั ผิ ิดธรรมเนยี ม ต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ คอื วตั รหรือธรรมเนยี มทคี่ วรศกึ ษา ฯ หมวดที่ ๒ วา่ ด้วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉนั อาหาร ฯ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ฯ อธิกรณ์ ๔ อธิกรณ์ ๔ คือ เรื่องทเ่ี กิดขนึ ้ แล้วจะต้องจดั ต้องทา เม่อื เกิดขึน้ แล้วต้องระงบั ด้วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหน่ึง ตามสมควรแก่อธิกรณ์นัน้ ๆ มี ๔ ประเภท ดงั นี ้ ๑.วิวาทาธิกรณ์ คือ ววิ าท การเถียง ได้แก่ การเถยี งว่า ส่งิ นัน้ เป็ นธรรมเป็ นวนิ ัย ส่ิงนีไ้ ม่ใช่ธรรมไม่ใช่วนิ ัย นจี ้ ะต้อง ได้รับชีข้ าดวา่ ถกู วา่ ผดิ ๒.อนุวาทาธิกรณ์ คอื การโจทกันด้วยอาบตั ิ นจี ้ ะต้องได้รับวินจิ ฉยั วา่ จริงหรือไมจ่ ริง ๓.อาปัตตาธิกรณ์ คือ กิริยาท่ีต้องอาบตั ิหรือถกู ปรับอาบตั ิ นจี ้ ะต้องทาคืน คอื ทาให้พ้นโทษ ๔.กจิ จาธิกรณ์ คอื กิจธุระท่สี งฆ์จะพงึ ทา เช่น ให้อปุ สมบท นจี ้ ะต้องทาให้สาเร็จ อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเคร่ืองระงบั อธิกรณ์ มี ๗ อย่าง เช่น เยภยุ ยสกิ า เป็ นต้น การตดั สนิ อธิกรณ์ตามเสยี งข้างมาก เรียกวา่ เยภยุ ยสิกา (อนั นอี ้ อกข้อสอบบอ่ ย) (ปี 2561 และ 2556) ภกิ ษุเถียงกนั ด้วยเรื่องอะไร จงึ เรียกวา่ วิวาทาธิกรณ?์ ตอบ เถียงกนั ด้วยเร่ือง สง่ิ นนั้ เป็ นธรรมเป็ นวินยั สง่ิ นไี ้ มใ่ ช่ธรรมไมใ่ ชว่ ินยั ฯ (ปี 2558) การเถียงกนั ด้วยเร่ืองอะไรจงึ จดั เป็ นววิ าทาธิกรณ์ ? 14 | P a g e
ตอบ การเถียงกนั วา่ สงิ่ นนั้ เป็ นธรรมเป็ นวนิ ยั สง่ิ นไี ้ มใ่ ช่ธรรมไมใ่ ช่วนิ ยั ฯ (ปี 2557) อธิกรณ์ อธิกรณสมถะ คืออะไร? ตอบ อธิกรณ์ คือเร่ืองท่เี กิดขนึ ้ แล้วจะต้องจดั ต้องทา อธิกรณสมถะ คือธรรมเครื่องระงบั อธิกรณ์ ฯ (ปี 2554) อธิกรณ์คืออะไร? การตดั สนิ อธิกรณ์ตามเสยี งข้างมาก เรียกวา่ อะไร? ตอบ อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขนึ ้ แล้วจะต้องจดั ต้องทา ฯ เรียกวา่ เยภุยยสกิ า ฯ (ปี 2552) อธิกรณ์ คอื อะไร? เม่อื เกิดขนึ ้ แล้วต้องทาอยา่ งไร? ตอบ คอื เรื่องท่ีเกิดขนึ ้ แล้วจะต้องจดั ต้องทา ฯ ต้องระงบั ด้วยอธิกรณสมถะอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตามสมควรแกอ่ ธิกรณ์นนั้ ๆ ฯ (ปี 2551) อธิกรณสมถะ คืออะไร? มกี ่ีอยา่ ง? การตดั สนิ ตามเสยี งข้างมาก เรียกวา่ อะไร? ตอบ คอื ธรรมเคร่ืองระงบั อธิกรณ์ ฯ มี ๗ อยา่ ง ฯ เรียกวา่ เยภยุ ยสกิ า ฯ (ปี 2551) วิวาทาธิกรณ์กบั อนวุ าทาธิกรณ์ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ ววิ าทาธิกรณ์ คอื การเถียงวา่ สง่ิ นนั้ เป็ นธรรมเป็ นวินยั สงิ่ นไี ้ มใ่ ช่ธรรมไมใ่ ชว่ ินยั สว่ นอนวุ าทาธิกรณ์ คอื การโจทกนั ด้วยอาบตั ิ ฯ (ปี 2546) อธิกรณ์ คืออะไร? อธิกรณ์ยอ่ มระงบั ได้ด้วยอะไร? การแสดงอาบตั ิจดั เข้าในอธิกรณสมถะข้อไหน? สาหรับระงบั อธิกรณ์อะไร? ตอบ คือ เร่ืองทีเ่ กิดขนึ ้ แล้วจะต้องจดั ต้องทา ฯ ระงบั ได้ด้วยอธิกรณสมถะ คอื ธรรมสาหรับระงบั อธิกรณ์ ฯ จดั เข้าในปฏิญญาตกรณะ ฯ สาหรับระงบั อาปัตตาธิกรณ์ ฯ (ปี 2543) การอปุ สมบทจดั เป็ นอธิกรณ์อะไร? ใครเป็ นผ้รู ะงบั อธิกรณ์นนั้ ? ตอบ จดั เป็ นกิจจาธิกรณ์ สงฆ์เป็ นผ้รู ะงบั อธิกรณ์นนั้ (ปี 2543) ภิกษุเถียงกนั เรื่องการแก้ปัญหาจราจรเป็ นอธิกรณ์อะไรหรือไม่ ตอบ ไมจ่ ดั เป็ นอธิกรณ์ เพราะไมใ่ ช่การเถียงกนั ปรารถพระธรรมวนิ ยั เร่ืองอ่นื ๆน่าจะไม่ออกข้อสอบ (ปี 2545 ยาก ไม่ได้ออกนานแล้ว) ผ้าจีวรท่ที รงอนญุ าตให้ใช้ได้ทาด้วยวตั ถกุ ่ีชนดิ ? อะไรบ้าง? ตอบ ๖ ชนดิ คือ ๑.ทาด้วยเปลอื กไม้ เช่น ผ้าลนิ ิน ๒.ทาด้วยฝ้ าย คอื ผ้าสามญั ๓.ทาด้วยไหม คอื ผ้าแพร ๔.ทาด้วยขนสตั ว์ เช่น ผ้าสกั หลาด ๕.ทาด้วยเปลอื กไม้ เช่น ผ้าป่ าน (สาณะ) 15 | P a g e
๖.ทาด้วยสมั ภาระเจือกนั ฯ รายละเอียดอาบัตเิ ป็ นข้อๆ ปาราชิก ๔ สกิ ขาบทท่ี ๑ ภกิ ษุเสพเมถนุ (ร่วมประเวณี, ร่วมสงั วาส) ต้องปาราชิก สิกขาบทท่ี ๒ ภกิ ษุถือเอาของที่เจ้าของไมไ่ ด้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก สกิ ขาบทท่ี ๓ ภกิ ษุแกล้ง (จงใจ) ฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ต้องอาบตั ปิ าราชิก สิกขาบทท่ี ๔ ภกิ ษุอวดอตุ ริมนสุ สธรรม(คือธรรมอนั ยิ่งยวดของมนษุ ย)์ ทไ่ี มม่ ีในตน ต้องปาราชิก (ปี 2562 และ 2545) ปาราชิก ๔ สกิ ขาบทไหนทภ่ี กิ ษุใช้ให้คนอนื่ ทาก็ต้องอาบตั ิถึงทสี่ ดุ ? ตอบ สกิ ขาบทที่ ๒ และสกิ ขาบทที่ ๓ ฯ (ปี 2558) สกิ ขาบททีม่ าในพระปาติโมกข์มีเทา่ ไร ? สกิ ขาบทวา่ ด้วยปาราชิกมีอะไรบ้าง ? ตอบ มี ๒๒๗ สกิ ขาบท ฯ มี ๑. เสพเมถนุ ๒. ภิกษุถือเอาของท่ีเจ้าของเขาไมไ่ ด้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ๓. ภกิ ษุแกล้งฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ๔. ภิกษุอวดอตุ ตริมนสุ สธรรม (คอื ธรรมอนั ยิง่ ของมนษุ ย)์ ที่ไมม่ ใี นตน ฯ (ปี 2558) ในอทินนาทานสกิ ขาบท กาหนดราคาทรัพย์ เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ไิ ว้อยา่ งไรบ้าง ? ตอบ ทรัพย์มีราคาตงั้ แต่ ๕ มาสก ขนึ ้ ไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิปาราชิก ทรัพย์มีราคาตา่ ากวา่ ๕ มาสก แตส่ งู กวา่ ๑ มาสก เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิถลุ ลจั จยั ทรัพย์มีราคาตงั้ แต่ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2557) สงั หาริมทรัพย์ และ อสงั หาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เชน่ ไร? ตอบ สงั หาริมทรัพย์ ได้แกท่ รัพย์หรือสง่ิ ของทีเ่ คลอื่ นทไี่ ด้ เชน่ สตั ว์ เงินทอง เป็ นต้น ฯ อสงั หาริมทรัพย์ ได้แกท่ รัพย์หรือสง่ิ ของท่ีเคลอื่ นท่ไี มไ่ ด้ เชน่ ท่ีดิน ต้นไม้ เรือน เป็ นต้น ฯ (ปี 2550) สงั หาริมทรัพย์ และ อสงั หาริมทรัพย์คอื ทรัพย์เช่นไร? ภกิ ษุจะต้องอาบตั ิถงึ ทส่ี ดุ ในเพราะลกั ทรัพย์ทงั้ ๒ อยา่ ง นนั้ เมื่อใด? ตอบ สงั หาริมทรัพย์ คือทรัพย์ท่เี คลอื่ นท่ไี ด้ อสงั หาริมทรัพย์ คือทรัพย์ท่ีเคลอื่ นท่ีไมไ่ ด้ ฯ สาหรับสงั หาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบตั ิถงึ ทสี่ ดุ ในเมอื่ ทาให้ทรัพย์นนั้ เคลอื่ นจากท่เี ดมิ สว่ นอสงั หาริมทรัพย์ จะต้อง อาบตั ิถงึ ท่สี ดุ ในเม่ือเจ้าของทอดกรรมสทิ ธ์ิ ฯ (ปี 2545) สงั หาริมทรัพย์ และอสงั หาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เชน่ ไร ? 16 | P a g e
การถือเอาทรัพย์ทงั้ ๒ อยา่ งนนั้ กาหนดวา่ ถงึ ท่สี ดุ ไว้อยา่ งไร? ตอบ สงั หาริมทรัพย์ ได้แกท่ รัพย์หรือสงิ่ ของที่เคลอ่ื นทไ่ี ด้ ทงั้ ที่มวี ญิ ญาณและไมม่ ีวิญญาณ เชน่ สตั ว์และเงินทองเป็ นต้น ฯ สว่ นอสงั หาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสงิ่ ของท่เี คลอ่ื นทไ่ี มไ่ ด้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนบั ของทีต่ ิดเน่ืองอยกู่ บั ทีน่ นั้ ด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็ นต้น ฯ สงั หาริมทรัพย์ กาหนดวา่ ถึงทส่ี ดุ ด้วยทาให้เคลอื่ นจากฐาน ฯ อสงั หาริมทรัพย์ กาหนดวา่ ถงึ ทสี่ ดุ ด้วยขาดกรรมสทิ ธิ์แหง่ เจ้าของ ฯ (ปี 2549 และ 2545) คาวา่ \"ไถยจิต\" หมายถึงอะไร? ในอทนิ นาทานสกิ ขาบท กาหนดราคาทรัพย์เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ไิ ว้ อยา่ งไรบ้าง? ตอบ หมายถึงจิตคิดจะลกั คือจิตคดิ ถือเอาของทีเ่ จ้าของไมใ่ ห้ด้วยอาการแหง่ ขโมย ฯ กาหนดไว้อยา่ งนี ้ ทรัพย์มรี าคาตงั้ แต่ ๕ มาสก ขนึ ้ ไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ปิ าราชิก ทรัพย์มีราคาต่ากวา่ ๕ มาสก แตส่ งู กวา่ ๑ มาสก เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ทรัพย์มีราคาตงั้ แต่ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิทกุ กฏ ฯ (ปี 2562) พดู อยา่ งไรเรียกวา่ อวดอตุ ตริมนสุ สธรรม ? ตอบ พดู อวดคณุ พเิ ศษอนั ยิ่งของมนษุ ย์ เช่น ฌาน วโิ มกข์ สมาธิ สมาบตั ิ มรรค ผล นพิ พาน เรียกวา่ อวดอตุ ตริมนสุ สธรรมฯ (ปี 2549) อตุ ตริมนสุ สธรรม คอื อะไร? มีอะไรบ้าง? ตอบ คือ ธรรมอนั ย่งิ ของมนษุ ย์ หรือคณุ อยา่ งยวดยิง่ ของมนษุ ย์ ฯ มี ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบตั ิ มรรค ผล นพิ พาน ฯ (ปี 2544) ภกิ ษุพดู อวดอตุ ตริมนสุ สธรรมซง่ึ ไมม่ จี ริงในตน เม่อื คนอ่ืนฟังแล้วเข้าใจแตไ่ มเ่ ช่ือ ภกิ ษุนจี ้ ะต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ ต้องอาบตั ิปาราชิก (ปี 2543) ปาราชิก ๔ ข้อไหนเป็ นสจิตตกะ ข้อไหนเป็ นอจิตตกะ? ทาไมเป็ นเช่นนนั้ ? ตอบ ปาราชิก ๔ ข้อ เป็ นสจิตตกะ ทเี่ ป็ นเชน่ นนั้ เพราะต้องด้วยจงใจ เกิดขนึ ้ โดยมเี จตนาเป็ นสมฏุ ฐาน สังฆาทเิ สส ๑๓ ๑. ภิกษุแกล้งทานา้ อสจุ ิเคลอื่ น ๒. ภกิ ษุมคี วามกาหนดั อยู่ จบั ต้องกายหญิง ๓. ภกิ ษุมคี วามกาหนดั อยู่ พดู เกีย้ วหญิง ๔. ภิกษุมีความกาหนดั อยู่ พดู ลอ่ ให้หญิงบาเรอตนด้วยกาม ๕. ภิกษุชกั สอ่ื ให้ชายหญิงเป็ นผวั เมยี กนั 17 | P a g e
๖. ภิกษุสร้างกฎุ ทิ ีต่ ้องกอ่ และ โบกด้วยปนู หรือดิน เป็ นเจ้าของจาเพาะเป็ นทีอ่ ยขู่ องตน ต้องทาให้ได้ประมาณ โดยยาวเพยี ง ๑๒ คบื พระสคุ ต กว้างเพยี ง ๗ คืบพระสคุ ต (๑ คืบพระสคุ ต = ๒๕ ซม) และต้องให้สงฆ์แสดงท่ใี ห้ กอ่ น ถ้าไมใ่ ห้พระสงฆ์แสดงทใี่ ห้ก็ดี ทาให้เกินประมาณก็ดี ต้องสงั ฆาทิเสส ๗. ถ้าที่อยซู่ ง่ึ จะสร้างขนึ ้ นนั้ มีทายกเป็ นเจ้าของ ทาให้เกินประมาณนนั้ ได้ แตต่ ้องให้สงฆ์ แสดงท่ีให้กอ่ น ถ้า ไมใ่ ห้สง)แสดงที่ให้ก่อนต้อง สงั ฆาทิเสส ๘. ภกิ ษุโกรธเคือง แกล้งโจทภกิ ษุอ่นื ด้วยอาบตั ิปาราชิกไมม่ ีมลู ต้องสงั ฆาทิเสส ๙. ภกิ ษุโกรธเคอื ง แกล้งหาเลศโจทภกิ ษุอืน่ ด้วยอาบตั ิปาราชิก ต้องสงั ฆาทเิ สส ๑๐. ภกิ ษุพากเพียรเพอื่ จะทาลายพระสงฆ์ให้แตกกนั ภิกษุอนื่ ห้ามไมฟ่ ังสงฆ์สวดกรรมเพอ่ื จะให้ละข้อท่ีประพฤติ นนั้ ถ้าไมล่ ะ ต้องสงั ฆาทิเสส ๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผ้ทู าลายสงฆ์นนั้ ภกิ ษุอน่ื ห้ามไมฟ่ ัง สงฆ์สวดกรรมเพอ่ื จะให้ละข้อทป่ี ระพฤตินนั้ ถ้า ไมล่ ะ ต้องสงั ฆาทเิ สส ๑๒. ภกิ ษุวา่ ยากสอนยาก ภกิ ษุอ่ืนห้ามไมฟ่ ัง สงฆ์สวดกรรมเพอื่ จะให้ละประพฤตนิ นั้ ถ้าไมล่ ะ ต้องสงั ฆาทเิ สส ๑๓. ภิกษุประทษุ ร้ายตระกลู คอื ประจบคฤหสั ถ์ สงฆ์ไลเ่ สยี จากวดั กลบั ตเิ ตียนสงฆ์ ภกิ ษุอื่นห้ามไมฟ่ ัง สงฆ์สวด กรรมเพือ่ จะให้ละข้อท่ีประพฤตินนั้ ถ้าไมล่ ะ ต้องสงั ฆาทเิ สส สงั ฆาทิเสส ๙ สกิ ขาบทข้างต้นให้ต้องอาบตั แิ ตแ่ รกทีเ่ ราเรียกวา่ “ปฐมาปัตตกิ ะ” สว่ น ๔ สกิ ขาบทข้างปลาย ให้ต้องอาบตั ิตอ่ เม่ือสงฆ์สวดประกาศห้ามครบ ๓ ครัง้ เรียกวา่ “ยาวตติยกะ” อาบตั หิ นกั ในฝ่ ายอาบตั ทิ ีจ่ ะแก้ไขได้ เรียกวา่ ครุกาบัติ มีเรื่องหยาบคายอยมู่ าก จงึ เรียกวา่ ทุฏฐุลลาบัติ ภกิ ษุผ้ตู ้องแล้ว จะทาได้ด้วยอยกู่ รรม จึงเรียกวา่ วุฏฐานคามินี (ปี 2562 และ 2546) คาวา่ \"ภกิ ษุประทษุ ร้ายตระกลู \" ในสกิ ขาบทท่ี ๑๓ แหง่ สงั ฆาทิเสสหมายถงึ การทาอยา่ งไร ? ตอบ หมายถงึ การท่ภี กิ ษุประจบคฤหสั ถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย เช่น เดนิ สง่ ขา่ วให้เขาเป็ นต้น หรือด้วยการเอาเปรียบโดย เชิงให้สงิ่ เลก็ น้อยด้วยหวงั ได้มาก ฯ (ปี 2560) คาวา่ มาตคุ าม ในสงั ฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๒ และ ๓ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ ในสกิ ขาบทท่ี ๒ หมายรวมทงั้ หญิงทีร่ ู้เดยี งสาและไมร่ ู้เดยี งสา โดยที่สดุ แม้เกิดในวนั นนั้ สว่ นในสกิ ขาบทที่ ๓ หมายเฉพาะหญิงท่ีรู้เดียงสาแล้วเทา่ นนั้ ฯ (ปี 2547 และ 2544) คาวา่ มาตคุ าม ในสงั ฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ มาตคุ ามในสงั ฆาทเิ สสสกิ ขาบทที่ ๒ หมายหญิงมนษุ ยโ์ ดยทีส่ ดุ แม้เกิดในวนั นนั้ รวมทงั้ หญิงท่รี ู้เดยี งสาและไมร่ ู้ เดยี งสา สว่ นมาตคุ ามในสงั ฆาทิเสสสกิ ขาบทที่ ๓, ๔ และ ๕ หมายเฉพาะหญิงผ้รู ู้เดียงสาแล้วเทา่ นนั้ ฯ (ปี 2558) ภกิ ษุประพฤติอยา่ งไร ช่ือวา่ ประทษุ ร้ายตระกลู ? ตอบ ประจบคฤหสั ถ์ ฯ 18 | P a g e
(ปี 2557) ภิกษุมีความกาหนดั จบั ต้องกายอนปุ สมั บนั ต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ อนปุ สมั บนั เป็ นหญิง ต้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส อนปุ สมั บนั เป็ นบณั เฑาะก์ ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั อนปุ สมั บนั เป็ นชาย ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ (ปี 2556) ข้อความวา่ ภิกษุชกั สอื่ ให้ชายหญิงเป็ นผวั เมยี กนั ตามสกิ ขาบทที่ ๕ แหง่ สงั ฆาทเิ สสนนั้ หมายถงึ การทา อยา่ งไร? ตอบ หมายถงึ การท่ีภกิ ษุบอกความประสงค์ของชายแก่หญิง หรือบอกความประสงค์ของหญิงแกช่ ายในความ เป็ นผวั เมยี ฯ (ปี 2551) สงั ฆาทิเสส มกี ่ีสกิ ขาบท? ภกิ ษุต้องอาบตั ินจี ้ ะพ้นได้ด้วยวธิ ีอยา่ งไร? ตอบ มี ๑๓ สกิ ขาบท ฯ ด้วยวิธีอยกู่ รรม ทีเ่ รียกวา่ วฏุ ฐานคามนิ ี ฯ (ปี 2550) ภิกษุรู้ตวั วา่ ต้องอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส จงึ แสดงอาบตั นิ นั้ ตอ่ ภกิ ษุอีกรูปหนงึ่ อยา่ งนจี ้ ะพ้นจากอาบตั ินนั้ ได้หรือไม่ เพราะเหตไุ ร? ตอบ พ้นไมไ่ ด้ เพราะอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสนนั้ ภกิ ษุผ้ตู ้องจะพ้นได้ด้วยอยกู่ รรม ฯ (ปี 2546) คาวา่ “ภกิ ษุประทษุ ร้ายตระกลู ” ในสกิ ขาบทท่ี ๑๓ แหง่ สงั ฆาทิเสส หมายถึงการทาอยา่ งไร ? สงั ฆาทเิ สส ๑๓ สกิ ขาบท ที่ชื่อวา่ ยาวตตยิ กะ หมายความวา่ อยา่ งไร ? ตอบ หมายถึงการที่ภกิ ษุประจบคฤหสั ถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย เช่นเดินสง่ ขา่ วให้เขาเป็ นต้น หรือ ด้วยการเอาเปรียบโดย เชิงให้สง่ิ เลก็ น้อยด้วยหวงั ได้มาก ฯ ที่ช่ือวา่ ยาวตตยิ กะ เพราะให้ต้องอาบตั ติ อ่ เมอ่ื สงฆ์ประกาศห้ามครบ ๓ ครัง้ ฯ (ปี 2546) “ภิกษุวา่ ยากสอนยาก ภิกษุอ่นื ห้ามไมฟ่ ัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อทปี่ ระพฤตนิ นั้ ถ้าไมล่ ะต้องสงั ฆาทิเสส” คอื สกิ ขาบทท่เี ทา่ ไร ทรงบญั ญตั ิเพื่อประสงค์ใด? ตอบ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ แหง่ สงั ฆาทเิ สส เพอ่ื ป้ องกนั ไมไ่ ห้ภิกษุดอื ้ ด้าน ฯ (ปี 2545) สงั ฆาทเิ สส ๑๓ สกิ ขาบทไหนบ้างต้องอาบตั ติ งั้ แตแ่ รกทา? มีชื่อเรียกอยา่ งไร? ตอบ สกิ ขาบทท่ี ๑ ถึงท่ี ๙ ฯ เรียกวา่ ปฐมาปัตตกิ ะ ฯ (ปี 2543) เพราะเหตไุ ร สงั ฆาทเิ สส จงึ เรียกวา่ ครุกาบตั ิ ทฏุ ฐุลลาบตั ิ วฏุ ฐานคามิน?ี ตอบ เพราะเป็ นอาบตั หิ นกั จงึ เรียกวา่ ครุกาบตั ิ เพราะมีเรื่องหยาบคายมาก จึงเรียกวา่ ทฏุ ฐุลลาบตั ิ เพราะภิกษุผ้ตู ้องแล้วจะทาได้ด้วยอยกู่ รรม จงึ เรียกวา่ วฏุ ฐานคามินี อนิยต ๒ แปลวา่ วางอาบตั ไิ ว้ไมแ่ น่ ภกิ ษุนง่ั ในท่ลี บั ตากบั หญิงสองตอ่ สอง ถ้ามีคนท่คี วรเชื่อได้มาพดู ขนึ ้ ด้วยธรรม ๓ อยา่ ง คอื ปาราชิก หรือ สงั ฆาทเิ สส หรือปาจิตตยี ์ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ภกิ ษุรับอยา่ งใดให้ปรับอยา่ งนนั้ หรือเขาวา่ จาเพาะธรรมอยา่ งใดให้ ปรับอยา่ งนนั้ 19 | P a g e
ภิกษุนงั่ ในท่ลี บั หกู บั หญิงสองตอ่ สอง ถ้ามคี นทคี่ วรเช่ือได้มาพดู ขนึ ้ ด้วยธรรม ๒ อยา่ ง คือ สงั ฆาทิเสส หรือ ปาจิตตยี ์ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ภิกษุรับอยา่ งใดให้ปรับอยา่ งนนั้ หรือเขาวา่ จาเพาะธรรมอยา่ งใดให้ปรับอยา่ งนนั้ (ปี 2550) ที่ลบั ตา กบั ท่ลี บั หู ตา่ งกนั อยา่ งไร? ที่ลบั ทงั้ ๒ นนั้ เป็ นทางให้ปรับอาบตั ิได้มากน้อยกวา่ กนั อยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี ้ทท่ี มี่ ีสง่ิ กาบงั เหน็ กนั ไมไ่ ด้ เรียกวา่ ทีล่ บั ตา ที่ทไ่ี มม่ สี ง่ิ กาบงั เห็นกนั ได้ แตฟ่ ังเสยี งพดู กนั ไมไ่ ด้ยนิ เรียกวา่ ท่ีลบั หู ฯ ทล่ี บั ตา เป็ นทางให้ปรับอาบตั ิได้มากกวา่ คือตงั้ แตป่ าราชิก สงั ฆาทิเสส ถงึ ปาจิตตยี ์ สว่ นท่ลี บั หู เป็ นทางให้ปรับอาบตั ิตงั้ แตส่ งั ฆาทิเสสลงมา ฯ (ปี 2547) ในอนิยต ที่ลบั ตา และทีล่ บั หู ได้แกท่ ่ีเช่นไร? ภิกษุอยกู่ บั มาตคุ ามสองตอ่ สองในทเี่ ชน่ นนั้ เป็ นทางปรับอาบตั ิ อะไรได้บ้าง? ตอบ ท่ลี บั ตา ได้แก่ ท่มี วี ตั ถกุ าบงั แลเหน็ ไมไ่ ด้ ทล่ี บั หู ได้แก่ ท่แี จ้ง แลเหน็ ได้ แตห่ า่ ง ไมไ่ ด้ยนิ เสยี งพดู ฯ ในทลี่ บั ตา เป็ นทางปรับอาบตั ิปาราชิก สงั ฆาทเิ สส และ ปาจิตตยี ์ ในทลี่ บั หู เป็ นทางปรับอาบตั ิสงั ฆาทิเสส และ ปาจิตตีย์ ฯ ถลุ ลัจจัย ฆา่ อมนษุ ย์ให้ตาย ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ภิกษุลกั ทรัพย์ มีราคาไมถ่ ืง ๕ มาสก แตม่ ากกวา่ ๑ มาสก เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ภิกษุมคี วามกาหนดั จบั ต้องกายกะเทย ต้องถลุ ลจั จยั นิสสัคคยิ ปาจิตตยี ์ ๓๐ (ปี 2560) ภิกษุต้องอาบตั นิ ิสสคั คิยปาจิตตีย์ หรืออาบตั ปิ าจิตตีย์ มีวธิ ีแสดงอาบตั ิ ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ นสิ สคั คิยปาจิตตีย์ ต้องเสยี สละวตั ถอุ นั เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ินนั้ เสยี ก่อน จึงแสดงอาบตั ไิ ด้ สว่ นอาบตั ิปาจิตตยี ์นนั้ ภกิ ษุพงึ แสดงอาบตั ิได้เลย ไมม่ ีวตั ถใุ ด ๆ ทต่ี ้องสละ ฯ จีวรและบาตรนอกจากจีวรและบาตรทอี่ ธิษฐาน เก็บเกิน ๑๐ วนั ต้องอาบตั ินิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ (ในนิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ จีวรวรรค และปัตตวรรค) (ปี 2555) อติเรกจีวร อตเิ รกบาตร ได้แกจ่ ีวรและบาตรเช่นไร? จีวรและบาตรชนดิ นี ้ภกิ ษุเก็บไว้ได้กี่วนั ? ภกิ ษุอยปู่ ราศจากไตรจีวรแม้เพียงคนื หนงึ่ ต้องอาบตั นิ สิ สคั คิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แตไ่ ด้สมมติ (สงฆ์ตกลงกนั ให้อยู่ ปราศจากไตรจีวรได้) (ในนิสสคั คิยปาจิตตีย์ จีวรวรรค) ต้องสละไตรจีวรผนื ท่อี ย่ปู ราศจากนัน้ แล้วแสดง อาบตั นิ ิสสัคคิยปาจติ ตยี ์ เม่อื ได้รับผ้ากลบั คนื มาแล้ว ต้องอธิษฐานใหม่ (ปี 2562 และ 2553) ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยปู่ ราศจากไตรจีวรแม้คืนหนงึ่ ต้องอาบตั อิ ะไร ? 20 | P a g e
ตอบ มี สงั ฆาฏิ คือผ้าคลมุ อตุ ตราสงค์ คอื ผ้าหม่ และอนั ตรวาสก คือผ้านงุ่ ฯ ต้องอาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตีย์ ฯ (ปี 2559) ผ้าไตรจีวร ท่ที รงอนญุ าตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มกี ี่อยา่ ง ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คอื ๑. สงั ฆาฏิ (ผ้าคลมุ ) ๒. อตุ ตราสงค์ (ผ้าหม่ ) ๓. อนั ตรวาสก (ผ้านงุ่ ) ฯ (ปี 2554) ไตรจีวรประกอบด้วยผ้าอะไรบ้าง? ภกิ ษุอยปู่ ราศจากไตรจีวร ต้องปฏบิ ตั ิอยา่ งไร? ตอบ ไตรจีวร ประกอบด้วย ผ้าสงั ฆาฏิ (ผ้าคลมุ ) ผ้าอตุ ตราสงค์ (จีวร หรือ ผ้าหม่ ) และอนั ตรวาสก (สบง หรือ ผ้านงุ่ ) ต้องสละไตรจีวรผืนทอ่ี ยปู่ ราศจากนนั้ แล้วแสดงอาบตั ินิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ เม่อื ได้รับผ้ากลบั คืนมาแล้ว ต้องอธิษฐานใหม่ ภิกษุขอจีวรตอ่ คฤหสั ถ์ผ้ไู มใ่ ช่ญาติ ไมใ่ ชป่ วารณา (คอื ไมไ่ ด้บอกให้ขอ) ได้มา ต้องนิสสคั คิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แตม่ ี สมยั ที่จะขอจีวรได้ คือเวลาภกิ ษุมีจีวรอนั โจรลกั ไป หรือมีจีวรอนั ฉิบหายเสยี (ปี 2558) พระพทุ ธองค์ทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุขอจีวรตอ่ คฤหสั ถ์ผ้ไู มใ่ ชญ่ าติ ไมใ่ ช่ปวารณา ได้ในสมยั ใดบ้าง ? ตอบ ในสมยั ที่ภกิ ษุมีจีวรอนั โจรลกั ไป หรือมีจีวรอนั ฉิบหายเสยี ฯ (ปี 2556) ภกิ ษุขอจีวรตอ่ สามีของน้องสาวแล้วได้มา เธอจะต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ตอบ ถ้าสามีของน้องสาวเป็ นญาติก็ดมี ิใชญ่ าตแิ ตป่ วารณาก็ดี ไมต่ ้องอาบตั ิ ถ้ามใิ ช่ญาติและมิได้ปวารณา เป็ นเพียงน้องเขย ต้องนิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ เว้นไว้แตส่ มยั (คือในเวลาจีวรถกู ขโมยหรือเสยี หาย) ฯ น้อมมาเพอื่ ตน เป็ นอาบตั ินิสสคั คิยปาจิตตีย์ (ในนิสสคั คยิ ปาจิตตีย์ โกสยิ วรรค) (ปี 2556) มีผ้นู าอาหารบณิ ฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภกิ ษุแนะนาให้ถวายแกต่ นเองและได้มา เชน่ นจี ้ ะต้องอาบตั ิ หรือไม่ ? ถ้าต้อง จะต้องอาบตั ิอะไร ? ตอบ ต้องอาบตั ิ ฯ ต้องอาบตั ินสิ สคั คิยปาจิตตีย์ ฯ ปาจติ ตีย์ ๙๒ หรือเรียกอีกอย่างว่า สุทธิกปาจติ ตีย์ ภกิ ษุนอนในที่มงุ ท่บี งั อนั เดยี วกนั กบั อนปุ สมั บนั (ผ้ไู มใ่ ช่ภกิ ษุ เชน่ คฤหสั ถ์ผ้ชู าย สามเณร) เกิน ๓ คนื ขนึ ้ ไป ต้อง อาบตั ิปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตีย์ มสุ าวาทวรรค) (ปี 2561 และ 2553) ภิกษุนอนในทมี่ งุ ทีบ่ งั เดียวกนั กบั สามเณร จะเป็ นอาบตั ิหรือไม?่ ตอบ นอนได้ ๓ คืนไมอ่ าบตั ิ เกินกวา่ นนั้ ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ภกิ ษุนอนในทมี่ งุ ทบ่ี งั อนั เดียวกนั กบั ผู้หญงิ แม้ในคืนแรกต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มสุ าวาทวรรค) ภิกษุบอกอตุ ตริมนสุ ธรรม (ธรรมอนั ยวดยิ่งของมนษุ ย์ คือ คณุ วเิ ศษ ได้แก่ ฌาณ วโิ มกข์ สมาธิ สมาบตั ิ มรรค ผล)ท่มี จี ริงแกอ่ นปุ สมั บนั (ผ้ไู มใ่ ชภ่ กิ ษุ) ต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มสุ าวาทวรรค) (ปี 2560) ในปาจิตตีย์ ภิกษุต้องอาบตั เิ พราะพดู เรื่องจริง มหี รือไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? ตอบ มี ฯ เพราะบอกอตุ ตริมนสุ สธรรมที่มีจริงแก่อนปุ สมั บนั ตามสกิ ขาบทที่ ๘ แหง่ มสุ าวาทวรรค และเพราะ บอกอาบตั ิชว่ั หยาบของภกิ ษุแกอ่ นปุ สมั บนั เว้นไว้แตไ่ ด้รับสมมติ ตามสกิ ขาบท ที่ ๙ แหง่ มสุ าวาทวรรค ฯ 21 | P a g e
(ปี 2545) ภกิ ษุพดู ปดต้องอาบตั นิ นั้ ทราบแล้ว แตถ่ ้าพดู เรื่องจริง จะต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ตอบ ต้องอาบตั ิเหมือนกนั คอื บอกอตุ ตริมนสุ สธรรมท่ีมจี ริงแกอ่ นปุ สมั บนั ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ตามสกิ ขาบทที่ ๘ แหง่ มสุ าวาทวรรค บอกอาบตั ิชว่ั หยาบของภิกษุแก่อนปุ สมั บนั เว้นไว้แตไ่ ด้รับสมมติ ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ตาม สกิ ขาบทท่ี ๙ แหง่ มสุ าวาทวรรค ฯ (ปี 2560 และ 2544) พดู อยา่ งไรเรียกวา่ อวดอตุ ตริมนสุ สธรรม? ตอบ พดู อวดคณุ พเิ ศษอนั ยง่ิ ของมนษุ ย์ คือพดู วา่ ข้าพเจ้าได้ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบตั ิ มรรค ผล นพิ พาน เรียกวา่ อวดอตุ ตริมนสุ สธรรม พดู ปด ต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ มสุ าวาทวรรค) และ ภิกษุด่ืมนา้ เมา ต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สรุ าปาน วรรค) (ปี 2552) พระ ก. นาเบยี ร์มาให้พระ ข. ดื่ม โดยหลอกวา่ เป็ นนา้ อดั ลม พระ ข. หลงเช่ือจงึ ดม่ื เข้าไป ถามวา่ พระ ก. และพระ ข. ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ตอบ พระ ก. เป็ นอาบตั ปิ าจิตตยี ์ เพราะพดู ปด สว่ นพระ ข. เป็ นอาบตั ิ ปาจิตตีย์ เพราะดืม่ นา้ เมา แม้ไมร่ ู้ก็ต้องอาบตั ิ เพราะสกิ ขาบทนเี ้ป็ นอจติ ตกะ(คือไมเ่ จตนา สาคญั วา่ มิใช่นา้ เมา ด่มื เข้าไปก็คงเป็ นอาบตั )ิ ดา่ ภกิ ษุ ต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ มสุ าวาทวรรค) [ประดับความรู้ ไม่ต้องจา] อกั โกสวตั ถุ เร่ืองสาหรับดา่ มี ๑๐ อยา่ ง คอื ๑. ชาติ ได้แก่ชนั้ หรือกาเนดิ ของคน ๒. ชื่อ ๓. โคตร คอื ตระกลู หรือแซ่ ๔. การงาน ๕. ศลิ ปะ ๖. โรค ๗. รูปพรรณสณั ฐาน ๘. กิเลส ๙. อาบตั ิ ๑๐. คาสบประมาทอยา่ งอ่ืนๆ โอมสวาท คอื คาพดู เสยี ดแทงให้เจ็บใจ (ปี 2559) พดู อยา่ งไร ช่ือวา่ สอ่ เสยี ดภิกษุ ? ภิกษุพดู อยา่ งนนั้ ต้องอาบตั ิอะไร ? ตอบ เก็บความข้างนไี ้ ปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี ้ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขา แตกกนั ช่ือวา่ สอ่ เสยี ดภกิ ษุ ฯ ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ฯ (ปี 2546) โอมสวาท หมายถงึ ? อกั โกสวตั ถุ หมายถงึ ? ตอบ โอมสวาท คือ คาพดู เสยี ดแทงให้เจ็บใจ ฯ อกั โกสวตั ถุ คอื เรื่องสาหรับดา่ ๑๐ อยา่ ง ฯ ภกิ ษุเอาเตียง ตงั่ ฟกู เก้าอี ้ของสงฆ์ไปตงั้ ในท่แี จ้งแล้วเมอ่ื หลกี ไปจากที่นนั้ ไมเ่ ก็บเองก็ดี ไมใ่ ช้ให้ผ้อู นื่ เก็บก็ดี ไม่ มอบหมายแก่ผ้อู น่ื ก็ดี ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ ภตู คามวรรค) (ปี 2558) ภิกษุนาเก้าอขี ้ องสงฆ์ไปใช้ในทีแ่ จ้ง เมอ่ื หลกี ไปจากทีน่ นั้ พงึ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ? ถ้าไมป่ ฏบิ ตั ิ อยา่ งนนั้ ต้องอาบตั ิอะไร ? ตอบ พงึ เก็บเอง หรือใช้ให้ผ้อู ่นื เก็บ หรือมอบหมายแกผ่ ้อู น่ื ฯ ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ฯ 22 | P a g e
(ปี 2555) ภกิ ษุนาเก้าอขี ้ องสงฆ์ไปใช้ในท่ีกลางแจ้งแล้ว เม่อื จะหลกี ไป พงี ปฏิบตั ิอยา่ งไร? ถ้าไมป่ ฏบิ ตั ิเช่นนนั้ ต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ พงึ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนี ้คอื เก็บเอง ใช้ให้ผ้อู ื่นเก็บ หรือ มอบหมายแกผ่ ้อู ่ืน ถ้าไมป่ ฏิบตั ิเชน่ นนั้ ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ (ปี 2552) ภิกษุนาตง่ั ของสงฆ์ไปตงั้ ใช้ในท่ีแจ้ง จะหลกี ไปสวู่ ดั อ่นื ต้องทาอยา่ งไรจึงจะไมเ่ ป็ นอาบตั ?ิ ตอบ ต้องเก็บด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผ้อู นื่ เก็บ หรือมอบหมายให้ผ้อู ืน่ จึงจะไมเ่ ป็ นอาบตั ิ (ปี 2544) ภกิ ษุนา เตียง ตง่ั ฟกู เก้าอี ้ของสงฆ์ ไปใช้ในที่แจ้งแล้ว ครัน้ หลกี ไปจากทีน่ นั้ ไมเ่ ก็บหรือไมม่ อบหมาย ให้ผ้อู ่นื เก็บให้เรียบร้อย ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ภกิ ษุเข้าบ้านในเวลาวิกาล โดยไมบ่ อกลาภกิ ษุอนื่ ในวดั ต้อง อาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ตอบ ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ฯ ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ เว้นไว้แตม่ กี ิจรีบดว่ น ฯ ภกิ ษุพรากของเขียวซงึ่ เกิดอยกู่ บั ที่ ให้หลดุ จากที่ ต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ ภตู คามวรรค) (ปี 2543) ภกิ ษุยกผกั ตบชวาทลี่ อยอยใู่ นแมน่ า้ มาไว้ในสระจะต้องอาบตั ิอะไร? ตอบ ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ถือการยกออกจากทีเ่ ดิมเป็ นประมาณ ผกั ตบชวาจะตายหรือไม่ ไมส่ าคญั ภิกษุฉนั ของเคยี ้ วของฉนั ทเ่ี ป็ นอาหารในเวลาวิกาล คอื ตงั้ แตเ่ ท่ียงแล้วไปจนถงึ วนั ใหม่ ต้องปาจิตตีย์ (ใน ปาจิตตีย์ โภชนวรรค) (ปี 2553) ภกิ ษุ ก อาพาธ ได้รับคาแนะนาให้ฉนั อาหารในเวลาวกิ าลเพอ่ื ชว่ ยให้หายป่ วยเร็ว แล้วฉนั ตาม คาแนะนานนั้ มีวินจิ ฉยั ตามพระวินยั อยา่ งไร? ตอบ มีวนิ จิ ฉยั วา่ ภกิ ษุ ก ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ ภกิ ษุกลนื กินอาหารที่ยงั ไมม่ ผี ้ใู ห้ คือ ยงั ไมไ่ ด้รับประเคนให้ลว่ งชอ่ งปากเข้าไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แตน่ า้ และไม้ สฟี ัน (ในปาจิตตยี ์ โภชนวรรค) (ปี 2552) ลกั ษณะการประเคนประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง? การชว่ ยกนั ยกโต๊ะอาหารขนึ ้ ประเคนก็ดี การจบั ผ้าปู โต๊ะประเคนก็ดี ทงั้ ๒ วิธีนถี ้ กู ต้องหรือไม?่ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ลกั ษณะการประเคน ประกอบด้วยองค์ตอ่ ไปนี ้ ๑.ของที่จะพงึ ประเคนนนั้ ไมใ่ หญ่โต หรือหนกั เกินไป พอคนปานกลางยกได้คนเดยี ว ๒.ผ้ปู ระเคนเข้ามาอยใู่ นหตั ถบาส (บว่ งมอื หรือทใี่ กล้ตวั นง่ั หา่ งกนั ไมเ่ กิน ๑ ศอก) ๓.เขาน้อมเข้ามา ๔.กิริยาทน่ี ้อมเข้ามาในนนั้ ด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนอ่ื งด้วยกายก็ได้ ด้วยโยนให้ก็ได้ ๕.ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนอ่ื งด้วยกายก็ได้ การช่วยกนั ยกโต๊ะอาหารขนึ ้ มาประเคนก็ดี การจบั ผ้าปโู ต๊ะประเคนก็ดี ทงั้ ๒ วิธีไมถ่ กู ต้อง เพราะไมต่ ้องลกั ษณะ องค์ประเคน การชว่ ยกนั ยกโต๊ะอาหารขนึ ้ มาประเคนผิดลกั ษณะองค์ท่ี ๑ และการจบั ผ้าปโู ต๊ะประเคนผดิ ลกั ษณะองค์ท่ี ๓ 23 | P a g e
ภิกษุขอปัจจยั ๔ ตอ่ ผู้ท่ปี วารณาไว้ ถ้าเขาปวารณาโดยมกี าหนดเวลา พงึ ขอได้เพยี งกาหนดเวลานนั้ แตถ่ ้าเขา ปวารณาโดยไมไ่ ด้กาหนดเวลา พงึ ขอได้เพียง ๔ เดอื นเทา่ นนั้ เว้นไว้แตเ่ ขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็ นนิตย์ (ในปาจิตตีย์ อเจลกวรรค) (ปี 2555) ภิกษุขอปัจจยั ๔ ตอ่ ผ้ทู ีป่ วารณาไว้ มีพระพทุ ธานญุ าตให้ปฏิบตั ิอยา่ งไร? ตอบ ให้ปฏบิ ตั ดิ งั นี ้ถ้าเขาปวารณาโดยมีกาหนดเวลา พงึ ขอได้เพียงกาหนดเวลานนั้ แตถ่ ้าเขาปวารณาโดย ไมไ่ ด้กาหนดเวลา พงึ ขอได้เพยี ง ๔ เดือนเทา่ นนั้ เว้นไว้แตเ่ ขาปวารณาอกี หรือปวารณาเป็ นนิตย์ ฯ คนปวารณา(คนบอกให้ขอปัจจยั เม่อื ต้องการ) จาแนกอธิบาย ๔ อยา่ งดงั นี ้ ๑.ปวารณากาหนดปัจจยั หมายความวา่ ปวาณาทก่ี าหนดชนิดสงิ่ ของ เชน่ จีวร หรือ บิณฑบาตเป็ น หรือ กาหนดจานวนสง่ิ ของ เช่น ผ้ากี่ผนื บณิ ฑบาตมีราคาเทา่ ไร เป็ นต้น (ข้อนีเ้ คยออกข้อสอบถามความหมาย) ๒.ปวารณากาหนดกาล ๓.ปวารณากาหนดทงั้ ๒ อย่าง ๔.ปวาณาไม่กาหนดทงั้ ๒ อย่าง (ปี 2551) คาวา่ ปวารณากาหนดปัจจยั หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ หมายความวา่ ปวารณาทก่ี าหนดชนิดสงิ่ ของ เชน่ จีวร หรือบิณฑบาตเป็ นต้น หรือกาหนดจานวนสงิ่ ของ เช่น ผ้ากี่ผนื บิณฑบาตมรี าคาเทา่ ไร เป็ นต้น ฯ ภิกษุให้ของเคยี ้ วของฉนั แก่นกั บวชนอกศาสนา ด้วยมือของตนต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตีย์ อเจลกวรรค) (ปี 2548) บคุ คลท่เี รียกวา่ ปริพาชก และ ปริพาชิกา คอื ใคร? ภกิ ษุให้ของเคีย้ วก็ดี ของกินก็ดี แกบ่ คุ คลเหลา่ นนั้ อยา่ งไรเป็ นอาบตั ิและอยา่ งไรไมเ่ ป็ นอาบตั ?ิ ตอบ ปริพาชก คือนกั บวชผ้ชู ายนอกพระพทุ ธศาสนา ปริพาชิกา คอื นกั บวชผ้หู ญิงนอกพระพทุ ธศาสนา ฯ ให้ ด้วยมอื ของตนต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ สง่ั ให้ให้ก็ดี วางให้ก็ดี ไมเ่ ป็ นอาบตั ิ ฯ ภกิ ษุซอ่ นบริขาร คอื บาตร จีวร ผ้าปนู ่ัง กล่องเขม็ ประคดเอว สง่ิ ใดสงิ่ หนง่ึ ของภิกษุอนื่ ด้วยคิดว่าจะ ล้อเล่น ต้องปาจติ ตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ สรุ าปานวรรค) ภกิ ษุได้จีวรใหม่ ต้องพนิ ทุ (ทาวงกลมๆ เหมือนหยาดนา้ ) ด้วยสี ๓ อยา่ ง คือ เขียวคราม โคลน ดาคลา้ อยา่ งใด อยา่ งหนงึ่ ก่อน จงึ นงุ่ หม่ ได้ ถ้าไมท่ าพินทกุ ่อนแล้วนงุ่ หม่ ต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตยี ์ สรุ าปานวรรค) (ปี 2562 และ 2545) จีวร ผ้านสิ ที นะ องั สะ ผ้าเช็ดหน้า ยา่ มผ้า เมือ่ จะใช้สอย อยา่ งไหนควรพินทุ อยา่ งไหน ไมค่ วร? เพราะเหตใุ ด? ตอบ จีวร และองั สะ ควรพนิ ทุ เพราะใช้หม่ ผ้านสิ ที นะ ผ้าเช็ดหน้า และยา่ มผ้า ไมต่ ้องพินทุ เพราะไมไ่ ด้ใช้นงุ่ หม่ ฯ (ปี 2548) เมื่อภกิ ษุได้จีวรใหมม่ า กอ่ นทีจ่ ะนงุ่ หม่ ต้องทาพินทดุ ้วยสี ๓ สี อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ คอื สอี ะไรบ้าง? 24 | P a g e
(ปี 2543) คาวา่ “พนิ ทกุ ปั ปะ” คืออะไร? ตอบ คอื การทาให้เสยี สี (วตั ถสุ าหรับทาให้เสยี สี คือเขยี วคราม โคลน ดาคลา้ ทาให้เป็ นจดุ วงกลมใหญ่เทา่ แวว ตานกยงู เลก็ เทา่ หลงั ตวั เรือด) ภกิ ษุ(เอานวิ ้ ) จีภ้ ิกษุ ต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ สรุ าปานวรรค) ภิกษุวา่ ยนา้ เลน่ ต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ สรุ าปานวรรค) ภิกษุหลอนภกิ ษุให้กลวั ผี ต้องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สรุ าปานวรรค) ฆา่ สตั ว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ สปั ปาณวรรค) น้อมมาเพ่อื บคุ คลอน่ื เป็ นอาบตั ปิ าจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สหธรรมกิ วรรค) โจทด้วยอาบตั ิทีไ่ มใ่ ชป่ าราชิก เป็ นอาบตั ิปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สหธรรมกิ วรรค) ภิกษุอ่นื ทอ่ งปาติโมกข์อยู่ ภกิ ษุแกล้งพดู ให้เธอคลายอตุ สาหะ ต้องปาจิตตยี ์ (ในปาจิตตยี ์ สหธรรมิกวรรค) (ปี 2549) ภิกษุกาลงั ฟังพระปาฏโิ มกข์อยู่ กลา่ วขนึ ้ วา่ “จะสวดไปทาไม ฟังก็ไมร่ ู้เรื่อง นา่ เบ่อื นา่ ราคาญ” เชน่ นี ้ ต้องอาบตั อิ ะไร? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ ฯ เพราะก่นสกิ ขาบท ภิกษุเข้าบ้านไมบ่ อกลาภกิ ษุอนื่ ผ้มู อี ยใู่ นอาวาสในเวลาวกิ าล (ตงั้ แตห่ ลงั เทย่ี งวนั ไป) เป็ นอาบตั ิปาจิตตีย์ เว้นไว้ แตม่ ีกิจดว่ น (ในปาจิตตีย์ รตนวรรค) (ปี 2562 และ 2544) ภิกษุเข้าบ้านในเวลาวิกาล โดยไมบ่ อกลาภิกษุอนื่ ทีม่ อี ยใู่ นวดั ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม่ ? ตอบ ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ เว้นไว้แตม่ กี ิจรีบดว่ น ฯ (ปี 2555) ภกิ ษุเข้าบ้านโดยไมไ่ ด้บอกลาภกิ ษุอืน่ ผ้มู อี ยใู่ นอาวาส ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ จงอธิบาย ตอบ ถ้าเข้าบ้านในเวลาทเ่ี ป็ นกาล ตงั้ แตเ่ ช้าถืงเวลากอ่ นเทย่ี งวนั ไมต่ ้องอาบตั ิ ถ้าเข้าบ้านในเวลาวิกาล คือ ตงั้ แตห่ ลงั เทย่ี งวนั ไป ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ เว้นไว้แตม่ กี ิจดว่ น (หรือผ้อู ยใู่ นนสิ สยั ) ภิกษุทาผ้าอาบนา้ ฝน พงึ ทาให้ได้ประมาณ ๆ นนั้ ยาว ๖ คืบพระสคุ ต กว้าง ๒ คืบครึ่ง ถ้าทาให้เกินกาหนดนี ้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตดั ให้ได้ประมาณเสยี กอ่ น จึงแสดงอาบตั ติ ก (ในปาจิตตยี ์ รตนวรรค) (ปี 2550) ผ้าอาบนา้ ฝนมกี าหนดขนาดไว้เทา่ ใด? ถ้าทาเกินกวา่ ขนาดนนั้ ต้องอาบตั ิ กอ่ นจะแสดงอาบตั ินนั้ ต้อง ทาอยา่ งไร? ตอบ ยาว ๖ คบื กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคบื พระสคุ ต ฯ ต้องตดั ให้ได้ขนาดเสยี กอ่ น ภิกษุรับนมิ นต์ไปฉนั โภชนะทงั้ ๕ แล้ว จะไปในทอ่ี ื่นจากที่นิมนต์นนั้ ในเวลาก่อนฉนั ก็ดี ฉนั กลบั มาแล้วก็ดี ต้อง ลาภกิ ษุท่มี อี ยใู่ นวดั กอ่ นจงึ จะไปได้ ถ้าไมล่ ากอ่ นเทีย่ วไป ต้องปาจิตตยี ์ เว้นไว้แตส่ มยั คอื จีวรกาล(คราวถวาย จีวร) และเวลาทาจีวร(เวลาตดั จีวร) (ในปาจิตตยี ์ อเจลกวรรค) (ปี 2550) ภิกษุรับนมิ นต์แล้ว จะไปทอี่ ืน่ กอ่ นหรือหลงั ฉนั ต้องปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร? ถ้าไมท่ าเช่นนนั้ ต้องอาบตั อิ ะไร? ตอบ ต้องปฏบิ ตั ิอยา่ งนี ้คอื ต้องบอกลาภกิ ษุอ่นื กอ่ น ฯ ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ ฯ ปาฏเิ ทสนียะ ไม่ออกข้อสอบ 25 | P a g e
ทุกกฏ พระภิกษุจบั ต้องวตั ถอุ นามาสโดยไมม่ คี วามกาหนดั เป็ นอาบตั ทิ กุ กฏ (ปี 2555) ภิกษุจบั ต้องกายมารดาในเวลาพยาบาลไข้ด้วยจิตกตญั ญู ปรับเป็ นอาบตั ิทกุ ฏผดิ หรือถกู เพราะเหตไุ ร? ตอบ เป็ นอาบตั ทิ กุ กฏ เพราะมารดาเป็ นวตั ถอุ นามาส น้อมมาเพอ่ื เจดยี ์และเพ่อื สงฆ์หมอู่ ื่น เป็ นอาบตั ทิ กุ กฏ ภิกษุลกั ทรัพย์ มรี าคาตงั้ แต่ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตใุ ห้ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษุซอ่ นบริขารอื่น(ไมใ่ ช่บาตร จีวร ผ้าปนู ง่ั กลอ่ งเข็ม ประคดเอว) หรือซอ่ นของอนปุ สมั บนั (ผ้ไู มใ่ ช่ภิกษุ) เป็ น ทุกกฏ ภกิ ษุมคี วามกาหนดั จบั ต้องกายบรุ ุษ จบั ต้องสตั ว์ดิรัจฉานทงั้ เพศผ้เู พศเมีย ต้องทกุ กฏ ฝื นคาทร่ี ับปากเขาไว้ เรียกวา่ ปฏสิ สวะทุกกฏ อาบตั ิทกุ กฏ (ปี 2545) ปฏิสสวะทกุ กฏ คอื อะไร? ตอบ คืออาบตั ิทกุ กฏที่เกิดจากการรับคาด้วยจิตบริสทุ ธ์ิ แตภ่ ายหลงั ไมไ่ ด้ทาตามคาท่รี ับปากไว้ ฯ เสขยิ วัตร ๗๕ ภิกษุนง่ั พดู เสยี งดงั ในบ้านจะต้องอาบตั ทิ กุ กฏ (ในเสขยิ วตั ร สารูป) (ปี 2555) ภกิ ษุนงั่ ในบ้านพดู เสยี งดงั จะต้องอาบตั อิ ะไร? ภกิ ษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั นงุ่ หม่ ให้เรียบร้อย (ในเสขิยวตั ร สารูป) (ปี 2560 และ 2545) การนงุ่ เป็ นปริมณฑล คือการนงุ่ อยา่ งไร? ตอบ คือ นงุ่ เบอื ้ งบนปิ ดสะดือ แตไ่ มถ่ งึ กระโจมอก เบอื ้ งลา่ งปิ ดหวั เขา่ ทงั้ ๒ ลงมาเพียงครึ่งแข้ง ไมค่ ลมุ ข้อเท้า ฯ เราจกั ไมเ่ อามือคา้ กายนงั่ ในบ้าน จะต้องอาบตั ทิ กุ กฏ (ในเสขิยวตั ร สารูป) (ปี 2550) หมวดสารูปในเสขยิ วตั ร วา่ ด้วยเรื่องอะไร ? ข้อวา่ “ไมเ่ อามอื คา้ กายนง่ั ในบ้าน” คอื ไมท่ าอยา่ งไร ? ตอบ วา่ ด้วยธรรมเนยี มควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน ฯ คอื ไมน่ งั่ เท้าแขนข้างเดียวก็ตาม สองข้างก็ตามในบ้าน ฯ เราจกั รับบณิ ฑบาตโดยเคารพ (ในเสขิยวตั ร โภชนปฏิสงั ยตุ ) (ปี 2561 และ 2558) ในการรับบิณฑบาต ภกิ ษุพงึ ปฏบิ ตั ิอยา่ งไรจึงถกู ต้องตามเสขยิ วตั ร ? จงตอบมาเพยี ง ๒ ข้อ ตอบ รับโดยเคารพ แลดแู ตใ่ นบาตร รับแกงพอสมควรแกข่ ้าวสกุ รับแตพ่ อเสมอขอบปากบาตร ฯ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ) (ปี 2553) ข้อวา่ เราจกั รับบณิ ฑบาตโดยเคารพ นนั้ มอี ธิบายอยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายวา่ รับโดยแสดงความเออื ้ เฟือ้ ในบคุ คลผ้ใู ห้ ไมด่ หู มิ่น และให้แสดงความเออื ้ เฟือ้ ในของที่เขาให้ ไมท่ าดงั รับเอามาเลน่ หรือเอามาทงิ ้ เสยี ฯ (ปี 2545) เสขิยวตั รวา่ ด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ จงระบมุ าเพยี ง ๒ ข้อ 26 | P a g e
ตอบ (เลอื กตอบเพียง ๒ ข้อ) ภกิ ษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั รับบณิ ฑบาตโดยเคารพ ภิกษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เมอื่ รับบณิ ฑบาต เราจกั แลดแู ตใ่ นบาตร ภิกษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั รับแกงพอสมควรแกข่ ้าวสกุ ภิกษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั รับบิณฑบาตแตพ่ อเสมอขอบปากบาตร ฯ ภิกษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บิณฑบาตโดยเคารพ (ในเสขยิ วตั ร โภชนปฏสิ งั ยตุ ) (ปี 2547) ข้อวา่ ภิกษุพงึ ทาความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บณิ ฑบาตโดยเคารพ นนั้ มีอธิบายอยา่ งไร? ตอบ มอี ธิบายวา่ ภิกษุฉนั บณิ ฑบาต แม้เป็ นของเลว ก็ไมแ่ สดงอาการวิการ คือฉนั โดยปกติ และเม่ือฉนั ก็ไมฉ่ นั พลางทากิจอ่นื พลาง ฯ ภิกษุฉนั พลางทากิจอ่ืนพลาง ต้องอาบตั ิทกุ กฏ (ในเสขิยวตั ร โภชนปฏิสงั ยตุ ) (ปี 2562 และ 2560) ภิกษุฉนั พลางพดู พลาง จะต้องอาบตั ิอะไรหรือไม?่ ตอบ พดู ทงั้ ทย่ี งั มีอาหารอยใู่ นปาก ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ พดู ไมม่ ีอาหารอยใู่ นปาก ไมต่ ้องอาบตั ิ ฯ (ปี 2554) ภิกษุฉนั พลางทากิจอื่นพลาง ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม?่ ตอบ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ ภิกษุผ้ไู มไ่ ข้ ถ่ายอจุ จาระ ถา่ ยปัสสาวะ และบ้วนนา้ ลายลงในของเขียว และในนา้ จะต้องอาบตั ทิ กุ กฏ (ในเสขยิ วตั ร ปกิณกะ) (ปี 2555) ในเสขิยวตั รมีสกิ ขาบททพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ใิ ห้ภิกษุชว่ ยกนั รักษาสงิ่ แวดล้อมโดยอนโุ ลมไว้ อยา่ งไร? ทุพภาสติ ไม่ได้เพ่งความเจบ็ ใจหรือความอัปยศ พดู ล้อเล่นกระทบวัตถุ เร่ืองมชี าตกิ าเนิด ชาติตระกลู เป็ นต้น กับอนุปสัมบนั ก็ตาม พูดเจาะตัวก็ตาม พดู เปรยๆ กต็ าม เป็ นทุพภาษิตเหมือนกัน ไม่ออกข้อสอบ 27 | P a g e
Search