๑ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ภาควชิ าธรรมวภิ าค ทุกะ คือ หมวด ๒ ธรรมมอี ปุ การะมาก ๒ อยา่ ง ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒. สมั ปชัญญะ ความรู้ตวั สติ คือ เมือ่ ก่อนจะทาจะพดู จะคิด กม็ คี วามนึกไดอ้ ยู่เสมอวา่ เมือ่ ทาหรือพดู หรือคิด ไปแลว้ จะมีผลเป็นเชน่ ไร จะดหี รือไม่ดี มีประโยชน์หรือไม่มี ถ้าคนมีสติระลึกได้อยเู่ ช่นนี้ แล้ว จะทาจะพูดจะคิดก็ไม่ผิดพลาด สมั ปชัญญะ คือ ความรู้ตวั ในขณะเวลากาลงั ทาหรือพูดหรือคิดเปน็ เครือ่ ง สนับสนุนสติให้สาเร็จตามความต้องการ สติและสัมปชญั ญะนี้ ท่ชี ื่อว่าธรรมมีอปุ การะมาก เพราะถ้ามสี ติและสมั ปชญั ญะ แล้ว กจิ การอย่างอืน่ กส็ าเร็จไดโ้ ดยงา่ ยเพราะมีสติและสมั ปชญั ญะคอยควบคุม ประคับประคองไว้เหมือนหางเสือเรือทีค่ อยบงั คับเรือใหแ้ ล่นไปตามทางฉะน้ัน ธรรมเปน็ โลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ อย่าง ๑. หริ ิ ความละอายแกใ่ จ ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว หริ ิ คือ ความละอายต่อใจตนเองเมื่อจะประพฤติทจุ ริตต่อการทาบาป ทาความชั่ว ไมก่ ลา้ ทาทั้งในที่ลับและที่แจง้ เกลยี ดการทาช่วั เหมือนคนชอบสะอาดไมอ่ ยากแตะต้องของ สกปรกฉะนั้น โอตตปั ปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของการทาช่วั โดยคิดว่าคนทาดไี ด้ดีคนทาชั่วได้ชวั่ กลวั ผลของกรรมนั้นจะตามสนอง จึงไมก่ ลา้ ทาความช่ัวทั้งในที่แจง้ และทีล่ บั [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๒ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี หริ ิและโอตตัปปะทีช่ ือ่ ว่าธรรมคุ้มครองโลกน้ันเพราะถ้ามนุษย์ทกุ คนมีธรรม ๒ ข้อ นี้แลว้ โลกกจ็ ะมีแต่ความสงบสุขไมม่ ีเบียดเบยี นกันและกันปราศจากความระแวงสงสัยต่าง ๆ ดงั น้ันจงึ ไดช้ ื่อว่าธรรมคุ้มครองโลก ธรรมอนั ทาใหง้ าม ๒ อย่าง ๑. ขันติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงี่ยม ขนั ติ มี ๓ คือ ๑. อดทนต่อความลาบาก ได้แก่ ทนต่อการถกู ทรมานร่างกาย เช่น ทาโทษทุบตี ต่าง ๆ พร้อมทงั้ อดทนต่อความเจ็บไข้ ๒. อดทนต่อการตรากตรา ได้แก่ ทนทางานอย่างไม่คิดถึงความลาบาก ทั้งทนต่อ สภาพดนิ ฟูาอากาศ มีหนาวลมร้อนแดดเปน็ ต้น ๓. อดทนต่อความเจ็บไข้ ไดแ้ ก่ ทนต่อคากล่าวดถู ูกเหยียดหยามหรือพูดประชดให้ เจบ็ ใจ โสรัจจะ คือความเสงีย่ มเรยี บร้อย ไม่แสดงความในใจออกมาให้ผู้อื่นรู้เหน็ ในเมือ่ เขาพดู ดถู ูกเหยยี ดหยาม หรือไม่แสดงอาการการดีอกดีใจจนเกินไปในเมื่อไดร้ บั คายกยอ สรรเสรญิ บุคคลหาไดย้ าก ๒ อย่าง ๑. บุพพการี บคุ คลผู้ทาอุปการะก่อน ๒. กตัญญกู ตเวที บุคคลผู้รู้อปุ การะทีท่ ่านทาแลว้ และตอบแทน บุพพการี ได้แก่ ผู้ทีม่ พี ระคุณมาก่อนไดท้ าประโยชน์แกเ่ รามาก่อน จาแนก ออกเปน็ ๔ ประเภท คือ พระพุทธเจา้ พระมหากษตั ริย์ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ และ บิดามารดา [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี กตญั ญูกตเวที ได้แก่ ผู้ทีไ่ ด้รบั อปุ การะจากท่านเหลา่ น้ันแล้วและพยายามทา อุปการะคุณตอบแทนท่านจาแนกออกเปน็ ๔ ประเภทเช่นเดยี วกัน คือ พทุ ธบริษทั ราษฎร สัทธิวหิ าริก และบุตรธิดา คนทั้ง ๒ ประเภทนี้ไดช้ ื่อว่า บคุ คลทห่ี าไดย้ าก เพราะโดยปกติแลว้ มนษุ ย์ทกุ คน จะมีความเห็นแกต่ วั ผู้ทีจ่ ะเสยี สละหรือทาตนให้เปน็ ประโยชน์แก่ผู้อืน่ โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน และผู้ที่จะทาตอบแทนท่านผู้ทม่ี ีอุปการะมาก่อนกห็ าไดแ้ สนยาก เพราะฉะนั้นบคุ คลทงั้ สองประเภทนี้จงึ ไดช้ ือ่ ว่า “บุคคลหาไดย้ าก” ติกะ คือ หมวด ๓ รัตนะ ๓ อย่าง ๑. พระพทุ ธ ๒. พระธรรม ๓. พระสงฆ์ ๑. ท่านผู้สอนใหป้ ระชมุ ชนประพฤติชอบดว้ ย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ที่พระ ท่านเรียกว่าพระพทุ ธศาสนา ชื่อว่า พระพทุ ธเจ้า ๒. พระธรรมวินัยที่เปน็ คาสั่งสอนของทา่ นชื่อว่า พระธรรม ๓. หมชู่ นที่ฟังคาสัง่ สอนของทา่ นแล้ว ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวินัยชื่อว่า พระสงฆ์ พระพทุ ธพระธรรมพระสงฆ์นี้เรียกว่า ”รตั นะ” เพราะเปน็ แกว้ อนั ประเสริฐหาค่า มิได้ ทาให้ชนผู้เลือ่ มใสเกดิ ความยินดีมีความสงบ ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และกันจะหาทรพั ย์อืน่ เสมอเหมือนไมม่ ี ประเสริฐกว่าแก้วแหวนเงนิ ทองเพชรนิลจินดาทั้งปวงจงึ รวมเรียกวา่ “พระรัตนตรัย“ คุณของรตั นะ ๓ อย่าง - พระพุทธเจา้ รู้ดรี ู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผู้อืน่ ให้รู้ตามดว้ ย [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี - พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏบิ ัติไม่ใหต้ กไปชั่ว - พระสงฆ์ปฏบิ ตั ิชอบตามคาสอนของพระพุทธเจา้ แล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามดว้ ย อาการที่พระพุทธเจ้าเจา้ ทรงสง่ั สอน ๓ อย่าง ๑. ทรงสงั่ สอน เพือ่ จะใหผ้ ู้ฟังรู้ยง่ิ เห็นในธรรมทีค่ วรรู้ควรเห็น ๒. ทรงส่ังสอนมีเหตทุ ี่ผู้ฟงั อาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ๓. ทรงสั่งสอนเปน็ อศั จรรย์ คือผู้ปฏบิ ัติตามย่อมได้ประโยชน์ โดยสมควรแก่ความ ปฏิบตั ิ โอวาทของพระพุทธเจา้ ๓ อยา่ ง ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่ว ดว้ ยกาย วาจา ใจ. ๒. ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ. ๓. ทาใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เปน็ ต้น ทจุ ริต ๓ อย่าง ๑. ประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย เรียกกายทุจรติ ๒. ประพฤติช่ัวดว้ ยวาจา เรียกวจที ุจริต ๓. ประพฤติช่วั ดว้ ย ใจ เรยี กมโนทุจรติ กายทจุ รติ ๓ อยา่ ง ๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลักฉอ้ ๓. ประพฤติผิดในกาม วจที ุจริต ๔ อย่าง ๑. พูดเท็จ ๒. พูดสอ่ เสียด ๓. พดู คาหยาบ ๔. พูดเพอ้ เจอ้ มโนทจุ รติ ๓ อย่าง ๑.โลภอยากได้ของเขา ๒. พยาบาทปองร้ายเขา ๓. เหน็ ผิดจากคลองธรรม ทจุ ริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจไม่ควรทา ควรละเสยี [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๕ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี สจุ ริต ๓ อยา่ ง ๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรยี กกายสุจริต ๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรยี กวจสี ุจรติ ๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรยี กมโนสุจรติ กายสุจริต ๓ อยา่ ง ๑. เว้นจากฆ่าสตั ว์ ๒.เว้นจากลักฉอ้ ๓. เว้นจากประพฤติผิดในกาม วจสี จุ รติ ๔ อย่าง ๑. เว้นจากพูดเท็จ ๒. เว้นจากพูดสอ่ เสียด ๓. เว้นจากพูดคาหยาบ ๔. เว้นจาก พูดเพอ้ เจอ้ มโนสุจรติ ๓ อย่าง ๑. ไมโ่ ลภอยากได้ของเขา๒. ไมพ่ ยาบาทปองร้ายเขา ๓.เหน็ ชอบตามคลองธรรม สจุ รติ ๓ อยา่ งนี้ เป็นกิจควรทา ควรประพฤติ. อกุศลมลู ๓ อยา่ ง รากเงา่ ของอกุศล เรียกอกุศลมลู มี ๓ อย่าง ๑. โลภะ อยากได้ ๒. โทสะ คิดประทษุ ร้ายเขา ๓. โมหะ หลงไมร่ ู้จริง เมื่ออกศุ ลมลู เหลา่ นี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ดี มีอยู่ แล้วอกศุ ลอืน่ ทีย่ งั ไมเ่ กดิ ก็ เกดิ ขนึ้ ที่เกดิ แลว้ กเ็ จริญมากขึ้น เหตุนั้นควรละเสยี เมื่อความโลภเกิดขึ้นแกผ่ ู้ใดกจ็ ะทาให้ผู้นั้นทาทจุ ริตต่าง ๆ ได้เชน่ ฉกชงิ ว่งิ ราว หรือ ปลน้ สะดมเป็นต้น เมื่อมีโทสะกจ็ ะทาใหผ้ ู้น้ันเป็นคนดรุ ้ายขาดเมตตา ไมพ่ อใจต่อผู้ใดกม็ งุ่ แต่จะลา้ งผลาญเขา จงึ เปน็ เหตใุ หก้ ่อเวรแก่กนั และกัน เมื่อมีโมหะก็จะทาใหผ้ ู้น้ันมืดมนไมร่ ู้จักสิ่งที่ควรไม่ควรสิง่ ทีผ่ ิด หรือชอบ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๖ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี เมื่อจะทากิจการใด ๆ กจ็ ะทาไปตามความพอใจของตน อาจจะเป็นเหตใุ หม้ ีโทษ มาถึงตัวกไ็ ด้เพราะความโง่เขลาของกตัญญุตา นัน่ เองฉะ น้ันท่านจึงกลา่ วว่า โลภะ โทสะ โมหะเหล่านี้เป็นรากเงา่ ของอกุศล กุศลมลู ๓ อยา่ ง รากเงา่ ของกศุ ล เรียก กศุ ลมูล มี ๓ อย่าง คือ ๑. อโลภะ ไม่อยากได้ ๒. อโทสะ ไมค่ ิดประทษุ ร้ายเขา ๓. อโมหะ ไมห่ ลง ถ้ากศุ ลมลู เหล่านี้ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กด็ ี มีอยแู่ ล้ว กุศลอืน่ ทีย่ งั ไมเ่ กดิ ก็ เกดิ ขนึ้ ทีเ่ กดิ แลว้ กเ็ จริญมากขึ้น เหตนุ ั้นควรใหเ้ กดิ มใี นสันดาน สปั ปรุ ิสบญั ญตั ิ คือ ข้อทีท่ า่ นสตั บุรุษตั้งไว้ ๓ อยา่ ง ๑. ทาน สละสง่ิ ของ ๆ ตนเพือ่ นเป็นประโยชน์แกผ่ ู้อื่น ๒. ปพั พัชชา ถือบวช เปน็ อบุ ายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน ๓. มาตาปติ ุอุปฏั ฐาน ปฏิบตั ิมารดาบิดาของตนให้เปน็ สขุ ทานคือการใหส้ ง่ิ ของต่าง ๆ ของตนเองแกผ่ ู้อื่นดว้ ยความพอใจที่ จะให้จึงเรียกว่า ทานท่านจาแนกออกเป็น ๒ อย่าง คืออามิสทาน คือการใหว้ ัตถสุ ่งิ ของต่าง ๆ เป็นต้น และธรรมทานคือการบอกกล่าว สงั่ สอนช้ีแจงให้คนอื่นรู้บาปบญุ คณุ โทษ จนถึงประโยชน์ สงู สดุ คือพระนิพพาน ปัพพชั ชา คือ การงดเว้น หมายถึงการงดเว้นจากการเบยี ดเบยี นซึ่งกนั และกนั การปฏิบัติมารดาบิดา คือ การบารุงทา่ นให้ไดร้ ับความสุข เลีย้ งดูเอาใจใส่ทา่ นเมือ่ คราวเจ็บไข้ ให้ของใช้สอยต่าง ๆ และประพฤติตามคาสอนของท่าน ให้สมกับทีท่ า่ นเลยี้ งดู เรามาตั้งแต่เลก็ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๗ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี อปัณณกปฏปิ ทา คือปฏิบัติไม่ผิด ๓ อยา่ ง ๑. อินทรียสงั วร สารวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไม่ให้ยนิ ดียินร้ายใน เวลาเหน็ รปู ฟังเสียง ดมกลน่ิ ลิม้ รส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณด์ ว้ ยใจ ๒.โภชเน มตั ตญั ญุตา รู้จกั ประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไมม่ ากไม่น้อย. ๓.ชาคริยานุโยคประกอบความเพียรเพือ่ จะชาระใจให้หมดจดไม่เห็นแก่นอนมากนัก สารวมอินทรีย์ ๖ คือ ระวงั ตาหูจมูกล้ินกายใจไมใ่ ห้ยนิ ดียินร้ายกบั อารมณ์ที่มา กระทบเข้า คือเมือ่ ตาเห็นรูปสวยน่าพอใจก็ระวงั ใจไม่ใหเ้ กดิ ความยินดีหรือเห็นรปู ที่ไม่ พอใจกร็ ะวงั ไม่ใหเ้ กดิ ความยินร้ายขึน้ เป็นต้น รู้จกั ประมาณในการบริโภคอาหารนั้น คือไม่บริโภคสนองความอยาก ต้องบริโภค แต่พอประมาณไม่มากหรือน้อยจนเกนิ ไปและให้มสี ติอยู่เสมอวา่ เราบริโภคเพือ่ ใหอ้ ตั ภาพ เปน็ ไปได้วนั ๆ หนึง่ เทา่ นั้น เวน้ ของบดู เน่าเสียพร้อมทง้ั บรโิ ภคให้ถูกต้องตามกาลเวลา ประกอบความเพียรของผู้ตื่นอยู่นั้นคือ ผู้ที่จะชาระจิตใจของตนให้หมดจดจากกิเลส ทั้งปวง ต้องเป็นผู้ท่ไี มเ่ ห็นแก่นอนเมือ่ นอนก็ต้ังใจไว้เสมอว่า จะลกุ ขึน้ ทาความเพียรต่อ บญุ กิริยาวัตถุ ๓ อย่าง สง่ิ เป็นทีต่ ้ังแห่งการบาเพ็ญบุญ เรียกบญุ กิรยิ าวตั ถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง ๑. ทานมยั บุญสาเรจ็ ดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สลี มยั บุญสาเร็จดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จดว้ ยการเจรญิ ภาวนา คาว่าบญุ คือ ความดที ีช่ าระจิตใจให้บริสุทธิบ์ คุ คลจะสามารถเจริญบญุ นี้ได้ ๓ ทาง ดว้ ยกันคือ ดว้ ยการบริจาคทาน รกั ษาศีล และเจริญภาวนา การรักษาศีลคือ ระเบียบข้อฝึกหดั กายวาจาใหเ้ รียบร้อยจาแนกออกเปน็ ๓ อย่าง คือ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๘ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ศีล ๕ สาหรบั คฤหสั ถ์ทัว่ ไปเรียกว่าจุลศีล ศีล ๘ สาหรบั อุบาสกอุบาสิกา และศีล ๑๐ สาหรบั สามเณรเรียกวา่ มชั ฌิมศีล ศลี ๒๒๗ สาหรบั พระภิกษุ เรยี กว่ามหาศีล ภาวนา คือการทาใจยังกศุ ลใหเ้ กดิ ขนึ้ ที่มอี ยู่แลว้ กเ็ จริญให้มากขนึ้ ภาวนามีอยู่ ๒ อย่าง คือ สมถภาวนา อุบายทาจิตใหส้ งบจากนิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นต้น และวิปสั สนา ภาวนา การเจรญิ ปัญญาให้เหน็ แจ้งซึ่งไตรลกั ษณ์คือ ความไมเ่ ทย่ี งเปน็ ทกุ ข์เป็นอนัตตา. สามญั ลกั ษณะ ๓ อย่าง ลกั ษณะท่เี สมอกันแก่สังขารท้ังปวง เรียกสามญั ลกั ษณะ ไตรลกั ษณะกเ็ รียก แจกเป็น ๓ อย่าง ๑. อนิจจตา ความเป็นของไมเ่ ท่ยี ง ๒. ทุกขตา ความเปน็ ทุกข์ ( ไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ) ๓. อนัตตตา ความเปน็ ของไมใ่ ช่ตน สามัญลักษณะท้ัง ๓ นี้ เรียกอกี อย่างหนึง่ ว่า ไตรลกั ษณ์ ที่ไดช้ ือ่ ว่าสามญั ลักษณะ กเ็ พราะสงั ขารทั้งปวง จะต้องเป็นไปในลักษณะเดยี วกันหมดไมล่ ว่ งพน้ จากลักษณะท้ัง ๓ อย่างนี้ไปไดส้ ังขารในทีน่ ีท้ ่านหมายเอาท้ังส่งิ ท่มี ีชีวติ และไมม่ ีชีวติ เพราะความไม่เที่ยงนั้น ทุกส่งิ มคี วามเกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะใน ทีส่ ุดก็แตกดบั สลายไปหาความเทีย่ งแทถ้ าวรมิไดเ้ ลย ที่ชื่อว่าความเป็นทุกข์ กเ็ พราะจะต้องบารงุ รกั ษาอยู่ตลอดไปเชน่ เจบ็ ไข้ไดป้ ุวยเปน็ ต้น รวมไปถึงความเศร้าโศกเสยี ใจความราไรราพันต่าง ๆ ที่ชือ่ ว่า ไมใ่ ช่ตนก็เพราะว่าสภาวะของสังขารทุกอย่างไมส่ ามารถจะต้ังอยู่ในสภาวะ เดิมไดเ้ ป็นนิรนั ดร จะต้องแตกสลายสูญหายไปตามกาลเวลา. จตุกกะ คือ หมวด ๔ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๙ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี วุฒิ คือ ธรรมเป็นเครื่องเจริญ ๔ อย่าง ๑. สัปปุรสิ สงั เสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบดว้ ยกายวาจาใจท่เี รียกว่าสตั บุรุษ. ๒. สทั ธมั มั สสวนะ ฟังคาสอนของท่านโดยเคารพ. ๓. โยนโิ สมนสกิ าร ตริตรองให้รู้จักส่งิ ทด่ี หี รือชว่ั โดยอบุ ายทช่ี อบ. ๔. ธัมมานุธมั มปฏปิ ตั ติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึง่ ไดต้ รองเห็นแล้ว จกั ร ๔ ๑. ปฏิรปู เทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร ๒. สปั ปรุ สิ ูปัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ต้ังตนไว้ชอบ ๔. ปุพเพกตปญุ ญตา ความเป็นผู้ไดท้ าความดีไว้ในปางกอ่ น ประเทศอันสมควรนั้นคือ ประเทศทีม่ ีสตั บุรษุ อาศัยอยู่มีบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษณุ ีอบุ าสกอุบาสกิ าอยู่ มีการบริจาคทานหรือคาสอนของพระพุทธเจา้ ยงั รุ่งเรืองอยู่ การคบหาสตั บุรุษน้ัน คือการคบหาทา่ นผู้เปน็ สมั มาทิฏฐิประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจาใจและสามารถแนะนาผู้อื่นให้ตั้งอยู่ในความดีไดเ้ ช่น พระพทุ ธเจ้าเปน็ ต้น การตั้งตนไว้ชอบน้ันคือ บุคคลผู้ไม่มศี ีลก็ทาตนให้ตั้งอยู่ในศีล ไมม่ ีศรัทธาก็ทาตน ให้มศี รทั ธา ผู้มคี วามตระหนีก่ ็ทาตนให้เป็นคนถึงพร้อมด้วยการบริจาค ความเปน็ ผู้ไดท้ าบุญไว้ในปางกอ่ น คือ ผู้ที่ไดส้ ั่งสมกุศลกรรมไว้มากในปางกอ่ น โดยทาปรารภถึงพระพุทธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ และพระขีณาสพ จงึ เปน็ เหตุใหน้ าตน มาเกิดในที่อันสมควรได้คบหากับสัตบุรุษและไดต้ ั้งตนไว้ชอบเพราะกศุ ลท่ไี ด้สร้างไว้ใน กาลก่อนนี้ ธรรม ๔ อย่างนี้ ดุจลอ้ รถนาไปสคู่ วามเจรญิ . อคติ ๔ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๐ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๑. ลาเอยี งเพราะรกั ใคร่กนั เรียกฉนั ทาคติ ๒. ลาเอยี งเพราะไมช่ อบกนั เรียกโทสาคติ ๓. ลาเอยี งเพราะเขลา เรยี กโมหาคติ ๔. ลาเอยี งเพราะกลัว เรยี กภยาคติ อคติ ๔ ประการนี้ ไม่ควรประพฤติ อันตรายของภกิ ษสุ ามเณรผบู้ วชใหม่ ๔ อยา่ ง ๑. อดทนต่อคาสอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคาส่งั สอนขี้เกียจทาตาม ๒. เป็นคนเหน็ แก่ปากแก่ทอ้ ง ทนความอดอยากไม่ได้ ๓.เพลดิ เพลินในกามคณุ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ๔. รักผู้หญิง ภิกษสุ ามาเณรผู้หวงั ความเจรญิ แก่ตน ควรระวังอยา่ ให้อนั ตราย ๔ อย่างนี้ยา่ ยีได้ ปธาน คือความเพียร ๔ อยา่ ง ๑. สังวรปธาน เพียรระวงั ไมใ่ ห้บาปเกดิ ขนึ้ ในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กศุ ลเกิดขึ้นในสนั ดาน ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพียรรกั ษากศุ ลท่เี กดิ ขนึ้ แลว้ ไม่ใหเ้ สื่อม ความเพียร ๔ อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบควรประกอบให้มใี นตน สังวรปธาน ได้แก่เพียรระวงั ตาหจู มูกลิน้ กายใจไม่ใหเ้ กดิ ความยินดียินร้ายขึ้นใน เมื่อตาเห็นรปู เปน็ ต้น เพราะเมื่อไม่ระวังแลว้ จะเปน็ เหตุใหอ้ กุศลเกดิ ขนึ้ ครอบงาใจได้ ปหานปธาน ได้แก่เพียรละความช่วั คือ กามวิตก พยาบาทวิตกและวิหงิ สาวิตกที่ เกดิ ขนึ้ กับใจเสยี [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๑ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ภาวนาปธาน ได้แก่เพียรทากศุ ลใหเ้ กดิ ขนึ้ ด้วยการเจริญภาวนาดว้ ยความมีสติมี ความเพียรเป็นต้น อนรุ กั ขปธาน ได้แก่เพียรรกั ษาสมาธิหรือกศุ ลอนั ตนเจริญใหเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ ไม่ให้ เสื่อมไป อธิษฐานธรรม คือธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อยา่ ง ๑. ปัญญา รอบรู้สง่ิ ท่คี วรรู้ ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดกใ็ ห้ไดจ้ ริง ๓. จาคะ สละส่งิ ทเ่ี ปน็ ข้าศึกแกค่ วามจริงใจ ๔. อปุ สมะ สงบใจจากสิ่งเปน็ ข้าศึกษาแก่ความสงบ ธรรมชาติทร่ี ู้จริงรู้ชัดทราบเหตุผลความดี ความช่ัวอยา่ งถ่ถี ้วนชื่อว่า ปัญญา แบง่ ออกเป็น ๒ คือโลกิยปญั ญา ปญั ญาของโลกิยชน และโลกกตุ ตรปญั ญา ปญั ญาของ พระอริยบคุ คลความจริงความสตั ย์ทีบ่ คุ คลต้ังไว้ จะทาส่งิ ใด กต็ ้ังใจทาสง่ิ นั้นให้สาเรจ็ ไม่ ท้อถอย ต่ออปุ สรรคใดๆท้ังทางโลกและทางธรรมชื่อว่าสจั จะ. สง่ิ ท่เี ปน็ ข้าศึกต่อความจริงใจน้ัน กลา่ วโดยท่วั ๆ ไปไดแ้ ก่ อุปสรรคความขัดข้องอนั เป็นเหตขุ ดั ขวางแกก่ ารทาความจริงเชน่ ความเกียจคร้านหรือเจบ็ ไข้เปน็ ต้น แต่ในที่นที้ ่าน หมายเอากเิ ลสบางจาพวก ที่ทาให้จิตใจเศร้าหมองกระวนกระวายไมส่ งบเช่น โลภะ โทสะ โมหะหรือนิวรณ์ ๕ เป็นต้นการละอปุ สรรคเหลา่ นีเ้ สียไดช้ ือ่ ว่า จาคะ การละโมหะ และกิเลสอนั เปน็ ฝุายตา่ ซึ่งเปน็ ข้าศึกแกค่ วามจริงหรือระงบั ใจจาก อารมณ์ทม่ี ากระทบเข้าจัดเปน็ อุปสมะ. อิทธิบาท คือคุณเคร่อื งให้สาเรจ็ ความประสงค์ ๔ อย่าง ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งน้ัน ๒. วิริยะ เพียรประกอบสิง่ นั้น [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๒ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๓. จติ ตะ เอาใจฝักใฝุในสง่ิ น้ันไม่วางธรุ ะ ๔. วิมังสา หมัน่ ตริตรองพจิ ารณาเหตผุ ลในสิ่งนั้น ความพอใจรักใคร่ในสง่ิ น้ัน คือ การทีบ่ คุ คลจะประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึง่ ให้สาเร็จ ต้องมคี วามพอใจในการงานสิ่งนั้นเสยี ก่อนต่อไปจงึ มคี วามเพียรพยายามทา การงานอันน้ันอยู่เสมอเพือ่ ใหส้ าเร็จตามความต้องการไม่เหน็ แก่ความเหนือ่ ยยากลาบาก คอยเอาใจใส่ดูแลขวนขวายในการงานนั้นและใชป้ ัญญาพิจารณาซ้าอีกวา่ การงานนั้นมี ผลดผี ลร้ายอย่างไรเมือ่ บคุ คลมีคุณธรรม ๔ อย่างนี้สมบูรณ์แลว้ ก็จะให้สาเร็จการงานที่ ตนประสงค์ไม่ยากนัก. คณุ ๔ อย่างนี้ มีบริบรู ณแ์ ล้ว อาจชกั นาบคุ คลให้ถงึ สิง่ ที่ต้องประสงค์ซึง่ ไม่ เหลือวิสัย ควรทาความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ ริต ประพฤติกายสุจริต ๒. ในการละวจที ุจริต ประพฤติวจสี จุ รติ ๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต ๔. ในการละความเหน็ ผิด ทาความเห็นใหถ้ ูก อีกอยา่ งหนึง่ ๑. ระวงั ใจไม่ใหก้ าหนัดในอารมณ์เป็นที่ต้ังแห่งความกาหนดั ๒. ระวังใจไม่ใหข้ ้องเกย่ี วในอารมณ์เปน็ ที่ต้ังแห่งความขดั เคือง ๓. ระวงั ใจไม่ใหห้ ลงในอารมณ์เป็นทีต่ ั้งแห่งความหลง ๔. ระวงั ใจไม่ใหม้ ัวเมาในอามรณเ์ ปน็ ที่ต้ังแหง่ การมวั เมา ธรรม ๒ หมวดนี้ มใี จความชัดเจนอยู่ในตวั เองเพียงพอแล้ว [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๑๓ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ปารสิ ุทธิศลี ๔ พรหมจรรย์สะอาดหมดจด บาเพญ็ ศีลพรตเคร่งครดั ไมเ่ ป็นทีร่ ังเกียจและติเตียน บางท่เี รียกว่า ศีล เพราะศีล ๔ นี้ เหมือนแกน่ แหง่ ธรรมวินยั อนั สมบูรณส์ าหรับสมณเพศ ๑. ปาติโมกขสังวรศีล ประพฤติสารวมตามสิกขาบทวินยั และสงั ฆกรรม ไมล่ ะเมดิ ข้อห้ามของภิกขุ ๒. อนิ ทรียส์ งั วรศีล สารวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไมใ่ ห้ยนิ ดียิน ร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลน่ิ ลมิ้ รส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณด์ ว้ ยใจ. ๓. อาชวี ปารสิ ุทธศิ ีล เลีย้ งชีวติ โดยทางทช่ี อบไม่หลอกลวงเขาเล้ียงชวี ิต ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียกอ่ นจึงปริโภคปัจจัย ๔ คือ เครือ่ งนุ่งห่ม อาหาร ทอ่ี ยู่อาศยั และเภสชั ยาคือรักษาโรค ไม่บริโภคด้วยตณั หาด้วยความมัวเมา การไม่ประพฤติล่วงพระวินัยบัญญัติทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงบญั ญัติไว้ต้ังแต่ปาราชกิ ถึง เสขิยวตั รและไม่ประพฤติล่วงขนบธรรมเนียมธรรมคือความประพฤติของภกิ ษุซึ่งเรียกว่า อภสิ มาจารจดั เป็นปาฏิโมกขสังวร การคอยสารวมระวงั ไม่ใหเ้ กดิ ความยินดียินร้ายในเมื่อรูปเสียงกลน่ิ รสโผฏฐพั พะและ ธรรมมารมณ์มากระทบทางตาหูจมูกล้ินกายใจจดั เป็นอินทรีย์สังวร การเลยี้ งชีพชอบนี้หมายเอาการงานที่ทาโดยสุจรติ ไม่เบยี ดเบยี นคนอืน่ ทาให้เขา เดือดร้อนหรือลอกลวงเขาเล้ยี งชพี อันผิดต่อธรรมวินยั การงดเว้นจากกรรมทุจริตเชน่ นี้ จัดเป็นอาชวี ปาริสทุ ธศิ ีล การบริโภคปจั จยั ๔ คือ เสื้อผ้า(จวี ร) อาหารที่อยอู่ าศัยและยารักษาโรคพึงนึก พิจารณาก่อนว่าเราบริโภคปัจจัย ๔ เพียงเพื่อบาบดั อนั ตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเช่น หนาว ร้อยแดดฝนเป็นต้นจัดเป็นปัจจยั ปัจจเวกขณะ ที่จัดธรรม ๔ อย่างนี้เป็นอาชวี ปาริสุทธศิ ีลเพราะถ้าบคุ คลประพฤติตามธรรมหมวด นี้แลว้ ก็เป็นเครื่องทาศีลให้บริสุทธิ์ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๔ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี อารักขกมั มัฏฐาน ๑. พุทธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ พระพทุ ธเจ้าทม่ี ีในพระองค์และทรงเกื้อกูลผู้อื่น ๒. เมตตา แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สตั ว์ทงั้ ปวงเป็นสขุ ท่ัวหน้า. ๓. อสภุ ะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เหน็ เปน็ ไม่งาม เปน็ สิ่งสกปรกของ สว่ นประกอบต่างๆในร่างกาย ๔. มรณสั สติ นึกถึงความตายอนั จะมีแก่ตน การระลกึ ถึงพระคุณ ๓ อย่างของพระพุทธเจ้าคือ พระปัญญาคณุ พระบริสุทธิ คุณ และพระมหากรุณาธิคุณทีพ่ ระองค์ทรงมเี มตตาเกื้อกูลต่อโลกเรียกว่าพทุ ธานสุ สติ การแผ่เมตตาจิตทีไ่ ม่มเี วรไม่มพี ยาบาท ปรารถนาให้คนอื่นเป็นสขุ ท่ัวหน้ากัน โดย ปราศจากราคะไปในสัตว์ท้ังปวงเรียกว่าเมตตา การแผ่เมตตานมี้ ี ๒ อย่าง คือ แผ่ไป โดยเจาะจง และแผ่ไปโดยไมเ่ จาะจง การพิจารณาร่างกายโดยละเอยี ดแยกออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น ผมขนเลบ็ ฟันเปน็ ต้นให้เหน็ ว่าเปน็ ของไมส่ วยงามไม่สะอาดน่ารงั เกยี จ เปน็ ของปฏกิ ูลมกี ล่นิ เหมน็ เปน็ ต้น เรียกวา่ อสภุ ะ การระลกึ ถึงความตายอยู่เสมอ ๆ ว่า เราจะต้องตายแน่ ๆ ไมว่ นั ใดกว็ ันหนึง่ ดงั นี้ อนั เปน็ เหตุใหเ้ ป็นผู้ไม่ประมาทใหไ้ ด้รีบทากศุ ลไว้กอ่ นตาย เรียกว่า มรณสั สติ กัมมัฏฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจริญเป็นนิตย์ พรหมวิหาร ๔ ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาสนั ติสุขแก่ทุกชวี ิต ประสานโลกให้อบอนุ่ ร่มเย็น ให้เปน็ สุข ๒. กรณุ า ความสงสาร คิดจะชว่ ยใหพ้ ้นทุกข์ ๓. มทุ ิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี ๔. อุเบกขา ความวางใจเปน็ กลาง ปลงใจวางเฉย เหน็ เป็นธรรมดาของโลก [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๑๕ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ความคิดเอ็นดสู งสารปรารถนาเพือ่ ใหผ้ ู้อืน่ เปน็ สุขโดยเว้นจากราคะ (ความหวังดแี ก่ ผู้อืน่ เรียกว่าเมตตาควรเจริญในเวลาปกติหรือทั่ว ๆ ไป ผู้เจริญย่อมกาจดั พยาบาทเสยี ได้ ความสงสารคิดจะช่วย ผู้อื่นให้พน้ จากทุกข์ภยั ต่าง ๆ ที่เขากาลังประสพอยู่ด้วยวิธี ใดวิธหี นึง่ ไมค่ ิดหนีเอาตวั รอดแต่ผู้เดยี วเรียกว่ากรณุ า ควรเจรญิ ในเวลาท่เี ขาไดร้ บั ทุกข์ ร้อนผู้เจริญย่อมกาจดั วิหิงสาเสียได้ การแสดงความยินดีด้วยกับผู้อื่นเมือ่ ท่านได้ดี เช่น ได้เลือ่ นยศเลือ่ นตาแหน่งเป็น ต้นไมค่ ิดริษยาคนอื่นเมือ่ เขาได้ดีเรียกว่า มุทิตา ควรเจรญิ ในเวลาท่เี ขาไดด้ ผี ู้เจรญิ ย่อม กาจดั อคติและอิจฉาริษยาเสียได้ การวางเฉยเสียในเวลาที่จะใช้เมตตาและกรุณาไม่เหมาะคือ สุดวิสัยที่จะช่วยเหลือ ได้ เช่นเห็นงูเห่ากาลังกินกบ เราจะช่วยกบก็ไม่ได้เพราะจะเป็นอันตรายแก่เราฉะน้ันจึง ควรวางเฉยเสียเรียกว่าอุเบกขาควรเจริญในเวลาที่เขาถึงความวิบัติผู้ที่เจริญย่อมกาจัด ธรรมคือปฏิฆะ เสียได้ พรหมวิหารธรรมนีไ้ ด้แก่ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่พรหมนีท้ ่านจาแนก ออกเป็น ๒ คือ พรหมโดยอุบตั ิ ได้แก่ทา่ นที่บรรลฌุ านสมาบัติแล้วไปเกิดเปน็ พรหมและ พรหมโดยสมมติ ไดแ้ ก่ ทา่ นผู้ใหญ่ เช่น มารดาบดิ าผู้มีเมตตากรณุ าต่อบุตร. สติปฏั ฐาน ๔ ๑. กายานุปสั สนา ๓. จติ ตานปุ ัสสนา ๒. เวทนานุปสั สนา ๔. ธมั มานุปสั สนา สติกาหนดพิจารณากายเปน็ อารมณ์ว่า กายนีก้ ็สักว่ากาย ไมใ่ ช่สัตว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เรียก “กายานปุ ัสสนา” สติกาหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่ทกุ ข์ ไมส่ ขุ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานกี้ ็ สักว่าเวทนา ไมใ่ ช่สตั ว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียกเวทนานุปัสสนา สติกาหนดพิจารณาใจทเ่ี ศร้าหมอง หรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า ใจนกี้ ส็ กั ว่าใจ ไมใ่ ช่ สตั ว์ บุคคล ตวั ตน เราเขา เรียกจติ ตานุปสั สนา [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๖ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี สติกาหนดพิจารณาธรรมทีเ่ ป็นกุศลหรืออกศุ ลทบ่ี ังเกิดกบั ใจเป็นอารมณ์วา่ ธรรมนี้ ก็สกั ว่าธรรมไม่ใชส่ ตั ว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียกธมั มานุปัสสนา ธาตุกัมมฏั ฐาน ๔ ธาตุ ๔ คือ มวลสสาร เนื้อแท้ วัตถุธรรมชาติด้ังเดิม ได้แก่ ๑. ธาตดุ นิ เรียกปฐวีธาตุ มีลกั ษณะเข้มแขง็ เห็นเป็นรูป สมั ผสั ได้ คือ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนื้อ เอน็ กระดกู เยื่อในกระดูก ม้าม หวั ใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเกา่ . ๒. ธาตนุ ้า เรียกอาโปธาตุ มีลักษณะเหลว ไหลถา่ ยเท ทาให้ออ่ นนุ่ม ผสมผสานกัน คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงือ่ มันข้น น้าตา เปลวมัน น้าลาย น้ามกู ไขข้อ มูตร ๓. ธาตุไฟ เรียกเตโชธาตุ มีลกั ษณะร้อน ยังกายให้อบอนุ่ ยงั กายให้ทรดุ โทรม ไฟ ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟทเ่ี ผาอาหารใหย้ ่อย ๔. ธาตุลม เรียกวาโยธาตุ มีลักษณะทีพ่ ดั ไปมา พัดไปทวั่ ร่างกาย ลมพดั ข้ึนเบื้องบน ลมพัดไปตามตวั ลมหายใจ ควรกาหนดพิจารณากายนี้ให้เห็นว่าเปน็ แต่เพยี งธาตุ ๔ คือ ดนิ น้า ไฟ ลม ประ ชุม กันอยู่ ไมใ่ ช่เรา ไม่ใชข่ องเรา เรียกว่า ธาตกุ มั มฏั ฐาน. อรยิ สจั ๔ ๑. ทกุ ข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คือเหตใุ หท้ กุ ข์เกดิ ๓. นโิ รธ คือความดบั ทุกข์ ๔. มรรค คือข้อปฏบิ ตั ิให้ถงึ ความดับทุกข์ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดช้ ือ่ ว่าทุกข์ เพราะเปน็ ของทนไดย้ าก. ตัณหาคือความทะยานอยาก ได้ชื่อว่าสมทุ ัย เพราะเป็นเหตใุ หท้ ุกข์เกดิ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๗ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ตัณหาน้ัน มีประเภทเปน็ ๓ คือตณั หาความอยากในอารมณ์ท่นี ่ารกั ใคร่ เรียกว่า กามตณั หา ตัณหาความอยากเปน็ โน่นเปน็ นี่ เรียกว่าภวตณั หา ตัณหาความอยากไม่เป็น โน่นเป็นนี่ เรียกวา่ วิภาวตัณหา ความดับตณั หาไดส้ ้ินเชงิ ทุกข์ดับไปหมดได้ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็นความดับทกุ ข์ ปัญญาอันเห็นชอบว่าสง่ิ นีท้ ุกข์ ส่งิ นที้ างใหถ้ ึงความดับทกุ ข์ ได้ชือ่ มรรค เพราะเปน็ ข้อปฏิบตั ิติใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ มรรคนั้นมีองค์ ๘ ประการ คือ ๑. สมั มาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ ๒. สมั มาสงั กัปปะ ดาริชอบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมนั ตะ ทาการงานชอบ ๕. สัมมาอาชวี ะ เลีย้ งชีวติ ชอบ ๖. สมั มาวายามะ ทาความเพียรชอบ ๗. สัมมาสติ ตั้งสติชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตั้งใจชอบ ปัญจกะ คือ หมวด ๕ อนันตริยกรรม ๕ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิตุฆาตฆ่าบิดา ๓. อรหนั ตฆาต ฆ่ าพระอรหันต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทาร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหติ ใหห้ อ้ ขึน้ ไป ๕. สังฆเภท ยังสงฆใ์ ห้แตกจากกัน [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๑๘ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี มารดาบิดาทา่ นเปน็ บรุ พการีของบุตรธิดา เมื่อบุตรคนใดฆ่ามารดาบิดาของคนแล้ว ก็จะได้ชือ่ ว่า คนอกตญั ญู ไมร้ ู้คุณทีท่ า่ นเลีย้ งดูเรามาแลว้ และเปน็ ผู้ล้างผลาญวงศ์สกุล ของตนเองย่อมจะถกู สังคมดหู มิน่ เหยยี ดหยามไม่มคี นอยากจะสมาคมด้วย พระอรหนั ต์เปน็ ผู้มกี ายวาจาใจสงบระงับ บริสุทธ์ไิ มเ่ บยี ดเบยี นผู้อืน่ ท้ังเปน็ ที่นบั ถือ ของมหาชน พระพทุ ธเจา้ ผู้ทรงเป็นประมขุ ของพระพทุ ธศาสนาเปน็ บุรพการีของพทุ ธบริษทั มี กายวาจาใจสงบไมเ่ บยี ดเบียนผู้อื่นเทย่ี วส่ังสอนสตั ว์โลกเพื่อใหไ้ ด้รับรสพระธรรมตาม สมควรแต่อธั ยาศยั ของแต่ละคน ผู้ใดคิดร้ายต่อพระองค์หมายจะปลงพระชนม์เสยี เพียงแต่ทาให้พระโลหิตหอ้ ขึน้ ไปเท่าน้ันกช็ ื่อว่า ทาอนนั ตริยกรรม แล้ว สงฆ์หมายเอาภิกษุตั้งแต่ ๔ รปู ขึ้นไปผู้ใดยุยง หรือทาลายให้ สงฆ์แตกจากกนั เป็น ก๊กเปน็ หมู่ เหมือนยยุ งคนในชาติให้แตกความสามคั คีกนั ชือ่ ว่าไดท้ าสงั ฆเภท กรรม๕ อย่างนี้เป็นกรรมหนกั หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพานเหมือนการต้องอาบัติ ปาราชิกของภิกษุ หา้ มไม่ใหท้ าโดยเดด็ ขาด คนผู้กลา้ ทากรรมเหลา่ นีแ้ ล้วย่อมจะกลา้ ทา กรรมอืน่ ทกุ อย่าง อนันตริยกรรมนีเ้ นื่องจากเป็นกรรมหนักต้องให้ผลกอ่ นกรรมอื่น ทั้งหมด กรรม ๕ อย่างนี้ เปน็ บาปอนั หนักทีส่ ุดห้ามสวรรค์ หา้ มนิพพาน ตั้งอยใู่ นฐาน ปาราชิกของผู้ถือพระพุทธศาสนา หา้ มไม่ใหท้ าเปน็ ขาด อภิณหปจั จเวกขณ์ ๕ ๑. ควรพิจารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแก่ไปได้. ๒. ควรพิจารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามีความเจ็บเปน็ ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้. ๓. ควรพิจารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามีความตายเปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได้. ๔. ควรพิจารณาทกุ วนั ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ้ . ๕. ควรพิจารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตวั เราทาดจี กั ได้ดี ทาชัว่ จักได้ชว่ั . [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๑๙ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี เวสารชั ชกรณธรรม คือ ธรรมทาความกล้าหาญ ๕ อยา่ ง ๑. สทั ธา เชื่อสิ่งทีค่ วรเชื่อ ๒. สีล รักษากายวาจาใหเ้ รียบร้อย ๓. พาหสุ จั จะ ความเป็นผู้ศึกษามาก ๔. วิรยิ ารัมภะ ปรารถความเพียร ๕. ปญั ญา รอบรู้ส่งิ ทค่ี วรรู้ ความเชือ่ ต่อเหตุผล ทีใ่ ชป้ ัญญาพิจารณาประกอบจึงได้ชือ่ ว่าศรทั ธาอย่างแท้จริง ถ้าศรัทธาปราศจากปญั ญาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลแล้วกอ็ าจจะเปน็ ความงมงายไป กไ็ ด้ ศีล คือ ระเบียบหรือข้อปฏบิ ัติทีจ่ ะรกั ษากาย วาจา ให้เรียบร้อย การไดฟ้ ังมามาก หรือศึกษาเลา่ เรียนมากจนเข้าใจและแตกฉานในพระพทุ ธวจนะไดช้ ื่อว่า พาหสุ จั จะ ในธรรมวินัยถ้าไดศ้ ึกษาวิทยาการต่างๆ ทางคดีโลก เชน่ นิติศาสตร์ เป็นต้น ชื่อว่าพาหุ สัจจะนอกธรรม การเริม่ ทาความเพียรประกอบกิจต่าง ๆ เอาใจฝักใฝุไมท่ ้อถอยด้วยการ ลงมือทาชือ่ ว่า วิรยิ ารัมภะ รอบรู้ในส่งิ ท่คี วรรู้ คือรู้วทิ ยาการต่าง ๆ ทง้ั ทางโลกทางธรรมอนั หาโทษมิไดช้ ือ่ ว่า ปัญญา ชนผู้มีธรรม๕ ประการนี้แลว้ ยอ่ มเปน็ ผู้แกลว้ กล้าไม่หวาดหวั่น เมื่อเข้าไปในที่ ประชุมชนไม่สะทกสะท้าน ฉะน้ันวิญญชู นควรประกอบธรรมเหลา่ นใี้ ห้เกิดมีในตน. องคแ์ หง่ ภิกษุใหม่ ๕ อยา่ ง ๑. สารวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อทีพ่ ระพทุ ธเจ้าห้าม ทาตามข้อที่ทรงอนุญาต ๒. สารวมอินทรีย์ คือ ระวงั ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ไมใ่ ห้ความยินดียินร้ายครอบงา ได้ในเวลาที่เห็นรปู ดว้ ยนัยน์ตาเปน็ ต้น ๓. ความเปน็ คนไม่เอกิ เกริกเฮฮา [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๒๐ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๔. อยู่ในเสนาสนะอนั สงัด ๕. มีความเหน็ ชอบ ภิกษใุ หมค่ วรต้ังอยใู่ นธรรม ๕ อย่างนี้. องค์แหง่ ธรรมกถกึ คือ นักเทศน์ ๕ อย่าง ๑. แสดงธรรมไปโดยลาดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ ๒. อ้างเหตผุ ลแนะนาให้ผู้ฟงั เข้าใจ ๓. ต้ังจติ เมตตาปรารถนาให้เปน็ ประโยชน์แก่ผู้ฟัง ๔. ไมแ่ สดงธรรมเพราะเหน็ แก่ลาภ ๕. ไมแ่ สดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือว่า ไมย่ กตนเสียดสผี ู้อืน่ . ภิกษุผู้เปน็ ธรรมกถึก พึงต้ังองค์ ๕ อย่างนี้ไวใ้ นตน. ธมั มัสสวนาอนิสงส์ คือ อานิสงส์แหง่ การฟงั ธรรม ๕ อยา่ ง ๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟงั สง่ิ ท่ยี ังไม่เคยฟงั ๒. สง่ิ ใดไดเ้ คยฟงั แลว้ แต่ไม่เข้าใจชดั ย่อมเข้าใจสิง่ น้ันชัด ๓. บรรเทาความสงสยั เสยี ได้ ๔. ทาความเหน็ ให้ถูกต้องได้ ๕. จติ ของผู้ฟงั ย่อมผ่องใส พละ คือ ธรรมเปน็ กาลัง ๕ อย่าง ๑. สัทธา ความเชือ่ ๒. วิรยิ ะ ความเพียร ๓. สติ ความระลึกได้ ๔. สมาธิ ความต้ังใจมน่ั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๑ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี สมาธิ คือความที่จติ ต้ังมั่นหยดุ อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึง่ เมื่อจิตเป็นสมาธิแลว้ ก็มีความบริสุทธิผ์ ่องแผ้วตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ยอ่ มน้อมไปเพื่อจะบรรลฌุ านได้ ธรรม๕ ประการนี้เปน็ ธรรมสามคั คีกันต้องมพี อเสมอ ๆ กนั ถ้ามศี รัทธาอย่างเดียวก็ จะเปน็ คนมีศรทั ธาจริตไปเชือ่ อะไรอย่างงมงาย หรือถ้ามีแต่ปัญญาก็จะเปน็ คนเจ้า มานะทิฏฐิไปได้ ดงั นั้น ธรรมทั้งหมดนี้ควรมีให้พอเหมาะแก่กนั และกนั จงึ จะอานวยผลให้ สาเร็จไดด้ ี ธรรมหมวดนี้ทเ่ี รียกว่า อินทรีย์น้ันเพราะเปน็ ใหญ่ในกิจของตนที่เรียกว่าพละ นั้น เพราะเป็นกาลงั ให้สาเรจ็ ในกิจท่ตี นกระทา อินทรีย์ ๕ กเ็ รียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน. นวิ รณ์ ๕ ธรรมอนั ก้ันจิตไม่ใหบ้ รรลคุ วามดี เรียกนิวรณ์ มี ๕ อย่าง ๑. พอใจรักใคร่ในอารมณ์ทช่ี อบใจมีรูปเปน็ ต้น เรียก กามฉันท์ ๒. ปองรา้ ยผู้อืน่ เรยี ก พยาบาท ๓. ความทีจ่ ติ หดหู่และเคลบิ เคลมิ้ เรยี ก ถนี มิทธะ ๔. ฟุูงซา่ นและราคาญ เรยี ก อทุ ธจั จกุกกุจจะ ๕. ลังเลไมต่ กลงได้ เรยี ก วิจิกจิ ฉา การยินดพี อใจในรูปเสียงกลน่ิ รสโผฏฐพั พะและธรรมารมณ์ท้ังปวงอันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจท่ชี าวโลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกนั ว่าเป็นสขุ แต่พระอริยเจ้าเหน็ สิง่ เหลา่ นี้ ว่าเปน็ ทุกข์การยินดใี นสภุ นิมิตเชน่ นี้ เรียกว่า กามฉันท์ ผู้มีกามฉันท์นีค้ วรจะเจรญิ กา ยาคตาสติ พิจารณาให้เห็นเป็นของปฏิกลู พยาบาทเกิดขนึ้ เพราะความคบั แค้นใจ ผู้มีพยาบาทชอบเกลียดโกรธคนอื่นอยู่เสมอ ๆ ควรเจรญิ เมตตากรณุ ามุทิตาคิดให้เกิดความรกั เมตตาสงสารผู้อืน่ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๒๒ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ผู้มีความเกียจคร้านท้อแทใ้ จไม่กระตือรือร้นในการทางานเรียกว่าถกู ถีนมิทธะ ครอบงา ควรจะเจริญอนสุ สติกมั มฏั ฐาน พจิ ารณาความดีของตนและผู้อืน่ เพื่อจะไดม้ ี ความอตุ สาหะทางานแก้ความท้อแท้ใจเสียได้ ความฟูุงซ่านราคาญ เกดิ จากการที่ใจไมส่ งบควรเพ่งกสณิ ให้ใจผูกอยู่ในอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งหรือเจริญกัมมัฏฐานใหใ้ จสังเวช เช่น มรณสติ ความลังเลไมต่ กลงได้ เนื่องจากไมไ่ ด้พจิ ารณาให้ละเอียดถีถ่ ว้ นควรเจรญิ ธาตุ กัมมัฏฐานเพื่อที่จะไดร้ ู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง ธรรมท้ัง๕ ประการนี้เมื่อเกิดกบั ผู้ใด ย่อมจะเป็นธรรมกั้นจิตมิให้ผู้นั้นบรรลุความดี หรือสิง่ ทีต่ นประสงค์ได้ ฉะน้ัน ผู้หวังความสาเรจ็ ในชีวิตควรเว้นจากนิวรณ์๕ ประการนี้ เสีย . ขนั ธ์ ๕ กายกับใจนี้ แบง่ ออกเปน็ ๕ กอง เรียกขันธ์ ๕ คือ ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สังขาร ๕. วิญญาณ ธาตุ ๔ คือ ดิน น้า ไฟ ลม ประชมุ กนั เปน็ กายนี้ เรยี กว่ารูป. ความรู้สกึ อารมณ์วา่ เปน็ สุข คือ สบายกาย สบายใจ หรือเป็นทุกข์ คือไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ หรือ เฉย ๆ คือไม่ทุกข์ไม่สขุ เรียกวา่ เวทนา. ความจาได้หมายรู้ คือ จารูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ทเ่ี กดิ กับใจได้ เรียกว่า สัญญา. เจตสกิ ธรรม คือ อารมณ์ท่เี กดิ กับใจ เปน็ ส่วนดี เรียกว่า กศุ ล เปน็ ส่วนชัว่ เรียก อกุศล เป็นสว่ นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชว่ั เรียก อัพยากฤต เรยี กว่า สงั ขาร. ความรู้อารมณ์ในเวลาเมือ่ รปู มากระทบตา เปน็ ต้น เรยี กว่าวิญญาณ. ขันธ์ ๕ นี้ ย่นเรียกว่า นามรปู . เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็นนาม รปู คงเป็นรูป. [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๒๓ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ฉักกะ คือ หมวด๖ คารวะ ๖ อยา่ ง ๑. พทุ ธคารวตา ความเอื้อเฟื้อ ในพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา ความเอื้อเฟื้อ ในพระธรรม ๓. สงั ฆคารวตา ความเอื้อเฟือ้ ในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเอื้อเฟือ้ ในความศึกษา ๕. อปั ปมาทคารวตา ความเอื้อเฟื้อ ในความไม่ประมาท ๖. ปฏิสันถารคารวตา ความเอื้อเฟือ้ ในปฏิสนั ถารคือต้อนรบั ปราศรยั การปลกู ศรทั ธาความเลือ่ มใสในพระพทุ ธเจา้ แล้วแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ คือนบั ถือพระพุทธเจ้าเปน็ ทีพ่ ึง่ อันประเสรฐิ ด้วยกาย วาจา ใจ ตั้งใจปฏิบัติตามคาสั่งสอน หรือระลกึ นึกถึงพระพระคณุ ของพระองค์อยเู่ สมอๆ ใหเ้ กดิ ความเลือ่ มใสยิง่ ขึ้น หรือไม่ เอาเรื่องของพระพุทธเจ้ามาล้อเลน่ เพื่อความสนุกสนานเฮฮา เหลา่ นีเ้ ป็นต้น ชื่อว่าเคารพ ในพระพุทธเจ้า การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคารพหรือหม่นั ศึกษาเล่าเรยี นพระ ปริยตั ิตามกาลังปญั ญาของตนชือ่ ว่าเคารพในพระธรรม การระลกึ ถึงความดขี อง พระสงฆ์แลว้ กระทาการกราบไหว้ทาสามจี กิ รรมเปน็ ต้น ชื่อว่าเคารพในพระสงฆ์ การมี ความเพียรพยายามศึกษาเล่าเรยี นวิทยาการต่าง ๆ ทง้ั ทางโลกและทางธรรมอันไมม่ ีโทษ ดว้ ยการเอาใจใส่ไม่เกียจคร้านมีความอตุ สาหะวิริยะประกอบด้วยอทิ ธิบาท ๔ ชื่อว่า เคารพในการศึกษา ความเปน็ ผู้มสี ติสมบูรณ์ ไม่ประมาทในธรรมท้ัง ปวงคอยระวงั ใจไมใ่ ห้กาหนัดขดั เคืองลมุ่ หลงมวั เมาในอารมณ์เปน็ ที่ต้ังแห่งความกาหนัดเปน็ ต้น ชื่อว่าเคารพในความไม่ ประมาท [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๔ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี การต้อนรบั แขกผู้มาเยือนตามฐานานรุ ูปของเขา ชื่อว่าเคารพในการปฏิสนั ถารแบง่ ออกเป็น ๒ คือ อามิสปฏิสนั ถาร และธรรมปฏิสนั ถาร การต้อนรับด้วยการใหอ้ าหาร เสื้อผ้าทีพ่ ักอาศยั เปน็ ต้น ชื่อว่าอามิสปฏสิ นั ถาร การต้อนรบั ด้วยการพูดเชื้อเชิญหรือ แสดงตนตามที่ควรชือ่ ว่า ธรรมปฏิสันถาร. ภิกษุควรทาคารวะ ๖ ประการนี้. สาราณิยธรรม ๖ อยา่ ง ธรรมเป็นทีต่ ้ังแห่งความให้ระลกึ ถงึ เรยี กสาราณิยธรรม มี ๖ อยา่ ง คือ ๑. เขา้ ไปต้ังกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษสุ ามเณรทั้งต่อหน้าและ ลบั หลงั คือช่วยขวนขวายกิจธรุ ะของเพื่อนกนั ด้วยกาย มีพยาบาลภกิ ษไุ ข้เปน็ ต้น ดว้ ยจิต เมตตา. ๒. เขา้ ไปตงั้ วจกี รรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษสุ ามเณรทั้งต่อหน้าและ ลับหลัง คือ ชว่ ยขวนขวายในกิจธรุ ะของเพือ่ นกนั ด้วยวาจา เช่นกล่าวส่ังสอนเปน็ ต้น ดว้ ย จติ เมตตา. ๓. เขา้ ไปต้ังมโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพือ่ นภิกษสุ ามเณรทั้งต่อหน้าและ ลบั หลัง คือ คิดแต่สง่ิ ท่เี ปน็ ประโยชน์แกเ่ พือ่ นกนั . ๔. แบง่ ปันลาภท่ตี นไดม้ าแลว้ โดยชอบธรรม ใหแ้ กเ่ พือ่ นภิกษสุ ามเณร ไมห่ วงไว้ บริโภคจาเพาะผู้เดยี ว ๕. รกั ษาศีลบริสุทธ์เิ สมอกันกับเพอ่ื ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไมท่ าตนใหเ้ ปน็ ทีร่ ัก เกยี จของผู้อืน่ . ๖. มคี วามเห็นร่วมกันกับภิกษสุ ามเณรอืน่ ๆ ไมว่ ิวาทกบั ใคร ๆ เพราะมี ความเหน็ ผิดกัน. [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๕ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ธรรม ๖ อย่างนี้ ทาผู้ประพฤติใหเ้ ป็นที่รกั ที่เคารพของผู้อื่น เปน็ ไปเพื่อความ สงเคราะหก์ ันและกนั เป็นไปเพือ่ ความไม่ววิ าทกนั และกันเป็นไปเพือ่ ความพร้อมเพรียง เปน็ อันหนึง่ อนั เดียวกัน. อายตนะภายใน ๖ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ. อินทรีย์ ๖ ก็เรียก. อายตะภายนอก ๖ รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ท่มี าถกู ต้องกาย, ธรรม คืออารมณ์เกิด กบั ใจ. อารมณ์๖ กเ็ รียก. วิญญาณ๖ ๑. อาศยั รปู กระทบตา เกดิ ความรู้ขนึ้ เรียกจกั ขุวิญญาณ ๒. อาศัยเสียงกระทบหู เกดิ ความรู้ขนึ้ เรียกโสตวิญญาณ ๓. อาศัยกลิ่นกระทบจมกู เกดิ ความรู้ขนึ้ เรียกฆานวิญญาณ ๔. อาศยั รสกระทบล้ิน เกดิ ความรู้ขนึ้ เรียกชิวหาวิญญาณ ๕. อาศัยโผฏฐพั พะกระทบกาย เกดิ ความร้ขู ึ้นเรียกกายวิญญาณ ๖. อาศัยธรรมเกิดกับใจ เกดิ ความรู้ขนึ้ เรียกมโนวิญญาณ . สมั ผสั ๖ อายตนะภายในมีตาเปน็ ต้น อายตนะภายนอกมีรปู เปน็ ต้น วิญญาณมีจกั ขุวิญญาณ เปน็ ต้นกระทบกัน เรียกสัมผัส มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ ๑. จกั ขุสมั ผัส ๒. โสตสมั ผัส ๓. ฆานสมั ผัส ๔. ชวิ หาสัมผสั ๕. กายสมั ผสั ๖. มโนสัมผสั [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๖ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี เวทนา ๖ สัมผัสน้ันเป็น ปัจจยั ใหเ้ กดิ เวทนา เป็นสขุ บ้างทุกข์ บา้ ง ไมท่ กุ ข์ไมส่ ขุ บ้าง มชี ือ่ ตาม อายตนะภายในเป็น๖ คือ ๑. จกั ขสุ ัมผสั สชาเวทนา ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา ๓. ฆานสมั ผัสสชาเวทนา ๔. ชวิ หาสัมผัสสชาเวทนา ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา ๖. มโนสมั ผสั สชาเวทนา ธรรม ๕ กลุม่ เกย่ี วเนอ่ื งกันและกนั กลุ่มละ ๖ อย่าง อายตน อายตน วิญญาณ สัมผัส เวทนา ภายใน ภายนอก ตา รูป จักขวุ ิญาณ จักขุสัมผัส จกั ขุสัมผัสสชาเวทนา หู เสียง โสตวิญญาณ โสตสัมผสั โสตสัมผสั สชาเวทนา จมกู กล่นิ ฆานวิญญาณ ฆานสัมผัส ฆานสัมผัสสชาเวทนา ลิ้น รส ชวิ หาวิญญาณ ชวิ หาสัมผสั ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา กาย โผฏฐพั พะ กายวิญญาณ กายสัมผสั กายสัมผสั สชาเวทนา ใจ ธัมมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผสั มโนสัมผสั สชาเวทนา ธาตุ ๖ ๑. ปฐวีธาตุ คือ ธาตดุ นิ ลักษณะแขน้ แข็ง รวมตวั เป็นรปู ร่าง มองเห็นและสมั ผัสได้ ๒. อาโปธาตุ คือ ธาตนุ ้า ลกั ษณะเหลว ซมึ ซาบหลอ่ เลีย้ ง ทาให้ออ่ นนุ่มและเอบิ อิม่ ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ ลกั ษณะร้อน ทาให้อบอนุ่ ย่อยและเผาไหม้ ปอู งกนั มิใหบ้ ดู เน่า ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตลุ ม ลักษณะเบา พัดเวียนไปมา เกดิ ความอ่อนไหว ๕. อากาศธาตุ คือ ชอ่ งวา่ งมใี นกาย ลกั ษณะช่องว่าง ถา่ ยเทเคลื่อนไหวไปตลอดร่างกาย ทาให้ยืดหยนุ่ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๗ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๖. วิญญาณธาตุ คือ ความรู้อะไรได้ ลักษณะรับรู้อารมณ์ ควบคู่ระบบทางานทว่ั ร่างกาย สัตตกะ คือ หมวด ๗ อปริหานิยธรรม ๗ อยา่ ง ธรรมไม่เปน็ ทีต่ ้ังแห่งความเสื่อม เปน็ ไปเพื่อความเจริญฝุายเดียว ชือ่ ว่า อปรหิ านิยธรรม มี ๗ อย่าง คือ ๑. หมั่นประชุมกันเนือ่ งนิตย์ ๒. เมือ่ ประชมุ ก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชมุ กพ็ ร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงช่วยกนั ทากิจทีส่ งฆจ์ ะต้องทา ๓. ไมบ่ ัญญตั ิส่งิ ทพ่ี ระพุทธเจา้ ไม่บัญญตั ิขนึ้ ไมถ่ อนสิ่งทีพ่ ระองค์ทรงบัญญัติไว้แลว้ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามทีพ่ ระองค์ทรงบญั ญัติไว้ ๔. ภิกษเุ หล่าใดเป็นผู้ใหญ่เปน็ ประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภกิ ษเุ หลา่ น้ัน เชือ่ ฟงั ถ้อยคาของท่าน ๕. ไมล่ ุอานาจแกค่ วามอยากที่เกดิ ขนึ้ ๖. ยินดีในเสนาสนะปุา ๗. ต้ังใจอยู่วา่ เมื่อภิกษสุ ามเณรซึ่งเปน็ ผู้มศี ีล ซึ่งยงั ไม่มาสอู่ าวาส ขอให้มา ทีม่ า แล้วขอให้อยเู่ ป็นสขุ คนผู้ต้ังอยใู่ นคณุ ธรรม๗ ประการนี้ย่อมจะไมม่ ีความเสือ่ มเลยมีแต่ความเจรญิ ถ่ายเดียว หมัน่ ประชุมในทีน่ ี้ทา่ นหมายเอาการประชุมทีเ่ ปน็ สาระประโยชน์ เช่นประชมุ สนทนา ธรรม สนทนาวินัยหรือด้วยการทากิจของสงฆเ์ ปน็ ต้น [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๒๘ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี เมือ่ มีกิจธุระเกดิ ขนึ้ ก็พร้อมใจกันทางานใหญ่ ๆ ก็จะเปน็ อนั สาเร็จไดโ้ ดยงา่ ยเพราะ ความพร้อมเพรียงกันนี่เอง พทุ ธบริษทั ทั้งปวงช่วยกันปฏิบตั ิตามพระธรรม วินัยที่พระพทุ ธองค์ทรงบัญญตั ิไว้ แล้ว ไมร่ ื้อถอนหรือเพิม่ เติมขึน้ ใหมอ่ ันจะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความฟ่ันเฝือทาให้สัทธรรมปฏิรูป เกดิ ขนึ้ ได้เมือ่ พทุ ธบริษทั ปฏิบตั ิตามข้อทพ่ี ระพทุ ธองค์ไดท้ รงวางไว้โดยเคร่งครัดเช่นนแี้ ล้ว ย่อมไดช้ ื่อว่าการทาการปฏิบตั ิ บูชาแด่พระพุทธองค์ การทาความเอื้อเฟือ้ หรือเชื่อฟงั คาของพระเถระผู้เปน็ ใหญ่ เป็นประธาน ได้ชื่อว่ามี ความอ่อนน้อม มคี วามเคารพต่อผู้เปน็ ใหญ่ด้วย การลอุ านาจต่อความอยาก คือปล่อยใจให้เป็นไปตามอานาจของความอยากที่ เกดิ ขนึ้ เช่น รกั ผู้หญิงเปน็ ต้น คนผู้ข่มใจไม่ใหท้ ะเยอทะยานไปตามอานาจของความอยาก ได้จิตย่อมสงบ และเปน็ เหตุนาความสุขมาให้ เสนาสนะปุาอนั เป็นทีส่ งัดจากอารมณ์ภายนอก ซึง่ เปน็ ข้าศึกต่อความสงบและได้ สุขอันเกิดแต่ความวิเวกนั้น เป็นผู้มจี ติ เมตตาต่อเพือ่ นภิกษสุ ามเณรไมค่ ิดร้ายต่อเขา เมือ่ เห็นคนดีมี กิริยามารยาทเรียบร้อยก็ต้องการให้เธอพักอยู่ดว้ ย ไมห่ วงเสนาสนะไว้ผู้เดียว ธรรม ๗ อย่างนี้ ตั้งอยู่ในผู้ใด ผู้น้ันไมม่ ีความเสือ่ มเลย มแี ต่ความเจริญฝุายเดียว. อรยิ ทรัพย์ ๗ ทรัพย์ คือ คุณความดีทม่ี ีในสนั ดานอย่างประเสริฐ เรียกอริยทรัพย์ มี ๗ อย่าง คือ ๑. สทั ธา เชื่อสิง่ ที่ควรเชื่อ. ๒. ศีล รักษากาย วาจา ใหเ้ รียบร้อย. ๓. หริ ิ ความละอายต่อบาปทุจริต. ๔. โอตตัปปะ สะดงุ้ กลัวต่อบาป. [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๒๙ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๕. พาหุสจั จะ ความเปน็ คนเคยได้ยนิ ได้ฟังมามากคือจาทรงธรรมและรู้ศีลป วิทยามาก ๖. จาคะ สละให้ปันสิง่ ของของตนแก่คนที่ควรใหป้ ัน. ๗. ปัญญา รอบรู้สง่ิ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์และไม่เปน็ ประโยชน์. ทรัพย์เหลา่ นีค้ ือความดีทม่ี ีอยใู่ นสันดานเป็นทรัพย์ อนั ประเสรฐิ ดกี ว่าทรพั ย์ ภายนอกมีเงนิ ทองเป็นต้น เพราะเป็นของเนือ่ งดว้ ยตนโจรลักเอาไปไม่ไดท้ ั้งยงั เป็นของ ติดตามตวั เราไปในภพหน้าได้อกี ดว้ ย ฉะน้ันจึงควรประกอบให้มใี นตน. อริยทรพั ย์ ๗ ประการนี้ ดกี ว่าทรัพย์ภายนอก มีเงนิ ทองเปน็ ต้น ควรแสวงหาไว้ใหม้ ี ในสนั ดาน. สปั ปุริสธรรม ๗ อยา่ ง ธรรมของสั ตบุรษุ เรียกว่า สัปปรุ ิสธรรมมี๗ อย่าง คือ ๑. ธมั มญั ญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เช่น รู้จกั วา่ ส่งิ นี้ เป็นเหตแุ ห่งสุข สง่ิ นี้เปน็ เหตุแหง่ ทุกข.์ ๒. อัตถญั ญุตา ความเปน็ ผู้รู้จักผล เช่น รู้จกั วา่ สขุ เป็นผลแห่งเหตุอนั นี้ ทุกข์เปน็ ผลแห่งเหตุอันนี้. ๓. อตั ตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จกั ตนว่า เราว่าโดยชาติตระกูล ยศศักด์สิ มบัติบริวาร ความรู้และคณุ ธรรมเพียงเท่านี้ ๆ แล้วประพฤติตนให้สมควรแกท่ ีเ่ ป็นอยู่อย่างไร. ๔. มตั ตญั ญุตา ความเปน็ ผู้รู้ ประมาณ ในการแสวงหาเครือ่ งเลีย้ งชีวติ แต่โดยทาง ที่ชอบและรู้จักประมาณในการบริโภคแต่พอควร. ๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอนั ประกอบกิจนั้น ๆ. ๖. ปริสญั ญุตา ความเปน็ ผู้รู้จกั ประชมุ ชนและกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อประชุมชน น้ัน ๆ ว่า หมนู่ ี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทากิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นต้น. [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๐ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๗. ปคุ คลปโรปรัญญุตา ความเปน็ ผู้รู้จักเลือกบุคคลว่า ผู้นี้เป็นคนดี ควรคบ ผู้นี้ เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ เป็นต้น. สัปปุริสธรรม(อีก) ๗ อย่าง ๑. สัตบุรษุ ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการคือ มีศรทั ธา มีความละอายต่อบาป มี ความกลวั ต่อบาป เป็นคนได้ยนิ ได้ฟังมาก เป็นคนมีความเพียร เปน็ คนมีสติมั่นคง เปน็ คน มีปญั ญา. ๒. จะปรึกษาสง่ิ ใดกับใคร ๆ ก็ไมป่ รึกษาเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อืน่ . ๓. จะคิดสิง่ ใดกไ็ มค่ ิดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อืน่ . ๔. จะพดู สิ่งใดก็ไมพ่ ดู เพือ่ จะเบียดเบียนตนและผู้อืน่ . ๕. จะทาส่งิ ใดกไ็ ม่ทาเพือ่ จะเบียดเบียนตนและผู้อื่น. ๖. มีความเหน็ ชอบ มเี หน็ ว่า ทาดีไดด้ ที าชัว่ ได้ชวั่ เป็นต้น ๗. ให้ทานโดยเคารพ คือเอื้อเฟื้อแก่ของที่ตัวให้ และผู้รับทานน้ัน ไม่ทาอาการดจุ ทิง้ เสยี . โพชฌงค์ ๗ ๑. สติ ความระลึกได้ ความรู้สกึ ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยอารมณเ์ ลื่อนลอย ๒. ธัมมวจิ ยะ ความสอดสอ่ งธรรม โดยลกึ ซึ้งและแยบคาย ๓. วิรยิ ะ ความเพียร ในการบาเพ็ญสมณธรรมใหส้ ูงยิ่งขึ้น ๔. ปีติ ความอิ่มใจ และดืม่ ดา่ ในรสแหง่ โลกตุ ตรธรรม ๕. ปัสสัทธิ ความสงบใจและอารมณ์ ไร้กิเลสนิวรณ์ ๖. สมาธิ ความต้ังใจม่นั มีจิตแน่วแน่เปน็ จุดเดียว ๗. อุเบกขา ความวางเฉย จติ ปราศจากความโน้มเอียงตามอารมณ์ สติในที่นีห้ มายเอาการระลึกถงึ สิ่งที่ทาหรือคาพดู ที่พูดแลว้ แมน้ าน หรือระลกึ พิจารณาอารมณ์ในสติปฏั ฐาน คือกายเวทนาจติ ธรรม ชือ่ ว่าสติสัมโพชฌงค์ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๑ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี การพิจารณาคดั เลือกธรรมทีเ่ ป็นกศุ ลว่าควรปฏิบัติคัดเลือกธรรมทีเ่ ป็นอกุศลว่าไม่ ควรปฏิบัติ และคดั เลือกธรรมทีค่ วรปฏิบัติคือสมควรแกต่ น ชือ่ ว่า ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค์ ความเพียรดว้ ยกายเช่น ขยันหาทรพั ย์เป็นต้นชื่อว่า วิรยิ สัมโพชฌงค์ ความอิม่ ใจปลื้มใจในความดีท่ตี นปฏิบัติมาหรือในผลทีป่ รากฏ ชื่อว่า ปีตสิ ัมโพชฌงค์ ความสงบกายสงบใจจากอารมณ์อันฟุูงซ่านหรือสงบจากอุปกิเลสคือเครื่องทาใจให้ เศร้าหมอง มี ๑๖ อย่าง มอี ภชิ ฌาวิสมโลภ เป็นต้นชือ่ ว่า ปัสสัทธสิ ัมโพชฌงค์ ความทีจ่ ติ สงบไม่ฟูุงซ่านตั้งอยู่ในอารมณ์เดยี ว ชื่อว่า สมาธสิ มั โพชฌงค์ การวางเฉยเปน็ กลาง ดว้ ยใชป้ ัญญาพิจารณาซึ่งมีธรรมเป็นอารมณ์ ชื่อว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ต่างจากอเุ บกขาในพรหมวิหารและอปั ปมญั ญาเพราะใน ๒ หมวด นั้นมีสตั ว์เป็นอารมณ์ . เรียกตามประเภทว่า สติสมั โพชฌงค์ไปโดยลาดับจนถึงอเุ ปกขาสมั โพชฌงค์. อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมที่ครอบงาสตั ว์โลกอยู่ และสตั ว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมน้ันเรียกว่าโลกธรรม. โลกธรรมนั้นมี ๘ อย่าง คือ อฏิ ฐารมณ์ (ทกุ คนต้องการ) อนิฏฐารมณ์ (ไมม่ ีใครอยากได้) ๑. มีลาภ มสี ่งิ ท่ตี ้องการสมใจ ๕. ไมม่ ีลาภ ไม่ไดค้ รอบครองของทีห่ วัง ๒. มียศ มีตาแหน่งหน้าที่ถกู ใจ ๖. ไมม่ ียศ ถกู ลดิ รอนสิทธแิ ละลด ตาแหน่ง [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๒ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๓. สรรเสรญิ ชื่อเสียงเด่น ๗. นินทา ถกู ติเตียน กลา่ วร้าย ๔. สุข ชวี ิตผาสุก สดชืน่ แจม่ ใส ๘. ทกุ ข์ ทรมานกาย และขมขื่นใจ โลกธรรม คือธรรมสาหรบั ชาวโลกที่ทุกคนจะต้องประสบอยา่ งหนีไม่พน้ เมือ่ โลก ธรรมเหลา่ นเี้ กดิ ขนึ้ แลว้ ควรพิจารณาว่าส่งิ นีเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ แกเ่ รา แต่มนั ไม่เทีย่ งเป็นทกุ ข์มี ความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรรู้ตามความเปน็ จริงเช่นนอี้ ย่าให้โลกธรรมเหล่านี้ครอบงา จติ ใจได้ ในโลกธรรมเหลา่ นี้สง่ิ ทน่ี ่าปรารถนาคือ ลาภยศสรรเสรญิ สขุ เรยี กว่า อฏิ ฐารมณ์ สว่ นทีไ่ ม่น่าปรารถนาคือ เสื่อมลาภ เสือ่ มยศ นินทา ทกุ ข์ เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ ในโลกธรรม ๘ ประการ นี้ อย่างใดอย่างหนึง่ เกดิ ขนึ้ ควรพิจารณาว่า ส่งิ นเี้ กดิ ขนึ้ แล้วแก่เรา กแ็ ต่ว่ามนั ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็น จริง อยา่ ให้มันครอบงาจติ ได้ คืออย่ายินดีในส่วนทีป่ รารถนา อยา่ ยินร้ายในสว่ นที่ไม่ ปรารถนา. ลกั ษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ๑. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพือ่ กาหนัดยอ้ มใจ ๒. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความประกอบทกุ ข์ ๓. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพือ่ ความสะสมกองกิเลส ๔. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๕. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความไม่สันโดษยินดดี ว้ ยของมีอยู่ คือมีนี่แลว้ อยากไดน้ ั่น ๖. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพือ่ ความคลุกคลดี ว้ ยหมคู่ ณะ ๗. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความเกียจคร้าน ๘. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความเล้ยี งยาก ธรรมเหลา่ นีพ้ ึงรู้ว่า ไม่ใชธ่ รรม ไม่ใชว่ ินยั ไมใ่ ช่คาสง่ั สอนของพระศาสดา [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๓๓ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๑. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพือ่ ความคลายกาหนดั ๒. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์ ๓. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส ๔. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความอยากอันน้อย ๕. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพือ่ ความสนั โดษยินดดี ว้ ยของมีอยู่ ๖. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่ ๗. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความเพียร ๘. ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพื่อความเล้ยี งงา่ ย ธรรมเหลา่ นีพ้ ึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินยั เปน็ คาสั่งสอนของพระศาสดา. มรรคมอี งค์ ๘ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ปญั ญาอนั เห็นชอบ คือเหน็ อริยสจั ๔ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดาริชอบ คือ ดาริจะออกจากกาม ดาริในอันไมพ่ ยาบาท, ดาริ ในอนั ไมเ่ บยี ดเบยี น ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจีทจุ ริต ๔ ๔. สมั มากัมมันตะ ทาการงานชอบ คือเว้นจากกายทจุ ริต ๓ ๕. สมั มาอาชวี ะ เลีย้ งชีวติ ชอบ คือเว้นจากความเล้ียงชวี ิตโดยทางทีผ่ ิด ๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน ๗. สมั มาสติ ระลึกชอบ คือระลกึ ในสติปัฏฐานท้ัง ๔ ๘. สมั มาสมาธิ ตั้งใจไวช้ อบ คือเจริญฌานทั้ง ๔ ในองค์มรรค ๘ นั้น - เห็นชอบ, ดาริชอบ สงเคราะหเ์ ข้าในปญั ญาสกิ ขา - วาจาชอบ, การงานชอบ, เลีย้ งชีวติ ชอบสงเคราะหเ์ ข้าในสีลสิกขา - เพียรชอบ, ระลึกชอบ, ตั้งใจไวช้ อบ สงเคราะหเ์ ข้าในจิตตสกิ ขา [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๔ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี นวกะ คือ หมวด ๙ มละ คือ มลทิน ๙ อยา่ ง ๑. โกรธ คือความขัดเคือง ความคิดร้าย ๒. ลบหลคู่ ณุ ท่าน คือแสดงอาการเหยียดหยามต่อผู้มีอปุ การะคณุ ๓. ริษยา คือความที่ไมอ่ ยากใหค้ นอืน่ ได้ดี ๔. ตระหนี่ คือหวงไม่อยากให้คนอื่นไดด้ ี ๕. มารยา คือทาเล่ห์กลปกปิดความจริง ๖.โออ้ วด คือทรงในความรู้ความสามารถหรือในทรพั ย์สมบัติของตน ๗. พดู ปด คือพูดหลอกใหค้ นอืน่ เข้าใจผิด ๘. ปรารถนาลามก คือต้องการใหค้ นอื่นเข้าใจผิดในคณุ สมบัติทไ่ี มม่ ีในตน ๙. เหน็ ผิด คือความทาดีไม่ไดด้ เี ป็นต้น มลทนิ นคี้ ือคณุ เครือ่ งที่ทาความเศร้าหมองแก่จติ เพราะถ้ามีมลทินเหล่านี้แลว้ จิตที่ บริสุทธ์สิ ะอาดก็เศร้าหมองไปด้วย เหมือนน้าใสสะอาดทีเ่ จือด้วยส่ิงของต่าง ๆ จน กลายเปน็ น้าขุนฉะน้ัน . ทสกะ คือ หมวด ๑๐ อกุศลกรรมบถ ๑๐ จัดเป็นกายกรรม คือทาดว้ ยกาย ๓ อยา่ ง ๑. ปาณาติบาต ทาชวี ิตสตั ว์ให้ตกล่วง คือ ฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทาน ถือเอาสิง่ ของท่เี จา้ ของไมไ่ ด้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๓๕ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี จัดเป็นวจีกรรม คอื ทาดว้ ยวาจา ๔ อย่าง ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๕. ปิสุณาวาจา พูดสอ่ เสียด ๖. ผรสุ วาจา พูดคาหยาบ ๗.สัมผปั ปลาปะ พดู เพอ้ เจอ้ จดั เปน็ มโนกรรม คือทาด้วยใจ ๓ อยา่ ง ๘. อภชิ ฌา โลภอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท พยาบาทปองร้ายเขา ๑๐. มิจฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม อกุศลกรรมบถ แปลวา่ ทางแห่งกรรมชัว่ ที่บุคคลไม่ควรประพฤติและปฏิบัติ เพราะอกศุ ลกรรมเหล่านี้ถา้ ทาลงไปแล้วย่อมเปน็ ความเสยี หายแก่ผู้กระทาคือ เมื่อมีชวี ิต อยู่ยอ่ มเปน็ เหตใุ ห้เสยี ชื่อเสียงหรือไดร้ ับโทษทณั ฑ์ต่าง ๆ เมื่อสิน้ ชีวิตไปแลว้ ย่อมไปสู่ทุคติ หาความสขุ ไม่ไดเ้ ลย . กรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นทางบาป ไมค่ วรดาเนิน กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ จัดเป็นกายกรรม คือทาด้วยกาย ๓ อย่าง ๑. ปาณาติบาต เวรมณีเว้นทาชวี ิตสัตว์ให้ตกล่วง คือ ฆ่าสตั ว์ ๒. อทินนาทาน เวรมณี เว้นถือเอาสิง่ ของท่เี จา้ ของไมไ่ ด้ให้ ด้วยอาการแหง่ ขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม จดั เปน็ วจีกรรม คอื ทาด้วยวาจา ๔ อยา่ ง ๔. มสุ าวาท เวรมณี เว้นจากการพูดเทจ็ ๕. ปิสุณาวาจา เวรมณี เว้นจากการพู ดสอ่ เสียด ๖. ผรุสวาจา เวรมณี เว้นจากการพูดคาหยาบ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๖ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๗.สัมผปั ปลาปา เวรมณี เว้นจากการพดู เพ้อเจอ้ จัดเปน็ มโนกรรม คือทาดว้ ยใจ ๓ อยา่ ง ๘. อนภิชฌา ไมโ่ ลภอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไมพ่ ยาบาทปองร้ายเขา ๑๐. สมั มาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้เปน็ ทางกศุ ลซึ่งตรงกนั ข้ามกบั อกุศลกรรมบถที่กลา่ ว มาแล้วควรที่จะประพฤติปฏิบตั ิเพราะเปน็ ความดีเปน็ ทางบุญ กรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นทางบุญ ควรดาเนิน. บญุ กิริยาวตั ถุ ๑๐ ประการ ๑. ทานมัย บุญสาเร็จดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สลี มัย บญุ สาเร็จดว้ ยการรักษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ๔. อปจายนมัย บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการประพฤติถ่อมตนแกผ่ ู้ใหญ่ ๕. เวยยาวจั จมัย บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการชว่ ยขวนขวายในกิจท่ชี อบ ๖. ปตั ติทานมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการให้ส่วนบุญ ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสาเรจ็ ดว้ ยการอนโุ มทนาสว่ นบุญ ๘. ธัมมสั สวนมัย บุญสาเร็จดว้ ยการฟังธรรม ๙. ธมั มเทสนามัย บุญสาเรจ็ ดว้ ยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏฐุชกุ มั ม์ การทาความเห็นให้ตรง บุญกิริยาวตั ถุแปลว่า วตั ถุอันเป็นที่ต้ังแห่งการบาเพญ็ บุญ บญุ กิรยิ าวตั ถุ ๑๐ อยา่ งนี้ย่นลงใน ทาน ศีล ภาวนา ดงั น้ี - ทาน (ปัตติทานมยั ,ปัตตานุโมทนามัย) - ศีล (อปจายนมัย,เวยยาวัจจมัย) [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๗ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี - ภาวนา (ธมั มัสสวนมยั ,ธัมมเทสนามยั ) ทิฏฐชุ กุ มั ม์ ย่นลงใน ๓ อย่างอย่าง. ธรรมที่บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอ่ื งๆ ๑๐ อย่าง ๑. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า บดั นี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถแ์ ล้ว อาการ กิริยาใด ๆของสมณะ เราต้องทาอาการกิริยาน้ัน ๆ ๒. บรรพชติ ควรพิจารณาเนือ่ ง ๆ ว่า ความเล้ยี งชวี ิตของเราเนือ่ งดว้ ยผู้อื่น ๆเราควร ทาตวั ให้เขาเล้ียงงา่ ย ๓. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทาให้ดี ขึ้นไปกว่านีย้ ังมอี ยู่อกี ไมใ่ ช่เพียงเทา่ นี้ ๔. บรรพชติ ควรพิจารณาเนือ่ ง ๆ ว่า ตังของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้ หรือไม่ ๕. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ ครวญแล้ว ติเตียนเราโดยศีลได้ หรือไม่ ๖. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจ ทั้งน้ัน ๗. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทาดจี กั ได้ดี ทาช่วั จกั ได้ชั่ว ๘.บรรพชติ ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนลว่ งไป ๆ บัดนี้ เราทาอะไรอยู่ ๙. บรรพชติ ควรพิจารณาเนือ่ ง ๆ ว่า เรายินดใี นที่สงัดหรือไม่ ๑๐. บรรพชติ ควรพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า คณุ วิเศษของเรามีอยหู่ รือไม่ ทจ่ี ะให้เราเป็น ผู้ไมเ่ กอ้ เขินในเวลาเพื่อนพรรพชติ ถามในกาลภายหลัง ธรรม ๑๐ ข้อนี้เป็นธรรมสาหรบั บรรพชติ ควรพิจารณาอยู่เสมอ ๆ เพื่อจะไดเ้ ปน็ เครื่องเตือนสติตนเอง ใหป้ ฏิบัติตามธรรมนองครองธรรมของบรรพชิต . [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๓๘ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี นาถกรณธรรม คือ ธรรมทาทีพ่ ่งึ ๑๐ อยา่ ง ๑. ศีล รกั ษากายวาจาใหเ้ รียบร้อย ๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ไดส้ ดบั ตรับฟงั มาก ๓. กัลยาณมติ ตตา ความเปน็ ผู้มเี พื่อนดงี าม ๔. โสวจัสสตา ความเป็นผู้วา่ งา่ ยสอนง่าย ๕. กิงกรณีเยสุ ทกั ขตา ความขยันชว่ ยเอาใจใสใ่ นกิจธุระของเพือ่ นภิกษุ สามเณร ๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมที่ชอบ ๗. วิรยิ ะ เพียรเพือ่ จะละความช่วั ประพฤติความดี ๘. สนั โดษ ยินดีด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร ทอ่ี ยู่อาศัย และยารักษา โรค ตามมีตามได้ ๙. สติ จาการทีไ่ ด้ทาและคาที่พดู แลว้ แมน้ านได้ ๑๐. ปญั ญา รอบรู้ในกองสังขารตามเปน็ จริงอยา่ งไร ธรรมอันเป็นที่พึ่งเหลา่ นีเ้ มื่อบคุ คลมีไว้ประจาใจแลว้ ย่อมจะเปน็ ที่พง่ึ ของตนเอง ได้ ท้ังในโลกนีแ้ ละโลกหน้า ย่นนาถกรณธรรมเหลา่ นลี้ งในไตรสกิ ขาศีลสกิ ขาจิตตสกิ ขาและ ปญั ญาสกิ ขา กถาวตั ถคุ ือถ้อยคาทีค่ วรพดู ๑๐ อยา่ ง ๑. อัปปจิ ฉกถา ถ้อยคาทีช่ ักนาใหม้ ีความปรารถนาน้อย ๒. สันตุฏฐกิ ถา ถ้อยคาทีช่ ักนาใหส้ ันโดษยนิ ดีดว้ ยปจั จยั ตามมีตามได้ ๓. ปวเิ วกกถา ถ้อยคาทีช่ ักนาใหส้ งัดกายสงัดใจ ๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคาที่ชักนาไม่ใหร้ ะคนด้วยหมู่ ๕. วิรยิ ารัมภกถา ถ้อยคาที่ชกั นาใหป้ รารภความเพียร [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๓๙ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๖. สีลกถา ถ้อยคาทีช่ ักนาใหต้ ั้งอยใู่ นศีล ๗. สมาธกิ ถา ถ้อยคาทีช่ กั นาใหเ้ กดิ ความสงบ ๘. ปญั ญากถา ถ้อยคาที่ชกั นาใหเ้ กดิ ปัญญา ๙. วิมุตติกถา ถ้อยคาที่ชักนาใหท้ าใจพน้ จากกิเลส ๑๐.วิมุตติญาณทสั สนกถา ถ้อยคาที่ชกั นาใหเ้ กดิ ความรู้ความเหน็ ในความทีใ่ จพ้น จากกิเลส กถาวตั ถคุ ือเรือ่ งที่ควรพดู บรรพชติ พึงพดู แต่ถ้อยคาที่เป็นประโยชน์แกต่ นเองและ ผู้อื่น ตามเรือ่ งที่ควรพูดเหล่านี้ ควรเว้นจากการพูดดว้ ยเดรจั ฉานกถาอันไมเ่ ปน็ ประโยชน์ . อนสุ สติ คือ อารมณค์ วรระลึก ๑๐ ประการ ๑. พุทธานสุ สติ ระลึกถงึ คุณของพระพทุ ธเจา้ ๒. ธมั มานุสสติ ระลึกถงึ คุณของพระธรรม ๓. สังฆานสุ สติ ระลึกถงึ คุณของพระสงฆ์ ๔. สีลานุสสติ ระลึกถงึ ศีลของตน. ๕. จาคานุสสติ ระลึกถงึ ทานที่ตนบริจาคแลว้ ๖. เทวตานสุ สติ ระลึกถงึ คุณทท่ี าบุคคลให้เป็นเทวดา ๗. มรณัสสติ ระลึกถงึ ความตายที่จะมาถึงตน ๘. กายคตาสติ ระลึกทัว่ ไปในกาย ให้เหน็ ว่า ไม่งาม น่าเกลยี ดโสโครก ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก ๑๐. อปุ สมานสุ สติ ระลึก ถงึ คณุ พระนิพพาน ซึ่งเปน็ ทีร่ ะงับกิเลสและกองทกุ ข์ อนสุ สติ ๑๐ นี้ เป็นอารมณ์ท่เี ราจะต้องระลกึ อยู่เสมอ ๆ เพื่อใหเ้ กดิ ความไม่ ประมาทในการดารงชวี ิตเพราะเมือ่ บุคคลผู้ประมาทแล้ว ย่อมจะเปน็ ที่พึง่ ของตนเองไมไ่ ด้ ทาอะไรกม็ กั ทีพ่ ลาดไปหมด เพราะฉะน้ัน จงึ ควรที่จะระลึกถงึ อนุสสติเหล่านี้ไว้เพื่อ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๔๐ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ตรวจดูตนเองอยู่เสมอ ๆ ว่าเราเป็นอยู่อย่างไรเช่น เรามีความฟุูงซ่าน ก็กาหนดระลึกถงึ อาณาปานสติเพื่อใหใ้ จสงบเป็นต้น. ปกิณณกะ คือ หมวดเบ็ดเตล็ด อปุ กิเลส คือโทษเคร่อื งเศร้าหมอง ๑๖ อยา่ ง ๑. อภชิ ฌาวิสมโลภะ ความโลภอยากได้นน่ั อยากไดน้ ี้ แกด้ ว้ ย ทาน จาคะ ๒. โทสะ ใจเห้ียมโหด มงุ้ รา้ ยหมายชวี ิต แกโ้ ดยเมตตา กรณุ า พรหมวิหาร ๓. โกธะ โกรธ หงุดหงิดฉนุ ฉียว แกด้ ว้ ย ขนั ติ เมตตาพรหมวิหาร ๔. อปุ นาหะ เคียดแค้น ผกู ใจเจ็บ แกด้ ว้ ย กายคตาสติ ๕. มกั ขะ ลบหลคู่ ุณท่าน แกด้ ว้ ย กตญั ญกู ตเวทิตา ๖. ปลาสะ ตีตนเสมอ คือยกตวั เทียมทา่ น แกด้ ว้ ยสัมมาคารวะ ๗. อิสสา ริษยา คือเห็นเขาไดด้ ี ทนอยู่ไมไ่ ด้ แกด้ ว้ ยมทุ ิตาพรหมวหิ าร ๘. มัจฉริยะ ตระหนี่ ใจแคบ แกด้ ว้ ย มรณสั สติ ๙. มายา มารยา คือเจ้าเล่ห์ แกด้ ว้ ย สจั จะ ๑๐. สาเถยยะ โออวด แกด้ ว้ ย วจีสุจริต ๑๑. ถมั ภะ กระด้าง หัวดื้อ แกด้ ว้ ย โสวจสั สตา ๑๒. สารมั ภะ แขง่ ดี คนอื่นสตู่ นไมไ่ ด้ แกด้ ว้ ย อสุภกัมมฏั ฐาน ๑๓. มานะ ถือตัว ทนงตัว แกด้ ว้ ย นิวาต ๑๔. อติมานะ ดหู มิ่นเหยยี ดหยามท่าน แกด้ ว้ ย อปจายนะ ๑๕. มทะ หลงมัวเมา สาคญั ผิดเปน็ ชอบ แกด้ ว้ ย จตธุ าตวุ วัฏฐาน ๑๖. ปมาทะ ประมาท เลนิ เล่อ แกด้ ว้ ย เจรญิ กสิณ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๔๑ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี โพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ ประการ หมายถึง องค์แห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจา้ คือ ๑. สติปฏั ฐาน ๔ ๒. สมั มัปปธาน ๔ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๔. อินทรีย์ ๕ ๕. พละ ๕ ๖. โพชฌงค์ ๗ ๗. มรรคมีองค์ ๘ ธรรมเหลา่ นีเ้ มื่อรวมเข้ากันแล้วกไ็ ด้ ๓๗ ประการพอดี ที่ ได้ชื่อว่าโพธิปกั ขิยธรรมน้ัน เพราะเป็นธรรมเปน็ ไปในฝักฝุายแห่งปญั ญาตรัสรู้โลกุตตระ ธรรมและมีชือ่ เรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ อภิญญาเทสติ ธรรม เพราะเป็นธรรมที่พระองค์ ทรงแสดง เพื่อความรู้ยิง่ เห็นจริงในธรรมทีค่ วรรู้ควรเห็น . คิหิปฏิบัติ คหิ ปิ ฏิบตั ิ คือ ธรรมปฏิบตั ิสาหรับคฤหสั ถ์ หรือฆราวาส กรรมกิเลส คือกรรมเครื่องเศร้าหมอง ๔ อยา่ ง ๑. ปาณาติบาต ฆ่าหรือทาลายสตั ว์มีชีวติ ถึงตาย ๒. อทินนาทาน ลกั ขโมยทรัพย์สนิ ของผู้อืน่ มาครองครอง ๓. กาเมสุมจิ ฉาจาร ประพฤติผิดจารีตประเวณที างกามารมณ์ ๔. มสุ าวาท พูดเทจ็ หลอกลวงใหผ้ ู้อืน่ เชือ่ และเสียประโยชน์ อบายมขุ คือ เหตุเครือ่ งฉิบหาย ๔ อยา่ ง บ่อเกิดแห่งความวิบัติ จติ ใจเสือ่ ม ครอบครวั ล่มจม ไมค่ วรประพฤติ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๔๒ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๑. ความเป็นนักเลงหญิง ประพฤติตนเป็นคนเจา้ ชู้ เสเพลมวั่ อยกู่ ับรัก ๆ ใคร่ ๆ ๒. ความเปน็ นักเลงสุราม่วั สุมกบั ของมนึ เมา และสง่ิ เสพติดใหโ้ ทษ ๓. ความเปน็ นักเลงเล่นการพนัน หมกมนุ่ เล่นการพนันแบบผีสิง่ ๔. ความคบคนชั่วเป็นมิตร สนิทชิดเชื้อ และถูกชั กจูง ทาชั่วทุจรติ ตามเพื่อนเลว ๆ โทษ ๔ ประการ ไม่ควรประกอบ ไมค่ วรทา ทิฏฐธัมมิกตั ถประโยนช์ คือประโยชนใ์ นปจั จบุ นั ๔ อยา่ ง ๑. อุฏฐานสัมปทา เพียรเอาจรงิ เอาจัง ในการศึกษาเล้ียงชพี ธรุ กิจ ทุกอย่าง ๒. อารักขสมั ปทา ถึงพร้อมดว้ ยการรักษาคุ้มครองภารกิจมิใหบ้ กพร่อง ประหยดั และคุ้มครองทรพั ย์สนิ ๓. กัลยาณมติ ตตา คบเพื่อนเปน็ คนดี ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร ๔. สมชวี ิตา ความเล้ยี งชวี ิตและครอบครัว พอควรแก่รายได้และทาทีจ่ าเป็น สัมปรายิกตั ถประโยชน์ คือประโยชน์ภายหนา้ ๔ อย่าง ๑. สทั ธาสมั ปทาถึงพร้อมดว้ ยศรทั ธา เชื่อมนั ในหลักธรรม เชือ่ กฎของกรรม ๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศีล ประพฤติชอบดว้ ยกายวาจา ๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยการบริจาค น้าใจเสยี สละ เกื้อกลู ผู้อื่นให้มสี ุขสบาย ๔. ปญั ญาสัมปทาถึงพร้อมดว้ ยปัญญา จติ สานึกผิดชอบชั่วดี รู้ปรชั ญาชวี ิตเจนจบ มติ รปฏริ ูป คือคนเทียมมติ ร คนทีม่ ใิ ช่มติ รแท้ ผู้ไมม่ ีความจริงใจ ไม่ควรคบใกล้ชิด มลี กั ษณะต่าง ๆ ๑. คนปอกลอก ทาตีสนิทให้วางใจ ปล้นิ ปล้อน ๒. คนดแี ต่พดู กานลั ด้วยลมปากหวานหวา่ นลอ้ ม ๓. คนหวั ประจบ ทาโอนอ่อนใจเลยี้ งลด ใจคดปากซื่อ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๔๓ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๔. คนชกั ชวนทางฉบิ หาย ชกั จงู ใหห้ ลงผิดจนเสยี ตวั เสียคน ลักษณะคนปอกลอก ๔ อยา่ ง ๑. คิดเอาแต่ได้ฝุายเดียว ๒. เสียใหน้ ้อย คิดเอาให้ไดม้ าก ๓. เมื่อมีภัยแกต่ วั จงึ รบั ทากิจของเพื่อน ๔. คบเพื่อนเพราะเหน็ แกป่ ระโยชน์ของตัว ลกั ษณะของคนดีแต่พูด ๔ อยา่ ง ๑. เก็บเอาของลว่ งแลว้ มาปราศรยั ๒. อ้างเอาของท่ยี งั ไม่มมี าปราศรัย ๓. สงเคราะหด์ ว้ ยสิง่ หาประโยชน์มไิ ด้ ๔. ออกปากพึง่ มไิ ด้ ลักษณะของคนหวั ประจบ ๔ อยา่ ง ๑. จะทาชั่วก็คล้อยตาม ๒. จะทาดกี ็คล้อยตาม ๓. ต่อหน้าว่าสรรเสริญ ๔. ลับหลงั ตั้งนินทา ลักษณะของคนชักชวนในทางฉบิ หาย ๔ อย่าง ๑. ชักชวนดื่มน้าเมา ๒. ชักชวนเท่ยี วกลางคืน ๓. ชักชวนให้มวั เมาในการเลน่ ๔. ชกั ชวนเล่นการพนัน มติ รแท้ ๔ จาพวก ๑. มิตรมีอปุ การะ ยามเดือดร้อนอาศยั ได้ คราวลาเคญ็ กเ็ กื้อหนนุ ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทกุ ข์ น้าใจซือ่ เปิดเผย เข้าถึงใจกนั เสียสละแทนกนั ได้ [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๔๔ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๓. มิตรแนะประโยชน์ ตักเตือนมิใหห้ ลงผิด ปลกุ ปลอบใหต้ ั้งตนไว้ชอบ ๔. มิตรมีความรกั ใคร่ เสมอต้นเสมอปลาย รักและภักดีท้ังต่อหน้าและลบั หลงั ลกั ษณะของมิตรมอี ปุ การะ ๔ อย่าง ๑. ปูองกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๒. ปูองกันทรัพย์สมบตั ิของเพือ่ นผู้ประมาทแล้ว ๓. เมือ่ มีภัย เปน็ ที่พง่ึ พานกั ได้ ๔. เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าทีอ่ อกปาก ลกั ษณะของมิตรร่วมสุขรว่ มทกุ ข์ ๔ อยา่ ง ๑. ขยายความลบั ของตนแกเ่ พื่อน ๒. ปิดความลบั ของเพื่อนไมใ่ ห้แพร่พราย ๓. ไมล่ ะทงิ้ ในยามวิบัติ ๔. แมช้ วี ิตกอ็ าจสละแทนได้ ลักษณะของมิตรแนะประโยชน์ ๔ อยา่ ง ๑. หา้ มไม่ใหท้ าความชั่ว ๒. แนะนาให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. ให้ฟังสง่ิ ทย่ี งั ไม่เคยฟงั ๔. บอกทางสวรรค์ให้ ลกั ษณะของมิตรมคี วามรกั ใคร่ ๔ อย่าง ๑. ทุกข์ ๆ ด้วย ๒. สุข ๆ ด้วย ๓. โต้เถยี งคนที่พดู ติเตียนเพือ่ น ๔. รับรองคนทีพ่ ดู สรรเสริญเพือ่ น [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔๕ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี สังคหวัตถุ ๔ อยา่ ง สงั คหวัตถุ คือธรรมเครื่องยดึ เหนี่ยวน้าใจ ธรรมสาหรบั ผกู ไมตรีเปน็ จรรยาบรรณ ดา้ นมนษุ ยสมั พนั ธ์ เกดิ เสน่ห์ ชนะใจคน ครองใจคน ๑. ทาน แจกจ่ายแก่คนยากจน คนประสบภยั พิบัติต่าง และบริจาคเพื่อกศุ ล สงเคราะห์ ๒. ปิยวาจา พูดจานุ่มนวล ออ่ นหวาน ๓. อตั ถจริยา สงเคราะหผ์ ู้ขัดสน และบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ ๔. สมานัตตตา วางตนเหมาะแก่สิ่งแวดลอ้ ม ไม่ถือตวั สขุ ของคฤหัสถ์ ๔ อยา่ ง เป็นความสขุ ทีค่ ฤหสั ถส์ ามญั ชนปรารถนากนั ๑. สขุ เกดิ เพราะความมีทรัพย์สมบตั ิ มีกนิ มีใช้ ๒. สขุ เกดิ แต่การจ่ายทรพั ย์บริโภค บารุงเลยี้ งตน ครอบครัว ใช้เป็นประโยชน์ ๓. สขุ เกดิ แต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ ๔. สุขเกดิ แต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ มีอาชีพสุจริต ปราศจากพิษ ปลอดภยั ความปรารถนาของบคุ คลในโลก ที่ไดส้ มหมายดว้ ยยาก ๔ อยา่ ง ๑. ขอสมบัติจงเกดิ มแี กเ่ ราโดยทางที่ชอบ (ลาภ) ๒. ขอยศจงเกดิ มแี กเ่ รากบั ญาติพวกพ้อง (ยศ) ๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน (ผาสกุ ) ๔. เมือ่ สนิ้ ชีพแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์ (สวรรค์) ตระกูลอนั มนั่ ค่ังจะตั้งอย่นู านไม่ได้เพราะสถาน ๔ ๑. ไมแ่ สวงหาพัสดทุ ห่ี ายแลว้ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔๖ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๒. ไมบ่ รู ณะพสั ดุท่คี ร่าคร่า ๓. ไมร่ ู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลใหเ้ ปน็ แม่เรือนพ่อเรือน ธรรมของฆราวาส ๔ อย่าง ชวี ิตชาวบ้านจะร่มเยน็ เป็นสุข และรุ่งโรจน์มน่ั คงเหมือนเรือนสวรรค์ เพราะ คุณธรรม คือ ๑. สัจจะ น้าใจสัตย์ซือ่ จริงใจและจงรกั ภักดีซ่งึ กันและกนั ๒. ทมะ ข่มจติ ยับยั้งช่ังใจ ปรบั อารมณ์โดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา ๓. ขนั ติ อดทน สทู้ นในการประกอบสัมมาชพี อดทนต่ออุปสรรค และอดกล้ัน สิง่ สะเทือนใจ ๔. จาคะ สละให้ปันสิง่ ของของตนแกค่ นทีค่ วรใหป้ นั ปัญจกะ คือหมวด ๕ ประโยชน์เกิดแต่การถือโภคทรัพย์ ๕ อยา่ ง เมือ่ แสวงหาโภคทรัพย์ไดโ้ ดยทางทช่ี อบแลว้ ควรทีจ่ ะมีการใชจ้ า่ ยที่ถูกต้องตาม ระบบเศรษฐกิจแบบพทุ ธ ดงั นี้ ๑. เลีย้ งตัว มารดา บิดา บตุ ร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข ๒. เลีย้ งเพื่อนฝูงให้เป็นสขุ ๓. บาบัดอันตรายทีเ่ กิดแต่เหตุต่าง ๆ ๔. ทาพลี ๕ อย่าง คือ ๔.๑ ญาติพลี สงเคราะหญ์ าติ ๔.๒ อติถิพลี ต้อนรบั แขก [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔๗ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๔.๓ ปุพพเปตพลี ทาบญุ อุทิศให้ผู้ตาย ๔.๔ ราชพลี บริจาคเปน็ หลวง มกี ารเสียภาษีอากรเปน็ ต้น ๔.๕ เทวตาพลี ทาบญุ อุทิศให้เทวดา ๕. บริจาคทานในสมณพราหมณ์ พระสงฆผ์ ู้ประพฤติชอบ ศลี ๕ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทาชวี ิตสตั ว์ให้ตกล่วงไป ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสิ่งดว้ ยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเทจ็ ๕. สุราเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เวน้ จากดืม่ น้าเมา คือสรุ าและเมรยั อนั เป็น ทีต่ ั้งแห่งความประมาท มจิ ฉาวณิชชา คือการคา้ ขายไมช่ อบธรรม ๕ อยา่ ง อาชพี ซื้อชายเฉพาะสนิ ค้าอันชาวพุทธไมค่ วรดาเนินการ คือ ๑. ค้าขายเครือ่ งประหาร ศัสตรา อาวธุ หอก และเครื่องดกั จับสัตว์ เปน็ ต้น ๒. ค้าขายมนุษย์ ๓. ค้าขายสัตว์เป็นสาหรบั ฆ่าเพือ่ เปน็ อาหาร ๔. ค้าขายน้าเมา ๕. ค้าขายยาพิษ การค้าขาย ๕ อย่างนี้ เป็นข้อห้ามอุบาสกไม่ใหป้ ระกอบ สมบตั ิของอุบาสก ๕ ประการ เอกลักษณ์ คือคณุ สมบตั ิพเิ ศษของชาวพุทธ ท้ังอุบาสกและอุบาสกิ า คือ ๑. ประกอบด้วยศรัทธา [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔๘ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๒. มีศีลบริสทุ ธ์ิ ๓. ไมถ่ ือมงคลตืน่ ข่าว คือเชือ่ กรรม ไมเ่ ชือ่ มงคล ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพุทธศาสนา ๕. บาเพ็ญบญุ แต่ในพทุ ธศาสนา ฉักกะ คือ หมวด ๖ ทิศ ๖ ๑. ปุรัตถิมทศิ คือทิศเบื้องหน้า มารดา บิดา ๒. ทกั ขิณทศิ ๓. ปจั ฉิมทศิ คือทิศเบื้องขวา ครู อาจารย์ ๔. อตุ ตรทิศ ๕. เหฏฐิมทศิ คือ ทิศเบื้องหลงั บุตรภรรยา ๖. อุปริมทิศ คือทิศเบื้องซา้ ย มิตรสหาย คือทิศเบื้องต่า บ่าวไพร่ คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์ ๑. ปุรตั ถมิ ทิศ คอื ทิศเบื้องหนา้ (มารดาบดิ า) บุตรพงึ บารุงดว้ ยสถาน ๕ ๑ ท่านไดเ้ ลีย้ งมาแลว้ เลีย้ งทา่ นตอบ ๒ ทากิจของท่าน ๓ ดารงวงศ์สกุล ๔ ประพฤติตนใหเ้ ปน็ คนควรรบั ทรพั ย์มรดก ๕ เมือ่ ท่านลว่ งลับไปแลว้ ทาบุญอุทิศใหท้ ่าน มารดาบิดาไดร้ บั บารุงฉะนี้แลว้ อนเุ คราะห์บตุ รด้วยสถาน ๕ ๑. หา้ มให้ทาความชัว่ ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๔. หาภรรยาที่สมควรให้ ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๒. ทกั ขณิ ทิศ คอื ทิศเบือ้ งขวา (อาจารย)์ ศิษย์พงึ บารงุ ด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยลกุ ขึน้ ยืนรบั ๒. ดว้ ยเข้าไปยืนคอยรับใช้ [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอด็ ]
๔๙ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๓. ดว้ ยเชื่อฟงั ๔. ดว้ ยอุปัฏฐาก ๕. ดว้ ยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ อาจารย์ไดร้ ับบารงุ ฉะนี้แลว้ ยอ่ มอนเุ คราะห์ศิษยด์ ว้ ยสถาน ๕ ๑. แนะนาดี ๒. ให้เรียนดี ๓. บอกศิลปใหส้ ้ินเชงิ ไมป่ ิดบงั อาพราง ๔. ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๕.ทาความปูองกนั ทิศทั้งหลาย (คือจะไปทางทศิ ไหน ก็ไมอ่ ดอยาก) ๓. ปัจฉมิ ทิศ คอื ทิศเบือ้ งหลัง (ภรรยา) สามีพึงบารงุ ดว้ ยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา ๒. ดว้ ยไม่ดหู ม่นิ ๓. ดว้ ยไม่ประพฤติล่วงใจ ๔. ดว้ ยมอบความเปน็ ใหญ่ให้ ๕. ดว้ ยใหเ้ ครื่องแต่งตัว ภรรยาไดร้ ับบารงุ ฉะนีแ้ ลว้ ยอ่ มอนเุ คราะห์สามดี ว้ ยสถาน ๕ อย่าง ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะหค์ นข้างเคียงของผัวดี ๓. ไมป่ ระพฤติลว่ งใจผวั ๔. รกั ษาทรัพย์ที่ผวั หามาได้ไว้ ๕. ขยันไมเ่ กยี จคร้านในกิจการท้ังปวง อุตตรทิศ คอื ทิศเบือ้ งซา้ ย (มติ ร) กลุ บตุ รพงึ บารุงด้วยสถาน ๕ อยา่ ง ๑. ดว้ ยใหป้ ัน ๒. ดว้ ยเจรจาถ้อยคาไพเราะ ๓. ดว้ ยประพฤติประโยชน์ ๔. ดว้ ยความเป็นผู้มตี นเสมอ ๕. ดว้ ยไม่แกลง้ กล่าวให้คลาดจากความเปน็ จริง มติ รไดร้ ับบารงุ ฉะนีแ้ ล้ว ย่อมอนุเคราะหก์ ุลบตุ รด้วยสถาน ๕ อย่าง ๑. รกั ษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๒. รกั ษาทรัพย์ของมติ รผู้ประมาทแล้ว ๓. เมื่อมีภยั เอาเปน็ ทีพ่ ึง่ พานกั ได้ ๔. ไมล่ ะทงิ้ ในยามวิบตั ิ ๕. นบั ถือตลอดถงึ วงศ์ของมติ ร ๕. เหฏฐิมทศิ คอื ทิศเบือ้ งต่า (บ่าว) นาย พงึ บารุงด้วยสถาน ๕ อย่าง ๑. ดว้ ยจดั การงานใหท้ าตามสมควรแกก่ าลัง [โรงเรียนสุเทพนครวิช พระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
๕๐ พระครูปริยัตโิ ชตยิ าภรณ์ (หนูพร จารุวณฺโณ) น.ธ. เอก ป.ธ. ๓ ศศ.บ. วชิ าธรรมวภิ าคชัน้ ตรี ๒. ดว้ ยใหอ้ าหารและรางวลั ๓. ดว้ ยรักษาพยาบาลในเวลาเจบ็ ไข้ ๔. ดว้ ยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กนิ ๕. ดว้ ยปล่อยในสมยั บา่ วไดร้ ับบารุงฉะนีแ้ ล้ว ย่อมอนเุ คราะหน์ ายดว้ ยสถาน ๕ อยา่ ง ๑. ลกุ ขึน้ ทาการงานก่อนนาย ๒. เลิกการงานทีหลังนาย ๓. ถือเอาแต่ของทน่ี ายให้ ๔. ทาการงานให้ดีขนึ้ ๕. ทาคุณของนายไปสรรเสรญิ ในที่นั้น ๆ ๖. อปุ รมิ ทิศ คอื ทิศเบื้องบน (สมณพราหมณ์) กุลบุตรพงึ บารุงดว้ ยสถาน ๕ อยา่ ง ๑. ดว้ ยกายกรรม คือทาอะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๒. ดว้ ยวจีกรรม คือพดู อะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา ๓. ดว้ ยมโนกรรม คือคิดอะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๔. ดว้ ยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู คือต้อนรบั เข้าสบู่ ้านเรือน ๕. ดว้ ยใหอ้ ามิสทาน สมณพราหมณ์ได้รบั บารงุ ฉะนแ้ี ล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบตุ รด้วยสถาน ๖ อยา่ ง คือ ๑. หา้ มไม่ใหก้ ระทาความชั่ว ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. อนเุ คราะห์ดว้ ยน้าใจอันงาม ๔. ให้ไดฟ้ ังสิ่งที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ๕. ทาสงิ่ ท่เี คยฟงั แลว้ ให้แจม่ ชัด ๖. บอกทางสวรรค์ให้ อบายมุข คือเหตเุ ครอ่ื งฉบิ หาย ๖ อย่าง ๑. ดื่มน้าเมา ๒. เทย่ี วกลางคืน ๓. เท่ยี วดกู ารเลน่ ๔. เล่นการพนนั ๕. คบคนชั่วเปน็ มิตร ๖. เกยี จคร้านทาการงาน [โรงเรียนสุเทพนครวชิ พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่ม ๑๐ อาเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด]
Search