ทฤษฎเี กยี่ วกบั การเรียนรู้ วิชา : PC58208 การจดั การเรียนรู้และการจดั การช้นั เรียน อ.ดร. วนิดา สาระติ
ทฤษฎเี กย่ี วกบั การเรียนรู้ 1 ทฤษฎกี ารเรียนรู้กล่มุ พฤตกิ รรมนิยม ( Behaviorism) 1.ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดด์ (Thorndike Conectionism) 2.ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบอตั โนมตั ิของพาฟลอฟ(Classical Conditioning) 3. ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบอตั โนมตั ิของวตั สนั (Classical Conditioning) 4. ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบโอเปอร์แรนทข์ องสกินเนอร์ (Operant Conditioning)
ทฤษฎเี กยี่ วกบั การเรียนรู้ 2. ทฤษฏกี ารเรียนรู้ของกล่มุ พทุ ธินิยม 1. ทฤษฏีเกสตลั ท(์ Gestalt Theory) 2. ทฤษฏีพฒั นาการทางสติปัญญาของเพยี เจต(์ Piaget) 3. ทฤษฎกี ารเรียนรู้กล่มุ มนุษยนิยม 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow) 4. ทฤษฎกี ารเรียนรู้กล่มุ ผสมผสาน 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย่ (Gagne)
active learning กนั เถอะ 1. ดูคลิปวดี ีโอทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม ท้งั 4 คลิป 2. อธิบายการทดลอง 3. ยกตวั อยา่ งการนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นช้นั เรียน อยา่ งนอ้ ย 2 ตวั อยา่ ง
ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดด์ (Thorndike Conectionism) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ธอร์นไดค์ (ค.ศ. 1814-1949) เช่ือวา่ การเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยง ระหวา่ งส่ิงเร้ากบั การตอบสนอง ซ่ึงมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผดิ ลองถูก (trial and error) ปรับเปล่ียนไปเรื่อยๆจนกวา่ จะพบรูปแบบการตอบสนองท่ี สามารถใหผ้ ลท่ีพงึ พอใจมากที่สุด 1.กฏแห่งความพร้อม 2.กฏแห่งการฝึ กหดั 3.กฏแห่งการใช้ 4.กฎแห่งผลที่พึงพอใจ
ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดด์ (Thorndike Conectionism) ข.หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1.การเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนแบบลองผดิ ลองถูก 2.การสารวจความพร้อมของผเู้ รียน 3.เม่ือผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้แลว้ ควรใหผ้ เู้ รียนฝึกนาการเรียนรู้น้นั ไปใช้ บ่อยๆ 4.การใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับผลท่ีตนพึงพอใจ จะช่วยใหก้ ารเรียนการสอน ประสบผลสาเร็จ
ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบอตั โนมตั ขิ องพาฟลอฟ(Classical Conditioning) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษยเ์ กิดจากการวางเงื่อนไขท่ีตอบสนองต่อ ความตอ้ งการทางธรรมชาติ 2. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษยส์ ามารถเกิดข้ึนไดจ้ ากส่ิงเร้าท่ีเช่ือมโยงกบั ส่ิงเร้าตามธรรมชาติ 3. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษยท์ ่ีเกิดจากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกบั ส่ิงเร้าตาม ธรรมชาติจะลดลงเรื่อย ๆ และหยดุ ลงในท่ีสุดหากไม่ไดร้ ับการตอบสนองตาม ธรรมชาติ
ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบอตั โนมัตขิ องพาฟลอฟ(Classical Conditioning) 4. มนุษยม์ ีแนวโนม้ ท่ีจะจาแนกลกั ษณะของสิ่งเร้าใหแ้ ตกต่างกนั และเลือก ตอบสนองไดถ้ ูกตอ้ ง ข.หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1. การนาความตอ้ งการทางธรรมชาติของผเู้ รียนมาใชเ้ ป็นส่ิงเร้าสามารถช่วยให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี 2. การจะสอนใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ในเร่ืองใด อาจใชว้ ธิ ีเสนอสิ่งที่จะสอนไป พร้อมๆกบั ส่ิงเร้าที่ผเู้ รียนชอบตามธรรมชาติ 3. การเสนอสิ่งเร้าใหช้ ดั เจนในการสอน จะสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ และตอบสนองไดช้ ดั เจนข้ึน
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบอตั โนมัติของวตั สัน(Classical Conditioning) เนน้ การตอบสนองต่อส่ิงเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกนั สรุปแนวคิดตาม ทฤษฏีน้ีไดว้ า่ การเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการใหส้ ิ่งเร้าที่สมั พนั ธ์กนั น้นั ควบคู่กนั ไปอยา่ งสม่าเสมอ ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1. พฤติกรรมเป็นส่ิงที่สามารถควบคุมใหเ้ กิดข้ึนได้ 2. เมื่อสามารถทาใหเ้ กิดพฤติกรรมใดๆไดส้ ามารถลดพฤติกรรมน้นั ใหห้ ายไปได้
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบอตั โนมตั ิของวตั สัน(Classical Conditioning) ข. หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1. ในการสร้างพฤติกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงใหเ้ กิดข้ึนในผเู้ รียนควร พจิ ารณาส่ิงจูงใจหรือสิ่งเร้าที่เหมาะสมกบั ภูมิหลงั และความตอ้ งการของ ผเู้ รียนมาใชเ้ ป็นส่ิงเร้าควบคู่ไปกบั ส่ิงเร้าที่วางเง่ือนไข 2. การลบพฤติกรรมท่ีไม่พึงปรารถนา สามารถทาไดโ้ ดยหาส่ิงเร้าตาม ธรรมชาติท่ีไม่ไดว้ างเง่ือนไขมาช่วย
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบโอเปอร์แรนท์ของสกนิ เนอร์ (Operant Conditioning) สกินเนอร์ (Skinner) ไดท้ าการทดลอง ซ่ึงสามารถสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ไดด้ งั น้ี ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1. การกระทาใดๆ ถา้ ไดร้ ับการเสริมแรง จะมีแนวโนม้ ที่จะเกิดข้ึนอีก ส่วนการกระทาท่ีไม่มีการเสริมแรง แนวโนม้ ท่ีความถ่ีของการกระทาน้นั จะ ลดลงและหายไปในที่สุด 2. การเสริมแรงที่แปรเปล่ียนทาใหก้ ารตอบสนองคงทนกวา่ การ เสริมแรงท่ีตายตวั 3. การลงโทษทาใหเ้ รียนรู้ไดเ้ ร็วและลืมเร็ว 4. การใหแ้ รงเสริมหรือใหร้ างวลั เม่ืออินทรียก์ ระทาพฤติกรรมที่ตอ้ งการ
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบโอเปอร์แรนท์ของสกนิ เนอร์ (Operant Conditioning) ข. หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1. ในการสอนการใหเ้ สริมแรงหลงั การตอบสนอง ท่ีเหมาะสมของเดก็ จะ ช่วยเพ่ิมอตั ราการตอบสนองท่ีเหมาะสมน้นั 2. การเวน้ ระยะการเสริมแรงอยา่ งไม่เป็นระบบ หรือเปลี่ยนรูปแบบการ เสริมแรงจะช่วยใหก้ ารตอบสนองของผเู้ รียนคงทนถาวร 3. การลงโทษที่รุนแรงเกินไปมีผลเสียมาก
ทฤษฏเี กสตลั ท์(Gestalt Theory) ก. ทฤษฏกี ารเรียนรู้ 1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิด 2. บุคคลจะเรียนรู้จากส่ิงเร้าท่ีเป็นส่วนรวมไดด้ ีกวา่ ส่วนยอ่ ย 3. การเรียนรู้เกิดข้ึนไดส้ องลกั ษณะ คือ - การรับรู้ (perception) - การหยงั่ เห็น (insight)
ทฤษฏเี กสตัลท์(Gestalt Theory) ข. หลกั การจดั การศึกษา/การสอน 1. การส่งเสริมกระบวนการคิด 2. การสอนภาพรวมใหผ้ เู้ รียนเห็นและเขา้ ใจก่อนการเสนอส่วนยอ่ ย 3. การส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีประสบการณ์มาก ไดร้ ับประสบการณ์ที่ หลากหลาย 4. การจดั ประสบการณ์ใหม่ 5. ครูไม่จาเป็นตอ้ งเสียเวลานาเสนอเน้ือหาท้งั หมด 6. การเสนอเน้ือหาหรือบทเรียนควรจดั ใหม้ ีความต่อเนื่องกนั
ทฤษฏีพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต์(Piaget)
ทฤษฏีพฒั นาการทางสติปัญญาของเพยี เจต์(Piaget) เพยี เจต์ (Piaget) อธิบายวา่ การเรียนรู้ของเดก็ เป็นไปตาม พฒั นาการทางสติปัญญา ซ่ึงจะมีพฒั นาการไปตามวยั ต่างๆเป็นลาดบั ข้นั พฒั นาการเป็นสิ่งท่ีเป็นไปตามธรรมชาติ ก.ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.พฒั นาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวยั ต่างๆเป็นลาดบั ข้นั ดงั น้ี
1.1 ข้นั รับรู้ดว้ ยประสาทสมั ผสั (Sensorimotor Period) เป็นข้นั พฒั นาการ ในช่วง 0-2 ปี
1.2 ข้นั ก่อนปฎิบตั ิการคิด (Preoperational Period) เป็นข้นั พฒั นาการ ในช่วงอายุ 2-7 ปี
1.3 ข้นั การคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Period) เป็นข้นั พฒั นาการในช่วงอายุ 7-11 ปี
1.4 ข้นั การคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Pe-riod) เป็นพฒั นาการ ในช่วงอายุ 11-15 ปี
ทฤษฏพี ฒั นาการทางสติปัญญาของเพยี เจต์(Piaget) 2. ภาษาและกระบวนการคิดของเดก็ แตกต่างจากผใู้ หญ่
ทฤษฏพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต์(Piaget) ข.หลกั การจดั การศึกษา/การสอน 1.ในการพฒั นาเดก็ ควรคานึงถงึ พฒั นาการทางสติปัญญาของเดก็ 2. การใหค้ วามสนใจและสงั เกตเดก็ อยา่ งใกลช้ ิด จะช่วยใหท้ ราบ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของเดก็ 3.ในการสอนเดก็ เลก็ ๆ เดก็ จะรับรู้ส่วนรวม (whole) ไดด้ ีกวา่ ส่วนยอ่ ย (part) ดงั น้นั ครูจึงควรสอนภาพรวมก่อนแลว้ จึงแยกสอนทีละส่วน 4.ในการสอนส่ิงใดใหก้ บั เดก็ ควรเริ่มจากสิ่งท่ีเดก็ คุน้ เคยหรือมี ประสบการณ์มาก่อน 5. การเปิ ดโอกาสใหเ้ ดก็ ไดร้ ับประสบการณ์ และมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ มมากๆ
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ผบู้ ุกเบิกทฤษฎีน้ีคือ การ์ดเนอร์ ซ่ึงมีความเชื่อพ้ืนฐานท่ีสาคญั 2 ประการคือ 1. เชาวป์ ัญญาของมนุษยไ์ ม่ไดม้ ีแค่ภาษากบั คณิตศาสตร์แต่มีท้งั หมด 8 อยา่ งดว้ ยกนั 2. เชาวป์ ัญญาของแต่ละบุคคลสามารถเปล่ียนแปลงหากไดร้ ับการ ส่งเสริมที่เหมาะสม
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ เชาวป์ ัญญาของบุคคลประกอบดว้ ยความสามารถ 3 ประการคือ 1. ความสามารถในการแกป้ ัญหาในสภาพการณ์ต่างๆ 2. ความสามารถในการสร้างสรรคผ์ ลงานที่มีประสิทธิภาพ 3. ความสามารถในการแสวงหาหรือต้งั ปัญหา
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) • 1. ความสามารถในการแกป้ ัญหาในสภาพการณ์ต่างๆ
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) • 2. ความสามารถในการสร้างสรรคผ์ ลงานที่มีประสิทธิภาพ
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) 3. ความสามารถในการแสวงหาหรือต้งั ปัญหา
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ผบู้ ุกเบิกทฤษฎีน้ีคือ การ์ดเนอร์ เชาวน์ปัญญา 8 ดา้ น ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดงั น้ี 1. เชาวนป์ ัญญาดา้ นภาษา 2. เชาวน์ปัญญาดา้ นคณิตศาสตร์หรือการใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ 3. เชาวป์ ัญญาดา้ นมิติสมั พนั ธ์ 4. เชาวนป์ ัญญาดา้ นดนตรี
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) 5. เชาวนป์ ัญญาดา้ นการเคล่ือนไหวร่างกายและกลา้ มเน้ือ 6. เชาวนป์ ัญญาดา้ นการสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ื่น 7. เชาวน์ปัญญาดา้ นการเขา้ ใจตนเอง 8. เชาวนป์ ัญญาดา้ นความเขา้ ใจธรรมชาติ
1. เชาวนป์ ัญญาดา้ นภาษา
2. เชาวนป์ ัญญาดา้ นคณิตศาสตร์หรือการใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ
3. เชาวป์ ัญญาดา้ นมิติสมั พนั ธ์
4. เชาวนป์ ัญญาดา้ นดนตรี
5. เชาวนป์ ัญญาดา้ นการเคล่ือนไหวร่างกายและกลา้ มเน้ือ
6. เชาวนป์ ัญญาดา้ นการสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ่ืน
7. เชาวน์ปัญญาดา้ นการเขา้ ใจตนเอง
8. เชาวน์ปัญญาดา้ นความเขา้ ใจธรรมชาติ
สมองซีกซ้าย-ขวา
ตวั เรามีเชาว์ปัญญาด้านใดบ้างนะ
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ข. หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1. การจดั การเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายท่ี สามารถส่งเสริมเชาวนป์ ัญญาหลายๆดา้ น 2. จะตอ้ งจดั การเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ข้นั พฒั นาการในแต่ละ ดา้ นของผเู้ รียน 3. การสอนควรเนน้ การส่งเสริมความเป็นเอกลกั ษณ์ของผเู้ รียน 4. การประเมินควรมีหลายๆดา้ น
ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow) ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.มนุษยท์ ุกคนมีความตอ้ งการพ้ืนฐานตามธรรมชาติเป็นลาดบั ข้นั 2.มนุษยม์ ีความตอ้ งการท่ีจะรู้จกั ตนเองและพฒั นาตนเอง ประสบการณ์ที่ เรียกวา่ “peak experience”
ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow) ข. หลกั การจดั การศึกษา/การสอน 1.การเขา้ ใจถึงความตอ้ งการพ้ืนฐานของมนุษย์ สามารถช่วยใหเ้ ขา้ ใจ พฤติกรรมของบุคคลได้ เน่ืองจากพฤติกรรมเป็นการแสดงออกของความ ตอ้ งการของบุคคล 2. ถา้ ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี จาเป็นตอ้ งตอบสนองความ ตอ้ งการพ้นื ฐานที่เขาตอ้ งการเสียก่อน 3.ในกระบวนการเรียนการสอน หากครูสามารถหาไดว้ า่ ผเู้ รียนแต่ละ คนมีความตอ้ งการอยใู่ นระดบั ใดข้นั ใด ครูสามารถใชค้ วามตอ้ งการพ้ืนฐาน ของผเู้ รียนน้นั เป็นแรงจูงใจ ช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 46
Pages: