Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1-5 กลุ่ม 5

บทที่ 1-5 กลุ่ม 5

Published by phapat, 2022-08-17 15:25:48

Description: บทที่ 1-5 กลุ่ม 5

Search

Read the Text Version

หบทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา มนุษยไ์ ดร้ ู้จักการใชส้ จี ากธรรมชาตมิ าตง้ั แต่ในอดตี โดยการท่ใี ช้สที ไ่ี ด้จากธรรมชาตทิ ไ่ี ด้จากสว่ น ต่างๆ ของพชื หรอื จากแรธ่ าตุตา่ งๆ ซงึ่ มคี วามสำคัญกบั มนุษยม์ าอย่างช้านาน และถอื ไดว้ ่าเป็นสว่ นหนงึ่ ของ การดาํ เนินชวี ิตของมนษุ ย์ในแตล่ ะยคุ สมยั มนุษยใ์ ชส้ ที ี่ไดจ้ ากพืชในการประกอบพิธกี รรมต่างๆ ตอ่ มามกี ารใช้ สจี ากพชื อยา่ งแพรห่ ลายมากขึน้ โดยมกี ารนำไปใชใ้ นการงานยอ้ มสบี นวัตถุหลากหลายชนดิ เชน่ การยอ้ มผา้ ตกแตง่ เครื่องมือ เครอ่ื งจกั สาน การแตง่ สีในอาหาร หรือในสมยั พทุ ธกาลการยอ้ มจวี ร พระภิกษสุ งฆใ์ ชม้ ลู โค หรือดินแดงยอ้ มจวี ร ทำใหส้ ขี องจวี รเป็นสคี ลำ้ ไมเ่ ป็นเอกภาพมีการทักท้วงพระพทุ ธเจา้ จึงทรงให้ภิกษทุ งั้ หลาย อนุญาตนำ้ ย้อม 6 ชนดิ สำหรบั ยอ้ มจีวร คอื น้ำย้อมจากรากไม้ น้ำย้อมจากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลอื กไม้ นำ้ ย้อม จากใบไม้ น้ำยอ้ มจากดอกไม้ และน้ำยอ้ มจากผลไม้ เม่ือย้อมเสร็จแลว้ จวี รจะออกมาเป็นสกี รกั สีเหลอื งหม่น หรือสเี หลอื งเจือแดงเข้มเหมอื นยอ้ มด้วยแกน่ ขนนุ ในสมยั นนั้ สีจวี รของพระโดยท่วั ไปจะไมค่ อ่ ยสมำ่ เสมอ สาเหตุเพราะว่าพระท่านใช้พวกแกน่ ไม้ แกน่ ยางมาย้อม (พรี ศักดิ์ วรสุทรโวสถ,2544) การจะทำใหผ้ า้ ทจี่ ะตดิ สแี ละมีความคงทนน้ัน ตอ้ งมีสารสองชนดิ ที่ทำใหเ้ กดิ ความคงทนของสีได้ นน้ั กค็ อื นำ้ ปูนใสและนำ้ ขเ้ี ถา้ ในปจั จบุ ันสยี ้อมผ้าได้มกี ารนาํ สีสงั เคราะห์มาใช้แทนสีธรรมชาตจิ ากพชื เนื่องจากสสี ังเคราะห์ หรอื สเี คมสี ามารถสังเคราะหไ์ ด้ในปรมิ าณมากมสี ีสันท่ีหลากหลาย ทาํ ให้ความนิยมใน การใช้สีสงั เคราะหม์ ีมากขน้ึ เน่ืองจากสสี ังเคราะห์มีราคาทยี่ อ่ มเยาว์ ยอ้ มได้ง่าย สะดวกและมเี ฉดสหี ลากหลาย มากกวา่ สีธรรมชาติ แต่การใชสีเคมีหรือสสี ังเคราะห์ ถ้าหากว่าขาดความรคู้ วามเข้าใจทีถ่ กู ตอ้ งในการใชจ้ ะ สง่ ผลตามมาอย่างมากมาย เช่น มีสารสหี รือสารเคมที ต่ี กค้างในนำ้ กอ่ ให้เกดิ การปนเปือ้ นของสารสีในแหลง่ น้ำ ธรรมชาตแิ ละผิวดินเปน็ ผลกอ่ ให้เกดิ มลภาวะต่อสงิ่ แวดลอ้ มและต่อสขุ อนามัยของผู้ย้อมและชุมชนจากกระแส ตื่นตวั ทางดา้ นสิ่งแวดลอ้ มและความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เปน็ มิตรต่อส่ิงแวดลอ้ มของผู้บรโิ ภคในโลกยุคปจั จุบัน จึงไดม้ กี ารสง่ เสรมิ หรอื สนบั สนุนให้มกี ารใช้สธี รรมชาติทมี่ ากข้นึ นอกจากน้ยี งั มีการตระหนกั ถงึ ผลเสียของการ ใชส้ สี ังเคราะห์ในอตุ สาหกรรมส่ิงทอ ผลกระทบตอ่ ผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภคและส่ิงแวดลอ้ มตง้ั แต่ในระหวา่ งข้ันตอนการ ผลติ สี การย้อมสี ตลอดจนการนำไปใช้สวมใส่ (ธีรพล พรมโสภา,2550) คณะผจู้ ดั ทำจงึ เลง็ เห็นถงึ ความสำคัญในการศกึ ษาวิจยั เพ่ือหาวัสดจุ ากธรรมชาติทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ ในการย้อมสผี า้ โดย สจี ากดอกดาวเรอื งแหง้ ผงกาแฟให้ตดิ คงทน โดยใช้น้ำข้เี ถา้ และน้ำปูนใส วัตถปุ ระสงค์

เพอื่ ศึกษาเปรยี บเทียบประสทิ ธิภาพการยอ้ มสผี า้ ดว้ ยสยี อ้ มผา้ จากธรรมชาตใิ หส้ ตี ิดคงทน ดว้ ย นา้ ปนู ใสและน้ำข้ีเถา้ สมมตฐิ าน น้ำปนู ใสชว่ ยให้ผ้าติดทนจากสขี องดอกดาวเรอื งแห้งและกากกาแฟมากกว่าน้ำขเ้ี ถา้ ตัวแปรทีเ่ กีย่ วข้อง 1. ตวั แปรต้น วัสดจุ ากธรรมชาติที่จะช่วยให้สยี อ้ มติดผา้ คงทน ไดแ้ ก่ นำ้ ขเ้ี ถ้า น้ำปนู ใส 2.ตวั แปรตาม การตดิ สผี า้ คงทน 3.ตวั แปรควบคุม 1. ปริมาณสารสจี ากดอกดาวเรอื งแหง้ กากกาแฟ 2. ปริมาณน้ำข้เี ถา้ 3. ปรมิ าณน้ำปนู ใส 4. ปรมิ าณนำ้ 5. ระยะเวลาทีใ่ ชย้ อ้ มผา้ 6.อณุ หภมู ิ 7.ขนาดของผา้ /ชนิดของผ้า 8.หม้อ ขอบเขตการดำเนนิ งาน

1. สจี ากธรรมชาติทใ่ี ช้ในการย้อมผา้ ไดแ้ ก่ ดอกดาวเรอื งแหง้ กากกาแฟ 2. สารท่ีใช้ในย้อมใหส้ ีติดคงทน ไดแ้ ก่ น้ำปนู ใส น้ำข้เี ถ้า นยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ ความคงทนของสที ีต่ ิดกบั ผ้า หมายถงึ ความสามารถของผา้ ย้อมสที จี่ ะยดึ ติดกบั สถานะสีดั้งเดมิ ภายใตอ้ ิทธิพลของปจั จยั ภายนอกตา่ งๆในกระบวนการใชง้ านหรือ ประโยชนข์ องโครงงาน เป็นการนำวสั ดเุ หลือใชจ้ ากธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ อีกทงั้ ยังเปน็ การรกั ษา สิ่งแวดล้อม

บทท่ี2 เอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง จากโครงงานการเปรียบเทียบความติดทนของสียอ้ มผ้า ผู้จัดทาโครงงานไดท้ าการศกึ ษา เอกสารต่างๆ โดยมีหัวขอ้ ทเ่ี กย่ี วข้องดังนี้ 1. ดาวเรอื ง 2. กาแฟ 3. น้าปูนใส 4. นา้ ข้เี ถ้า 5. การยอ้ มผ้า 1. ดาวเรอื ง ภาพที่ 1 ดาวเรอื ง ทีม่ า https://home.kapook.com/view180653.html ชอ่ื สามัญ : African marigold ช่อื ทางวิทยาศาสตร์ : Logetes erecta l. ดอกดาวเร่อื ง ออกดอกเปน็ ดอกเด่ยี วตามปลายยอด ดอกเป็นสเี หลอื งสดหรอื สีเหลอื งปนสม้ กลบี ดอกมีขนาดใหญ่เรยี งช้อนกันหลายชน้ั เปน็ วงกลม มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางดอกประมาณ 5-10 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 1.5-2 เชนติเมตร ปลายกลีบดอกเป็นฟนั เสื่อยมเี กสรเพศผู้ 5 ก้าน โดยดอกจะแบ่งออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื ดอกวงนอกมลี ักษณะคลา้ ยล้นิ หรอื เป็นรปู รางนา้ ข้อนกนั แนน่ บานแผอ่ อกปลายม้วนลงมจี านวนมาก เปน็ ดอกท่ีไม่สมบูรณ์เพศ โคนกลีบดอกเป็นหลอดเล็ก สว่ นดอกวงในเปน็ หลอดเลก็ อยตู่ รงกลางชอ่ ดอก มีจานวนมากและเปน็ ดอกแบบสมบูรณ์เพศ สว่ นกลีบเลย้ี งดอกเป็นสีเขยี วเชือ่ มติดกันหมุ้ โคนช่อดอกกา้ นชดู อกยาวดอกหรือช่อตอกดาวเร่ือง มีสาร Flavonoid glycosides, Tagetin 0.1%6 และมีสารเรือ่ งแสงTerthienyl 15-21 มลิ ลิกรัมตอ่ กโ็ ลกรมั ของดอกสด Helenien 74%, B-Carotene Flavoxanthin และสารกลมุ่ แคโรทีนอยดท์ ่ีสาคัญ ได้แก่ ลูทีน ( Lutein) และซแี ซนทีน (Zeaxanthin) ในใบดาวเรื่องมีสาร คาเอมพเ์ ฟอรติ รนิ (Kaempferitrin) ซงึ่ มฤี ทธแ์ิ ก้อาการอกั เสบนอกจากนีย้ งั มีวติ ามินพีคอ่ นขา้ งสูง

และทั้งตันพบน้ามันระเหย เชน่ Carotent, d-timonene,Flavoxanthin,Helenienm Nonanal,Ocimene, Tagetin, Tagetone d-Terehieny! เป็นตน้ พบว่าในดอกมีสารฆ่าแมลงท่ชี ื่อ ว่า Pyrethrin และนา้ มันหอมระเหย ซ่ึงแสดงฤทธ์ใิ นการฆา่ เชอ้ื แบคทีเรยี และเชื้อในราในหลอด ทดลองดว้ ยดอกใช้สกดั มาเปน็ สีย้อมผ้า โดยจะให้สีเหลอื งทองซึง่ ดอกดาวเรอื งแห้ง 1.2 กโิ ลกรัม สามารถนามายอ้ มเส้นไหมได้ 1 กโิ ลกรมั โดยใชว้ ิธีการต้มเพือ่ สกดั สีนาน 1 ชัว่ โมง แลว้ กรองเอา เฉพาะนา้ ใช้ยอ้ มดว้ ยกรรมวิธกี ารย้อมรอ้ น แลว้ นาเส้นไหมมาแช่ในสารละลาย 1% สารสม้ ก็จะได้ เส้นไหมสีเหลอื งทอง และดอกดาวเร่อื งท่ีไดจ้ ากการนง่ึ และอบจะใหน้ ้าสที เี่ ข้มข้นกวา่ ดอกสด 1 เทา่ และมากกว่าดอกตากแห้ง 5 เท่า เม่ือใช้ในอตั ราส่วนเท่ากนั ( สมเพยี ร เกษมทรพั ย์ , 2541 ) 2. กาแฟ ภาพที่ 2 กาแฟ ที่มา https://www.sanook.com/health/26777/ ช่ือสามญั : Arabian coffee ชอ่ื ทางวทิ ยาศาสตร์ : Coffea arabica L. กาแฟ หนึง่ ในเคร่ืองดื่มยอดนิยมท่ีหลายคนดม่ื ในยามเข้าหรือยามง่วงนอน เพอ่ื ปลุกสมองให้ ตน่ื ตัวคลายความเหน่ือยลา้ ท้งั ทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ทีค่ ุ้นเคยกนั นี้ เช่อื วา่ กาแฟยงั อาจมีประโยชนท์ างการแพทยต์ า้ นอน่ื ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กนิ สนั โรคนิ่วในถงุ น้าตี โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 เก๊าท์อัลไขเมอร์ หดื มะเรง็ กระเพาะอาหาร มะเรง็ ปอด และมะเร็งเตา้ นม คาเฟอีน (Caffeine) เปน็ สารแชนทีนแอลคาลอยด์ (Xanthine alkaloid) ท่ีมีช่ือทางเคมวี ่า Trimethylxanthine ซึง่ มีลักษณะเปน็ ผลกึ รปู เข็มหรอื เป็นผงสขี าว ไมม่ ีกลิ่นและมรี สขม มีสตู รทางเคมี คือ C8 H10 02 N4 มมี วลโมเลกุล 194.20 ประกอบด้วยคาร์บอน 49.89% ออกซิเจน 16.48% ไฮโดรเจน5.19% ไนโตรเจน 16.48% และ มจี ุดหลอมเหลว (Melting point) 236-238 องศาเซลเซียส ไมส่ ลายตวั ในบรรยากาศปกติ ทนต่อกรดและดา่ ง ละลายได้ดีในนา้ รอ้ น ซงึ่ จะไดส้ ารละลายท่ีเป็นกลาง โดยสารละลายของคาเฟอีนความเข้มข้น 1% จะมคี ่า PH 6.9 สาหรบั ประเภทของคาเฟอนี น้นั สามารถแบง่ ออกได้เป็น2 ประเภท ตามแหล่งท่ีมาของสารคาเฟอนี คอื คาเฟอนี ท่ไี ด้จากธรรมชาตแิ ละคาเฟอีนสงั เคราะห์ ( อวยพร อภิรักษอ์ ร่ามวง , พ.ศ 2557 )

สารช่วยใหต้ ิดสี 3. นา้ ปูนใส ภาพท่ี 3 นา้ ปูนใส ที่มา https://th.openrice.com/th/bangkok/article/ ชอื่ สามญั : นา้ ปูนใส ช่อื ทางวิทยาศาสตร์ : สารละลายของแคลเซยี มไฮดรอกไซด์ ( Ca(OH)2 ) นา้ ปูนใส ได้จากปูนขาวท่ใี ชก้ ินกบั หมาก หรือทาจากปนู จากการเผาเปลอื กหอยโดยละลายปูน ขาวในน้าสะอาด ทงิ้ ไว้ใหต้ กตะกอนจะไดน้ ้าปูนใสมาใชเ้ ป็นสารชว่ ยยอ้ มตอ่ ไป (https://tesearch.psru.ac.th ) 4. นา้ ขเี ถ้า ภาพท่ี 4 นา้ ขีเ้ ถ้า ทมี่ า https://sharethink-kit.com/keetaosh/ ชอ่ื สามัญ : น้าขี้เถา้ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Potassiumhydroxide น้าตา่ ง หรอื น้าข้เี ถ้า ได้จากข้ีเถ้าพชื เชน่ จากสว่ นตา่ งๆ ของกลว้ ยตนั ผกั ขม เปลือกของผลน่นุ กากมะพรา้ ว เปน็ ต้น เลอื กพืชชนดิ ใดชนิดหนง่ึ ทย่ี งั สดๆนามาผง่ึ แดดใหห้ มาด จากนั้นเผาใหเ้ ป็นข้ีเถ้า สีขาว นาข้เี ถ้าไปใสใ่ นอ่างทีม่ นี ้าอยู่ กวนใหท้ ั่วทิง้ ไว้ 4 - 5 ช่วั โมง ขี้เถ้าจะตกตะกอนนานา้ ทไี่ ดไ้ ป กรองใหส้ ะอาดแลว้ จงึ นาไปใช้งาน เรียกว่า \"นา้ ดา่ งหรือน้าขี้เถ้า\"

อกี วธิ หี น่งึ นาข้ีเถา้ ทไี่ ด้ไปใส่ในกระป๋องท่ีเจาะรูเล็กๆ รองก้นดว้ ยปยุ ฝา้ ยหรือใยมะพรา้ วใส่ขี้เถา้ จน เกอื บเตม็ กดใหแ้ นน่ เดมิ นา้ ใหท้ ว่ มขีเ้ ถา้ แขวนกระปอ่ งทง้ิ ไว้ รองเอาแต่นา้ ต่างไปใช้งาน ( https://research.psru.ac.th) 5.การย้อมผ้า การสกดั สธี รรมชาติจากพืชมี 2 วิธี คือ การโขลก ทบุ หรือป่ัน พอไดน้ ้าสแี ล้วนาไปผสมกับ น้ากรอง สว่ นอกี วธิ คี ือการต้มโดยใชร้ ะยะเวลาในการต้มประมาณ 30 - 120 นาที ขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณะ ชนดิ และแหลง่ ทีม่ าของส่วนต่างๆ จากพืชท่นี ามาสกัดสี หลงั จากต้มได้สเี ข้มตามต้องการจงึ ทาการ กรองเอากากออก การสกัดสีจากพชื โดยการตม้ หรือการใช้ความรอ้ นเขา้ ช่วยเป็นวธิ ที ่ที าได้อยา่ ง รวดเร็วและรวดเร็วและไดผ้ ลดี ช่วยให้สกัดนา้ สไี ดง้ า่ ย และสเี ขม้ ( รงั สรรค จรอนนั ต์ , 2559 )

บทที่ 3 วิธีการดำเนินการทดลอง โครงงานการเปรยี บเทียบความติดทนของสีย้อมผ้า จากดอกดาวเรอื งแห้ง และกากกาแฟ โดยมีวสั ดุ อุปกรณ์และมีขน้ั ตอนวิธกี ารในการดำเนินงานดังตอ่ ไปน้ี 3.1 วัสดแุ ละอุปกรณ์ 1.ผา้ ดิบขนาด 8×8 ซม. 16 ผนื 2.หมอ้ ต้ม 4 ใบ 3.กะละมงั 2 ใบ 4.ไมพ้ าย 4 เลม่ 3.2 ตวั อย่างและสารเคมี 1.ดอกดาวเรืองแหง้ 100 กรัม 2.กากกาแฟ 100 กรัม 3.น้ำปนู ใส 300 มลิ ลิลิตร 4.นำ้ ข้เี ถา้ 300 มลิ ลลิ ิตร 5.น้ำเปลา่ 300 มิลลลิ ติ ร 3.3 วิธกี ารดำเนนิ งาน 1.เตมิ นำ้ ในหม้อตม้ 300 มิลลิลิตร ตง้ั ไฟใหเ้ ดอื ด 2.นำกากกาแฟ 100 กรัม ใส่หม้อในข้อที่ 1 ต้มทิ้งไว้ 30 นาที แลว้ ปดิ ไฟ 3.นำผา้ ดิบใสล่ งไปในหม้อต้มขอ้ ท่ี 2 จำนวน 8 ผนื เปน็ เวลา 1 ช่วั โมง แล้วจงึ ใชไ้ มพ้ ายตักผ้าทีย่ ้อมสี ขึ้นมาพักใหแ้ ห้ง 4.เตรียมนำนำ้ ปนู ใส 300 มลิ ลิลติ ร และนำ้ ขีเ้ ถา้ 300 มลิ ลิลติ ร ใสก่ ะละมังอย่างละใบ 5.นำผ้าทยี่ ้อมสีจากกากกาแฟทเ่ี ตรยี มไว้ในข้อ 3 มาแชใ่ นกะละมังนำ้ ปูนใสและนำ้ ข้เี ถ้าในขอ้ ที่ 4 กะละมังละ 4 ผนื เป็นเวลา 1 ชัว่ โมงแล้วจึงนำมาตากให้แหง้ สนทิ

6.จากข้อ 5 นำผ้าท่แี ชน่ ้ำปูนใสและข้ีเถ้ามาจัดเป็น 4 คู่ แลว้ จงึ นำผ้าคแู่ รกไปซกั คร้ังท่ี 1 ด้วยน้ำเปลา่ เพยี งหนง่ึ ครัง้ คู่ที่สองทำเหมอื นคู่แรกแต่นำไปซัก 2 ครงั้ คู่ท่สี ามก็ทำเหมือนกันแต่นำไปซกั ท้งั หมด 3 ครั้ง แลว้ นำทงั้ หมดไปตากให้แห้ง และคู่ทส่ี ่ีไมต่ ้องซักเลย 7.ทำการทดลองตามลำดบั ขน้ั ตอนท่ี 1-6 ซำ้ โดยเปลย่ี นวสั ดุธรรมชาติ จากกากกาแฟ เปน็ ดอกดาวเรอื งแห้ง 8.เปรียบเทียบความคงทนในการติดสีจากการซกั แต่ละครัง้ แล้วบนั ทกึ ผล

บทท่ี 4 ผลการทดลอง จากการทดสอบประสิทธิภาพความตดิ ทนของสยี ้อมผ้าจากธรรมชาติจากวตั ถดุ ิบ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กากกาแฟ และดอกดาวเรอื งแหง้ เพ่ือเปรยี บเทียบความติดทนของสจี ากการซักผา้ ทัง้ หมด 3 คร้ัง โดยเปรียบเทียบจากผา้ ท่ี ไมไ่ ด้ผา่ นการซัก ผลการทดลองมีดังน้ี ภาพที่ 7 การเปรยี บเทียบประสิทธิภาพการติดทนของสีย้อมผ้าจากผงกาแฟ,ดอกดาวเรืองแห้ง ที่แชใ่ นนำ้ ปูนใส และนำ้ ขเี้ ถ้า

ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพการติดทนของสีย้อมผา้ จากวสั ดุธรรมชาติ ซกั ครง้ั ท่ี 1 จากวัตถุดบิ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งแห้ง สารช่วยติดสี น้ำข้ีเถา้ นำ้ ปนู ใส วัสดธุ รรมชาติ ดอกดาวเรอื งแห้ง กากกาแฟ จากตาราง การเปรียบเทยี บความติดทนของสียอ้ มผ้า ได้แก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองแหง้ ในการซกั ผา้ ครง้ั ท่ี 1 พบวา่ ผา้ ย้อมสีจากดอกดาวเรอื งแหง้ ทใ่ี ช้สารช่วยให้สีตดิ เปน็ นำ้ ขเี้ ถา้ จะมสี ีท่เี ข้มกวา่ ผ้าผนื ทใ่ี ชส้ าร ช่วยใหส้ ตี ดิ เป็นนำ้ ปูนใส และผ้าย้อมสีจากกากกาฟทีใ่ ช้สารชว่ ยให้สตี ดิ เปน็ นำ้ ขีเ้ ถา้ จะมีสีทเี่ ข้มกวา่ ผ้าผืนที่ใช้สาร ชว่ ยใหส้ ตี ดิ เป็นน้ำปูนใส

ตารางที่ 2 ประสิทธิภาพการตดิ ทนของสียอ้ มผา้ จากวสั ดธุ รรมชาติ ซกั ครงั้ ท่ี 2 จากวตั ถดุ ิบ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งแหง้ สารช่วยติดสี น้ำขี้เถ้า นำ้ ปูนใส วัสดุธรรมชาติ ดอกดาวเรอื งแห้ง กากกาแฟ จากตาราง การเปรยี บเทยี บความติดทนของสยี ้อมผา้ ได้แก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองแหง้ ในการซกั ผ้าครั้งที่ 2 พบวา่ ผ้าย้อมสีจากดอกดาวเรอื งแห้งท่ีใชส้ ารช่วยให้สตี ิดเปน็ น้ำปนู ใส จะมีสีทเ่ี ขม้ กวา่ ผ้าผนื ท่ีใชส้ าร ช่วยให้สีตดิ ท่ีเปน็ น้ำขเ้ี ถา้ และผา้ ยอ้ มสีจากกากกาแฟทใ่ี ช้สารชว่ ยใหส้ ตี ิดเป็นน้ำปนู ใส จะมสี ที เ่ี ข้มกวา่ ผ้าผืนทใี่ ช้ สารชว่ ยให้ติดสีทีเ่ ปน็ น้ำขเี้ ถ้า

ตารางท่ี 3 ประสทิ ธิภาพการตดิ ทนของสียอ้ มผา้ จากวสั ดธุ รรมชาติ ซกั ครงั้ ท่ี 3 จากวตั ถดุ ิบ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งแหง้ สารชว่ ยตดิ สี น้ำขเ้ี ถา้ น้ำปูนใส วัสดุธรรมชาติ ดอกดาวเรืองแหง้ กากกาแฟ จากตาราง การเปรยี บเทยี บความติดทนของสยี ้อมผา้ ได้แก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งแห้ง ในการซักผ้าครงั้ ที่ 3 พบว่า ผา้ ย้อมสีจากดอกดาวเรืองแห้งท่ีใช้สารชว่ ยให้สีตดิ เป็นนำ้ ขเี้ ถ้าจะมีสที เี่ ขม้ กวา่ ผ้าผนื ท่ีใชส้ ารช่วยให้สตี ดิ ที่เป็นน้ำปูนใส และกากกาแฟทใ่ี ชส้ ารช่วยให้สตี ิดเป็นน้ำข้เี ถา้ จะมสี ที ี่เข้มกว่าผา้ ผืนทใี่ ชส้ ารช่วยใหส้ ีติดทเี่ ปน็ น้ำ ปูนใส

บทที่ 5 สรุปผลและอภปิ รายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง เมื่อเปรียบเทียบประสิทธภิ าพการติดทนของสีผา้ จาก กากกาแฟ และดอกดาวเรืองแห้ง โดยสังเกตสี ของเนื้อผา้ จากการซักสามครั้ง โดยแช่นำ้ ปูนใส และนำ้ ข้เี ถ้า แล้วจงึ นำไปตากให้แห้ง พบวา่ สีของผา้ แต่ละผ้าที่ แช่ไปแลว้ มีสีที่แตกตา่ งกันในการซกั แตล่ ะครั้ง และแตล่ ะผ้าท่ีแช่ลงไปในน้ำปนู ใส และน้ำขเี้ ถ้าก็มคี วามตดิ ทน ที่แตกตา่ งกนั ในการทดลองจากการเลอื กวสั ดุจากธรรมชาตทิ ีเ่ หลือใชม้ าอยูส่ องชนิด คือ ดอกดาวเรอื ง และกาก กาแฟ โดยการทน่ี ำผ้ามาแช่ น้ำปนู ใส และน้ำขเ้ี ถ้า เม่ือแช่เสร็จแล้ว จึงนำไปตากใหแ้ ห้ง และนำผ้าไปซักครง้ั ท1่ี -3 ครง้ั รวมท้ังส้ิน 12 ผนื และนำไปตากต่อจนใหแ้ หง้ จึงนำมาเปรยี บเทยี บความตดิ ทนของสีวา่ ผา้ ผืนใดที่มี สที สี่ ดและดีท่ีสุด ของผลลพั ธ์สที กี่ ระทำตอ่ ผา้ ดิบ ผลท่อี อกมานั้นคือ ดอกดาวเรอื งท่ใี ชส้ ารช่วยให้ตดิ สีเป็นน้ำข้เี ถ้า จะมีสีที่เข้มกว่าผ้าผนื ท่ีใช้สาร ชว่ ยติดสเี ป็นน้ำปนู ใส และกากกาแฟท่ีใช้สารช่วยตดิ สีเปน็ นำ้ ข้เี ถา้ จะมสี ที ่ีเข้มกว่าผา้ ผืนทใ่ี ชส้ ารชว่ ยตดิ สเี ปน็ นำ้ ปนู ใส อภิปรายผลการนำเสนอ เมื่อเปรยี บเทียบสารในนำ้ ข้เี ถ้าและนำ้ ปนู ใสผลทำให้ สียึดติดกับผา้ ได้ดีแตกต่างกนั ขอ้ เสนอแนะของโครงงาน วัสดธุ รรมชาติบางชนิดเมอื่ ผสมกบั น้ำปนู ใสหรือน้ำขีเ้ ถา้ สามารถติดทนกับผา้ และยงั คงรักษาสผี า้ ไดด้ ีกว่าวตั ถุ 2 ชนิดท่ีนำมาทดลอง อีกท้ังยงั หางา่ ยและไม่สิ้นเปลอื งงบในการทำทดลองท่ีเกินตามความจำเป็น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook