โครงงาน การเปรยี บเทยี บความตดิ ทนของสยี ้อมผ้า โรงเรยี นหอวงั จังหวัดกรงุ เทพมหานคร คณะผจู้ ัดทำโครงงาน นายฐากรู ใจบุญ ชั้น ม.5/7 เลขท่ี 6 เลขที่ 23 นางสาวธนภรณ์ สินเวช ชน้ั ม.5/7 เลขที่ 34 เลขท่ี 35 นางสาวภาภสั จันทรห์ ริ ญั ชั้น ม.5/7 นางสาวสิรภัทร งามสุทธิ ช้นั ม.5/7 รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชา IS2 การส่ือสารและการนำเสนอ (I30202) ปีการศึกษา 2565
โครงงาน การเปรยี บเทยี บความตดิ ทนของสยี อ้ มผา้ โรงเรียนหอวงั จังหวัดกรงุ เทพมหานคร คณะผจู้ ัดทำโครงงาน นายฐากรู ใจบุญ ชั้น ม.5/7 เลขท่ี 6 เลขที่ 23 นางสาวธนภรณ์ สนิ เวช ชัน้ ม.5/7 เลขที่ 34 เลขท่ี 35 นางสาวภาภสั จันทร์หริ ัญ ชน้ั ม.5/7 นางสาวสิรภัทร งามสุทธิ ชัน้ ม.5/7 คุณครทู ป่ี รกึ ษา นางสาวทศั นยี ์ สินธุ์เกษมสุข นางสาวสมถวลิ ต้นทอง รายงานน้ีเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา IS2 การสื่อสารและการนำเสนอ (I30202) ปีการศกึ ษา 2565
บทคดั ยอ่ โครงงานน้ีมีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือเปรยี บเทยี บประสทิ ธิภาพความติดทนของสยี ้อมผ้าจากวสั ดุธรรมชาติ 2 ชนิด ได้แก่ กากกาแฟละดอกดาวเรืองสดในการเปรียบเทียบความตดิ ทนของสยี ้อมผา้ โดยใชด้ อกดาวเรืองสดและกาก กาแฟอย่างละ 100g และใชส้ ารชว่ ยให้สตี ิด ไดแ้ ก่ นำ้ ปนู ใสและนำ้ ข้เี ถ้าอย่างละ 300ml และใชผ้ า้ ทง้ั หมดจำนวน 16 ผืน ผลการทดลองพบวา่ ในการซกั ผา้ ครง้ั ท่ี 1 พบวา่ ดอกดาวเรอื งท่ใี ชส้ ารชว่ ยให้ติดสเี ป็นนำ้ ข้ีเถา้ จะมีสีที่เขม้ กว่าผ้าผืนท่ีใชส้ ารชว่ ยตดิ สีเป็นนำ้ ปูนใส และกากกาแฟท่ีใช้สารชว่ ยติดสีเปน็ น้ำขเ้ี ถา้ จะมีสที ี่เข้มกวา่ ผ้าผนื ที่ใช้สาร ช่วยตดิ สเี ปน็ นำ้ ปูนใส ในการซักผา้ ครัง้ ที่ 2 พบวา่ ดอกดาวเรืองท่ใี ชส้ ารชว่ ยติดสเี ป็นน้ำปูนใส จะมสี ที ่ีเข้มกว่าผ้า ผนื ท่ใี ชส้ ารช่วยตดิ สีทเ่ี ป็นนำ้ ข้ีเถา้ และกากกาแฟที่ใชส้ ารชว่ ยติดสเี ปน็ นำ้ ปูนใส จะมีสที เ่ี ขม้ กว่าผ้าผนื ทีใ่ ชส้ ารช่วย ตดิ สที เี่ ปน็ น้ำขเี้ ถา้ ในการซกั ผ้าคร้ังท่ี 3 พบว่า ดอกดาวเรืองท่ีใชส้ ารชว่ ยตดิ สเี ป็นนำ้ ขีเ้ ถา้ จะมีสีท่ีเขม้ กว่าผ้าผืนที่ ใชส้ ารชว่ ยติดสีทเ่ี ปน็ น้ำปนู ใส และกากกาแฟท่ีใชส้ ารชว่ ยติดสเี ปน็ น้ำขี้เถ้า จะมสี ที เี่ ข้มกว่าผา้ ผนื ท่ใี ชส้ ารช่วยตดิ สี ท่เี ปน็ นำ้ ปูนใส สรปุ ได้ว่า ดอกดาวเรอื งที่ใช้สารช่วยให้สตี ดิ เปน็ น้ำขเ้ี ถ้า จะมปี ระสิทธภิ าพในการตดิ ทนมากกว่า ดอกดาวเรืองที่ใช้สารชว่ ยใหส้ ตี ดิ เป็นนำ้ ปูนใส และกากกาแฟท่ใี ชส้ ารช่วยใหต้ ิดสีเปน็ น้ำข้ีเถา้ จะมีประสทิ ธภิ าพใน การตดิ ทนมากกว่ากากกาแฟที่ใช้สารชว่ ยใหส้ ตี ดิ เป็นนำ้ ปูนใส ดังนัน้ วัสดุจากธรรมชาติ ได้แก่ ดอกดาวเรืองและ กากกาแฟท่ีใชส้ ารชว่ ยให้สีตดิ เป็นน้ำข้เี ถา้ จะมปี ระสิทธิภาพในเรื่องความคงทนมากกวา่
กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การเปรียบเทยี บความตดิ ทนของสยี ้อมผา้ สำเรจ็ ลลุ ว่ งไดด้ โี ดยไดร้ บั ความ อนุเคราะห์ จาก คุณครทู ัศนยี ์ สินธเุ์ กษมสขุ และคุณครสู มถวิล ต้นทอง ซง่ึ ได้ใหค้ ำปรึกษาและให้การช่วยเหลอื ใน หลายๆดา้ นคณะผู้ศกึ ษาต้องขอขอบพระคณุ ทุกทา่ นไว้ ณ ทนี่ ้ีเป็นอยา่ งสูง คณะผจู้ ดั ทำ 13 ก.ค. 2565
บทท่ี 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา มนษุ ย์ไดร้ ู้จกั การใช้สีจากธรรมชาตมิ าตัง้ แต่ในอดีตโดยการทใี่ ช้สที ่ีไดจ้ ากธรรมชาตทิ ่ีได้จากส่วน ตา่ งๆ ของพชื หรือจากแรธ่ าตุต่างๆ ซง่ึ มีความสำคัญกับมนุษย์มาอย่างช้านาน และถอื ได้วา่ เป็นสว่ นหนึง่ ของ การดําเนนิ ชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย มนุษย์ใชส้ ที ีไ่ ดจ้ ากพชื ในการประกอบพิธกี รรมต่างๆ ตอ่ มามีการใช้ สีจากพืชอย่างแพรล่ ายมากข้ึน โดยมีการนำไปใชใ้ นการงานย้อมสีบนวัตถุหลากหลาย ชนิด เชน่ การยอ้ มผา้ การทากระดาษ ตกแตง่ เคร่ืองมือ เครื่องจกั สาน การแตง่ สใี นอาหาร หรือในสมยั พุทธกาล การย้อมจีวร พระภกิ ษุสงฆ์ใชม้ ูลโคหรือดนิ แดงยอ้ มจวี ร ทำให้สขี องจีวรเป็นสคี ลำ้ ต่าง ๆ ไม่เปน็ เอกภาพ มีการทกั ทว้ ง พระพุทธเจา้ จงึ ทรงให้ ภกิ ษุทั้งหลายอนุญาตน้ำย้อม 6 ชนิดสำหรับย้อมจวี ร คอื นำ้ ย้อมจากรากไม้ นำ้ ยอ้ ม จากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลือกไม้ น้ำยอ้ มจากใบไม้ น้ำยอ้ มจากดอกไม้ และนำ้ ย้อมจากผลไม้ เม่ือยอ้ มเสร็จ แลว้ จีวรจะออกมาเปน็ สีกรัก สเี หลอื งหมน่ หรือสีเหลอื งเจือแดงเข้มเหมือนย้อมดว้ ยแก่นขนนุ ในสมยั นน้ั สีจวี ร ของพระโดยทั่วไปจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ สาเหตุเพราะว่าพระทา่ นใชพ้ วกแกน่ ไม้ แกน่ ยางมาย้อม (พีรศักด์ิ วร สทุ รโวสถ,2544) การจะทำใหผ้ า้ ท่ีจะตดิ สแี ละมคี วามคงทนน้ัน ต้องมีสารสองชนดิ ที่ทำให้เกิดความคงทนของสีได้ นนั้ กค็ ือ นำ้ ปนู ใส และนำ้ ขเี้ ถ้า ในปัจจบุ นั สียอ้ มผ้าได้มกี ารนาํ สีสงั เคราะหม์ าใช้แทนสธี รรมชาตจิ ากพชื เนอื่ งจากสสี งั เคราะห์ หรือสีเคมี สามารถสงั เคราะห์ไดใ้ นปรมิ าณมาก มสี ีสนั ท่ีหลากหลาย ทําใหค้ วามนยิ มใน การใช้สี สงั เคราะห์มีมากข้นึ เนอื่ งจากสสี ังเคราะห์มีราคาท่ีย่อมเยา ย้อมไดง้ ่าย สะดวกและมีเฉดสหี ลากหลาย มากกว่าสีธรรมชาติ แต่การใชสีเคมีหรอื สีสังเคราะห์ถ้าหากว่าขาดความรูค้ วามเข้าใจท่ีถูกตอ้ งในการใช้จะ สง่ ผลตามมาอยา่ งมากมาย เช่น มีสารสหี รอื สารเคมีทต่ี กค้างในนำ้ ก่อใหเ้ กดิ การปนเปื้อนของสารสใี นแหลง่ น้ำ ธรรมชาตแิ ละผิวดินเป็นผลก่อใหเ้ กดิ มลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสขุ อนามยั ของผยู้ ้อมและชุมชนจากกระแส ตื่นตัวทางด้านสิ่งแวดล้อมและความต้องการผลิตภณั ฑท์ ่ีเป็นมิตรตอ่ ส่ิงแวดล้อมของ ผู้บริโภคในโลกยุค ปัจจบุ นั จงึ ได้มกี ารสง่ เสริมหรอื สนับสนนุ ใหม้ ีการใช้สธี รรมชาตทิ มี่ ากขึ้น นอกจากนี้ยงั มีการตระหนักถึงผลเสีย ของการใช้สีสังเคราะหใ์ นอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผลกระทบต่อผผู้ ลิต ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ตงั้ แต่ในระหวา่ งฃ ข้ันตอนการผลติ สี การย้อมสี ตลอดจนการนำไปใช้สวมใส่ (ธรี พล พรมโสภา,2550) คณะผ้จู ดั ทำเลง็ เหน็ ถงึ ความสำคัญในการศกึ ษาวจิ ัยเพ่อื หาวัตถดุ บิ จากธรรมชาติท่มี ีประสทิ ธิภาพ ในการย้อมสผี ้าโดย สจี ากดอกดาวเรือง ผงกาแฟ ใหต้ ดิ คงทน โดยใชน้ ้ำขี้เถ้าและนำ้ ปนู ใส
วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการยอ้ มสีผา้ ดว้ ยสียอ้ มผา้ จากธรรมชาติใหส้ ีตดิ คงทน ดว้ ย นา้ ปนู ใสและน้ำขีเ้ ถ้า สมมติฐาน นำ้ ปนู ใสชว่ ยใหผ้ า้ ตดิ ทนจากสขี องดอกดาวเรืองและกากกาแฟมากกว่าน้ำขี้เถา้ ตวั แปรทเี่ กี่ยวข้อง 1. ตัวแปรต้น วัสดุจากธรรมชาตทิ จ่ี ะช่วยใหส้ ยี อ้ มติดผ้าคงทน ได้แก่ นำ้ ข้เี ถ้า นำ้ ปนู ใส 2.ตัวแปรตาม การติดสผี ้าคงทน 3.ตัวแปรควบคมุ 1. ปริมาณสารสจี ากดอกดาวดรือง กากกาแฟ 2. ปริมาณนำ้ ขี้เถา้ 3. ปริมาณน้ำปนู ใส 4. ปริมาณน้ำ 5. ระยะเวลาท่ใี ชย้ อ้ มผ้า 6.อณุ หภมู ิ 7.ขนาดของผ้า/ชนิดของผ้า 8.หมอ้
ขอบเขตการดำเนินงาน 1. สจี ากธรรมชาติท่ีใช้ในการย้อมผ้า ได้แก่ ดอกดาวเรือง กากกาแฟ 2. สารท่ใี ชใ้ นย้อมให้สีติดคงทน ไดแ้ ก่ นำ้ ปูนใส นำ้ ข้เี ถ้า นยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ ความคงทนของสที ี่ติดกบั ผ้า หมายถึง ความสามารถของผา้ ย้อมสที ีจ่ ะยึดตดิ กบั สถานะสีดัง้ เดิม ภายใต้อิทธพิ ลของปจั จัยภายนอกตา่ งๆในกระบวนการใช้งานหรือ ประโยชนข์ องโครงงาน เปน็ การนำวสั ดุเหลอื ใช้ จากธรรมชาติในท้องถิน่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อีกทงั้ ยังเปน็ การรกั ษา ส่งิ แวดล้อม
บทท่ี2 เอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง จากโครงงานการเปรียบเทียบความติดทนของสียอ้ มผ้า ผู้จัดทาโครงงานไดท้ าการศกึ ษา เอกสารต่างๆ โดยมีหัวขอ้ ทเ่ี กย่ี วข้องดังนี้ 1. ดาวเรอื ง 2. กาแฟ 3. น้าปูนใส 4. นา้ ข้เี ถ้า 5. การยอ้ มผ้า 1. ดาวเรอื ง ภาพที่ 1 ดาวเรอื ง ทีม่ า https://home.kapook.com/view180653.html ชอ่ื สามัญ : African marigold ช่อื ทางวิทยาศาสตร์ : Logetes erecta l. ดอกดาวเร่อื ง ออกดอกเปน็ ดอกเด่ยี วตามปลายยอด ดอกเป็นสเี หลอื งสดหรอื สีเหลอื งปนสม้ กลบี ดอกมีขนาดใหญ่เรยี งช้อนกันหลายชน้ั เปน็ วงกลม มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางดอกประมาณ 5-10 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 1.5-2 เชนติเมตร ปลายกลีบดอกเป็นฟนั เสื่อยมเี กสรเพศผู้ 5 ก้าน โดยดอกจะแบ่งออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื ดอกวงนอกมลี ักษณะคลา้ ยล้นิ หรอื เป็นรปู รางนา้ ข้อนกนั แนน่ บานแผอ่ อกปลายม้วนลงมจี านวนมาก เปน็ ดอกท่ีไม่สมบูรณ์เพศ โคนกลีบดอกเป็นหลอดเล็ก สว่ นดอกวงในเปน็ หลอดเลก็ อยตู่ รงกลางชอ่ ดอก มีจานวนมากและเปน็ ดอกแบบสมบูรณ์เพศ สว่ นกลีบเลย้ี งดอกเป็นสีเขยี วเชือ่ มติดกันหมุ้ โคนช่อดอกกา้ นชดู อกยาวดอกหรือช่อตอกดาวเร่ือง มีสาร Flavonoid glycosides, Tagetin 0.1%6 และมีสารเรือ่ งแสงTerthienyl 15-21 มลิ ลิกรัมตอ่ กโ็ ลกรมั ของดอกสด Helenien 74%, B-Carotene Flavoxanthin และสารกลมุ่ แคโรทีนอยดท์ ่ีสาคัญ ได้แก่ ลูทีน ( Lutein) และซแี ซนทีน (Zeaxanthin) ในใบดาวเรื่องมีสาร คาเอมพเ์ ฟอรติ รนิ (Kaempferitrin) ซงึ่ มฤี ทธแ์ิ ก้อาการอกั เสบนอกจากนีย้ งั มีวติ ามินพีคอ่ นขา้ งสูง
และทั้งตันพบน้ามันระเหย เชน่ Carotent, d-timonene,Flavoxanthin,Helenienm Nonanal,Ocimene, Tagetin, Tagetone d-Terehieny! เป็นตน้ พบว่าในดอกมีสารฆ่าแมลงท่ชี ื่อ ว่า Pyrethrin และนา้ มันหอมระเหย ซ่ึงแสดงฤทธ์ใิ นการฆา่ เชอ้ื แบคทีเรยี และเชื้อในราในหลอด ทดลองดว้ ยดอกใช้สกดั มาเปน็ สีย้อมผ้า โดยจะให้สีเหลอื งทองซึง่ ดอกดาวเรอื งแห้ง 1.2 กโิ ลกรัม สามารถนามายอ้ มเส้นไหมได้ 1 กโิ ลกรมั โดยใชว้ ิธีการต้มเพือ่ สกดั สีนาน 1 ชัว่ โมง แลว้ กรองเอา เฉพาะนา้ ใช้ยอ้ มดว้ ยกรรมวิธกี ารย้อมรอ้ น แลว้ นาเส้นไหมมาแช่ในสารละลาย 1% สารสม้ ก็จะได้ เส้นไหมสีเหลอื งทอง และดอกดาวเร่อื งท่ีไดจ้ ากการนง่ึ และอบจะใหน้ ้าสที เี่ ข้มข้นกวา่ ดอกสด 1 เทา่ และมากกว่าดอกตากแห้ง 5 เท่า เม่ือใช้ในอตั ราส่วนเท่ากนั ( สมเพยี ร เกษมทรพั ย์ , 2541 ) 2. กาแฟ ภาพที่ 2 กาแฟ ที่มา https://www.sanook.com/health/26777/ ช่ือสามญั : Arabian coffee ชอ่ื ทางวทิ ยาศาสตร์ : Coffea arabica L. กาแฟ หนึง่ ในเคร่ืองดื่มยอดนิยมท่ีหลายคนดม่ื ในยามเข้าหรือยามง่วงนอน เพอ่ื ปลุกสมองให้ ตน่ื ตัวคลายความเหน่ือยลา้ ท้งั ทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ทีค่ ุ้นเคยกนั นี้ เช่อื วา่ กาแฟยงั อาจมีประโยชนท์ างการแพทยต์ า้ นอน่ื ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กนิ สนั โรคนิ่วในถงุ น้าตี โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 เก๊าท์อัลไขเมอร์ หดื มะเรง็ กระเพาะอาหาร มะเรง็ ปอด และมะเร็งเตา้ นม คาเฟอีน (Caffeine) เปน็ สารแชนทีนแอลคาลอยด์ (Xanthine alkaloid) ท่ีมีช่ือทางเคมวี ่า Trimethylxanthine ซึง่ มีลักษณะเปน็ ผลกึ รปู เข็มหรอื เป็นผงสขี าว ไมม่ ีกลิ่นและมรี สขม มีสตู รทางเคมี คือ C8 H10 02 N4 มมี วลโมเลกุล 194.20 ประกอบด้วยคาร์บอน 49.89% ออกซิเจน 16.48% ไฮโดรเจน5.19% ไนโตรเจน 16.48% และ มจี ุดหลอมเหลว (Melting point) 236-238 องศาเซลเซียส ไมส่ ลายตวั ในบรรยากาศปกติ ทนต่อกรดและดา่ ง ละลายได้ดีในนา้ รอ้ น ซงึ่ จะไดส้ ารละลายท่ีเป็นกลาง โดยสารละลายของคาเฟอีนความเข้มข้น 1% จะมคี ่า PH 6.9 สาหรบั ประเภทของคาเฟอนี น้นั สามารถแบง่ ออกได้เป็น2 ประเภท ตามแหล่งท่ีมาของสารคาเฟอนี คอื คาเฟอนี ท่ไี ด้จากธรรมชาตแิ ละคาเฟอีนสงั เคราะห์ ( อวยพร อภิรักษอ์ ร่ามวง , พ.ศ 2557 )
สารช่วยใหต้ ิดสี 3. นา้ ปูนใส ภาพท่ี 3 นา้ ปูนใส ที่มา https://th.openrice.com/th/bangkok/article/ ชอื่ สามญั : นา้ ปูนใส ช่อื ทางวิทยาศาสตร์ : สารละลายของแคลเซยี มไฮดรอกไซด์ ( Ca(OH)2 ) นา้ ปูนใส ได้จากปูนขาวท่ใี ชก้ ินกบั หมาก หรือทาจากปนู จากการเผาเปลอื กหอยโดยละลายปูน ขาวในน้าสะอาด ทงิ้ ไว้ใหต้ กตะกอนจะไดน้ ้าปูนใสมาใชเ้ ป็นสารชว่ ยยอ้ มตอ่ ไป (https://tesearch.psru.ac.th ) 4. นา้ ขเี ถ้า ภาพท่ี 4 นา้ ขีเ้ ถ้า ทมี่ า https://sharethink-kit.com/keetaosh/ ชอ่ื สามัญ : น้าขี้เถา้ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Potassiumhydroxide น้าตา่ ง หรอื น้าข้เี ถ้า ได้จากข้ีเถ้าพชื เชน่ จากสว่ นตา่ งๆ ของกลว้ ยตนั ผกั ขม เปลือกของผลน่นุ กากมะพรา้ ว เปน็ ต้น เลอื กพืชชนดิ ใดชนิดหนง่ึ ทย่ี งั สดๆนามาผง่ึ แดดใหห้ มาด จากนั้นเผาใหเ้ ป็นข้ีเถ้า สีขาว นาข้เี ถ้าไปใสใ่ นอ่างทีม่ นี ้าอยู่ กวนใหท้ ั่วทิง้ ไว้ 4 - 5 ช่วั โมง ขี้เถ้าจะตกตะกอนนานา้ ทไี่ ดไ้ ป กรองใหส้ ะอาดแลว้ จงึ นาไปใช้งาน เรียกว่า \"นา้ ดา่ งหรือน้าขี้เถ้า\"
อกี วธิ หี น่งึ นาข้ีเถา้ ทไี่ ด้ไปใส่ในกระป๋องท่ีเจาะรูเล็กๆ รองก้นดว้ ยปยุ ฝา้ ยหรือใยมะพรา้ วใส่ขี้เถา้ จน เกอื บเตม็ กดใหแ้ นน่ เดมิ นา้ ใหท้ ว่ มขีเ้ ถา้ แขวนกระปอ่ งทง้ิ ไว้ รองเอาแต่นา้ ต่างไปใช้งาน ( https://research.psru.ac.th) 5.การย้อมผ้า การสกดั สธี รรมชาติจากพืชมี 2 วิธี คือ การโขลก ทบุ หรือป่ัน พอไดน้ ้าสแี ล้วนาไปผสมกับ น้ากรอง สว่ นอกี วธิ คี ือการต้มโดยใชร้ ะยะเวลาในการต้มประมาณ 30 - 120 นาที ขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณะ ชนดิ และแหลง่ ทีม่ าของส่วนต่างๆ จากพืชท่นี ามาสกัดสี หลงั จากต้มได้สเี ข้มตามต้องการจงึ ทาการ กรองเอากากออก การสกัดสีจากพชื โดยการตม้ หรือการใช้ความรอ้ นเขา้ ช่วยเป็นวธิ ที ่ที าได้อยา่ ง รวดเร็วและรวดเร็วและไดผ้ ลดี ช่วยให้สกัดนา้ สไี ดง้ า่ ย และสเี ขม้ ( รงั สรรค จรอนนั ต์ , 2559 )
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการทดลอง โครงงานการเปรยี บเทียบความติดทนของสีย้อมผ้า จากดอกดาวเรอื งแห้ง และกากกาแฟ โดยมีวสั ดุ อุปกรณ์และมีขน้ั ตอนวิธกี ารในการดำเนินงานดังตอ่ ไปน้ี 3.1 วัสดแุ ละอุปกรณ์ 1.ผา้ ดิบขนาด 8×8 ซม. 16 ผนื 2.หมอ้ ต้ม 4 ใบ 3.กะละมงั 2 ใบ 4.ไมพ้ าย 4 เลม่ 3.2 ตวั อย่างและสารเคมี 1.ดอกดาวเรืองแหง้ 100 กรัม 2.กากกาแฟ 100 กรัม 3.น้ำปนู ใส 300 มลิ ลิลิตร 4.นำ้ ข้เี ถา้ 300 มลิ ลลิ ิตร 5.น้ำเปลา่ 300 มิลลลิ ติ ร 3.3 วิธกี ารดำเนนิ งาน 1.เตมิ นำ้ ในหม้อตม้ 300 มิลลิลิตร ตง้ั ไฟใหเ้ ดอื ด 2.นำกากกาแฟ 100 กรัม ใส่หม้อในข้อที่ 1 ต้มทิ้งไว้ 30 นาที แลว้ ปดิ ไฟ 3.นำผา้ ดิบใสล่ งไปในหม้อต้มขอ้ ท่ี 2 จำนวน 8 ผนื เปน็ เวลา 1 ช่วั โมง แล้วจงึ ใชไ้ มพ้ ายตักผ้าทีย่ ้อมสี ขึ้นมาพักใหแ้ ห้ง 4.เตรียมนำนำ้ ปนู ใส 300 มลิ ลิลติ ร และนำ้ ขีเ้ ถา้ 300 มลิ ลิลติ ร ใสก่ ะละมังอย่างละใบ 5.นำผ้าทยี่ ้อมสีจากกากกาแฟทเ่ี ตรยี มไว้ในข้อ 3 มาแชใ่ นกะละมังนำ้ ปูนใสและนำ้ ข้เี ถ้าในขอ้ ที่ 4 กะละมังละ 4 ผนื เป็นเวลา 1 ชัว่ โมงแล้วจึงนำมาตากให้แหง้ สนทิ
6.จากข้อ 5 นำผ้าท่แี ชน่ ้ำปูนใสและข้ีเถ้ามาจัดเป็น 4 คู่ แลว้ จงึ นำผ้าคแู่ รกไปซกั คร้ังท่ี 1 ด้วยน้ำเปลา่ เพยี งหนง่ึ ครัง้ คู่ที่สองทำเหมอื นคู่แรกแต่นำไปซัก 2 ครงั้ คู่ท่สี ามก็ทำเหมือนกันแต่นำไปซกั ท้งั หมด 3 ครั้ง แลว้ นำทงั้ หมดไปตากให้แห้ง และคู่ทส่ี ่ีไมต่ ้องซักเลย 7.ทำการทดลองตามลำดบั ขน้ั ตอนท่ี 1-6 ซำ้ โดยเปลย่ี นวสั ดุธรรมชาติ จากกากกาแฟ เปน็ ดอกดาวเรอื งแห้ง 8.เปรียบเทียบความคงทนในการติดสีจากการซกั แต่ละครัง้ แล้วบนั ทกึ ผล
บทท่ี 4 ผลการทดลอง จากการทดสอบประสิทธภิ าพความติดทนของสีย้อมผ้าจากธรรมชาติจากวตั ถดุ ิบ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ กากกาแฟ และดอกดาวเรืองสด เพ่ือเปรียบเทยี บความตดิ ทนของสีจากการซักผา้ ท้ังหมด 3 คร้งั โดยเปรยี บเทียบจากผา้ ที่ ไมไ่ ดผ้ า่ นการซัก ผลการทดลองมดี ังนี้ ภาพที่ 7 การเปรียบเทยี บประสทิ ธิภาพการติดทนของสยี ้อมผ้าจากผงกาแฟ,ดอกดาวเรืองสด ท่แี ช่ในน้ำปนู ใส และน้ำขเ้ี ถ้า
ตารางท่ี 1 ประสทิ ธิภาพการตดิ ทนของสีย้อมผ้าจากวสั ดุธรรมชาติ ซกั ครั้งที่ 1 จากวตั ถุดิบ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งสด สารช่วยติดสี นำ้ ขเ้ี ถ้า น้ำปนู ใส วัสดธุ รรมชาติ ดอกดาวเรอื งสด กากกาแฟ จากตาราง การเปรยี บเทียบความติดทนของสยี ้อมผา้ ได้แก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองสด ในการซักผา้ ครัง้ ที่ 1 พบว่า ผ้าย้อมสีจากดอกดาวเรืองสดทใ่ี ชส้ ารชว่ ยให้ตดิ สเี ปน็ น้ำขีเ้ ถ้า จะมสี ีท่เี ขม้ กวา่ ผ้าผนื ท่ีใชส้ ารช่วย ตดิ สีเป็นนำ้ ปูนใส และผา้ ย้อมสีจากกากกาฟทใี่ ช้สารชว่ ยติดสีเป็นน้ำขเ้ี ถ้า จะมีสีท่ีเข้มกวา่ ผา้ ผืนทใี่ ชส้ ารช่วยตดิ สี เป็นน้ำปนู ใส
ตารางที่ 2 ประสทิ ธิภาพการตดิ ทนของสยี อ้ มผา้ จากวสั ดธุ รรมชาติ ซกั ครงั้ ท่ี 2 จากวตั ถดุ บิ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรอื งสด สารช่วยติดสี น้ำขเ้ี ถา้ น้ำปูนใส วัสดธุ รรมชาติ ดอกดาวเรืองสด กากกาแฟ จากตาราง การเปรยี บเทยี บความตดิ ทนของสีย้อมผา้ ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองสด ในการซกั ผ้า ครงั้ ท่ี 2 พบวา่ ผ้าย้อมสีจากดอกดาวเรืองสดทีใ่ ช้สารชว่ ยตดิ สเี ป็นนำ้ ปนู ใส จะมีสที ่เี ข้มกวา่ ผา้ ผืนทีใ่ ชส้ ารช่วยตดิ สที เ่ี ป็นน้ำขี้เถา้ และผา้ ย้อมสีจากกากกาแฟที่ใชส้ ารชว่ ยตดิ สเี ปน็ นำ้ ปูนใส จะมสี ีทเี่ ขม้ กว่าผา้ ผืนทีใ่ ชส้ ารช่วยติดสี ทเ่ี ปน็ นำ้ ข้ีเถ้า
ตารางท่ี 3 ประสทิ ธิภาพการติดทนของสยี อ้ มผา้ จากวสั ดธุ รรมชาติ ซกั ครงั้ ท่ี 3 จากวตั ถดุ ิบ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองสด สารช่วยติดสี น้ำข้ีเถา้ น้ำปนู ใส วสั ดุธรรมชาติ ดอกดาวเรืองสด กากกาแฟ จากตาราง การเปรียบเทยี บความตดิ ทนของสีย้อมผ้า ไดแ้ ก่ กากกาแฟและดอกดาวเรืองสด ในการซกั ผา้ ครั้งที่ 3 พบวา่ ผ้าย้อมสีจากดอกดาวเรืองสดทใ่ี ช้สารชว่ ยติดสีเป็นน้ำขเี้ ถ้าจะมสี ีที่เขม้ กว่าผ้าผนื ที่ใช้สารชว่ ยตดิ สที ่เี ปน็ นำ้ ปนู ใส และกากกาแฟท่ใี ชส้ ารชว่ ยติดสีเป็นนำ้ ข้เี ถ้า จะมสี ีทีเ่ ขม้ กว่าผ้าผนื ทีใ่ ชส้ ารชว่ ยติดสที ่ีเปน็ น้ำปูนใส
บทที่ 5 สรุปผลและอภปิ รายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง เมื่อเปรียบเทียบประสิทธภิ าพการติดทนของสีผา้ จาก กากกาแฟ และดอกดาวเรืองแห้ง โดยสังเกตสี ของเนื้อผา้ จากการซักสามครั้ง โดยแช่นำ้ ปูนใส และนำ้ ข้เี ถ้า แล้วจงึ นำไปตากให้แห้ง พบวา่ สีของผา้ แต่ละผ้าที่ แช่ไปแลว้ มีสีที่แตกตา่ งกันในการซกั แตล่ ะครั้ง และแตล่ ะผ้าท่ีแช่ลงไปในน้ำปนู ใส และน้ำขเี้ ถ้าก็มคี วามตดิ ทน ที่แตกตา่ งกนั ในการทดลองจากการเลอื กวสั ดุจากธรรมชาตทิ ีเ่ หลือใชม้ าอยูส่ องชนิด คือ ดอกดาวเรอื ง และกาก กาแฟ โดยการทน่ี ำผ้ามาแช่ น้ำปนู ใส และน้ำขเ้ี ถ้า เม่ือแช่เสร็จแล้ว จึงนำไปตากใหแ้ ห้ง และนำผ้าไปซักครง้ั ท1่ี -3 ครง้ั รวมท้ังส้ิน 12 ผนื และนำไปตากต่อจนใหแ้ หง้ จึงนำมาเปรยี บเทยี บความตดิ ทนของสีวา่ ผา้ ผืนใดที่มี สที สี่ ดและดีท่ีสุด ของผลลพั ธ์สที กี่ ระทำตอ่ ผา้ ดิบ ผลท่อี อกมานั้นคือ ดอกดาวเรอื งท่ใี ชส้ ารช่วยให้ตดิ สีเป็นน้ำข้เี ถ้า จะมีสีที่เข้มกว่าผ้าผนื ท่ีใช้สาร ชว่ ยติดสเี ป็นน้ำปนู ใส และกากกาแฟท่ีใช้สารช่วยตดิ สีเปน็ นำ้ ข้เี ถา้ จะมสี ที ่ีเข้มกว่าผา้ ผืนทใ่ี ชส้ ารชว่ ยตดิ สเี ปน็ นำ้ ปนู ใส อภิปรายผลการนำเสนอ เมื่อเปรยี บเทียบสารในนำ้ ข้เี ถ้าและนำ้ ปนู ใสผลทำให้ สียึดติดกับผา้ ได้ดีแตกต่างกนั ขอ้ เสนอแนะของโครงงาน วัสดธุ รรมชาติบางชนิดเมอื่ ผสมกบั น้ำปนู ใสหรือน้ำขีเ้ ถา้ สามารถติดทนกับผา้ และยงั คงรักษาสผี า้ ไดด้ ีกว่าวตั ถุ 2 ชนิดท่ีนำมาทดลอง อีกท้ังยงั หางา่ ยและไม่สิ้นเปลอื งงบในการทำทดลองท่ีเกินตามความจำเป็น
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: