Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์2562

ตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์2562

Published by suwadee Kanchanapa, 2020-05-14 17:42:38

Description: ตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์2562

Search

Read the Text Version

๕๑ ช้นั ปี ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง โปสเตอร์ โปรแกรมนาเสนอ • การใชซ้ อฟตแ์ วร์เพอ่ื แก้ปญั หาในชวี ิตประจาวนั เช่น การสารวจเมนูอาหารกลางวนั โดยใช้ ซอฟตแ์ วรส์ ร้างแบบสอบถามและเกบ็ ขอ้ มูล ใช้ ซอฟตแ์ วร์ตารางทางานเพ่ือประมวลผลข้อมลู รวบรวมขอ้ มูลเก่ียวกับคณุ คา่ ทางโภชนาการและ สรา้ งรายการอาหารสาหรับ ๕ วัน ใชซ้ อฟตแ์ วร์ นาเสนอผลการสารวจรายการอาหารที่เปน็ ทางเลือกและขอ้ มลู ด้านโภชนาการ ๕. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย • การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสทิ ธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิ เขา้ ใจสทิ ธแิ ละหน้าทขี่ องตน เคารพในสทิ ธิของ ของผู้อืน่ แจง้ ผ้เู กี่ยวข้องเม่ือพบข้อมลู หรอื ผอู้ ืน่ เชน่ ไมส่ ร้างข้อความเท็จและสง่ ให้ผอู้ น่ื ไม่ บคุ คลท่ีไม่เหมาะสม สรา้ ง ความเดอื ดร้อนต่อผูอ้ ื่นโดยการสง่ สแปม ข้อความลูกโซ่ สง่ ต่อโพสต์ท่ีมีขอ้ มูลส่วนตวั ของ ผู้อ่นื ส่งคาเชญิ เลน่ เกม ไมเ่ ข้าถงึ ข้อมูลส่วนตวั หรือการบ้านของบคุ คลอื่นโดยไม่ได้รบั อนญุ าต ไม่ ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์/ชอ่ื บัญชขี องผอู้ นื่ • การสือ่ สารอยา่ งมีมารยาทและรู้กาลเทศะ • การปกปอ้ งข้อมูลสว่ นตวั เชน่ การออกจาก ระบบเมื่อเลกิ ใช้งาน ไม่บอกรหัสผ่าน ไม่บอกเลข ประจาตัวประชาชน ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๕๒ โครงสร้างหลกั สูตรช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 รหสั กล่มุ สาระการเรยี นรู้/กจิ กรรม เวลาเรยี น (ชม./ป)ี ท ๑๔๑๐๑ รายวชิ าพื้นฐาน (๘๔๐) ค ๑๔๑๐๑ ภาษาไทย ๑๖๐ ว ๑๔๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑๖๐ ส ๑๔๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 120 ส ๑๔๑๐๒ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พ ๑๔๑๐๑ ประวตั ศิ าสตร์ 80 ศ ๑๔๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศึกษา ๔๐ ง ๑๔๑๐๑ ศลิ ปะ 8๐ อ ๑๔๑๐๑ การงานอาชพี 4๐ ภาษาองั กฤษ 4๐ อ 14201 120 รายวิชาเพม่ิ เติม (40) ภาษาองั กฤษ 40 (๑๒๐) กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น 4๐ แนะแนว กิจกรรมนักเรียน 4๐ 3๐ • ลูกเสอื เนตรนารี ๑๐ • ชมุ นมุ 1,000 กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณะประโยชน์ รวมเวลาเรียนทง้ั หมด ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

๕๓ คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน รหัสวิชา ว ๑4๑๐๑ ช่ือรายวชิ าวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 เวลา 12๐ ชั่วโมง ศกึ ษาการเรียนรู้แบบนกั วิทยาศาสตร์ การจาแนกส่ิงมีชีวิตเป็นกล่มุ พืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใช่พืชและ สัตว์ จาแนกพชื ออกเปน็ พืชดอกและพชื ไม่มีดอก จาแนกสตั วอ์ อกเปน็ สัตว์มีกระดกู สนั หลังและสัตวไ์ ม่มกี ระดูกสัน หลัง ลักษณะเฉพาะของสัตว์มีกระดูกสันหลังกลุ่มปลา และกลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หน้าท่ีของราก ลาต้น ใบและดอกของพืชดอก สมบัติทางกายภาพ ด้าน ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนาความรอ้ น และการนาไฟฟ้าของวัสดุ การนาสมบัติทางกายภาพของวสั ดไุ ปใชใ้ น ชีวิตประจาวนั สมบัติของสสารท้งั 3 สถานะ ผลของแรงโน้มถ่วงท่ีมตี ่อวัตถุ การวดั นา้ หนักของวตั ถุ มวลของวตั ถุ ท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ และตัวกลางของแสง การขึ้นและตก และรูปร่างดวงจันทร์ และ องค์ประกอบของระบบสุรยิ ะ การใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย การตรวจหาข้อผิดพลาดในโปรแกรม การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและการใช้คาค้น การประเมินความ น่าเช่ือถอื ของขอ้ มูล การรวบรวม นาเสนอข้อมลู และสารสนเทศ ใช้การสืบเสาะหาความรู้ ต้ังคาถาม คาดคะเนคาตอบหรือสร้างสมมติฐาน วางแผนและสารวจตรวจสอบ โดยใช้เคร่ืองมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเหมาะสม ประมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล รวบรวมข้อมูล ประมวลผลอย่างงา่ ย วิเคราะห์ขอ้ มลู วิเคราะหผ์ ลและสร้างทางเลอื ก นาเสนอข้อมูล ลงความเห็นและสรุปผลการ สารวจตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และมีทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ ๒๑ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทางานร่วมกับ ผู้อ่ืน ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา และอธิบายการทางานหรือคาดการผลลัพธ์จากปัญหาอย่างง่าย ออกแบบและเขียนโปรแกรม ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดจากโปรแกรมของตนเองและผอู้ ื่น ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต สามารถสื่อสารอย่างมีมารยาทและรู้กาลเทศะ รู้จักการปกป้องข้อมูลส่วนตัว มีจิต วิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และคา่ นิยมท่เี หมาะสม รหสั ตัวชวี้ ดั ว 1.2 ป.4/1 ว 1.3 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4 ว 2.1 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4 ว 2.2 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3 ว 2.3 ป.4/1 ว 3.1 ป.4/1 , ป.4/2, ป.4/3 ว 4.2 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4, ป.4/5 รวม 21 ตวั ช้ีวัด ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๕๔ โครงสร้างรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร์ 4 ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 รหัสวิชา ว14101 เวลา 120 ชว่ั โมง / ปี ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ดั จานวน น้าหนกั (ชั่วโมง) คะแนน สงิ่ มชี วี ิต แรงและพลงั งาน ว.1.2 ป.4/1 ว.1.3 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป4/4 25 20 วสั ดแุ ละสสาร โลกและอวกาศ ว.2.2 ป.4/1, ป.4/2, ป4/3 ว.2.3 ป.4/1 15 15 วิทยาการคานวณ ว.2.1 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป4/4 25 20 ว 3.1 ป4/1, ป4/2, ป4/3 15 15 ว 4.2 ป4/1, ป4/2, ป4/3, ป4/4, ป4/5 40 30 รวม 21 120 100 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

๕๕ ช้นั ประถมศกึ ษำปที ี่ ๕ ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๕๖ ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชวี ิตกบั ส่ิงมีชีวติ และ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมแนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อม รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ปี ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.5 ๑. บรรยายโครงสรา้ งและลักษณะของ • สงิ่ มชี ีวติ ทงั้ พชื และสตั ว์มโี ครงสร้างและลักษณะ ส่ิงมชี วี ติ ที่เหมาะสมในแตล่ ะแหลง่ ที่อยู่ ซึง่ เปน็ ผลมาจาก ทเ่ี หมาะสมกบั การดารงชวี ิต ซง่ึ เปน็ ผลมา การปรบั ตัวของส่งิ มีชวี ติ เพ่ือใหด้ ารงชีวิตและ จากการปรบั ตวั ของสงิ่ มีชวี ติ ในแตล่ ะแหล่ง อยู่รอดไดใ้ นแต่ละแหล่งท่ีอยู่ เช่น ผกั ตบชวามี ทอ่ี ยู่ ชอ่ งอากาศในกา้ นใบ ช่วยให้ลอยน้าได้ ต้น โกงกางท่ีข้ึนอยู่ในปา่ ชายเลนมรี ากคา้ จุนทาใหล้ า ตน้ ไมล่ ม้ ปลามีครีบช่วยในการเคลอื่ นที่ในน้า ๒. อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่างสงิ่ มีชีวติ • ในแหลง่ ที่อย่หู น่ึง ๆ สิ่งมชี วี ิตจะมคี วามสมั พันธ์ กบั ส่ิงมชี วี ิต และความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ซ่ึงกันและกันและสัมพนั ธ์กับส่ิงไม่มชี วี ติ เพื่อ ส่งิ มชี ีวิตกบั ส่ิงไม่มีชวี ติ เพอื่ ประโยชน์ตอ่ ประโยชน์ต่อการดารงชีวติ เชน่ ความสัมพันธ์กนั การดารงชวี ติ ด้านการกนิ กันเปน็ อาหาร เป็นแหล่งทอ่ี ยู่อาศัย ๓. เขียนโซอ่ าหารและระบบุ ทบาทหนา้ ที่ หลบภัยและเลย้ี งดลู กู อ่อน ใช้อากาศในการ ของสง่ิ มีชีวติ ทเ่ี ป็นผู้ผลิตและผ้บู ริโภคในโซ่ หายใจ อาหาร • ส่งิ มีชีวติ มีการกินกนั เป็นอาหาร โดยกินตอ่ กัน ๔. ตระหนักในคุณคา่ ของส่ิงแวดลอ้ มทมี่ ีต่อ เปน็ ทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหาร ทาให้ การดารงชวี ิตของส่ิงมีชีวิต โดยมสี ว่ นร่วม สามารถระบบุ ทบาทหน้าท่ขี องส่งิ มีชวี ิตเป็นผผู้ ลิต ในการดแู ลรักษาสิ่งแวดลอ้ ม และผ้บู ริโภค สำระที่ ๑ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว ๑.๒ เขำ้ ใจสมบัติของสิ่งมชี ีวติ หน่วยพื้นฐำนของสงิ่ มชี ีวติ กำรลำเลียงสำรเขำ้ และออกจำก เซลล์ ควำมสมั พันธ์ของโครงสร้ำงและหนำ้ ที่ของระบบต่ำง ๆ ของสตั ว์ และมนษุ ย์ที่ทำงำนสมั พนั ธ์กนั ควำมสมั พันธ์ของโครงสรำ้ งและหนำ้ ท่ขี องอวยั วะต่ำง ๆ ของพชื ที่ทำงำนสมั พนั ธก์ ัน รวมทั้งนำควำมรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้นปี ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๕๗ สำระที่ ๑ วิทยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว ๑.๓ เข้ำใจกระบวนกำรและควำมสำคัญของกำรถำ่ ยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมสำร พันธกุ รรม กำรเปลี่ยนแปลงทำงพนั ธกุ รรมทมี่ ผี ลตอ่ สง่ิ มชี ีวิต ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพและวิวัฒนำกำรของส่ิงมีชีวิต รวมทง้ั นำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ปี ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.5 ๑. อธบิ ายลกั ษณะทางพันธกุ รรมทีม่ กี าร • ส่งิ มชี ีวิตท้ังพืช สตั ว์ และมนุษย์ เม่อื โตเตม็ ท่ีจะ ถา่ ยทอดจากพอ่ แม่ส่ลู กู ของพืช สัตว์ และ มกี ารสบื พนั ธุเ์ พื่อเพิม่ จานวนและดารงพันธุ์ โดย มนุษย์ ลกู ที่เกดิ มาจะไดร้ ับการถ่ายทอดลกั ษณะทาง ๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็น โดยการ พนั ธุกรรมจากพ่อแม่ทาให้มีลักษณะทาง ถามคาถามเกี่ยวกบั ลกั ษณะท่ีคลา้ ยคลึงกัน พนั ธุกรรมท่ีเฉพาะแตกต่างจากส่ิงมีชวี ิตชนิดอ่นื ของตนเองกับพ่อแม่ • พชื มีการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เช่น ลกั ษณะของใบ สดี อก • สัตว์มกี ารถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม เชน่ สีขน ลักษณะของขน ลกั ษณะของหู • มนุษยม์ กี ารถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม เช่น เชงิ ผมทห่ี นา้ ผาก ลกั ยมิ้ ลักษณะหนงั ตา การหอ่ ล้ิน ลกั ษณะของต่งิ หู สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๑ เข้ำใจสมบตั ขิ องสสำร องคป์ ระกอบของสสำร ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงสมบตั ิของสสำรกบั โครงสร้ำงและแรงยึดเหน่ียวระหวำ่ งอนภุ ำค หลกั และธรรมชำติของกำรเปลย่ี นแปลงสถำนะของสสำร กำร เกิดสำรละลำย และกำรเกดิ ปฏกิ ิริยำเคมี ช้ันปี ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 ๑. อธบิ ายการเปลย่ี นสถานะของสสาร เม่ือ • การเปลยี่ นสถานะของสสารเปน็ การ ทาให้สสารร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยใช้ เปลีย่ นแปลงทางกายภาพ เมื่อเพ่ิมความร้อน หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ใหก้ ับสสารถึงระดับหนึง่ จะทาให้สสารท่เี ป็น ของแขง็ เปลย่ี นสถานะเปน็ ของเหลว เรียกวา่ การ หลอมเหลว และเม่ือเพ่ิมความรอ้ นต่อไปจนถงึ อีก ระดับหนึง่ ของเหลวจะเปลีย่ นเป็นแกส๊ เรยี กว่า การกลายเป็นไอ แต่เม่ือลดความร้อนลงถึงระดบั หนึง่ แก๊สจะเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว เรยี กวา่ การควบแนน่ และถ้าลดความรอ้ นต่อไปอีกจนถึง ระดับหนง่ึ ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแขง็ เรียกว่า การแข็งตวั สสารบางชนดิ สามารถเปลย่ี น สถานะจากของแข็งเป็นแกส๊ โดยไม่ผา่ นการเปน็ ของเหลว เรยี กวา่ การระเหิด สว่ นแกส๊ บางชนิด สามารถเปล่ียนสถานะเปน็ ของแข็งโดยไม่ผา่ นการ เปน็ ของเหลว เรยี กวา่ การระเหดิ กลบั ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

๕๘ ชนั้ ปี ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๒. อธบิ ายการละลายของสารในน้า โดยใช้ • เมื่อใสส่ ารลงในนา้ แลว้ สารนั้นรวมเป็นเนอื้ ป.5 หลักฐานเชิงประจกั ษ์ เดียวกนั กับน้าทว่ั ทุกส่วน แสดงว่าสารเกดิ การ ละลาย เรยี กสารผสมที่ได้ว่าสารละลาย ๓. วเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงของสารเมื่อ • เมือ่ ผสมสาร ๒ ชนิดขนึ้ ไปแลว้ มสี ารใหม่เกดิ ข้ึน เกิดการเปลย่ี นแปลงทางเคมี โดยใช้ ซึง่ มีสมบตั ติ ่างจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนดิ เดยี ว หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เกดิ การเปล่ยี นแปลงแลว้ มีสารใหมเ่ กดิ ข้นึ การเปลย่ี นแปลงนเ้ี รียกวา่ การเปลย่ี นแปลง ทางเคมี ซึ่งสังเกตได้จากมีสหี รอื กลน่ิ ต่างจาก สารเดมิ หรอื มีฟองแกส๊ หรือมตี ะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มขนึ้ หรอื ลดลงของอุณหภมู ิ ๔. วเิ คราะห์และระบุการเปล่ียนแปลงที่ผัน • เมอ่ื สารเกิดการเปลย่ี นแปลงแลว้ สารสามารถ กลับไดแ้ ละการเปลี่ยนแปลงทผ่ี ันกลับไม่ได้ เปลยี่ นกลับเป็นสารเดิมได้ เปน็ การเปลี่ยนแปลงที่ ผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเปน็ ไอ การละลาย แต่สารบางอยา่ งเกดิ การเปลี่ยนแปลง แล้วไมส่ ามารถเปลย่ี นกลบั เป็นสารเดิมได้ เป็น การเปลี่ยนแปลงท่ีผันกลบั ไม่ได้ เช่น การเผาไหม้ การเกิดสนิม สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๒ เขำ้ ใจธรรมชำตขิ องแรงในชีวิตประจำวนั ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลักษณะ กำรเคลอ่ื นทแี่ บบตำ่ ง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้ันปี ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. อธิบายวธิ ีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลาย • แรงลพั ธเ์ ปน็ ผลรวมของแรงที่กระทาต่อวตั ถุ แรงในแนวเดียวกันท่ีกระทาต่อวตั ถุในกรณี โดยแรงลัพธ์ของแรง ๒ แรงที่กระทาตอ่ วัตถุ ท่วี ตั ถอุ ย่นู ิ่งจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ เดียวกนั จะมีขนาดเทา่ กับผลรวมของแรงทงั้ สอง ๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตอ่ เมอื่ แรงทั้งสองอยใู่ นแนวเดยี วกันและมีทศิ ทาง วัตถุท่ีอยใู่ นแนวเดยี วกันและแรงลัพธท์ ี่ เดยี วกัน แต่จะมีขนาดเท่ากบั ผลต่างของแรงทั้ง กระทาต่อวัตถุ สองเม่ือแรงทั้งสองอยใู่ นแนวเดยี วกนั แตม่ ีทิศทาง ๓. ใช้เครื่องช่งั สปรงิ ในการวัดแรงทก่ี ระทา ตรงข้ามกนั สาหรับวตั ถทุ ี่อยู่นง่ิ แรงลัพธ์ท่ี ต่อวัตถุ กระทาตอ่ วตั ถุมีค่าเปน็ ศนู ย์ • การเขยี นแผนภาพของแรงที่กระทาตอ่ วตั ถุ สามารถเขยี นได้โดยใชล้ ูกศร โดยหัวลูกศรแสดง ทิศทางของแรง และความยาวของลูกศรแสดง ขนาดของแรงท่กี ระทาต่อวตั ถุ ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

๕๙ ช้ันปี ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๔. ระบุผลของแรงเสียดทานท่ีมีตอ่ การ • แรงเสยี ดทานเปน็ แรงท่ีเกดิ ข้ึนระหว่างผิวสัมผัส เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ขี องวัตถจุ าก ของวัตถุ เพอ่ื ตา้ นการเคลอื่ นท่ีของวัตถนุ ัน้ โดยถ้า หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ออกแรงกระทาตอ่ วัตถทุ ี่อยนู่ ิ่งบนพน้ื ผิวหนึง่ ให้ ๕. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและ เคล่ือนที่ แรงเสยี ดทานจากพ้ืนผิวน้ันก็จะต้านการ แรงทีอ่ ยู่ในแนวเดียวกนั ที่กระทาต่อวัตถุ เคลอ่ื นที่ของวัตถุ แตถ่ ้าวัตถุกาลงั เคลือ่ นที่ แรง เสยี ดทานก็จะทาให้วตั ถนุ น้ั เคล่ือนท่ชี ้าลงหรอื หยุดนง่ิ สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๓ เข้ำใจควำมหมำยของพลังงำน กำรเปล่ียนแปลงและกำรถ่ำยโอนพลังงำนปฏสิ ัมพันธ์ ระหวำ่ งสสำรและพลังงำน พลังงำนในชีวิตประจำวนั ธรรมชำตขิ อง คลืน่ ปรำกฏกำรณ์ท่เี กยี่ วข้องกับเสียง แสง และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำรวมท้ังนำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ปี ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑. อธบิ ายการไดย้ ินเสียงผา่ นตัวกลางจาก • การไดย้ นิ เสียงต้องอาศยั ตวั กลาง โดยอาจเปน็ หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของแขง็ ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผา่ น ตวั กลางมายงั หู ๒. ระบตุ วั แปร ทดลอง และอธบิ าย • เสยี งที่ได้ยินมรี ะดับสงู ต่าของเสยี งต่างกันขนึ้ กบั ลักษณะและการเกิดเสยี งสงู เสียงต่า ความถ่ขี องการส่ันของแหลง่ กาเนดิ เสยี ง โดยเมอื่ ๓. ออกแบบการทดลองและอธบิ าย แหล่งกาเนดิ เสยี งสั่นดว้ ยความถ่ตี า่ จะเกดิ เสยี งต่า ลกั ษณะและการเกิดเสยี งดัง เสียงคอ่ ย แต่ถ้าสนั่ ด้วยความถีส่ ูงจะเกิดเสยี งสงู ส่วน ๔. วดั ระดบั เสยี งโดยใชเ้ ครือ่ งมือวัดระดบั เสียงดังคอ่ ยทีไ่ ดย้ นิ ข้นึ กับพลังงานการสัน่ ของ เสียง แหล่งกาเนดิ เสียง โดยเมื่อแหล่งกาเนิดเสยี งส่ัน ๕. ตระหนักในคุณค่าของความรเู้ รื่องระดับ ด้วยพลังงานมากจะเกดิ เสยี งดัง แต่ถ้า เสยี งโดยเสนอแนะแนวทางในการ แหล่งกาเนิดเสยี งส่ันดว้ ยพลังงานน้อยจะเกดิ เสียง หลกี เลยี่ งและลดมลพษิ ทางเสียง คอ่ ย • เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายตอ่ การได้ยนิ และ เสยี งทก่ี ่อให้เกิดความราคาญเป็นมลพษิ ทางเสยี ง เดซเิ บลเป็นหนว่ ยทบี่ อกถึงความดังของเสียง ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

๖๐ สำระท่ี ๓ วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว ๓.๑ เข้ำใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกิด และวิวัฒนำกำรของเอกภพ กำแล็กซี ดำว ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภำยในระบบสุริยะที่ ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และกำรประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกำศ ชนั้ ปี ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑. เปรียบเทยี บความแตกต่างของดาว • ดาวทมี่ องเห็นบนท้องฟ้าอยใู่ นอวกาศซ่ึงเป็น เคราะห์และดาวฤกษ์จากแบบจาลอง บริเวณทีอ่ ยู่นอกบรรยากาศของโลก มที ้งั ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกาเนิดแสง จึงสามารถมองเหน็ ได้ สว่ นดาวเคราะห์ไม่ใช่ แหลง่ กาเนิดแสง แต่สามารถมองเหน็ ไดเ้ นอ่ื งจาก แสงจากดวงอาทติ ย์ตกกระทบดาวเคราะหแ์ ล้ว สะท้อนเข้าสตู่ า ๒. ใช้แผนทด่ี าวระบุตาแหนง่ และเสน้ ทาง • การมองเห็นกลมุ่ ดาวฤกษม์ ีรูปรา่ งต่าง ๆ เกดิ การขนึ้ และตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟา้ จากจนิ ตนาการของผูส้ ังเกต กล่มุ ดาวฤกษ์ต่าง ๆ และอธบิ ายแบบรปู เส้นทางการข้นึ และตก ทปี่ รากฏในท้องฟ้าแตล่ ะกลุ่มมีดาวฤกษแ์ ตล่ ะดวง ของกลุ่มดาวฤกษบ์ นท้องฟ้าในรอบปี เรียงกนั ทตี่ าแหนง่ คงที่ และมีเส้นทางการข้ึน และตกตามเสน้ ทางเดิมทุกคืน ซงึ่ จะปรากฏ ตาแหน่งเดิม การสังเกตตาแหนง่ และการข้นึ และตกของดาวฤกษ์ และกลุม่ ดาวฤกษ์ สามารถ ทาไดโ้ ดยใชแ้ ผนทดี่ าว ซ่งึ ระบุมมุ ทิศและมุมเงย ทกี่ ล่มุ ดาวน้ันปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใช้มือ ในการประมาณคา่ ของมุมเงยเมอื่ สงั เกตดาว ในท้องฟ้า สำระท่ี ๓ วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว ๓.๒ เขำ้ ใจองค์ประกอบและควำมสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนกำรเปลีย่ นแปลงภำยในโลก และบนผวิ โลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงลมฟ้ำอำกำศและภูมอิ ำกำศโลก รวมทงั้ ผลตอ่ สงิ่ มีชีวิต และส่ิงแวดล้อม ชนั้ ปี ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑. เปรยี บเทียบปริมาณน้าในแตล่ ะแหลง่ • โลกมีทงั้ นา้ จืดและนา้ เค็มซ่ึงอยู่ในแหล่งน้าต่าง และระบุปริมาณนา้ ที่มนุษย์สามารถ ๆ ท่ีมีทง้ั แหลง่ น้าผวิ ดนิ เชน่ ทะเล มหาสมุทร บึง นามาใช้ประโยชน์ได้ จากข้อมลู ทร่ี วบรวม แม่น้า และแหล่งน้าใต้ดนิ เช่น นา้ ในดนิ และ ได้ นา้ บาดาล น้าท้ังหมดของโลกแบ่งเปน็ นา้ เค็ม ประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซ่ึงอยู่ในมหาสมุทร และแหลง่ น้าอื่น ๆ และท่ีเหลืออีกประมาณ ร้อยละ ๒.๕ เปน็ น้าจืด ถา้ เรยี งลาดบั ปรมิ าณ นา้ จดื จากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารนา้ แขง็ และ พดื น้าแข็ง น้าใตด้ ิน ช้ันดนิ เยือกแข็งคงตัวและ ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๖๑ ช้นั ปี ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง น้าแขง็ ใต้ดนิ ทะเลสาบ ความช้ืนในดิน ความชืน้ ในบรรยากาศ บึง แม่นา้ และนา้ ในสิ่งมีชีวติ ๒. ตระหนักถึงคุณคา่ ของน้าโดยนาเสนอ • น้าจดื ทม่ี นษุ ย์นามาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก แนวทางการใชน้ ้าอย่างประหยดั และการ จงึ ควรใช้น้าอย่างประหยดั และร่วมกนั อนรุ ักษน์ ้า อนุรักษน์ ้า ๓. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการหมุนเวียน • วฏั จกั รน้า เป็นการหมุนเวียนของน้าทมี่ แี บบรปู ของนา้ ในวัฏจักรนา้ ซา้ เดิม และต่อเน่ืองระหวา่ งน้าในบรรยากาศ น้าผิวดนิ และนา้ ใตด้ นิ โดยพฤตกิ รรมการ ดารงชวี ิตของพืชและสตั ว์ส่งผลตอ่ วัฏจกั รนา้ ๔. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดเมฆ • ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองนา้ เล็ก ๆ หมอก นา้ คา้ ง และนา้ คา้ งแข็ง จาก โดยมลี ะอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละออง แบบจาลอง เรณขู องดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละออง นา้ จานวนมากเกาะกล่มุ รวมกันลอยอยู่สงู จาก พน้ื ดนิ มาก เรยี กว่า เมฆ แต่ละอองน้าที่เกาะกลุม่ รวมกนั อยู่ใกลพ้ ้นื ดิน เรยี กวา่ หมอก สว่ นไอน้าท่ี ควบแนน่ เป็นละอองน้าเกาะอยบู่ นพนื้ ผิววัตถใุ กล้ พ้นื ดนิ เรยี กว่า นา้ ค้างถา้ อณุ หภูมใิ กล้พนื้ ดินต่า กวา่ จุดเยือกแขง็ น้าคา้ งกจ็ ะกลายเปน็ นา้ ค้างแข็ง ๕. เปรียบเทยี บกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ • ฝน หิมะ ลกู เหบ็ เปน็ หยาดนา้ ฟ้าซงึ่ เป็นน้าทมี่ ี และลูกเหบ็ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ สถานะต่าง ๆ ท่ตี กจากฟา้ ถงึ พื้นดิน ฝนเกดิ จาก ละอองนา้ ในเมฆท่รี วมตวั กนั จนอากาศไม่สามารถ พยุงไว้ได้จึงตกลงมา หมิ ะเกดิ จากไอนา้ ในอากาศ ระเหดิ กลบั เปน็ ผลกึ น้าแขง็ รวมตวั กันจนมี นา้ หนกั มากข้นึ จนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จงึ ตก ลงมา ลกู เห็บเกิดจากหยดน้าท่ีเปลยี่ นสถานะเปน็ น้าแขง็ แลว้ ถูกพายุพัดวนซา้ ไปซา้ มาในเมฆฝนฟ้า คะนองท่ีมีขนาดใหญ่และอยูใ่ นระดบั สงู จนเป็น กอ้ นน้าแขง็ ขนาดใหญ่ข้นึ แล้วตกลงมา ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

๖๒ สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๔.๒ เข้ำใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในกำรแก้ปัญหำท่พี บในชีวิตจรงิ อย่ำงเปน็ ขน้ั ตอนและ เปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสื่อสำรในกำรเรยี นรกู้ ำรทำงำน และกำรแกป้ ญั หำไดอ้ ย่ำงมี ประสิทธภิ ำพ รู้เท่ำทนั และมจี รยิ ธรรม ช้ันปี ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา • การใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ หรือเง่อื นไขทีค่ รอบคลุมทุกกรณมี าใชพ้ ิจารณาใน ผลลพั ธ์ จากปญั หาอยา่ งงา่ ย การแกป้ ัญหา การอธบิ ายการทางาน หรือการ คาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเร่ิมต้นของการทางานทแี่ ตกต่างกนั จะให้ ผลลพั ธ์ที่แตกตา่ งกนั • ตวั อยา่ งปัญหา เชน่ เกม Sudoku โปรแกรม ทานายตัวเลข โปรแกรมสรา้ งรูปเรขาคณติ ตามคา่ ข้อมลู เขา้ การจดั ลาดับการทางานบ้าน ในชว่ งวนั หยดุ จัดวางของในครัว ๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมท่มี ีการใช้ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ้ ดยเขียน เหตุผลเชงิ ตรรกะอย่างงา่ ย ตรวจหา เปน็ ขอ้ ความหรอื ผังงาน ข้อผดิ พลาดและแก้ไข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมทมี่ ีการ ตรวจสอบเงอื่ นไขที่ครอบคลุมทุกกรณเี พื่อให้ได้ ผลลัพธ์ ที่ถูกต้องตรงตามความตอ้ งการ • หากมขี ้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบการทางาน ทีละคาสงั่ เมื่อพบจุดท่ีทาใหผ้ ลัลพั ธ์ไม่ถูกตอ้ ง ใหท้ าการแกไ้ ขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ทีถ่ กู ต้อง • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อ่ืน จะช่วยพฒั นาทักษะการหาสาเหตขุ อง ปัญหาไดด้ ยี ่งิ ขึน้ • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบเลข คเู่ ลขคี่ โปรแกรมรับข้อมลู น้าหนกั หรือส่วนสูง แล้วแสดงผลความสมสว่ นของร่างกาย โปรแกรม สั่งให้ตวั ละครทาตามเงื่อนไขทีก่ าหนด • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, logo ๓. ใช้อินเทอรเ์ น็ตคน้ หาขอ้ มูลตดิ ตอ่ สือ่ สาร • การค้นหาข้อมลู ในอินเทอรเ์ น็ต และการ และทางานรว่ มกัน ประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถือ พิจารณาผลการคน้ หา ของขอ้ มูล • การติดต่อสื่อสารผา่ นอินเทอร์เน็ต เชน่ อีเมล บล็อก โปรแกรมสนทนา ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

๖๓ ช้นั ปี ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • การเขยี นจดหมาย (บูรณาการกับวิชาภาษาไทย) • การใช้อินเทอรเ์ น็ตในการติดตอ่ สอ่ื สารและ ทางานรว่ มกนั เช่น ใชน้ ดั หมายในการประชุม กลุ่ม ประชาสัมพนั ธ์กจิ กรรมในหอ้ งเรียน การ แลกเปล่ียนความรู้ ความคดิ เห็นในการเรียน ภายใตก้ ารดูแลของครู • การประเมินความน่าเช่อื ถือของขอ้ มูล เช่น เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบรู ณข์ องข้อมูล จากหลายแหลง่ แหล่งต้นตอของข้อมลู ผู้เขยี น วันท่เี ผยแพร่ข้อมลู • ข้อมลู ทดี่ ตี ้องมรี ายละเอียดครบทกุ ดา้ น เชน่ ขอ้ ดแี ละข้อเสยี ประโยชน์และโทษ ๔. รวบรวม ประเมิน นาเสนอขอ้ มลู และ • การรวบรวมขอ้ มลู ประมวลผล สร้างทางเลอื ก สารสนเทศ ตามวตั ถุประสงค์โดยใช้ ประเมินผล จะทาให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ ซอฟตแ์ วรห์ รอื บริการบนอนิ เทอร์เน็ตที่ แกป้ ัญหาหรือการตัดสนิ ใจได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ หลากหลาย เพ่อื แก้ปญั หาในชีวิตประจาวัน • การใช้ซอฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ น็ต ท่ีหลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะชว่ ยให้ การแกป้ ัญหาทาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และ แมน่ ยา • ตวั อย่างปัญหา เชน่ ถ่ายภาพ และสารวจแผนที่ ในทอ้ งถ่นิ เพ่ือนาเสนอแนวทางในการจดั การพน้ื ท่ี วา่ งให้เกิดประโยชน์ ทาแบบสารวจความ คิดเหน็ ออนไลน์ และวิเคราะหข์ ้อมลู นาเสนอ ข้อมูลโดยการใช้ blog หรือ web page ๕. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย • อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรม มมี ารยาท เข้าใจสทิ ธิและหน้าท่ขี องตน ทางอนิ เทอรเ์ น็ต เคารพในสิทธขิ องผู้อื่น แจ้งผูเ้ กีย่ วข้องเม่อื • มารยาทในการติดต่อส่ือสารผา่ นอินเทอร์เนต็ พบข้อมลู หรือบุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม (บูรณาการกับวิชาท่ีเก่ียวข้อง) ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

โครงสรา้ งหลกั สตู รช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๕ ๖๔ รหัส กลมุ่ สาระการเรยี นรู/้ กิจกรรม เวลาเรยี น (ชม./ปี) ท ๑๕๑๐๑ รายวชิ าพืน้ ฐาน (๘๔๐) ค ๑๕๑๐๑ ภาษาไทย ๑๖๐ ว ๑๕๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑๖๐ ส ๑๕๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 120 ส ๑๕๑๐๒ สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พ ๑๕๑๐๑ ประวตั ศิ าสตร์ 80 ศ ๑๕๑๐๑ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ๔๐ ง ๑๕๑๐๑ ศิลปะ 8๐ อ ๑๕๑๐๑ การงานอาชีพ 4๐ ภาษาองั กฤษ 4๐ อ 15201 120 รายวิชาเพ่ิมเติม (4๐) ภาษาองั กฤษ 40 (๑๒๐) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4๐ แนะแนว กิจกรรมนกั เรียน 4๐ 3๐ • ลูกเสือ เนตรนารี ๑๐ 1,000 • ชุมนมุ กิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณะประโยชน์ รวมเวลาเรยี นท้ังหมด ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

๖๕ คาอธบิ ายรายวิชาพื้นฐาน รหัสวชิ า ว ๑5๑๐๑ ชื่อรายวิชาวิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 เวลา 12๐ ชั่วโมง ศึกษาการเรยี นรู้แบบนักวิทยาศาสตร์ โครงสร้างและลักษณะของส่ิงมีชวี ิตทีเ่ หมาะสม ในแต่ละแหล่งท่ีอยู่ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ กับส่ิงมีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างสง่ิ มีชีวิตกับส่ิงไม่มชี ีวิต การถ่ายทอดลกั ษณะ ทางพันธุกรรมของพืช สัตว์ และมนุษย์ การเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลายของสารในน้า การเปล่ียนแปลง ทางเคมี การเปล่ียนแปลงท่ีผันกลับได้และผันกลับไม่ได้ แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน การได้ยินเสียงผ่านตัวกลาง ลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงต่า เสียงดัง และเสียงค่อย ระดับเสียงและมลพิษทางเสียง ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว แบบรูปเส้นทางการขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้าในรอบปี ปริมาณน้าในแต่ละแหล่ง ปริมาณน้าที่มนุษย์สามารถนามาใช้ได้ การใช้น้าอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้า วัฎ จักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง และน้าค้างแข็ง กระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ การใช้เหตุผล เชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การเขียนรหัสลาลองเพื่อแสดงวิธีแก้ปัญหา การออกแบบ และการเขียนโปรแกรม แบบมีเง่ือนไขและการทางานแบบวนซ้า การใช้ซอฟต์แวร์ประมวลผลข้อมูล การติดต่อส่ือสารผ่านอินเตอร์เน็ต การใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาข้อมูลและการประเมิน ความน่าเช่ือถือของข้อมูล อันตรายจากการใช้งานและ อาชญากรรมทางอนิ เตอรเ์ น็ต ใช้การสืบเสาะหาความรู้ สังเกต รวบรวมข้อมูล จัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล สร้างแบบจาลอง และอธิบายผลการสารวจตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ัน พื้นฐานและทักษะารเรียนรู้ในศตววรรษท่ี ๒๑ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเบ้ืองต้น สามารถส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ มีความคิดสรา้ งสรรค์ สามารถทางานร่วมกับผู้อ่นื แสดงวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผล เชิงตรรกะ ใช้รหัสจาลองแสดงวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอน ออกแบบ และเขียนโปรแกรมแบบมีเงื่อนไข และการทางานแบบวนซ้า ตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการแก้ปัญหา ใช้อินเตอร์เน็ต ตดิ ตอ่ สอ่ื สารและคน้ หาขอ้ มลู แยกแยะข้อเท็จจรงิ กบั ขอ้ คดิ เห็น ประเมินความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มูล ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และใช้ความรู้และกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ในการดารงชีวิต ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยและมีมารยาท มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านยิ มทเ่ี หมาะสม รหสั ตวั ช้ีวดั ว 1.1 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4 ว 1.3 ป5/1, ป5/2 ว 2.1 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4 ว 2.2 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5 ว 2.3 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5 ว 3.1 ป5/1, ป5/2 ว 3.2 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5 ว 4.2 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5 รวม 32 ตัวช้ีวัด ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

๖๖ โครงสร้างรายวิชา รายวชิ า วิทยาศาสตร์ 5 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รหสั วชิ า ว15101 เวลา 120 ชัว่ โมง / ปี ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด จานวน(ช่วั โมง) น้าหนกั คะแนน แรงและพลังงาน 20 18 ว 2.2 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4, ป5/5 การเปลี่ยนแปลงของสาร ว 2.3 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4 20 17 วัฎจกั ร ว 2.1 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4 20 18 ส่งิ มีชีวิต ว 3.1 ป 5/1, ป 5/2ว 3.2 ป 5/1, ป 5/2, 20 17 ป 5/3, ป 5/4, ป5/5 วิทยาการคานวณ ว 1.1 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4 40 30 รวม ว 1.3 ป 5/1, ป 5/2 120 100 ว 4.2 ป4/1, ป4/2, ป4/3, ป4/4, ป4/5 31 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 67 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 68 ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปล่ียนแปลงแทน ท่ีใน ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญ หาและผลกระทบท่ีมีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิง่ แวดล้อม รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ปี ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - - สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว ๑.๒ เข้ำใจสมบัติของสิ่งมีชีวติ หน่วยพื้นฐำนของส่ิงมีชีวิต กำรลำเลียงสำรเข้ำและออกจำก เซลล์ ควำมสัมพันธ์ของโครงสร้ำงและหน้ำที่ของระบบต่ำง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทำงำนสัมพันธ์กัน ควำมสมั พันธ์ของโครงสร้ำงและหน้ำท่ีของอวัยวะต่ำง ๆ ของพืชท่ีทำงำนสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำควำมรู้ไป ใช้ประโยชน์ ช้นั ปี ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.6 ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชนข์ อง • สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่ สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารท่ี คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลอื แร่ วิตามิน ตนเองรบั ประทาน และน้า ๒. บอกแนวทางในการเลือกรับประทาน • อาหารแตล่ ะชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่ อาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในสัดสว่ น แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วย ทเี่ หมาะสมกับเพศและวัย รวมท้งั ความ สารอาหารประเภทเดยี ว อาหารบางอยา่ ง ปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ประกอบด้วยสารอาหารมากกวา่ หน่งึ ประเภท ๓. ตระหนักถงึ ความสาคัญของสารอาหาร • สารอาหารแต่ละประเภทมปี ระโยชน์ตอ่ ร่างกาย โดยการเลือกรับประทานอาหารทม่ี ี แตกตา่ งกนั โดยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมัน สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนทเี่ หมาะสม เปน็ สารอาหารทใ่ี ห้พลงั งานแกร่ ่างกาย สว่ นเกลือ กบั เพศและวัย รวมทั้งปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ แร่ วติ ามิน และนา้ เปน็ สารอาหารที่ไม่ให้ พลงั งานแกร่ า่ งกาย แตช่ ่วยให้ร่างกายทางานได้ เป็นปกติ • การรับประทานอาหาร เพื่อใหร้ า่ งกาย เจริญเตบิ โต มีการเปลีย่ นแปลงของร่างกายตาม เพศและวัย และมีสขุ ภาพดี จาเปน็ ต้อง ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 69 ช้นั ปี ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง รับประทานให้ได้พลงั งานเพียงพอกับความ ต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร ครบถ้วน ในสัดส่วนทเ่ี หมาะสมกับเพศและวัย รวมทง้ั ตอ้ งคานงึ ถงึ ชนิดและปริมาณของวตั ถุเจือ ปนในอาหารเพอื่ ความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ ๔. สรา้ งแบบจาลองระบบย่อยอาหาร และ • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวยั วะต่าง ๆ บรรยายหน้าทข่ี องอวยั วะในระบบยอ่ ย ไดแ้ ก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้ อาหาร รวมทง้ั อธิบายการย่อยอาหารและ เล็ก ลาไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตับ และตบั อ่อน ซง่ึ ทา การดูดซึมสารอาหาร หน้าที่ร่วมกันในการย่อยและดดู ซึมสารอาหาร ๕. ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบยอ่ ย - ปากมฟี ันชว่ ยบดเคีย้ วอาหารให้มีขนาดเล็กลง อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดแู ล และมีลน้ิ ชว่ ยคลกุ เคลา้ อาหารกบั น้าลาย รกั ษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางาน ในน้าลายมีเอนไซม์ย่อยแป้งใหเ้ ปน็ นา้ ตาล เป็นปกติ - หลอดอาหารทาหน้าท่ลี าเลยี งอาหารจากปาก ไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มกี ารยอ่ ยโปรตนี โดยกรดและเอนไซมท์ ี่สร้างจาก กระเพาะอาหาร - ลาไส้เลก็ มเี อนไซม์ทส่ี รา้ งจากผนังลาไสเ้ ลก็ เอง และจากตบั อ่อนทช่ี ว่ ยยอ่ ยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันท่ี ผ่านการยอ่ ยจนเป็นสารอาหารขนาดเลก็ พอ ท่จี ะดดู ซึมได้ รวมถึงน้า เกลือแร่ และวิตามนิ จะ ถกู ดูดซึมทีผ่ นงั ลาไสเ้ ล็กเขา้ สู่กระแสเลือด เพื่อ ลาเลยี งไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนาไปใชเ้ ปน็ แหล่ง พลงั งานสาหรบั ใชใ้ นกิจกรรมตา่ ง ๆ สว่ นนา้ เกลือแร่ และวติ ามนิ จะช่วยใหร้ ่างกาย ทางานได้เป็นปกติ - ตับสร้างน้าดีแลว้ สง่ มายังลาไสเ้ ลก็ ช่วยให้ไขมัน แตกตวั - ลาไส้ใหญท่ าหนา้ ทดี่ ดู น้าและเกลือแร่ เปน็ บริเวณท่ีมอี าหารท่ยี ่อยไม่ได้หรือยอ่ ยไม่หมด เป็น กากอาหาร ซึ่งจะถกู กาจดั ออกทางทวารหนัก • อวยั วะตา่ ง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสาคัญ จึงควรปฏบิ ัตติ น ดูแลรักษาอวัยวะให้ทางาน เป็นปกติ ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 70 สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว ๑.๓ เข้ำใจกระบวนกำรและควำมสำคัญของกำรถ่ำยทอดลกั ษณะทำงพันธกุ รรมสำร พันธกุ รรม กำรเปลี่ยนแปลงทำงพนั ธุกรรมท่ีมผี ลต่อส่ิงมีชีวิต ควำมหลำกหลำย ทำงชีวภำพและ วิวัฒนำกำรของส่ิงมีชวี ติ รวมทัง้ นำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ ชัน้ ปี ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สำระที่ ๒ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๑ เขำ้ ใจสมบัติของสสำร องค์ประกอบของสสำร ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงสมบตั ิของ สสำร กบั โครงสรำ้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหวำ่ งอนภุ ำค หลกั และธรรมชำตขิ อง กำรเปลีย่ นแปลงสถำนะของสสำร กำรเกดิ สำรละลำย และกำรเกิดปฏกิ ริ ิยำเคมี ชน้ั ปี ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.6 ๑. อธิบายและเปรียบเทยี บการแยกสาร • สารผสมประกอบดว้ ยสารต้งั แต่ ๒ ชนิดข้ึนไป ผสมโดยการหยบิ ออก การร่อน การใช้ ผสมกนั เชน่ นา้ มันผสมนา้ ข้าวสารปนกรวดทราย แมเ่ หลก็ ดึงดูด การรนิ ออก การกรอง และ วธิ กี ารที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึน้ อยู่กับ การตกตะกอนโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ ลกั ษณะและสมบตั ขิ องสารที่ผสมกนั ถา้ รวมทัง้ ระบุวิธแี ก้ปญั หาในชีวิตประจาวัน องค์ประกอบของสารผสมเปน็ ของแขง็ กับของแขง็ เกยี่ วกบั การแยกสาร ทีม่ ีขนาดแตกต่างกันอยา่ งชัดเจน อาจใชว้ ธิ ีการ หยบิ ออกหรือการร่อนผ่านวัสดุท่มี ีรู ถ้ามีสารใดสาร หนง่ึ เปน็ สารแม่เหล็กอาจใชว้ ิธีการใชแ้ ม่เหลก็ ดึงดดู ถ้าองคป์ ระกอบเป็นของแขง็ ท่ีไมล่ ะลายใน ของเหลว อาจใชว้ ิธกี ารรินออก การกรอง หรือ การตกตะกอน ซึง่ วิธีการแยกสารสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้ สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๒ เขำ้ ใจธรรมชำตขิ องแรงในชวี ติ ประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะ กำรเคลอ่ื นทแ่ี บบต่ำง ๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนำควำมรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ช้ันปี ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. อธบิ ายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้า • วัตถุ ๒ ชนิดท่ีผา่ นการขัดถูแล้ว เมอื่ นาเข้าใกลก้ นั ซ่งึ เกิดจากวตั ถทุ ผ่ี า่ นการขดั ถู โดยใช้ อาจดงึ ดดู หรือผลกั กัน แรงท่ีเกดิ ข้ึนน้เี ป็น หลักฐานเชงิ ประจักษ์ แรงไฟฟ้า ซง่ึ เปน็ แรงไมส่ ัมผสั เกดิ ข้นึ ระหว่างวัตถุ ทม่ี ีประจุไฟฟ้า ซง่ึ ประจไุ ฟฟา้ มี ๒ ชนดิ คือ ประจุ ไฟฟา้ บวกและประจุไฟฟา้ ลบ วตั ถทุ มี่ ีประจุไฟฟา้ ชนิดเดียวกันผลักกนั ชนดิ ตรงขา้ มกันดึงดดู กนั ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 71 สำระที่ ๒ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๓ เขำ้ ใจควำมหมำยของพลังงำน กำรเปลย่ี นแปลงและกำรถ่ำยโอนพลงั งำนปฏิสัมพนั ธ์ ระหวำ่ งสสำรและพลังงำน พลังงำนในชีวิตประจำวนั ธรรมชำติของ คล่ืน ปรำกฏกำรณ์ทีเ่ กยี่ วข้องกับ เสียง แสง และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟำ้ รวมท้ังนำ ควำมร้ไู ปใช้ประโยชน์ ช้ันปี ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑. ระบสุ ว่ นประกอบและบรรยายหน้าท่ี • วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยประกอบดว้ ย แหลง่ กาเนดิ ของแตล่ ะส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ ไฟฟา้ สายไฟฟา้ และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรืออปุ กรณ์ อย่างง่ายจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ไฟฟ้า แหลง่ กาเนิดไฟฟ้า เชน่ ถา่ นไฟฉาย หรอื ๒. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอย่าง แบตเตอร่ี ทาหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า งา่ ย เปน็ ตวั นาไฟฟ้า ทาหน้าทเ่ี ชอ่ื มต่อระหวา่ ง แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเขา้ ด้วยกนั เคร่อื งใช้ไฟฟา้ มีหนา้ ท่เี ปลี่ยนพลงั งานไฟฟ้าเป็น พลังงานอื่น ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธี • เมือ่ นาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลลม์ าต่อเรียงกัน ทเ่ี หมาะสมในการอธบิ ายวธิ ีการและผล โดยใหข้ ั้วบวกของเซลลไ์ ฟฟา้ เซลล์หนงึ่ ตอ่ กับข้ัว ของการต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม ลบของอีกเซลล์หนง่ึ เปน็ การต่อแบบอนุกรม ทา ๔. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของ ใหม้ พี ลงั งานไฟฟา้ เหมาะสมกับเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า ซึ่ง การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมโดยบอก การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนาไปใช้ ประโยชน์และการประยุกต์ใชใ้ น ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั เช่น การตอ่ ชีวิตประจาวนั เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย ๕. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธี • การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมเมือ่ ถอด ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายการตอ่ หลอด หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนึ่งออกทาใหห้ ลอดไฟฟ้า ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ทเ่ี หลอื ดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟา้ ๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความร้ขู อง แบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนง่ึ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบ ออก หลอดไฟฟ้าทเ่ี หลือก็ยังสวา่ งได้ การต่อ ขนาน โดยบอกประโยชน์ ขอ้ จากัด และ หลอดไฟฟ้าแตล่ ะแบบสามารถนาไปใช้ประโยชน์ การประยุกตใ์ ช้ ในชวี ิตประจาวนั ได้ เชน่ การต่อหลอดไฟฟา้ หลายดวงในบา้ นจงึ ต้องต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน เพ่อื เลือกใช้ หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ ได้ตามตอ้ งการ ๗. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจาก • เม่ือนาวตั ถทุ บึ แสงมากั้นแสงจะเกดิ เงาบนฉาก หลกั ฐานเชิงประจักษ์ รับแสงท่อี ยู่ดา้ นหลังวตั ถุ โดยเงามีรูปร่างคลา้ ย ๘. เขยี นแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการ วตั ถทุ ท่ี าใหเ้ กดิ เงา เงามัวเปน็ บริเวณท่ีมแี สง เกดิ เงามืดเงามัว บางสว่ นตกลงบนฉาก ส่วนเงามดื เป็นบรเิ วณ ท่ไี ม่มแี สงตกลงบนฉากเลย ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 72 สำระท่ี ๓ วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว ๓.๑ เขำ้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกิด และวิวัฒนำกำรของเอกภพ กำแล็กซี ดำวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทง้ั ปฏสิ ัมพนั ธภ์ ำยในระบบสุรยิ ะท่ี สง่ ผลต่อสิ่งมีชีวติ และกำรประยุกตใ์ ช้ เทคโนโลยีอวกำศ ช้ันปี ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. สร้างแบบจาลองท่อี ธบิ ายการเกดิ และ • เมือ่ โลกและดวงจันทร์ โคจรมาอย่ใู นแนว เปรยี บเทยี บปรากฏการณส์ รุ ิยุปราคา เสน้ ตรงเดียวกันกับดวงอาทติ ย์ในระยะทางท่ี และจนั ทรุปราคา เหมาะสม ทาใหด้ วงจันทร์บังดวงอาทติ ย์ เงาของ ดวงจันทรท์ อดมายังโลก ผูส้ งั เกตท่ีอยูบ่ ริเวณเงา จะมองเห็น ดวงอาทติ ยม์ ืดไป เกดิ ปรากฏการณ์ สุริยปุ ราคา ซึ่งมที ้ังสุรยิ ปุ ราคาเต็มดวง สุรยิ ุปราคาบางสว่ น และสรุ ิยุปราคาวงแหวน • หากดวงจันทรแ์ ละโลกโคจรมาอยู่ในแนว เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทติ ย์ แล้วดวงจนั ทร์ เคล่ือนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืด ไปเกดิ ปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซงึ่ มีทง้ั จนั ทรุปราคาเต็มดวง และจันทรุปราคาบางสว่ น ๒. อธบิ ายพัฒนาการของเทคโนโลยอี วกาศ • เทคโนโลยีอวกาศเรมิ่ จากความตอ้ งการของ และยกตวั อย่างการนาเทคโนโลยีอวกาศมา มนุษย์ในการสารวจวัตถุท้องฟา้ โดยใชต้ าเปลา่ ใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั จากข้อมูลท่ี กล้องโทรทรรศน์ และได้พฒั นาไปสู่การขนส่ง รวบรวมได้ เพ่อื สารวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบนั มีการนา เทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมาประยุกตใ์ ช้ ในชวี ิตประจาวัน เช่น การใชด้ าวเทียมเพ่ือ การสือ่ สาร การพยากรณอ์ ากาศ หรอื การสารวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อุปกรณว์ ัดชพี จร และการเต้นของหัวใจ หมวกนิรภัย ชดุ กีฬา ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 73 สำระที่ ๓ วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว ๓.๒ เข้ำใจองค์ประกอบและควำมสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนกำรเปล่ียนแปลงภำยใน โลกและบนผิวโลก ธรณพี บิ ัติภยั กระบวนกำรเปล่ียนแปลงลมฟ้ำอำกำศ และภูมิอำกำศโลก รวมท้งั ผลตอ่ สงิ่ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ช้นั ปี ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.6 ๑. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดหินอัคนี • หนิ เปน็ วสั ดแุ ข็งเกิดข้นึ เองตามธรรมชาติ หินตะกอน และหนิ แปร และอธบิ าย ประกอบดว้ ย แรต่ ั้งแตห่ นึ่งชนดิ ขน้ึ ไป สามารถ วัฏจักรหินจากแบบจาลอง จาแนกหินตามกระบวนการเกิดไดเ้ ปน็ ๓ประเภท ได้แก่ หินอคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปร • หนิ อัคนเี กดิ จากการเยน็ ตวั ของแมกมา เนื้อหนิ มลี กั ษณะเปน็ ผลกึ ทั้งผลึกขนาดใหญแ่ ละขนาด เล็ก บางชนิดอาจเปน็ เน้ือแก้วหรอื มีรพู รนุ • หนิ ตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมอ่ื ถูกแรงกดทบั และมีสารเชื่อมประสานจงึ เกดิ เป็น หนิ เน้ือหินกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ด ตะกอนมที ้ังเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด บางชนิด เป็นเนื้อผลึกที่ยดึ เกาะกันเกิดจากการตกผลกึ หรือ ตกตะกอนจากน้าโดยเฉพาะน้าทะเล บางชนดิ มี ลักษณะเป็นชัน้ ๆ จึงเรียกอีกช่ือว่า หินชั้น • หนิ แปร เกดิ จากการแปรสภาพของหนิ เดมิ ซึ่ง อาจเปน็ หินอัคนี หินตะกอน หรือหนิ แปรโดยการ กระทาของความร้อน ความดัน และปฏกิ ิริยาเคมี เนอ้ื หินของหินแปรบางชนดิ ผลกึ ของแรเ่ รยี งตัว ขนานกันเป็นแถบ บางชนดิ แซะออกเป็นแผน่ ได้ บางชนิดเป็นเนอื้ ผลึกที่มีความแขง็ มาก • หนิ ในธรรมชาติท้งั ๓ ประเภท มีการ เปล่ียนแปลงจากประเภทหน่ึงไปเป็นอีกประเภท หนง่ึ หรอื ประเภทเดิมได้ โดยมีแบบรปู การ เปลี่ยนแปลงคงท่ีและต่อเนื่องเปน็ วัฏจักร ๒. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ • หนิ และแร่แตล่ ะชนดิ มลี กั ษณะและสมบัติ ประโยชนข์ องหนิ และแรใ่ นชีวิตประจาวัน แตกต่างกนั มนษุ ย์ใชป้ ระโยชน์จากแรใ่ น จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ชีวติ ประจาวนั ในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น นาแรม่ าทา เครอ่ื งสาอาง ยาสีฟนั เคร่ืองประดบั อปุ กรณท์ าง การแพทย์ และนาหนิ มาใช้ในงานกอ่ สร้างตา่ ง ๆ เป็นต้น ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 74 ชนั้ ปี ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.6 ๓. สรา้ งแบบจาลองทีอ่ ธบิ ายการเกิดซาก • ซากดกึ ดาบรรพเ์ กดิ จากการทับถมหรือการ ดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อม ประทบั รอยของสิง่ มีชวี ิตในอดีต จนเกิดเป็น ในอดตี ของซากดึกดาบรรพ์ โครงสร้างของซากหรือร่องรอยของสิง่ มชี ีวติ ท่ปี รากฏอยู่ในหนิ ในประเทศไทยพบซากดึกดา บรรพ์ทีห่ ลากหลาย เชน่ พชื ปะการัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตนี สตั ว์ • ซากดกึ ดาบรรพส์ ามารถใชเ้ ป็นหลักฐานหน่ึง ทช่ี ว่ ยอธบิ ายสภาพแวดลอ้ มของพนื้ ที่ในอดีตขณะ เกดิ สิ่งมีชวี ติ นน้ั เช่น หากพบซากดกึ ดาบรรพ์ ของหอยนา้ จืด สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณน้นั อาจเคย เป็นแหลง่ นา้ จืดมากอ่ น และหากพบซากดึกดา บรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณนนั้ อาจเคย เป็นปา่ มาก่อน นอกจากนี้ซากดกึ ดาบรรพ์ ยงั สามารถใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูล ในการศึกษาววิ ัฒนาการของสิ่งมชี ีวติ ๔. เปรียบเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกดิ จากพนื้ ดิน และมรสมุ รวมทั้งอธิบายผลท่ีมตี ่อสง่ิ มีชีวติ และพืน้ นา้ ร้อนและเย็นไมเ่ ท่ากนั ทาให้อุณหภูมิ และสง่ิ แวดล้อม จากแบบจาลอง อากาศเหนอื พ้นื ดินและพื้นน้าแตกตา่ งกัน จงึ เกิด การเคล่อื นท่ีของอากาศจากบรเิ วณท่มี ีอุณหภมู ิต่า ไปยงั บริเวณท่ีมอี ุณหภูมสิ งู • ลมบกและลมทะเลเปน็ ลมประจาถ่ินท่ีพบ บริเวณชายฝง่ั โดยลมบกเกดิ ในเวลากลางคืน ทา ใหม้ ีลมพัดจากชายฝ่ังไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิด ในเวลากลางวนั ทาให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ ชายฝ่งั ๕. อธบิ ายผลของมรสมุ ต่อการเกิดฤดูของ • มรสุมเป็นลมประจาฤดูเกิดบรเิ วณเขตร้อน ประเทศไทย จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้ ของโลก ซ่ึงเป็นบริเวณกว้างระดับภมู ิภาค ประเทศไทยไดร้ บั ผลจากมรสุมะวนั ออกเฉยี ง เหนอื ในชว่ งประมาณกลางเดือนตลุ าคมจนถงึ เดอื นกุมภาพันธท์ าให้เกิดฤดูหนาว และไดร้ บั ผล จากมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ในชว่ งประมาณ กลางเดอื นพฤษภาคมจนถงึ กลางเดือนตลุ าคมทา ใหเ้ กดิ ฤดูฝน สว่ นช่วงประมาณกลางเดือน กมุ ภาพันธจ์ นถึงกลางเดือนพฤษภาคมเปน็ ช่วง เปลยี่ นมรสุมและประเทศไทยอยู่ใกล้เสน้ ศนู ย์สตู ร แสงอาทติ ย์เกือบต้งั ตรงและต้ังตรงประเทศไทยใน เวลาเที่ยงวนั ทาใหไ้ ดร้ บั ความร้อนจากดวง ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 75 ชั้นปี ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 อาทติ ย์อย่างเต็มที่ อากาศจึงรอ้ นอบอา้ วทาให้ เกิดฤดรู ้อน ๖. บรรยายลกั ษณะและผลกระทบของนา้ • น้าทว่ ม การกดั เซาะชายฝ่งั ดินถลม่ แผน่ ดินไหว ทว่ มการกัดเซาะชายฝง่ั ดินถล่ม และสึนามิ มีผลกระทบต่อชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม แผน่ ดินไหว สึนามิ แตกต่างกนั ๗. ตระหนักถงึ ผลกระทบของภัยธรรมชาติ • มนุษยค์ วรเรยี นรวู้ ิธีปฏิบัตติ นใหป้ ลอดภัย เชน่ และธรณีพิบัตภิ ยั โดยนาเสนอแนวทางใน ติดตามขา่ วสารอยา่ งสม่าเสมอ เตรียมถงุ ยังชีพ การเฝ้าระวังและปฏิบตั ิตนให้ปลอดภัยจาก ใหพ้ ร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคาสง่ั ของ ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบตั ภิ ัยทอ่ี าจเกิดใน ผูป้ กครองและเจา้ หนา้ ท่อี ย่างเครง่ ครัดเม่ือเกิดภัย ท้องถ่นิ ธรรมชาตแิ ละธรณีพิบัตภิ ยั ๘. สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธบิ ายการเกดิ • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน ปรากฏการณเ์ รือนกระจก และผลของ กระจกในชั้นบรรยากาศของโลกกกั เกบ็ ความร้อน ปรากฏการณเ์ รือนกระจกต่อส่งิ มีชวี ิต แลว้ คายความร้อนบางส่วนกลบั สผู่ ิวโลก ทาให้ ๙. ตระหนักถงึ ผลกระทบของปรากฏการณ์ อากาศ บนโลกมีอุณหภมู เิ หมาะสมต่อการ เรอื นกระจก โดยนาเสนอแนวทางการ ดารงชวี ิต ปฏิบตั ติ นเพ่อื ลดกจิ กรรมท่กี ่อใหเ้ กดิ แกส๊ • หากปรากฏการณเ์ รือนกระจกรุนแรงมากขึ้น เรือนกระจก จะมผี ลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก มนษุ ย์จึงควรร่วมกันลดกิจกรรมทก่ี ่อใหเ้ กิด แก๊สเรอื นกระจก สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๔.๑ เข้ำใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อกำรดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีกำร เปลี่ยนแปลง อยำ่ งรวดเร็ว ใชค้ วำมรู้และทกั ษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และศำสตร์อ่นื ๆ เพ่อื แกป้ ัญหำหรือ พัฒนำงำนอย่ำงมีควำมคิด สร้ำงสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่ำง เหมำะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม ชั้นปี ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 76 สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๔.๒ เข้ำใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในกำรแก้ปัญหำท่ีพบในชีวิตจริงอย่ำงเป็นข้ันตอน และเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่อื สำรในกำรเรยี นรู้ กำรทำงำน และกำรแกป้ ญั หำไดอ้ ยำ่ ง มปี ระสิทธภิ ำพ ร้เู ท่ำทนั และมีจรยิ ธรรม ชัน้ ปี ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๑. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและ ออกแบบวิธีการแก้ปญั หาที่พบใน • การแก้ปญั หาอย่างเปน็ ขั้นตอนจะชว่ ยให้ ชีวติ ประจาวนั แก้ปัญหาไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ • การใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย หรอื เง่ือนไขที่ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พจิ ารณา เพ่ือแกป้ ญั หาในชีวิตประจาวนั ตรวจหา ในการแกป้ ัญหา ข้อผิดพลาดของโปรแกรมและแก้ไข • แนวคดิ ของการทางานแบบวนซา้ และเงื่อนไข • การพจิ ารณากระบวนการทางานท่มี ีการทางาน แบบวนซา้ หรือเงื่อนไขเป็นวธิ กี ารที่จะช่วย ใหก้ ารออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หาเปน็ ไปอย่างมี ประสิทธภิ าพ • ตัวอยา่ งปัญหา เช่น การค้นหาเลขหนา้ ที่ ต้องการให้เร็วท่ีสดุ การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบให้ถูกภายใน ๒๐ คาถาม การคานวณ เวลาในการเดินทาง โดยคานึงถงึ ระยะทาง เวลา จดุ หยดุ พัก • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ้ ดยเขยี น เปน็ ขอ้ ความหรอื ผงั งาน • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีมีการใชต้ ัว แปร การวนซ้า การตรวจสอบเงอ่ื นไข • หากมีขอ้ ผิดพลาดให้ตรวจสอบการทางานทลี ะ คาส่งั เมอ่ื พบจดุ ที่ทาใหผ้ ลลพั ธไ์ มถ่ ูกตอ้ ง ใหท้ าการแกไ้ ขจนกวา่ จะไดผ้ ลลัพธ์ท่ถี กู ต้อง • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผูอ้ ื่นจะช่วยพฒั นาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหา ไดด้ ีย่ิงขึน้ • ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมเกม โปรแกรม หาค่า ค.ร.น. เกมฝกึ พมิ พ์ • ซอฟตแ์ วร์ทีใ่ ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 77 ช้ันปี ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตในการค้นหาขอ้ มลู อย่าง มีประสิทธิภาพ • การคน้ หาอย่างมปี ระสิทธภิ าพ เปน็ การคน้ หา ขอ้ มลู ที่ได้ตรงตามความต้องการในเวลาทร่ี วดเร็ว ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางานรว่ มกัน จากแหลง่ ข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือหลายแหลง่ และ อยา่ งปลอดภัย เขา้ ใจสิทธแิ ละหนา้ ทข่ี อง ข้อมลู มีความสอดคลอ้ งกนั ตน เคารพในสทิ ธิของผู้อื่น แจ้งผูเ้ กยี่ วขอ้ ง • การใช้เทคนิคการค้นหาข้ันสูง เช่น การใช้ เมอ่ื พบข้อมลู หรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม ตวั ดาเนินการ การระบุรปู แบบของข้อมลู หรอื ชนิดของไฟล์ • การจัดลาดับผลลัพธ์จากการคน้ หาของ โปรแกรมคน้ หา • การเรียบเรยี ง สรปุ สาระสาคัญ (บรู ณาการกบั วชิ าภาษาไทย) • อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรม ทางอินเทอร์เนต็ แนวทางในการปอ้ งกนั • วิธกี าหนดรหัสผา่ น • การกาหนดสิทธิก์ ารใชง้ าน (สิทธิ์ในการเข้าถึง) • แนวทางการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ • อันตรายจากการตดิ ตง้ั ซอฟต์แวร์ที่อยบู่ น อนิ เทอร์เนต็ ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 78 โครงสรา้ งหลกั สตู รชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๖ รหัส กลมุ่ สาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม เวลาเรยี น (ชม./ปี) ท ๑๖๑๐๑ รายวิชาพ้ืนฐาน (๘๔๐) ค ๑๖๑๐๑ ภาษาไทย ๑๖๐ ว ๑๖๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑๖๐ ส ๑๖๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 120 ส ๑๖๑๐๒ สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม พ ๑๖๑๐๑ ประวตั ิศาสตร์ 80 ศ ๑๖๑๐๑ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ๔๐ ง ๑๖๑๐๑ ศิลปะ 8๐ อ ๑๖๑๐๑ การงานอาชีพ 4๐ ภาษาองั กฤษ 4๐ อ 16201 120 รายวชิ าเพิม่ เติม (4๐) ภาษาองั กฤษ 40 (๑๒๐) กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 4๐ แนะแนว กิจกรรมนกั เรียน 4๐ 3๐ • ลกู เสือ เนตรนารี ๑๐ • ชุมนุม 1,000 กจิ กรรมเพอื่ สงั คมและสาธารณะประโยชน์ รวมเวลาเรียนทงั้ หมด ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 79 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน รหสั วิชา ว ๑6๑๐๑ ช่ือรายวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เวลา 12๐ ช่ัวโมง ศึกษา วิเคราะห์ สารอาหารประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเองรับประทาน การเลือกรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมทั้งความ ปลอดภัยต่อสุขภาพ แบบจาลอง ระบบยอ่ ยอาหาร หน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหารและ การดูดซึมสารอาหาร ความสาคัญของระบบย่อยอาหาร การดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางาน เป็นปกติ การแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการ ตกตะกอน วธิ ีการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวนั เกย่ี วกับการแยกสาร การเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซ่ึงเกิดจากวตั ถุ ท่ีผา่ นการขัดถู ส่วนประกอบ หน้าที่ ของวงจรไฟฟ้าแต่ละส่วนอย่างง่าย แผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าอนุกรม และแบบขนาน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและขนานด้วยวิธีการทีเ่ หมาะสม ประโยชน์ ข้อจากัด การเกิด เงามืด เงามัว แผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว แบบจาลองปรากฏการณ์สุริยุปราคา และ จนั ทรุปราคา พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศและการใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน กระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร แบบจาลองวัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์ของหินและแร่ในชีวิตประจาวัน แบบจาลองการเกิด ซากดึกดาบรรพ์สภาพแวดล้อมในอดีต การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม จาก แบบจาลอง ผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบของ น้าท่วม การกัดเซาะ ชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ ผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย แนวทางการเฝ้าระวังและ ปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ แบบจาลองอธิบายการเกิดและผลของปรากฏการณ์เรือนกระจก กิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจกลูกเห็บ ใช้เหตุผลเชิงตรรกะใน การแก้ปัญหา การทางาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอยา่ งงา่ ย ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไขใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เขา้ ใจสทิ ธิและหน้าท่ขี องตน เคารพในสิทธขิ องผู้อืน่ โด ย ใช้ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูลจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปรายเพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจจริยธรรม คุณธรรมและ ค่านยิ มทเ่ี หมาะสม รหสั ตัวช้ีวัด ว 1.2 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5 ว 2.1 ป.6/1 ว 2.2 ป.6/1 ว 2.3 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป.6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8 ว 3.1 ป.6/1 , ป.6/2 ว 3.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป’6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8 , ป.6/9 ว 4.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3, ป.6/4 รวม 30 ตัวชี้วัด ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 80 โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา วิทยาศาสตร์ 6 ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 รหัสวิชา ว16101 เวลา 120 ชั่วโมง / ปี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ตวั ชี้วัด จานวน นา้ หนกั (ชวั่ โมง) คะแนน สารอาหารและระบบย่อยอาหาร ว 1.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5 การแยกสาร 20 18 วงจรไฟฟ้า ว 2.1 ป6/1 20 17 โลกและการเปลยี่ นแปลง ว 2.2 ป6/1 ว 2.3 ป6/1, ป6/2, ป6/3, 20 18 วทิ ยาการคานวณ ป6/4, ป6/5, ป6/6, ป6/7, ป6/8 ว 3.1 ป6/1, ป6/2 ว 3.2 ป6/1, ป6/2, 20 17 ป6/3, ป6/4, ป6/5, ป6/6, ป6/7, ป6/8, ป6/9 40 30 ว 4.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4 120 100 รวม 30 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 81 กำรตัดสินผลกำรเรยี น ตำมหลกั สูตรแกนกลำง เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรียน ๑. การตัดสนิ การให้ระดบั และการรายงานผลการเรยี น ๑.๑ การตดั สนิ ผลการเรยี น ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องคานึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็น หลัก และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ืองในแต่ละภาคเรียน รวมท้ังสอนซ่อมเสริม ผูเ้ รียนใหพ้ ฒั นาจนเตม็ ตามศักยภาพ ระดับประถมศึกษา (๑) ผ้เู รียนต้องมเี วลาเรยี นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทง้ั หมด (๒) ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการประเมินทุกตัวชวี้ ัด และผา่ นตามเกณฑ์ที่สถานศกึ ษากาหนด (๓) ผ้เู รียนตอ้ งไดร้ ับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา (๔) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมผี ลการประเมนิ ผา่ นตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนด ในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น การพิจารณาเล่ือนชั้น ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่า สามารถพัฒนาและสอนซอ่ มเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้เล่ือนชัน้ ได้ แตห่ ากผู้เรยี น ไม่ผ่านรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับช้ันที่สูงข้ึน สถานศึกษาอาจตั้ง คณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าช้ันได้ ทั้งนี้ให้คานึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็น สาคัญ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 82 ๑.๒ การใหร้ ะดับผลการเรยี น ระดับประถมศึกษา ในการตัดสนิ เพ่ือใหร้ ะดับผลการเรียนรายวชิ า สถานศึกษาสามารถให้ระดับ ผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏบิ ตั ขิ องผูเ้ รยี น เป็นระบบตวั เลข ระบบตวั อักษร ระบบร้อยละ และ ระบบทใ่ี ช้คาสาคญั สะทอ้ นมาตรฐาน การใหร้ ะดบั ผลการเรียน โรงเรียนกาหนดให้การตัดสนิ เพ่ือใหร้ ะดับผลการเรยี นรายวิชาของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ให้ใชต้ ัวเลขแสดงระดับผลการเรยี นเปน็ ๘ ระดับ ดังนี้ ระดบั ผลการเรียน ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ ระบบท่ใี ชค้ าสาคญั สะทอ้ นมาตรฐาน ๔ ๘๐ - ๑๐๐ 5 ระดับ 4 ระดบั 2 ระดับ ๓.๕ ๗๕ - ๗๙ ๓ ๗๐ - ๗๔ ดีเยยี่ ม ดเี ยยี่ ม ๒.๕ ๖๕ - ๖๙ ๒ ๖๐ - ๖๔ ดี ดี ผา่ น ๑.๕ ๕๕ - ๕๙ พอใช้ ๑ ๕๐ - ๕๔ ๐ ๐ - ๔๙ ผา่ น ผา่ น ไมผ่ ่าน ไม่ผ่าน ไมผ่ า่ น ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 83 ศัพท์ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ตวั ช้ีวดั กลุ่มสำระกำรเรียนร้วู ทิ ยำศำสตร์ ที่ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย ๑. กาหนดปัญหา define problem ระบุคาถาม ประเด็นหรอื สถานการณท์ ่ีเป็น ขอ้ สงสยั เพ่ือนาไปสู่การแก้ปัญหาหรือ อภปิ รายรว่ มกัน ๒. แกป้ ัญหา solve problem หาคาตอบของปัญหาทีย่ ังไมร่ ู้วิธกี ารมาก่อน ท้ังปัญหาทเ่ี กี่ยวข้องกับวทิ ยาศาสตรโ์ ดยตรง และปญั หาในชีวิตประจาวันโดยใช้เทคนิค และ วิธกี ารต่าง ๆ ๓. เขียนแผนผงั /วาดภาพ construct diagram/ นาเสนอข้อมลู หรือผลการสารวจตรวจสอบ illustrate ด้วยแผนผัง กราฟหรือภาพวาด ๔. คาดคะเน predict คาดการณ์ผลทีจ่ ะเกดิ ข้นึ ในอนาคตโดยอาศัย ขอ้ มลู ท่สี ังเกตไดแ้ ละประสบการณ์ท่ีมี ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 84 ที่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย ๕. คานวณ ๖. จาแนก calculate หาผลลพั ธ์จากข้อมูล โดยใชห้ ลกั การ ทฤษฎี ๗. ต้งั คาถาม ๘. ทดลอง หรอื วิธีการทางคณติ ศาสตร์ ๙. นาเสนอ classify จดั กลมุ่ ของสิง่ ต่าง ๆ โดยอาศัยลกั ษณะท่ี ๑๐. บรรยาย เหมือนกนั เป็นเกณฑ์ ๑๑. บอก ๑๒. บันทึก ask question พูดหรือเขยี นประโยค หรือวลเี พ่อื ใหไ้ ด้มาซึง่ ๑๓. เปรียบเทียบ ๑๔. แปลความหมาย การค้นหาคาตอบท่ตี อ้ งการ ๑๕. ยกตัวอย่าง ๑๖. ระบุ conduct/experimen ปฏบิ ตั กิ ารเพื่อหาคาตอบของคาถาม หรือ ๑๗. เลือกใช้ ๑๘. วดั t ปัญหาในการทดลอง โดยตง้ั สมมติฐานเพ่ือ ๑๙. วเิ คราะห์ เปน็ แนวทางในการกาหนดตวั แปรและ วางแผนดาเนนิ การเพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน present แสดงข้อมลู เรื่องราว หรือความคดิ เพ่ือให้ ผ้อู น่ื รบั รู้หรอื พิจารณา describe ให้รายละเอียดของเหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนให้ผอู้ ่ืนไดร้ ับรดู้ ้วยการ บอกหรือเขยี น tell ใหข้ อ้ มลู ข้อเทจ็ จรงิ แก่ผู้อนื่ ดว้ ยการพูด หรือเขยี น record เขยี นขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการสงั เกตเพือ่ ชว่ ยจา หรอื เพื่อเป็นหลักฐาน compare บอกความเหมือน และ/หรือความแตกตา่ ง ของสง่ิ ทีเ่ ทียบเคียงกนั interpret แสดงความหมายของข้อมูลจากหลกั ฐานที่ ปรากฏ เพือ่ ลงข้อสรุป give examples ใหข้ อ้ มูลเหตกุ ารณ์ หรือสถานการณ์ เพื่อ แสดงความเข้าใจในสงิ่ ท่ีไดเ้ รียนรู้ identify ชบี้ อกสง่ิ ตา่ ง ๆ โดยใช้ข้อมลู ประกอบอย่าง เพียงพอ select พิจารณา และตดั สนิ ใจนาวัสดุสง่ิ ของ อุปกรณ์ หรือวิธีการมาใช้ได้อย่างเหมาะสม measure หาขนาด หรอื ปริมาณ ของส่งิ ตา่ ง ๆ โดยใช้ เครื่องมือ ที่เหมาะสม analyze แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบจัดลาดับ จดั จาแนก หรือเช่อื มโยงข้อมูล ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 85 ที่ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย ๒๐. สร้างแบบจาลอง construct model นาเสนอแนวคดิ หรอื เหตกุ ารณ์ในรปู ของ แผนภาพ ชนิ้ งานสมการ ข้อความ คาพดู และ/หรอื ใช้แบบจาลองเพอ่ื อธิบายความคิด วัตถุ หรอื เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ๒๑. สังเกต observe หาข้อมูลดว้ ยการใช้ประสาทสัมผสั ท้ังห้า ที่ เหมาะสมตามข้อเทจ็ จรงิ ทีป่ รากฏ โดยไม่ใช้ ประสบการณเ์ ดมิ ของผสู้ งั เกต ๒๒. สารวจ explore หาขอ้ มูลเกยี่ วกับสิ่งตา่ ง ๆ โดยใชว้ ธี ีการและ เทคนคิ ทีเ่ หมาะสม เพ่ือนาข้อมลู มาใชต้ าม วตั ถุประสงค์ทก่ี าหนดไว้ ๒๓. สบื คน้ ข้อมลู search หาขอ้ มลู หรอื ขอ้ สนเทศที่มผี ู้รวบรวมไว้แล้ว จากแหลง่ ตา่ ง ๆมาใช้ประโยชน์ ๒๔. สื่อสาร communicate นาเสนอ และแลกเปลีย่ นความคิด ข้อมูล หรือผลจากการสารวจตรวจสอบ ด้วยวธิ ที ี่ เหมาะสม ๒๕. อธบิ าย explain กล่าวถึงเรือ่ งราวต่าง ๆ อย่างมเี หตผุ ล และมี ขอ้ มูล หรือประจักษพ์ ยานอา้ งอิง ๒๖. อภิปราย discuss แสดงความคิดเหน็ ต่อประเด็นหรือคาถาม อยา่ งมเี หตุผลโดยอาศยั ความร้แู ละ ประสบการณ์ ของผู้อภิปรายและข้อมูล ประกอบ ๒๗. ออกแบบการทดลอง design experiment กาหนด และวางแผนวิธกี ารทดลองให้ สอดคล้องกบั สมมตฐิ านและตัวแปรตา่ ง ๆ รวมทั้งการบันทึกข้อมลู ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 86 ศัพท์ท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั ตวั ชี้วัดสาระเทคโนโลยี ท่ี ภำษำไทย ภำษำอังกฤษ ควำมหมำย ๑. การใช้ลขิ สทิ ธิ์ของผู้อื่นโดย fair use การนาส่อื หรือข้อมลู ท่เี ป็นลขิ สทิ ธิข์ องผูอ้ นื่ ไปใช้โดย ชอบธรรม ชอบด้วยกฎหมาย ภายใตเ้ ง่ือนไขบางประการ เช่น ๑) นาไปใช้ในการศึกษา หรอื การค้า ๒) งานน้ันเป็นงานวิชาการ หรือบนั เทิง ๓) คดั ลอกเพียงส่วนนอ้ ย หรือคดั ลอกจานวนมาก ๔) ทาให้เจา้ ของเสยี ผลประโยชนท์ างการเงนิ มากน้อย เพยี งใด ๒. การตรวจและแก้ไข debugging กระบวนการในการคน้ หาข้อผิดพลาดของโปรแกรม ขอ้ ผิดพลาด เพอื่ แก้ไขให้ทางานไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. การประมวลผลข้อมูล data processing การดาเนนิ การต่าง ๆ กับข้อมูลเพือ่ ให้ได้ผลลพั ธ์ทีม่ ี ความหมาย และมีประโยชนต์ ่อการนาไปใช้งานมาก ยงิ่ ข้นึ ๔. การรวบรวมข้อมูล data collection กระบวนการในการรวบรวมข้อมูลที่เกยี่ วขอ้ งจาก แหลง่ ข้อมลู ตา่ ง ๆ ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 87 ท่ี ภำษำไทย ภำษำอังกฤษ ควำมหมำย ๕. ขอ้ มลู ปฐมภูมิ primary data ข้อมูลทีร่ วบรวมโดยตรงจากแหล่งขอ้ มลู ขน้ั ต้น โดย ๖. เทคโนโลยี อาจใช้วธิ ีการสังเกต การทดลอง การสารวจ การ technology สัมภาษณ์ ๗. แนวคดิ เชิงคานวณ ๘. แนวคดิ เชงิ นามธรรม computational สิง่ ทม่ี นุษยส์ รา้ งหรือพัฒนาขึ้น ซ่งึ อาจเปน็ ได้ทั้ง ๙. ระบบทางเทคโนโลยี thinking ช้ินงาน หรือวิธีการ เพือ่ ใช้แก้ปญั หาสนองความ abstraction ต้องการ หรือเพ่ิมความสามารถในการทางานของ ๑๐. เหตุผลเชงิ ตรรกะ technological มนษุ ย์ ๑๑. เหตุผลวบิ ตั ิ system ๑๒. อัตลกั ษณ์ กระบวนการในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะหอ์ ย่าง ๑๓. อัลกอริทมึ logical มีเหตุผลเป็นข้นั ตอน เพ่ือหาวธิ ีการแก้ปญั หาใน ๑๔. แอปพลเิ คชัน reasoning รูปแบบทส่ี ามารถนาไปประมวลผลได้ logical fallacy การพิจารณารายละเอียดท่สี าคญั ของปญั หา Identity แยกแยะสาระสาคัญออกจากสว่ นทีไ่ ม่สาคญั algorithm กลุ่มของส่วนต่าง ๆ ต้ังแตส่ องส่วนขึน้ ไป ประกอบ เข้าด้วยกัน และทางานร่วมกันเพ่ือให้บรรลุ software วตั ถปุ ระสงค์ โดยในการทางานของระบบทาง application เทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย ตัวปอ้ น (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ท่ี สัมพันธ์กัน นอกจากนีร้ ะบบทางเทคโนโลยีอาจมี ข้อมูลย้อนกลบั (feedback) เพอื่ ใช้ปรับปรุงการ ทางานได้ตามวัตถุประสงค์ การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เง่อื นไขทเี่ กย่ี วข้อง เพ่ือแก้ปญั หาได้ครอบคลุมทกุ กรณี การใช้เหตผุ ลทผ่ี ิดพลาด ไมอ่ ยบู่ นพ้ืนฐานของความ จรงิ ไม่มนี ้าหนักสมเหตสุ มผลมาสนับสนนุ หรือช้ีนา ขอ้ สรุปทผี่ ดิ ให้ดนู ่าเช่อื ถือ ลักษณะเฉพาะหรือข้อมลู สาคัญทีบ่ ่งบอกถึงความ เปน็ ตวั ตนของบุคคลหรือสิง่ ใดสิ่งหน่งึ เชน่ ชื่อบัญชี ผูใ้ ช้ ใบหน้า ลายน้ิวมอื ขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือการทางาน โดยมลี าดับ ของคาสั่งหรือวิธีการที่ชดั เจน ที่คอมพิวเตอร์ สามารถปฏบิ ตั ติ ามได้ ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ ทท่ี างานบนคอมพวิ เตอร์ สมาร์ตโฟน แทบ็ เลต็ หรืออปุ กรณ์เทคโนโลยอี นื่ ๆ ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ห น้ า | 88 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook