Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

คู่มือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

Published by สุรชัย ชูกระชั้น, 2019-08-15 01:06:03

Description: 1.1คู่มือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ1

Search

Read the Text Version

ค่มู อื การจดั การเรยี นการสอนทเี่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

2 วิสยั ทศั น์ มหาวทิ ยาลัยชนั้ นาแหง่ โลกอาชีพ A Leading University for Diverse Carees เอกลกั ษณ์ RMUTP Uniqueness มหาวทิ ยาลยั แหง่ โลกอาชพี University for Diverse Carees อัตลกั ษณ์ RMUTP Identity บณั ฑิตนกั ปฏิบัติ Hand - on ใฝร่ ู้ Keenness สู้งาน Determination เชีย่ วชาญเทคโนโลยี Technological Expertise มีคุณธรรม Integrity มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

3 คานา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ให้ความสาคัญต่อการปฏิบัติราชการตามคารับรองการ ปฏบิ ตั ิราชการของสถาบันอุดมศกึ ษาท่ีมตี ่อสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อให้มหาวิทยาลัยมี การปฏิบัติราชการท่สี อดคล้องกบั การบริหารกิจการบ้านเมืองทีด่ ี พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตราท่ี 22 กาหนดไวว้ า่ การจัดการศกึ ษาต้องยึดหลัก วา่ ผ้เู รยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองไว้ และถือวา่ ผเู้ รยี นมีความสาคัญที่สุด มหาวิทยาลัยจึง ให้ความสาคัญต่อการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และจัดทาคู่มือนี้ข้ึน เพ่ือให้อาจารย์ได้ใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาการเรยี นการสอนให้เป็นไปตามหลักการดงั กลา่ ว ขอขอบคุณมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวนั ออก และมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลอีสานที่ ให้ตวั อยา่ งเอกสารเพื่อประกอบการจดั ทาและเปน็ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

สารบัญ 4 ตอนที่ 1 แนวความคิดการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรยี นเป็นสาคญั หนา้ ตอนที่ 2 องค์ประกอบและตัวบง่ ชก้ี ารจัดการเรียนร้ทู ี่เน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ตอนท่ี 3 กระบวนการเรียนรูท้ ี่เน้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั 5 ตอนท่ี 4 เทคนคิ การเรยี นรู้ที่เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั 11 ตอนที่ 5 การวดั และประเมินผลท่เี น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ 13 ตอนท่ี 6 ครูอาจารย์กับการจัดการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั 17 ตอนที่ 7 ผ้บู ริหารกบั การจดั การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคญั 18 บรรณานกุ รม 20 21 23 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

5 1. แนวคดิ การจัด การเรยี นการสอนท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั จากตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ถือว่าเป็นความพยายามท่ีจะทาการปฏิรูป การศึกษาครั้งสาคัญ ซึ่งดาเนินการจัดทาข้ึนด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ ครู อาจารย์ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชน องค์กร และสถาบันต่างๆ มีการศึกษาปัญหา ประมวลองค์ ความรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการระดมผู้รู้ นักปราชญ์มาช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างเป้าหมาย ของการศกึ ษาไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่กาหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือแก้ปัญหาทาง การศกึ ษา และถือไดว้ า่ เปน็ เครอ่ื งมือสาคัญในการปฏิรปู การศกึ ษา สรุปหลักการสาคญั ได้ 7 ดา้ น ดงั นี้ 1. ดา้ นความเสมอภาคของโอกาสทางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปรากฏตามนัย มาตรา 10 วรรค 1 คือ การ จัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสทิ ธแิ ละโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี โดย ท่ีรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ไม่เก็บค่าใช้จ่าย และมาตรา 8 (1) การจัดการศึกษาให้ยึดหลักว่าเป็น การศกึ ษาตลอดชวี ิตสาหรบั ประชาชน 2. ด้านมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ปรากฏตามมาตรา 9 (3) กาหนดมาตรฐานการศึกษาและ จัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา และมาตรา 47 กาหนดให้มีระบบประกัน คุณภาพการศึกษาเพ่ือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบประกันคุณภาพ ภายในและระบบประกันคณุ ภาพภายนอก 3. ด้านระบบบรหิ ารและการสนบั สนนุ ทางการศึกษา ปรากฏตามมาตรา 9 (2) การจัดระบบโครงสร้าง และกระบวนการจดั การศกึ ษา ให้ยึดหลักดังนี้ (1) มีเอกภาพด้านนโยบายและหลากหลายในการปฏิบัติ (2) มีการกระจายอานาจไปสู่เขตพ้ืนท่ี การศกึ ษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (3) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้จัดการศึกษา (4) การมีสว่ นร่วมของบคุ คล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กร วิชาชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ๆ มาตรา 43 การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน ให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกากับ ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาเชน่ เดียวกบั การศึกษาของรฐั 4. ด้านครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ปรากฏตาม มาตรา 9 (4) มีหลักการส่งเสริม มาตรฐานวชิ าชพี ครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา และการพฒั นาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการ ศึกษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มาตรา 52 ให้กระทรวงฯ ส่งเสริมให้มีระบบกระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศึกษาให้มีคุณภาพ และมาตรฐานท่ีเหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกากับและประสานให้ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

6 สถาบันที่ทาหน้าท่ีผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความ เข้มแขง็ ในการเตรยี มบุคลากรใหมแ่ ละการพัฒนาบคุ ลากรประจาการอย่างต่อเนื่อง รัฐพึงจัดสรรงบประมาณและ จดั ตง้ั กองทนุ พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษาอยา่ งเพยี งพอ 5. ด้านหลักสูตร ปรากฏตามมาตรา 8 (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่าง ต่อเน่ือง มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนดหลักสูตรภาคบังคับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อ ความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพ่ือการศึกษาต่อ ให้สถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพ ปญั หาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ มาตรา 28 หลักสูตรสถานศึกษาต่าง ๆ รวมท้ังหลักสูตรสถานศึกษาสาหรับบุคคลพิการ ต้องมีลักษณะ หลากหลาย ทั้งนี้ ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสม แกว่ ัยและศักยภาพ สาระของหลักสูตรทั้งท่ีเป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลท้ังด้านความรู้ ความคดิ ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม สาหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้ว ยังมี ความมุ่งหมายเฉพาะท่ีจะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพช้ันสูง และด้านการค้นคว้า วิจัย เพ่ือพัฒนาองค์ความรู้และ พฒั นาทางสงั คม มาตรา 24 (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจและความถนัด โดยคานึงถึงความ แตกตา่ งระหว่างบุคคล 6. ด้านกระบวนการเรียนรู้ ปรากฏตามมาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ มาตรา 24 การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ใหส้ ถานศึกษาและหน่วยงานทเี่ ก่ยี วขอ้ งดาเนนิ การ ดงั น้ี (1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ ความรมู้ าใช้เพือ่ ป้องกันและแก้ไขปญั หา (3) จดั กิจกรรมใหผ้ ้เู รียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ใหค้ ดิ ได้ คิดเป็น ทาเปน็ รักการอา่ น และเกิดการใฝร่ ้อู ย่างตอ่ เนอื่ ง (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึง ประสงคไ์ วใ้ นทุกวิชา (5) ส่งเสรมิ สนบั สนุนใหค้ รสู ามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสอื่ การเรียน และอานวย ความสะดวกเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการ จัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการ ประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผูป้ กครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่อื ร่วมกันพฒั นาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

7 มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พพิ ธิ ภัณฑ์ หอศลิ ป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่นอย่างพอเพียงและมี ประสทิ ธิภาพ มาตรา 26 ใหส้ ถานศกึ ษาจัดการประเมนิ ผู้เรยี นโดยพิจารณาจากพฒั นาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น การรว่ มกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความ เหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศกึ ษา มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งต่อเน่อื ง 7. ด้านทรัพยากรและการลงทุนเพ่ือการศึกษา ปรากฏตามมาตรา 9 (5) การจัดระบบ โครงสร้างและ กระบวนการจดั การศกึ ษา ให้ยดึ หลกั ดงั นี้ (5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งตา่ งๆ มาใช้ในการจัดการศกึ ษา มาตรา 58 ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ท้ังจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอ่นื และตา่ งประเทศ มาใชใ้ นการจดั การศึกษา มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษา ในฐานะที่มีความสาคัญสูงสุดต่อความ มัน่ คงยัง่ ยนื ของประเทศ โดยจัดสรรเปน็ เงินงบประมาณเพ่ือการศกึ ษา จากหลกั การสาคญั ดงั กลา่ วข้างตน้ มีสว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การจัดการเรียนรทู้ เ่ี นน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญ คอื 1. ด้านหลักสูตร กล่าวถึงการปฏิรูปหลักสูตรให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยง มีความสมดุลในเนื้อหาสาระทั้งท่ี เป็นวิชาการ วิชาชีพ และวิชาว่าด้วยความเป็นมนุษย์ และให้มีการบูรณาการเนื้อหาหลากหลายที่มีประโยชน์ ตอ่ การดารงชวี ติ ได้แก่ 1.1 เนอื้ หาเกี่ยวกบั ตนเองและความสัมพนั ธร์ ะหว่างตนเองกับสังคม 1.2 เนื้อหาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี การบารุงรักษา ใช้ประโยชนจ์ ากธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม 1.3 เน้ือหาเกย่ี วกับศาสนา ศลิ ปะ วัฒนธรรม ภูมิปญั ญาไทย 1.4 เนอื้ หาความรแู้ ละทกั ษะด้านคณิตศาสตร์และภาษา เน้นการใชภ้ าษาไทยอยา่ งถูกต้อง 1.5 เน้ือหาความรแู้ ละทกั ษะในการประกอบอาชีพและการดารงชวี ติ อย่างมีความสขุ 2. ด้านกระบวนการเรียนรู้ กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ โดยถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และเป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ดังข้อมูลท่ีระบุไว้เป็น หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาท่ีสานักนโยบายและแผนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สานักงาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2543) ได้สรุปถึงลักษณะกระบวนการจัดการเรียนรู้ในสาระของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ ไว้ดังน้ี 2.1 มกี ารจัดเนอื้ หาที่สอดคล้องกบั ความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน 2.2 ใหม้ ีการเรยี นรจู้ ากประสบการณแ์ ละฝึกนสิ ัยรักการอ่าน มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

8 2.3 จัดให้มีการฝึกทกั ษะกระบวนการและการจดั การ 2.4 มีการผสมผสานเนอื้ หาสาระดา้ นตา่ งๆ อย่างสมดุล ปลกู ฝงั คุณธรรม 2.5 จดั การส่งเสริมบรรยากาศการเรียนเพ่อื ให้เกดิ การเรียนรู้และรอบรู้ 2.6 จัดใหม้ ีการเรยี นรู้ไดท้ กุ เวลา ทุกสถานที่ และใหช้ มุ ชนมสี ่วนรว่ มในการจดั การเรียนร้ดู ้วย 3. ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นสาคัญ จะต้องประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง โดยการใช้วิธีการประเมินผู้เรียนหลายๆ วิธี ได้แก่ การสังเกตพฤติกรรม การเรียนและการร่วมกิจกรรม การใช้แฟ้มสะสมงาน การทดสอบ การสัมภาษณ์ ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียน การสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสแสดงผลการเรียนรู้ได้หลายแบบ ไม่เพียงแต่ความสามารถทางผลสัมฤทธิ์การเรียน ซ่ึงวัดได้โดยแบบทดสอบเท่าน้ัน การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้แบบนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างอันเกิด จากผลการพัฒนาตนเองของผู้เรยี นในด้านตา่ ง ๆ ไดช้ ดั เจนมากข้นึ แนวคิดจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ท่ียอมรับ บุคคล หรือผู้เรยี นมคี วามแตกต่างกัน และทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ครหู รือผ้จู ดั การเรยี นรู้ควรมีความเชื่อพน้ื ฐานอย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) เชื่อว่าทุกคนมีความแตกต่างกัน (2) เช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และ (3) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดได้ทุกท่ีทุกเวลา ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้จึงเป็น การจัดการบรรยากาศ กิจกรรม ส่อื สถานการณ์ ฯลฯ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ ครูจึงจาเป็น ท่ีจะต้องรู้จักผู้เรียนอย่างรอบด้าน และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือนาไปเป็นพ้ืนฐานการออกแบบหรือวาง แผนการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับผู้เรียน สาหรับในการจัดกิจกรรมหรือออกแบบการเรียนรู้ อาจทาได้หลาย วิธีการและหลายเทคนิค แต่มีข้อควรคานึงว่าในการจัดการเรียนรู้แต่ละคร้ัง แต่ละเร่ืองได้เปิดโอกาสให้กับ ผู้เรียนในเรอื่ งตอ่ ไปนีห้ รอื ไม่ 1. เปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้เลือกหรือตัดสินใจในเนื้อหาสาระท่ีสนใจ เป็นประโยชน์ต่อตัว ผเู้ รียนหรอื ไม่ 2.. เปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยได้คิด ได้รวบรวมความรู้และลงมือ ปฏบิ ัตจิ รงิ ด้วยตนเองหรอื ไม่ ในการเปิดโอกาสให้นักเรยี นมีส่วนร่วมและสามารถนาไปใชเ้ ปน็ แนวปฏบิ ัติได้ ดังน้ี 2.1 กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีที่ควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย คอื เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคล่ือนไหวร่างกาย เพ่ือช่วยให้ประสาทการเรียนรู้ของผู้เรียนต่ืนตัว พร้อมท่ีจะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัยสาคัญในการเรียนรู้ ถ้าผู้เรียนอยู่ใน สภาพท่ีไมพ่ ร้อม แม้จะใหค้ วามรู้ท่ีดี ผเู้ รยี นกไ็ มส่ ามารถรับได้ ดงั จะเห็นได้ว่า ถ้าปล่อยให้ผู้เรียนน่ังนานๆ ในไม่ ช้าผู้เรียนก็จะหลับหรือคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าให้มีการเคลื่อนไหวทางกายบ้างก็จะทาให้ประสาทการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี นตืน่ ตัวและพรอ้ มทจี่ ะรับและเรยี นรู้ส่งิ ตา่ งๆได้ดี ดังนั้น กิจกรรมท่ีจัดให้ผู้เรียนจึงควรเป็นกิจกรรมท่ีช่วย ให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เป็นระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับความสนใจ ของผู้เรียน 2.2 กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางสติปัญญา คือ เป็น กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเคลื่อนไหวทางสติปัญญา ต้องเป็นกิจกรรมท่ีท้าทายความคิดของผู้เรียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

9 สามารถกระตุ้นสมองของผู้เรียนให้เกิดการเคล่ือนไหว ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ยากหรือง่ายเกินไปทาให้ผู้เรียนเกิด ความสนกุ ที่จะคดิ 2.3 กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีควรช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม คือ เป็นกิจกรรมที่ ชว่ ยให้ผูเ้ รียนมีปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมกับบุคคลหรอื สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั เนื่องจากมนุษย์จาเป็นต้องอยู่รวมกันเป็น หมูค่ ณะ มนุษย์ตอ้ งเรียนรู้ทจ่ี ะปรบั ตัวเขา้ กบั ผู้อน่ื และสภาพแวดลอ้ มต่างๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ กับผอู้ ื่นจะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรทู้ างดา้ นสงั คม 2.4 กิจกรรมการเรียนร้ทู ด่ี ีควรช่วยให้ผู้เรยี นได้มีส่วนร่วมทางอารมณ์ คือ เป็นกิจกรรม ที่ส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง โดยกิจกรรม ดังกล่าวควรเก่ียวข้องกับผู้เรียนโดยตรง โดยปกติการมีส่วนร่วมทางอารมณ์นี้มักเกิดขึ้นพร้อมกับการกระทา อ่ืนๆ อยูแ่ ลว้ เชน่ กิจกรรมทางกาย สติปัญญา และสังคม ทกุ คร้งั ที่ครูให้ผู้เรียนเคล่ือนที่ เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยน กิจกรรม ผู้เรียนจะเกิดอารมณ์ ความรสู้ ึกตามมาดว้ ยเสมอ อาจเปน็ ความพอใจ ไมพ่ อใจ หรอื เฉย ๆ กไ็ ด้ จากแนวคิดทกี่ ล่าวถงึ ข้างต้นเป็นท่ีมาของการนาเสนอช่ือ “CIPPA” ซ่ึงระบุองค์ประกอบสาคัญในการจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนทเ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั กลา่ วคอื C มาจากคาว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดของทฤษฎีการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) โดยครูสร้างกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ ผเู้ รยี นมีสว่ นร่วมทางสตปิ ัญญา I มาจากคาว่า Interaction หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนหรือส่ิงแวดล้อมรอบตัว กิจกรรมการ เรียนร้ทู ด่ี ีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลและแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซ่ึงเป็น การชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมีสว่ นรว่ มทางสงั คม P มาจากคาวา่ Physical Participation หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคล่ือนไหวร่างกายโดยการ ทากิจกรรมในลกั ษณะต่างๆ เปน็ การช่วยให้ผ้เู รียนมีสว่ นรว่ มทางกาย P มาจากคาวา่ Process Learning หมายถงึ การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีควร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ ซ่ึงเป็นทักษะท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิต เช่น กระบวนการ แสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการพัฒนาตนเอง เป็นต้น การเรียนรู้กระบวนการเป็นส่ิงสาคัญเช่นเดียวกับการเรียนรู้เน้ือหาสาระต่างๆ และการเรียนรู้เกี่ยวกับ กระบวนการเปน็ การชว่ ยให้ผเู้ รยี นมสี ่วนรว่ มทางดา้ นสติปญั ญาอกี ด้วย A มาจากคาว่า Application หมายถงึ การนาความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยกุ ต์ใช้ ซงึ่ จะช่วยให้ผู้เรียน ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการเรยี นเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ชอ่ื มโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏบิ ัติ ซ่งึ จะทาให้การเรียนรู้ เปน็ สงิ่ ทมี่ ีประโยชน์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

10 ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นการสอนแบบ CIPPA MODEL ชนั้ นา สรา้ ง / กระตนุ้ ความสนใจพร้อมในการเรยี นรู้ ขั้นกจิ กรรม จัดกจิ กรรมตามหลกั การ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ CONSTRUCT คอื การใหผ้ ู้เรยี นสร้างความรดู้ ้วยตนเอง INTERRACTION คือ การให้ผเู้ รียนมปี ฏิสัมพันธ์ต่อกัน PATICIPATION คือ การใหผ้ ู้เรียนมีบทบาท / สว่ นร่วมในการเรียนรู้ PROCESS / PRODUCT คอื รู้จกั กระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน / ขอ้ ความรู้ APPLICATION คอื การทีใ่ หผ้ ้เู รียนนาความรู้ทไ่ี ดไ้ ปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนใ์ น ชวี ิตประจาวนั ขัน้ วเิ คราะห์ อภิปรายผลจากกิจกรรม วเิ คราะห์ อภปิ รายผลงานและขอ้ ความรู้ท่สี รปุ ได้จากกิจกรรม PRODUCT วิเคราะห์ อภิปรายผลงานและการเรียนรู้ PRODUCT ขน้ั สรปุ / ประเมนิ ผล ข้ันสรุป / ประเมินผลการเรยี นรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

11 2. องคป์ ระกอบและตวั บง่ ช้ี การจดั การเรยี นรทู้ ี่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยมี เป้าหมายใหผ้ ู้เรียนเป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข ซึง่ จาเปน็ ตอ้ งอาศยั ปจั จยั 3 ดา้ น 1. การบริหารจัดการ นับได้ว่าการบริหารจัดการเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนส่งเสริมการจัดการ เรียนร้ทู ส่ี าคัญ โดยเฉพาะการบริหารจดั การของสถานศึกษาที่เนน้ การพฒั นาท้งั ระบบของสถานศกึ ษา การพัฒนาทั้งระบบของสถานศึกษา หมายถึง การดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของสถานศึกษา ให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ คุณภาพของนักเรียนตามวิสัยทัศน์ที่สถานศึกษากาหนด ดังน้ันตัวบ่งชี้ที่แสดง ถึงการพฒั นาทง้ั ระบบของสถานศกึ ษาประกอบด้วย 1. การกาหนดเปา้ หมายในการพฒั นาที่มีจดุ เน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรยี นอยา่ งชดั เจน 2. การกาหนดแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกับเปา้ หมาย 3. การกาหนดแผนการดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของสถานศึกษาสอดคล้องกับ เป้าหมายและเปน็ ไปตามแผนยทุ ธศาสตร์ 4. การจดั ให้มรี ะบบประกันคณุ ภาพภายใน 5. การจัดทารายงานประจาปีเพ่ือรายงานผู้เก่ียวข้องและสอดคล้องกับแนวทางการประกัน คุณภาพจากภายนอก 2. การจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่แสดงถึงการเรียนรู้อย่างเป็น รูปธรรม ประกอบด้วย ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายท่ีแท้จริงของการเรียนรู้ บทบาทของครู และบทบาท ของผเู้ รยี น การจัดการเรยี นการสอนโดยให้ผเู้ รยี นเป็นสาคัญจะทาได้สาเร็จเม่ือผู้ที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียน การสอน ได้แก่ ครู และผู้เรียน มีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับความหมายของการเรียนรู้ ดังสาระท่ี ทิศ นา แขมมณี (2544) ได้กล่าวไว้ ดังนี้ 1. การเรยี นรู้เป็นงานเฉพาะบคุ คลทาแทนกันไม่ได้ ครูท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ต้อง เปิดโอกาสใหเ้ ขาได้มีประสบการณก์ ารเรยี นรดู้ ว้ ยตัวของเขาเอง 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาท่ีต้องมีการใช้กระบวนการคิด สร้างความเข้าใจ ความหมายของสงิ่ ต่างๆ ดังนัน้ ครูจึงควรกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นใช้กระบวนการคิดทาความเขา้ ใจส่งิ ตา่ งๆ 3. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม เพราะในเร่ืองเดียวกัน อาจคิดได้หลายแง่หลายมุม ทาให้เกิดการขยาย เติมเต็มข้อความรู้ ตรวจสอบความถูกต้องของการเรียนรู้ตามท่ีสังคมยอมรับด้วย ดังน้ัน ครูท่ีปรารถนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอ่ืนหรือ แหล่งขอ้ มูลอน่ื ๆ 4. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบานเพราะหลุดพ้นจากความไม่ รู้ นาไปสู่ความใฝ่รู้ อยากรู้อีก เพราะเป็นเรื่องน่าสนุก ครูจึงควรสร้างภาวะที่กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

12 หรือคับข้องใจบ้าง ผู้เรียนจะหาคาตอบเพ่ือให้หลุดพ้นจากความข้องใจ และเกิดความสุขข้ึนจากการได้ เรยี นรู้ เมอื่ พบคาตอบด้วยตนเอง 5. การเรียนรู้เป็นงานต่อเน่ืองตลอดชีวิต ขยายพรมแดนความรู้ได้ไม่มีท่ีส้ินสุด ครูจึงควร สร้างกิจกรรมทกี่ ระตุน้ ให้เกิดการแสวงหาความร้ไู ม่รจู้ บ 6. การเรยี นรู้เป็นการเปลี่ยนแปลง เพราะได้รู้มากขึ้นทาให้เกิดการนาความรู้ไปใช้ในการ เปลี่ยนแปลงส่ิงต่างๆ เป็นการพัฒนาไปสู่การเปล่ียนแปลงท่ีดีข้ึน ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับรู้ผลการ พฒั นาของตัวเขาเองด้วย 3. การเรียนรขู้ องผู้เรยี น องคป์ ระกอบสุดท้ายที่สาคัญและนับว่าเป็นเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ ทีเ่ นน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั คือ องค์ประกอบด้านการเรียนรู้ซ่ึงมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมท่ีเน้นเนื้อหาสาระเป็น สาคัญ และสอดคล้องกับองค์ประกอบด้านการจัดการเรียนรู้ ทั้งน้ีเพราะการจัดการเรียนรู้ก็เพ่ือเน้นให้มีผล ต่อการเรียนรู้ ดงั น้นั ตวั บง่ ช้ที บ่ี อกถงึ ลักษณะการเรยี นร้ขู องผเู้ รียน ประกอบดว้ ย 1. การเรียนรู้อย่างมีความสุข อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ท่ีคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล คานึงถึงการทางานของสมองที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของ ผ้เู รียน ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องท่ีต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ บรรยากาศของการเอื้ออาทรและ เปน็ มิตร ตลอดจนแหล่งเรยี นรู้ทห่ี ลากหลายนาผลการเรยี นรไู้ ปใช้ในชีวติ จรงิ ได้ 2. การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง หรือกล่าวอีกลักษณะหน่ึงคือ “เรียนด้วย สมองและสองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคาถามก็ ตาม และไดล้ งมือปฏิบตั จิ รงิ ซง่ึ เปน็ การฝึกทักษะทีส่ าคญั คอื การแก้ปัญหา ความมเี หตผุ ล 3. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น เป้าหมายสาคัญ ด้านหน่ึงในการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญคือ ผู้เรียนแสวงหาความรู้ท่ีหลากหลายทั้งในและนอก โรงเรียน ทั้งที่เป็นเอกสาร วัสดุ สถานที่ สถานประกอบการ บุคคลซึ่งประกอบด้วย เพื่อน กลุ่ม เพ่ือน วิทยากร หรือผเู้ ป็นภมู ปิ ญั ญาของชุมชน 4. การเรียนร้แู บบองคร์ วมหรอื บูรณาการ เปน็ การเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ ได้ สดั ส่วนกนั รวมทง้ั ปลกู ฝังคุณธรรม ความดีงาม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคใ์ นทกุ วิชาที่จดั ให้เรียนรู้ 5. การเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจของ ผู้จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญว่า ทุกคนเรียนรู้ได้และเป้าหมายท่ีสาคัญคือ พัฒนาผู้เรียนให้มี ความสามารถท่จี ะแสวงหาความร้ไู ด้ดว้ ยตนเอง ผ้จู ดั การเรยี นรูจ้ ึงควรสงั เกตและศกึ ษาธรรมชาติของการเรียนรู้ ของผู้เรยี นวา่ ถนัดทจี่ ะเรยี นรแู้ บบใดมากท่ีสุด ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วาง แผนการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (ซึง่ จะกลา่ วถึงรายละเอยี ดอีกครง้ั ในการเรยี นรู้โดยโครงงาน) การสนับสนุนให้ผู้เรียน ได้เรียนรดู้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ผู้เรียนจะได้รับการฝึกด้านการจัดการแล้วยังฝึกด้านสมาธิ ความ มวี นิ ยั ในตนเอง และการรูจ้ ักตนเองมากขน้ึ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

13 3. กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ กระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการจัดการศึกษาที่ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด โดยกระบวนการจัดการศึกษา จะตอ้ งส่งเสริมใหผ้ ้เู รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในระดับ การอุดมศึกษาตามแนวทางเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ซึ่งมุ่งพัฒนาความรู้และทักษะทางวิชาชีพ ทักษะชีวิตและ ทักษะสงั คม มีวธิ กี ารจดั การเรยี นรูห้ ลายรูปแบบ ดังนี้ 1 .การเรียนรู้จากกรณีปัญหา (Problem-based Learning : PBL) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนคิดและดาเนินการ เรียนรู้ กาหนดวัตถุประสงค์ และเลือกแหล่ง เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนเป็นผู้ให้คาแนะนา เป็น การส่งเสริมให้เกิดการแก้ปัญหามากกว่าการจาเนื้อหา ข้อเท็จจรงิ เปน็ การสง่ เสรมิ การทางานเป็น กลมุ่ และพฒั นาทักษะทางสังคม ซึ่งวิธีการนี้จะทาได้ดีในการจัดการ เรียนการสอนระดับอดุ มศึกษา เพราะผู้เรียนมีระดับความสามารถทางการคดิ และการดาเนนิ การด้วยตนเองได้ดี เง่ือนไขท่ีทาให้เกิดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ความรู้เดิมของผู้เรียน ทาให้เกิดความเข้าใจ ข้อมูลใหม่ได้ การจัด สถานการณ์ท่ีเหมือนจริง ส่งเสริมการแสดงออกและการนาไปใช้อย่างมี ประสิทธิภาพ การให้โอกาสผู้เรียนได้ ไตร่ตรองขอ้ มลู อยา่ งลึกซึง้ ทาใหผ้ เู้ รยี นตอบคาถาม จดบันทึก สอนเพอื่ น สรุป วิพากษ์วจิ ารณ์สมมติฐานที่ได้ต้ัง ไว้ได้ดี 2. การเรียนรู้เป็นรายบุคคล (individual study) เนื่องจากผู้เรียนแต่ละบุคคลมีความสามารถใน การเรียนรู้ และความสนใจในการเรียนรู้ท่ี แตกต่างกัน ดังน้ันจึงจาเป็นที่จะต้องมีเทคนิคหลายวิธี เพื่อช่วยให้ การจัดการเรียนในกลมุ่ ใหญ่ สามารถตอบสนองผเู้ รยี นแตล่ ะคนทีแ่ ตกตา่ งกันไดด้ ้วย อาทิ 2.1 เทคนิคการใช้ Concept Mapping ที่มีหลักการใช้ตรวจสอบความคิดของผู้เรียนว่าคิด อะไร เขา้ ใจสิ่งทเ่ี รยี นอยา่ งไรแลว้ แสดงออกมาเป็นกราฟกิ 2.2 เทคนิค Learning Contracts คือ สัญญาที่ผู้เรียนกับผู้สอนร่วมกันกาหนด เพ่ือใช้เป็น หลักยึดใน การเรยี นว่าจะเรียนอะไร อยา่ งไร เวลาใด ใช้เกณฑ์อะไรประเมิน 2.3 เทคนิค Know –Want-Learned ใช้เช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ ผสมผสานกับ การใช้ Mapping ความรู้เดิม เทคนิคการรายงานหน้าช้ันที่ให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมา นาเสนอหน้าช้ันซ่ึง อาจมีกิจกรรมทดสอบผฟู้ งั ด้วย 2.4 เทคนคิ กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เปน็ การเรียนท่ีทาให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกัน แลกเปลี่ยน ความรู้ความคิดซ่งึ กันและกัน เพอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายเดยี วกนั เพ่อื แกป้ ัญหาให้สาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ 3. การเรียนรู้แบบสรรคนิยม (Constructivism) การเรียนรู้แบบนี้มีความเช่ือพื้นฐานว่า “ผู้เรียน เป็นผู้สร้างความรู้โดยการอาศัย ประสบการณ์แห่งชีวิตท่ีได้รับเพื่อค้นหาความจริง โดยมีรากฐานจากทฤษฎี จิตวิทยาและปรัชญา การศึกษาท่ีหลากหลาย ซ่ึงนักทฤษฎีสรรคนิยมได้ประยุกต์ทฤษฎีจิตวิทยาและปรัชญา การศกึ ษา ดงั กล่าวในรปู แบบและมมุ มองใหม่ ซ่งึ แบ่งออกเป็น 2 กลุม่ ใหญ่ คือ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

14 3.1 กลุ่มที่เน้นกระบวนการรู้คิดในตัวบุคคล (radical constructivism or personal Constructivism or cognitive oriented constructivist theories) เป็นกลุ่มท่ีเน้นการ เรียนรู้ของมนุษย์ เปน็ รายบุคคล โดยมีความเช่ือวา่ มนษุ ย์แตล่ ะคนรู้วธิ ีเรยี นและรู้วธิ ี คดิ เพือ่ สรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเอง 3.2 กลุ่มที่เน้นการสร้างความรู้โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social constructivism or socially oriented constructivist theories) เป็นกลุม่ ที่เน้นวา่ ความรู้ คือ ผลผลิต ทางสังคม โดยมีข้อตกลง เบือ้ งต้นสองประการ คอื 1) ความรตู้ ้องสมั พันธก์ ับชุมชน 2) ปัจจยั ทางวฒั นธรรมสงั คมและประวัติศาสตร์มีผล ต่อการเรียนรู้ ดงั นัน้ ครูจึงมี บทบาทเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการเรยี นรู้ 4. การเรียนรู้แบบแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง (Self-Study) การเรียนรู้แบบนี้เป็นการให้ผู้เรียน ศึกษาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เช่น การจัดการ เรียนการสอนแบบสืบค้น (Inquiry Instruction) การ เรียนแบบค้นพบ (Discovery Learning) การ เรียนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving) การเรียนรู้เชิง ประสบการณ์ (Experiential Learning) ซง่ึ การเรียนการสอนแบบแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเองนี้ใช้ในการเรียนรู้ ท้ังท่เี ปน็ รายบุคคล และ กระบวนการกลุม่ 5. การเรียนรู้จากการทางาน (Work-based Learning) การเรียนรู้แบบนี้เป็นการจัดการเรียนการ สอนที่ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดพัฒนาการทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เนื้อหาสาระ การฝึกปฏิบัติจริง ฝึกฝน ทักษะทางสังคม ทักษะชีวิต ทักษะ วิชาชีพ การพัฒนาทักษะการคิดข้ันสูง โดยสถาบันการศึกษามักร่วมมือกับ แหล่งงานในชุมชน รับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน ตั้งแต่การกาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนด เน้ือหา กจิ กรรม และวธิ ีการประเมิน 6. การเรียนรู้ท่ีเน้นการวิจัยเพ่ือสร้างองค์ความรู้ (Research–based Learning) การเรียนรู้ที่เน้น การวิจัยถือได้ว่าเป็นหัวใจของบัณฑิตศึกษา เพราะเป็นการเรียนท่ีเน้น การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ ผเู้ รียนโดยตรง เป็นการพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้ และ การทดสอบความสามารถทางการเรียนรู้ด้วย ตนเองของผู้เรยี น โดยรปู แบบการเรียนการสอนอาจแบ่งได้เปน็ 4 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่ การสอนโดยใช้วิธีวิจัย เป็นวิธีสอน การสอนโดยผู้เรียนร่วมทา โครงการวิจัยกับอาจารย์หรือเป็นผู้ช่วยโครงการวิจัยของอาจารย์ การ สอนโดยผู้เรียนศึกษา งานวิจัยของอาจารย์และของนักวิจัยชั้นนาในศาสตร์ท่ีศึกษา และการสอนโดยใช้ ผลการวจิ ัย ประกอบการสอน 7. การเรียนรู้ที่ใช้วิธีสร้างผลงานจากการตกผลึกทางปัญญา (Crystal-Based Approach) การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบน้ี เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ความรู้ความคิดด้วย ตนเองด้วยการ รวบรวม ทาความเข้าใจ สรุป วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากการศึกษาด้วยตนเอง เหมาะสาหรับบัณฑิตศึกษา เพราะผูเ้ รียนที่เปน็ ผ้ใู หญ่ มปี ระสบการณ์เกี่ยวกับศาสตร์ทีศ่ ึกษามา ในระดบั หนงึ่ แล้ว วิธีการเรียนรู้เริ่มจากการ ทาความเข้าใจกับผู้เรียนให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ตาม แนวนี้ จากน้ันทาความเข้าใจในเน้ือหาและ ประเด็นหลัก ๆ ของรายวิชา มอบหมายให้ผู้เรียนไป ศึกษาวิเคราะห์เอกสาร แนวคิดตามประเด็นท่ีกาหนด แล้วให้ผเู้ รียนพัฒนาแนวคดิ ในประเด็นต่าง ๆ แยกทีละประเดน็ โดยให้ผเู้ รยี นเขยี นประเด็นเหล่านั้นเป็นผลงาน มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

15 ในลักษณะที่เป็นแนวคิด ของตนเองที่ผ่านการกล่ันกรอง วิเคราะห์เจาะลึกจนตกผลึกทางความคิดเป็นของ ตนเอง จากนน้ั จึง นาเสนอใหก้ ลุ่มเพ่อื นไดช้ ่วยวิเคราะห์ วิจารณอ์ ีกครัง้ สมศกั ดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (มปป.) ไดเ้ สนอยุทธศาสตรก์ ารเรียนรู้โดยยดึ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั 5 แบบ 1. การเรยี นแบบร่วมมือ เป็นวธิ ีการเรยี นที่ใหน้ กั เรียนทางานด้วยกนั เปน็ กลุม่ เล็กๆ เพื่อใหเ้ กดิ ผลการ เรียนรู้ท้งั ด้านความรู้ และทางด้านจิตใจ ช่วยใหน้ กั เรียนเหน็ คณุ ค่าในความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของเพือ่ นๆ เคารพความคิดเหน็ และความสามารถของผ้อู น่ื ที่แตกตา่ งจากตนตลอดจนรู้จักช่วยเหลือและสนับสนุนเพ่ือนๆ 2. การเรียนแบบประสบการณ์ เปน็ การเรียนรจู้ ากประสบการณ์ หรอื การเรยี นรู้จากการได้ลงมือ ปฏิบตั จิ รงิ โดยผเู้ รยี นได้มโี อกาสรบั ประสบการณ์ แล้วไดร้ บั การกระตนุ้ ให้สะท้อนสิ่งต่างๆ ทไ่ี ดจ้ าก ประสบการณ์ออกมาเพ่ือพัฒนาทักษะใหม่ๆ เจตคตใิ หมๆ่ หรอื วิธกี ารคดิ ใหม่ๆ 3. การเรยี นแบบอภิปญั ญา เป็นการเรียนทีใ่ หผ้ เู้ รียนคิดโดยเป็นการคิดทรี่ ตู้ วั วา่ คิดอะไร มวี ิธคี ิด อย่างไร สามารถตรวจสอบความคดิ ของตนได้ และสามารถปรบั เปลี่ยนกลวิธีการคิดของตนไดด้ ้วย 4. การเรยี นแบบสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นการเรยี นโดยส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รียนมีความคดิ สร้างสรรค์ เชน่ ใหผ้ ู้เรยี นระดมสมอง ให้ผู้เรียนคดิ ออกแบบในวชิ าการงานและพ้นื ฐานอาชีพ ใหผ้ ู้เรยี นคิดเขียนภาพในวชิ า ศิลปะ เป็นตน้ 5. การเรยี นแบบทาโครงงาน เป็นการเรียนโดยใหผ้ ้เู รยี นศึกษาค้นคว้าเรอื่ งทีต่ นเองสนใจ และทาเปน็ โครงงาน (Project) อาจทาเป็น รายงาน ภาคนพิ นธ์ หรือโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ก็ได้ ตวั อย่าง การเรียนรูโ้ ดยยดึ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางท่ีเป็นรปู ธรรม ที่ครอู าจารย์จะนาไปใช้ได้ โดยแยก ออกเป็นกลุม่ วชิ าตา่ งๆ ใหเ้ ห็นชดั เจนไดด้ งั นี้ 1. กลุ่มคานวณ ไดแ้ กว่ ิชา คณติ ศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ เคมคี านวณ และวชิ าอ่นื ๆทเี่ กี่ยวข้อง ธรรมชาติของ วชิ าคานวณต้องการความเขา้ ใจในกฎ ในทฤษฎีบทและทีม่ าของเน้ือหา ไม่ใชก่ ารท่องจาสตู รคานวณโดยไม่ เข้าใจ แตเ่ ป็นการเรียนรทู้ ี่มาของการพสิ จู น์ และการทาแบบฝึกหัดที่หลากหลาย ดังน้นั ผู้เรียนตอ้ งเรยี นรู้ท่ีมา ของการพสิ จู น์ และทาแบบฝึกหัดทห่ี ลากหลายมากๆ 2. กลุ่มวทิ ยาศาสตร์ ได้แก่วชิ า ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชวี ภาพ ธรรมชาติ ของกลุ่มวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวิชาทีม่ รี ากฐานอย่บู นหลักการและเหตุผล ขอ้ สรุปต่างๆได้มาจากการสงั เกต การ ทดลอง ดังน้ันการเรียนกลมุ่ วิชานีผ้ เู้ รยี นต้องทาการทดลองให้มากทสี่ ุด ไมใ่ ช่ทดลองแห้งที่เรียกกนั วา่ Lab แหง้ เพราะถ้าหากทา Lab แห้ง ผเู้ รียนจะได้ความรูเ้ พยี งระยะส้ัน ลมื เรว็ ใชเ้ ครอื่ งมือต่างๆไม่เปน็ ทดลองไมเ่ ป็น และทางานไม่เป็น ดงั นนั้ ผูส้ อนจะตอ้ งใหผ้ เู้ รียนทดลองให้มากท่ีสดุ 3. กลมุ่ ภาษา ได้แก่วชิ า ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาญ่ีปุน่ ภาษาจีน และภาษา อนื่ ๆ ธรรมชาตขิ องกล่มุ ภาษาคอื การส่ือสาร ซ่งึ ครอบคลุมการพดู การฟัง การอ่าน และการเขียน ดังนนั้ การ เรยี นภาษาผเู้ รียนต้องฝกึ พูด ฟัง อ่าน เขียนมากๆ ไม่ใช่เอาแตท่ ่องจาอยา่ งเดียว 4. กลมุ่ สังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ไดแ้ ก่วิชา สงั คมศึกษา ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ ศาสนา การ ปกครอง ซึง่ เป็นวิชาทศี่ กึ ษาสงั คมรอบตวั ดงั น้นั การเรยี นรู้ท่ีดที ี่สุดในกลุ่มวิชานี้คอื การติดตามข่าวสาร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

16 เหตกุ ารณป์ ัจจบุ นั จากส่อื ตา่ งๆ เช่นจากหนังสอื พิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อนิ เตอรเ์ น็ต แลว้ คดั ลอกมา เพ่อื นามาคิด นามาวเิ คราะห์กบั บทเรยี น ไม่ใชค่ ดั ลอกมาท่องจาแต่อยา่ งเดียว 5. กลุ่มศิลปะ การงานและพื้นฐานอาชพี ไดแ้ ก่ วชิ า ศิลปศกึ ษา อุตสาหกรรมศิลป์ คหกรรมศลิ ป์ เกษตรกรรมศลิ ป์ ธรุ กจิ ศิลป์ ธรรมชาตขิ องวิชาเหลา่ นี้ ตอ้ งลงมือทาจรงิ ปฏบิ ัติจรงิ ดงั นัน้ การเรียนวิชาเหล่าน้ี ต้องลงมือทาจริงปฏบิ ัตจิ ริงอาจเป็นในสถานศึกษาและในสถานประกอบการกไ็ ด้ การลงมือทาจรงิ ปฏบิ ตั จิ ริงจะ ทาใหผ้ ู้เรียนทางานเป็นและนาไปใช้ได้ในชวี ิตประจาวันได้ด้วย มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

17 4. เทคนคิ การจดั การเรยี นรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีบทบาท สาคัญในการเรียนรู้ ครูจะพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และ ส่ิงแวดล้อมต่างๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และนักเรียนมีโอกาสนาความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อ่ืน ดังนั้น มีเทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญที่ครูอาจารย์ ควรจะร้แู ละทาความเขา้ ใจ ดงั น้ี 1. เทคนิคการจัดกจิ กรรมท่สี ง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นสร้างความรู้ด้วยตัวเอง ครอู าจารย์ ควรมบี ทบาทหน้าท่ีใน การจัดเทคนิคในการจัดประสบการณ์เพื่อนาเสนอข้อมูลใหม่ เทคนิคการใช้คาถามให้คิดหรือลงมือปฏิบัติเพื่อ เชือ่ มโยงความรู้ ข้อมูลในสมอง และยังมีบทบาทชว่ ยให้ผู้เรียนได้จัดระบบระเบียบของข้อมูลเพ่ือจาได้ง่าย และ นามาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้นว่า เทคนิคในการจัดประสบการณ์เพ่ือนาเสนอข้อมูลใหม่ เทคนิคการใช้ คาถามให้คัดหรือลงมอื ปฏิบตั ิเพือ่ เช่อื มโยงความรขู้ อ้ มูลในสมอง และเทคนคิ ในการจดั ระบบขอ้ มลู ความรู้ 2. เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทางานร่วมกับคนอื่น เป็นวิชาชีพที่ครูอาจารย์จะต้อง กากับดูแลให้ผู้เรียนที่เป็นสมาชิกกลุ่มทุกคนได้มีบทบาทในการทางาน และเรียนรู้ร่วมกัน (Cooperative Learning) 3. เทคนคิ การจดั กจิ กรรมทส่ี ่งเสริมให้ผู้เรียนนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ครูอาจารย์ควร จัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในลักษณะต่างๆ และเปิดโอกาสให้มีความหลากหลาย เพื่อ ตอบสนองความสามารถเฉพาะท่ีผู้เรียนแต่ละคน มีความแตกต่างกัน นอกจากการใช้เทคนิคการออกคาส่ัง ให้ ผูเ้ รยี นแสดงการทางานในลกั ษณะตา่ งๆ แล้ว ครูอาจใช้วิธีการสอนบางวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ ในสถานการณ์อ่ืน ๆ ได้เช่นกัน เช่น วิธีสอนโดยให้จัดนิทรรศการ และการสอนโดยใช้โครงงาน โดยครูเป็นผู้ กากับควบคุมให้ผู้เรียนทุกคนได้ร่วมกันวางแผน ดาเนินการตามแผน และร่วมกันสรุปผลงาน ผู้เรียนแต่ละ คนจะไดเ้ ลอื กและแสดงความสามารถท่ตี นเองถนดั เพอ่ื ใหง้ านบรรลเุ ปา้ หมาย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

18 5. การวดั และประเมินผลท่เี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั การวัดและประเมินผลเป็นส่วนสาคัญของการจัดการเรียนการสอน ดังน้ัน เมื่อการจัดการเรียนการ สอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มุ่งให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาเต็มศักยภาพ การวัด และประเมินผลจึงต้องปรับเปล่ียนไปให้มีลักษณะเป็นการประเมินผลท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ นักการศึกษาได้ ยอมรับกันว่าแนวคิดในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมคือการวัดและเมินผลการเรียนรู้ของ ผเู้ รียนตามสภาพจรงิ 1. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจริง การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินผลผู้เรียนรอบด้านตามสภาพจริงของผู้เรียน มี ลกั ษณะสาคัญดังนี้ 1.1 เนน้ การประเมินที่ดาเนนิ การไปพรอ้ ม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึง สามารถทาไดต้ ลอดเวลา ทุกสภาพการณ์ 1.2 เน้นการประเมินทีย่ ดึ พฤติกรรมการแสดงออกของผูเ้ รียนจริง ๆ 1.3 เน้นการพฒั นาจดุ เด่นของผเู้ รียน 1.4 ใช้ข้อมลู ท่ีหลากหลาย ด้วยเคร่ืองมือท่หี ลากหลายและสอดคล้องกบั วิธกี ารประเมิน ตลอดจนจดุ ประสงคใ์ นการประเมนิ 1.5 เนน้ คณุ ภาพผลงานของผเู้ รียนทเี่ กดิ จากการบูรณาการความรู้ ความสามารถหลายๆ ด้าน 1.6 การประเมนิ ด้านความคดิ เน้นความคิดเชงิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ 1.7 เนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนประเมินตนเอง และการมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ของผเู้ รยี น ผู้ปกครอง และครู 2. วิธีการและเครื่องมือการวัดและประเมินผลที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การวัดและประเมินผลตาม สภาพจรงิ เปน็ การประเมินการแสดงออกของผู้เรียนรอบด้านตลอดเวลา ใช้ข้อมูลและวิธีการหลากหลาย ด้วย วธิ ีการและเคร่อื งมอื ดงั น้ี 1. ศึกษาวัตถุประสงค์ของการประเมิน เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนรอบด้าน ดังนั้น จึงใช้ วิธีการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เช่น การสังเกต สัมภาษณ์ การตรวจผลงาน การทดสอบ บันทึก จากผ้เู กยี่ วข้อง การรายงานตนเองของผู้เรยี น แฟ้มสะสมงาน เป็นต้น 2. กาหนดเครอื่ งมือในการประเมนิ เม่ือกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน ใหเ้ ป็นการประเมนิ พฒั นาการของผู้เรยี นรอบด้านตามสภาพจริงแล้ว การกาหนดเครื่องมอื จึงเป็นเคร่ืองมือท่ีหลากหลาย เป็นตน้ ว่า - การบนั ทึกข้อมูล จากการศึกษา ผลงาน โครงงาน หนงั สือที่ผเู้ รยี นผลิต แบบบนั ทึกต่างๆ ไดแ้ ก่ แบบบนั ทึกความรู้สึก บนั ทึกความคดิ บนั ทึกของผ้เู กย่ี วขอ้ ง (นกั เรียน เพื่อน ครู ผู้ปกครอง) หลักฐาน รอ่ งรอยหรือผลงานจากการร่วมกิจกรรม เปน็ ต้น มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

19 - แบบสังเกต เป็นการสงั เกตพฤติกรรม การร่วมกิจกรรมในสถานการณต์ ่าง ๆ - แบบสัมภาษณ์ เป็นการสัมภาษณ์ความรสู้ ึก ความคิดเหน็ ท้งั ตัวผู้เรียน และผู้เก่ยี วข้อง - แฟม้ สะสมงาน เปน็ สอ่ื ท่รี วบรวมผลงานหรอื ตวั อยา่ งหรือหลักฐานทแ่ี สดงถึงผลสัมฤทธ์ิ ความสามารถ ความพยายาม หรอื ความถนัดของบคุ คลหรือประเด็นสาคัญทีต่ ้องเก็บไว้อย่างเปน็ ระบบ - แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือวัดความรู้ ความเข้าใจที่ยังคงมีความสาคัญต่อการประเมิน สาหรับผู้ประเมิน ประกอบด้วย ผู้เรียนประเมินตนเอง ครู เพื่อน/กลุ่มเพื่อน ผู้ปกครอง และผู้เก่ียวข้องกับ นักเรียน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

20 6. ครูอาจารย์กบั การจัดการเรยี นการสอน ท่ีเน้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั ครูอาจารย์เปน็ ผทู้ ่ีมีบทบาทสาคัญที่สุดในการจดั การเรียนการสอนที่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั ซง่ึ ครู อาจารย์จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกับการจัดการเรียนการสอนท่เี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั บทบาทในการ จัดการเรยี นรู้ ครอู าจารย์จะต้องมีข้อมูลของผ้เู รยี นแต่ละคน และนามาวเิ คราะหผ์ ูเ้ รยี นแตล่ ะคนและจดั การ อยา่ งเหมาะสม เพ่อื วางแผนการเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาผเู้ รียนแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ซง่ึ ครูอาจารย์แตล่ ะคน ควรมีบทบาททีส่ าคัญมดี ังน้ี 1. การเตรียมการสอน ครูควรเตรียมการสอนดังน้ี 1.1 วิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียน เพ่ือจัดกลุ่มผู้เรียนตามความรู้ความสามารถ และเพื่อกาหนด เรื่องหรอื เนอื้ หาสาระในการเรียนรู้ 1.2 วิเคราะห์หลกั สูตรเพือ่ เชื่อมโยงกบั ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล โดยเฉพาะการกาหนดเร่ืองหรือ เน้อื หาสาระในการเรยี นรู้ ตลอดจนวัตถุประสงคส์ าคญั ท่จี ะนาไปสูก่ ารพัฒนาผ้เู รยี นสู่ความเปน็ สากล 1.3 เตรยี มแหลง่ เรยี นรู้ เตรียมห้องเรียน 1.4 วางแผนการสอน ควรเขียนให้ครอบคลมุ องค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ (1) กาหนดเรื่อง (2) กาหนดวัตถุประสงค์ใหช้ ดั เจน (3) กาหนดเนื้อหา ครูควรมีรายละเอียดพอที่จะเติมเต็มผู้เรียนได้ ตลอดจนมีความรู้ ในเนอ้ื หาของศาสตร์น้ันๆ (4) กาหนดกิจกรรม เน้นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติ ได้ศึกษาข้อมูล จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย นาข้อมูลหรือความรู้น้ันมาสังเคราะห์เป็นความรู้หรือเป็นข้อสรุปของ ตนเอง ผลงานที่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียนอาจมีความหลากหลายตามความสามารถ ถึงแม้จะเรียนรู้จาก แผนการเรียนรู้เดียวกนั (5) กาหนดวิธกี ารประเมนิ ที่สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ (6) กาหนดส่อื วัสดุอปุ กรณ์ และเครื่องมือประเมิน 2. การสอน ครูควรคานึงถึงองคป์ ระกอบต่าง ๆ ดงั นี้ 2.1 สรา้ งบรรยากาศที่เอ้ือต่อการเรยี นรู้ 2.2 กระตุ้นใหผ้ ้เู รียนรว่ มกจิ กรรม 2.3 จดั กจิ กรรมหรอื ดูแลใหก้ ิจกรรมดาเนนิ ไปตามแผน และตอ้ งคอยสังเกต บันทึกพฤติกรรม ทปี่ รากฏของผเู้ รยี นแตล่ ะคน หรอื แตล่ ะกลุ่มเพือ่ สามารถปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้มีความเหมาะสม 2.4 ใหก้ ารเสริมแรง หรือให้ข้อมลู ย้อนกลับ ให้ขอ้ สังเกต 2.5 การประเมินผลการเรียน เป็นการเก็บรวบรวมผลงานและประเมินผลงานของผู้เรียน ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามที่กาหนดไว้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

21 7. ผู้บรหิ ารกบั การจดั การเรยี นรู้ทีเ่ น้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ ผ้บู ริหารมีบทบาทสาคญั ในการสนับสนุนให้อาจารย์มีความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สาคัญ และมีบทบาทในการสนบั สนนุ ในเรอื่ งต่าง ๆ ดงั น้ี 1. การสนับสนุนสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ผู้บริหารจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการบริหาร จดั การแบบเดิมท่ีเคยปฏิบัติอยู่ เพอ่ื ตอบสนองแนวคิดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ การบริหาร จัดการที่เน้นบุคคลเป็นสาคัญโดยคานึงถึงความแตกต่างของบุคคล ความสนใจ ศักยภาพ การมีส่วนร่วมของ บคุ ลากรทกุ คน และบทบาทของผู้บรหิ ารทเี่ ออ้ื ต่อบรรยากาศการเรยี นการสอนที่เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั คอื 1.1 การพัฒนาหลักสูตร ผู้บริหารจะต้องพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย สอดคล้องกับความ ตอ้ งการของผ้เู รยี น สงั คม และตลาดแรงงาน และมีการบูรณาการหลักสูตรให้เหมาะสมกับการจัดกระบวนการ เรยี นรทู้ ่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั 1.2 การจัดหาแหล่งการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญต้องตอบสนองความ แตกต่างระหว่างบุคคล จึงจาเป็นต้องมีกิจกรรมท่ีหลากหลายให้ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ตามความสนใจแหล่งการ เรียนรู้ ผู้บริหารจะต้องจัดการแหล่งการเรียนรู้ให้เป็นระบบ วางแผนการใช้แหล่งการเรียนรู้ จัดตั้งบุคลากร รับผิดชอบดูแล มีการควบคุมกากับ และติดตามประเมินผลการใช้แหล่งการเรียนรู้ รวมท้ังแสวงหาแหล่งการ เรียนรู้ใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และความต้องการของอาจารย์ในฐานะของผู้อานวยความ สะดวกให้เกิดการเรยี นรู้ จะทาให้การจัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั มปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ขนึ้ 1.3 การวิจัยในช้ันเรียน ผู้บริหารควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการวิจัยในช้ันเรียน เพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนของอาจารย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างย่ิงการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สาคัญจะมีปญั หาวจิ ัยมากมายที่ท้าทายความสามารถของอาจารย์ในการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ เพ่ือนามาใช้ใน การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนต่อไป ผู้บริหารอาจเชิญวิทยากรท่ีมีความเช่ียวชาญเกี่ยวกับการวิจัยในช้ัน เรียนมาให้ความรู้เบ้ืองต้น ให้อาจารย์มีโอกาสฝึกทางานวิจัยในช้ันเรียนด้วยตนเอง และนาผลการวิจัยไปใช้ใน การแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในชน้ั เรยี นได้อย่างแทจ้ ริง 1.4 จัดหาส่ือ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ ผู้บริหารควรจัดหาส่ือ วัสดุอุปกรณ์ และ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมสาหรับบริการแก่อาจารย์ จัดระบบการผลิต การยืม การเก็บรักษา การ ซ่อมแซมให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมท้ังควรสารวจความต้องการใช้ส่ือ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สาหรบั การจดั การเรยี นรูท้ เี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั 1.5 การจัดสรรงบประมาณ ผู้บริหารจะต้องจัดสรรงบประมาณสาหรับจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ปรับปรุงแหล่งการเรียนรู้ให้พร้อมสาหรับบริการ ซ่อมแซมอาคารสถานที่ ฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การพัฒนา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

22 หลักสูตรให้เป็นหลักสูตรบูรณาการ การเขียนแผนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และการสนับสนุน งบประมาณสาหรบั การวิจัยในช้ันเรยี น 1.6 การเผยแพร่ผลงาน การเผยแพร่ผลงานการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญเป็น ภารกิจของผู้บริหารท่ีจะช่วยจูงใจให้อาจารย์กระตือรือร้นท่ีจะพัฒนาการเรียนการสอนอย่างต่อเน่ือง การ เผยแพรผ่ ลงาน ไดแ้ ก่ การประชาสัมพนั ธ์ ผลงานทางการสัมมนา ทางวิชาการ การจัดสาธิตการสอน การเขียน บทความทางวิชาการเผยแพร่ 1.7 การให้ขวัญกาลังใจ ผู้บริหารอาจดาเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การแสดงความสนใจ อยา่ งแท้จริงของผู้บรหิ าร การยกย่องชมเชย การประกาศเกียรติคุณ การให้วุฒิบัตร หรือโล่ การเล่ือนเงินเดือน เป็นกรณีพเิ ศษ การสง่ เสริมให้เปน็ วิทยากร การส่งเข้าร่วมประชุมสัมมนา การส่งไปฝึกอบรมเพิ่มเติม การส่งไป ฝกึ อบรมเพม่ิ เติม การยกยอ่ งให้เป็นอาจารยด์ ีเด่น การจัดสรรงบประมาณใหเ้ ปน็ กรณีพเิ ศษ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร

23 บรรณานุกรม คณะกรรมการปฏริ ปู การเรียนรู้. 2543. ปฏิรปู การเรียนรู้ผู้เรียนสาคัญที่สดุ . กรุงเทพมหานคร. พริก หวาน กราฟฟคิ จากัด. ชนาธปิ พรกุล. 2554. แคทส์ : รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นผูเ้ รียนเปน็ ศูนย์กลาง. กรุงเทพมหานคร. สานกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธารง บวั ศรี. 2547. กระบวนการเรยี นการสอนท่ีเน้นผูเ้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง. วารสารวิชาการ 3: 17 – 19. ทศิ นา แขมมณี. (2543) “การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรยี นเป็นสาคัญ โมเดลซิปปา” ใน เอกสาร ประกอบการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ. นครสวรรค์ สานกั งานการประถมศกึ ษา ดาเภอลาดยาว. ทศิ นา แขมมณี และคณะ. (2544). กระบวนการเรยี นรู้ : ความหมาย แนวทางการพฒั นา และปญั หาข้องใจ. กรงุ เทพมหานคร. สานักงานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย. นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์. (2554). “การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอาชวี ศึกษา” ใน เอกสาร สอนชุดวชิ าการ จดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา หน่วยท่ี 5. นนทบุรี สานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. ----------. (2543). “ความเข้าใจทีค่ ลาดเคลื่อนในการจัดการเรียนการสอนทเี่ น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั ” ใน วารสารวชิ าการ 3. 12 ธนั วาคม. นวลจติ ต์ เชาวกีรตพิ งศ์ เบญจลกั ษณ์ น้าฟา้ และชดั เจน ไทยแท้. การจัดการเรยี นรทู้ ีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นศนู ย์กลาง. เอกสารชดุ อบรมผู้บรหิ าร : ประมวลสาระ. กรุงเทพมหานคร สานกั งานปฏิรูปการศึกษา. สมศกั ด์ิ ดลประสทิ ธิ์.2542. การจดั แผนการสอนทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. วารสารขา้ ราชการครู 20 : 14 – 16. สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ. (2542). แกน หลกั แนวคดิ การปฏริ ปู กระบวนการเรียนรู้ และเกณฑป์ ระเมนิ โรงเรยี นปฏริ ูปกระบวนการเรียนรู้ กรุงเทพมหานคร โรงพิมพก์ ารศาสนา. ----------. (2542). การเรยี นรูโ้ ดยโครงงาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. ----------. (2542). การเรียนร้โู ดยบูรณาการ. กรงุ เทพมหานคร โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพร้าว. ----------. (2542). การรจู้ กั เด็กเปน็ รายบคุ คล. กรงุ เทพมหานคร โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. ----------. (2542). การประเมินผลตามสภาพจรงิ . กรงุ เทพมหานคร โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพร้าว. สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ. (2540). ทฤษฎีการเรยี นรเู้ พอ่ื พัฒนากระบวนการคิด กรุงเทพมหานคร. ไอเดียสแคว์. สุพล วังสนิ ธ.์ 2543. CIPPA : รูปแบบและการดาเนินการสอนโดยขีดผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง วารสาร ข้าราชการครู. 20 : 27-26. มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร