วนั อาสาฬหบชู า ตรงกบั วนั เพ็ญ เดือน ๘ กอ่ นปรุ ิมพรรษา วันข้ึน ๑๕ คา เดอื น ๘ หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา วนั อาสาฬหบูชา ตรงกบั (วนั ข้ึน ๑๕ คา่ เดือน ๘) เป็ นวนั คลา้ ยวนั ที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา คอื เทศนก์ ณั ฑแ์ รก ชอ่ื ว่าธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร โปรด พระปัญจวคั คีย์ ที่ป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมือง พาราณสี ในปี แรกท่ีทรงตรสั รแู้ ละ เพราะผลของพระธรรมเทศนากณั ฑน์ ้ีเป็ นเหตุใหท้ ่าน พระโกณฑญั ญะในจานวนพระปัญจ วคั คียท์ งั้ ๕ ไดธ้ รรมจกั ษุ (โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณท่ีทาให้ สาเร็จเป็ นโสดาบนั ) ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รูเ้ ห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความ เกิดข้ึนเป็ นธรรมดา ส่ิงนน้ั ทง้ั ปวงลว้ นมีความดบั ไป เป็ นธรรมดา แลว้ ขอบรรพชา อุปสมบทต่อพระองค์ เป็ นพระอริยสงฆ์องค์แรกของ พระพุทธศาสนา และทาใหพ้ ระ รตั นตรยั ครบองค์ ๓ คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา ในเม่ือวนั น้ีของทุก ๆ ปี เวียนมาถึงพุทธศาสนิกชน จงึ นิยมทาการบูชาเป็ นพิเศษ และ พุทธศาสนิกชนในท่ีบางแห่ง ยงั ตงั้ ช่ือวนั อาสาฬหบูชาน้ีว่า \"วนั พระสงฆ\"์ ก็มี อาสาฬ หะ คือ เดือน ๘ อาสาฬหบูชา คือ การบูชาพระในวนั เพ็ญเดือน ๘ ความสาคญั ของวนั เพ็ญเดือน ๘ น้ี มีอยู่อย่างไร จะไดน้ าพุทธประวตั ิตอนหน่ึงมาเล่าต่อไปน้ี นบั แต่วนั ท่ี สมเด็จพระพุทธองค์ไดต้ รสั รู้ คือ ในวนั เพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทบั เสวยวิ มุตติสขุ ใน บริเวณโพธิมณั ฑน์ นั้ ตลอด ๗ สปั ดาห์ คอื - สปั ดาหท์ ี่ ๑ คงประทบั อยู่ที่ควงไมอ้ สตั ถะอนั เป็ นไมม้ หาโพธ์ิ เพราะเป็ นท่ีตรสั รู้ ทรงใช้ เวลาพจิ รณาปฏจิ จสมุปปาทธรรมทบทวนอยู่ตลอด ๗ วนั - สปั ดาหท์ ี่ ๒ เสด็จไปทางทิศอสี านของตน้ โพธิ์ ประทบั ยนื กลางแจง้ เพ่งดูไมม้ หาโพธ์ิโดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด ๗ วนั ท่ีท่ีประทบั ยืนนนั้ ปรากฎเรียกใน ภายหลงั ว่า \"อนิสมิ สสเจดีย\"์ หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา - สปั ดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทบั อยู่ในท่ีก่ึงกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กบั ตน้ มหาโพธ์ิแลว้ ทรงจงกรมอยู่ ณ ท่ีตรงนนั้ ตลอด ๗ วนั ซงึ่ ต่อมาเรียกท่ีตรงนน้ั ว่า \"จงกรมเจดยี \"์ - สปั ดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายพั ของตน้ มหาโพธิ์ ประทบั นงั่ ขดั บลั ลงั ก์พิจารณา พระอภธิ รรมอยู่ตลอด ๗ วนั ท่ีประทบั ขดั สมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า\"รตั นฆรเจดีย\"์ - สปั ดาหท์ ่ี ๕ เสดจ็ ไปทางทิศบรู พาของตน้ มหาโพธ์ิประทบั ที่ควงไมไ้ ทรชอื่ อชาปาลนิโครธ อยู่ ตลอด ๗ วนั ในระหว่างนนั้ ทรงแกป้ ัญหาของพราหมณผ์ ูห้ นึ่งซงึ่ ทูลถามในเรื่องความ เป็ นพราหมณ์ - สปั ดาห์ท่ี ๖ เสด็จไปทางทิศอาคเนย์ของตน้ มหาโพธิ์ ประทบั ท่ีควงไมจ้ ิกเสวยวิมุตติ สขุ อยู่ตลอด ๗ วนั ฝนตกพราตลอดเวลา พญานาคมาวงขดลอ้ มพระองค์และแผ่พงั พาน บงั ฝนใหพ้ ระองคท์ รงเปล่งพระอทุ านสรรเสริญความสงดั และความไม่เบียดเบียนกนั ว่าเป็ น สขุ ในโลก ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบชู า - สปั ดาห์ท่ี ๗ เสด็จยา้ ยสถานที่ไปทางทิศใตข้ องตน้ มหาโพธ์ิ ประทบั ที่ควงไมเ้ กดเสวย วิมุตติ สขุ ตลอด ๗ วนั มีพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ กบั ภลั ลิกะเดินทางจากอุกกลชนบท มาถงึ ท่ีนนั้ ไดเ้ ห็นพระพทุ ธองคป์ ระทบั อยู่ จงึ นาขา้ วสตั ตุผงขา้ วสตั ตกุ อ้ น ซง่ึ เป็ นเสบยี งกรงั ของตนเขา้ ไปถวายพระองค์ทรงรบั เสวยเสร็จแลว้ สองพาณิชก็ประกาศตนเป็ นอุบาสก นบั เป็ นอบุ าสกค่แู รกในประวตั กิ าลทรงพจิ ารณาสตั ว์โลกเมื่อลว่ งสปั ดาหท์ ่ี ๗ แลว้ พระองค์ เสดจ็ กลบั มาประทบั ท่ีควงไมไ้ ทรชอ่ื อชาปาลนโิ ครธอกี ทรงคานึงว่า ธรรมท่ีพระองคต์ รสั รู้ น้ี ลึกซ้งึ มาก ยากที่สตั ว์อืน่ จะรูต้ าม จงี ทอ้ พระทยั ท่ีสอนสตั ว์ แต่อาศยั พระกรณุ าเป็ นท่ีตง้ั ทรงเล็งเห็นว่าโลกน้ีผูท้ ่ีพอจะรูต้ ามไดก้ ็คงมี ตอนน้ีแสดงถึงบุคคล ๔ เหล่า เปรียบกบั ดอกบวั ๔ ประเภท คือ ๑. อคุ ฆฏติ ญั ญู ไดแ้ ก่ ผูท้ ่ีมีอปุ นสิ ยั สามารถรธู้ รรมวิเศษไดท้ นั ทีทนั ใดในขณะท่ีมี ผูส้ อนสง่ั สอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบวั ท่ีโผล่ข้ึนพน้ นา้ แลว้ พรอ้ มท่ีจะบานในเม่ือไดร้ บั แสงพระอาทิตยใ์ นวนั นน้ั ห้องสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอสารภี
วนั อาสาฬหบชู า ๒. วิปจิตญั ญู ไดแ้ ก่ ผูท้ ี่สามารถจะรูธ้ รรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อ ใหพ้ สิ ดารออกไปเปรยี บเหมือนดอกบวั ที่ตง้ั อยู่เสมอระดบั นา้ จกั บานในวนั ร่งุ ข้นี ๓. เนยยะ ไดแ้ ก่ ผูท้ ี่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดท้ิง จงึ ไดร้ ธู้ รรม วิเศษ เปรียบเหมือนดอกบวั ที่ยงั ไม่โผล่ข้ึนจากนา้ ไดร้ บั การหล่อเล้ยี งจากนา้ แต่จะโผล่แลว้ บานข้นี ในวนั ต่อๆ ไป ๔. ปทปรมะ ไดแ้ ก่ ผูท้ ี่แมฟ้ ัง คิด ถาม ท่อง แลว้ ก็ไม่สามารถรูธ้ รรมวิเศษได้ เปรียบเหมือน ดอกบวั ที่อยู่ใตน้ า้ ตดิ กบั เปื อกตม รงั แต่จะเป็ นภกั ษาหารแห่งปลาและเต่า เมื่อเล็งเห็นเหตุน้ี จงึ ตกลงพระทยั จะสอน ทรงนึกถึงผูท้ ่ีควรโปรดก่อนคือ อาฬา รดาบส กบั อุทกดาบส ท่านเหล่าน้ีก็หาบุญไม่เสียแลว้ จะมีอยู่ก็แต่ปั ญจวคั คีย์ จงี ทรง ตดั สินพระทยั ว่า ควรโปรดปัญจวคั คียก์ ่อน แลว้ ก็เสด็จออกเดินไปจากควงไมไ้ ทรนน้ั มุ่ง พระพกั ตรเ์ สดจ็ ไปยงั ป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา การท่ีเสด็จเดินทางจากตาบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทง่ั ถึงกรุงพาราณสีเช่นน้ี แสดงใหเ้ ห็น เพราะวิริยะอุตสาหะอนั แรงกลา้ เป็ นการตงั้ พระทยั แน่วแน่ที่จะประทานปฐม เทศนาแก่ปัญจวคั คียเ์ ป็ นพวกแรกอย่างแทจ้ ริง หนทางระหว่างตาบลพระศรีมหาโพธ์ิถึง พาราณสนี นั้ ในปัจจบุ นั ถา้ ไปทางรถไฟก็เป็ นเวลา ๗-๘ชวั่ โมง การเสด็จดาเนินดว้ ยพระ บาทเปล่า อาจใชเ้ วลาตง้ั หลายวนั แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็นข้ึน ๑๕ คา่ เดือนอาสาฬหะ นน้ั เอง พระพุทธองคก์ ็เสด็จถึงป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสอี นั เป็ นท่ีอยู่แห่ง ปั จจวคั คีย์พอเสด็จ เขา้ ราวป่ าพวกปั ญจวคั คีย์นน้ั ไดเ้ ห็นจึงนดั หมายกนั ว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกรบั และไม่รบั บาตรจีวรจะตง้ั ไวใ้ หเ้ พียงอาสนะเท่านนั้ เพราะเขา้ ใจว่ าพระองค์ กลายเป็ นคนมีความมกั มากหมดความเพียรเสียแลว้ พอพระองค์เสด็จถึง ต่างก็พูดกบั พระองคโ์ ดยไม่เคารพพระองคต์ รสั หา้ มและทรงบอกว่าพระองคต์ รสั รแู้ ลว้ จะแสดงธรรมสงั่ สอนใหฟ้ ังพราหมณท์ ง้ั ๕ กพ็ ากนั คดั คา้ นลาเลกิ ดว้ ยถอ้ ยคาต่างๆ ที่สดุ พระองคจ์ งึ ทรงแจง เตือนใหร้ าลึกว่า พระองค์เคยกล่าวเช่นน้ีมาในหนหลงั บา้ งหรือ พราหมณ์ท้ัง๕ ระลึกได้ ต่างก็สงบตง้ั ใจฟังธรรมทนั ที หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอสารภี
วนั อาสาฬหบูชา ค่าวนั นน้ั พระองค์ประทบั แรมอยู่กบั พราหมณ์ทงั้ ๕ รุ่งข้ีนวนั เพ็ญแห่งเดือน อาสาฬหะ พระองค์ทรงเริ่มแสดงธมั มะ-จกั กปั ปวตั ตนสตู ร นบั เป็ นเทศนากณั ฑ์แรกโปรด ปัญจวคั คียน์ นั้ โดยใจความคือทรงยกท่ีสดุ ๒ ฝ่ าย ไดแ้ ก่ การประกอบตนใหล้ าบากดว้ ย การทรมานกาย และการไม่ประกอบตนใหเ้ พลิดเพลินในกามสขุ ทงั้ ๒ น้ีนบั ว่า เป็ นของ เลวทราม ไม่ควรเสพเฉพาะทางสายกลางเท่านนั้ เป็ นขอ้ ปฏบิ ตั ิที่สมควร แลว้ ทรงแสดงทาง สายกลางคือ อรยิ มรรค ๘ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดารชิ อบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากมั มนั ตะ ทาการงานชอบ ๕. สมั มาอาชวี ะ เล้ยี งชพี ชอบ ๖. สมั มาวายามะ เพยี รชอบ ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตงั้ ใจชอบ ห้องสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา สรปุ ดว้ ยอรยิ สจั ๔ ไดแ้ ก่ ๑. ทุกขค์ วามไม่สบายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทยั เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ ๓. นิโรธความดบั ทุกข์ ๔. มรรค ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทุกข์ ช้ีใหเ้ ห็นโดยปริวรรตและอาการต่างๆ ว่า เมื่อรูแ้ ลว้ อาจยืนยนั ไดว้ ่า ตรสั รู้ โดยชอบถึงความ หลุดพน้ และสุดชาติสุดภพแน่นอนขณะท่ีพระองค์ทรงแสดงธรรมน้ีอยู่ ท่านโกณฑญั ญะไดส้ ่องญาณไปตามจนเกิด \"ธรรมจกั ษุ\" คือดวงตาเห็นธรรมข้ึนทาง ปั ญญาพระองค์ทรงทราบจึงเปล่งพระอุทานว่า \"อญั ญสิๆ\"\"อญั ญสิๆ\"(โกณฑญั ญะรู้ แลว้ ๆ)เพราะพระองคท์ รงอุทานน้ีภายหลงั ท่านโกณฑญั ญะจงึ ไดน้ ามใหม่ว่า \"อญั ญาโกณ ฑญั ญะ\" แต่นน้ั ก็ทูลขอบรรพชาพระองคป์ ระทานอนุญาตดว้ ยเอหิภิขุอุปสมั ปทาน นบั เป็ น พระสงฆอ์ งคแ์ รกในพระศาสนาท่ีบวชตามพระพุทธองค์ หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบชู า ความสาคญั ของวนั อาสาฬหบชู า ๑. เป็ นวนั แรกที่พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศพระศาสนา ๒.เป็ นวนั แรกท่ีพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรประกาศ สจั จธรรมอนั เป็ นองคแ์ ห่งสมั มาสมั โพธิญาณ ๓.เป็ นวนั ท่ีพระอริยสงฆส์ าวกองคแ์ รกบงั เกดิ ข้ึนในโลก คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดร้ บั ประทานเอหิภขิ ุอปุ สมั ปทาในวนั นนั้ ๔. เป็ นวนั แรกที่บงั เกิดพระสงั ฆรตั นะสมบรู ณเ์ ป็ นพระรตั นตรยั คือ พระพุทธรตั นะ พระธรรมรตั นะพระสงั ฆรตั นะ การถอื ปฏบิ ตั ิวนั อาสาฬหบชู าในประเทศไทย พิธีวนั อาสาฬหบูชาเริ่มกาหนดเป็ นวนั สาคญั ทางพุทธศาสนาข้ึนเป็ นครง้ั แรกใน ประเทศไทย เมื่อพุทธศกั ราช ๒๕๐๑ โดยพระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) ครงั้ ดารง ตาแหน่งสงั ฆมนตรีช่วยว่าการองคก์ ารศึกษาไดเ้ สนอคณะสงั ฆมนตรี ใหเ้ พมิ่ วนั ศาสนพธิ ีทา พทุ ธบชู าข้ึน อกี วนั หน่ึง คือ วนั ธรรมจกั ร หรือวนั อาสาฬหบชู า หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
วันอาสาฬหบูชา ดว้ ยเป็ นวนั คลา้ ยวนั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมจกั กปั ปวตั นสูตร คณะ สงั ฆมนตรลี งมติรบั หลกั การใหเ้ พม่ิ วนั อาสาฬหบชู าและใหถ้ อื เป็ นหลกั ปฏิบตั ิในเวลาต่อมา โดยออกเป็ นประกาศคณะสงฆ์ เรอื่ ง กาหนดวนั สาคญั ทางศาสนา เมื่อวนั ท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๑ และในวนั เดียวกนั นน้ั ไดม้ ีประกาศสานกั สงั ฆนายก กาหนดระเบียบปฏิบตั ิในพิธี อาสาฬหบชู าข้นึ ไวใ้ หว้ ดั ทุกวดั ถอื ปฏิบตั ิทว่ั กนั กล่าวคือก่อนถงึ วนั อาสาฬหบชู า ๑ สปั ดาห์ ใหเ้ จา้ อาวาสแจง้ แก่พระภิกษุสามเณรตลอดจนศิษย์วดั คนวดั ช่วยกนั ปั ดกวาด ปูลาด อาสนะ จดั ตง้ั เครอ่ื งสกั การะใหป้ ระดบั ธงธรรมจกั รรอบพระอโุ บสถตลอดวนั ทง้ั เวลาเชา้ และ เวลาบ่ายใหม้ ีการฟังธรรมตามปกติ เวลาคา่ ใหภ้ ิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา มาประชมุ พรอ้ มกนั ท่ีหนา้ พระอโุ บสถ หรือพระเจดีย์ จดุ ธูปเทียนแลว้ ถอื รวมกบั ดอกไมย้ ืนประนมมือ สารวมจติ โดยพระสงฆผ์ ูเ้ ป็ นประธานนากล่าวคาบชู าจบแลว้ ทาประทกั ษิณ ครน้ั แลว้ ใหภ้ ิกษุสามเณรเขา้ ไปบูชาพระรตั นตรยั ทาวตั รค่าแลว้ สวดธรรมจกั ร กปั ปวตั นสตู ร จบแลว้ ใหอ้ ุบาสก อุบาสกิ าทาวตั รคา่ ต่อจากนน้ั ใหพ้ ระสงั ฆเถระแสดงพระ ธรรมเทศนาธรรมจกั รกปั ปวตั นสตู รแลว้ ใหพ้ ระภิกษุสามเณรสวดธรรมจกั รกปั ปวตั นสตู ร ทานองสรภญั ญะเพื่อเจริญศรทั ธาปสาทะของพุทธศาสนิกชนจบแลว้ ใหเ้ ป็ นโอกาสของ พุทธศาสนิกชนเจรญิ ภาวนามยั กุศล มีสวดมนตส์ นทนาธรรม เป็ นตน้ ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสารภี
วนั อาสาฬหบชู า การประกอบพธิ ีในวนั อาสาฬหบชู าแบ่งออกเป็ น 3 พธิ ีคือ ๑.พธิ ีหลวง (พระราชพธิ ี) ๒. พธิ ีราษฎร์ (พธิ ีของประชาชนทวั่ ไป) ๓. พธิ ีของพระสงฆ์ (คอื พธิ ีที่พระสงฆป์ ระกอบศาสนกจิ เนอ่ื งในวนั สาคญั วนั น้ี) ขอบคณุ ขอ้ มูลจาก เว็บไซต์https://www.onab.go.th/th/content/category/detail/id/73/iid/3397 หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอสารภี ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
ห้องสมุดประชาชนอาเภอสารภี ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสารภี
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: