Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Bio สรุปชีววิทยา ม.ปลาย

Bio สรุปชีววิทยา ม.ปลาย

Published by faraway082, 2020-03-27 08:54:24

Description: Bio สรุปชีววิทยา ม.ปลาย

Search

Read the Text Version

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 50

บทที่ 12 การสงั เคราะหด์ ้วยแสง Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 51

Photosynthesis Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 52

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 53

พืช C3 และ C4 Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 54

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 55

บทที่ 13 การสืบพันธข์ุ องพืชดอก Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 56

Alternation of generation Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 57

Gametophyte ของพืชดอก Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 58

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 59

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 60

บทที่ 14 การควบคมุ การเจริญเตบิ โตและการตอบสนองของพชื Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 61

แบบทดสอบทบทวนความรู้ 3 ชีวิตและกระบวนการดา้ รงชีวิตของพืช โครงสรา้ งของพืชดอก 1) เนื้อเย่ือชนิดใดของตน้ สกั ทีน่ า้ มาเปน็ ไมก้ ระดานและเสาบ้าน 1. คอร์ก 2. คอรเ์ ทกซ์ 3. ไซเลม 4. โฟลเอม 2) ขอ้ ใดเปน็ จรงิ กับเนื้อเยื่อผวิ ใบ 1. ผิวใบดา้ นบนของบัวไมม่ ปี ากใบ 2. เฉพาะเซลลค์ มุ เท่าน้ัน ท่มี ีคลอโรพลาสต์ 3. เซลลท์ ุกเซลล์ของเน้อื เย่ือผวิ ใบ มคี ลอโรพลาสต์ 4. ผิวใบดา้ นบนของชบามีจา้ นวนปากใบมากกว่าดา้ นล่าง จากลกั ษณะของพชื ตอ่ ไปนี้ จงตอบคาถามขอ้ 3 และขอ้ 4 A = มเี อนโดเดอมิส B = ไม่มเี อนโดเดอมสิ C = จ้านวนแฉกของไซเลม ไมเ่ กนิ 5 D = มีจ้านวนแฉกของไซเลม เกนิ 10 E = มัดท่อลา้ เลยี งมี 1 มัด อยู่ตรงกลาง F = มัดทอ่ ลา้ เลียงมีหลายมัดเรยี งเปน็ 1 วง G = มดั ท่อลา้ เลียงมหี ลายมดั เรยี งกระจัดกระจาย H = มเี พรไิ ซเคิล I = ไมม่ เี พริไซเคิล J = มีวาสคิวลาร์แคมเบยี ม K = ไม่มวี าสควิ ลาร์แคมเบยี ม 3) รากพืชใบเลยี้ งเดย่ี ว มีลกั ษณะตรงกบั ขอ้ ใด 1. A, C, G, I 2. B, D, E, H 3. C, G, I, J 4. D, E, H, K 4) ลา้ ต้นพชื ใบเล้ยี งคู่ มีลักษณะตรงกับข้อใด 1. A, F, I, J 2. D, E, H, K 3. B, F, I, J 4. C, F, I, K 5) เนอ้ื เยื่อใดทีใ่ ชย้ อ้ มซาฟรานีนแลว้ ตดิ สแี ดง 1. ไซเลมข้นั แรก พิธ โฟลเอมข้ันแรก 2. ไซเลมขนั้ แรก โฟลเอมขนั้ ท่ีสอง คอร์กแคมเบียม 3. ไซเลมข้นั แรกและขนั้ ทีส่ อง โฟลเอมข้นั แรก สเคอเรงคมิ า 4. ไซเลมขั้นแรกและขน้ั ทีส่ อง โฟลเอมขัน้ แรกและขัน้ ท่ีสอง ไฟเบอร์ 6) โครงสร้างในภาพ พบทส่ี ว่ นใดของพืช 1. ใบของพชื ใบเลีย้ งคู่ 2. ล้าตน้ ของพชื ใบเล้ยี งคู่ 3. ใบของพืชใบเล้ยี งเด่ียว 4. ลา้ ตน้ ของพชื ใบเล้ยี งเด่ียว Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 62

7) เมือ่ สิบปีทีแ่ ล้ว ไดต้ อกตะปูลงบนต้นลา้ ไยขนาดใหญ่ตน้ หนงึ่ ทีร่ ะดับสูงจากพ้ืนดนิ 1 เมตร ในปัจจุบนั ตะปูนั้น อยตู่ ้าแหน่งใด และตน้ ไมม้ ีลักษณะเป็นอยา่ งไร 1. ตา้ แหน่งเดมิ ตน้ ไมส้ ูงขน้ึ และล้าตน้ กวา้ งขนึ้ 2. ตา้ แหนง่ เดมิ ตน้ ไมส้ งู ขนึ้ แต่ลา้ ต้นกวา้ งเท่าเดิม 3. ต้าแหนง่ สงู กวา่ เดิม ตน้ ไม้สูงขนึ้ และลา้ ต้นกวา้ งขน้ึ 4. ต้าแหนง่ สงู กวา่ เดมิ ตน้ ไมส้ งู ขนึ้ แตล่ า้ ต้นกว้างเทา่ เดิม 8) ข้อใดถูกต้องทสี่ ุด 1. รากแขนงเกดิ จากผวิ ดา้ นนอกของเซลล์ทีย่ ดื ยาวออกมา 2. สว่ นที่อยู่ปลายสุดของรากพชื ท่เี ป็นเนือ้ เยอ่ื เจรญิ 3. เทรคดี จดั เปน็ สว่ นหน่งึ ของเนอ้ื เย่อื ไซเลม 4. ขนรากเจริญมาจากเพอรไิ ซเคิล 9) ข้อใดไมใ่ ช่รากท่ีสะสมอาหาร 1. มนั ฝรงั่ 2. มันสา้ ปะหลงั 3. หัวไชเทา้ 4. กระชาย 10) ธาตุอาหารทกุ ตวั ในข้อใดเปน็ ธาตุอาหารทพ่ี ชื ตอ้ งการในปริมาณมาก (macronutrients) 1. C, H, O, Zn 2. N, P, K, Mn 3. Mg, K, S, Ca 4. P, Ca, Mg, Cl 11) ธาตอุ าหารชนิดใดมีบทบาทสา้ คัญในการรักษาสมดุลของไอออนภายในเซลล์ 1. N 2. P 3. K 4. Na 12) ข้อใดไมถ่ ูกต้องในเรื่องการลา้ เลยี งในพืช 1. ขนาดของท่อไซเลมใหญก่ ว่าทอ่ โฟลเอม 2. ไม่มที ่อโฟลเอมและทอ่ ไซเลมในขนรากทดี่ ดู น้า 3. พชื ลา้ เลยี งน้าทางท่อไซเลม และลา้ เลียงซูโครสทางทอ่ โฟลเอม 4. พืชล้าเลยี งแปง้ ท่ีสร้างจากใบไปสะสมที่ราก และล้าเลียงนา้ ตาลไปใช้ทีย่ อดทางทอ่ โฟลเอม 13) การจัดเรียงตัวของเนอื้ เย่ือชนดิ ใดในใบทีม่ ีผลตอ่ อัตราการสงั เคราะหด์ ้วยแสง 1. พาลเิ สดเซลลแ์ ละปากใบ 2. สปนั จเี ซลล์และปากใบ 3. เนื้อเยือ่ ลา้ เลียงและพาลเิ สดเซลล์ 4. พาลิเสดเซลลแ์ ละสปันจีเซลล์ 14) เมอ่ื ทดลองปลกู ต้นมะเขือเทศในสารละลายเปน็ เวลานาน 3 เดือน พบว่าใบอ่อนหงกิ งอ ตน้ ผลมรี อยบุ๋มและมสี ดี ้า ตน้ มะเขอื เทศนีข้ าดธาตุอาหารชนิดใด 1. คลอรีน 2. แคลเซยี ม 3. ฟอสฟอรสั 4. โพแทสเซียม Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 63

15) น้าทพ่ี ืชดูดขึ้นไปจากดนิ นน้ั ส่วนใหญ่แล้วพืชน้าไปใชใ้ นกระบวนการอะไร 1. การลา้ เลียงอาหาร และ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง 2. การลา้ เลยี งอาหาร และ การลดอณุ หภูมขิ องใบ 3. การลดอณุ หภมู ขิ องใบ และ การคายน้า 4. การคายน้า และ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง 16) ขอ้ ใดอธิบายเก่ยี วกับการล้าเลยี งของพชื ไดถ้ ูกตอ้ ง 1. ในพชื พบธาตแุ คลเซียม แมกนเี ซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณชนดิ ละมากกวา่ 1% 2. การเคลอื่ นทีข่ องน้าผา่ นทางช่องวา่ งระหวา่ งผนังเซลลเ์ รียกซมิ พลาส 3. การล้าเลียงสารอาหารเกิดข้ึนโดยผา่ นทางโฟลเอม ซงึ่ มที ศิ ทางการลา้ เลียงจากรากข้ึนสู่ยอด 4. ถา้ ตดั ต้นมะเขอื ให้มีล้าตน้ สงู จากพ้ืนดินประมาณ 5 ซม. ของเหลวทีค่ อ่ ยๆ ซมึ ออกมาจากรอยตดั เกดิ ขน้ึ เน่อื งจากแรงดนั ราก การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 17) สิ่งใดตอ่ ไปนพ้ี บไดใ้ นคลอโรพลาสต์ ก. สโตรมา ข. ไทลาคอยด์ ค. DNA ง. ไรโบโซม จ. ไมโทคอนเดรยี 1. ก, ข 2. ก, ข, ค 3. ก, ข, ค, ง 4. ก, ข, ค, ง, จ 18) ปจั จบุ นั มีความวิตกกังวลเก่ยี วกบั ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดท์ เ่ี พมิ่ ข้ึนจากการใชเ้ ชื้อเพลิงไฮโดรคารบ์ อน ถ้าหากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพมิ่ ข้นึ เปน็ สองเท่าของปัจจุบนั เรื่องใดที่ได้รบั ผลกระทบนอ้ ยทสี่ ดุ 1. อตั ราการสรา้ ง ATP และ NADPH 2. อัตราการสังเคราะห์ oxaloacetate ของพชื C4 3. อตั ราการสงั เคราะห์ phosphoglycerate ของพชื C3 4. อัตราการเกดิ โฟโตเรสไพเรชนั ของพืช C3 19) สารค่ใู ดเปน็ สารที่มคี ารบ์ อน 3 อะตอม 1. phosphoglycerate ribulose bisphosphate 2. glyceraldehydes-3-phosphate, pyruvic acid 3. oxaloacetic acid, phosphoglycerate 4. pyruvic acid, malic acid 20) ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง 1. กล้วยไม้ และว่านหางจระเขเ้ ป็นพืชแบบ CAM 2. ใบดา้ นบนของขา้ วโพดมีสีเข้ม เน่อื งจากเปน็ ที่อยขู่ องช้ันพาลิเซดมโี ซฟิลล์ 3. ในวฎั จกั รคาร์บอนของพืช C4 ขน้ั ตอนการเปลย่ี นกรดไพรูวิกเปน็ PEP จะต้องใชพ้ ลงั งานจาก ATP 4. สับปะรดสามารถสงั เคราะหแ์ สงโดยใชว้ ฎั จกั รคลั วนิ เพยี งอย่างเดยี วหรอื สามารถสงั เคราะหแ์ สง แบบพืช CAM ได้ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 64

21) จากแผนภาพการสงั เคราะห์ด้วยแสงของข้าวโพด สาร ก และ ค คือสารใดตามลา้ ดบั 1. กรดมาลิก, PGA 2. กรดแอซิตกิ PEP 3. กรดไพรูวกิ , OAA 4. กรดออกซาลกิ , CO2 22) ขบวนการถา่ ยทอดอิเล็กตรอนของปฏกิ ริ ิยาแสงในพืช ตวั ที่รบั อิเล็กตรอนและตวั ทีใ่ หอ้ เิ ลก็ ตรอนคอื อะไร ตามล้าดบั 2. NADP+, H2O 1. H2O, NADPH 4. ไซโทโครมคอมเพลก็ ซ,์ NADP+ 3. ATP, plastoquinone 23) แกส๊ ในบรรยากาศชนดิ ใดทมี่ อี ิทธิพลสูงสดุ ตอ่ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง ภายใตส้ ภาวะของความเข้มแสงที่เหมาะสม ท่ีสุด 1. ไฮโดรเจน 2. ไนโตรเจน 3. ออกซิเจน 4. คารบ์ อนไดออกไซด์ 24) ขอ้ ใดกลา่ วถึงการสงั เคราะห์แสงในชว่ ง light reaction ไดถ้ กู ตอ้ ง 1. สารสที ี่อยใู่ นสโตรมาทา้ หนา้ ทด่ี ูดกลนื พลังงานแสง 2. มีการใช้ ATP ในการแยกสลายโมเลกุลของน้าเปน็ ออกซเิ จนและโปรตอน 3. ทเ่ี ยอ่ื ไทลาคอยดม์ คี ลอโรฟลิ ลเ์ อเพียงชนดิ เดียวทที่ า้ หนา้ ทด่ี ูดพลังงานแสง 4. น้าเปน็ ตัวใหอ้ เิ ล็กตรอน และ NADP+ เปน็ ตัวรบั อิเลก็ ตรอนตวั สดุ ท้าย 25) ข้อใดกล่าวถงึ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงไมถ่ ูกตอ้ ง 1. CO2 เขา้ สวู่ ัฎจกั รคัลวินโดยท้าปฏกิ ริ ิยากับ RuBP 2. นา้ ตาลกลูโคสถูกสร้างในชว่ ง light reaction 3. ปฏิกริ ิยาในวฎั คัลวนิ เปน็ ปฏิกิรยิ าทไ่ี ม่ใชแ้ สง 4. ปฏิกิรยิ าการตรงึ คาร์บอนไดออกไซดเ์ กิดขนึ้ ทบ่ี ริเวณสโตรมาของคลอโรพลาสต์ การสบื พันธุ์ของพชื ดอก 26) ในพืชชนดิ หน่งึ มี megaspore mother cells และ microspore mother cells จา้ นวน 6 เซลลเ์ ทา่ ๆ กนั เมอ่ื ส้ินสุด กระบวนการสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ใุ น embryo จะมีกี่ nuclei จะได้ pollen ก่ีอัน 1. 24 , 12 2. 12 , 12 3. 48 , 24 4. 48 , 48 Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 65

27) เซลล์ในระยะใดเรยี กไดเ้ ปน็ แกมโี ตไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte) 1. ระยะไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ 2. ระยะไมโครสปอร์ (2n) 3. ระยะไมโครสปอร์ (1n) 4. ระยะเปน็ generative nucleus และ tube nucleus 28) ขอ้ ใดคือ male gametophyte 1. anther 2. pollen grain 3. microspore 4. microspore mother cell 29) จากภาพไดอะแกรมน้ี จา้ นวนชดุ โครโมโซมขอ้ ใดถกู ต้อง 1. หมายเลข 5 = n หมายเลข 2 = 3n 2. หมายเลข 4 = 2n หมายเลข 3 = 2n 3. หมายเลข 3 = n หมายเลข 5 = 2n 4. หมายเลข 1 = 2n หมายเลข 2 = n 30) การปฏิสนธซิ ้อนของพชื ดอกหมายถึงข้อใด 1. microspore อันหนง่ึ ผสมกับเซลล์ไข่ และอกี อนั หนึ่งผสมกับเซลล์โพลารน์ วิ คลไี อ 2. สเปิรม์ นวิ เคลยี ส อนั หนึ่งผสมกบั เซลล์ไข่ และอกี อนั หน่ึงผสมกับเซลลโ์ พลาร์นวิ คลไี อ 3. ทวิ ปน์ วิ เคลยี สผสมกับเซลลไ์ ข่ และสเปริ ม์ นวิ เคลยี สผสมกบั เซลล์โพลารน์ วิ คลไี อ 4. สเปริ ม์ นวิ เคลียสผสมกับเซลล์ไข่ และทวิ ปน์ วิ เคลยี สผสมกบั เซลล์โพลาร์นวิ คลไี อ 31) เมล็ดพืชในขอ้ ใดทจ่ี ดั เปน็ ผล (fruit) ทงั้ หมด 1. เมลด็ ข้าวเจา้ เมล็ดข้าวโพด เมลด็ ถัว่ เหลือง 2. เมลด็ ข้าวโพด เมลด็ งา เมลด็ ถวั่ เขยี ว 3. เมลด็ ดอกทานตะวนั เมล็ดขา้ วเจ้า เมล็ดงา 4. เมลด็ ดอกทานตะวนั เมล็ดขา้ วเจา้ เมล็ดข้าวโพด 32) ขอ้ ใดถูกต้อง 1. ขา้ วแต่ละเมด็ คอื 1 ผล (fruit) 2. ข้าวแตล่ ะเมด็ คอื 1 เมลด็ (seed) 3. แกลบ คอื เปลือกห้มุ เมล็ด (seed coat) 4. แกลบ คือ สว่ นทเ่ี จรญิ มาจากผนังรงั ไข่ (ovary) 33) พชื ในขอ้ ใดทด่ี อกแต่ละดอกมีหลายรังไข่ (ovary) 1. ฟักทอง กลว้ ย ขนนุ 2. ยอ สบั ปะรด หมอ่ น 3. การเวก ทเุ รียน บวั หลวง 4. จา้ ปา กระดงั งา สตรอเบอรี Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 66

34) ข้อใดเรยี งล้าดับ ผลเดี่ยว ผลกล่มุ ผลรวม ไดถ้ ูกต้องทงั้ หมด 1. ทเุ รยี น นอ้ ยหน่า ขนนุ 2. ลา้ ไย สับปะรด สตรอเบอร่ี 3. สตรอเบอร่ี ลิ้นจี่ ขนนุ 4. เงาะ ขนนุ สบั ปะรด 35) เมลด็ ถ่ัวเขียวและเมล็ดละหงุ่ มีความเหมอื นกนั หรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร 1. เหมือนกัน เพราะมีใบเลีย้ งท้าหน้าทีส่ ะสมอาหาร 2. เหมอื นกนั เพราะมเี อนโดสเปริ ม์ ทา้ หน้าทีส่ ะสมอาหาร 3. ต่างกนั ถั่วเขียวสะสมอาหารในเอนโดสเปริ ม์ ละหงุ่ สะสมอาหารในใบเลี้ยง 4. ตา่ งกัน ถั่วเขยี วสะสมอาหารในใบเลี้ยง ละหงุ่ สะสมอาหารในเอนโดสเปริ ์ม 36) ขณะที่เมลด็ ถ่ัวเขียวเริ่มงอกเปน็ ต้น โครงสร้างสว่ นใดท่โี ผล่พน้ ดนิ ข้ึนมาเปน็ อบั ดบั แรก 1. ใบเล้ียง 2. เอพคิ อทลิ 3. ไฮโพคอทิล 4. ยอดแรกเกิด การควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตและการตอบสนองของพชื 37) มฮี อรโ์ มนพชื ชนิดใดบา้ งท่เี กีย่ วกบั การควบคุมการงอกของเมลด็ ขา้ ว 1. ออกซิน จบิ เบอเรลลนิ ไซโทโคนนิ 2. จิบเบอเรลลนิ ไซโทไคนนิ กรดแอบไซซกิ 3. ไซโทไคนนิ กรดแอบไซซิก เอทลิ ีน 4. กรดแอบไซซิก ออกซนิ จิบเบอเรลลนิ 38) สารเคมชี นดิ ใดทพ่ี ชื สังเคราะห์ขนึ้ มาเพือ่ ท้าให้ปากใบปดิ 1. ออกซนิ 2. ไซโทไคนนิ 3. จบิ เบอเรลลนิ 4. กรดแอบไซซกิ 39) ขอ้ ใดเปน็ หนา้ ทขี่ องจบิ เบอเรลลนิ ก. ยับยั้งการเจริญของตาขา้ ง ข. กระตนุ้ การงอกของเมล็ด ค. กระตุ้นการเกิดของตาขา้ ง ง. กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด จ. พฒั นารงั ไขไ่ ปเปน็ ผลโดยไมต่ ้องปฏิสนธิ 1. ก, ข, ง 2. ข, ง, จ 3. ข, ง, ค 4. ค, ง, จ 40) ขอ้ ใดไม่ใช่การเคลือ่ นไหวของพชื ทเ่ี ป็นผลมาจากการเปลีย่ นแปลงของแรงดนั เตง่ ภายในพชื 1. การพันหลกั ของตน้ พลดู า่ ง 2. การหบุ และกางใบของไมยราบ และการปิด-เปิดของปากใบ 3. การแตกของผลต้อยตง่ิ เมื่อถกู ฝน และการนอนของใบพชื ตระกูลถัว่ 4. การบานของดอกกุหลาบ และการหุบของใบกาบหอยแครง 41) ข้อใดไมใ่ ช่ทรอปิกมฟู เมนต์ 1. ดอกมะลบิ านรับแสงตอนเชา้ 2. รากของตน้ ถวั่ เขยี วงอกเข้าหาดนิ ท่มี คี วามชน้ื สูง 3. การงอกของหลอดละอองเรณเู ข้าหารงั ไข่ 4. มือเกาะของต้นตา้ ลึงพนั กับรั้วลวดหนาม ------------------------------------- Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 67

บทที่ 15 การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 68

บทที่ 16 ยีนและโครโมโซม Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 69

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 70

Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 71

บทที่ 17 พนั ธศุ าสตรแ์ ละเทคโนโลยีทาง DNA Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 72

บทที่ 18 วิวัฒนาการ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 73

บทที่ 19 ความหลากหลายทางชีวภาพ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 74

แบบทดสอบทบทวนความรู้ 4 พันธุศาสตร์และความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 1) สตั วช์ นดิ หนึ่งมจี ีโนไทปเ์ ป็น Aabb จีโนไทปข์ องสเปอรม์ าโทโกเนยี มของสัตว์ตวั น้ีคือข้อใด 1. Aabb 2. AAbb 3. Ab และ ab 4. Aa และ bb 2) ในการผสมพันธ์ุหนูระหว่างตวั ผทู้ ่ีมจี โี นไทป์ AaBbCcDD กับตัวเมยี ท่มี ีจีโนไทป์ AabbCcDd และยนี แต่ละคูต่ งั้ บน โครโมโซมคนละแทง่ โอกาสทจี่ ะไดล้ ูกทีม่ จี โี นไทปเ์ ปน็ AaBbCcDd มกี ่ตี วั ถา้ ลูกท่ีเกิดจากการผสมพันธุ์มที ้งั หมด 2,560 ตวั 1. 10 2. 80 3. 160 4. 640 3) หม่เู ลอื ดระบบ ABO ในคนควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม โรคตาบอดสคี วบคุมด้วยยนี ด้อยบนโครโมโซมเพศ พอ่ และแมม่ หี ม่เู ลือด A และตาปกติทงั้ คู่ มลี กู ชายคนหนงึ่ มหี มเู่ ลือด O และตาบอดสี จงหาอัตราสว่ นของ ฟโี นไทป์ที่จะได้ลูกสาวของพ่อแม่ค่นู ี้มหี ม่เู ลือด O และตาปกติ 1. 1/4 2. 3/4 3. 1/2 4. 1/8 4) หมเู่ ลอื ดในคนควบคมุ ด้วยยีนบนออโตโซม โรคตาบอดสีควบคุมด้วยยนี ดอ้ ยบนโครโมโซมเพศ พอ่ และแม่มี หมเู่ ลอื ด B และตาปกตทิ ้งั คู่ มลี ูกชายคนหนง่ึ มหี มู่เลือด O และตาบอดสี จงหาอัตราส่วนของฟีโนไทปท์ ่จี ะได้ ลูกชายทมี่ ีหมเู่ ลอื ด B และตาปกติ 1. 1/10 2. 3/16 3. 1/8 4. 3/8 5) หญิงคนหนึ่งตาปกติ มพี ่อเปน็ โรคตาบอดสี แต่งงานกบั ชายตาบอดสี มลี ูกชายหนงึ่ คนและลกู สาวหนงึ่ คนจงหา รอ้ ยละของลกู ชายและลูกสาวทง้ั สองคนน้ที ่ีตาบอดสี ตามล้าดับ 1. 25 และ 25 2. 25 และ 50 3. 50 และ 25 4. 50 และ 50 6) ผ้ชู ายหมู่เลอื ดเอ ตาสีฟ้า แตง่ งานกับผู้หญงิ หมู่เลือดบี ตาสนี า้ ตาล ซึง่ มีพอ่ ตาสีฟา้ โอกาสทีส่ ามภี รรยาคู่นี้จะมีลูก ทีม่ ีหมเู่ ลือดโอ และตาสีฟ้าเปน็ รอ้ ยละเทา่ ไร 1. 1.0 2. 6.25 3. 12.5 4. 4.25 Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 75

7) ถา้ นา้ มะเขือเทศท่มี ลี ักษณะผลสเี หลอื ง ไปผสมกบั มะเขือเทศทมี่ ีลกั ษณะผลสแี ดงตน้ ที่หนง่ึ และมะเขอื เทศท่ีมี ลักษณะผลสแี ดงตน้ ทีส่ อง พบว่าลูก F1 ของมะเขอื เทศตน้ ทหี่ นงึ่ มลี กั ษณะผลสีแดงและผลสีเหลอื งในอัตราสว่ น เท่าๆ กนั สว่ นลูก F1 ของมะเขอื เทศตน้ ทสี่ อง มลี กั ษณะผลสแี ดงทงั้ หมด ขอ้ ใดไมถ่ ูกต้อง 1. ยนี ลักษณะสีผลของมะเขือเทศตน้ ท่ีหนง่ึ เปน็ เฮเทอโรไซกสั 2. ลกั ษณะผลสแี ดงของมะเขือเทศเป็นยนี เดน่ 3. ลกั ษณะผลสเี หลอื งเป็นฮอโมไซกสั 4. มะเขอื เทศทีม่ ลี กั ษณะผลสแี ดงตน้ ที่หนง่ึ และต้นที่สองมจี ีโนไทปเ์ หมอื นกนั 8) ข้อใดกล่าวไมถ่ กู ตอ้ ง 1. ลกู สาวหวั ลา้ นตอ้ งมีพ่อหวั ลา้ น 2. แม่หัวล้านจะมลี ูกชายหัวล้านเสมอ 3. แมป่ กติอาจจะมีลกู ชายหวั ล้าน 4. แม่ปกตจิ ะมีลูกชายปกติเสมอ 9) หญงิ ศีรษะไมล่ า้ นแตง่ งานกบั ชายศรี ษะลา้ น ไดล้ ูกสาวศีรษะลา้ น โอกาสท่ลี ูกสาวและลกู ชายจะมศี ีรษะลา้ นเปน็ อย่างไร 1. โอกาสทลี่ ูกชายและลกู สาวจะมศี รี ษะลา้ นไดเ้ ท่าๆ กนั 2. โอกาสท่ีลูกชายมีศรี ษะล้าน 50% สว่ นลูกสาวมโี อกาส 25% 3. โอกาสท่ีลกู ชายมีศรี ษะลา้ น 75% สว่ นลูกสาวมีโอกาส 25% 4. โอกาสทล่ี ูกชายมีศรี ษะล้าน 100% ส่วนลูกสาวมโี อกาส 25% 10) P สนุ ขั พนั ธพุ์ ดุ เด้ลิ สดี ้า (พนั ธแุ์ ท)้ x สุนขั พันธุพ์ ดุ เดลิ้ สีขาว (พนั ธ์แุ ท)้ F1 สุนขั พนั ธุพ์ ดุ เด้ิลส_ี _______ F2 (นา้ F1 ผสมกนั เอง) จากข้อFม2ูลขา้ งบน ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ ง (น้า F1 ผสมกันเอง) 1. F1 จะเปน็ สเี ทา ถ้าลักษณะนี้ถกู ควบคมุ แบบ codominance 2. F1 จะเปน็ สขี าวสลับด้า ถา้ ลักษณะนถี้ กู ควบคุมแบบ incomplete dominance 3. F2 จะเปน็ สีด้า : สขี าว = 1 : 1 ถ้าลักษณะน้ถี กู ควบคุมแบบ complete dominance 4. F2 จะเปน็ สีดา้ : สีเทา : สขี าว = 2 : 4 : 2 ถา้ ลักษณะน้ีถกู ควบคมุ แบบ incomplete dominance 11) จากการผสมแมลงหวี่ตวั สนี า้ ตาลปีกตรง (AaBb) x แมลงหวีส่ ีดา้ ปกี กดุ (aabb) ถ้าการถ่ายทอดยีนท่ีควบคมุ เปน็ แบบลิงคย์ นี จะมสี ดั สว่ นของรนุ่ F1 ออกมาเปน็ เทา่ ไร 1. ตวั สนี า้ ตาลปกี ตรง : สดี ้าปีกกุด : = 2 : 1 2. ตัวสีน้าตาลปีกตรง : สีดา้ ปกี กดุ : = 1 : 1 3. ตวั สีนา้ ตาลปกี ตรง : สดี ้าปีกตรง : ตวั สีนา้ ตาลปีกกดุ : สีด้าปีกกดุ = 9 : 3 : 2 : 1 4. ตัวสีนา้ ตาลปีกตรง : สีด้าปีกตรง : ตวั สนี ้าตาลปีกกุด : สดี ้าปีกกดุ = 1 : 2 : 2 : 1 Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 76

ยีนและโครโมโซม 12) ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกี่ยวกับองค์ประกอบของดเี อ็นเอ 1. ไนโตรจนี สั เบสเชื่อมกับน้าตาลทคี่ ารบ์ อนต้าแหนง่ ที่ 1 2. มหี มู่ฟอสเฟสเชื่อมกบั นา้ ตาลท่คี าร์บอนต้าแหนง่ ที่ 3 3. นิวคลีโอไทดป์ ระกอบดว้ ยน้าตาลเพนโตสคอื นา้ ตาลไรโบส 4. มีไนโตรจนี ัสเบสพวิ รนี ไดแ้ ก่ อะดนี นี ไทมีน และไพริมดิ ีน ไดแ้ ก่ กวานนี ไซโทซนี 13) ดีเอน็ เอโมเลกุลหน่งึ พบปรมิ าณของ G C เป็นรอ้ ยละ 52 และจากล้าดับเบสของยนี บนดเี อ็นเอโมเลกลุ น้พี บวา่ มสี ัดสว่ นระหว่าง A กับ T เปน็ 1 : 3 mRNA ท่ถี อดรหัสจากยนี บนดเี อน็ เอโมเลกุลนีจ้ ะมี U อยรู่ ้อยละเทา่ ไร 1. 12 2. 16 3. 24 4. 36 14) โมเลกลุ ของ DNA ของสัตว์ X และสตั ว์ Y ประกอบด้วย 1,500 นวิ คลโี อไทดเ์ ท่ากนั และมอี ัตราส่วนของ เบส A เทา่ กับ 28% และ 32% ตามลา้ ดบั ขอ้ ใดถูกตอ้ ง ก. โมเลกุล DNA ของสตั ว์ X มจี ้านวนของเบส G มากกว่าสตั ว์ Y ข. โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มจี า้ นวนของเบส G น้อยกวา่ สตั ว์ Y ค. โมเลกุล DNA ของสตั ว์ X มอี ณุ หภมู กิ ารหลอมเหลวสงู กวา่ สตั ว์ Y ง. โมเลกลุ DNA ของสัตว์ X มอี ณุ หภมู กิ ารหลอมเหลวต่า้ กวา่ สตั ว์ Y 1. ก และ ค 2. ก และ ง 3. ข และ ค 4. ข และ ง 15) กระบวนการข้อใดไมม่ ีดเี อ็นเอเกย่ี วขอ้ ง 1. ทราบสครบิ ชันในยูคาริโอต 2. ทรานสเลชนั ในยคู าริโอต 3. ทรานสครบิ ชนั ในโปรคาริโอต 4. ทรานสเลชนั ในโปรคาริโอต 16) รหสั พันธกุ รรมคอื อะไร 1. ล้าดบั เบสของยีน 2. ยนี ท้ังหมดทอ่ี ยูบ่ นโครโมโซม 3. การแสดงออกทางพันธุกรรมหรือการทา้ งานของยนี 4. กฎทแี่ สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งลา้ ดบั นิวคลโี อไทดก์ บั กรดอะมโิ น 17) กา้ หนดให้ สายดีเอน็ เอเปน็ ดังน้ี 5’ ACGTCAG 3’ เมื่อถอดรหสั เปน็ mRNA จะมลี ้าดบั เปน็ อย่างไร 1. 3’ CTGUCGT 5’ 2. 3’ CUGACGU 5’ 3. 5’ CTGUCGT 3’ 4. 5’ CUGACGU 3’ 18) ถ้าเกดิ non-disjunction ทเ่ี ซลลส์ ืบพันธ์ขุ องแม่ จะมีโอกาสเกดิ ลกู ที่ผดิ ปกตแิ บบใดบ้าง ก. XO ข. OY ค. XXX ง. XXY 1. ก, ข 2. ข, ค 3. ค, ง 4. ก, ข, ค, ง 19) Down syndrome เกดิ มาจากสาเหตใุ ด 1. จ้านวนโครโมโซมคู่ท่ี 21 เกนิ 1 แทง่ 2. จา้ นวนโครโมโซมคู่ที่ 21 ขาด 1 แทง่ 3. จ้านวนโครโมโซมคู่ที่ 22 เกนิ 1 แทง่ 4. จ้านวนโครโมโซมคู่ท่ี 22 ขาด 1 แทง่ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 77

20) คนปว่ ยท่แี สดงอาการคริดชู ารต์ (Cri du chat) มีจ้านวนชุดโครโมโซมแบบใด 1. 44 + XO 2. 44 + OY 3. 44 + XY 4. 45 + XX เทคโนโลยที างพันธุศาสตร์และดีเอ็นเอ 21) เทคนคิ พอลิเมอเรสเชนรแี อกชนั เปน็ เทคนิคที่เลยี นแบบกระบวนการใดท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ 1. เรพลิเคชนั 2. ทรานสคริบชนั 3. ทรานสเลชนั 4. ไลเกชัน 22) ผลผลิตดเี อน็ เอท่ไี ด้หลงั จากการทา้ ปฏิกริ ิยาพีซีอาร์นนั้ ตรงกบั กราฟขอ้ ใดมากท่ีสุดโดยใหแ้ กนตงั้ เปน็ ปรมิ าณ ดเี อ็นเอที่ไดใ้ นปฏิกริ ยิ า สว่ นแกนนอนเป็นจา้ นวนรอบของการใชอ้ ุณหภมู ใิ นปฏิกิรยิ า 1. 2. 3. 4. 23) ขอ้ ใดเปน็ การสรา้ งสิ่งมีชวี ิตดัดแปลงพนั ธุกรรม (GMOs) ก. การโคลนนิง่ แกะดอลลี่ ข. การผลิตข้าวที่มวี ติ ามินเอ (golden rice) ค. การผลติ ฝา้ ยบีทตี ้านทานหนอนเจาะสมอฝ้าย 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. ก ข และ ค 24) ข้อใดกลา่ วผดิ เกยี่ วกบั การ Cloning ของสัตว์ 1. ดอลล่เี ปน็ แกะที่มพี ันธกุ รรมเหมอื นตวั แมท่ ี่คลอดมนั ออกมา 2. ดอลลเ่ี ป็นแกะทสี่ รา้ งจากเน้อื เยอ่ื เต้านมของแกะเพศเมียตวั หน่ึง 3. ดอลลีเ่ ปน็ แกะที่สร้างจากเซลลต์ ง้ั ตน้ ทม่ี โี ครโมโซมเปน็ 2n 4. ดอลลี่เป็นแกะท่สี ร้างโดยใช้วิธี ICSI เข้าช่วย 25) ลายพิมพ์ดีเอ็นเอเหมาะที่จะน้าไปใชใ้ นกรณใี ด 1. ยนี บา้ บดั 2. สร้างยสี ตท์ ่ีผลิตอินซลู ิน 3. พสิ ูจนบ์ คุ คลนิรนาม 4. ตรวจหายีนที่กลายพนั ธุ์ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 78

ววิ ฒั นาการ 26) ในประชากรจา้ นวนหน่งึ พบวา่ ลักษณะหอ่ ลน้ิ ไดเ้ ปน็ ลักษณะเด่น และมีคนห่อล้ินไดร้ อ้ ยละ 91 แอลลีลเด่นและ แอลลีลดอ้ ย มีความถ่ีเปน็ รอ้ ยละเท่าใดในประชากรกลมุ่ นี้ 1. 70 , 30 2. 30 , 70 3. 91 , 9 4. 9 , 91 27) ส้ารวจการมีต่งิ หใู นประชากรภาคเหนือ พบวา่ ในทุกๆ 100 คน จะมีติ่งอยู่ 64 คน ในจา้ นวนนี้จะมี heterozygous กีค่ น 1. 16 2. 32 3. 42 4. 48 28) ประชากรมนษุ ย์ในสมดุลฮาร์ดี - ไวนเ์ บริ ก์ เปน็ คนเผือกซง่ึ เปน็ ลกั ษณะด้อย 1% นอกนั้นเปน็ คนปกติซง่ึ มี ลักษณะเดน่ จงหาว่าประชากร 1,000 คน จะเปน็ heterozygous กคี่ น 1. 90 2. 180 3. 400 4. 810 29) การศกึ ษาสาขาใดท่ีทา้ ให้ทราบถงึ แนวคดิ ทฤษฎวี วิ ฒั นาการสงั เคราะหไ์ ด้ดที ่ีสดุ 1. ชีวภูมศิ าสตร์ 2. อนุกรมวธิ าน 3. บรรพชวี ินวทิ ยา 4. พนั ธศุ าสตรป์ ระชากร 30) ปรากฎการณ์คอขวดมีความส้าคญั อย่างไร 1. ได้ลักษณะทางพนั ธกุ รรมทีด่ ียิง่ ข้ึนในประชากรร่นุ ใหม่ 2. ทา้ ให้ประชากรท่ีย้ายไปที่อยใู่ หมม่ ีความถี่ของอัลลลี เปลยี่ นไป 3. ส่งผลตอ่ การถา่ ยเทเคลอื่ นยา้ ยยนี ระหว่างประชากรต่างกลมุ่ ในทตี่ า่ งๆ 4. ทา้ ใหโ้ ครงสร้างพนั ธุกรรมประชากรเปลีย่ นไปเพราะประชากรมีขนาดเล็กลง 31) ผปู้ ว่ ยรายหนงึ่ กนิ ยาปฏชิ วี นะตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานาน จนเกดิ การดื้อยาท้าให้ต้องเปลีย่ นยาใหแ้ รงขึ้นไปเรื่อยๆ เหตกุ ารณ์นเ้ี กดิ ขึ้นเนอื่ งจากปรากฎการณ์ใด ก. Adaptation ข. Mutation ค. Natural selection ง. Convolution 1. ก, ข 2. ข, ค 3. ค, ง 4. ก, ข, ค 32) ขอ้ ใดไม่ใชป่ ัจจัยหลกั ท่ที า้ ให้ความถ่ขี องอัลลีลเปลย่ี นแปลง 1. ประชากรลดลงอย่างรวดเรว็ เน่ืองจากแผ่นดนิ ไหว 2. การอพยพย้ายถน่ิ ระหวา่ งฐานประชากร 3. สัตวเ์ พศเมยี เลอื กเพศผทู้ ่ีมีสสี ดใส 4. ลูกผสมทเ่ี กิดจากสง่ิ มชี ีวิตตา่ งสปีชีสก์ ัน 33) การสา้ รวจนกแซวสวรรค์ในประเทศไทย พบวา่ มีทัง้ ชนิดสีขาวและสนี ้าตาล โดยเฉพาะชนดิ สีขาวอย่ทู างภาคใต้ มากกว่าภาคเหนือ ถา้ นักเรียนเปน็ นักส้ารวจจะสรุปว่านกแซวสวรรคท์ ้งั สองสีทพ่ี บในภาคใตแ้ ละภาคเหนือเปน็ นกชนิดเดียวกัน จะตอ้ งพิจารณาจากข้อใด 1. กนิ แมลงชนดิ เดียวกนั 2. อยูใ่ นป่าแบบช้นื เหมอื นกัน 3. สามารถผสมพนั ธ์ุกันและออกลูกได้ 4. มลี ักษณะของตัวออ่ นในไข่เหมือนกนั Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 79

34) ในการเกดิ สปชี ีสใ์ หมป่ ัจจัยขอ้ ใดทม่ี ผี ลน้อยทส่ี ุด 1. สภาพภมู ิศาสตร์ 2. จ้านวนโครโมโซม 3. พฤตกิ รรมการผสมพันธุ์ 4. ลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยา 35) มนุษยก์ ลุ่มใดท่ีเรม่ิ ทา้ ใหเ้ ร่มิ เกดิ การสญู เสยี ความหลายทางชีวภาพ 1. มนุษยป์ กั กิง่ 2. มนุษย์ปจั จบุ นั 3. มนุษยโ์ ครแมนยัง 4. มนุษย์นแี อลเดอร์ทลั ความหลากหลายทางชวี ภาพ 36) โลกของเราเรม่ิ มีมนษุ ยป์ รากฎขน้ึ มาในยุคใด 1. มหายคุ มีโซโซอกิ ยคุ ไทรแอสซกิ 2. มหายคุ มโี ซโซอิก ยคุ ครีเทเชยี ส 3. มหายคุ ซโิ นโซอกิ ยุคควอเทอนารี 4. มหายคุ ซีโนโซอกิ ยคุ เทอเทยี รี 37) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ในขอ้ ใดเขยี นไดถ้ กู ตอ้ งทสี่ ดุ 1. Craseonycteris Tonglongyai Hill 2. Momordica charantia Linn. 3. Dugong dugon Muller 4. Tapirus inducus Desmarest, 1819 38) ล้าดับข้ันการจดั หมวดหมขู่ องสง่ิ มีชวี ิตข้อใดผดิ 1. phylum > class > family > species 2. division > family > order > genus 3. phylum > class > genus > species 4. division > class > order > species 39) ขอ้ ใดถูกต้องเม่อื กลา่ วถงึ โดเมนในการจดั หมวดหม่สู ิง่ มีชวี ติ 1. โดเมนสรา้ งจากขอ้ มลู กายวิภาคทไ่ี ดจ้ ากซากฟอสซิล 2. ไมโครสปอริเดียและดโิ พลโมแนดอยู่ในโดเมนเดยี วกนั 3. ประกอบด้วยโดเมนหลักและโดเมนย่อยอกี หลายโดเมน 4. เอนเทอโรแบคทีเรียจดั อยู่ในโดเมนกลมุ่ ทส่ี รา้ งมเี ทน 40) สิ่งมชี วี ติ กลมุ่ ใดท่ีสามารถสรา้ งอาหารเองได้คล้ายพชื 1. โพรทีโอแบคทีเรียและไซยาโนแบคทเี รยี 2. คลาไมเดียและสไปโรคีท 3. โพรทีโอแบคทีเรยี และสไปโรคที 4. คลาไมเดยี และไซยาโนแบคทีเรยี 41) ปรากฎการณ์ “ขีป้ ลาวาฬ” เกดิ ขึ้นจากสาเหตใุ นข้อใด 1. แบคทีเรยี แกรมบวกย่อยสลายของเสยี จากสงิ่ มชี วี ติ ในแหลง่ น้า 2. ยูกลีโนซวั เพม่ิ จา้ นวนอย่างรวดเรว็ เนือ่ งจากปรากฎการณโ์ ลกรอ้ น 3. ไดโนแฟลคเจลเลตเพิ่มจา้ นวนอย่างรวดเร็วเนอื่ งจากในนา้ มสี ารอาหารสงู 4. สาหร่ายสีเขียวเพิ่มจ้านวนอยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื มีแสงแดดเพยี งพอ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 80

42) ข้อใดไม่ถูกตอ้ ง 1. ระยะแกมโี ทไฟต์ของไซแคโดไฟตาสั้นกว่าแอนโทซโี รไฟตา 2. ฟงั ไจมคี วามสัมพนั ธท์ างววิ ฒั นาการท่ใี กลช้ ดิ พืชมากกวา่ สตั ว์ 3. สตั วใ์ นไฟลมั อาร์โทรโพดามีการกระจายตวั อยูแ่ ทบทกุ แห่งบนโลกเน่ืองจากปรับตัวได้ดี 4. สัตวใ์ นคลาสออสตดิ ไทอิสส่วนใหญม่ ีการปฏิสนธภิ ายนอกและมคี วามส้าคญั ทางเศรษฐกิจ 43) ข้อใดคือลักษณะของยูกลีนา ก. สงั เคราะห์ดว้ ยแสงได้คลา้ ยสาหรา่ ย ข. ดูดซับสารอนิ ทรยี ์จากสง่ิ แวดล้อมไดค้ ล้ายรา ค. เคลอ่ื นท่ไี ดแ้ ละประกอบด้วยหลายเซลลค์ ลา้ ยสตั ว์ 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. ก ข และ ค 44) ขอ้ ใดคอื ลกั ษณะท่พี บทั้งในมอสและปรง ก. มีเนื้อเย่อื ลา้ เลยี ง ข. มีต้นแกมโี ทไฟต์และสปอโรไฟต์ ค. สเปริ ม์ ใชแ้ ฟลคเจลลมั ในการเคล่ือนทีแ่ ละอาศยั นา้ ในการปฏิสนธิ 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. ก ข และ ค 45) ลา้ ดับขั้นการจดั หมวดหมู่ของสง่ิ มชี วี ติ ขอ้ ใดถกู ต้อง 1. มอส > ปรง > ตนี ตุ๊กแก > บวั 2. ตีนตกุ๊ แก > มอส > ปรง > บวั 3. ตนี ตุ๊กแก > ปรง > มอส > บวั 4. มอส > ตนี ตุก๊ แก > ปรง > บัว 46) ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะรว่ มของฟังไจ 1. สร้างไฮฟา 2. สร้างสปอร์ท่ีมแี ฟลกเจลลา 3. สร้างฟรุตติง บอดี 4. ผนังเซลลม์ ไี คทนิ 47) สตั วใ์ นกลุ่มใดทส่ี มมาตรแตกตา่ งกัน 1. มอลลัสกา อาร์โทรโพดา แอนเนลดิ า 2. นมี าโทดา แอเนลดิ า คอรด์ าตา 3. อาร์โทรโพดา คอร์ดาตา มอลลสั กา 4. นีมาโทดา ไนดาเรีย อาร์โทรโพดา 48) สง่ิ มีชีวติ เซลล์เดียวหรอื อย่รู วมกนั เป็นโคโลนี ไม่มเี ย่ือหุ้มนวิ เคลยี ส อาจมหี รือไม่มีคลอโรฟลิ ล์จัดอยใู่ น Kingdom ใด 1. Animalia 2. Fungi 3. Monera 4. Protista 49) ส่ิงมชี ีวติ มีลักษณะล้าตวั เรยี วยาว แหลมหัวแหลมทา้ ย ไมม่ ปี ลอ้ งทีแ่ ท้จริง มชี ่องวา่ งในลา้ ตวั แบบเทียม (pseudocoelom) จดั อย่ใู น phylum ใด 1. Annelida 2. Coelenterata 3. Echinodermata 4. Nematode 50) สง่ิ มีชีวิตชนดิ ใดทค่ี าดวา่ ท้าให้บรรยากาศของโลกในอดีต มีปรมิ าณออกซิเจนมากขึ้น 1. ไซยาโนแบคทีเรีย 2. ไดอะตอม 3. สาหร่ายสเี ขยี ว 4. พืชไม่มีทอ่ ล้าเลยี ง Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 81

51) สิง่ มชี ีวติ ในไฟลมั ใดทสี่ ามารถยอ่ ยสลายลิกนินในซากพชื ไดด้ ี 1. ไคทริดิโอไมโคตา 2. เบสิดโิ อไมโคตา 3. แอสโคไมโคตา 4. ไซโกไมโคตา 52) ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะของฟองนา้ ถตู วั 1. สมมาตรแบบดา้ นขา้ ง 2. โครงร่างเปน็ เสน้ ใยโปรตนี 3. ตัวอ่อนมรี ูปรา่ งแบบเมดูซาว่ายนา้ เปน็ อสิ ระ 4. มชี อ่ งตรงกลางลา้ ตวั เปน็ ชอ่ งนา้ เข้าขนาดใหญ่ 53) “.....ชายหนุ่มถูกหมัดกดั กอ่ นพบตะขาบฝอยทอ่ี าศยั อยูใ่ ตก้ ระถางตน้ ไม้...” จากค้ากล่าวนีม้ สี ัตว์ในคลาสใดบา้ ง 1. อนิ เซค็ ตา แมมมาเลยี ชโิ ลโพดา 2. ชโิ ลโพดา อะแรคนิดา แมมมาเลีย 3. แมมมาเลยี ไดโพลโพดา อะแรคนดิ า 4. อะแรคนิดา ไดโพลโพดา อนิ เชค็ ตา 54) โรคเอดส์หรือโรคทมี่ อี าการของภูมิคมุ้ กนั บกพรอ่ ง อันเกดิ จากเชอื้ ไวรสั ชนิด HIV มสี ารพนั ธุกรรมเป็นแบบใด ซึง่ เมอ่ื เขา้ สเู่ ซลลจ์ ะสร้างสารพนั ธุกรรมในรูปใด และแทรกเขา้ ไปอยใู่ นส่วนใดของเซลลต์ ามลา้ ดับ 1. DNA RNA และ RNA 2. RNA DNA และ DNA 3. RNA RNA และ DNA 4. RNA DNA และ RNA 55) ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะส้าคญั ของสง่ิ มชี ีวติ ในอาณาจักรมอเนอรา 1. สามารถด้ารงชวี ิตในสภาพแวดลอ้ มทีม่ ีชวี ิตอ่นื ไม่สามารถทนได้ 2. มีผนังเซลล์เป็นสารประกอบเพปทิโดไกลแคน 3. มีรปู ร่างเปน็ ทรงกลม ทรงทอ่ น และทรงเกลียว 4. สารพันธุกรรมในเซลล์ไม่มีเยือ่ หมุ้ 56) ข้อใดไมใ่ ชส่ งิ่ มีชีวติ ในอาณาจักรโพรทสิ ตา 1. สาหรา่ ยผมนาง 2. สาหรา่ ยหางกระรอก 3. สาหร่ายไฟ 4. สาหรา่ ยสนี ้าตาล 57) ข้อใดเปน็ พืชที่มีเมล็ด 1. หญา้ ถอดปล้อง 2. หญา้ คา 3. ยา่ นลเิ ภา 4. ผกั แว่น 58) ข้อใดเปน็ สัตวเ์ ลอื ดอนุ่ 1. จระเข้ 2. ตุ่นปากเปด็ 3. ซาลามานเดอร์ 4. จ้งิ เหลน ------------------------------------------------- Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 82

บทที่ 20 ระบบนเิ วศ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 83

ไบโอมบนบก ใช้ปรมิ าณน้าฝนและอณุ หภมู ิเป็นเกณฑ์ ชนดิ ของไบโอม ลกั ษณะส้าคัญ พบบริเวณเสน้ ศนู ย์สตู ร ปรมิ าณน้าฝนเฉลย่ี 200-400 เซนตเิ มตรตอ่ ปี มฝี นตกตลอดปี มคี วามหลากหลายทางชีวภาพมาก มปี รมิ าณน้าฝนเฉลีย่ 100 เซนติเมตรต่อปี อากาศค่อนขา้ งเยน็ พบในเขตละติจดู กลาง ปา่ ผลดั ใบกอ่ นฤดูหนาว และผลใิ บหลังพน้ ฤดหู นาว เขียวชะอุ่มตลอดปี พบในแคนาดา อเมรกิ า และเขตละตจิ ดู 45-67 องศาเหนอื มีพชื เด่น คอื ไพน์ เฟอ สพรูซ เฮมลอค มนี า้ ฝนเฉลยี่ 25-50 เซนติเมตรต่อปี รู้จกั กันดี เช่น ท่งุ หญา้ แพร่ี (อเมริกาเหนอื ) และทุ่งหญา้ สเตปส์ (รสั เซีย) เหมาะตอ่ การกสกิ รรมและปศุสตั ว์ เพราะดินอุดมสมบรู ณ์ พบได้ในแอฟริกา อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ อากาศร้อน พืชสว่ นใหญเ่ ปน็ หญา้ ฤดรู ้อนเกดิ ไฟป่าอยู่เสมอ มนี า้ ฝนเฉลยี่ น้อยกวา่ 25 เซนตเิ มตรต่อปี บางแหง่ รอ้ นมาก อุณหภมู เิ หนือพนื้ ดิน สงู ถงึ 60 องศาเซลเซยี ส ใบพชื จะลดรูปเปน็ หนาม ล้าตน้ อวบนา้ รจู้ กั กนั ดี เชน่ ทะเลทรายโกบี (จนี ) ซาฮารา (แอฟรกิ า) โมฮาวี (อเมรกิ า) มฤี ดูหนาวยาวนาน ลกั ษณะเด่น คือ ช้ันดนิ ด้านล่างจะจบั ตัวเปน็ นา้ แขง็ อยา่ งถาวร พบทางตอนเหนอื ของอเมริกา ยโุ รป เอเชีย มักพบไมด้ อก ไมพ้ มุ่ และไลเคน ความหลากหลายของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศ ระบบนิเวศในนา้ ระบบนิเวศบนบก แหลง่ นา้ จดื แหลง่ น้ากรอ่ ย แหล่งน้าเค็ม ป่าไม้ แหล่งน้าน่งิ หาดทราย ป่าผลัดใบ ป่าไมผ่ ลดั ใบ แหลง่ นา้ ไหล หาดหิน ปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ ชนื้ แนวปะการัง ปา่ เต็งรงั ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดิบเขา ปา่ สนเขา ปา่ ชายเลน ปา่ พรุ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 84

ความสมั พันธ์ในระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธ์ในระบบนเิ วศ ปัจจยั ทางกายภาพ ปัจจยั ทางชวี ภาพ อณุ หภมู ิ ภาวะการได้ประโยชนร์ ่วมกัน ความชืน้ ภาวะพ่ึงพา แสงสวา่ ง ภาวะองิ อาศัย แก๊ส ภาวะการล่าเหย่อื ดนิ แรธ่ าตุ ภาวะปรสิต ความเปน็ กรดเบสของดนิ และน้า ภาวะการแก่งแย่งแขง่ ขนั การถ่ายทอดพลงั งานในส่งิ มชี ีวติ คือ ความสัมพันธ์เชงิ อาหารที่มีการถ่ายทอดพลังงานเคมี โดยการ กินกันเปน็ ทอดๆ จากผู้ผลติ ไปยงั ผู้บริโภค และจากผ้บู รโิ ภคไปยัง โซอ่ าหาร ผู้บริโภคลา้ ดับถดั ไป (Food Chain) เช่น ผกั กาด  หนอน  นก  คน สายใยอาหาร ห่วงโซ่อาหาร แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ แบบจับกิน แบบปรสิต (Food Web) และแบบดไี ทรทสั (การยอ่ ยสลาย) คือ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างโซอ่ าหาร ตัง้ แต่ 2 โซ่อาหารขึ้นไป ทา้ ให้ มีโอกาสถ่ายทอดพลังงานได้หลายทิศทาง Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 85

การหมนุ เวียนของสารในระบบนเิ วศ แบง่ เปน็ วฏั จกั รแบบสมบูรณ์ (ผา่ นดิน นา้ อากาศ) เชน่ นา้ ไนโตรเจน คารบ์ อน ก้ามะถนั วฏั จักรแบบไมส่ มบรู ณ์ (ไม่ผ่านอากาศ) เชน่ ฟอสฟอรัส แคลเซียม  การเปล่ยี นแปลงแทนทขี่ องระบบนเิ วศ (ecological succession) 1. การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีแบบปฐมภูมิ (Primary Succession) คือ การเปล่ียนแปลงแทนที่ของ กลุ่มสงิ่ มชี ีวิต โดยเริ่มต้นจากสถานทท่ี ่ีไม่มสี ่งิ มีชีวิตใดอาศัยอยกู่ อ่ น เชน่ บริเวณทเ่ี กดิ ภูเขาไฟระเบิด 2. การเปล่ียนแปลงแทนที่แบบทตุ ิยภูมิ (Secondary Succession) คือ การเปลี่ยนแปลงแทนทข่ี อง กลุ่มส่ิงมีชีวิตในบริเวณท่ีเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อน แต่ถูกท้าลายด้วยปัจจัยบางอย่าง ตัวอย่าง เช่น น้าทว่ ม ไฟไหม้ป่า ฯลฯ Climax Community (กลุ่มส่ิงมีชีวิตข้ันสุด) หมายถึง สภาพกลุ่มส่ิงมีชีวิตท่ีอยู่ร่วมกันในภาวะท่ี ค่อนข้างสมดุล ใช้ระยะเวลาอันยาวนาน หากเกิดการเสียสมดุล เช่น ไฟไหม้ป่า ฯลฯ ก็จะท้าให้เกิด การเปล่ยี นแปลงแทนที่แบบทุตยิ ภมู ิ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 86

บทที่ 21 ประชากร Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 87

กราฟประชากร Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 88

จากภาพพรี ะมิดโครงสร้างอายปุ ระชากรมนษุ ย์ ทา้ ให้สามารถคาดคะเนแนวโนม้ ของประชากรในประเทศน้นั ๆ ได้ เช่น แบบ ก. พรี ะมิดฐานกว้างยอดแหลม แบบ ข. พีระมิดรูปกรวยปากแคบ แบบ ค. พรี ะมิดรูประฆังคว้า่ แบบ ง. พีระมิดรูปดอกบัวตมู Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 89

บทที่ 22 มนษุ ย์กับความย่งั ยืนของสิง่ แวดล้อม Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 90

แบบทดสอบทบทวนความรู้ 5 ชีวิตและส่ิงแวดล้อม ระบบนิเวศ 1) ความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชวี ติ ในข้อใดทเ่ี ปน็ การแกง่ แย่งแขง่ ขัน 1. ต้นไทรทเ่ี จรญิ อยู่บนตน้ สกั 2. ตน้ กกและปลานิลในสระน้า 3. ดอกไม้ทะเลทีเ่ กาะอยบู่ นหลงั ของปเู สฉวน 4. กาฝากบนตน้ มะมว่ ง 2) นกกาเหวา่ มักจะวางไข่ของตวั เองในรังนกกา นกทงั้ สองชนดิ มคี วามสมั พันธก์ นั ในลักษณะใด 1. ภาวะปรสติ 2. ภาวะองิ อาศยั 3. ภาวะพงึ่ พาอาศยั กัน 4. การแกง่ แยง่ แข่งขัน 3) การแบง่ ไบโอม (Biome) บนบกใชเ้ กณฑ์ใดเปน็ ตัวกา้ หนด 1. ปริมาณนา้ ฝนและความชนื้ สัมพทั ธ์ 2. ปรมิ าณนา้ ฝนและอุณหภูมิ 3. อุณหภมู ิและความสงู จากระดบั นา้ ทะเล 4. อณุ หภมู แิ ละปรมิ าณความช้นื 4) ไบโอมทนุ ดรามลี กั ษณะพเิ ศษทต่ี า่ งจากไบโอมอื่นอยา่ งไร 1. พบพรใุ นบางบริเวณ 2. มีปรมิ าณน้าฝนตลอดทง้ั ปี 3. อุณหภมู ิต้่าในชว่ งหนา้ ร้อน 4. พบชั้นของดนิ เปน็ นา้ แขง็ อยา่ งถาวร 5) ป่าดิบช้ืนพบมากในบริเวณใดของประเทศไทย 1. ภาคเหนอื 2. ภาคตะวนั ตก 3. ภาคตะวนั ออก 4. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 6) เหตุใดจงึ พบปะการังเฉพาะบรเิ วณน้าตื้น 1. มีออกซิเจนสงู เหมาะแกก่ ารด้ารงชีวิต 2. มแี สงเพียงพอตอ่ การสร้างสารอาหาร 3. มแี พลงตอนสัตวท์ เี่ ปน็ อาหารของปะการงั จา้ นวนมาก 4. มีอณุ หภมู อิ บอุ่นเหมาะตอ่ การสรา้ งโครงสร้างหนิ ปนู 7) พรี ะมิดทางนเิ วศวทิ ยา (ecological pyramid) ของระบบนเิ วศแบบใดท่ีบางครงั้ กลบั หวั โดยมียอดแหลมอย่ดู ้านลา่ ง 1. พรี ะมิดพลังงาน 2. พรี ะมดิ จา้ นวน 3. พรี ะมิดมวลชวี ภาพของระบบนเิ วศป่า 4. พรี ะมดิ มวลชวี ภาพของระบบนเิ วศนา้ 8) วัฎจักรสารในข้อใด ท่ตี อ้ งอาศยั จุลินทรีย์ในการรกั ษาสมดุลของวฎั จกั รมากทสี่ ดุ 1. คาร์บอน 2. ไนโตรเจน 3. ฟอสฟอรัส 4. น้า Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 91

9) ขอ้ ใดเกิดการแทนท่แี บบทตุ ยิ ภมู ิ (secondary succession) 1. พื้นท่ีหลังการระเบิดของภเู ขาไฟ 2. การเจริญของกลุม่ จลุ ินทรียใ์ นน้าต้มฟางขา้ ว 3. พ้ืนท่หี ลงั การละลายของธารน้าแข็ง 4. บรเิ วณไรเ่ ลือ่ นลอย ประชากร 10) การจดั ตง้ั พ้นื ทเ่ี พอื่ การอนรุ ักษ์สง่ิ มชี วี ติ ท่ปี ระสบผลส้าเรจ็ มากที่สดุ ควรเปน็ แบบใด 1. มคี วามหลากหลายของถิ่นอาศัยสูง 2. มขี นาดเล็ก กระจายอยู่บริเวณต่างๆ 3. มีรปู ทรงเปน็ สเ่ี หล่ียมผืนผ้า 4. มีถนนตดั ผ่านเพอื่ ความสะดวกในการดแู ล 11) การสา้ รวจจ้านวนประชากรโดยวธิ กี ารจับซ้า (capture and recapture method) มีขอ้ แมอ้ ย่างไร 1. ประชากรต้องมจี า้ นวนมากและเปน็ กลุม่ ใหญ่ 2. ประชากรตอ้ งมกี ารอพยพเข้าและอพยพออก 3. ประชากรแตล่ ะตวั มโี อกาสตายและถกู จับเทา่ กัน 4. ประชากรตอ้ งมอี ตั ราการเกดิ สงู 12) ในการส้ารวจประชากรตน้ หญ้าคาในพนื้ ที่ขนาด 100 ตารางเมตร โดยใช้กรอบนับประชากรขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร สุ่มนบั ตน้ หญ้าคาได้ดงั น้ี ส่มุ ครัง้ ที่ จ้านวนต้นหญา้ 1 10 2 6 3 13 4 5 5 3 6 11 ในพน้ื ท่ีแห่งนี้มจี า้ นวนประชากรต้นหญา้ โดยเฉล่ียเทา่ กับกต่ี ้น 1. 200 2. 400 3. 800 4. 1,200 13) การกระจายตัวของสง่ิ มีชีวติ ในรปู แบบการจับกลุ่ม (clumped distribution) พบเม่ือใด 1. สภาพแวดล้อมมคี วามแตกตา่ งกนั 2. สภาพแวดล้อมไม่มีความแตกต่างกัน 3. สภาพแวดล้อมไมม่ ผี ลต่อการด้ารงชวี ติ 4. ถกู ทกุ ข้อ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 92

14) ขอ้ ใดถกู ตอ้ งทส่ี ดุ 1. การทา้ ปริ ามดิ อายุประชากรของแมลง ประชากรทม่ี อี ายุมากท่ีสดุ อยู่ทฐ่ี านของปิรามดิ 2. หากปิรามดิ อายขุ องประชากรแมลงเปน็ รปู โกศ แสดงว่าประชากรมีอตั ราการเกดิ สงู 3. ระยะวยั หลงั การเจรญิ พนั ธขุ์ องแมลง เปน็ ระยะทสี่ ้าคัญในการท้าปริ ามิดอายุ 4. แมลงส่วนใหญม่ ีระยะวยั กอ่ นเจรญิ พันธ์ุยาวนานกว่าระยะอน่ื 15) ในปจั จุบันแผนภาพโครงสร้างอายุของประชากร (Age structure diagram) ซงึ่ แสดงในรปู พรี ะมิดของประเทศไทย เปน็ แบบใด และถา้ ในอกี 20 ปีขา้ งหนา้ อัตราการเกิดลดลงอย่างมากและมีกลุม่ ผสู้ ูงอายุเพ่มิ มากขนึ้ รปู พรี ะมดิ จะ เปลย่ี นเป็นแบบใด 1. ฐานกวา้ งยอดแหลม เปลย่ี นเป็นรปู ระฆงั ควา้่ 2. รูประฆงั คว่้า เปลี่ยนเปน็ รปู กรวยปากแคบ 3. รูปกรวยปากแคบ เปลีย่ นเป็นรปู ดอกบวั ตมู 4. รูปกรวยปากแคบ เปล่ยี นเป็นรปู ระฆงั ควา่้ มนุษย์กบั ความย่ังยนื ของสง่ิ แวดลอ้ ม 16) แนวทางบันไดสามขั้นเพือ่ ป้องกนั การแพรร่ ะบาดของชนดิ พนั ธตุ์ า่ งถิน่ ทมี่ ผี ลต่อระบบนิเวศและสง่ิ แวดล้อมคอื ขอ้ ใด 1. การปอ้ งกนั การระมดั ระวงั และการกา้ จดั 2. การปอ้ งกนั การสบื พบ และการกา้ จัด 3. การระมัดระวงั การสืบพบ และการก้าจัด 4. การระมดั ระวงั การป้องกนั และการวจิ ยั 17) ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวในปจั จุบนั เกดิ มาจากสารชนดิ ใดทปี่ นเปือ้ นในนา้ ทะเล 1. ครมี กนั แดด 2. ผงซกั ฟอก 3. สารกา้ จัดศตั รูพืชและแมลง 4. น้ามันและคราบน้ามัน 18) ขอ้ ใดเปน็ ปัญหาท่นี า่ เปน็ หว่ งมากทส่ี ุดของพ้ืนทที่ างทะเลและชายฝงั่ ของเอเชยี และแปซฟิ กิ 1. การคุกคามพืน้ ที่ปะการงั 2. การเพาะเลี้ยงสัตวน์ า้ ขยายตวั มากข้นึ 3. การปล่อยของเสยี ลงไปในชายฝง่ั และทะเล 4. การจบั ปลาในนา้ เกนิ ก้าลงั การทดแทนตามธรรมชาติ 19) หากโลกยังมอี ณุ หภูมิเพ่ิมสูงขน้ึ นา้ แขง็ ทขี่ วั้ โลกจะละลายมากยง่ิ ขน้ึ ผลกระทบร้ายแรงทจี่ ะเกิดขึน้ คือขอ้ ใด 1. ปรมิ าณน้าทะเลจะเพ่ิมขนึ้ 2. ความหลากหลายทางชวี ภาพลดลง 3. ระบบนิเวศชายฝ่งั และปะการงั ถกู ท้าลาย 4. กา๊ ซ CH4 จะถูกปลดปลอ่ ยออกมามากขน้ึ และจะทา้ ให้โลกร้อนยง่ิ ขึน้ 20) วัฎจักรข้อใดได้รับผลกระทบมากทสี่ ดุ จากปรากฎการณโ์ ลกรอ้ น ก. ไนโตรเจน ข. นา้ ค. คารบ์ อน ง. ซัลเฟอร์ 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ค และ ง 4. ก และ ง ------------------------------------------- Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 93


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook