พลังงานทดแทน “พลังงานทดแทน” หรอื อาจะเรยี กไดว้ า่ “พลังงานทางเลือก” คอื พลังงานที่มีอยตู่ ามธรรมชาติและ สามารถนามาใช้ทดแทนพลังงานแบบเดิมได้อย่างไม่จากัดโดยพลังงานท่ี ใชก้ นั อยใู่ นปจั จบุ ันสว่ นใหญจ่ ะเปน็ พลังงาน ทไ่ี ด้จากฟอสซลิ เปน็ จานวนมาก ไดแ้ ก่ ถา่ นหนิ ปิโตรเลียม และแกส๊ ธรรมชาติซ่งึ กอ่ ให้เกิดมลพษิ และกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ใน ปรมิ าณสงู ทาให้เกดิ ภาวะเรอื นกระจกซึ่งเป็นปญั หาของภาวะโลกรอ้ นน่นั เอง พลังงานทดแทนมีอะไรบ้าง พลงั งานทดแทนสามารถจาแนกออกเป็น 2 ประเภทดว้ ยกนั โดยแบ่งตามลกั ษณะปรมิ าณการใช้งานของ พลงั งานได้ดังต่อไปน้ี 1. พลังงานทดแทนจากแหลง่ ทใ่ี ชแ้ ล้วหมดไป ไดแ้ ก่ ถ่านหิน แกส๊ ธรรมชาติ น้ามัน 2. พลงั งานหมุนเวียน (Renewal Energy) เปน็ แหลง่ พลงั งานตามธรรมชาติและสามารถนากลบั มาใช้ใหม่ได้ ไดแ้ ก่ พลังงานลม พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานนา้ พลังงานชวี มวล พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานคลื่น พลังงานน้าข้ึนน้าลง เป็นต้น ซ่ึงพลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานท่ีกาลังได้รับความนิย ม เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็น พลังงานทส่ี ามารถแก้ไขปญั หาการขาดแคลนพลงั งานได้ท้งั ยงั ชว่ ยลดปญั หา มลพษิ อกี ดว้ ย
พลังงานทดแทน พลังงานชีวมวล พลังงานน้า พลังงานแสงอาทติ ย์ พลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ พลังงานคลน่ื พลงั งานลม
พลงั งานชวี มวล ชีวมวล หรือ มวลชีวภาพ (Biomass)”สารอินทรีย์ทุกรูปแบบที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติและสามารถนามาใช้ผลิตเป็นพลังงานได้ โดยไม่นับการกลายเป็น เชอ้ื เพลิงฟอสซิลไปแลว้ โดยมากมาจาก กากหรอื เศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรอื กากจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น แกลบ ฟางข้าว ชานอ้อย ใบและยอด อ้อย เศษไม้ เส้นใยและกะลาปาลม์ กากมนั สาปะหลงั ซังขา้ วโพด กาบและกะลามะพร้าว สา่ เหล้า ขยะมลู ฝอย น้าเสียจากโรงงาน หรือแม้กระท่ังมูลสตั ว์ตา่ งๆ กระบวนการผลิตไฟฟา้ จากชีวมวล น้ำดบิ จำกคลองชลประทำนหรอื แหล่งน้ำทีเ่ ตรยี มไว้ นำ้ ไปผ่ำนกระบวนกำรกรองเพ่อื เป็นนำ้ ประปำใช้ภำยในโรงงำน, ในระบบหลอ่ เยน็ และนำ้ ไปขจัดแรธ่ ำตุเพ่อื ส่งผำ่ นไป ใชย้ งั เครอ่ื งผลติ ไอน้ำ เชือเพลิงชีวมวลจะถกู ลำ้ เลียงจำกลำนกองด้วยสำยพำนต่อเน่อื งเขำ้ สู่ห้องเผำไหม้เพอ่ื ให้ควำมรอ้ นกบั หม้อไอนำ้ (Boiler) เพือ่ ผลิตไอน้ำ ไอนำ้ แรงดันสูงทไี่ ด้จะสง่ ต่อไปหมนุ กงั หันไอน้ำ (Turbines) ซ่งึ ต่ออยกู่ ับเครื่องก้ำเนิดไฟฟ้ำ (Generator) เพอ่ื ผลติ กระแสไฟฟำ้ ไอนำ้ ที่ผ่ำนเคร่อื งกงั หันไอน้ำแลว้ ยังคงมีควำมร้อนเหลืออยจู่ ะถกู นำ้ ไปผ่ำนเครื่อง ควบแนน่ (Condenser) เพ่อื เปลี่ยนเป็นน้ำแล้วน้ำกลับเติมหมอ้ ไอนำ้ (Boiler) เพื่อผลิต ไอนำ้ ไปใชใ้ นระบบอกี ครงั ส่วนน้ำหลอ่ เย็นท่รี บั ควำมรอ้ นมำจำกเครื่องควบแน่น (Condenser) จะถกู สง่ ไปยงั หอหลอ่ เย็น (Cooling Tower) เพือ่ ระบำยควำมรอ้ นและนำ้ กลับมำหมนุ เวยี นเพ่อื เป็นนำ้ หลอ่ เยน็ ในระบบอกี ครัง ไอรอ้ นและขเี ถำ้ ลอยจะถกู นำ้ ไปผ่ำน เครื่องดกั จบั ฝ่นุ แบบไฟฟ้ำสถิตแรงสงู (ESP) เพื่อดกั จับฝ่นุ ก่อนปล่อยออกสู่ภำยนอก
กระบวนการผลติ ไฟฟา้ จากชวี มวล
พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ พลังงานความร้อนใต้พิภพ คอื พลงั งานธรรมชาติท่ีเกิดจากความร้อนที่ถกู กกั เกบ็ อยู่ภายใต้ผวิ โลก โดยปกติแล้วอณุ หภมู ภิ ายใตผ้ วิ โลกจะเพ่มิ ข้ึนตามความลกึ กลา่ วคอื ยิ่งลึก ลงไปอุณหภมู ิจะย่ิงสูงขึ้นและในบริเวณส่วนล่างของช้ันเปลือกโลก (Continental Crust) หรือท่ีความลึกประมาณ 25 – 30 กิโลเมตร อุณหภูมิจะมีค่าอยู่ในเกณฑ์เฉล่ีย ประมาณ 250 – 1,000 องศาเซลเซียส ในขณะท่ีตรงจดุ ศูนยก์ ลางของโลกอุณหภมู สิ ูงถึง 3,500 – 4,500 องศาเซลเซยี ส แหล่งพลงั งานความรอ้ นใต้พภิ พทีพ่ บในโลกแบง่ เป็นลักษณะใหญ่ ๆ ได้ 3 ลกั ษณะ คือ แหลง่ ท่เี ป็นไอน้าส่วนใหญ่ (Steam Dominated) เปน็ แหลง่ กักเก็บควำมร้อนที่ประกอบด้วยไอน้ำมำกกว่ำ 95% โดยท่ัวไปมักจะเป็นแหล่งที่ใกล้กับหินหลอมเหลวร้อนที่อยู่ตืนๆ อุณหภมู ขิ องไอน้ำรอ้ นจะสูงกว่ำ 240 องศำเซลเซียสขนึ ไป แหล่งที่เปน็ ไอนำ้ ส่วนใหญ่นจี ะพบนอ้ ยมำกในโลกเรำ แต่สำมำรถน้ำมำใช้ผลิตกระแสไฟฟ้ำได้มำกที่สุด เช่น The Geyser Field ในมลรัฐแคลฟิ อร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกำ และ Larderello ในประเทศอติ ำลี เป็นต้น แหล่งทเ่ี ป็นน้าร้อนสว่ นใหญ่ (Hot Water Dominated) เป็นแหลง่ กกั เกบ็ สะสมควำมร้อนทป่ี ระกอบไปด้วย นำ้ ร้อนเป็นส่วนใหญ่ อุณหภูมิน้ำร้อนจะมีตังแต่ 100 องศำเซลเซียส ขนึ ไป ระบบนจี ะพบมำกทสี่ ุดในโลก เชน่ ที่ Cerro Prieto ในประเทศเม็กซิโก และ Hatchobaru ในประเทศญี่ปุน่ เป็นตน้ แหล่งหินร้อนแห้ง (Hot Dry Rock) เป็นแหล่งสะสมควำมร้อนท่ีเป็นหินเนือแน่นแต่ไม่มีน้ำร้อนหรือไอน้ำไหลหมุนเวียนอยู่ ดังนัน ถ้ำจะน้ำมำใช้จ้ำเป็นต้องอัดน้ำเย็นลงไป ทำง หลมุ เจำะใหน้ ำ้ ไดร้ บั ควำมรอ้ นจำกหินรอ้ นโดยไหลหมนุ เวียนภำยในรอยแตกทีก่ ระท้ำขนึ จำกนนั ก็ทำ้ กำรสบู น้ำร้อนนีขึนมำทำงหลุมเจำะอกี หลุมหนง่ึ ซึ่งเจำะลงไปให้ตัดกับรอยแตก ดงั กล่ำว แหล่งหินร้อนแหง้ นีกำ้ ลังทดลองผลิตไฟฟ้ำที่ มลรัฐแคลฟิ อรเ์ นีย ประเทศสหรฐั อเมริกำ และท่ี Oita Prefecture ประเทศญปี่ ุ่น
กระบวนการผลติ ไฟฟา้ จากแหลง่ ความร้อนใตพ้ ภิ พ
พลังงานนา้ พลังงานนา้ หมายถึง การเคลือ่ นทขี่ องนา้ จากทส่ี งู สทู่ ี่ตา่ รูปแบบทีค่ ุ้นเคยคอื การสร้างเขอ่ื นเกบ็ กักนา้ เพอ่ื สะสมพลงั งานศักย์ เมอื่ เปดิ ประตูทีป่ ดิ กนั้ ทางเดนิ ของ น้า พลังงานศกั ยท์ สี่ ะสมอยู่จะเปลีย่ นเปน็ พลงั งานจลน์ สามารถนาไปฉุดกงั หนั และตอ่ เช่ือมเข้ากับเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ เกดิ เปน็ กระแสไฟฟ้าขึ้น
ประเภทพลังงานนา้ 1.พลังงานน้าตก เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากน้าโดยอาศัยพลังงานของน้าตก เช่นน้าตกที่เกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นน้า น้าตกจากทะเลสาบบนเทือกเขาสู่หุบเขา กระแสน้าในแมน่ ้าไหลตกหน้าผา การสรา้ งเขือ่ นกน้ั นา้ และใหน้ ้าตกไหลผา่ นกงั หนั น้า ซึง่ ตดิ อยู่บนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้า กาลงั ของน้าทไ่ี ดจ้ ะข้นึ อย่กู บั ความสูงของน้าและอตั รา การไหลของนา้ ทป่ี ลอ่ ยลงมา 2.พลงั งานน้าขึ้นน้าลง มพี ื้นฐานมาจากพลงั งานศักย์และพลังงานจลน์ของระบบท่ีประกอบด้วยดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ พลังงานน้าขึ้นน้าลงให้เป็นพลังงานไฟฟ้ามี วธิ กี ารเลอื กแม่นา้ หรืออ่าวทมี่ พี นื้ ทีเ่ ก็บนา้ ไดม้ าก เพอ่ื ให้เกิดเปน็ อ่างเก็บนา้ เม่อื นา้ ข้นึ จะไหลเข้าสู่อา่ งเกบ็ นา้ และเม่อื นา้ ลงนา้ จะไหลออกจากอา่ งเก็บน้า การไหลเข้าออกจาก อ่างของน้าต้องควบคุมให้ไหลผ่านกังหันน้าที่ต่อเช่ือมกับเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าเม่ือกังหันน้าหมุนก็จะได้ไฟฟ้าออกมาใช้งาน หลักการผลิตไฟฟ้าจากน้าข้ึนน้าลงมีหลักการ เช่นเดยี วกบั การผลิตไฟฟา้ จากพลังงานนา้ ตก แต่กาลังท่ีได้จากพลังงานจากนา้ ข้ึนน้าลงไมค่ ่อยสม่าเสมอ 3.พลังงานคล่นื เปน็ พลงั งานทลี่ มถ่ายทอดให้กับผวิ นา้ ในมหาสมุทรเกิดเปน็ คลนื่ วิ่งเข้าสูช่ ายฝ่ังและเกาะแก่งต่างๆ เคร่ืองผลิตไฟฟ้าพลังงานคลื่นจะถูกออกแบบให้ลอยตัวอยู่ บนผิวนา้ บริเวณหน้าอา่ วดา้ นหนา้ ทีห่ นั เขา้ หาคลื่น การผลิตไฟฟา้ ด้วยพลังงานคลน่ื ในปัจจุบันประเทศไทยยังใชไ้ ม่ได้
การผลติ ไฟฟ้าจากน้าข้ึน-น้าลง โรงไฟฟา้ จากนา้ ข้นึ -น้าลงของนา้ ทะเล โดยกำรสร้ำงเข่ือนกันขนึ มำ และจะมกี งั หันและเคร่ืองกำ้ เนิดไฟฟำ้ อยู่ภำยในขือ่ นเมื่อนำ้ ทะเลขึน นำ้ ทะเลภำยนอกเขื่อนก็จะไหลเข้ำเข่ือน ทำ้ ใหก้ งั หนั หมุน และพำเครื่องกำ้ เนดิ ไฟฟ้ำหมุนจำ่ ยพลงั งำนไฟฟ้ำออกมำ และเม่ือน้ำทะเลลง น้ำทะเลภำยในเขอ่ื นจะไหลออกจำกเขือ่ น
การผลิตไฟฟา้ จากพลงั งานนา้ ตก
พลงั งานคลื่น พลังงานของคลน่ื ผิวมหาสมุทร และการจับพลังงานเหล่านน้ั มาใชง้ านให้เกิดประโยชน์ ซง่ึ รวมถงึ การผลติ ไฟฟา้ การแยกเกลือออกจากนา้ และการสบู นา้ พลงั งานคล่นื เปน็ พลงั งานท่ไี มม่ วี นั หมดรูปแบบหน่งึ การผลติ ไฟฟา้ จากคลน่ื ยงั ไมใ่ ช่เทคโนโลยที ีแ่ พรห่ ลาย และยังไม่มกี ารสรา้ งฟารม์ คลื่นในเชิงพาณิชย์ ประเภทอปุ กรณ์ท่ีใช้ในการผลติ พลงั งานคลน่ื ทะเล ในกำรน้ำพลังงำนจำกคลน่ื มำใช้มีอยู่ 2 ประเภทไดแ้ ก่ แบบอย่กู ับที่ (Fixed) และแบบลอย (Floating) อุปกรณ์ผลิตพลงั งำนจำกคลน่ื แบบอย่กู ับท่ี (Fixed Generating Devices) มี 2 แบบคือ 1) แบบนิยมติดตังบริเวณแหลมทีย่ ืน่ ออกไปในทะเล และชำยฝัง่ (Oscillating Water Column) มีกระบวนกำรท้ำงำน 2 ขันตอนดว้ ยกนั คือ 1.1เมือ่ คลื่นเข้ำไปในอปุ กรณต์ ำมแนวตัง แรงอัดอำกำศในแนวตังจะสูงขึน 1.2เมอ่ื คลื่นลดระดบั ลงอำกำศจะถกู ดนั ให้ไหลกลับผ่ำนกงั หันเพอ่ื ลดแรงอดั ในอปุ กรณ์แนวตงั นี 2) นิยมติดตังบริเวณหนำ้ ผำหรือช่องแคบท่มี ีควำมสงู ของคลืน่ คงที่ (Tapchan หรือ ระบบ Tapered Channel) มกั จะติดตงั บรเิ วณหน้ำผำ บริเวณชอ่ งแคบจะเป็นสำเหตใุ ห้ยอด คลนื่ สูงขึน เมื่อคล่ืนเหลำ่ นีผำ่ นเข้ำไปในหน้ำผำระดบั ของน้ำทะเลในหนำ้ ผำจะสูงขึนจำกผิวนำ้ ทะเลมำก พลงั งำนจลนข์ องคลืน่ ทเี่ คลื่อนทเี่ ขำ้ ไปในหน้ำผำจะถูกเปล่ยี นไปเป็นพลงั งำน ศักด์ิ ซ่ึงเกิดจำกน้ำทะเลทีไ่ หลออกมำทำงกังหนั ด้ำนขวำมือ
การผลติ ไฟฟา้ จากพลงั งานคลน่ื กำรเปลี่ยนพลังงำนคล่นื ในทะเลเป็นไฟฟ้ำ อำจแบ่งได้เป็น 2 ขนั หลักๆ ดังนี คอื กำรรวมพลงั งำนจำกคล่นื เลก็ และกำรน้ำพลังงำนนันมำเปล่ยี นเป็นพลังงำนไฟฟำ้ โรงไฟฟา้ จากคลน่ื ทะเล ประสิทธิภำพของกำรผลติ พลังงำนไฟฟ้ำจะขนึ อยกู่ ับกำรกระทำ้ คลน่ื ในทะเลซึง่ ในปัจจบุ ันมกี ำรออกแบบกำรใช้พลงั งำนจำกคลนื่ ในหลำยๆ แบบ
พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานทดแทนประเภทหมุนเวียนที่ใช้แล้วเกิดขึ้นใหม่ได้ตาม ธรรมชาติ เป็นพลังงานที่สะอาด ปราศจากมลพิษ และเป็นพลังงานท่ีมีศักย ภาพสูง ในการใช้พลังงาน แสงอาทติ ยส์ ามารถจาแนกออกเปน็ 2 รูปแบบคือ การใช้พลงั งานแสงอาทติ ยเ์ พ่อื ผลิตกระแสไฟฟา้ และการใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตยเ์ พอ่ื ผลิตความรอ้ น พลังงานแสงอาทติ ยเ์ พอื่ ผลิตกระแสไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ 1.เซลลแ์ สงอำทิตยแ์ บบอสิ ระ (PV Stand alone system) เป็นระบบผลิตไฟฟ้ำท่ไี ดร้ ับกำรออกแบบส้ำหรับใช้งำนในพืนท่ีชนบทท่ไี ม่มรี ะบบสำยสง่ ไฟฟำ้ 2. เซลล์แสงอำทิตย์แบบต่อกับระบบจ้ำหน่ำย (PV Grid connected system) เป็นระบบผลิตไฟฟ้ำที่ถูกออกแบบส้ำหรับผลิตไฟฟ้ำผ่ำนอุปกรณ์เปลี่ยนระบบไฟฟ้ำกระแสตรงเป็น ไฟฟำ้ กระแสสลับเขำ้ สูร่ ะบบสำยสง่ ไฟฟ้ำโดยตรง ใชผ้ ลิตไฟฟ้ำในเขตเมือง 3. เซลล์แสงอำทิตย์แบบผสมผสำน (PV Hybrid system) เป็นระบบผลิตไฟฟ้ำที่ถูกออกแบบส้ำหรับท้ำงำนร่วมกับอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้ำอื่นๆ เช่น ระบบเซลล์แสงอำทิตย์กับพลังงำน ลม และเครอ่ื งยนตด์ ีเซล
พลงั งานแสงอาทติ ย์ พลังงานแสงอาทติ ย์เพอ่ื ผลติ ความร้อน กำรผลิตนำ้ ร้อนดว้ ยพลังงำนแสงอำทติ ย์และกำรอบแหง้ ดว้ ยพลงั งำนแสงอำทติ ย์ กำรผลติ น้ำรอ้ นด้วยพลังงำนแสงอำทิตยแ์ บง่ ออกเป็น 3 ชนดิ กำรผลิตน้ำร้อนชนิดไหลเวยี นตำมธรรมชำติ เปน็ กำรผลติ น้ำร้อนชนดิ ทมี่ ีถังเกบ็ อยูส่ ูงกว่ำแผงรบั แสงอำทิตย์ ใช้หลักกำรหมนุ เวียนตำมธรรมชำติ กำรผลติ นำ้ รอ้ นชนดิ ใชป้ ๊ัมนำ้ หมุนเวยี น เหมำะสำ้ หรบั กำรใชผ้ ลติ น้ำร้อนจำ้ นวนมำก และมีกำรใชอ้ ย่ำงตอ่ เนอ่ื ง กำรผลิตน้ำร้อนชนิดผสมผสำน เป็นกำรน้ำเทคโนโลยีกำรผลิตน้ำร้อนจำกแสงอำทิตย์มำผสมผสำนกับควำมร้อนเหลือทิงจำกกำรระบำยควำมร้อนของเคร่ื องท้ำควำมเย็น หรือ เคร่อื งปรบั อำกำศ โดยผ่ำนอปุ กรณ์แลกเปล่ียนควำมร้อน
กระบวนการผลติ ไฟฟา้ จากพลังงานแสงอาทติ ย์
พลังงานลม ลมเป็นปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติ ซึ่งเกิดจำกควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิ ควำมกดดันของบรรยำกำศและแรงจำกกำรหมุนของโลก สิ่งเหล่ำนีเป็นปัจจั ยที่ก่อให้เกิด ควำมเร็วลมและก้ำลังลม เป็นท่ียอมรับโดยทั่วไปว่ำลมเป็นพลังงำนรูปหนึ่งท่ีมีอยู่ในตัวเอง ซึ่งในบำงครังแรงที่เกิดจำกลมอำจท้ำให้บ้ำ นเรือนท่ีอยู่อำศัยพังทลำยต้นไม้ หัก โค่นลง สิ่งของวัตถุต่ำงๆ ล้มหรือปลิวลอยไปตำมลมฯลฯ ในปัจจุบันมนุษย์จึงได้ให้ควำมส้ำคัญและน้ำพลังงำนจำกลมมำใช้ประโยชน์มำกขึน เนื่องจำกพลังงำนลมมีอยู่ โดยทั่วไป ไมต่ ้องซือหำ เปน็ พลงั งำนทีส่ ะอำดไมก่ อ่ ใหเ้ กิดอันตรำยตอ่ สภำพแวดล้อม และสำมำรถนำ้ มำใชป้ ระโยชน์ได้อย่ำงไม่รจู้ ักหมดสิน เทคโนโลยีกงั หนั ลม กังหันลม คือ เคร่ืองจักรกลอย่ำงหน่ึงที่สำมำรถรับพลังงำนจลน์จำกกำรเคล่ือนท่ีของลมให้ เป็นพลังงำนกลได้ จำกนันน้ำพลังงำนกลมำใช้ประโยชน์โดยตรง เช่น กำรบดสี เมล็ดพืช กำรสูบน้ำ หรือในปัจจุบันใช้ผลิตเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ กำรพัฒนำกังหันลมเพ่ือใช้ประโยชน์มีมำตังแต่ชนชำวอียิปต์โบรำณและมีควำ มต่อ เน่ืองถึงปัจจุบัน โดยกำร ออกแบบกงั หันลมจะต้องอำศัยควำมรทู้ ำงด้ำนพลศำสตร์ของลมและหลกั วิศวกรรมศำสตร์ในแขนงต่ำงๆ เพื่อใหไ้ ด้กำ้ ลงั งำน พลังงำน และประสทิ ธิภำพสูงสุด รปู แบบเทคโนโลยกี ังหันลม กงั หันลมสำมำรถแบ่งออกตำม ลักษณะกำรจัดวำงแกนของใบพดั ได้ 2 รูปแบบ คือ กังหนั ลมแนวแกนต้งั (Vertical Axis Turbine (VAWT)) เปน็ กงั หนั ลมท่ีมแี กนหมนุ และใบพดั ตังฉำกกับกำรเคลอื่ นที่ของลมในแนว รำบ กงั หนั ลมแนวแกนนอน (Horizontal Axis Turbine (HAWT)) เปน็ กงั หันลมที่มีแกนหมุนขนำนกับกำรเคลื่อนที่ของลมในแนวรำบโดยมีใบพดั เปน็ ตวั ตังฉำกรบั แรงลม
สว่ นประกอบกงั หนั ลม
กระบวนการผลติ ไฟฟา้ จากพลังงานลม
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: