วารสารวจิ ยั สุขภาพและการพยาบาล ปีท่ี 36 ฉบับท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2563 149 บทความวจิ ัย ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ องนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา Factors Influencing Sexual Intercourse Behaviors among Secondary School Students Received: Jul 15, 2019 ปญั ญก์ รนิ ทร์ หอยรตั น์ ส.ม. (Pankarin Hoyrat, M.P.H.)1 Revised: Sep 16, 2019 ปราโมทย์ วงศส์ วสั ด์ิ ปร.ด. (Pramote Wongsawat, Ph.D.)2 Accepted: Dec 13, 2019 บทคดั ยอ่ การวิจัยเชิงสำ�รวจภาคตัดขวางคร้ังน้ีเพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษา กล่มุ ตัวอย่างคือนักเรียนระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3-6 โดยมีขนาดตัวอย่างเท่ากับ 990 คน ท้งั เพศชายและ เพศหญิงท่ีมีเพศสัมพันธ์หรือคาดว่ามีเพศสัมพันธ์กับเพ่ือนต่างเพศได้ ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน เก็บข้อมูลโดย ใช้แบบสอบถามซ่ึงมีค่าความตรงเชิงเน้ือหาระหว่าง .50-1.00 และค่าความเท่ียงจากการหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่าของ ครอนบาค ระหวา่ ง .71-.92 ในชว่ งเดอื นมกราคม - กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2562 วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนาและ การวเิ คราะหค์ วามถดถอยโลจสิ ตคิ ทวิ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 12 เดือนท่ีผ่านมาร้อยละ 20.80 และปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ องนกั เรยี นอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p < .05) ไดแ้ ก่ อายุ (OR = 2.33, 95% CI = 1.01-5.36) เกรดเฉลย่ี เทอมลา่ สดุ (OR = 1.54, 95% CI = 1.00-2.37) การสบู บหุ ร่ี (OR = 2.55, 95% CI = 1.51-4.29) การเคยมแี ฟน แตเ่ ลกิ กนั แลว้ (OR = 3.48, 95% CI = 1.17-10.33) การมแี ฟนในปจั จบุ นั (OR = 5.17, 95% CI = 1.71-15.57) การอยกู่ บั แฟนหรอื คนทช่ี อบตามล�ำ พงั (OR = 6.40, 95% CI = 3.38-12.11) ความอยากรอู้ ยากลองตอ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ (OR = 1.09, 95% CI = 1.04-1.15) การบรโิ ภคสอ่ื กระตนุ้ อารมณท์ างเพศ (OR = 1.03, 95% CI = 1.00-1.07) และความถก่ี ารดม่ื เครอ่ื ง ดม่ื แอลกอฮอล์ (OR = 1.10, 95% CI = 1.01-1.19) ซง่ึ ปจั จยั ทง้ั หมดสามารถท�ำ นายโอกาสเกดิ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธ์ ของนกั เรยี นระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาได้ รอ้ ยละ 52.20 บุคลากรสาธารณสุข ครูและผ้เู ก่ยี วข้องสามารถนำ�ผลการวิจัยไปใช้เป็นประเด็นในการสร้างโปรแกรมกิจกรรมหรือ แนวทางการเฝา้ ระวงั และปอ้ งกนั พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควรในนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาไดต้ อ่ ไป ค�ำ ส�ำ คญั : พฤตกิ รรม, นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา, การมเี พศสมั พนั ธ์ 1 นสิ ติ หลกั สตู รสาธารณสขุ ศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร E-mail: [email protected] 2 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร E-mail: [email protected] Faculty of Public Health, Naresuan University, Phitsanulok, Thailand
150 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 Abstract This cross-sectional survey research aimed to investigate factors Influencing sexual intercourse behaviors among secondary school students. Samples were the secondary school students between grades 9-12, both males and females who experienced sexual relationship or those who expected to engage in sexual relationship with opposite sex. The sample was composed of 990 participants. The sample was obtained through a multistage stage sampling technique. Instrument was a set of questionnaires. The content validity ranged from .50-1.00 tested by using Index of Item - Objective Congruence, The Cronbach’s alpha coefficient. ranged from .71-.92. Data were collected between January and February 2019 and analyzed using binary logistic regression analysis. Results revealed that almost 21 percent (20.80%) of the participants reported sexual experiences in the past 12 months. Moreover, age (OR = 2.33, 95% CI = 1.01-5.36), grade point average of the latest semester (OR = 1.54, 95% CI = 1.00-2.37), smoking status (OR = 2.55, 95% CI = 1.51-4.29), broke up from relationship (OR = 3.48, 95% CI = 1.17-10.33), having a current relationship (OR = 5.17, 95% CI = 1.71-15.57), living with a partner or lover individual (OR = 6.40, 95% CI = 3.38-12.11), experiencing sexual curiosity (OR = 1.09, 95% CI = 1.04-1.15), erotic media consumption (OR = 1.03, 95% CI = 1.00-1.07), and frequent alcohol use (OR = 1.10, 95% CI = 1.01-1.19) were significant factors influencing sexual behaviors among the secondary school students. All factors together explained 52.20% of the variance in sexual intercourse behaviors among secondary school students. Healthcare providers, teachers, and stakeholders might create a program or guideline to monitor and prevent sexual risk behaviors in secondary school students. Keywords: behavior, secondary school students, sexual intercourse บทน�ำ การป้องกันหรือป้องกันไม่มีประสิทธิภาพซ่ึงผลกระทบที่ตาม มาโดยเฉพาะการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยประเทศไทย พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ องวยั รนุ่ มหี ลายปจั จยั พบว่า อัตราคลอดในช่วงปี พ.ศ. 2558, 2559 และ 2560 ที่เก่ียวข้องต้ังแต่การให้ความสนใจในเพศตรงข้ามหรือการ เท่ากับ 44.80, 42.50 และ 39.60 ต่อประชากรหญิงอายุ มีแฟน ความอยากลองอยากรู้ของวัยรุ่น ค่านิยม ทัศนคติ1 15-19 ปีพันคน ตามลำ�ดับ ซ่ึงมีอัตราลดลง4 อย่างไรก็ตาม รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว การยั่วยุจากเพื่อน หากวัยรุ่นอยู่ในวัยเรียนมีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์จะทำ�ให้ อิทธิพลจากสื่อหรือการด่ืมแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่2,3 ซึ่งจาก สับสนในชีวิต เครียด อับอายสังคม รู้สึกหมดคุณค่าในตน รายงานของส�ำ นกั อนามยั การเจรญิ พนั ธุ์ กระทรวงสาธารณสขุ ยอมรับการตั้งครรภ์ได้ยากและรู้สึกเป็นตราบาปท่ีถูกสังคม ในปี พ.ศ.2561 พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 เคยมี มองว่าเปน็ คนส�ำ ส่อน ไม่รกั นวลสงวนตัว5,6 ซงึ่ วัยรนุ่ บางราย เพศสมั พนั ธใ์ นชว่ งปี พ.ศ. 2558, 2559 และ 2560 รอ้ ยละ หาทางออกดว้ ยการยตุ ิการตงั้ ครรภ์เพอื่ หวังกลบั มาเรียนและ 25.90, 23.60 และ 25.90 ในเพศชาย และรอ้ ยละ 18.20, ใชช้ ีวิตตามปกติ ซง่ึ วธิ ดี งั กลา่ วถอื ว่าขัดตอ่ ศีลธรรม กฎหมาย 18.70 และ 17.70 ในเพศหญิงตามลำ�ดับ มีอัตราค่อนข้าง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ7 สำ�นักอนามัยเจริญพันธุ์ คงที่ แต่พฤตกิ รรมเหล่านก้ี อ่ ให้เกดิ ปัญหาในชีวิตได้ หากไม่มี
วารสารวิจยั สขุ ภาพและการพยาบาล ปีท่ี 36 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2563 151 กระทรวงสาธารณสขุ รายงานเฝา้ ระวงั การทำ�แทง้ ประเทศไทย ในวัยเรียน 8) การรับรู้ผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์ใน พ.ศ.2560 กลา่ วว่าหญิงวัยรุ่นกลมุ่ อายุ 15-19 ปี ทำ�แทง้ ใน วยั เรียน 9) การรบั รคู้ วามสามารถตนเองในการป้องกันการมี ช่วงปี พ.ศ. 2558, 2559 และ 2560 รอ้ ยละ 17.80, 18.20 เพศสัมพันธ์ 10) การรับรู้ต่อรูปลักษณ์ภายนอกของตน และ 18.90 ตามลำ�ดับ มีแนวโน้มสูงขึ้นและปี พ.ศ.2560 11) ความอยากรู้อยากลองต่อการมีเพศสัมพันธ์ และ ท�ำ แทง้ เน่ืองจากยงั เรียนไม่จบถึงรอ้ ยละ 31.308 12) การเหน็ คุณคา่ ในตนเอง นอกจากน้ี พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ องวยั รนุ่ ยงั ปจั จยั เอ้ือ ไดแ้ ก่ 1) การไปเที่ยวสถานเรงิ รมย์และ ทำ�ให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบว่า อัตราป่วยด้วยโรค เทศกาล 2) ความถกี่ ารด่มื เคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์ 3) การสูบ ติดตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ในวัยร่นุ และเยาวชนอายุ 15-24 ปี ใน บุหร่ี 4) การมแี ฟนหรือคูร่ กั 5) การอย่กู ับแฟนหรือคนท่ีชอบ ชว่ ง พ.ศ. 2558, 2559 และ 2560 เทา่ กับ 127.10, 143.40 ตามล�ำ พงั 6) ความเพียงพอของคา่ ใชจ้ ่าย 7) การใชโ้ ทรศัพท์ และ 161.20 ต่อประชากรอายุ 15-24 ปพี ันคน ตามล�ำ ดับ และสอ่ื ออนไลนเ์ พอื่ การสอื่ สาร และ 8) การบรโิ ภคสอื่ กระตนุ้ ซึ่งมีอัตราที่สูงขึ้น4,9 เป็นเหตุให้ภาครัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่าย อารมณท์ างเพศ ในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น และการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยัง ปัจจัยเสริม ได้แก่ 1) พฤติกรรมการเลี้ยงดู นอ้ ยมคี วามเสย่ี งตอ่ การเปน็ มะเรง็ ปากมดลกู ในอนาคต อนั จะ 2) สัมพันธภาพในครอบครัว 3) การได้รับการอบรมส่ังสอน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลจาก เรอ่ื งเพศ 4) การไดร้ บั อิทธิพลจากเพอื่ น 5) สถานภาพสมรส ภาครฐั เชน่ กนั 10 ซง่ึ ผลกระทบทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ ทง้ั การตง้ั ครรภ์ ของบิดามารดา และ 6) บคุ คลทพ่ี ักอาศยั อย่ดู ้วยขณะเรียน ไม่พร้อมท่ีมีอัตราคลอดหรือว่าอัตราการทำ�แท้ง รายงานใน ช่วงอายุ 15-19 ปีของวัยรุ่น และอัตราป่วยด้วยโรคติดต่อ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ทางเพศสมั พนั ธ์ รายงานในช่วงอายุ 15-24 ปี โดยในปี พ.ศ. 2558-2560 ท่ผี า่ นมามีอัตราป่วยสูงขึน้ จากช่วงอายุดังกล่าว ผู้วิจัยใช้แนวคิด The PRECEDE- PROCEED เปน็ ชว่ งทคี่ าบเกยี่ วอายนุ กั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3-6 ผวู้ จิ ยั Model11 มาใชเ้ ปน็ กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษาปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ล จึงมีความสนใจศึกษาในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3-6 ต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับช้ัน โดยศกึ ษาปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ อง มัธยมศกึ ษา ดงั แสดงในภาพที่ 1 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาเพ่ือนำ�ปัจจัยไปสร้างแนวทางการเฝ้า ระวงั ความเสย่ี งตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควร ระเบยี บวธิ วี จิ ยั อนั จะเป็นประโยชนต์ อ่ ตัวนักเรียนในอนาคตต่อไป การศึกษาคร้ังนีเ้ ป็นการวิจยั เชิงสำ�รวจแบบภาคตดั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ขวาง (Cross-sectional study) ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของ ประชากร คือ นกั เรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3, นกั เรยี นระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษา 4, 5 และ 6 ในพืน้ ทจี่ งั หวัดแหง่ หน่ึงซ่งึ ผู้วจิ ัยไม่สามารถเปิด 2. เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมี เผยช่ือจังหวัดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการจริยธรรม เพศสัมพันธข์ องนกั เรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษา การวิจัยในมนุษย์ โดยเป็นนักเรียนทั้งเพศชายและหญิงท่ีมี เพศสมั พนั ธห์ รอื คาดวา่ สามารถมเี พศสมั พนั ธก์ บั เพอื่ นตา่ งเพศ สมมตฐิ านการวจิ ยั ได้อันนำ�ไปสู่ผลกระทบคือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เป็น เบือ้ งตน้ ปัจจัยดังต่อไปนี้ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศ กลุ่มตัวอย่าง คอื นักเรยี นระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ สัมพนั ธ์ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษา 3, 4, 5 และ 6 ท่ตี อบแบบสอบถามโดยมาเรียนในวนั ทเี่ กบ็ ปัจจัยน�ำ ไดแ้ ก่ 1) เพศ 2) อายุ 3) ระดบั ชนั้ การ ขอ้ มลู และสมคั รใจเขา้ รว่ มโครงการวจิ ยั ใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ ง ศึกษา 4) เกรดเฉล่ียเทอมล่าสุด 5) ความรู้เรื่องเพศศึกษา แบบหลายขั้นตอน (Multistage Stage sampling) โดย 6) เจตคตติ อ่ การมเี พศสมั พนั ธใ์ นวยั เรยี น 7) ค่านยิ มทางเพศ คำ�นวณขนาดตัวอย่างจากสูตรการประมาณค่าสัดส่วน12
4 152 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ปัจจยั นํา ตวั แปรตาม 11))เพเพศศ22))ออาายยุ 3ุ 3))ระระดดบั ับชชน้ั ั้นกกาารรศกึ ษา 4) เเกรดเฉลลี่ยย่ี เเททออมม พฤตกิ รรมการมีเพศสมั พันธ์ของ ลลา่ ่าสสดุ ุด 5) คว5า)มครวเู้ ารมอ่ื รงู้เรพ่ือศงศเพกึ ศษศาึก6ษ)าเจ6ต) คเจตตติ คอ่ ตกิตา่อรกมาเี รพมศี นกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษา สเพมั ศพสนั ัมธพใ์ นันวธยั์ในเรวยีัยนเรีย7น) ค7า่ )นยิ คม่าทนาิยงมเพทศางใเนพวศยั ใเนรวยี ัยนเร8ีย)นก8า)ร อร1รตร1รกบบัั0ยู้ัอบ0นาร)ราร)ยรเค้ผกูู้อรู้าคกกับงวรลกวาาอู้ารกลรารมู้ผยรมรอรลัสบาะสงับกการตทารรมู้ตล่อมบู้ตะ่อาอกาจท่อรรงราาูปบถรตถรกูปตลจมอต่ กาักีนเกลนพกาษเาักเรกอศอณรษมางสงม์ภรณใเีใัมเีพนนมาพพ์ภยีเกกศศพันนาาาสสศธยรรอมั มั์สปปนก1พพัม้อขอ้อ2นัพนัองง)กธกันกงธขใ์ตันธ์นั 1นอน์ใกกก2นวงาาา)1ตวยั รรรก1ัยเนมมเร)าเหีเรยีเีรพคพ็ีนย1นเวหศน1คศาสน็ุ)ณส9ม9ัมคมั)อ)คคพณุพย่กาวกันาใานัาคานกธรมรธา่ ์ ์ ในตนเอง ปัจจยั เอ้ือ ด15อเค1ค))ม่ื )ย่ากรกเใู่กกค่ือชาาาับงรร้จรรแดอ่ือ่ไาไฟ่ืมปปยงยแดนเเกู่ ททอม่ืหบั ยี่ลย่ีแร7แวกวือ)อสฟอสคลถฮนถนกาอกหาทนอลานร่ีชเฮ์รรอืเ3อรใอิงค)บชรงิลกน้โมรต์ทามยทา3รรม์แยช่ี)สศลลแ์อูบัพกําะลบบาพทเะทตรุห์ัแงเศสาทรล6กมบูี่ ะศ)4าลบสก)ลำ�่ือหุคกาพ2อลวาร)งัอรา่ี 2มมค4น6)ีแวเ)ไ)พลาคฟคกมียนวนวางถ์เาารพพ่ีก5มมมอ่ือ)าถเแีรขกกพก่ี ดฟอาายีา่ืมรรงนรง พสอ่ื ขสาอรงค8า่) ใกชาจ้ รา่บยริโ7ภ)คกสาือ่ รกใรชะโ้ ตทนุ้ รอศาพั รทมณแ์ ลท์ ะาสงเอ่ืพอศอนไลนเ์ พอ่ื การสอ่ื สาร 8) การบรโิ ภคสอ่ื กระตนุ้ อารมณท์ างเพศ ปจั จัยเสรมิ 31อก1พจ))ทิ)าาักกรธอพกไเพพิาพดาฤศฤล้รรื่อตยัตับจไนิกอิกดากรยร5้กรารู่ดร)ับรเมมพ้วอกสยกกบอ่ื ถาขาารนารรณรมนอเ5เละสภลบ)เี้ยั่งาร้ยีสรสงพียงดมอถนสดูนาส2มูนเ่ัง)รร2สภสื่อ)อาสขงสพเนัมอพัมพงสเศรบพันม่ือิด4ธรันงา)ภสธเมาพขภาพกอรศาาใดงพนรบา4ไใคดิดน)ร6้ราอค)กับมบราบอาอครริุทครบไดคธัวดคาิพล้ร3รทล6ับ)ัวี่) บคุ คลทพ่ี กั อาศยั อยดู่ ว้ ยขณะเรยี น ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ัย ซ่ึงได้ขนาดตัวอยา่ งเท่ากับ 990 คน สว่ นท่ี 3 ความรู้เรื่องเพศศึกษา มีจำ�นวน 15 ข้อ เภคารพอ่ื ทง่ี ม1อื กกราอรบวแจินยัวคดิ การวจิ ัย เปน็ ค�ำ ถามชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก ซง่ึ สามารถเลอื กตอบได้ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยสร้างแบบ เพียงข้อเดียว หากตอบถูกให้ 1 คะแนน และตอบผิดให้ 0 สอบถามจากการทบทวนวรรณกรรมซึ่งประยุกต์แนวทางมา คะแนน การแปลผลคะแนน มีความรู้เร่ืองเพศศึกษาระดับดี จาก Lekphet13, Fเaคcรhื่อaงมiyือaกpาhรวuิจmัย14, Boonrod15, Surinsak16 มาก คะแนนรอ้ ยละ 80 ขนึ้ ไป, ระดบั ดี คะแนนรอ้ ยละ 70-79, โดยแบง่ สว่ นประกเอคบร่ือองอมกือเทป่ีใ็นช้ใ2น1กาสร่ววนิจัยดคังรนั้ง้ีนี้ ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถราะมดจบัากพกอาใรชท้ คบะทแวนนนวรรอ้ ณยลกระร6ม0ซ-่ึง6ป9ร,ะแยลุกะตร์ ะดบั ไมด่ ี คะแนนตา่ํ ค ำ�ถามชนสแสิดน่วว่ เนวนลททดือางัี่งก1นมตี้ า อรจสาบกนิยLปeมรkทะpากhงeอเtพบ13ศด, ้วFมaยcจี h�ำ 1aน)iyวaรนpสh2นuิยmขม1้อ4ท, าซBงo่ึงเเoพปn็นศrod15, Suกrวinา่ sรaอ้ k1ย6ลโะดย6แ0บ่งสว่ นประกอบ ออกเป็น 21 สว่ นท่ี 4 เจตคตติ ่อการมเี พศสัมพนั ธใ์ นวยั เรยี น มี และ 2) การมีเพศสัมพันธ์หรือคาดว่ามีเพศสัมพันธ์กับเพ่ือน จ�ำ นวน 10 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ ต่างเพศได้ คา่ 5 ระดบั ต้ังแต่ ไมเ่ หน็ ดว้ ยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน ไปจนถึง ส่วนท่ี 2 ขอ้ มูลส่วนบุคคล มที ั้งหมด 7 ข้อ ซ่งึ เปน็ เห็นด้วยอย่างย่ิง ให้ 5 คะแนนในคำ�ถามเชิงบวก หากเป็น คำ�ถามชนิดเลือกตอบและเติมคำ� ประกอบด้วย เพศ อายุ ค�ำ ถามเชิงลบจะให้คา่ คะแนนตรงข้าม ระดับชั้นที่ศึกษา เกรดเฉลีย่ เทอมล่าสดุ สถานภาพสมรสของ สว่ นที่ 5 คา่ นยิ มทางเพศในวยั เรยี น มจี ำ�นวน 8 ขอ้ บดิ ามารดา บคุ คลทพี่ กั อาศยั อยดู่ ว้ ยขณะเรยี น ความเพยี งพอ ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของค่าใช้จา่ ยต่อวัน และ การมีแฟน ตง้ั แต่ นอ้ ยทสี่ ดุ ให้ 1 คะแนน ไปจนถงึ มากทสี่ ดุ ให้ 5 คะแนน
วารสารวจิ ยั สุขภาพและการพยาบาล ปที ่ี 36 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 153 ในคำ�ถามเชิงบวก หากเป็นคำ�ถามเชิงลบจะให้ค่าคะแนน มจี �ำ นวน 4 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ ตรงข้าม ค่า 5 ระดับ ต้ังแต่ ปฏิบัติสัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่า ให้ สว่ นที่ 6 การรับรู้ผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์ 1 คะแนน ไปจนถึง ไม่เคยปฏบิ ัตเิ ลย ให้ 5 คะแนน ในวัยเรียน มีจำ�นวน 8 ข้อ ลักษณะแบบสอบถามเป็น สว่ นที่ 14 ความถี่การดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ มี มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ต้ังแต่ ไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง จ�ำ นวน 3 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราส่วนประมาณ ให้ 1 คะแนน ไปจนถงึ เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ ให้ 5 คะแนนในค�ำ ถาม คา่ 4 ระดบั ต้งั แต่ ดื่มเดือนละครัง้ หรือมากกว่า ให้ 1 คะแนน เชิงบวก หากเป็นค�ำ ถามเชิงลบจะให้คา่ คะแนนตรงข้าม ไปจนถงึ ไม่เคยดม่ื เลย ให้ 4 คะแนน สว่ นท่ี 7 การรบั รคู้ วามสามารถตนเองในการปอ้ งกนั สว่ นที่ 15 พฤตกิ รรมการเล้ยี งดู มีจ�ำ นวน 10 ข้อ การมีเพศสมั พันธ์ มจี �ำ นวน 8 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเป็น ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ตั้งแต่ ทำ�ไมไ่ ดแ้ น่นอน ให้ ต้ังแต่ ปฏิบัติสัปดาห์ละคร้ังหรือมากกว่า ให้ 5 คะแนน ไป 1 คะแนน ไปจนถงึ ทำ�ไดแ้ นน่ อน ให้ 5 คะแนน จนถึง ไม่เคยปฏิบตั ิเลย ให้ 1 คะแนน ส่วนท่ี 8 การรับรู้ต่อรูปลักษณ์ภายนอกของตน มี สว่ นที่ 16 สัมพันธภาพในครอบครัว มีจ�ำ นวน 10 จ�ำ นวน 10 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั ค่า 5 ระดับ ตัง้ แต่ จริงมาก ให้ 1 คะแนน ไปจนถึง ไมจ่ รงิ เลย ต้ังแต่ ประจำ� ให้ 5 คะแนน ไปจนถึง ไมเ่ คย ให้ 1 คะแนนใน ให้ 5 คะแนน ค�ำ ถามเชงิ บวก หากเปน็ ค�ำ ถามเชงิ ลบจะใหค้ า่ คะแนนตรงขา้ ม สว่ นท่ี 9 ความอยากรอู้ ยากลองตอ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ สว่ นที่ 17 การได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องเพศ มี มจี �ำ นวน 7 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ จ�ำ นวน 9 ขอ้ ลักษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ คา่ 5 ระดบั ตง้ั แต่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน ไปจนถงึ ค่า 5 ระดับ ตงั้ แต่ ปฏิบัตสิ ัปดาห์ละครงั้ หรือมากกว่า ให้ 5 ไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง ให้ 5 คะแนน คะแนน ไปจนถึง ไมเ่ คยปฏบิ ัตเิ ลย ให้ 1 คะแนน สว่ นท่ี 10 การเห็นคุณค่าในตนเอง มีจำ�นวน สว่ นท่ี 18 การได้รับอิทธิพลจากเพื่อน มีจำ�นวน 10 ข้อ ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 9 ข้อ ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 5 ระดบั ตัง้ แต่ ไมเ่ หน็ ด้วยอยา่ งยงิ่ ให้ 1 คะแนน ไปจนถงึ ระดบั ต้ังแต่ ปฏบิ ัตสิ ัปดาหล์ ะครัง้ หรือมากกว่า ให้ 1 คะแนน เห็นด้วยอย่างย่ิง ให้ 5 คะแนนในคำ�ถามเชิงบวก หากเป็น ไปจนถงึ ไมเ่ คยปฏิบัตเิ ลย ให้ 5 คะแนน ค�ำ ถามเชงิ ลบจะให้คา่ คะแนนตรงขา้ ม ทง้ั นสี้ ว่ นที่ 11 - 18 ใหก้ ารแปลผลคะแนนของแตล่ ะ ท้ังนี้ส่วนท่ี 4-10 ให้การแปลผลคะแนนของแต่ละ ส่วน ดังน้ี ระดบั พฤติกรรมดีมาก คะแนนร้อยละ 80 ขนึ้ ไป, สว่ น ดงั นี้ ระดบั ดมี าก คะแนนร้อยละ 80 ขน้ึ ไป, ระดบั ปาน ระดับพฤติกรรมดี คะแนนร้อยละ 70-79, ระดับพฤติกรรม กลาง คะแนนรอ้ ยละ 60-79, และระดับนอ้ ย คะแนนตาํ่ กว่า พอใช้ คะแนนร้อยละ 60-69, และระดับพฤติกรรมไม่ดี รอ้ ยละ 60 คะแนนต่ํากว่าร้อยละ 60 สว่ นท่ี 11 การบริโภคสื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ สว่ นท่ี 19 การสูบบุหรี่ มีจำ�นวน 1 ข้อ ซ่ึงเป็น มจี �ำ นวน 7 ขอ้ ลกั ษณะแบบสอบถามเปน็ มาตราสว่ นประมาณ ค�ำ ถามชนดิ เลอื กตอบ 2 ตวั เลอื ก ประกอบดว้ ย 1) เคยสบู บหุ ร่ี ค่า 5 ระดับ ต้ังแต่ ปฏิบัติสัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่า ให้ และ 2) ไมเ่ คยสบู บุหรี่ 1 คะแนน ไปจนถงึ ไม่เคยปฏบิ ัตเิ ลย ให้ 5 คะแนน ส่วนท่ี 20 การอยู่กับแฟนหรือคนท่ีชอบตามลำ�พัง สว่ นที่ 12 การใช้โทรศัพท์และส่ือออนไลน์ มี มีจำ�นวน 1 ข้อ ซ่ึงเป็นคำ�ถามชนิดเลือกตอบ 2 ตัวเลือก จำ�นวน 3 ขอ้ ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณ ประกอบด้วย 1) เคยอยู่กบั แฟนหรือคนทชี่ อบตามลำ�พัง และ ค่า 5 ระดับ ตั้งแต่ ปฏิบัติสัปดาห์ละคร้ังหรือมากกว่า ให้ 2) ไมเ่ คยอยู่กบั แฟนหรือคนท่ชี อบตามล�ำ พัง 1 คะแนน ไปจนถึง ไมเ่ คยปฏิบัตเิ ลย ให้ 5 คะแนน ส่วนที่ 21 พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ มีท้ังหมด ส่วนท่ี 13 การไปเที่ยวสถานเริงรมย์และเทศกาล 5 ขอ้ ซงึ่ เป็นค�ำ ถามชนดิ เลือกตอบและเติมค�ำ ประกอบดว้ ย
154 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 1) พฤติกรรมการมเี พศสัมพันธข์ องนกั เรียน 2) ช่วงเวลาการ โดยออกหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร มเี พศสมั พนั ธล์ า่ สดุ นบั ถงึ ปจั จบุ นั 3) บคุ คลทนี่ กั เรยี นเคยมเี พศ หลังจากทางโรงเรียนได้อนุมัติ ผู้วิจัยได้อธิบายโครงการวิจัย สมั พนั ธด์ ว้ ยครง้ั ลา่ สดุ 4) การคมุ ก�ำ เนดิ ในการมเี พศสมั พนั ธค์ รง้ั วัตถุประสงค์ และขอความยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัยจาก ลา่ สุด และ 5) วิธกี ารคมุ ก�ำ เนดิ ในการมเี พศสัมพนั ธ์คร้งั ล่าสดุ นักเรียนและผู้ปกครอง โดยผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายข้ัน การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ตอนและเข้าถึงกลุ่มตัวอย่างด้วยการนำ�รายช่ือท่ีสุ่มได้ไปแจ้ง การตรวจสอบความตรง (validity) ดว้ ยการหาค่า ให้นักเรียนทราบภายในห้องเรียนเพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูล ดัชนคี วามตรงเชิงเนือ้ หา (content validity) เป็นการหาค่า โดยแจ้งให้นักเรียนทราบว่าการตอบแบบสอบถามไม่ต้องใส่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ ค�ำ ถามกบั จดุ ประสงค์ (Index ชอ่ื -สกลุ และโรงเรยี นของนกั เรยี นแตอ่ ยา่ งใด และการรายงาน of Item Objective Congruence = IOC) โดยให้ผเู้ ช่ียวชาญ ผลข้อมูลเป็นไปในลกั ษณะภาพรวมไมส่ ามารถเชื่อมโยงถึงตัว ดา้ นอนามัยเจรญิ พนั ธุ์และสาธารณสขุ ศาสตร์ จำ�นวน 5 ทา่ น นกั เรยี นได้ และในการตอบขอ้ ค�ำ ถามหากมคี วามรสู้ กึ อดึ อดั ไม่ ตรวจสอบเครือ่ งมือวจิ ยั พบว่า เครื่องมอื สว่ นท่ี 2 มคี ่า IOC สบายใจ สามารถข้ามข้อคำ�ถามน้ัน ๆ ได้หรือยุติการตอบ อยู่ระหว่าง .50 - 1.00 ตามเกณฑ์ยอมรับ17 แบบสอบถามไดโ้ ดยไมม่ ผี ลกระทบใด ๆ ตอ่ นกั เรยี น หลงั จากนน้ั การตรวจสอบความเที่ยง (reliability) ด้วยการ จึงทำ�การเก็บข้อมูลด้วยการจัดโต๊ะตอบแบบสอบถาม หาความสอดคล้องภายในของเครื่องมือจากการหาค่า ลักษณะเช่นเดียวกับการสอบ ซึ่งระหว่างการตอบแบบสอบ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา่ ของครอนบาค (cronbach's alpha coef- ถามจะไม่มีการรบกวนนักเรียนเพ่ือให้มีสมาธิในการตอบ ficient) โดยผู้วิจัยนำ�แบบสอบถามหลังการตรวจสอบความ หลงั จากนกั เรยี นตอบแบบสอบถามเสรจ็ ผวู้ จิ ยั จะคดั เลอื กผทู้ ่ี ตรงเชิงเนื้อหาแล้วไปทดสอบหาค่าความเท่ียงกับนักเรียน มีเพศสัมพันธ์หรือคาดว่ามีเพศสัมพันธ์กับเพ่ือนต่างเพศได้ จำ�นวน 30 คน พบว่าเครื่องมือส่วนท่ี 2 มีค่าสัมประสิทธ์ิ ดว้ ยการพจิ ารณาคดั เลอื กจากแบบสอบถามภายหลงั จากตอบ แอลฟา่ ของครอนบาคอยรู่ ะหวา่ ง .71-.92 ตามเกณฑย์ อมรบั 18 เสร็จตามเกณฑ์คัดเลือกข้อคำ�ถามส่วนที่ 1 รสนิยมทางเพศ การพทิ กั ษส์ ทิ ธกิ ลมุ่ ตวั อยา่ ง และหากจำ�นวนตัวอย่างยังไม่ครบ ผู้วิจัยก็จะทำ�การสุ่มเก็บ การทำ�วิจัยในครั้งนี้ ได้รับการรับรองโครงการวิจัย ข้อมูลเพ่ิมเติมเพ่ือให้ครบตามจำ�นวน โดยการเก็บข้อมูลวิจัย จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัย คร้งั น้ผี วู้ จิ ัยเปน็ ผดู้ ำ�เนนิ การเองท้งั หมดในช่วงเดือน มกราคม- นเรศวร (COA No. 570/2018, IRB No. 0159/61) เม่อื วันที่ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 30 ตลุ าคม พ.ศ. 2561 และการเขา้ ถงึ กลมุ่ ตวั อยา่ งดว้ ยการน�ำ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู รายชอ่ื ทสี่ มุ่ ไดไ้ ปแจง้ ใหน้ กั เรยี นทราบภายในหอ้ งเรยี นเพอื่ ขอ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ อนุญาตเก็บข้อมูลและเกณฑ์การคัดเลือกผู้ท่ีมีเพศสัมพันธ์ ค่าความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน หรอื คาดวา่ มเี พศสมั พนั ธก์ บั เพอื่ นตา่ งเพศได้ ดว้ ยการพจิ ารณา วิเคราะห์สถิติเชิงอนุมานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค คดั จากแบบสอบถามภายหลงั จากตอบแบบสอบถามเสรจ็ ตาม แบบทวิ (binary logistic regression analysis) โดยตรวจ เกณฑก์ ารคัดเลอื กขอ้ ค�ำ ถามสว่ นที่ 1 รสนิยมทางเพศ ซ่งึ การ สอบความเหมาะสมของโมเดลด้วยการทดสอบ Omnibus เกบ็ ขอ้ มลู ครง้ั นผ้ี วู้ จิ ยั ชแี้ จงใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทราบวา่ ในการตอบ test of model coefficients และ Hosmer and ข้อค�ำ ถามหากมีความรสู้ กึ อึดอดั ไมส่ บายใจ สามารถข้ามขอ้ Lemeshow กำ�หนดนัยส�ำ คญั ทางสถิติที่ระดับ .05 คำ�ถามน้นั ๆ ได้หรอื ยตุ กิ ารตอบแบบสอบถามได้โดยไมม่ ผี ล กระทบใด ๆ ต่อนกั เรยี นทัง้ สนิ้ ผลการวจิ ยั วธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลังจากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรม 1. ขอ้ มลู ทว่ั ไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง การวจิ ยั ในมนษุ ย์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร เพอ่ื ขอเกบ็ ขอ้ มลู วจิ ยั จากการเกบ็ ขอ้ มูลจ�ำ นวน 990 คน พบวา่ นักเรียน ผู้วิจัยได้ทำ�หนังสือแจ้งขอเก็บข้อมูลในโรงเรียนมัธยมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาแบ่งเป็นเพศชาย 414 คน (ร้อยละ 41.80) เพศหญงิ 576 คน (รอ้ ยละ 58.20) เรียนอยมู่ ัธยมศกึ ษาปีที่ 3,
วารสารวจิ ัยสุขภาพและการพยาบาล ปีที่ 36 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 155 4, 5 และ 6 จ�ำ นวน 263, 248, 236 และ 243 คน (ร้อยละ กันจ�ำ นวน 668 คน (รอ้ ยละ 67.50) และสถานะแยก/หย่า 26.60, 25.10, 23.80 และ 24.50) ตามล�ำ ดบั โดยมอี ายุ ≤15 รา้ ง/เสียชีวติ จำ�นวน 322 คน (รอ้ ยละ 32.50) ซึง่ ขณะเรยี น ป,ี 16 ปี, 17 ปี และ ≥ 18 ปี จำ�นวน 293, 254, 214 และ นกั เรียนอาศยั อยกู่ บั บดิ ามารดา 548 คน (ร้อยละ 55.40) อยู่ 229 คน (รอ้ ยละ 29.60, 25.70, 21.60 และ 23.10) ตาม กบั บดิ าหรอื มารดา 165 คน (รอ้ ยละ 16.70) และอยกู่ บั บคุ คล ลำ�ดับ (Mean = 16.36, SD. = 1.22) มีเกรดเฉลยี่ เทอมลา่ สุด อ่ืนๆ 277 คน (ร้อยละ 28.00) นักเรียนได้รับเงินค่าใช้จ่าย อย่รู ะหว่าง 3.00-4.00 จ�ำ นวน 601 คน (ร้อยละ 60.70) และ พอใช้ตอ่ วนั เปน็ ส่วนใหญจ่ ำ�นวน 939 คน (ร้อยละ 94.80) ไม่ เกรดเฉลี่ยตํ่ากว่า 3.00 จำ�นวน 389 คน (ร้อยละ 39.30) พอใช้ตอ่ วัน 51 คน (รอ้ ยละ 5.20) และขณะเรียนนักเรยี นไม่ (Mean = 3.05, SD. = 0.59) ขณะทสี่ ถานะบดิ ามารดาอยดู่ ว้ ย เคยมแี ฟนเลยเปน็ ส่วนใหญ่จำ�นวน 351 คน (ร้อยละ 35.50) ตารางที่ 1 พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาในช่วง 12 เดือนท่ีผ่านมา (เก็บข้อมูลช่วงเดือนมกราคม - กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2562) พฤติกรรมการมีเพศสมั พนั ธ์ จำ�นวน รอ้ ยละ 1. พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พันธ์ใน 12 เดือนทผี่ ่านมา (n = 990) 784 79.20 ไม่เคยมเี พศสมั พนั ธ์ 206 20.80 เคยมีเพศสัมพนั ธ์ 115 77.70 2. ชว่ งเวลาการมีเพศสัมพนั ธ์ลา่ สดุ ใน 12 เดอื น ทผ่ี า่ นมา (n = 148) 19 12.80 ภายใน 1 - 3 เดือน 5.40 ภายใน 4 - 6 เดือน 8 4.10 ภายใน 7 - 9 เดอื น 6 ภายใน 10 - 12 เดอื น 91.20 Mean = 2.54, SD. = 2.53, Min = 1, Max = 11 188 6.80 3. บุคคลท่ีนกั เรียนเคยมีเพศสมั พนั ธด์ ว้ ยคร้ังลา่ สุด (n = 206) 14 1.50 แฟน 3 0.50 เพื่อน 1 18.40 ชาย/หญิง ขายบรกิ าร 38 81.60 นักเรยี นรนุ่ นอ้ ง 168 80.40 4. การคุมก�ำ เนดิ ในการมีเพศสัมพนั ธ์ครัง้ ล่าสดุ (n = 206) 135 1.80 ไม่ใช้การคุมกำ�เนิด 3 7.70 ใช้วิธกี ารคมุ ก�ำ เนดิ 13 0.60 5. วธิ ีการคุมกำ�เนิดในการมเี พศสัมพนั ธค์ รงั้ ลา่ สุด (n = 168) 1 6.50 ถุงยางอนามยั 11 1.20 นับระยะปลอดภัย 2 0.60 ยาคุมก�ำ เนดิ ฉกุ เฉิน 1 1.20 ถงุ ยางอนามยั และนบั ระยะปลอดภยั 2 ถุงยางอนามัย และยาคมุ กำ�เนิดฉุกเฉิน ถงุ ยางอนามยั , นบั ระยะปลอดภยั , และยาคุมก�ำ เนดิ ฉกุ เฉนิ หลั่งภายนอก ยาคมุ ก�ำ เนดิ แบบ 21 เม็ด/28 เมด็
156 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 เคยมแี ฟนแตเ่ ลิกแลว้ จ�ำ นวน 330 คน (ร้อยละ 33.30) และมี มากกว่า นกั เรยี นทม่ี อี ายุน้อยกว่าหรอื เทา่ กบั 16 ปี ถึง 2.33 แฟนในปัจจุบันจ�ำ นวน 309 คน (รอ้ ยละ 31.20) ตามลำ�ดับ เท่า 2) เกรดเฉลยี่ เทอมลา่ สดุ พบว่า นักเรยี นที่มีเกรดเฉลีย่ 2. พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธข์ องนกั เรยี นระดบั เทอมล่าสุดนอ้ ยกว่า 3.00 มโี อกาสเส่ียงต่อการมีเพศสัมพนั ธ์ ชัน้ มธั ยมศึกษา มากกวา่ นกั เรยี นทม่ี เี กรดเฉลย่ี เทอมลา่ สดุ มากกวา่ หรอื เทา่ กบั ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรยี นตอบแบบสอบถามจ�ำ นวน 3.00 ถึง 1.54 เท่า 3) การสูบบุหรี่ พบว่า นักเรียนท่ีเคย 990 คน เคยมเี พศสมั พันธใ์ นช่วง 12 เดือนท่ีผ่านมา 206 คน สบู บหุ รี่ มีโอกาสเสี่ยงตอ่ การมเี พศสัมพันธ์มากกวา่ นักเรียนท่ี (ร้อยละ 20.80) และในจ�ำ นวน 206 คน ตอบจ�ำ นวน 148 คน ไมเ่ คยสูบบุหรี่ ถงึ 2.55 เท่า 4) การเคยมีแฟนแตเ่ ลิกกนั แลว้ เกยี่ วกบั ชว่ งเวลาการมเี พศสัมพันธ์ ซ่งึ พบว่าช่วง 1-3 เดอื นท่ี พบว่า นักเรียนที่เคยมีแฟนแต่เลิกกันแล้ว มีโอกาสเสี่ยงต่อ ผ่านมาเป็นชว่ งทมี่ ากทีส่ ุดจำ�นวน 115 คน (รอ้ ยละ 77.70) การมีเพศสัมพันธ์มากกว่า นักเรียนท่ีไม่เคยมีแฟน ถึง 3.48 และในจ�ำ นวน 206 คน บคุ คลทน่ี กั เรยี นมเี พศสมั พนั ธด์ ว้ ยเปน็ เทา่ 5) การมแี ฟนในปจั จบุ นั พบวา่ นกั เรยี นทม่ี แี ฟนในปจั จบุ นั แฟนมากทีส่ ดุ จ�ำ นวน 188 คน (ร้อยละ 91.20) โดยมกี ารคุม มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์มากกว่า นักเรียนท่ีไม่เคย กำ�เนิดจำ�นวน 168 คน (ร้อยละ 81.60) ซ่ึงวิธีคุมกำ�เนิด มแี ฟน ถงึ 5.17 เทา่ 6) การอยกู่ บั แฟนหรอื คนทช่ี อบตามล�ำ พงั ที่นักเรียนใช้มากท่ีสุดคือ ถุงยางอนามัย จำ�นวน 135 คน พบว่า นกั เรยี นทอ่ี ยกู่ ับแฟนหรอื คนทชี่ อบตามลำ�พงั มโี อกาส (ร้อยละ 80.40) รายละเอียดดงั ตารางท่ี 1 เสยี่ งตอ่ การมเี พศสมั พนั ธม์ ากกวา่ นกั เรยี นทไี่ มเ่ คยอยกู่ บั แฟน 3. ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศ หรอื คนท่ีชอบตามล�ำ พงั ถงึ 6.40 เทา่ 7) ความอยากรอู้ ยาก สมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควรในนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา ลองตอ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ พบวา่ นกั เรยี นทมี่ คี วามอยากรอู้ ยาก การวจิ ยั ครงั้ นผี้ วู้ จิ ยั ตรวจสอบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ลองเพิม่ ขนึ้ 1 หน่วย มีโอกาสเส่ยี งตอ่ การมเี พศสัมพันธ์สงู ขน้ึ ตัวแปรอิสระด้วยกันพบว่าไม่มีตัวแปรอิสระคู่ใดมีความ 1.09 เท่า 8) การบริโภคส่ือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พบว่า สมั พนั ธก์ นั สูง (Multicollinearity) เกนิ .80 ตามเกณฑข์ อง นักเรียนทบ่ี ริโภคสื่อกระตุ้นอารมณท์ างเพศเพิม่ ข้นึ 1 หนว่ ย Stevens19 และตรวจสอบความเหมาะสมของสมการถดถอย มีโอกาสเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์สูงข้ึน 1.03 เท่า และ โลจีสตคิ ดว้ ยการทดสอบ Omnibus test of model coef- 9) ความถ่ีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า นักเรียนที่มี ficients พบวา่ ค่า chi-square ในช่อง step, block, และ ความถ่ีในการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์เพ่ิมขึ้น 1 หน่วย model = 403.28 และค่า p < .01 และทดสอบ Hosmer มโี อกาสเสย่ี งตอ่ การมเี พศสมั พนั ธส์ งู ขนึ้ 1.10 เทา่ รายละเอยี ด and Lemeshow พบว่าค่า Chi-square = 8.91 และ ดงั ตารางที่ 2 คา่ p = .34 แสดงวา่ การวเิ คราะหส์ มการถดถอยโลจสี ตคิ ครงั้ ท้งั น้ีพบวา่ ปัจจัยดังตอ่ ไปนี้ ได้แก่ เพศ ระดับชั้นท่ี นม้ี คี วามเหมาะสม (goodness of fit test) ศึกษา สถานภาพสมรสของบิดามารดา บุคคลท่ีพักอาศัยอยู่ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ดว้ ยขณะเรยี น ความเพยี งพอของคา่ ใชจ้ า่ ยตอ่ วนั ความรเู้ รอื่ ง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา เพศศกึ ษา เจตคตติ อ่ การมเี พศสมั พนั ธใ์ นวยั เรยี น คา่ นยิ มทาง อย่างมนี ัยสำ�คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 ได้แก่ อายุ เกรดเฉล่ยี เพศในวัยเรียน การรับรู้ผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์ใน เทอมลา่ สุด การสบู บุหรี่ การเคยมีแฟนแต่เลิกกนั แลว้ การมี วยั เรยี น การรบั รคู้ วามสามารถตนเองในการปอ้ งกนั การมเี พศ แฟนในปจั จบุ นั การอยกู่ บั แฟนหรอื คนทช่ี อบตามล�ำ พงั ความ สมั พนั ธ์ การรบั รตู้ อ่ รปู ลกั ษณภ์ ายนอกของตน การเหน็ คณุ คา่ อยากรู้อยากลองต่อการมีเพศสัมพันธ์ การบริโภคสื่อกระตุ้น ในตนเอง การไปเที่ยวสถานเริงรมย์และเทศกาล การใช้ อารมณท์ างเพศ และความถี่การด่ืมเครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล์ ซง่ึ โทรศัพท์และส่อื ออนไลน์เพื่อการส่อื สาร พฤติกรรมการเลย้ี ง ปัจจัยทั้งหมดทำ�นายโอกาสเส่ียงต่อพฤติกรรมการมีเพศ ดู การไดร้ บั การอบรมสงั่ สอนเรอื่ งเพศ และการไดร้ ับอทิ ธิพล สัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้ร้อยละ จากเพอ่ื น ไมม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั 52.20 และสามารถอธิบายผลการวจิ ัยไดด้ ังน้ี 1) อายุ พบวา่ อันควรในนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ นกั เรยี นทมี่ อี ายุ 17 ปขี น้ึ ไป มโี อกาสเสยี่ งตอ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ ระดับ .05
วารสารวจิ ัยสขุ ภาพและการพยาบาล ปที ี่ 36 ฉบับท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2563 157 ตารางที่ 2 ผลการวเิ คราะหป์ จั จยั ทีม่ ผี ลตอ่ พฤติกรรมการมเี พศสมั พันธ์กอ่ นวัยอันควรในนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษา (n = 990) ตวั แปรอสิ ระ Coefficient OR [95% CI] p-value อายุ นอ้ ยกว่าหรอื เทา่ กบั 16 ปี ref 1.00 .046 17 ปี ขน้ึ ไป .848 2.33 [1.01-5.36] .047 เกรดเฉลย่ี เทอมล่าสดุ มากกว่าหรือเท่ากับ 3.00 ref 1.00 <.001 น้อยกว่า 3.00 .435 1.54 [1.00-2.37] .024 การสบู บุหร่ี ไม่สบู บุหรี่ ref 1.00 .003 เคยสบู บหุ ร่ี .937 2.55 [1.51-4.29] <.001 การมแี ฟน ไมเ่ คยมแี ฟน ref 1.00 <.001 เคยมแี ฟนแต่เลกิ กันแลว้ 1.249 3.48 [1.17-10.33] .031 มีแฟนในปจั จุบนั 1.643 5.17 [1.71-15.57] .019 การอยกู่ ับแฟนหรือคนทช่ี อบตามล�ำ พงั ไมเ่ คย ref 1.00 เคย 1.857 6.40 [3.38-12.11] ความอยากรอู้ ยากลองตอ่ การมีเพศสัมพันธ ์ .093 1.09 [1.04-1.15] การบริโภคส่ือกระตุ้นอารมณท์ างเพศ .037 1.03 [1.00-1.07] ความถีก่ ารดื่มเครอื่ งดื่มแอลกอฮอล์ .096 1.10 [1.01-1.19] Constant -7.772 Percentage correct = 85.90%, ref = reference variable, p < .05) การอภปิ รายผลการวจิ ยั มนี ยั สำ�คญั ทางสถติ ิ (p < .05) กลา่ วคอื นักเรียนทมี่ อี ายุ 17 ปี ข้ึนไป มีความเสี่ยงต่อพฤติกรรมการมีเพศสมั พันธ์กอ่ นวัยอัน ด้านความชุกพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์จากการ ควรมากกวา่ นกั เรยี นทม่ี อี ายุ 16 ปี และนอ้ ยกวา่ ซง่ึ เปน็ ไปตาม ศกึ ษาพบว่านกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปี 3-6 เคยมีเพศสัมพนั ธ์ พฒั นาการทางดา้ นจติ ใจและสงั คมของวยั รนุ่ ทมี่ คี วามตอ้ งการ ในชว่ ง 12 เดอื นทีผ่ า่ นมาร้อยละ 20.80 เมอื่ เทยี บกับงานวิจัย ดา้ นเพศเปน็ ไปตามอายทุ เ่ี พม่ิ ขน้ึ โดยวยั รนุ่ ตอนตน้ จะมคี วาม ของ Lekphet13 ซงึ่ เกบ็ ขอ้ มูลในช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4-6 พบ สนใจในเรอ่ื งเพศแตเ่ มอื่ เขา้ สชู่ ว่ งวยั รนุ่ ตอนกลางจะเรม่ิ มแี ฟน ว่านกั เรียนเคยมีเพศสมั พนั ธ์ รอ้ ยละ 42.36 เม่อื พจิ ารณาพบ ซง่ึ เปน็ ความสมั พนั ธท์ เี่ กดิ จากความสนใจมากกวา่ ความรสู้ กึ ที่ ว่าการศึกษาของผู้วิจัยมีนักเรียนที่เคยมีเพศสัมพันธ์น้อยกว่า ลึกซึ้ง และช่วงวัยรุ่นตอนปลาย หากมีแฟนมักจะมีความ ทง้ั นอี้ าจเปน็ เพราะผวู้ จิ ยั เกบ็ ขอ้ มลู ในนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา สัมพันธ์ท่ีลึกซ้ึง21 อันนำ�ไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายข้ึนและ ปีที่ 3 ร่วมด้วย พร้อมกับคัดเลือกเฉพาะนักเรียนที่มีเพศ ทฤษฎี Psychosexual development ของ Sigmund สัมพันธ์หรือคาดว่ามีเพศสัมพันธ์กับเพ่ือนต่างเพศได้เท่านั้น Freud ยังกล่าวว่าในระยะ Genital stage เป็นระยะที่เด็ก จึงท�ำ ใหค้ วามชกุ ของการมีเพศสัมพนั ธใ์ นนักเรยี นลดต่าํ ลง เข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงอายุท่ีเพิ่มสูงข้ึน วัยรุ่นจะให้ ด้านปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศ ความสนใจและต้องการสร้างสัมพันธภาพกับเพศตรงข้าม22 สัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ผู้วิจัย ซึ่งอาจเกินเลยถึงการมีเพศสัมพันธ์ได้ และยังสอดคล้องกับ สามารถอภปิ รายผล ไดด้ ังนี้ อายุ พบว่าเป็นปจั จัยท่มี ีอิทธิพล งานวิจัยของ Pimsawat, Sanpanawat และ Wonglao23 ตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควรในนกั เรยี นอยา่ ง
158 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 ท่ีศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมี พฤตกิ รรมเสย่ี งหนง่ึ พฤตกิ รรมสามารถน�ำ ไปสพู่ ฤตกิ รรมเสย่ี ง เพศสัมพันธ์ในนักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายใน อื่นๆ ได้ โดยพฤติกรรมเสีย่ งทีพ่ บบอ่ ยของวัยร่นุ ไทย คอื การ เขตจงั หวดั มกุ ดาหาร พบว่า อายุ มีความสมั พันธ์ทางบวกกบั ดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการมีพฤติกรรม พฤตกิ รรมเสยี่ งตอ่ การมเี พศสมั พนั ธอ์ ยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ เสี่ยงทางเพศ28 ท้ังน้ียังมีงานวิจัยของ Gwon และ Lee29 เกรดเฉลี่ยเทอมล่าสุด พบว่าเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพล สนับสนุนว่าปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการมีเพศสัมพันธ์ในหมู่ ตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควรในนกั เรยี นอยา่ ง นักเรียนมัธยมศึกษา: โดยใช้ข้อมูลจากการสำ�รวจพฤติกรรม มนี ัยส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p < .05) กล่าวคอื นกั เรยี นทีม่ ีเกรดเฉลยี่ เสีย่ งของวัยรุ่นเกาหลี พบว่าอทิ ธพิ ลตอ่ การมีเพศสัมพันธ์ของ เทอมล่าสุดน้อยกว่า 3.00 มีความเสี่ยงต่อพฤติกรรมการมี วัยรุ่นอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติมีปัจจัยการสูบบุหรี่และด่ืม เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากกว่านักเรียนที่มีเกรดเฉล่ีย แอลกอฮอลร์ ่วมด้วย เทอมล่าสุด 3.00 หรือมากกว่า แน่นอนว่าเกรดเฉลี่ยเป็น การมีแฟน พบว่า นักเรียนที่มีแฟนในปัจจุบันเป็น ตัวบ่งช้ีถึงความเอาใจใส่ความขยันหมั่นเพียรต่อการเรียน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน หากนักเรียนเอาใจใส่ต่อการเรียนน้อยหรือไม่เอาใจใส่ก็จะ ควรในนกั เรยี นอย่างมนี ัยส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p < .01) กล่าวคือ ส่งผลให้การเรียนตก ที่เป็นเช่นน้ีส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัยรุ่น นกั เรียนทมี่ แี ฟนในปจั จุบนั มีโอกาสเสย่ี งตอ่ การมีเพศสัมพันธ์ สนใจในเร่อื งอื่นมากกว่าการเรียน เพราะอยู่ในชว่ งอยากลอง ก่อนวัยอันควรมากกว่านักเรียนที่ไม่เคยมีแฟนเลย เพราะ อยากรู้ ตอ้ งการการยอมรบั จากสงั คมเพอ่ื นและใหค้ วามสนใจ ว่าการมีแฟนเป็นการสร้างสัมพันธภาพท่ีเรียกว่าความรัก ตอ่ เพศตรงขา้ ม24 จนน�ำ ไปสพู่ ฤตกิ รรมเสย่ี งหรอื พหพุ ฤตกิ รรม โดยทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรักของ Sternberg มี เส่ียง ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ องค์ประกอบของความรักอยู่ 3 ส่วน คือ ความสนิทสนม การกระทำ�พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่ง (Intimacy) ความเสนห่ า (Passion) และพนั ธะสัญญา (Com- ผลกระทบที่ตามมาส่งผลให้วัยรุ่นมีสุขภาพเส่ือมโทรม มีผล mitment) ซ่ึงด้านความเสน่หาจะมีลักษณะเป็นแรงดึงดูด การเรยี นทต่ี กตา่ํ เปน็ ตน้ 25,26 และปจั จยั ดงั กลา่ วสอดคลอ้ งกบั ระหว่างเพศให้เกิดความหลงใหลระหว่างกันอันนำ�ไปสู่การมี งานวิจัยของ Sawangtook และ Thano27 ท่ีศึกษาการ เพศสัมพันธ์ได้และยังพบว่าลักษณะความรักของผู้ชายจะ ตระหนักรู้ในพฤติกรรมเส่ียงทางเพศกับพฤติกรรมเสี่ยงทาง เปน็ ไปในเชงิ กามารมณอ์ กี ดว้ ย30 ซ่ึงงานวจิ ยั ของ Chaikool- เพศของนกั เรยี นวยั รนุ่ พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทต่ี า่ งกนั vatana, Praditsathaporn และ Kamkhieo31 ท่ีศึกษา จะมีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศที่ต่างกัน กล่าวคือ นักเรียนที่มี ปัจจัยทำ�นายพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของวัยรุ่น จังหวัด ระดับผลการเรียนสูงจะมีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศต่ํากว่า พะเยา ยังกล่าวสนับสนุนว่าสาเหตุการมีเพศสัมพันธ์ของ นักเรียนทมี่ รี ะดับผลการเรียนปานกลางและตา่ํ นักเรียนคือความรักต่อแฟนหรือคู่รักของตน และผลการ การสูบบุหร่ี พบว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ ศกึ ษายงั พบวา่ นกั เรยี นทมี่ แี ฟนแตเ่ ลกิ กนั แลว้ ยงั เปน็ ปจั จยั ทมี่ ี พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนอย่างมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรใน นัยสำ�คัญทางสถิติ (p < .001) กล่าวคอื นกั เรยี นที่สบู บุหรมี่ ี นกั เรยี นอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p < .05) กลา่ วคอื นกั เรยี น โอกาสเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มากกว่า ที่มีแฟนแต่เลิกกันแล้วมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ นักเรียนท่ีไม่สูบบุหรี่ ท่ีเป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะบุคคลท่ี มากกวา่ นกั เรยี นทไี่ มเ่ คยมแี ฟนเลย ทเ่ี ปน็ เชน่ นอ้ี าจเปน็ เพราะ สูบบุหร่ีจะมีพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ร่วมด้วยจึงนำ�ไป ช่วงที่มีแฟนนักเรียนเคยมีประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์อัน สู่การมีเพศสัมพันธ์ เพราะจากการศึกษาของ Poonkhum, พึงพอใจต่อประสบการณ์นั้น และเม่ือเลิกกับแฟนแล้วแต่ Phromprapat, Paisalachapong และ Samakkeekarom3 ประสบการณ์และความพึงพอใจน้ันยังคงอยู่ยังผลให้มีความ กล่าวว่าการบริโภคยาสูบในวัยรุ่นมีความเก่ียวเนื่องกับการ กลา้ และงา่ ยทจ่ี ะเกดิ พฤตกิ รรมแบบนน้ั ซา้ํ อกี ได้ ซง่ึ เปน็ ไปตาม ใช้แอลกอฮอล์และพฤติกรรมทางเพศท่ีไม่ปลอดภัย ซ่ึงมี ทฤษฎกี ารเชอื่ มโยงความรขู้ อง Thorndike ทกี่ ลา่ วถงึ กฏแหง่ ลักษณะแบบพหุพฤติกรรมเส่ียงกล่าวคือ วัยรุ่นหนึ่งคนทำ� ผลว่า (The law of effect) ความสมหวังหรอื ความพงึ พอใจ
วารสารวิจยั สุขภาพและการพยาบาล ปีที่ 36 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2563 159 ต่อเหตุการณ์จะส่งเสริมการแสดงพฤติกรรมน้ันซ้ํามากขึ้น32 ดังกล่าวเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์สูง และงานวิจัยของ และจากงานวิจัยของ Nuwong33 ศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อ Hengchamras38 ซ่ึงศึกษาการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงทาง พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นและเยาวชนในหอพัก เพศของเยาวชนในสถานศึกษาจังหวัดสมุทรสาครยังเผยว่า จงั หวดั พษิ ณโุ ลก กลา่ ววา่ การเคยมแี ฟนหรอื ครู่ กั ซงึ่ ในปจั จบุ นั สาเหตทุ น่ี �ำ ไปสกู่ ารมเี พศสมั พนั ธค์ รง้ั แรกของนกั เรยี นเกดิ จาก ไม่มี ส่งผลตอ่ การมเี พศสัมพนั ธข์ องวยั รุ่นและเยาวชนอยา่ งมี ความอยากรู้ อยากลองเปน็ ส่วนใหญ่ อีกดว้ ย นัยสำ�คัญทางสถิติ อกี ดว้ ย การบริโภคส่ือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พบว่าเป็น การอย่กู ับแฟนหรือคนทช่ี อบตามลำ�พัง เปน็ ปจั จัย ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน ท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรใน ควรในนักเรียนอย่างมนี ยั สำ�คญั ทางสถิติ (p < .05) กลา่ วคอื นกั เรยี นอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p < .001) กลา่ วคอื นกั เรยี น นักเรียนท่ีบริโภคส่ือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศมีโอกาสเสี่ยง ท่อี ยกู่ ับแฟนหรือคนที่ชอบตามลำ�พัง มีโอกาสเกิดพฤตกิ รรม ต่อการมีเพศสัมพันธ์สูง ที่เป็นเช่นน้ี Sigmund Freud การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากกว่านักเรียนท่ีไม่เคยอยู่ กล่าวว่า ในชว่ งวยั ร่นุ หรอื ระยะ Genital stage เปน็ วัยท่ีเร่ิม กับแฟนหรือคนที่ชอบตามลำ�พัง เพราะว่าการอยู่ตามลำ�พัง มคี วามต้องการทางเพศ22 นอกจากน้ี พฒั นาการของวยั รนุ่ ที่ จะเปิดโอกาสให้นักเรียนและแฟนหรือคนที่ชอบกระทำ� มีการเปล่ียนแปลงด้านอารมณ์และสังคมจะให้ความสนใจใน พฤตกิ รรมไดอ้ ยา่ งอสิ ระและยงิ่ อยใู่ นสถานทลี่ บั ตาคน34 โอกาส กิจกรรมทางเพศและเพศตรงข้าม36 เม่ือวัยรุ่นรับส่ือทางเพศ เกิดพฤติกรรมทางเพศ การหอมแก้ม โอบกอด สัมผสั ร่างกาย ไมว่ า่ จะเปน็ นติ ยสาร ซดี ี วซี ดี โี ปเ๊ ปลอื ย คลปิ ลามกตามเวป็ ไซน์ ก็ย่ิงมีสูงล่วงเลยถึงข้ันมีเพศสัมพันธ์ก็อาจเป็นได้ ซึ่งงานวิจัย หรือโทรศัพท์มือถือก็จะกระตุ้นส่งเสริมให้วัยรุ่นมีอารมณ์ ของ Sittipayasakul, Nuwong, Lucksitanon และ ความอยากเกดิ แรงขบั ทางเพศมากจนน�ำ ไปสกู่ ารมเี พศสมั พนั ธ์ Uamasan35 ได้สำ�รวจความคิดเห็นและพฤติกรรมเสี่ยงทาง ได้ และผลการวิจัยของ Prachanno, Srisuriyawet และ เพศของวยั รนุ่ ในประเทศไทยใหเ้ หตผุ ลวา่ การอยตู่ ามล�ำ พงั สอง Homsin39 ยงั สนบั สนนุ วา่ การเขา้ ถงึ สอ่ื ยวั่ ยคุ วามรสู้ กึ ทางเพศ ตอ่ สองเปน็ เหตุจูงใจมากทีส่ ุดในการมีเพศสัมพนั ธ์กับตา่ งเพศ (beta = .242) สามารถทำ�นายพฤติกรรมทางเพศร่วมกับ คร้ังแรก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Lekphet, Wong- ปจั จัยอน่ื ๆไดร้ อ้ ยละ 30.60 อยา่ งมนี ยั สำ�คญั ทางสถิติ sawat, Tejativaddhana และ Michaeng20 ทศี่ ึกษาปจั จัยที่ ความถี่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าเป็น มีอิทธิพลต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ซ่งึ กล่าวว่า การมีโอกาสอยู่ตามลำ�พงั ควรในนักเรยี นอย่างมีนัยสำ�คญั ทางสถติ ิ (p < .05) กลา่ วคือ กับแฟนมีอิทธิพลต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซ่ึงมี นกั เรยี นทดี่ ม่ื เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอลม์ โี อกาสเสยี่ งตอ่ พฤตกิ รรม โอกาสมากกว่าผ้ทู ่ีไมม่ ีโอกาสถงึ 2.55 เทา่ การมีเพศสัมพันธ์สูง เพราะว่าเมื่อด่ืมเข้าไปจะทำ�ให้ขาด ความอยากรู้อยากลองต่อการมีเพศสัมพันธ์ พบว่า สติสัมปชัญญะ ขาดการยับย้ังช่ังใจและการควบคุมตนเอง เป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ก่อน กล้าทำ�ในส่ิงท่ีไม่ควรทำ�รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์40 ซ่ึงใน วัยอันควรในนักเรียนอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p < .001) รายงาน วยั รนุ่ ...วยั วนุ่ กบั ปญั หาการตง้ั ครรภไ์ มพ่ รอ้ ม...ปอ้ งกนั กลา่ วคอื วยั รนุ่ ทมี่ คี วามอยากลองอยากรตู้ อ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ อยา่ งไร กลา่ ววา่ กลุ่มวยั รุ่นทีเ่ ทีย่ วสถานเริงรมยแ์ ละด่ืมเคร่อื ง มโี อกาสเสีย่ งต่อการมเี พศสัมพนั ธส์ งู ท่ีเปน็ เชน่ นี้เพราะวัยรนุ่ ดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับถูกยั่วยุอารมณ์จะนำ�ไปสู่การมีเพศ มีพัฒนาการทางด้านอารมณ์และสังคมที่สนใจอยากรู้อยาก สัมพนั ธ7์ และงานวจิ ยั ของ Pichainrong และ Chaveepo- ลองเกย่ี วกบั กจิ กรรมทางเพศและสนใจในเพศตรงขา้ มทง้ั ชาย jnkamjorn41 ศึกษาพฤติกรรมเส่ียงทางเพศที่เกิดจากการ และหญิงก็ต่างพยายามให้ความสนใจซ่ึงกันและกัน36 ท้ังนี้ บริโภคเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ในกลุ่มวัยรุ่นหญิง: การศึกษา Thato37 ยงั กลา่ ววา่ หนง่ึ ในปมปรศิ นาทว่ี ยั รนุ่ อยากรกู้ ค็ อื การ แบบภาคตัดขวาง ภาคกลาง ประเทศไทย กล่าววา่ การมีเพศ ทดลองมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งนักเรียนที่เห็นด้วยกับการมีเพศ สัมพันธ์เป็นหนึ่งปัจจัยเสี่ยงทางเพศท่ีสัมพันธ์กับการบริโภค สัมพันธ์จะมีความคิดจิตใจที่อยากรู้ อยากลอง อยากหา เคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์ในปัจจบุ ัน ประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ เหตุน้ีจึงทำ�ให้นักเรียนกลุ่ม
160 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 ขอ้ เสนอแนะในการน�ำ ผลการวจิ ยั ไปใช้ 3. บุคลากรด้านสาธารณสุข ครู ควรแนะนำ� นักเรียนให้เข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่นว่ามีความอยากรู้อยาก การศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ลองในส่ิงต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเพศและหากมีพฤติกรรมเสพส่ือ การมีเพศสมั พนั ธ์กอ่ นวัยอนั ควรในนักเรียน ไดแ้ ก่ อายุ เกรด ลามกโป๊เปลือยก็จะส่งผลให้มีความอยากรู้อยากลองต่อการ เฉล่ียเทอมล่าสุด การสูบบุหร่ี การเคยมีแฟนแต่เลิกกัน มเี พศสมั พนั ธเ์ พมิ่ ขนึ้ ดงั นนั้ นกั เรยี นควรตระหนกั และหลกี เลยี่ ง แล้ว การมแี ฟนในปจั จบุ ัน การอยูก่ ับแฟนหรอื คนท่ชี อบตาม พฤติกรรมดังกล่าว และครู ผู้ปกครองควรสังเกตและอบรม ลำ�พัง ความอยากลองอยากรู้ต่อการมีเพศสัมพันธ์ การ ตักเตอื นหากนักเรียนหรือบุตรหลานมีการกระทำ�เช่นนน้ั บรโิ ภคสอ่ื กระตนุ้ อารมณท์ างเพศ และความถก่ี ารดม่ื เครอ่ื งดม่ื 4. บคุ ลากรดา้ นสาธารณสขุ ครู ผปู้ กครองควรใสใ่ จ แอลกอฮอล์ ดแู ลเฝา้ ระวงั มากยง่ิ ขน้ึ ในนกั เรยี นหรอื บตุ รหลานทม่ี อี ายเุ พม่ิ 1. บุคลากรดา้ นสาธารณสขุ ครู ผูป้ กครองควรให้ ขึ้น เช่น 17 ปขี น้ึ ไป และมีเกรดเฉลี่ยนอ้ ยกวา่ 3.00 เพราะ คำ�แนะนำ�กับนักเรียนหรือบุตรหลานเกี่ยวกับการมีแฟนและ เหตุดังกล่าวเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีเพศ การอยู่กับแฟนหรือคนที่ชอบตามลำ�พังว่าควรพยายามหลีก สมั พันธก์ ่อนวยั อนั ควรของนกั เรียน เลี่ยงการมีแฟนและการอยู่กับแฟนหรือคนที่ชอบตามลำ�พัง เพราะสาเหตุดังกล่าวจะนำ�ไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอัน ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การวจิ ยั ในอนาคต ควรได้ 2. บุคลากรด้านสาธารณสุข ครู ผู้ปกครองควร จากผลการวิจัย ควรนำ�ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลข้างต้น อบรม ตกั เตอื นนกั เรยี นหรอื บตุ รหลานใหเ้ ลง็ เหน็ ถงึ พษิ ภยั รวม ไปเปน็ ประเดน็ ในการสรา้ งโปรแกรมกจิ กรรมหรอื แนวทางการ ถงึ ควรหา้ มดมื่ แอลกอฮอลแ์ ละสบู บหุ รเี่ พราะจะท�ำ ใหร้ า่ งกาย เฝา้ ระวงั ความเสยี่ งตอ่ พฤตกิ รรมการมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั เสื่อมโทรมอันเป็นอุปสรรคต่อการเล่าเรียน และพฤติกรรม ควรในนักเรียนโดยศึกษาในรูปแบบการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง ดงั กลา่ วยงั สามารถน�ำ ไปสกู่ ารมเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควรได้ ตอ่ ไป References 1. Manaboriboon B. Epidemiology of mortality and morbidity of Thai teenagers. In: Rosawan A, In-iw S, Manaboriboon B, Hongsanguansri S, Jaruratanasirikul S, editors. Textbook of adolescent medicine. Nonthaburi: Parbpim Ltd; 2016. p.269-272. (in Thai). 2. Hoyrat P, Wongsawat P. Thai adolescent with early sexual intercourse. Journal of phrapokklao nursing college. 2017;28(2):173-82. (in Thai). 3. Poonkhum Y, Phromprapat P, Paisalachapong K, Samakkeekarom R. The study to promote youth health and prevention of risk behaviors and health problems among youths.Thailand journal of health promotion and environmental health. 2012;35(2):48-65. (in Thai). 4. Bureau of reproductive health, Department of health, Ministry of public health. Annual report 2018 [Internet]. Bureau of reproductive health; 2018 [cited 2019 Jun 7]. Available from: http:// rh.anamai.moph.go.th/ewt_dl_link.php?nid=263. (in Thai). 5. Kruachottikul S, Paiboon S. Quality of unintended teenage pregnant women: midwifery roles. Kuakarun Journal of Nursing. 2014;21(2):18-27. (in Thai).
วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล ปที ี่ 36 ฉบับท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2563 161 6. Puangprasong R, Samantarath P, Sitharatsak C. Stigma in adolescent pregnancy: nurse’s role. Vajira nursing journal. 2018;20(1):1-11. (in Thai). 7. Khumtorn L. “How to prevent unwanted teenage pregnancy?”. Journal of boromarajonani college of nursing, Bangkok. 2014;30(3):97-105. (in Thai). 8. Bureau of reproductive health, Department of health, Ministry of public health. Abortion surveillance report, Thailand 2017 [Internet]. Bureau of reproductive health; 2017 [cited 2019 Jun 7]. Available from: http://rh.anamai.moph.go.th/ewt_dl_link.php?nid=268. (in Thai). 9. Bureau of epidemiology, Department of disease control, Ministry of public health. Annual epidemiological surveillance report 2017 [Internet]. Bureau of epidemiology; 2017 [cited 2019 Jun 9]. Available from: https://ddc.moph.go.th/th/site/office/view/boe. (in Thai). 10. Ruangkanchanasetr S. Epidemiology of mortality and morbidity of Thai teenagers. In: Rosawan A, In-iw S, Manaboriboon B, Hongsanguansri S, Jaruratanasirikul S, editors. Textbook of adolescent medicine. Nonthaburi: Parbpim Ltd; 2016. p.28-30. (in Thai). 11. Green LW, Kreuter MW. Health promotion planning: An education and environment approach. NewYork: McGrau Hill; 2005. 12. Chirawatkul A. Statistics in research: appropriate selection. Bangkok: Witthayaphat; 2014. (in Thai). 13. Lekphet K. The development of behavioral risk factors surveillance program on HIV Infection among upper secondary school students [doctoral’s thesis]. Phitsanulok: Naresuan University; 2014. (in Thai). 14. Fachaiyaphum C. Sexuality education. Bangkok: Se-education; 2016. (in Thai). 15. Boonrod T. Sexual behavior and factors associated to sexual relation among adolescent under the vocational education commission in muang district, province in the south of Thailand [master’s thesis]. Khon kean: Khon kean University; 2007. (in Thai). 16. Surinsak W. Premarital sexual relationship in adolescents [master’s thesis]. Khon kean: Khon kean University; 2003. (in Thai). 17. Rovinelli RJ, Hambleton RK. On the use of content specialists in the assessment of criterion- Referenced test item validity. Dutch journal of education research. 1977;2:49-60. 18. DeVellis RF. Scale Development: theory and applications. California: SAGE Publications; 2012. 19. Stevens J. Applied multivariate statistics for the social sciences. 3rd ed. Mahwah: Lawrence Erlbaum Associates; 1996. 20. Lekphet K, Wongsawat P, Tejativaddhana P, Michaeng S. Effecting factors of sexual relationship experiences among upper secondary school students. Research and development health system journal. 2015;8(1):163-74. (in Thai). 21. Rosawan A. Epidemiology of mortality and morbidity of Thai teenagers. In: Rosawan A, In-iw S, Manaboriboon B, Hongsanguansri S, Jaruratanasirikul S, editors. Textbook of adolescent medicine. Nonthaburi: Parbpim Ltd; 2016. p.119-128. (in Thai).
162 Journal of Health and Nursing Research Vol.36 No.1 January - April 2020 22. Hosiri T. Theory of psychological development. In: Sitdhiraksa N, Wannasewok K, Wannarit K, Pukrittayakamee P, Apinuntavech S, Ketuman P, editors. Siriraj Psychiatry DSM-5. 3rd ed. Bangkok: prayoonsanthai printing; 2016. p. 67-75. (in Thai). 23. Pimsawat Y, Sanpanawat N, Wonglao P. Factors related to a risky behavior of sexual relations among the high school female students in Mukdahan province. Journal of public health, Ubon ratchathani rajabhat University. 2014;3(2):100-18. (in Thai). 24. Ketuman P. Sexual development and sexual problems in children and adolescent. In: Piyasil V, Ketuman P, editors. Textbook of child and adolescent psychiatry Volume 2. Bangkok: Thanapress; 2007. p. 227-236. (in Thai). 25. Thammaraksa P, Powwattana A. Whether or not multiple risk behaviors in thai adolescents is preventable?. Journal of boromarajonani college of nursing, Bangkok. 2018;34(2):173-88. (in Thai). 26. Ketuman P. Theory of psychological development. In: Sitdhiraksa N, Wannasewok K, Wannarit K, Pukrittayakamee P, Apinuntavech S, Ketuman P, editors. Siriraj Psychiatry DSM-5. 3rd ed. Bangkok: prayoonsanthai printing; 2016. p. 327-332. (in Thai). 27. Sawangtook S, Thano P. The study of the awareness of sexual risk behaviors and sexual risk behaviors of adolescent students. Kuakarun journal of nursing. 2015;22(2):41-56. (in Thai). 28. Thammaraksa P, Powwattana A. Whether or not multiple risk behaviors in Thai adolescents is preventable?. Journal of boromarajonani college of nursing, Bangkok. 2018;34(2):173-88. (in Thai). 29. Gwon SH, Lee CY. Factors that influence sexual intercourse among middle school students: Using data from the 8th (2012) Korea youth risk behavior web-based survey. J Korean acard nurs. 2014;45(1):76-83. (in Thai). 30. Jongrachen P. The type of love of Srinakharinwirot University’s students. The journal of faculty of applied arts. 2016;9(2):29-37. (in Thai). 31. Chaikoolvatana C, Praditsathaporn C, Kamkhieo W. Predictors of sexual risk behaviors among aldolescents in Phayao province. Journal of nursing and education. 2013;6:104-115. (in Thai). 32. Phumpuang K. Creating learning activities with connectivism through social media. Liberal arts review. 2015;10(19):1-13. (in Thai). 33. Nuwong P. Factors affecting sexual behavior of adolescents in dormitory at Phitsanulok Province [Internet]. Regional health promotion center 2, Department of health, Ministry of public health; 2015 [cited 2019 Jun 12]. Available from: http://hpc2.anamai.moph.go.th/research/index. php/2558/107-2015-08-27-09-23-52. (in Thai). 34. Pramathphol K. Sexuality education. Nonthaburi: Aimphan press; 2013. (in Thai). 35. Sittipiyasakul V, Nuwong P, Lucksitanon R, Uamasan B. A survey on sexual experiences, Opnions and sexual risk behaviors among teenage students in Thailand. Journal of health science. 2013; 22(6):979-987. (in Thai).
วารสารวิจยั สขุ ภาพและการพยาบาล ปที ่ี 36 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 163 36. Powwattana A, Kalampakorn S, Lagampan S, Rawiworrakul T. Health promotion and disease prevention in community: an application of concepts and theories to practice (Revised edition). Chachoengsao: MN Compute offset; 2018. (in Thai). 37. Thato S. Premarital sexual behavior among thai adolescents. Journal of nursing science Naresuan University. 2007;1(2):19-30. (in Thai). 38. Hengchamras Y, Cherngchalat K, Phirom C, Jankun S, Lertprasertsiri P, Yamupon L. Sexual risk behaviors surveillance of the students in Samut sakhon. Academic journal institute of physical education. 2013;5(3):1-16. (in Thai). 39. Prachanno W, Srisuriyawet R, Homsin P. Factors influencing sexual behaviors among primary School students based on the Information-Motivation-Behavioral skill model. Journal of nursing science Chulalongkorn University. 2017;29(2):39-51. (in Thai). 40. Homsin P. Concepts and theories for practice: Smoking and alcohol drinking prevention among adolescents. Chonburi: Chonburi printing; 2015. (in Thai). 41. Pichainarong N, Chaveepojnkamjorn W. Alcohol use and sexual-risk behaviors among female youths: a cross-sectional survey in central Thailand. J Sci Technol MSU. 2015:34(2);171-9. (in Thai).
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: