3 เร่ืองท่ี 1 การกาเนดิ ของไฟฟา้ ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคาว่า “ไฟฟ้า” ไว้ว่า “พลังงานรูปหนึ่งซึ่ง เก่ียวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนหรือโปรตอนหรืออนุภาคอื่นที่มี สมบัติแสดงอานาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ที่ก่อให้เกิดพลังงานอ่ืน เช่น ความร้อน แสงสว่าง การเคลื่อนที่ ”เป็นต้น โดยการกาเนิดพลังงานไฟฟ้าท่สี าคัญ ๆ มี 5 วิธี ดังนี้ 1. ไฟฟ้าทเ่ี กดิ จากการเสียดสีของวัตถุ เป็นไฟฟ้าที่เกิดข้ึนจากการนาวัตถุต่างกัน 2 ชนิด มาขัดสีกัน เช่น จากแท่งยางกับผ้าขนสัตว์ แท่งแก้วกับผ้าแพร แผ่นพลาสติกกับผ้า และหวีกับผม เป็นต้น ผลของการขดั สีดังกล่าวทาใหเ้ กดิ ความไม่สมดลุ ขนึ้ ของประจุไฟฟ้าในวตั ถุทั้งสอง เนื่องจาก เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า วัตถุท้ังสองจะแสดงศักย์ไฟฟ้าออกมาต่างกัน วัตถุชนิดหนึ่งแสดง ศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา ซึ่งเรียกว่า “ไฟฟ้าสถติ ” ดงั ภาพ แท่งยาง ภาพอปุ กรณ์ไฟฟ้าทเี่ กิดจากการเสียดสขี องวตั ถุ 2. ไฟฟ้าท่ีเกิดจากการทาปฏิกิริยาทางเคมี เป็นไฟฟ้าที่เกิดจากการนาโลหะ 2 ชนิด ท่แี ตกตา่ งกัน โลหะท้งั สองจะทาปฏิกิริยาเคมีกับสารละลายอิเล็กโทรไลท์ ซึ่งปฏิกิริยาทางเคมีแบบนี้ เรียกว่า “โวลตาอิกเซลล์” เช่น สังกะสีกับทองแดงจุ่มลงในสารละลายอิเล็กโทรไลท์ จะ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมที าใหเ้ กดิ ไฟฟ้าดังตัวอย่างในแบตเตอรี่ และถา่ นอัลคาไลน์ (ถ่านไฟฉาย) เป็นต้น
4 แบตเตอรี่ ถ่านอลั คาไลน์ 1.5 โวลต์ ถ่านอลั คาไลน์ 9 โวลต์ ภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าทเ่ี กดิ จากการทาปฏิกริ ยิ าทางเคมี 3. ไฟฟ้าท่ีเกิดจากความร้อน เป็นไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึนจากการนาแท่งโลหะหรือแผ่นโลหะต่าง ชนิดกัน 2 แท่ง โดยนาปลายด้านหนึ่งของโลหะท้ังสองต่อติดกันด้วยการเชื่อมหรือยึดด้วยหมุด ปลายทเี่ หลอื อกี ด้านนาไปต่อกับมิเตอร์วัดแรงดัน เมื่อให้ความร้อนท่ีปลายด้านต่อติดกันของโลหะทั้ง สอง ส่งผลให้เกิดการแยกตัวของประจุไฟฟ้าเกิดศักย์ไฟฟ้าขึ้นท่ีปลายด้านเปิดของโลหะ แสดงค่า ออกมาทมี่ เิ ตอร์ ภาพการตอ่ อปุ กรณ์ให้เกดิ ไฟฟ้าจากความรอ้ น 4. ไฟฟ้าท่ีเกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสามารถสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่ทาหน้าที่เปล่ียนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้า หลายชนิดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ เช่น นาฬิกาข้อมือ เคร่ืองคิดเลข เป็นต้น แต่ค่าใช้จ่ายในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ค่อนขา้ งสูง
5 ภาพเซลล์แสงอาทิตยท์ ีใ่ ชใ้ นการผลิตไฟฟ้าของเขอ่ื นสิรินธร จังหวดั อบุ ลราชธานี 5. ไฟฟ้าท่ีเกิดจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ีได้มาจากพลังงานแม่เหล็ก โดยวธิ ีการใช้ลวดตัวนาไฟฟ้าตัดผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการนาสนามแม่เหล็กวิ่งตัดผ่านลวดตัวนา อย่างใดอย่างหน่ึง ทั้งสองวิธีนี้จะทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในลวดตัวนาน้ัน กระแสที่ผลิตได้มีทั้ง กระแสตรงและกระแสสลับ ภาพ อปุ กรณ์กาเนดิ ไฟฟ้าจากพลงั งานแมเ่ หล็กไฟฟา้ นอกจากน้ี ไฟฟ้ายงั มกี าเนดิ จากวธิ อี นื่ ๆ อีก เชน่ ไฟฟ้าจากแรงกดอัด โดยอาศัยผลึกของ สารบางชนิด ท่ีมีคุณสมบัติทาให้เกิดไฟฟ้าได้เมื่อได้รับแรงกดอัด กระแสไฟฟ้าจะมากหรือน้อย ขึ้นกับแรงท่ีกด กระแสไฟฟ้าท่ีได้จะมีกาลังต่า จึงนามาใช้ได้กับอุปกรณ์บางประเภท เช่น ไมโครโฟน หัวเข็มแผน่ เสยี ง เปน็ ตน้ กจิ กรรมทา้ ยเรื่องที่ 1 การกาเนิดของไฟฟา้ (ให้ผเู้ รยี นไปทากิจกรรมเรอ่ื งท่ี 1 ท่ีสมุดบันทกึ กิจกรรมการเรียนรู้)
6 เร่ืองท่ี 2 สถานการณพ์ ลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย ประเทศในกลุ่มอาเซียน และโลก ปัจจุบันการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกเพิ่มสูงขึ้น อยา่ งต่อเนื่อง โดยเชอ้ื เพลงิ หลักทีน่ ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้า คือ เช้ือเพลิงฟอสซิล เร่ิมลดลงเร่ือย ๆ ดังนั้นหากผู้ใช้พลังงานไฟฟ้ายังไม่ตระหนักถึงสาเหตุดังกล่าว จนอาจส่งผลกระทบต่อการผลิต ไฟฟา้ ในอนาคตอันใกล้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งเข้าใจถึงสถานการณ์พลังงานไฟฟ้า และแนวโน้มการใช้ไฟฟ้า ในอนาคต ในเรื่องที่ 2 ประกอบดว้ ย 3 ตอน คอื ตอนท่ี 1 สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย ตอนที่ 2 สถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศในกล่มุ อาเซียน ตอนที่ 3 สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของโลก ตอนท่ี 1 สถานการณ์พลงั งานไฟฟา้ ของประเทศไทย พลังงานไฟฟา้ เปน็ ปัจจยั ท่ีสาคัญในการดาเนินชวี ิตและการพัฒนาประเทศ ที่ผ่านมาความ ต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยเพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 4 - 5 ต่อปี ซ่ึงสอดคล้อง กับจานวนประชากรท่ีเพ่ิมขึ้นและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าได้เข้ามามี บทบาทต่อการดารงชีวิตประจาวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมท้ังเป็นปัจจัยสาคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าเป็นอันดับท่ี 24 ของโลก ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าพลังงานไฟฟ้าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตหรือไม่ ดังน้นั ความมน่ั คงทางพลังงานไฟฟา้ จงึ มีประเดน็ สาคญั ทปี่ ระชาชนทกุ คนควรรู้ ดงั นี้ 1. สัดสว่ นการผลิตไฟฟ้าจากเช้ือเพลงิ ประเภทตา่ ง ๆ ของประเทศไทย การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมีการใช้เช้ือเพลิงท่ีหลากหลาย ซ่ึงได้มาจากแหล่ง เช้ือเพลิงท้ังภายในและภายนอกประเทศ จากข้อมูลปี พ.ศ. 2558 พบว่า ประเทศไทยมีการผลิต ไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 69.19 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด รองลงมา คือ ถ่านหินนาเข้าและถ่านหินในประเทศ (ลิกไนต์) ร้อยละ 18.96 พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 11.02 น้ามนั เตาและน้ามนั ดเี ซล ร้อยละ 0.75 และมีการนาเขา้ ไฟฟ้าจากมาเลเซีย รอ้ ยละ 0.07
7 ท่ีมา : การไฟฟา้ ฝ่ายผลติ แห่งประเทศไทย, ธันวาคม 2558 แผนภูมิสดั ส่วนเชอ้ื เพลิงที่ใช้ในการผลติ ไฟฟ้าของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2558 แม้ว่าในปัจจุบันการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศไทยจะเพียงพอและสามารถรองรับ ความต้องการได้ แต่ในอนาคตยังคงมีความเส่ียงต่อความม่ันคงทางพลังงานไฟฟ้าค่อนข้างสูง เน่ืองจากประเทศไทยมีการพ่ึงพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป โดยก๊าซธรรมชาติที่ นามาใชผ้ ลิตไฟฟา้ ของประเทศไทยมาจาก 2 แหล่งหลัก ๆ คือ แหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย ประมาณร้อยละ 60 ซ่ึงจากการคาดการณ์ปริมาณก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วในอ่าวไทย ข้อมูล ณ ปี พ.ศ. 2557 มีเหลือใช้อีกเพียง 5.7 ปี เท่าน้ัน ส่วนที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 40 นาเข้ามา จากเมยี นมาร์ โดยมาจากแหลง่ ยาดานาและเยตากนุ จากการท่ปี ระเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินไปจึงทาให้ เกิดปัญหาอย่างต่อเน่ืองทุกปี เม่ือแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติมีปัญหาหรือต้องหยุดการผลิตเพื่อการ ซอ่ มบารงุ หรือในกรณขี องทอ่ ส่งก๊าซธรรมชาตเิ กิดความเสียหาย ทาให้ไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติ ได้ ส่งผลให้กาลังการผลิตไฟฟ้าส่วนหนึ่งหายไป เช่น ในช่วงระหว่างวันท่ี 5 - 14 เมษายน พ.ศ. 2556 เมียนมาร์ได้หยุดทาการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา เพื่อบารุงรักษาตามวาระ ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เน่ืองจากโรงไฟฟ้าท่ีใช้ ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวของเมียนมาร์ เช่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย เป็นต้น ต้องหยุดการผลิตไฟฟ้า ทาให้กาลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยหายไป ร้อยละ 25 ของกาลังการผลิตไฟฟ้าในแต่ละวัน ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความ
8 ต้องการไฟฟ้าสูงสุดท่ีได้คาดการณ์ไว้ ทาให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องจัดทา มาตรการรับมือไว้หลายด้าน เช่น การประสานงานขอซ้ือไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน การนา น้ามันมาใช้เป็นเช้ือเพลิงสาหรับโรงไฟฟ้าท้ังหมดท่ีสามารถเดินเครื่องด้วยน้ามันได้ เป็นต้น ซ่ึงใน กรณีท่ีนาน้ามันมาใช้เป็นเชื้อเพลิงอาจทาให้ราคาค่าไฟสูงข้ึน เพราะต้นทุนค่าเช้ือเพลิงท่ีนามาใช้มี ราคาสูง นอกจากนยี้ งั ได้มกี ารประชาสัมพนั ธร์ ณรงคใ์ หป้ ระชาชนประหยัดพลังงาน เพ่ือให้สามารถ ผ่านพ้นช่วงวกิ ฤตไปได้ ดังนนั้ การสร้างความมั่นคงทางพลงั งานไฟฟ้า ประเทศไทยจึงควรพิจารณาการเลือกใช้ เช้อื เพลงิ ในการผลิตไฟฟา้ โดยคานึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ 1) ต้องมปี รมิ าณเช้อื เพลิงสารองเพียงพอและแน่นอนเพื่อความมั่นคงในการจดั หา 2) ต้องมีการกระจายชนิดและแหล่งท่ีมาของเชื้อเพลิง เช่น การใช้ถ่านหิน หรือ พลงั งานทางเลอื กใหม้ ากข้นึ เป็นตน้ 3) ต้องเป็นเชื้อเพลิงทม่ี ีราคาเหมาะสมและมีเสถยี รภาพ 4) ต้องเป็นเช้ือเพลิงท่ีเม่ือนามาผลิตไฟฟ้าแล้ว สามารถควบคุมมลพิษให้อยู่ใน ระดับมาตรฐานคุณภาพทีส่ ะอาดและยอมรับได้ 5) ต้องใช้ทรัพยากรพลังงานภายในประเทศที่มอี ย่อู ยา่ งจากัดให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด 2. การใชไ้ ฟฟ้าในแตล่ ะช่วงเวลาในหนึ่งวนั ของประเทศไทย การเลือกใช้เช้ือเพลิงมาผลิตไฟฟ้า นอกจากการพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าว มาแล้วน้ัน อีกปัจจัยสาคัญท่ีต้องนามาพิจารณาด้วย คือ ประเภทของโรงไฟฟ้าท่ีต้องการในระบบ ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา เพ่ือความมีประสิทธิภาพของระบบและ ต้นทุนค่าไฟฟ้าท่ีเหมาะสม เพราะโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทมีความเหมาะสมในการผลิตไฟฟ้าใน แตล่ ะช่วงเวลาท่ีต่างกัน และโรงไฟฟ้าแตล่ ะประเภทก็มีการใช้เชือ้ เพลงิ ที่แตกต่างกนั ดว้ ย ดังภาพ
โรงไฟฟา้ ฐาน 9 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ความต้องการไฟฟา้ สูงสุด เดินเครื่องตลอด 24 ชวั่ โมง ราคาถูก พลงั น้า นา้ มนั ความตอ้ งการไฟฟ้าปานกลาง ก๊าซธรรมชาติ พลงั งานทดแทน ความต้องการไฟฟา้ พ้ืนฐาน (โรงไฟฟา้ ฐาน) ก๊าซธรรมชาติ ลกิ ไนต์ ภาพการใช้ไฟฟ้าแต่ละชว่ งเวลาในหนงึ่ วนั กล่าวคือ การใช้ไฟฟ้าแต่ละช่วงเวลาในหน่ึงวันของประเทศไทย มีปริมาณความ ต้องการใช้ไฟฟ้าไม่สม่าเสมอ โดยความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจะเกิด 3 ช่วงเวลา คือ เวลา 10.00 – 11.00 น. เวลา 14.00 –15.00 น. และเวลา 19.00 –20.00 น. และความต้องการ ใชไ้ ฟฟ้าในแตล่ ะวันจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดงั น้ี ระดับ 1 ความต้องการไฟฟ้าพื้นฐาน (Base Load) เป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าต่าสุด ของแต่ละวัน ซึ่งในแต่ละวันจะต้องผลิตไฟฟ้าไม่ต่ากว่าความต้องการในระดับน้ี โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าตามความต้องการไฟฟ้าพื้นฐานจะเรียกว่า “โรงไฟฟ้าฐาน” ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่และต้องเดินเครื่องอยู่ตลอดเวลา จึงควรเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เช้ือเพลิงราคาถูกเป็นลาดับแรก ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนท่ีใช้ถ่านหินเป็นเช้ือเพลิง โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ กา๊ ซธรรมชาตเิ ป็นเช้ือเพลงิ และโรงไฟฟ้าพลงั งานนวิ เคลียร์ ระดับ 2 ความต้องการไฟฟ้าปานกลาง (Intermediate Load) เป็นความต้องการใช้ ไฟฟา้ มากขึ้นกว่าความต้องการพื้นฐานแต่ก็ยังไม่มากถึงระดับสูงสุด โรงไฟฟ้าท่ีผลิตพลังงานไฟฟ้า ช่วงท่ีมีความต้องการไฟฟ้าปานกลางควรเดินเคร่ืองโรงไฟฟ้าตลอดเวลาเหมือนกับโรงไฟฟ้าชนิด แรก แต่สามารถเพ่ิมหรือลดกาลังการผลิตได้ โดยการป้อนเช้ือเพลิงมากหรือน้อยข้ึนกับความ ตอ้ งการ เชน่ โรงไฟฟ้าพลงั ความรอ้ นรว่ มทใี่ ชก้ า๊ ซธรรมชาตเิ ปน็ เช้อื เพลงิ พลังงานทดแทน เปน็ ตน้ ระดับ 3 ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak Load) เป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าบาง ช่วงเวลาเท่าน้ัน สาหรับโรงไฟฟ้าท่ีผลิตไฟฟ้าในช่วงท่ีมีความต้องการนี้จะทาการเดินเคร่ืองผลิต
10 ไฟฟ้าในช่วงเวลาท่ีมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเท่าน้ัน และเป็นโรงไฟฟ้าท่ีเดินเครื่องแล้วสามารถ ผลิตไฟฟา้ ได้ทนั ที เช่น โรงไฟฟ้ากงั หันก๊าซทใี่ ชน้ ้ามันดีเซลเป็นเช้ือเพลิง โรงไฟฟ้าพลังน้า โรงไฟฟ้า พลงั น้าแบบสบู กลับ เปน็ ต้น 3. สภาพปจั จบุ นั และแนวโนม้ การใชพ้ ลังงานไฟฟา้ กาลังการผลติ ไฟฟา้ ของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2558 มจี านวนรวมท้ังสิ้น 38,774 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกาลังการผลิตภายในประเทศ 35,387 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 91.26 และกาลังผลิตที่มี สัญญาซ้ือไฟฟ้าจากต่างประเทศอีก 3,387 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 8.74 โดยมีความต้องการ ไฟฟา้ สูงสดุ ท่ี 27,346 เมกะวตั ต์ ซง่ึ ความต้องการไฟฟ้ามแี นวโน้มเพ่ิมขึ้นทุกปีตามสภาพภูมิอากาศ จานวนประชากรทีเ่ พ่ิมสงู ขนึ้ และการขยายตัวทางเศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรม
11 ภาพการใช้พลงั งานไฟฟา้ ของประเทศไทย จากภาพ จะเห็นได้ว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2558 มีการใช้พลังงานไฟฟ้า 183,288 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจาก ปี พ.ศ. 2557 ร้อยละ 3.2 เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าเกือบทุกประเภทมีการใช้ไฟฟ้าตามภาวะ เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีข้ึน โดยภาคอุตสาหกรรม มีการใช้ไฟฟ้ามากท่ีสุด ถึงร้อยละ 45 รองลงมา คือ ภาคครัวเรือน ร้อยละ 22 ภาคธุรกิจ ร้อยละ 19 ภาคกิจการขนาดเล็ก ร้อยละ 11 และ อ่ืน ๆ ร้อยละ 3 จากการประมาณการภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าในปี พ.ศ. 2559 เศรษฐกิจจะขยายตัว ร้อยละ 3.7 สานักงานนโยบายและแผนพลังงานจึงประมาณความต้องการพลังงานไฟฟ้าของ ประเทศภายใตส้ มมติฐานดังกลา่ ว ซ่ึงไดม้ ีการคาดการณ์วา่ ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี พ.ศ. 2559 อยู่ที่ 28,470 เมกะวัตต์ หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 4.1 และจากการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของ ประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า พบว่า ประเทศไทยจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2579 ความต้องการพลังงานไฟฟ้ารวมสุทธิ 326,119 ล้านหน่วย และมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดสุทธิ 49,655 เมกะวัตต์
12 4. แผนพฒั นากาลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan : PDP) แผนพัฒนากาลังการผลิตไฟฟ้า คือ แผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ว่าด้วย การจดั หาพลงั งานไฟฟา้ ในระยะยาว 15 – 20 ปี เพื่อสร้างความมั่นคงและความเพียงพอต่อความ ต้องการใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ ปัจจุบันใช้แผนพัฒนากาลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2558 - 2579 (PDP 2015) ซงึ่ เปน็ แผนฉบับล่าสดุ และเปน็ แผนที่สอดคล้องกบั แผนอนุรักษพ์ ลังงาน ที่มีเป้าหมายเพื่อประหยัด และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ซ่ึง การจัดทาแผน PDP ต้องจัดทาค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศ เพ่ือนาค่าพยากรณ์ ความตอ้ งการไฟฟ้าจดั ทาแผนการกอ่ สร้างโรงไฟฟ้าใหเ้ พยี งพอในอนาคตตอ่ ไป การจดั ทาคา่ พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศนั้น ใช้ค่าประมาณการแนวโน้ม การขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว อัตราการเพ่ิมของประชากร และมีการประยุกต์ใช้แผนการ อนุรกั ษ์พลังงาน รวมทง้ั พจิ ารณากรอบของแผนพัฒนาและพลังงานทางเลือกด้วย สาหรับกรอบใน การจดั ทาแผนพัฒนากาลังการผลติ ไฟฟ้าประเทศไทย มีดงั นี้ 1) ด้านความมั่นคงทางพลังงาน (Security) ต้องจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความ ต้องการใช้ไฟฟ้าและใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย รวมท้ังมีความเหมาะสมเพ่ือลดความเสี่ยงจากการ พงึ่ พาเช้อื เพลงิ ชนิดใดชนดิ หนง่ึ มากเกินไป 2) ด้านเศรษฐกิจ (Economy) ต้องคานึงถึงต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสมและ คานึงถึงการใช้ไฟฟา้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพในภาคเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ 3) ด้านส่ิงแวดล้อม (Ecology) ต้องลดผลกระทบที่เกิดข้ึนกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเฉพาะเปา้ หมายในการปลดปลอ่ ยกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ตอ่ หนว่ ยการผลติ ไฟฟ้า
13 • • • • ภาพปัจจัยทตี่ ้องคานงึ ถึงในการจดั ทาแผนพัฒนากาลังการผลติ ไฟฟา้ ของประเทศ (PDP) จากกรอบแผนพัฒนากาลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ท่ีใช้เป็นแนวทางในการจัดทา แผนพัฒนากาลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2558 - 2579 (PDP 2015) ซึ่งได้วางแผน กาลังการผลิตไฟฟ้าในอีก 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2579) เพื่อให้กาลังการผลิตไฟฟ้าเพียงพอต่อ ความต้องการในปี พ.ศ. 2579 จะต้องมีกาลังการผลิตเพิ่มข้ึนจาก 37,612 เมกะวัตต์ เปน็ 70,335 เมกะวตั ต์ โดยมีการกระจายสดั สว่ นการใชเ้ ชอื้ เพลิงในการผลิตพลงั งานไฟฟา้ ตารางสดั สว่ นการใชเ้ ชอื้ เพลงิ ตามแผนพฒั นากาลงั การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2558 – 2579 ดเี ซล / นา้ มันเตา ท่ีมา : สานกั งานนโยบายและแผนพลงั งาน
14 ตอนท่ี 2 สถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศในกลมุ่ อาเซียน อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nation : ASEAN) เป็นองค์กรท่ีก่อต้ังข้ึนเพ่ือสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ อันนามาซึ่งเสถียรภาพทางการเมืองและความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวกันและเป็นฐานการผลิตร่วมที่มี ศกั ยภาพในการแขง่ ขันทางการค้ากบั ภมู ิภาคอ่ืน ๆ ของโลก ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 10 ประเทศ แบ่งออกเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และประเทศไทย ประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และ เวียดนาม อาเซียนถือเป็นภูมิภาคท่ีมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีรวดเร็ว ทาให้ความ ต้องการพลังงานไฟฟา้ เพม่ิ สูงขนึ้ อย่างต่อเนื่อง ดังนนั้ เพือ่ เปน็ การเตรียมพร้อมรบั มือกับสถานการณ์ พลังงานไฟฟ้าท่ีกาลงั จะเกิดขนึ้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจถึงสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของ ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เพื่อจะได้เลือกใช้ทรัพยากรพลังงานได้อย่างเหมาะสมและสามารถ สารองพลงั งานใหเ้ พียงพอกับความตอ้ งการใช้ในอนาคต อาเซียน เป็นภูมิภาคที่มีทรัพยากรพลังงานมากและมีความหลากหลาย โดยกระจายอยู่ ในประเทศต่าง ๆ ทั้งน้ามัน ก๊าซธรรมชาติ พลังน้า และถ่านหิน โดยทางตอนเหนือของภูมิภาค ได้แก่ ประเทศเมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม มีแหล่งน้ามากที่มีศักยภาพในการนาน้ามาใช้ผลิต ไฟฟ้า ส่วนตอนกลางและตอนใต้ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย ไทย กัมพูชา บรูไน และอินโดนีเซีย มี แหลง่ ก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีแหลง่ ถ่านหนิ ในประเทศไทย มาเลเซยี และอนิ โดนีเซยี ดว้ ย สัดส่วนการผลิตไฟฟา้ จากเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ ของประเทศในกลมุ่ อาเซียน จากความหลากหลายของทรัพยากรพลังงานที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศในกลุ่ม ประเทศอาเซียน จึงทาให้แต่ละประเทศมีนโยบายและเป้าหมายทางด้านพลังงานไฟฟ้าท่ีแตกต่าง กัน โดยสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในกลุ่มอาเซียนจะแตกต่างกันขึ้นกับ ทรัพยากรพลังงานของประเทศน้ัน ๆ โดยประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีการผลิตไฟฟ้าจาก ก๊าซธรรมชาติมากท่ีสุด รองลงมา คือ ถ่านหิน พลังน้า น้ามัน และพลังงานทดแทน ตามลาดับ สาหรับสัดสว่ นการใชเ้ ชอื้ เพลงิ ผลติ ไฟฟา้ ของแตล่ ะประเทศในกลมุ่ อาเซยี น ปี พ.ศ. 2557 ดังภาพ
15 ทมี่ า : The World Bank-World Development Indicators ภาพสัดส่วนการใชเ้ ชื้อเพลิงในการผลติ ไฟฟา้ ของประเทศในกลุ่มอาเซียน ปี พ.ศ. 2557 1) เมียนมาร์ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร)์ เมียนมาร์ เป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ท่ีสาคัญ คือ ก๊าซธรรมชาติ และน้ามัน นอกจากน้ียังมีแหล่งน้าที่มีศักยภาพในการนาน้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าอีกด้วย ดังน้ันสัดส่วน เชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของเมียนมาร์จึงมาจากพลังน้าและก๊าซธรรมชาติ โดย ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิตไฟฟ้าท้ังสิ้น 8,910 ล้านหน่วย ส่วนใหญ่มาจากพลังน้า ร้อยละ 71.2 รองลงมา คือ ก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 22.3 ถ่านหิน ร้อยละ 6.3 และอนื่ ๆ ร้อยละ 0.2 2) กัมพูชา (ราชอาณาจกั รกมั พชู า) กัมพูชา มีแหล่งเช้ือเพลิงท่ีสาคัญ คือ พลังงานชีวมวล แต่เนื่องจากพลังงานดังกล่าว ไม่เหมาะสมที่จะนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิตไฟฟ้า ท้ังสิ้น 1,220 ล้านหน่วย ส่วนใหญ่ผลิตจากน้ามัน ร้อยละ 48.4 และพลังน้า ร้อยละ 34.4 รองลงมา คือ พลังงานความร้อนใต้พภิ พ รอ้ ยละ 13.1 ถา่ นหิน รอ้ ยละ 2.5 และอ่ืน ๆ ร้อยละ 1.6 3) เวยี ดนาม (สาธารณรฐั สังคมนิยมเวยี ดนาม) เวียดนาม มแี หลง่ พลังงานทสี่ าคัญ คือ น้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน นอกจากน้ี ยังมีแหล่งน้าที่มีศักยภาพในการนาน้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าด้วย ดังน้ันสัดส่วนเชื้อเพลิงหลักในการผลิต
16 ไฟฟ้าของเวียดนามจึงมาจากพลังน้า ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน โดยในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิต ไฟฟ้าทั้งสิ้น 140,670 ล้านหน่วย ส่วนใหญ่ผลิตจากพลังน้า ร้อยละ 38.5 และก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 35.4 รองลงมา คือ ถ่านหิน ร้อยละ 20.9 น้ามัน ร้อยละ 5.1 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.1 เวียดนามเป็นประเทศท่ีจาเป็นต้องเพิ่มกาลังการผลิตไฟฟ้าในปริมาณมาก เพ่ือรองรับการเติบโต ทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการเพ่ิมกาลังการผลิตจากถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์ ทั้งน้ีเวียดนามมี แผนสรา้ งโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลียร์เป็นแห่งแรกในอาเซียน พร้อมท้ังมีแผนจะพัฒนาทุ่งกังหันลม (Wind farm) นอกชายฝัง่ แหง่ แรกในเอเชียดว้ ย 4) ลาว (สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว) ลาวมสี ภาพภูมิประเทศท่ีมแี มน่ า้ หลายสายไหลผ่าน จึงทาให้ลาวอุดมไปด้วยพลังงาน จากน้า ดังนั้นสัดส่วนเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศลาวจึงมาจากพลังน้า โดยในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิตไฟฟ้าทั้งส้ิน 10,130 ล้านหน่วย โดยการผลิตเกือบท้ังหมดมาจากพลังน้าถึง รอ้ ยละ 90.7 รองลงมา คอื ถา่ นหิน ร้อยละ 6.2 และน้ามนั ร้อยละ 3.1 5) มาเลเซยี (สหพนั ธรฐั มาเลเซยี ) มาเลเซีย มีแหลง่ พลังงานที่สาคญั คือ ก๊าซธรรมชาติ โดยในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิต ไฟฟ้าท้ังส้ิน 122,460 ล้านหน่วย ถือเป็นประเทศที่มีกาลังการผลิตไฟฟ้าเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม ประเทศอาเซยี น โดยเป็นการผลิตจากก๊าซธรรมชาติมากที่สุด ร้อยละ 43.2 รองลงมา คือ ถ่านหิน ร้อยละ 39.2 น้ามัน ร้อยละ 9.0 พลังน้า ร้อยละ 6.8 และอ่ืน ๆ ร้อยละ 1.9 อย่างไรก็ตาม มาเลเซียกาลังเผชิญกับภาวะปริมาณสารองก๊าซธรรมชาติค่อย ๆ ลดลง จึงมีแผนลดสัดส่วนการ ผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติลง โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหิน ซึ่งต้องมีการนาเข้าถ่านหินและ พยายามกระจายแหล่งนาเข้าถ่านหินจากหลาย ๆ ประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนกระจายแหล่ง เช้ือเพลิงให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งมีการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน และมีแผนพัฒนาโรงไฟฟ้า พลงั งานนวิ เคลยี ร์ 6) อินโดนเี ซยี (สาธารณรัฐอินโดนเี ซีย) อินโดนีเซยี เป็นประเทศท่ีมีแหล่งเช้ือเพลิงจานวนมาก ท้ังก๊าซธรรมชาติ น้ามัน และ ถ่านหิน เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะและมีภูเขาไฟ จึงทาให้มีทรัพยากรดังกล่าว มากกว่าประเทศอ่ืนในกลุ่มประเทศอาเซียน สาหรับการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิต ไฟฟ้าท้ังสิ้น 194,160 ล้านหน่วย ถือเป็นประเทศที่มีกาลังการผลิตไฟฟ้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม
17 ประเทศอาเซยี น โดยเปน็ การผลิตจากถ่านหินมากที่สุด ร้อยละ 49.2 รองลงมา คือ น้ามัน ร้อยละ 22.5 กา๊ ซธรรมชาติ ร้อยละ 19.8 พลังน้า ร้อยละ 7.0 พลังงานความร้อนใต้พิภพ ร้อยละ1.4 และ อน่ื ๆ ร้อยละ 0.1 อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ต้องเพ่ิมกาลังการผลิตไฟฟ้าตามความต้องการท่ีมากข้ึน เพ่ือสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีแผนการกระจายเช้ือเพลิงและลดการใช้น้ามัน การท่ีเป็น ประเทศที่มีแหล่งเชื้อเพลิงมาก จึงมุ่งเน้นการใช้เชื้อเพลิงในประเทศก่อน แต่เนื่องจากปริมาณ ก๊าซธรรมชาติก็เริ่มลดลง จึงมีแผนท่ีจะลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติลง โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงาน หมนุ เวยี น ซงึ่ เน้นพลังนา้ และพลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ เน่ืองจากมศี กั ยภาพมากพอ 7) ฟิลิปปินส์ (สาธารณรัฐฟิลปิ ปนิ ส์) ฟิลิปปินส์ มีแหล่งพลังงานท่ีสาคัญ คือ ก๊าซธรรมชาติ สาหรับการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลติ ไฟฟ้าท้ังส้ิน 62,480 ล้านหน่วย โดยส่วนใหญ่ผลิตจากถ่านหิน ร้อยละ 48.3 เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ากว่า รองลงมา คือ ก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 28.9 พลังน้า ร้อยละ 13.8 น้ามัน ร้อยละ 8.6 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.4 ฟิลิปปินส์มีแผนเพ่ิมกาลังการผลิตไฟฟ้า โดยมุ่ง สารวจหาแหล่งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในประเทศมาใช้เพิ่มเติม แต่ขณะเดียวกันก็มีแผน กระจายสัดส่วนการใช้เช้ือเพลิง โดยการเพ่ิมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน ซ่ึงจะเน้น พลงั นา้ และพลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ 8) บรไู น (เนการาบรไู นดารุสซาลาม) บรไู น มีแหล่งพลังงานหลัก คือ ก๊าซธรรมชาติและน้ามัน สาหรับการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลิตไฟฟ้าท้ังส้ิน 3,490 ล้านหน่วย โดยการผลิตเกือบทั้งหมดมาจาก กา๊ ซธรรมชาติ ร้อยละ 99.1 และน้ามนั ร้อยละ 0.9 9) สงิ คโปร์ (สาธารณรัฐสงิ คโปร์) สงิ คโปร์ เป็นประเทศที่เป็นตลาดการซ้ือขายน้ามันแหล่งใหญ่แห่งหน่ึงในอาเซียน จึง มีการใช้พลังงานหลักจากน้ามันและก๊าซธรรมชาติ สาหรับการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการ ผลิตไฟฟ้าท้ังส้ิน 47,210 ล้านหน่วย โดยส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 48.3 รองลงมา คือ น้ามนั ร้อยละ 22.1 และอืน่ ๆ รอ้ ยละ 2.5 ในอดีตสิงคโปร์ตอ้ งนาเข้าก๊าซธรรมชาติจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยส่งผ่านทาง ท่อส่งก๊าซเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 สิงคโปร์ได้สร้างสถานี รับ - จ่าย ก๊าซธรรมชาติเหลว
18 (Liquid Natural Gas : LNG) แล้วเสร็จ ทาให้สามารถกระจายแหล่งนาเข้าก๊าซธรรมชาติจาก หลายประเทศมากข้ึน ในอนาคตสิงคโปร์มีแผนจะรับซ้ือไฟฟ้าจากหลายประเทศ โดยใช้โครงข่าย ระบบสง่ ที่จะเช่ือมต่อกันในภูมิภาค (ASEAN Power Grid) นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์ยังลงทุนเพื่อ พฒั นาการผลิตไฟฟา้ ดว้ ยพลังงานแสงอาทิตย์ และการวิจัยเพ่ือหาความเป็นไปได้ในการใช้พลังงาน นิวเคลียร์ จะเห็นได้ว่า สิงคโปร์พยายามรักษาความมั่นคงทางพลังงาน โดยการกระจายแหล่ง นาเขา้ เช้ือเพลิง และพลงั งานไฟฟา้ จากหลายประเทศ 10) ไทย (ราชอาณาจกั รไทย) ไทย มีแหล่งพลังงานหลัก คือ ก๊าซธรรมชาติและน้ามัน สาหรับการผลิตไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2557 มีการผลติ ไฟฟ้าทงั้ สนิ้ 174,960 ล้านหนว่ ย ถือเป็นประเทศท่ีมีกาลังการผลิตไฟฟ้าเป็น อันดับ 2 ของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 70.4 รองลงมา คือ ถา่ นหนิ ร้อยละ 21.4 พลงั นา้ ร้อยละ 3.2 นา้ มนั ร้อยละ 2.3 และอน่ื ๆ รอ้ ยละ 2.7 จะเหน็ ไดว้ ่า ทุกประเทศในกลมุ่ อาเซียน ตอ้ งรบั มือกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงข้ึน และ เช้ือเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ทุกประเทศต้องพึ่งพาอยู่ แต่ขณะเดียวกันทุก ประเทศก็มีแผนในการจัดการกับความมัน่ คงทางพลังงานไฟฟ้า โดยเนน้ การกระจายแหล่งเช้ือเพลิง ให้หลากหลาย แสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนอื่น ๆ ทั้งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์ รวมถงึ แผนซอื้ ไฟฟา้ จากประเทศในภูมิภาคด้วย นอกจากนี้เพื่อเสริมสร้างความม่ันคงทางพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน กลุ่มประเทศ สมาชิกจึงได้ดาเนินโครงการผลิตและการใช้พลังงานร่วมกัน เช่น โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบ ไฟฟา้ ของอาเซยี น (ASEAN Power Grid) เป็นโครงการทีม่ วี ัตถปุ ระสงค์ ในการส่งเสริมความม่ันคง ของการจ่ายไฟฟ้าของภูมิภาค และส่งเสริมให้มีการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศ เพื่อลด ตน้ ทนุ การผลติ ไฟฟา้ ซ่ึงมีการดาเนินงานเพอ่ื เชอ่ื มโยงโครงข่ายทงั้ ส้ิน 16 โครงการ เปน็ ต้น ตอนท่ี 3 สถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของโลก ปจั จุบนั ความต้องการไฟฟ้ายงั คงเพ่ิมข้ึนทั่วโลก สอดคล้องกับจานวนประชากรท่ีเพิ่มขึ้น และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากการประเมินขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ระบุว่า การใช้พลังงานของโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เรื่อยๆ โดยแหล่งพลังงานท่ีใช้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน
19 ที่สาคัญหากโลกมีการใช้พลังงานในระดับท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันและไม่มีการค้นพบแหล่งพลังงานอ่ืน เพ่ิมเติมได้อีก คาดว่าโลกจะมีปริมาณสารองน้ามันใช้ได้อีก 52.5 ปี ก๊าซธรรมชาติ 54.1 ปี และ ถ่านหินอีกประมาณ 110 ปี เท่านน้ั ดังนั้นการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานเหล่าน้ีจาเป็นต้อง คานึงถึงความสมดุลระหว่างความต้องการใช้พลังงานกับปริมาณสารองของพลังงานท่ีมีเหลืออยู่ อีกท้ังจาเป็นต้องทาการศึกษาและพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ เพื่อทดแทนแหล่งพลังงานเก่าที่ กาลังจะหมดไป นอกจากนี้สิ่งที่ต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้พลงั งานเหลา่ นโ้ี ดยเฉพาะปญั หาด้านสิง่ แวดล้อม อัตราการเพิ่มขึ้นของกาลังผลิตไฟฟ้าในทวีปต่าง ๆ จะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เป็นผล เนื่องมาจากอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ โดยทวีปเอเชียจะมีอัตราการผลิตไฟฟ้าเพ่ิมขึ้น สูงสุด เนื่องจากประเทศในทวีปเอเชียส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กาลังพัฒนาจึงมีความต้องการใช้ ไฟฟ้าสูง และมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึนอีกในอนาคต ในขณะที่ประเทศในทวีปยุโรปซึ่งเป็นประเทศที่มี อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและประชาชนมีการดารงชีวิตท่ีสูงกว่ามาตรฐานน้ันจะมีอัตรา การใชพ้ ลังงานคอ่ นขา้ งคงที่ ในอดีตการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่อาศัยแหล่งพลังงานหลักจากน้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และ ถา่ นหนิ แต่เม่ือพิจารณาถึงแหล่งพลังงานท่ีมีอยู่อย่างจากัด และคานึงถึงผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ท่ีจะเกดิ จากการใชพ้ ลังงานเหล่าน้ีมาผลิตไฟฟ้า ทาให้ท่ัวโลกพยายามแสวงหาแหล่งพลังงานอื่น ๆ มาใช้ทดแทน เช่น พลังน้า พลังงานนิวเคลียร์ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล เป็นต้น ดังจะ เหน็ ได้จากภาพแผนภูมวิ งกลมแสดงการผลิตไฟฟา้ จากแหลง่ พลังงานต่าง ๆ ของโลก ปี พ.ศ. 2557 ทม่ี า: The World Bank-World Development Indicators
20 ภาพแผนภูมแิ สดงการผลติ ไฟฟา้ จากแหลง่ พลังงานตา่ ง ๆ ของโลก ปี พ.ศ. 2557 จากข้อมูลปี พ.ศ. 2557 พบว่า ทั่วโลกมีการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมากที่สุด ร้อยละ 38.9 รองลงมา คือ ก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 22.0 พลังน้า ร้อยละ 16.8 พลังงานนิวเคลียร์ ร้อยละ 10.8 น้ามนั รอ้ ยละ 4.6 และพลังงานทดแทนอ่ืน ๆ อีกร้อยละ 3.7 ถึงแม้ว่าปัจจุบันการผลิตไฟฟ้ายังคง พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก ซึ่งผลิตจากถ่านหินมากที่สุด เนื่องจากถ่านหินเป็นเช้ือเพลิงราคา ถูก แต่ในหลายประเทศได้มีนโยบายเรื่องส่ิงแวดล้อมและมีการกระตุ้นให้เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิง สะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้การผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกเร่ิมลดลง ส่งผลให้มีการใช้ เช้ือเพลิงหมุนเวียนมากข้ึน นอกจากน้ีพลังงานนิวเคลียร์ถูกพิจารณาว่าจะมีการนามาใช้มากข้ึน โดยจะสูงข้ึนกว่าเดิมร้อยละ 80 ภายในปี พ.ศ. 2583 แต่ปัจจุบันการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงาน นิวเคลียร์ชะลอตัวลงหลังอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เมืองฟุกุชิมะในประเทศญี่ปุ่น เม่ือ พ.ศ. 2554 เนื่องจากการพิจารณาเรื่อง กฎระเบียบด้านความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดี การผลิต ไฟฟา้ จากพลังงานนิวเคลียรย์ งั คงเพม่ิ ข้นึ โดยเฉพาะในประเทศจนี เกาหลใี ต้ อนิ เดีย และรสั เซีย กิจกรรมท้ายเรื่องที่ 2 สถานการณพ์ ลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย ประเทศในกล่มุ อาเซยี นและโลก (ใหผ้ ู้เรียนไปทากิจกรรมเร่อื งท่ี 2 ทสี่ มุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรียนรู้)
21 เรื่องที่ 3 หน่วยงานทเี่ กยี่ วขอ้ งดา้ นพลงั งานไฟฟ้าในประเทศไทย หน่วยงานท่รี ับผิดชอบเก่ียวกบั ไฟฟา้ ในประเทศไทยตั้งแต่ระบบผลิต ระบบส่งจ่ายจนถึง ระบบจาหน่ายใหก้ บั ผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ แบง่ เป็น 2 ภาคส่วน คอื 1) ภาครัฐ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟา้ นครหลวง (กฟน.) 2) ภาคเอกชน มีเฉพาะระบบผลิตไฟฟ้าเท่านั้น เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จากัด (มหาชน) บรษิ ทั ผลิตไฟฟ้า จากดั (มหาชน) เปน็ ตน้ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการกากับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซ่ึงเป็นองค์กรอิสระที่ทา หน้าที่กากับกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลและกระทรวง พลังงาน ระบบผลติ ระบบจาหนา่ ย ภาพการส่งไฟฟา้ จากโรงไฟฟ้าถงึ ผ้ใู ชไ้ ฟฟา้ 1. การไฟฟ้าฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก่อต้ังขึ้นเมื่อวันท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 โดยรฐั บาลไดร้ วมรฐั วสิ าหกิจทรี่ บั ผิดชอบในการจัดหาไฟฟา้ ซึง่ ไดแ้ ก่ การลิกไนท์ (กลน.) การไฟฟ้ายันฮี (กฟย.) และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ (กฟ.อน.) เป็นหน่วยงานเดียวกัน คือ “การไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย” มชี อื่ ย่อวา่ “กฟผ.” มีนายเกษม จาติกวณิช เปน็ ผวู้ ่าการ คนแรก
22 กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจด้านกิจการพลังงานภายใต้การกากับดูแลของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลงั มภี ารกจิ ในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยการผลิต จัดส่ง และ จาหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ใช้ไฟฟ้ารายอ่ืน ๆ ตามที่กฎหมายกาหนด รวมท้ังประเทศใกล้เคียง พร้อมท้ังธุรกิจอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวเนื่องกับกิจการไฟฟ้า ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยระบบผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า 5 ประเภท คือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โรงไฟฟ้าพลังน้า โรงไฟฟา้ พลังงานทดแทน และโรงไฟฟา้ ดเี ซล นอกจากการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. แล้ว กฟผ. ยังรับซ้ือไฟฟ้าจากผู้ผลิต ไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว และมาเลเซีย ซึ่ง ดาเนินการจัดส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. รวมถึงที่รับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นผ่าน ระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งมีโครงข่ายครอบคลุมท่ัวประเทศ เพ่ือจาหน่ายไฟฟ้าให้แก่ การไฟฟ้า นครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ใช้ไฟฟ้าที่รับซ้ือโดยตรง และประเทศเพ่ือนบ้าน ได้แก่ ลาว เมยี นมาร์ และกัมพูชา Call center ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแหง่ ประเทศไทย หมายเลข 1416 2. การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค (กฟภ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภค สังกัด กระทรวงมหาดไทย ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โดยรับโอน ทรัพย์สิน หนี้สิน และความรับผิดชอบขององค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในขณะนั้นมาดาเนินการ อยู่ภายใต้การกากับดูแลของกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง
23 จัดจาหน่ายและการบริการด้านพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆ ในเขตจาหนา่ ย 74 จงั หวดั ทว่ั ประเทศ ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบรุ ี และสมทุ รปราการ การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าคมสี านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีหน้าท่ีกาหนดนโยบาย และแผนงาน ให้คาแนะนา ตลอดจนจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาค สาหรับ ในส่วนภูมิภาค แบ่งการบริหารงานออกเป็น 4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ แต่ละภาคแบ่งออกเป็นเขต รวมเป็น 12 การไฟฟ้าเขต มีหน้าที่ควบคุมและ ให้คาแนะนาแก่สานักงานการไฟฟ้าต่าง ๆ ในสังกัดรวม 894 แห่ง ในความรับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าจังหวัด 74 แห่ง การไฟฟ้าอาเภอ 732 แห่ง การไฟฟ้าตาบล 88 แหง่ หากประชาชนในสว่ นภมู ิภาคไดร้ บั ความขัดขอ้ งเกี่ยวกบั ระบบไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า ระเบิดเสาไฟฟ้าล้ม ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าตก บิลค่าไฟฟ้าไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึง การขอใช้ไฟฟ้า เปล่ียนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สามารถติดต่อได้ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคท่ีอยู่ในแต่ละ พนื้ ท่ี หรือติดตอ่ Call Center Call Center ของการไฟฟา้ สว่ นภูมภิ าค หมายเลข 1129 3. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้านครหลวงจัดต้ังข้ึนเม่ือวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2501ตามพระราชบัญญัติ การไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2535 เป็นรฐั วสิ าหกจิ ประเภทสาธารณูปโภค สาขาพลังงาน สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการจัด ให้ได้มา จาหน่าย ดาเนินธุรกิจเก่ียวกับพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจเก่ียวเนื่องหรือท่ีเป็นประโยชน์ แก่การไฟฟ้านครหลวง โดยมีพื้นที่เขตจาหน่ายใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และ สมุทรปราการ
24 หากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ได้รับความ ขัดข้องเก่ียวกับระบบไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด เสาไฟฟ้าล้ม ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าตก บิลค่า ไฟฟ้าไมถ่ ูกตอ้ ง เปน็ ตน้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการขอใช้ไฟฟ้า เปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สามารถ ติดต่อได้ที่การไฟฟ้านครหลวงท่ีอยู่ในแต่ละพื้นท่ี และมีช่องทางการติดต่อ คือ ศูนย์บริการข้อมูล ข่าวสาร และศูนยบ์ ริการขอ้ มูลผู้ใช้ไฟฟา้ (MEA Call Center) ศูนยบ์ รกิ ารข้อมูลขา่ วสารการไฟฟ้านครหลวง โทรศัพท์ 0-2252-8670 ศูนย์บรกิ ารข้อมูลผูใ้ ชไ้ ฟฟ้า (MEA Call Center) โทรศัพท์ 1130 หรือ อเี มล์ แอดเดรส : [email protected] (ตลอด 24 ชั่วโมง) 4. คณะกรรมการกากบั กิจการพลงั งาน (กกพ.) คณะกรรมการกากับกิจการพลังงาน (กกพ.) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันท่ี 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เพื่อแยกงานนโยบาย และงานกากับดูแล ออกจากการประกอบกิจการพลังงาน โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนมีส่วนร่วมและมีบทบาทมากขึ้น รวมท้ังให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ มีความม่ันคง มีปริมาณเพียงพอและทั่วถึงในราคาท่ีเป็นธรรมและมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน โดย กกพ. ทาหน้าท่ีกากบั กิจการไฟฟา้ และกิจการก๊าซธรรมชาติภายใต้กรอบนโยบาย ของรัฐ ในการดาเนินงานของ กกพ. มีเป้าหมายสูงสุด คือ การกากับดูแลกิจการพลังงาน ไทยให้เกิดความมั่นคง และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน โดยมีการดาเนินงานท่ีสาคัญ ได้แก่ การจัดทาแผนยุทธศาสตร์การกากบั กจิ การพลังงาน การจดั ทาร่างกฎหมายลาดับรองตามกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน เช่น การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา การออกประกาศและ ระเบียบเก่ียวกับการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ท้ังนี้ ในการออกระเบียบและ ประกาศที่เก่ียวข้องกับการบริหารและกากับดูแลกิจการพลังงานที่มีผู้ได้รับผลกระทบ จะต้อง ดาเนินการด้านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นด้วย การออกใบอนุญาตการประกอบกิจการ
25 พลังงานและการอนุญาตผลิตพลังงานควบคุม กาหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า โดยพิจารณาปรับค่าไฟฟ้า ฐานและคา่ ไฟฟ้าผันแปร (Ft) สามารถตดิ ตอ่ ได้ ตามช่องทางต่าง ๆ โทร: 0 2207 3599 Call Center: 1204 อเี มล:์ [email protected] กจิ กรรมท้ายเรือ่ งที่ 3 หนว่ ยงานที่เกยี่ วข้องด้านพลงั งานไฟฟ้าในประเทศไทย (ให้ผู้เรียนไปทากิจกรรมเร่ืองท่ี 3 ที่สมดุ บันทกึ กจิ กรรมการเรยี นร)ู้
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: