Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2564 การพัฒนาการศึกษาคณะสงฆ์ไทย-สมศักดิ์-เกษม

2564 การพัฒนาการศึกษาคณะสงฆ์ไทย-สมศักดิ์-เกษม

Published by Kasem S. Kdmbooks, 2021-12-19 02:59:49

Description: 2564 การพัฒนาการศึกษาคณะสงฆ์ไทย-สมศักดิ์-เกษม

Search

Read the Text Version

การศึกษาสงฆ์ในสมยั พุทธกาล เช่อื มโยงการศึกษาสงฆ์ไทย ผศ.ดร.เกษม แสงนนท์ ๑๙ ธนั วาคม ๒๕๖๔ ❀ การศึกษาของคณะสงฆเ์ ปน็ มาอยา่ งไร เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์ได้ทรงประกาศคำสอน ใหม่ ซงึ่ เปน็ การปฏิวตั ิต่อคำสอน ของพราหมณ์ กำจัดความเชื่อถือ ๑

เรือ่ งวรรณะ ไมใ่ หถ้ ือเอาชาติกำเนดิ เป็นเคร่อื งแบง่ แยกความสงู ต่ำ และสิทธิของมนษุ ย์ ให้ถือว่าทุกคน ทุกวรรณะเกิดมามีความเสมอ ภาคกัน จะดี จะชั่ว จะประเสริฐ หรือต่ำทราม เพราะการกระทำ และการประพฤติดีของตนเอง จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณฑาลหรือปุกุสะก็ตาม ทำดีก็ได้ผลดีเหมือนกัน ทำชั่วก็ ได้ผลชั่วเหมือนกัน คนใดปฏิบัติ ธรรมก็ได้ความสงบทางจิต มี ความก้าวหน้า ถงึ จุดหมายของศาสนาได้เหมือนกัน ชาติกำเนิด ไม่ สำคญั สำคัญทก่ี ารฝกึ อบรม นอกจากทรงประกาศคำสอน เพื่อให้เกิดผลทางการปฏิบัติ ทางความเชือ่ ถืออย่างใหม่ ของประชาชนแล้ว พระพทุ ธเจ้าทรงนำ หลักการนี้มาปฏิบัติให้เกิดผลในรูปสถาบันด้วย ทรงตั้ง คณะสงฆ์ ขึ้น คณะสงฆ์นี้เปิดรับบุคคลทุกวรรณะและนอกวรรณะ ทุกคนที่ เข้ามาเป็นสมาชิกของ สถาบันสงฆ์นั้นแล้วมีสิทธิเสมอกันใน ทางด้านการปกครองและชีวิตทางสังคม มีข้อกำหนดเพียง ให้ แสดงความเคารพกันตามลำดับอายุสมาชิกภาพ และมีโอกาสเท่า เทียมกันในการที่จะได้รับการ ศึกษาอบรมตลอดจนปฏิบัติเพื่อ เข้าถึงจุดหมายสูงสุดที่ชีวิตในสงฆ์จะเข้าถึงได้สถาบันวัดกลายเปน็ สถาบันทางการศึกษา เพราะเป็นที่ฝึกหัดอบรม บรรยากาศภายใน วัดรวมถึงวิถีชีวิตของพระสงฆ์ ภายในวัดเป็นบรรยากาศสำหรับ ฝึกหัดพัฒนาคนและพัฒนาตนให้เดินไปในวิถีชีวิตที่ถูกต้องดีงาม ตามระบบพฒั นาคน ๓ ด้าน ทีเ่ รยี กวา่ ไตรสกิ ขา ได้แก่ ๑. ฝกึ ฝนพฒั นาในการแสดงออกทางกายและวาจา (อธศิ ลี ) ๒

๒. ฝกึ ฝนพัฒนาดา้ นคณุ ภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพจติ (อธจิ ิต) ๓. ฝึกฝนพัฒนาสมองหรือปัญญา (อธิปัญญา) พิจารณาจากประวัติการประดิษฐานพระพุทธศาสนา จะ เห็นได้ว่าคณะสงฆ์ใน ความหมายที่แท้นั้น พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น เป็น “สังคมตัวอย่าง” ที่มีการจัดระบบต่าง ๆ ทั้งใน การปกครอง การเลี้ยงชีพ ชีวิตทางสังคม ตลอดจนการศึกษาอบรมทุกอย่าง โดยให้สมาชิก ทุกคนมีสิทธิ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมและ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ของสถาบันโดยทั่วถึงและเท่าเทียม กัน มี ๓

ความรู้สึกที่ดีต่อกัน เคารพในคุณค่าของกันและกัน อยู่ด้วยความ กลมกลืนประสานกัน เป็น ระเบียบเรียบร้อย มีความปลอดโปร่ง เป็นอิสระทั้งทางกาย ทางวาจา และความคิด มีโอกาสพร้อม บริบูรณ์ที่จะให้ความสามารถ และคุณสมบัติต่าง ๆ ของตน ๆ ได้รบั การฝกึ อบรมเจริญก้าวหน้า โดยเตม็ ทถี่ ึงขีดสดุ เท่าที่ตนจะทำ ได้ในมรรคาแหง่ การปฏิบัติ เพื่อเขา้ ถึงจุดหมายของพระศาสนา คือ ให้ทุกคนมีสิทธิในการปกครองสถาบันของตน มีปัจจัย ๔ พอเหมาะพอดีแก่การที่จะให้ชีวิตดำรง อยู่ด้วยความสะดวกสบาย พอสมควร และช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ได้ผลดี สมาชิกทุกคนอยู่ ร่วม กัน โดยให้ความเคารพนับถือกันฉันพี่น้อง ช่วยเหลือกันและ ใหโ้ อกาสแก่กนั ในการปฏิบตั ิหน้าท่ี ผู้จบการศกึ ษาอบรมแล้ว หรือ ศึกษาต่ำกว่า ผู้รับการศึกษาจะต้องฝึกฝนอบรมตนเอง ด้วยตั้งใจ จรงิ เตม็ หนา้ ท่แี ละความสามารถของตน หลักทางพระพุทธศาสนาส่งเสริมให้มีการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านหลักธรรม เช่น เรื่อง พระนิพพาน การกำจัดอวิชชา ไตรสกิ ขา การเนน้ ปัญญา ความสำคัญของกลั ยาณมิตร ความ เป็น พหูสูต เป็นต้น หรือทางพระวินัย เช่น การถือนิสัยของพระนวกะ การร่วมประชุมในอุโบสถ เดียวกัน การนั่งประชุมแสดงธรรม สนทนาสากัจฉา อภิปราย ตอบปัญหาธรรมกันเป็นต้น ทั้งนี้ โดยมี วัดเป็นสถาบันการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ของพระภิกษุ เป็นชีวิต ที่มุ่งต่อการฝึกฝนอบรมและ การให้การศึกษาอบรม ดังนั้น ชีวิต ๔

ของสังคมภิกษุจึงมากไปด้วยกิจกรรมการศึกษา พัฒนาการทาง การศึกษาของอารยันทีไ่ ด้จากพระพทุ ธศาสนา การศึกษาคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ดำเนินตามแนว ไตรสิกขา โดยยึดถือพุทธพจน์ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเปน็ หลกั มีความมุ่งหมายสำคัญ เพื่อให้ประพฤติปฏิบตั ติ น ดำรง รกั ษา และเผยแผ่พรหมจรรย์อันเป็นระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ ดำเนินชีวติ ตามหลักการแหง่ พระธรรมวนิ ัย ต่อมา ไดแ้ ยกออกเปน็ ฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ คือคันถธุระ ได้ศึกษา พระธรรม วินัย คำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้า และวิปสั สนาธุระ ได้แก่ การเรียน วิธีฝึกหดั จิตใจของ ตนเองใหป้ ราศจากกิเลส เมือ่ พระพุทธเจ้าเสด็จ ดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์ พุทธสาวก จึง ประชุมกันทำ สังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธ องค์ ที่ได้ตรัสสอน ไว้มีจำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จัดไว้เป็น ๓ หมวด คือ พระสตู ร พระวินัย และ พระอภิธรรม เรียกรวมกนั ว่า พระไตรปิฎก ซ่งึ เป็นคมั ภรี ข์ องพระพุทธศาสนาสืบมา ๕

วัดพระเวฬุวนั พระเจา้ พมิ พิสารสรา้ งถวาย ณ เมืองราชคฤห์ พระพุทธศาสนา มีองค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ปริยัติ คือ การเล่าเรียน ปฏิบัติ คือ ลงมือกระทำ และปฏิเวธ คือ ประจักษ์แจ้งผลการศึกษาปริยัติ เป็นองค์ประกอบสำคัญ อันเป็น พื้นฐานของการปฏิบัติ ความเจริญทางการศึกษาหรือปริยัติของ คณะสงฆ์ เป็นปัจจัยสำคัญ เกี่ยวกับความเจริญของ พระพทุ ธศาสนา ๖

❀ ลักษณะของการศกึ ษาพระพุทธศาสนา ในสมยั พุทธกาล ๑. ระบบการรับเข้าศึกษาพระพุทธศาสนา ตามพุทธบัญญัติ พระวินยั กุลบตุ รทีจ่ ะเข้า มาสสู่ ถาบันแห่งนีต้ อ้ งบรรพชาอุปสมบท สามเณรมีอายุ ๗ ปีขึ้นไป พระภกิ ษอุ ายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ๒. ระบบการศกึ ษาของพระพุทธศาสนา เปน็ แบบโรงเรียนกิน นอน ๓. สถานศึกษา คอื วดั ๔. ชีวิตนักศึกษา ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกันตามพระวินัย ไมแ่ บง่ ชนชัน้ วรรณะ ๕. ด้านปัจจัย ๔ ได้รับการดูแลและอุปถัมภ์โดยพระราชา อำมาตย์ พอ่ ค้า คหบดี และ ประชาชนทว่ั ไป ๖. เครื่องแบบการแต่งกาย ใช้ผ้าบังสุกุลตามพุทธบัญญัติ เรียบงา่ ย สะอาด มเี พยี ง๓ ผนื ๗

๗. วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อกำจัดตัณหา อันเป็นวัฏ จักรแห่งการเวียนว่ายตาย เกิดของมนุษย์ และดำเนินตามมรรคมี องค์ ๘ คือ ทางสายกลางมุ่งเข้าสู่นิพพาน อันเป็นจุดหมาย สูงสุด ของพระพุทธศาสนา ๘. หลักสูตร พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก และพระ อภิธรรมปฎิ ก หลกั สูตรน้ใี ช้ หลักการทอ่ งจำ เรยี กว่า มุขปาฐะ โดย การแต่งเป็นร้อยแก้ว ร้อยกรอง เพื่อสะดวกในการท่องจำ ผู้เรียน จะเลอื กเรียนตามความสมัครใจ ๙. วิธีสอน สอนด้วยการใช้มุขปาฐะ (ปากเปล่า) สนทนา การ บรรยาย การถามตอบ แบบวางกฎข้อบังคบั ๑๐. บทบาทของครู ครูผู้สอนมักเรียกว่า อุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นผู้มีบทบาทในการสอน ให้การอบรม ให้คำปรึกษา และสอบ วดั ผลดว้ ยตนเอง ๘

❀ พัฒนาทางการศกึ ษาของพระพุทธ ศาสนาหลังพุทธปรนิ ิพพาน ๑. ระบบการศึกษาแบบเถรวาท (พ.ศ. ๑-๕๐๐) รูปแบบ การศกึ ษามี ๒ ลกั ษณะ คอื คันถธุระและวิปัสสนาธุระ โดยมีสำนักต่าง ๆ ที่มีการ ดำเนินการศึกษาอย่างอิสระต่อ กัน บางสำนักเน้นพระสุตตันตะ บางสำนักเน้นพระวินัย เป็นต้น แต่เมื่อใดแต่ละสำนักมีความ เข้าใจพุทธธรรม และปฏิบัติแตกต่างกันมาก คณะสงฆ์ก็จะขอพึ่ง อำนาจรัฐให้เข้ามาจัดทำสังคายนา เป็นครั้งคราวไป เพื่อสร้าง ความเป็นเอกภาพของพระพทุ ธศาสนา ๒. ระบบการศึกษาแบบมหายาน (พ.ศ. ๖๐๐-๑๔๐๐) มี ประเดน็ ศกึ ษา ๒ ประเด็น คอื ๙

๒.๑ สำนักปรัชญาพุทธ (พ.ศ. ๖๐๐-๙๐๐) การเกิดขึ้นของ มหายานทำให้การศึกษาใน พระพุทธศาสนาเปลี่ยนไปจากรปู แบบ ของศาสนาสู่ระบบปรัชญา เกิดสำนักทางปรัชญาเด่น ๆ ขึ้น ๒ สำนกั คือ ก. สำนกั มาธยมิกะ ผกู้ ่อตั้ง คอื นาคารชนุ (พ.ศ. ๗๐๙ - ๗๓๙) ผลงานที่สำคัญ คือ “มาธยมิกศาสตร์” หรือ “มาธยมิกกา รกิ า” ใหต้ รรกศาสตร์ ความคิดทวี่ ่องไว กลา้ หาญ แนวคดิ ที่ สำคัญ เน้น “ศูนยตา” มีอิทธิพลทั่วชมพูทวีปและขยายออกนอกเขต ประเทศ, ข. สำนักโยคาจารย์ ผู้ก่อตั้งคือ ท่านอสังคะและท่านวสุ พันธุ์ (พุทธศตวรรษที่ ๙) ผลงานที่สำคัญคือ อภิธรรมโกศะ, มหายานสัมปริครหะ และประกรณะอารยวาจา แนวคำสอนเป็น จิตนยิ ม ๒.๒ มหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา (พ.ศ. ๑๐๐๐- ๑๗๐๐) ในช่วงนี้ วัดซึ่งเดมิ เปน็ ศูนย์รวมของผู้ฝึกฝนอบรมตนเอง อยู่แล้วได้พัฒนามาเป็นสถาบันทางการศึกษา โดยสืบทอด คุณลักษณะกล่มุ ของสาวกของพระพทุ ธเจ้าทีว่ ่า “สังฆะ” คอื ชุมชน แห่งการเรียนรู้ ราว พ.ศ. ๙๐๐ วัด หลายวัดได้ร่วมกันดำเนินการ ทางการศึกษา จนกลายเป็นระบบมหาวิทยาลัยทางพระพุทธ ศาสนาขึ้นและขยายรูปแบบการให้การศึกษากว้างขวางข้ึน มหาวิทยาลยั ทมี่ ชี อ่ื เสยี งไดแ้ ก่ นาลนั ทา วัลภี โอทานตะปุระ วกิ รม ศิลา โสมปุระ มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีผู้เข้า ศึกษา หลายหม่ืนคน มีหลกั สตู ร มีการวัดผลประเมินผล ๑๐

๒.๓ ระบบการศึกษาแบบตันตระ (พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๗๐๐) ซ่ึง มพี ฒั นาการมาตามลำดับคือ (๑) มันตรยาน/รหัสยาน ลักษณะสำคัญคือพร่ำสอน บ่น มนตร์และลงเลขยันตร์ ให้ เกิดความศักด์ิสิทธิ์เปน็ ทางรอดพ้นจาก ทุกข์ (๒) วัชรยาน นับถือฌานิพุทธและพระโพธิสัตว์ นำศักติ ของ ฮนิ ดูตันตระมานับถอื อ่อนวอน ผ้เู ข้าอยู่ในองค์นริ ตมเทวีเป็นผู้เข้าสู่ นิพพาน (๓) กาลจักร นับถือ เหมือนสองอย่างแรก เพิ่มการเซ่นผี เข้าดว้ ย ถอื ว่าการออ้ นวอนบชู าจะสำเรจ็ ประสบสขุ ได้ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มีความเห็นเกี่ยวกับระบบ การศึกษาของพระพุทธ ศาสนาหลังพุทธปรินิพพานว่า การศึกษา ในมหาวิทยาลัยนั้นแบ่งได้เป็น ๒ ระยะ คือ ระยะแรกราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ถึง ๑๔๐๐ เป็นระยะที่มีการศึกษาวิชาการต่าง ๆ กว้างขวาง ทั้งทางวชิ าศาสนาและ วิชาสามัญ แต่ครั้นถึงระยะหลงั พ.ศ. ๑๔๐๐ เป็นต้นมา การที่พระสงฆ์หันมานิยมศึกษาและใช้ ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาวิชาการ ได้กลายเป็นการจำกัดวง การศึกษาให้แคบเข้ากว่าเดิมอีก ที่ นาลันทาและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่เหลือ ก็ปรากฏว่าพระพุทธศาสนามหายาน ได้รับอิทธิพลจาก ศาสนาพราหมณ์ นำมาผสมผสานกนั มา จนกลายเปน็ นิกายตันตระ หรือวัชรยานขึ้น ระยะนี้ ก็นิยมชื่นชมกับผลงานเก่า ๆ ที่สร้างสม กนั มา ยุคนีเ้ ปน็ ระยะของการเขียนอรรถกถาและอรรถาธิบาย ต่าง ๆ พร้อมกับมีความรู้สึกหยิ่งลำพองในความรู้ ใจแคบ และลำเอียง นอกจากนี้ ความนับถือ เรื่องวรรณะก็เหมือนจะรุนแรงขึ้น วิธีการ ๑๑

เรียนการสอนก็เป็นแบบประเพณีตายตัว โดยนัยนี้ การ ศึกษาใน ชมพูทวีปก็เสื่อมถอย และยังไม่ทันรู้ตัวที่จะรื้อฟื้นแก้ไข ก็ประสบ เหตุให้พินาศเสียก่อน สาเหตุที่ทำให้พินาศนั้น ก็คือ การเข้ายึด ครองของต่างชาติ เริ่มด้วยชาวเติร์กยกทัพเข้ามา และ ทำลาย มหาวิทยาลัยพทุ ธศาสนาหมดสิ้น ทำลายวัดส่วนมาก พระสงฆ์ท่ีไม่ ถูกฆ่า หนีไปต่างประเทศ อันเป็นเหตุการณ์ในราว พ.ศ. ๑๗๐๐ ตามปกติการใช้อำนาจเข้ากดขี่บบี คั้นถา้ ไม่ถึงกับทำลายให้ สูญส้ิน เสียทีเดียว หรือให้เปลี้ยหมดกำลังจริง ๆ แล้ว ย่อมเป็นทางให้เกดิ การดิ้นรน ต่อสู้ ให้เกิด ความเข้มแข็งและการกลับฟื้นตัวได้ แต่ เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นแบบทำลายโดยสิ้นเชิง พระพุทธ ศาสนาจึง ไม่มโี อกาสคนื ชวี ติ ไดอ้ ีก เปน็ อันสนิ้ ยุคความเจรญิ ในอดตี ๑๒

❀ พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงส่งพระสงฆเ์ ป็นสมณทูตไป เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศต่าง ๆ นั้น ได้มีการแตกแยก นิกายสงฆ์ขึ้นในประเทศอินเดีย ในการสังคายนาครั้ง ที่ ๒ เม่ือ ๑๓

พ.ศ. ๑๐๐ เน่อื งจากมคี วามเหน็ ไม่ตรงกนั ในเรอ่ื งวินยั บางประการ จึงเกดิ เปน็ นกิ าย ใหญ่ ๆ ๒ นิกาย คือ ๑. เถรวาท ๒. อาจริยวาทหรอื มหายาน นิกายท้ัง ๒ มีข้อแตกต่างกันคอื เถรวาท เปน็ นกิ ายทีภ่ กิ ษชุ าว อินเดียภาคกลางและ ภาคใต้ ผู้ปฏิบัตตามคำสอนของพระเถระ หมายถึง พระเถระที่ทำสังคายนาครั้งแรกบางทีก็ เรียกว่า นิกาย สถวีรวาท แปลว่า ลัทธิของพระเถระ ปัจจุบันประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนา นิกาย เถรวาท คือประเทศไทย ศรีลังกา พม่า เขมร และลาว พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทใชภ้ าษา มคธ (ภาษา บาล)ี จารกึ พระไตรปฎิ ก มหายาน เป็นนิกายของภิกษุชาวอินเดียฝ่ายเหนือ ที่ถือตาม พุทธานุญาตที่ประทานไว้ ในเวลาใกล้ดับขันธปรินิพพานว่า ถ้า ภิกษุทั้งปวงเห็นพร้อมกันว่า สิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ บทใด ที่ทรง บัญญัติไว้จะประพฤติไม่ได้สะดวก ก็ให้แก้ไขได้ ภิกษุในนิกาย มหายาน อนุโลมดัดแปลง พระธรรมวินัยตามกาลเทศะ และ ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน คือ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ทิเบต เกาหลี มองโกเลีย และไต้หวัน ใช้ภาษาสันสกฤต จารกึ พระธรรมวินยั ต่อมาในสมยั พระเจ้าอโศกมหาราช ทอ่ี ยูใ่ นราวพุทธศตวรรษท่ี ๓ ได้ทรงจัดให้การ สังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ เมื่อทำ ส ำ เ ร ็ จ แ ล ้ ว ไ ด ้ ส ่ ง พ ร ะ ส ง ฆ ์ ท ี ่ เ ป ็ น พ ร ะ ธ ร ร ม ท ู ต ไ ป เ ผ ย แ ผ่ ๑๔

พระพุทธศาสนาในแว่นแคว้นต่าง ๆ รวม ๙ สาย คณะของ พระโสณะและพระอตุ ตระได้มายงั สุวรรณภูมิ ได้แก่พน้ื ทใี่ นเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศไทยปัจจุบันเป็นศูนย์กลาง โดยมี นครปฐมเป็นราชธานี เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๓๐๓ ดังตำนานท่ี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสอื ตำนานพระพุทธเจดีย์ว่า พระพุทธศาสนาได้มาถึงประเทศไทย เป็น ๔ ยคุ คอื ยคุ ที่ ๑ เมอื่ ปี พ.ศ. ๓๐๓ เป็นการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาฝ่าย เถรวาท ยุคที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๗๖๐ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจาก แคว้นกัสมิระ ได้เผยแผ่มา ทางดินแดนทางตอนใต้ของสุวรรณภูมิ คือเกาะสุมาตรา ชวา และกัมพูชา ล่วงมาถึงประมาณ ปี พ.ศ. ๑๓๐๐ กไ็ ด้แพร่ขยายข้ึนมาถึงปตั ตานี สรุ าษฎรธ์ านี ท่ีไชยา ยุคที่ ๓ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ พระพุทธศาสนาแบบ พกุ าม ได้แพร่เขา้ มาถงึ อาณาจกั ร ล้านนา และอาณาจักรทวารวดี ยุคที่ ๔ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๙๐๐ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถร วาทไดแ้ ผจ่ ากลังกาเข้ามา ทางภาคใต้ของไทย คือ นครศรธี รรมราช เรยี กว่า ลัทธลิ ังกาวงศ์ ๑๕

❀ การพัฒนาการศกึ ษาของสงฆส์ มยั สุโขทัย วัดเป็นสถาบันสังคมที่ให้การศึกษาแก่คนไทยมาช้านานตั้งแต่ โบราณ โดยพระเป็น ครูสอน มีทั้งการอบรมสั่งสอนพระด้วยกัน เอง ถวายพระธรรมเทศนาแดพ่ ระมหากษตั ริย์ และเทศนา สง่ั สอน อบรมประชาชนทั่วไป หรือเด็กวัด ก่อนสถาปนากรุงสุโขทัยได้มี ชุมชนต่าง ๆ รวมกันอยู่ และมีพระเป็นผู้ให้การศึกษาแก่คนใน ชุมชนนั้น ภายหลังก่อตั้งสุโขทัยเป็นราชธานีของคนไทย การ ๑๖

ปกครองคณะสงฆ์สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี และ อรัญญวาสี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงสง่ เสรมิ ให้มีการศึกษาคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาจาก พระไตรปิฎก แม้พระองค์เองก็ทรงสั่งสอนประชาชนตามหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา การศกึ ษา จากพระไตรปิฎกนี้เรียกว่า “การศึกษา พระปริยัติธรรม” แบ่งการศึกษาเป็น ๓ ตอน โดยเริ่มต้นให้ ศึกษา พระสุตตันตปิฎก (หมวดพระสูตรที่ประมวลพระธรรมเทศนาและ เรื่องเล่าต่าง ๆ) เมื่อศึกษา จบแล้วให้ศึกษาพระวินัยปิฎก (หมวด พระวินัยประมวลข้อบัญญัติสำหรับพระสงฆ์) เมื่อศึกษา พระวินัย จบแล้วให้ศึกษาพระอภิธรรมปิฎก (หมวดพระอภิธรรม ประมวล หลักธรรมทเี่ ป็นวิชาการ ไม่เกีย่ วกบั เหตุการณ์และตัวบคุ คล) การที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แบ่งคณะสงฆ์เป็น ๒ ฝ่าย ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้ การจัดการศึกษาสำหรับสงฆ์แตกต่าง ออกไปคือฝ่ายคามวาสีซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในเมืองมีหน้าที่ ศึกษา เล่าเรียนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และอบรมพระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนให้ ปฏิบตั ิดี ประพฤติชอบอยใู่ นสงั คมได้อย่างมี ความสุข เรียกว่า คันถธุระ (ฝ่ายที่ศึกษาคัมภีร์) และ ฝ่ายอรัญญ วาสี ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ตามป่า มีหน้าที่อบรมสั่งสอนศิษยานุ ศิษย์ในทางปฏิบัติ สมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน เรยี กวา่ “วิปัสสนาธรุ ะ” (ฝา่ ยบำเพญ็ ภาวนา) พระสงฆ์ ทงั้ ๒ ฝ่าย แบ่งกันทำหน้าท่ี ทำให้เกิดผลดีตอ่ การปกครองคณะสงฆ์ และช่วย ใหก้ ารพระศาสนา ในกรงุ สุโขทยั เจริญรงุ่ เรอื งมาก ๑๗

คร้ันถึงสมัยพระยาลิไทครองราชสมบัติ การพระศาสนาฝ่าย เถรวาทเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์มีพระราชศรัทธาแรงกล้า ถึงกับ ทรงอุทิศถวายพระมหาปราสาทเป็นที่เล่าเรียนของพระภิกษุ สามเณร และวิชาที่ศึกษายังมีทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายวิชาการทาง ธรรมและทางโลก มใิ ช่ศกึ ษาวชิ า ทางพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ๑๘

❀ การพัฒนาการศกึ ษาของสงฆ์สมยั อยุธยา การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์ในสมัยน้ี แรก ๆ ถูกปล่อยปละละเลย ต่อมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเห็นพระพุทธศาสนาถูกลัทธิภายนอกย่ำยี ประชาชน มัวเมา หลงใหลเห็นผิดเป็นชอบ จึงทรงรับบำรุงพระพุทธศาสนา ทรง โปรดจัดการศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรมขึ้นเหมือนในครั้งกรุง สุโขทัย ให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรม นับว่าเป็นการ สอบไล่ที่ เกิดขน้ึ ครงั้ แรกในประเทศไทย ต่อมาจนถงึ สมัยธนบุรี พระเจ้าตาก สินมหาราช ทรงใส่ พระทัยพัฒนาการพระพุทธศาสนา ทรง อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ให้มาอยู่รวมกันอีกครั้งหนึ่ง ทรง แต่งตั้ง ๑๙

สมณศักดิ์และสถาปนาพระอารามหลายแหง่ ให้พระภกิ ษุสงฆ์ศึกษา เล่าเรียนคันถธุระและ วิปัสสนาธุระ พระพุทธศาสนาได้ เจริญรุง่ เรอื งขึ้นอีกวาระหนงึ่ • หลักสตู รการศกึ ษา ในสมัยอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงโปรดให้ คณะสงฆเ์ อาภารธรุ ะในการ เรียนการสอนอยา่ งจริงจัง โดยกำหนด หลักสูตร เวลาเรียน การประเมินผล และฐานะของผู้สอบ ไล่ได้ เป็นการแน่นอน ใช้พระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นหลักสูตร โดย แบ่งเปน็ ๓ ชัน้ เรียน คอื ๑. บาเรยี นตรี ตอ้ งแปลภาษาบาลีจบพระสตู ร ๒. บาเรียนโท ต้องแปลภาษาบาลีจบพระสตู ร และพระวินยั ๓. บาเรียนเอก ต้องแปลภาษาบาลจี บพระสตู ร พระวนิ ยั และ พระอภิธรรม ผู้เรียนจบบาเรียน ตรี-โท-เอก เรียกว่า “มหาบาเรียนบาลี” โดยใชอ้ กั ษรยอ่ ว่า“บ.บ.” • สถานศกึ ษา ในสมัยอยุธยา การเรียนการสอนพระปริยัติธรรมใช้บริเวณ พระบรมมหาราชวังเป็นที่ เล่าเรียน ส่วนวัดวาอารามต่าง ๆ เป็น สถานที่ศึกษาเล่าเรียนส่วนย่อยเท่านั้น ครูผู้สอน ได้แก่ ๒๐

พระมหากษัตริย์บ้าง ราชบัณฑิตบ้าง พระเถระผู้มีความเชี่ยวชาญ ในพระไตรปิฎกบ้าง • การวัดผลการศกึ ษา เริ่มแรกเรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์ (หลักภาษา) ใช้เวลาประมาณ ๒ - ๓ ปี จึงเรียนแปล พระไตรปิฎกที่จารึกในใบลานเป็นหนังสือ แบบเรียน เมื่อมีความรู้ความสามารถในการแปลได้ดีแล้ว ครูบา อาจารย์และเจ้าสำนักเรียนก็จะทูลถวายรายงานพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบ และทรงโปรดให้ประกาศการสอบไล่ ความรู้ของพระภิกษุสามเณรขึ้น เรียกว่า “สอบสนามหลวง” หมายถึงการสอบในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงยกย่องผู้สอบได้ให้มี สมณศักดิ์เป็น “มหา” นำหน้า ชื่อ แล้วพระราชทานสมณศักดิ์ให้ เป็นพระราชาคณะ เป็นเกียรติแก่พระพุทธศาสนาสืบไป สถาน ที่ สอบใช้พระบรมหาราชวังเป็นที่สอบ และใช้ระยะเวลาเรียน ๓ ปี จงึ มีการสอบ ๑ คร้งั • วธิ ีสอบ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงประกาศให้มีการสอบพระปริยัติธรรม ขึ้นแล้ว พระมหาเถระและ ราชบัณฑิตทั้งหลาย ก็แต่งต้ัง คณะกรรมการขึน้ โดยมพี ระเจา้ แผน่ ดินเป็นประธาน การสอบแปล ผสู้ อบต้องจับสลาก ตามทคี่ ณะกรรมการกำหนดให้ ถา้ จบั ได้คัมภีร์ ผูกใดก็แปลผูกนั้น โดยเริ่มจาก พระสูตรก่อน ต้องแปลปากเปล่า ๒๑

ต่อหน้าคณะกรรมการ ผิดศัพท์หรือประโยคได้เพียง ๓ ครั้ง ถ้า กรรมการทกั ท้วงเกิน ๓ ครัง้ ถอื วา่ ตก ถ้าแปลไดค้ ลอ้ งเปน็ ทพี่ อใจ ไม่มีการทกั ทว้ งถือว่าสอบได้ ในประโยคนั้น ๆ เมื่อผ่านพระสูตร ก็ ให้เกยี รตคิ ุณเป็น “บาเรียนตร”ี เรียนพระวนิ ยั ปิฎกต่อไป อีก ๓ ปี สอบผ่านก็เป็น “บาเรียนโท” จากนั้นศึกษาพระอภิธรรมปิฎกอีก ๓ ปี สอบผ่านกไ็ ดร้ บั ยกย่องเป็น “บาเรียนเอก” ๒๒

❀ การพัฒนาการศกึ ษาสมยั ธนบุรี ศูนย์การศึกษาในสมัยธนบุรีก็ยังคงอยู่ที่วัดเหมือนสมัยอยุธยา โดยมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้น ที่มีโอกาสศึกษา เพราะต้องอยูก่ ับพระท่ี วัดเพื่อเรียนหนังสือ พระสงฆ์ก็คือครูที่จะสอนหนังสือให้ แก่ กุลบุตร เพื่อให้ได้รับการอบรมความประพฤติ เรียนพระธรรม ภาษาบาลี สันสกฤต และศัพท์เขมร เพ่ือประโยชน์ในการอ่าน คมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนา นอกจากนี้ ยังมกี ารเรยี นวิชาเลขเน้นมาตรา ชั่งตวง วัด มาตรเงินไทย และการคิดหน้าไม้ ซึ่งจะต้องนำไปใช้ใน ชวี ติ ประจำวนั มวี ชิ าชา่ งฝมี ือ สำหรับเดก็ โต สว่ นใหญ่เก่ียวกับการ ช่างก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ในการบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะ และ ส่ิงก่อสร้างภายในวัด สำหรับการเรียนวิชาชีพโดยตรงนั้นเป็น หน้าที่ของพ่อแม่ ใครมีอาชีพ อะไรก็ถ่ายทอดวิชานั้น ๆ ให้แก่ ๒๓

ลูกหลานของตน ตามสายตระกูล เช่นวิชาแพทย์แผนโบราณ วิชา ช่างปั้น ช่างถม ช่างแกะสลัก ช่างปูนปั้น ช่างเหล็ก ช่างเงิน ช่างทอง ส่วนการศึกษาสำหรับ เด็กผู้หญิงก็ถือตามประเพณี โบราณ คือเรียนการเย็บปักถักร้อย ทำกับข่าว การจัดบ้านเรือน การ ฝึกอบรมมารยาทของกุลสตรี สังคมสมัยนั้นไม่นิยมให้ผู้หญิง เรียนหนงั สือ จงึ มีผู้หญงิ จำนวนน้อย ทอ่ี า่ นออกเขยี นได้ การศึกษาของพระสงฆ?สมัยน้ี ช่วงแรกขาดการศึกษาในระยะ หน่งึ เพราะพระสงฆม์ เี หลอื อยูน่ ้อย กระจายกันไปตามชนบทเพอื่ หนีภัยข้าศึก เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงว่างจาก ศึกสงคราม แลว้ ทรงเลอื กสรรพระสงฆ์ผตู้ ้งั ม่ันอยู่ในพระธรรมวนิ ัยแต่งตั้งเป็น พระราชา คณะปกครองคณะสงฆ์ รวมถึงการจัดระเบียบการ ปกครองคณะสงฆ์ และทรงโปรดให้มีการเรียน พระปริยัติธรรม เหมอื นสมัยอยุธยาทกุ ประการ ๒๔

❀ การพัฒนาการศกึ ษาของคณะสงฆ์ สมัยรตั นโกสินทรต์ อนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงฟื้นฟู พระพุทธศาสนาไปพร้อมกับ การพัฒนาบ้านเมือง ทรงอาราธนา พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์และราชบัณฑิตเป็นกรรมการชำระ พระไตรปิฎก จารึกเป็นอักษรขอมขึ้นใช้เวลา ๕ เดือน จึงเสร็จ สมบรู ณ์ ซึง่ ถอื ว่าเป็นการทำสังคายนา ครั้งแรกในกรุงรตั นโกสินทร์ • หลักสูตรการศึกษา ในสมยั รัตนโกสินทรย์ ุคตน้ หลักสตู รการศึกษาพระปริยัติธรรม ยังใช้พระไตรปิฎก เรียน ๓ ปี จึงมีการสอบ ๑ ครั้ง เหมือนคร้ัง กรุงศรีอยธุ ยา ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๒ ได้มกี ารปรบั ปรงุ หลกั สูตรการ ๒๕

เรยี นการสอนข้ึนใหม่ โดยจดั หลักสตู รเป็น ๙ ช้ัน เรยี กวา่ ประโยค ประโยค ๑-๒_ ๓ เป็นเปรียญตรี ประโยค ๔-๕-๖ เป็นเปรียญโท ประโยค ๗-๘-๙ เป็นเปรียญเอก และผู้ที่สอบ ไล่ได้ ๓ ประโยค แลว้ จงึ จดั วา่ เป็นเปรียญ ถา้ เป็นภิกษุใช้คำนำหน้าวา่ พระมหา และ ถ้าเป็นสามเณร ก็ใช้อักษรย่อและตัวเลขต่อท้าย เช่น สามเณรพุ่ม ป.ธ.๓ เป็นตน้ • สถานศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว รชั กาลท่ี ๑ และท่ี ๒ โปรดเกล้า ฯ ให้ใช้พระที่นั่งมณเฑียร ธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็น สถานที่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์และ เจ้านาย ส่วนข้าราชการชั้นผู้น้อยใหไ้ ปศึกษาตามวัดต่าง ๆ พอถึงยุครัชกาล ที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระอารามบ้าง ทรงสร้างเก๋งบริเวณพระที่ นั่งอมรินทรวินิจฉัยภายในพระบรมมหาราชวังบ้าง เป็นสถานท่ี ศึกษาเล่าเรียน โปรดเกล้าฯ ให้เลี้ยงเพลพระภิกษุและ พระราชทานรางวลั ดว้ ย ภายหลังสถานท่ไี ม่เพยี งพอจงึ โปรดเกล้าฯ ให้ใช่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นที่เล่าเรียน ต่อมา ในรัชกาลท่ี ๔ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเก๋งขึ้น ๔ หลัง ณ วัดพระศรีรัตน ศาสดาราม เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียน เพมิ่ เติม ๒๖

❀ การพัฒนาการศกึ ษาของสงฆ์ : ยุค ปฏิรปู ประเทศ (ร.๔ - ร.๖) การศึกษาของสงฆ์สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) คงดำเนิน ไปเหมือนเช่นในรัชกาลก่อน และโปรด เกล้าฯ ให้สร้างเก๋งอีก ๔ หลัง ที่วัดพระศรีรัตน ศาสดาราม สำหรับราชบัณฑิตบอกหนังสือพระ ในสมัยนี้ มีปราชญ์ด้านการ สงฆ์ คือ สมเด็จพระ มหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส มี ตำแหน่งเป็นสมเด็จพระสังฆราช ได้ปรับปรุงการเรียน การสอน ๒๗

ของสงฆ์ให้พัฒนาขึ้น การวัดผลการสอนพระปริยัติธรรมนับเป็น ราชการแผ่นดินอย่างหนึ่ง ด้วย อยู่ในพระราชกิจของ พระมหากษตั ริยผ์ ู้เปน็ พุทธศาสนูปถมั ภก เพราะฉะนนั้ การสอบแต่ ละ คร้งั ได้มีเจ้าพนักงานฝ่ายราชอาณาจักรชว่ ยปฏิบัตดิ แู ล อำนวย ความสะดวกด้วย เพราะการสอบ พระปริยัติธรรมแต่ก้อนสอบกัน เป็นคราว ๆ หลาย ๆ ปีสอบครั้ง ที่ต้องใช้เวลานานเพราะ นักเรียนต้องนั่งแปลด้วยปากเปล่าต่อหน้าคณะกรรมการทีละองค์ เรียงกันไปตามลำดบั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือว่าเป็นยุค ใหม่แห่งการศึกษาของสงฆ์ ทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ จึง ทรงสนับสนุนการศึกษาทั้งทางโลกและการศึกษาสงฆ์ด้วย เพราะ พระองค์ทรงประสงค์ให้พระภกิ ษุสงฆ์ไดศ้ ึกษาเล่าเรียนทง้ั ด้านพระ ปรยิ ตั ธิ รรม และวิชาการ สมยั ใหมค่ วบคกู่ ันไป เพ่ือจะใหพ้ ระสงฆใ์ นฐานะผมู้ คี วามรอบรู้ ทั้งวิชาการทางโลก และทางธรรม ทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะ นำไปเผยแผ่แก่ประชาชนของไทย และในรัชกาลนีไ้ ด้เริ่มเกิดสำนัก การศึกษาของสงฆ์ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาสากล จึงได้ทรงสถาปนา การศกึ ษาชน้ั สูงทางคณะสงฆข์ ึ้น ๒ แหง่ คอื ทรงสถาปนามหาธาตุ วิทยาลัยขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ที่วัดมหาธาตุ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๙ โปรดพระราชทานนามใหม่ว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เพื่อเป็นที่ศึกษา พระปริยัติธรรมและวิชาการชั้นสูง ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๓๖ โปรดให้สถาปนา “มหามกุฏราชวิทยาลัย” ขึ้นที่วัดบวร ๒๘

นิเวศวิหาร อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยทั้ง ๒ แห่งนี้ ก็ยังไม่พร้อม จะดำเนนิ การใน รชั กาลน้ี มาถึงรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิร ญาณวโรรส ทรงเปน็ ผอู้ ำนวย การศึกษาของคณะสงฆไ์ ดร้ ่วมมือกบั พระเถระในสมัยนั้น (พ.ศ.๒๔๕๔) จัดให้มีการศึกษา พระธรรม วนิ ยั ในแบบภาษาไทย โดยคัดเลือกหวั ข้อธรรมวินยั ในพระไตรปิฎก จัดเป็นหมวดหมู่เป็น ชั้น ๆ ตามความยากง่าย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บวช เข้ามาใหม่เรียนได้ง่ายขึ้น โดยแบ่งเป็น ๓ ชั้นเรียน คือ ชั้นตรี ชนั้ โท ชั้นเอก ผู้ทเ่ี รยี นจึงไดช้ อ่ื ว่านักธรรม พระเณรทีส่ อบได้ ก็ เรียกกันว่า “พระ นักธรรม” หลักสูตรนี้ต่อมาอนุญาตให้ชาวบ้าน เข้าสอบด้วย เรียก “ธรรมศึกษา” สำหรับผู้ที่สอบ บาลีได้เป็น เปรียญ และสอบนักธรรมได้อีก เรียกว่า “เปรียญธรรม” ใช้อักษร ย่อว่า “ป.ธ.” อนึ่ง ผู้ที่จะสอบบาลีนั้นจะต้องสอบนักธรรมให้ได้ กอ่ น ถ้าสอบนักธรรมตก บาลกี โ็ มฆะ คอื นกั ธรรมตรี มีสิทธิ์สอบได้ แค่ ประโยค ๑-๒-๓ นักธรรมโท มีสิทธิ์สอบประโยค ๔-๕-๖ ส่วน นักธรรมเอก มี สิทธสิ์ อบประโยค ๗-๘-๙ • การวดั ผลการศกึ ษา ยุคแรกการสอบพระปริยัติธรรมใช้เวลาศึกษา ๓ ปี สอบ ๑ ครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงได้กำหนดให้สอบปีละ ๑ ครั้ง ตลอดมา วิธีสอบพระปริยัติธรรมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังคงใช้ สอบ แบบเดิม คือ สอบด้วยปากเปล่า ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ ๒๙

เปลี่ยนแปลงมาสอบด้วยวิธีเขียน เฉพาะประโยค ๑ และประโยค ๒ สว่ นตง้ั แตป่ ระโยค ๓ ขน้ึ ไป สอบแปลด้วยปากตามแบบเดิม การพัฒนาการศึกษาของสงฆส์ มัย ร.๗ - ปัจจบุ นั นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา นโยบายการศึกษาได้ เปลี่ยนไป โดยแยกการศึกษาของ ภิกษุสามเณร และเด็กนักเรียน ออกจากกัน ตลอดจนถึงส่วนราชการที่รับผิดชอบด้วย โดยให้ กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบเฉพาะการศึกษา สำหรับเด็ก นักเรียนเท่านั้น ส่วนการศึกษาสำหรับ ภิกษุสามเณรให้สังกัด กระทรวงธรรมการ คณะสงฆ์ก็ได้เป็นภาระรับผิดชอบดำเนินการ ตา่ งหากออก ไปจนเป็นเอกเทศจากการศกึ ษาของรัฐ โครงการและ แผนการศึกษาของชาติในสมัยต่อมา ก็ไม่ได้ กล่าวถึงสงฆ์และ การศกึ ษาของสงฆ์อีกเลย การศกึ ษาของฝ่ายบ้านเมอื งกไ็ ด้มกี ารปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ เจริญรุดหน้ามาตามลำดับ มีมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน เกิดขึ้นมากมายทั่วทุกส่วนของประเทศและมีการพัฒนาทาง ด้าน การเรียนการสอนไปตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดเวลา ขณะท่ี สภาพการศึกษาพระปริยัติธรรม มิได้มีการแก้ไขปรับปรุง ทำให้ ค่านิยมในหมู่เยาวชนและภิกษุสามเณรที่มีต่อการศึกษาปริยัติ ธรรม ลดลงไป พระภิกษุสามเณรมีความไม่มั่นใจต่อระบบ การศึกษาสายพระปริยัติธรรมเดิมของคณะสงฆ์ จึงได้ขวนขวาย เรียนวิชาต่าง ๆ ทางโลกมากกว่าวิชาพระปริยัติธรรม แต่ปัจจุบัน นี้ พระเถระ ผู้บริหารการพระศาสนาเริ่มเปดิ กว้างมากขึ้น เพื่อให้ ๓๐

ได้เรยี นวิชาการสมัยใหม่มากยง่ิ ขึน้ โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ัง ๒ แห่ง ได้แสดงบทบาทเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ จนขยาย วิทยาเขตในทว่ั ประเทศมากข้ึน ๓๑

❀การศึกษาพระปรยิ ัติธรรมแผนกธรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้มีการเริ่มศึกษาแบบนักธรรมขึ้นควบคู่ กับฝ่ายเปรียญ แต่ยังเป็น การศึกษาของสงฆ์เท่านั้น จนถึงรัชกาล ที่ ๗ จึงเปิดโอกาสให้ฆราวาสชายหญิงเข้าเรียนด้วย โดย แยกเป็น แผนกธรรม สำหรับภิกษุสามเณรและแผนกธรรมศึกษาสำหรับ ฆราวาสชายหญิงแบ่งเป็น ๓ ชั้น นักธรรมศึกษาตรี ชั้นโทและช้ัน เอก มูลเหตุที่เริ่มให้มีการศึกษาแผนกธรรมขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น เนื่องมาจากทางราชการ ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติเกณฑ์ ทหาร ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้ ๓๒

ยกเว้นพระภิกษุสามเณรไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร สำหรับผู้รู้ธรรม ต่อมาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรง ตั้งหลักสูตรการศึกษาของพระภิกษุสามเณรแบบใหม่นี้เรียกว่า “นักธรรม” มี ๓ ชั้น คือ นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท และ นักธรรมชั้นเอก เริ่มสอบไล่สนาม หลวงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ เปน็ ตน้ มา ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ทางคณะสงฆ์อนุญาตให้ครูที่เป็นคฤหัสถ์เข้า สอบไล่วิชานักธรรมตรีใน สนามหลวงคณะสงฆ์ได้ และต่อมาทาง คณะสงฆไ์ ดอ้ นุญาตให้คฤหสั ถ์ชายหญงิ เข้าสอบความรู้ นกั ธรรมใน สนามหลวงได้ด้วย โดยกำหนดให้สอบพร้อมกับภิกษุสามเณรทั่ว ราชอาณาจักร สำหรับ หลักสูตรวินัยบัญญัตินั้น ไม่เหมาะกับ คฤหัสถ์ จึงเปลี่ยนเป็นเบญจศีล เบญจธรรมและอุโบสถศีล เป็น หลักสูตรแทน สำหรับผู้เรียนธรรมศึกษาตรี เรียน ๔ วิชา ส่วน ธรรมศกึ ษาโทและเอก เรยี น เพยี ง ๓ วิชา ยกเวน้ วิชาวินัย ๓๓

❀การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมแผนกบาลี ตั้งแต่โบราณมาไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ส่วนใหญ่ยังคงรูปเดิมอยู่ ทั้งทางด้านหลักสูตร การวัดผลและวิธี สอบ ยังยากต่อการเล่าเรียน ต้องใช้เวลามาก และเดิมที การสอบ บาลีต้องสอบด้วยปากเปล่า จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๙ จึงให้ ยกเลิกการสอบความรู้บาลี ด้วยวิธีแปลปากเปล่า มาใช้เป็นการ สอบด้วยวิธีเขียนแทนทุกประโยค ในปัจจุบัน การสอบบาลี สนามหลวง ป.ธ. ๑-๒ ถึง ป.ธ.๕ เมื่อสอบไดว้ ิชาหนึ่งและ ตกวิชา หนง่ึ แลว้ แมก่ องบาลีสนามหลวงเปิดโอกาสใหส้ อบแกต้ วั อกี ครัง้ อนึ่งการสอบบาลี เมื่อก่อนไม่กำหนดวันสอบแน่นอน กรรมการจะประกาศเป็นคราว ๆ ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๖ จึง ๓๔

กำหนดให้สอบปลี ะคร้ังตลอดมา เพ่งิ มาเปลี่ยนเป็นสอบ ๒ คร้งั ใน รชั กาลปัจจบุ นั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ นเ้ี อง ๓๕

❀ การศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมแผนก สามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการให้ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่า ด้วยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๑๔ เมื่อ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ และปรับปรุงใหม่เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ การศึกษาแบบนี้เป็นการศึกษาแบบ ประยุกต์หรือเป็นการศึกษารูปแบบ หนึ่งของการศึกษาคณะสงฆ์ ๓๖

เป็นการศึกษาที่รัฐกำหนดให้มีขึ้นตามความประสงค์ของคณะสงฆ์ โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายศาสนจักรได้ศาสนทายาทที่ดีมี ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และสืบต่อพระพุทธศาสนาให้เจริญสถาพรต่อไป และฝ่าย บ้านเมือง เมื่อพระภิกษุสามเณรได้ลาสิกขาแล้ว ก็สามารถเข้า ศึกษาต่อในสถานศึกษาของรัฐได้ หรือเข้ารับ ราชการสร้าง คุณประโยชน์ให้แก่ตนเองและบ้านเมืองสืบต่อไป ปัจจุบันนี้ การศกึ ษาประเภทนีไ้ ดก้ ระจายอยใู่ นจงั หวดั ตา่ ง ๆ ทั่วประเทศ ๓๗

❀ มหาวทิ ยาลัยสงฆ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญจึงได้ ปฏิรูปการศึกษา จัดการเรียน การสอนให้เป็นระบบเหมือนนานา อารยประเทศ ให้ราษฎรทุกคนได้ศึกษาอย่างมีระบบ และสำหรบั พระภิกษสุ ามเณร พระองค์ก็ทรงสนับสนุนให้คณะสงฆไ์ ด้ศึกษาเล่า เรยี น ท้งั ดา้ นพระปริยัติธรรม และวิชาการช้ันสูงสมัยใหม่ควบคู่กัน ไป ได้ทรงสถาปนามหาธาตุวิทยาลัยขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย” และในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็โปรดให้เปิดขึ้นที่วัดบวร นิเวศวิหารและได้ทรงพระราชทานนามว่า “มหามกุฏราช วิทยาลัย” อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งนี้ได้ ดำเนินการมาโดยลำดับแต่ก็ยังไม่ ก้าวหน้าถึงขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เพิ่งจะมายกระดับการศึกษาขนึ้ เปน็ มหาวิทยาลัยในรชั กาลปีจจุบัน นี้เอง โดยเฉพาะเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ มหาเถรสมาคมได้ออกคำสั่ง ๓๘

มหาเถรสมาคมเรื่องการศึกษา ของมหาวิทยาลัยสงฆ์อันเป็นการ รับรองว่าการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งนั้นเป็นการ ศกึ ษาของสงฆ์อยา่ งเปน็ ทางการ ต่อมา รัฐบาลโดยการยินยอมของรัฐสภา ก็ได้ตรา พระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะ ผ้สู ำเรจ็ วิชาการพระพทุ ธศาสนา พ.ศ.๒๕๒๗ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ และได้ตรา พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อพ.ศ. ๒๕๔๐ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยให้มีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ ของ รัฐและเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ได้รับงบประมาณสนับสนุน จากรัฐบาลไทย จัดการเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึง ปริญญาเอก เปิดสอนทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์และจัดหลักสูตรทั้ง ภาค ภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ เพื่อผลิตบัณฑิตเป็นสะพาน เชื่อมเครือข่ายทั่วโลก แนวโน้มการพัฒนาการศึกษาของคณะสงฆ์ ในอนาคต ปัจจุบันนี้ การศึกษาในวงการคณะสงฆ์ได้พลิกโฉมหน้าไป อยา่ งมาก โดยไดม้ กี ารจดั การ ศกึ ษาสมัยใหม่เพิ่มขึน้ อกี ไม่เหมือน สมัยดั้งเดิมที่เน้นอยู่เฉพาะการศึกษาแผนกนักธรรมและภาษา บาลีเท่านั้น แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นระบบการศึกษาในรูปแบบของ ก ารศึกษ าปริยัติธรรมสายสามัญ แ ละ มหาวิท ยาลัย ระดับอุดมศึกษาขึ้นไป เพื่อเน้นให้พระสงฆ์มีความสมบูรณ์ทาง ๓๙

ความรู้ในหลาย ๆ ด้าน โดยเน้นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ ชาวตา่ งประเทศดว้ ย ยง่ิ ขณะนี้ พระสงั ฆาธกิ ารระดับตา่ ง ๆ ไดต้ ื่นตัวในการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ด้าน ต่าง ๆ ให้ทันกับเหตุการณ์ มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรการ บรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ (ปบ.ส.) ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นมา พระสังฆาธิการ ทั่วประเทศได้ศึกษาหลักสูตร ปบ.ส. ๑ ปี และ สามารถเขา้ เรียนตอ่ ระดับปรญิ ญาตรี และขณะนี้มี พระสังฆาธิการ ได้เรียนจบปริญญาตรี และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท นับว่า เป็นหลักสูตรที่ ทำให้พระสังฆาธิการสนใจและศึกษาเป็นจำนวน มาก ๔๐

❀ บทสรปุ ขณะนี้สังคมไทยกำลังสนใจเรื่องโครงสร้างการบริหารองค์กร ตา่ ง ๆ และสงั คมการศึกษา มีการเปล่ียนแปลง มกี ารใช้เทคโนโลยี มากขึ้น กำหนดให้ครอู าจารย์เป็นผู้บริหารมืออาชีพในการ กำหนด วิธีการและเครื่องมือในการวัดจริยธรรม คุณธรรม และวัดคุณภาพ ทั้งภายในและภายนอก ในการประกันคุณภาพทางการศึกษา ส่วน ในการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ ให้ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน เมื่อ การศึกษาทางโลกมีการเปลี่ยน แปลงอยู่เสมอ และมีความ ตระหนักที่จะนำศีลธรรมเข้าไปแก้ปัญหาของสังคม เช่น รัฐบาลได้ สนับสนุนให้พระเป็นครสู อนศีลธรรมในโรงเรยี นทวั่ ประเทศเป็นต้น ดังนั้น กระบวนการจัดการ ศึกษาของคณะสงฆ์โดยเฉพาะพระ ปริยัติธรรมทั้งแผนกบาลีและแผนกธรรม จึงควรที่จะมีการ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้าเป็นระบบ เพื่อจะได้รองรับเด็กที่จบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ สามารถ เข้ามาศึกษาในคณะสงฆ์ และ สามารถเทยี บโอนกนั ได้กจ็ ะทำใหเ้ ดก็ ท่มี ศี รัทธาในพระพุทธศาสนา อยู่แล้ว ได้ศึกษาทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายโลกควบคู่กันไป และเป็น การสร้างศาสนทายาทและเปิด โอกาสให้เป็นทางเลือกใหม่ใน การศกึ ษาของชาติ เพราะเหตุว่าการเรียนในโรงเรียนทั่วไปนั้นจะมี ปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ถ้าเข้ามาบวชเรียน ในวัด พระจัดการดูแลให้ คือ จัดศาสนศึกษาซึ่งเป็นการจัด ๔๑

การศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรที่เข้ามาบวชเรียนเพื่อเป็น ทางเลือก หนึ่งของผู้ต้องการให้ลูกของตนเองมีคุณธรรมและ จรยิ ธรรม เขา้ มาบวชเรียนเพ่ือท่ีจะเป็นพลเมอื ง ดขี องชาติ และรัฐ จะต้องใหก้ ารสนบั สนุนดา้ นงบประมาณเหมอื นโรงเรยี นทัว่ ไป สิ่งสำคัญ ผู้บริหารคณะสงฆ์ จะต้องเร่งพัฒนาหลักสูตร การศึกษาของคณะสงฆ์โดยเฉพาะ หลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนก ธรรมและบาลีให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ท่ีสามารถรักษาสาระ หลักสูตร เดิมไว้และสามารถเทียบโอนผลการเรียนกับการจัด การศึกษาสามัญทั่วไปของรัฐ มิฉะนั้นในทศวรรษ หน้า คณะสงฆ์ จ ะ เ ก ิ ด ว ิ ก ฤ ต ิ ข า ด แ ค ล น ผ ู ้ เ ข ้ า ม า บ ว ช เ ร ี ย น แ ล ะ ส ื บ ต่ อ พระพุทธศาสนาอย่างรนุ แรง อ้างองิ • ผศ.ดร.สมศกั ดิ์ บญุ ปู่ https://www.mcu.ac.th/article/detail/14295 • https://mcu.ac.th/ • http://www.gongtham.net/web/news.php • http://www.infopali.net/ ๔๒

วิเคราะห์ 1. ระบบการศกึ ษาคณะสงฆ์ไทย มปี ัญหา อปุ สรรค อยา่ งไร 2. ระบบการศกึ ษาคณะสงฆไ์ ทย ควรปรบั ปรุง อย่างไร 3. ระบบการศึกษาคณะสงฆไ์ ทย ควรเป็นอย่างไรใน อนาคต ๔๓


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook