พระธรรมเทศนา “สุจรติ ธรรมกถา” โดย พระพรหมบณั ฑิต (ประยรู ธมมฺ จิตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๒ อธิการบดมี หาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย และเจา้ อาวาสวัดประยรู วงศาวาสวรวิหาร
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะฯ* ธัมมัง จะเร สจุ ะรติ ัง นะ ตงั ทุจจริตัง จะเร ธัมมะจารี สขุ ัง เสติ อัสมิง โลเก ปะรัมหิ จาติ ณ บัดน้ี จักรับประทานแสดงพระธรรมเทศนา ในสุจริต ธรรมกถา ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เพื่อเป็นเครื่อง ประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับปัญญาบารมี อนุโมทนากุศลบุญ ราศีของท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ผู้ขวนขวายมาบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล ณ หอประชุมแห่งน้ี โดยปรารภโอกาสมหามงคลท่ี สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า สมเด็จพระปรินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เสด็จเถลิงถวัลยราช สมบัติครบ ๗๐ ปี วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ หรือสำนักงาน ป.ป.ช. โดยความเหน็ ชอบของมหาเถรสมาคม จึงจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจ้าทัง้ สองพระองค์ ผู้ทรงพระคณุ อนั ประเสริฐ * จัดทำขึน้ ภายใต้โครงการปอ้ งกันการทจุ รติ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา โดยความรว่ มมอื ระหว่างสำนกั งาน ป.ป.ช. กับมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เพอ่ื เฉลิมพระเกยี รติ สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกรู เนือ่ งในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษา ๖๕ พรรษา เทศน์ในวันอาทติ ย์ท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (แรม ๑๕ ค่ำ เดอื น ๘) พรอ้ มกนั ณ วัดตา่ งๆ ทว่ั ประเทศ ๒
การทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสมหามงคลน้ี นับเป็นการแสดงออกซึ่งความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วยความ กตญั ญกู ตเวทีต่อสถาบันพระมหากษตั ริยแ์ ละในขณะเดียวกันก็ถือเป็น โอกาสแห่งปฏิบัติบูชาคือการน้อมนำพระราชจริยาวัตร และพระบรม ราโชวาทมาประพฤติปฏิบัติตามอันจะส่งผลให้เกิดความผาสุกและ สันติสุขในบ้านเมือง ทั้งน้ีเพราะตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ผ่านมา สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรง ครองแผ่นดินตามพระปฐมบรมราชโองการที่ทรงประกาศไว้ว่า “เรา จะครองแผ่นดนิ โดยธรรม เพอื่ ประโยชน์สขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม” ในพระปฐมบรมราชโองการนี้ คำว่า “ครองแผ่นดินโดยธรรม” หมายถึง “ครองแผ่นดินโดยสุจริตธรรม” สมดังพระบาลีพุทธภาษิตท่ี อาตมภาพได้ยกเป็นนิกเขปบทเบื้องต้นว่า “ธัมมัง จะเร สุจะริตัง” เป็นต้น แปลความว่า “บุคคลควรประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่ควร ประพฤตธิ รรมนัน้ ใหท้ ุจรติ ผู้ประพฤตธิ รรมย่อมอย่เู ปน็ สขุ ท้งั ในโลก นี้และในโลกหน้า” พระพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธภาษิตนี้แก่พระเจ้าสุ ทโธทนะในโอกาสที่เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกภายหลังจากการ ตรัสรู้ ในพุทธพจน์นี้ คำว่า “ธรรม” หมายถึง หน้าที่ กล่าวคือ พระ เจ้าสุทโธทนะทรงมีหน้าที่ในการปกครองซึ่งจัดเป็นวรรณธรรมคือ หน้าที่ประจำวรรณะกษัตริย์ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธธรรมคือหน้าท่ี ประจำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะต้องออกบิณฑบาตโปรดเวไนย สัตว์ ใครมีธรรมคือหน้าที่อะไรควรทำหน้าที่นั้นให้สุจริตด้วยลักษณะ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ ๒) ไม่ละเวน้ หน้าที่ และ ๓) ไม่ทุจริตต่อหนา้ ท่ี ๓
ประการแรก บุคคลชื่อว่า ไม่บกพร่องต่อหน้าท่ี เพราะเขา ทุ่มเทอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เม่ือ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ใด เขาจะทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุดเพื่อ ไมใ่ ห้เกดิ ความบกพร่องเสียหายแก่งานในหน้าที่ เขา้ ทำนองทว่ี า่ “ร้อง ให้สุดคำ รำให้สุดแขน แพนให้สุดปีก” ดังที่นักปราชญ์จีนชื่อว่าขงจ้อื ก ล ่ า ว ไ ว้ ว ่ า “ เ ม ื ่ อ ไ ด ้ ร ั บ ม อ บ ห ม า ย ใ ห้ ท ำ ห น ้ า ที่ ใ ด จงทำหน้าทน่ี ้ันใหด้ ีทีส่ ุด ถา้ เขาให้เล้ยี งม้า มา้ จะต้องอ้วน ถ้าเขาให้ เป็นเสนาบดกี ระทรวงการคลงั เงินจะต้องเต็มคลัง” ประการที่สอง บุคคลชื่อว่า ไม่ละเว้นหน้าที่ เพราะเป็นผู้มี ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี เขาจึงไม่ละทิ้งหน้าที่หรือผลักภาระหน้าท่ี ของตนไปให้คนอื่น เช่น ผู้เป็นทหารย่อมไม่หนีทัพ ผู้เป็นบิดามารดา ย่อมไม่ละทิ้งหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนบุตรธิดา ในนิทานอีสปมีเรื่อง เล่าเกี่ยวกับมารดาที่ไม่ทำหน้าท่ีว่ากล่าวตักเตือนบุตรของตนเม่ือ พบว่าเขาชอบลักขโมยในวัยเด็ก พอบตุ รเติบใหญก่ ก็ ลายเป็นโจร อีสป สรุปว่า เมื่อบุตรเป็นโจร บิดามารดาย่อมมีส่วนในการสร้างความเป็น โจรให้กับบุตรเหตุเพราะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน บตุ รของตน ประการสุดท้าย บุคคลชื่อว่า ไม่ทุจรติ ต่อหน้าที่ เพราะเขาไม่ ปฏิบัติหน้าที่ไปในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายและหลักศีลธรรม หมายถึง เขาไม่ใช้อำนาจหน้าท่ีไปในการแสวงหาประโยชน์ให้กับ ตนเองหรือคนอื่นในทางท่ีผิดกฎหมายและผิดทำนองคลองธรรม ประโยชน์ในที่นี้หมายรวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งหน้าท่ี ๔
ชื่อเสียงเกียรตยิ ศหรอื สิทธิอ่ืนใดที่ไม่สมควรได้มาแต่ก็ใช้อำนาจหน้าที่ ในทางมิชอบจนกระทั่งได้มาตามท่ีต้องการ นี่เรียกว่าการทุจริตต่อ หน้าท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั สอนตอ่ ไปวา่ “นะ ตงั ทจุ จรติ งั จะเร” แปล ความว่า “บุคคลไม่ควรประพฤติธรรมคือหน้าที่นั้นให้ทุจริต” ทั้งน้ี เพราะการทุจริตตอ่ หนา้ ที่เปน็ เหมอื นสนมิ ที่กัดกรอ่ นชีวิตและสังคมให้ พังพินาศไปในที่สุด ชีวิตของบุคคลผู้บกพร่องต่อหน้าท่ี ละเว้นหน้าที่ และทุจริตต่อหน้าที่ย่อมมีแต่ความอ่อนแอเสื่อมโทรม อาณาจักรที่ ยิ่งใหญ่ในอดีตไม่ได้ล่มสลายเพราะภัยจากภายนอกเพียงอย่างเดียว หากแต่บาปทจุ ริตของประชาชนอนั เป็นสนมิ ภายในก็มสี ว่ นสร้างความ อ่อนแอให้กับอาณาจักรนั้นๆจนต้องล่มสลายเมื่อภัยจากภายนอกมา รุกราน ข้อนี้สมดังพุทธพจน์ในธรรมบทที่ว่า “อะยสา วะ มะลัง สมุฏฐิตัง” เป็นต้น แปลความว่า “สนิมเกิดแต่เหลก็ ยอ่ มกดั กินเหลก็ ฉันใด กรรมที่ตนทำไว้ ย่อมนำเขาผู้ไร้ปัญญาไปสู่ทุคติฉันนั้น” สม ด้วยโคลงโลกนติ ทิ ว่ี ่า สนิมเหล็กเกดิ แต่เนื้อ ในตน กนิ กัดเน้ือเหลก็ จน กร่อนขรำ้ บาปเกิดแต่ตนคน เปน็ บาป บาปยอ่ มทำโทษซ้ำ ใสผ่ บู้ าปเอง สภาพของสงั คมไทยในปจั จุบันมกี ารทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ ทั้งในและนอกวงราชการอยู่ทั่วไปจนเป็นที่ห่วงใยกันว่าการทุจริตต่อ หน้าที่กำลังกลายเป็นสนิมร้ายที่บ่อนทำลายประเทศชาติอยูใ่ นขณะนี้ ๕
ทั้งนี้เพราะการทุจริตต่อหน้าท่ีเมื่อผนวกเข้ากับคติที่ว่า “มือใครยาว สาวได้สาวเอา” ย่อมนำสังคมไปสู่การแก่งแย่งแข่งขันในลักษณะที่ว่า “แยง่ อาหารกนั กิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคูก่ ันพิศวาส แยง่ อำนาจกันเป็น ใหญ่” การแตกความสามัคคกี ลายเป็นสนมิ ท่ีกัดกร่อนโครงสร้างสังคม จากภายในที่รอวันล่มสลายถ้าถูกกระทบด้วยภัยจากภายนอกใน อนาคต สภาพสังคมที่ดาษดื่นไปดว้ ยการทุจริตและประพฤติมิชอบทัง้ ในและนอกวงราชการนี้แสดงให้เหน็ ถึงความย่อหย่อนในการรกั ษาศลี ๕ เพราะวา่ ประโยชน์เช่นทรพั ยส์ ินเงินทองท่ีบุคคลประพฤติทจุ รติ แลว้ ได้มานั้นจัดเป็นอทินนาทานคือการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ซ่ึง นับเป็นการละเมิดศีลห้าข้อที่ ๒ ท่ีมีคำสมาทานว่า “อทินนาทานา เว ระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทคืองด เวน้ การถอื เอาสิ่งของที่เจา้ ของมิได้ให”้ การงดเวน้ จากการทจุ ริตทา่ นเรยี กวา่ วิรตั ิ มี ๓ ประการคือ ๑) สัมปัตตวิรัติ เว้นสิ่งประจวบเฉพาะหน้า คือเว้นเมื่อ ประสบเหตุจูงใจให้ทำการทุจริตแล้วงดเว้นเสียได้ไม่ทำผิดศีลเพราะมี หริ ิ ความอายชั่ว โอตตปั ปะ ความกลวั บาป ๒) สมาทานวิรัติ เว้นด้วยการสมาทาน คือ ได้สมาทาน ศีลไว้แล้วเมื่อประสบเหตุจูงใจให้ทำการทุจริตก็งดเว้นได้ตามท่ี สมาทานไว้ก่อนแล้ว ๖
๓) สมุจเฉทวริ ตั ิ เวน้ ไดเ้ ดด็ ขาด คือ การงดเวน้ การทจุ รติ ของพระอริยะทั้งหลาย ผู้ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะประกอบการทุจริต นนั้ ดังนั้น การรณรงค์ให้คนไทยรักษาศีล ๕ โดยเข้าร่วมโครงการ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ จึงเป็นวิธีการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิ ชอบที่มีประสิทธภิ าพมากท่ีสุดวิธีหนึ่ง การทุจริตและประพฤติมิชอบมไิ ด้มีแตใ่ นสมัยนี้เท่านั้น แม่แต่ ในสมัยพทุ ธกาลกว่าสองพันปีมาแลว้ กม็ ีการทุจริตและประพฤติมิชอบ เชน่ เดียวกนั ดังทีม่ กี ารเล่าไว้ในธนัญชานิสตู ร ดังต่อไปนี้ ญาติคนหน่ึงของพระสารีบุตรมีชื่อวา่ ธนัญชานพิ ราหมณ์ เขา เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในการรับราชการช่วงแรก เขาปฏิบัติหน้าที่ ดว้ ยความสจุ ริตเพราะไดภ้ รรยาท่เี ปน็ สมั มาทิฏฐิคอยตกั เตือนเขา แต่ ตอนหลังเขาได้ภรรยาใหม่ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเห็นผิดจากทำนองคลอง ธรรม ธนัญชา นิพราหมณ์จึงหันมาประพฤติทุจริตต่อหน้าที่ด้วย วธิ ีการ ๒ อย่าง ดงั นี้ วิธีการแรก เขาอาศัยพระราชาปล้นประชาชน คือ อ้าง กฎหมายหรอื ใชอ้ ำนาจรัฐเพ่อื แสวงหาประโยชนจ์ ากประชาชน วิธกี าร นี้เรยี กว่า การฉอ้ ราษฎร์ วิธีการท่ีสอง เขาอาศัยประชาชนปล้นพระราชา คือ เบิกเงนิ จากคลังหลวงโดยอ้างว่าจะนำไปช่วยประชาชนผู้ประสบภัยแต่เงินนั้น ไม่ถึงมือประชาชนเพราะเขานำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน วิธีการ น้ีเรียกวา่ การบงั หลวง ๗
ต่อมาเมือ่ พระสารีบุตรได้พบกับธนัญชานิพราหมณ์ พระเถระ ได้ถามเขาว่า เขาทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงตามที่มีผู้รายงานให้ท่าน ทราบจริงหรือ ธนัญชานิพราหมณ์รับสารภาพว่าเขาได้ทำเช่นนั้นจริง พระสารีบุตรถามว่า ทำไมจึงทำเช่นนั้น ธนัญชานิพราหมณ์ตอบว่า เหตุท่ีเขาทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะเขาต้องนำเงินที่ได้จากการ ทุจริตประพฤติมิชอบไปเลี้ยงดูบิดามารดา บุตร ภรรยา ทาสและ กรรมกร พระสารีบุตรไดต้ ักเตอื นธนญั ชานิพราหมณ์วา่ ผ้ทู ำการทจุ รติ ประพฤติมิชอบตายไปแล้วต้องตกนรก คำแก้ตัวท่ีว่าเขาจำเปน็ ต้องทำ การทุจริตประพฤติมิชอบเพื่อนำเงินไปเลี้ยงดูบดิ ามารดา บุตร ภรรยา ทาสและกรรมกรนี้ฟังไมข่ นึ้ เร่อื งเล่าในธนญั ชานิสูตรนแ้ี สดงให้เหน็ ถึงวธิ กี ารหนงึ่ ที่ธนัญชา นิพราหมณ์ใช้ฉ้อราษฎร์บังหลวงก็คือการอาศัยพระราชาปล้น ประชาชน นั่นคือบุคคลอย่างธนัญชานิพราหมณ์อาศัยช่องโหว่ของ กฎหมายบ้างความหละหลวมในการกำกับดูแลของผู้บังคับบัญชาบ้าง เปน็ โอกาสในการแสวงหาประโยชน์ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ราชการ บคุ คล เช่นน้ีมีปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัย ดังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทุจริตของ คนไทยในอดีตว่า สวนสัตว์แห่งหนึ่งได้เสือโคร่งใหม่มาตัวหน่ึง ผู้อำนวยการสวนสัตว์แห่งนั้นต้ังงบประมาณเป็นค่าอาหารเสือตัวนี้วัน ละ ๑ บาทซงึ่ เป็นเงินจำนวนมากในสมยั นน้ั ผู้คุมเบิกเงนิ วันละ ๑ บาท ไปซื้อเนื้อมาเลี้ยงเสือ แต่เขาทำการทุจริตต่อหน้าที่ด้วยการเบียดบัง เงนิ ๑ สลงึ ไปเป็นของตน เขาใช้เงนิ เพียง ๓ สลึงไปซอ้ื เนื้อมาเลี้ยงเสือ ทุกวัน ผลปรากฏว่าเสือไม่อ้วนสักที คนที่มาชมสวนสัตว์จึงฟ้องไปท่ี ผู้อำนวยการสวนสัตว์ว่า งบประมาณค่าอาหารเสือคงไม่พอ ขอให้ตั้ง ๘
งบประมาณเพิ่ม ผู้อำนวยการสวนสัตว์เป็นคนรอบคอบสุขุม เขาส่ง ผู้ตรวจการคนหน่ึงไปตรวจดูว่าทำไมเสือจึงไม่อ้วน ผู้ตรวจการคนนี้ไป ตรวจดูอยู่สามวันก็รู้ความจริงว่าเงินค่าอาหารเสือถูกเบียดบังไป ๑ สลึง เขาจึงขอส่วนแบ่งเป็นค่าปิดปากอีก ๑ สลึง เสือได้ค่าอาหารแค่ วันละ ๒ สลงึ เสอื จึงผอมลงอย่างเห็นไดช้ ัด ผู้ชมสวนสัตว์เห็นว่าเสือผอมจึงร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการ สวนสัตว์ให้ตั้งงบประมาณค่าอาหารเพิ่ม ผู้อำนวยการสวนสัตว์ก็ส่ง ผู้ตรวจการระดับสูงไปตรวจดูว่าทำไมเสือจึงผอม ผู้ตรวจการคนนี้ไป ตรวจดูอยู่สามวันก็รู้ความจริงว่าเงินค่าอาหารเสือถูกเบียดบังไป ๒ สลึง เขาจึงขอส่วนแบ่งเป็นค่าปิดปากอีก ๑ สลึง ตกลงว่า คนสามคน เบียดบังค่าอาหารเสือไปถึง ๓ สลึง เสือได้ค่าอาหารแค่วันละ ๑ สลึง เสอื จงึ ผอมมากเหลือแต่หนงั หุ้มกระดกู ผชู้ มสวนสัตว์เห็นว่าเสือผอมมากจึงร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการ สวนสัตว์ให้ตั้งงบประมาณค่าอาหารเพิ่มโดยด่วน แต่ผู้อำนวยการสวน สัตว์กลับส่งผู้ตรวจการระดับสูงสุดไปตรวจดูว่าทำไมเสือจึงผอมมาก ผ้ตู รวจการคนน้ไี ปตรวจดอู ยสู่ ามวนั เสือก็ตาย เพราะเขาขอสลึงสุดท้าย เป็นค่าปดิ ปาก น่ันคอื คน ๔ คนเบียดบงั ค่าอาหารเสือไปจนหมดเสือจึง ตาย โคลงโลกนติ ิได้สรุปเหตุการณน์ ้ไี ว้วา่ เบิกทรัพย์วนั ละบาทซื้อ มงั สา นายหน่ึงเล้ยี งพยคั ฆา ไปอ่ ้วน สองสามส่นี ายมา กำกบั กันแฮ บังทรพั ยส์ ส่ี ว่ นถว้ น บาทส้ินเสือตาย ๙
ในเรื่องนี้ เสือก็คือประชาชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยผู้ใช้ อำนาจรัฐในทางมิชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรม การป้องกันไม่ให้ ปัญหาเชน่ นี้เกิดขึ้นต้องอาศัยการทีพ่ ระราชาหรือผู้นำรัฐตอ้ งประพฤติ สุจริตธรรมและคอยกำกับดูแลให้คนใต้ปกครองปฏิบัติ หน้าที่ด้วย ความสุจริตตามไปด้วยทั้งน้ีเพราะอาศัยระบบการให้รางวัลและการ ลงโทษที่เคร่งครัดและเป็นธรรม สมดังพระบาลีที่ว่า “นิคคัณเห นิค คะหาระหัง ข่มคนที่ควรข่ม ปัคคัณเห ปัคคะหาระหัง ยกย่องคนท่ี ควรยกย่อง” และพระบาลีในธรรมิกสูตรที่ว่า “คุนนัญฺเจ ตะระมา นานัง อุชุง คัจฉะติ ปุงฺคะโว” เป็นต้นแปลความว่า “เมื่อฝูงโคข้าม แม่น้ำไปอยู่ ถ้าโคจ่าฝูงไปตรง โคลูกฝูงเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปตรง ตาม ในเมอื่ โคจ่าฝงู ไปตรง ในหม่มู นษุ ย์กเ็ หมือนกัน ผใู้ ดได้รับสมมติ ให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติธรรม ประชาชนนอกนี้ย่อมประพฤติ ธรรมเหมือนกัน” ธนัญชานิสูตรยังได้แสดงให้เห็นอีกวิธีการหนึ่งที่บุคคล อยา่ งธนัญชานพิ ราหมณ์ใชใ้ นการฉอ้ ราษฎรบ์ ังหลวง น่ันคือ เขาอาศัย ประชาชนปล้นพระราชาซึ่งในสมัยปัจจุบันทำกันได้หลายรูปแบบ เช่น การร่วมกับประชาชนบุกรุกป่าสงวนหรือตัดไม้ทำลายป่า การฮ้วั การประมูล การทำสัญญาชนิดที่ทำให้รัฐเสียเปรียบคู่สัญญา รวมท้ัง การซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งทุกระดับ ปัญหาเหล่านี้เกิดจาก การทีป่ ระชาชนให้ความรว่ มมอื ในการทุจรติ และประพฤติมชิ อบเพราะ หวังผลประโยชน์ตอบแทน ดังนั้น องค์การสหประชาติจึงกำหนดให้ วันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นของโลก โดยรณรงคใ์ ห้ประชาชนท่วั โลกพรอ้ มใจกนั ทจี่ ะไมจ่ ่ายและไมร่ ับสนิ บน ๑๐
การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในและนอกวง ราชการจะประสบความสำเรจ็ กต็ อ่ เมอ่ื ประชาชนไดร้ บั การปลูกฝังใหม้ ี โลกปาลธรรมคือธรรมเครื่องคุ้มครองโลก ๒ ประการ ได้แก่ ๑) หิริ ความอายชั่ว และ ๒) โอตตัปปะ ความกลัวบาป สมดังพระบาลีที่ว่า “เทฺวเม ภิกขะเว สุกกา ธัมมา โลกัง ปาเลนติ” เป็นต้นแปล ความว่า “ธรรมฝ่ายขาว ๒ ประการนี้ย่อมคุ้มครองโลก ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑” ธรรมทั้งสองประการนี้ เรียกว่า ธรรมเครื่องคุ้มครองโลกเพราะช่วยประคับประคองให้ระบบ ศีลธรรมของโลกดำรงอยู่ได้ ถ้าไม่มีธรรมเครื่องคุ้มครองโลกทั้งสอง ประการนี้ มนุษย์ยอ่ มไม่ตา่ งจากสตั วเ์ ดรจั ฉาน สมดังภาษติ หโิ ตปเทศ ที่ว่า “การกิน การนอน การกลวั ภัย และการสืบพนั ธ์ุ ทั้งสี่อย่างนีม้ ี เสมอกันในมนุษยแ์ ละสัตว์เดรจั ฉาน ธรรมเท่าน้ันที่ทำใหม้ นุษยต์ ่าง จากสัตว์เดรัจฉาน เมื่อปราศจากธรรม มนุษย์ก็เสมอกับสัตว์ เดรัจฉาน” ธรรมที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานก็คือโลก ปาลธรรมหรือธรรมฝ่ายขาว ๒ ประการได้แก่ หิริและโอตตัปปะ สม ดงั ทพ่ี ระพุทธเจ้าตรัสไวใ้ นธรรมสตู รวา่ “ถ้าธรรมฝา่ ยขาว ๒ ประการ นี้จะไม่พึงคุ้มครองโลกไซร้ ในโลกนี้ก็ไม่พึงเหลือคำว่า แม่ น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์หรือว่าภรรยาของครูปรากฏอยู่ ชาวโลกจักถึง การผสมปะปนกันไป เหมือนอย่างแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัข จิ้งจอก ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ธรรมฝ่ายขาว ๒ ประการนี้ยังคุ้มครองโลกอยู่ ดังนั้น จึงยังเหลือคำว่า แม่ น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์ หรอื ว่าภรรยาของครูปรากฏอยู่” ๑๑
ในบรรดาธรรมเครื่องคุ้มครองโลกทั้งสองอย่างนั้น หิริ ความ อายช่วั หมายถึง ความละอายตอ่ การทำบาปกรรมหรอื ความชว่ั ทงั้ ปวง เป็นการมองเห็นความชั่วหรือบาปกรรมว่าเป็นสิ่งสกปรกที่ไม่ควรจะ ข้อแวะด้วย ทั้งนี้เพราะเชื่อมั่นในความดีและศักดิ์ศรีของตนจนไม่ ประสงค์จะลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับความชัว่ ทั้งหลาย ท่านเปรียบหิริ เหมือนความรู้สึกของคนที่อาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดหมดจด แลว้ ยอ่ มไม่ประสงคจ์ ะใหร้ า่ งกายไปแปดเป้ือนกบั สิง่ สกปรกอีก โอตตัปปะ ความกลัวบาป หมายถึง ความกลัววิบากหรือผล ของความช่ัวทจี่ ะตามมาสรา้ งความทุกขใ์ หก้ บั ชีวิต ความกลัวผลร้ายที่ จะตามมาน้ีสามารถห้ามมิให้คนทำชั่วได้ ผลร้ายนั้นเป็นได้ทั้งความ ทุกข์ในชาตินี้และในชาติหน้า ท่านเปรียบโอตตัปปะเหมือนความรู้สึก ของคนที่เห็นถ่านเพลิงติดไฟลุกโชนแล้วไม่กล้าจับเพราะกลัวความ ร้อนเผามือของตน สมดงั บทกลอนท่ีวา่ ถ้ารักตัวกลวั กรรมอย่าทำช่วั จะหมองมัวหม่นไหมไ้ ปเมอื งผี จงเลือกทำแตก่ รรมทด่ี ดี ี จะไดม้ คี วามสุขพน้ ทกุ ข์ภัย ในสตสิ ูตร พระพทุ ธเจ้าตรัสว่า หิริและโอตตปั ปะนี้เปน็ เหตใุ ห้ เกิดการสำรวมอินทรคี อื ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และการสำรวมอนิ ทรี ก็เป็นพื้นฐานของการรักษาศีล ดังพระบาลีที่ว่า “หิโรตตัปฺเป สะติ หิโรตตัปปะสมปันฺนัสสะ อุปะนิสะสัมปันโน โหติ อินฺทริยะสังวะโร” เป็นต้น แปลความว่า “เมื่อหริ แิ ละโอตตัปปะมีอยู่ อินทรียสังวรช่อื วา่ มีเหตุสมบูรณ์สำหรับผู้ที่สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ เมื่ออินทรยี ๑๒
สังวรมีอยู่ ศีลชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ สำหรับผู้ท่ีสมบูรณ์ด้วยอินทรีย สังวร” ดังได้พรรณนามาแล้วว่า การงดเว้นจากการทุจริตและ ประพฤติมิชอบถือว่าเป็นการรักษาศีลห้าข้อที่ ๒ คือการงดเว้นจาก อทินนาทานหรอื การถือเอาส่ิงของทเ่ี จา้ ของมิได้ให้ การงดเวน้ จากการ ทุจริตจะคงอยู่อย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีหิริและโอตตัปปะเป็นพื้นฐาน ถ้า ปราศจากธรรมทั้งสองประการน้ีแล้ว คนเราย่อมสามารถที่จะทำการ ทุจริตและประพฤติมิชอบได้ตลอดเวลา ดังนั้น การปลูกฝังธรรมทั้ง สองประการให้เป็นธรรมประจำใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ นั่นคือ มีหิริความ ละอายที่จะทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีโอตตัปปะความกลัว ผลร้ายขอการทุจริตและประพฤตมิ ิชอบน้ัน หิริ ความอายชั่วเกิดจากการนึกถึงความเป็นคนดีและศักดิ์ศรี ของวงศ์ตระกูลเป็นต้นแล้วเกิดความละอายใจที่จะทำการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ความทะนงในศักดิ์ศรีทำให้คนบางคนไม่คิดโกงใคร หรือขอใครกนิ ดังทีพ่ รรณนาไวใ้ นโคลงโลกนิตวิ ่า ถึงจนทนสกู้ ัด กินเกลือ อย่าเทีย่ วแลเ่ น้อื เถอื พวกพอ้ ง อดอยากเย่ียงอย่างเสอื สงวนศกั ด์ิ โซก็เสาะใสท่ ้อง จบั เนื้อกินเอง ๑๓
เรื่องของนางขุชชุตตราเป็นตัวอย่างหนึ่งของบุคคลที่งดเว้น จากการทุจริตและประพฤติมิชอบเพราะเกิดหิริความอายชั่วขึ้นในใจ เรื่องมอี ยู่ว่า นางขุชชตุ ตราเป็นสาวใช้ของพระนางสามาวดีผู้เป็นมเหสีของ พระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี เธอเบิกเงินจากคลังหลวงเป็นเหรียญ กษาปณ์วันละ ๘ อันเพื่อนำไปซื้อดอกไม้มาถวายพระนางสามาวดี เมื่อเบิกเงินไปแล้ว นางขุชชุตตราจ่ายค่าดอกไม้เพียง ๔ เหรียญ กษาปณ์และได้ดอกไม้วันละครึ่งกระเช้า เงินที่เหลือเธอได้เบียดบังไป เป็นของตนเอง นี่คือการทุจริตต่อหน้าท่ี นางขุชชุตตราทำอย่างนี้ทุก วัน วันหนึ่ง ช่างดอกไม้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์หมู่ใหญ่มา รับภัตตาหารที่ร้านจึงไม่มีเวลาจัดดอกไม้ให้นางขุชชุตตรา ขณะที่รอ รับดอกไม้อยู่นั้น นางขุชชุตตราได้ช่วยจัดอาหารถวายพระสงฆ์และได้ มีโอกาสฟังคำเทศนาและคำอนุโมทนาของพระพุทธเจ้าจนจบแล้วเธอ ไดด้ วงตาเห็นธรรม เธอไดจ้ า่ ยเงนิ เปน็ เหรยี ญกษาปณ์ ๘ อันซื้อดอกไม้ เต็มกระเช้าไปถวายพระนางสามาวดี เมื่อทอดพระเนตรเห็นดอกไม้ท่ี มากกว่าทุกวนั พระนางสามาวดีตรสั ถามว่าพระเจา้ อุเทนพระราชทาน เงินค่าดอกไม้เพิ่มขึ้นหรืออย่างไร นางขุชชุตตราสารภาพความจริงท่ี ตนเคยเบยี ดบังเงนิ ค่าดอกไม้วนั ละ ๔ เหรยี ญกษาปณ์ หริ ิความละอาย ใจทำให้เธองดเว้นการเบียดบังทรัพย์นั้น ยิ่งไปกว่านั้น เธอเห็นเองวา่ อริยทรัพย์ภายในที่เธอได้รับจากการฟังธรรมของพระพุทธเจ้ามีค่ายง่ิ กว่าทรัพย์ภายนอก เธอมีความสันโดษคือความรูจักพอขึ้นในใจจึงไม่ ปรารถนาที่จะเบียดบังเงินค่าดอกไม้อีกเลย ทั้งน้ีเพราะสันโดษคือ ความพอใจตามมียินดีตามได้ทำให้เกิดความพอเพียง ดังพระบาลีที่วา่ ๑๔
“สันตฏุ ฐี ปะระมงั ธะนัง ความรูจ้ กั พอเปน็ ยอดทรัพย”์ สมด้วยภาษิต อุทานธรรมที่ว่า ความไมพ่ อใจจนเป็นคนเขญ็ พอแลว้ เป็นเศรษฐมี หาศาล จนทัง้ นอกท้งั ในไม่ไดก้ าร จงคดิ อ่านแกจ้ นเปน็ คนมี ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงท่ีสมเด็จบรมบพิตรพระ ราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐได้พระราชทานแก่พสกนิกร ชาวไทยและชาวโลกย่อมเป็นหลักการดำเนินชีวิตที่ป้องกันการทุจริต และประพฤตมิ ชิ อบได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพย่ิง โอตตัปปะความกลัวบาปเกิดจากการนึกถึงภัยหรอื ความทุกข์ ทเี่ ปน็ ผลจากการทำบาป ความกลวั บาปท่คี วรนกึ ถึงมี ๔ ประการ คอื ๑) อัตตานุวาทภัย ความกลัวถูกตนเองตำหนิติเตียน หมายถึงกลัวการมีวิปปฏิสารหรือความสำนึกผิดที่จะคอยติดตามเผา ลนจิตใจ ๒) ปรานวุ าทภัย ความกลวั ผอู้ น่ื ตเิ ตยี น หมายถึง กลัวการถกู สงั คมประณามหรือกลวั การถกู สื่อมวลชนประจาน เป็นตน้ ๓) ทัณฑภัย ความกลัวถูกลงอาญา หมายถึง กลัวโทษปรับ จองจำหรือประหารชีวิต รวมทั้งการถูกยึดทรัพย์ตามที่กฎหมาย กำหนด ๔) ทุคติภัย ความกลัวทุคติ หมายถึงกลัวการรับโทษในนรก เป็นต้นภายหลังจากสนิ้ ชวี ิตไปแล้ว ๑๕
โอตตัปปะความกลัวบาปชนิดที่ ๔ คือทุคติภัยนี้เป็นเรื่องที่ พระสารีบุตรได้พยายามปลูกฝังในใจของธนัญชานิพราหมณ์ แม้พระ ราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาลิไทเรื่องไตรภูมิพระร่วงก็สอนให้คน ไทยกลัวบาปกรรมกลัวการตกนรกหมกไหม้ วรรณกรรมเรื่องไตรภูมิ พระร่วงน้ีจึงได้ทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันระบบศีลธรรมของสังคมไทย ในอดีตมาอย่างยาวนาน คนไทยสมัยโบราณงดเว้นการประพฤติทจุ ริต เพราะกลวั ผลแหง่ บาปกรรมตามกฎแห่งกรรมท่ีว่า “ทำดีได้ดี ทำชวั่ ได้ ช่วั ” สำหรับสงั คมไทยปัจจบุ ัน โอตตปั ปะ ความกลวั ผลบาปในชาติ ปัจจุบันควรได้รับการเน้นย้ำเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องทัณฑภัยคือ กระบวนการใช้กฎหมายลงโทษผ้กู ระทำการทจุ รติ และประพฤติมิชอบ ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพจึงจะมีผลเปน็ เคร่อื งกระตุ้นโอตตัปปะ ให้ทำหน้าท่เี ป็นภมู คิ ุ้มกันมิให้ทำการทจุ ริต ธรรมทั้งสองประการคือหิริและโอตตัปปะดังที่พรรณนามา เป็นธรรมขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติหน้าที่ให้สุจริต ผู้ประพฤติสุจริต ย่อมมีชีวิตที่เป็นสขุ ดังพระบาลที ี่ยกไว้ ณ เบื้องต้นวา่ “ ธัมมะจารี สุ ขัง เสติ อัสมิง โลเก ปะรัมหิ จะ” แปลความว่า “ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า” ตรงกันข้าม ผู้ประพฤติ ทุจริตต่อหน้าที่ย่อมอยู่เป็นทุกข์ดังที่พราหมณ์คนหนึ่งได้พยายาม พสิ ูจน์เรื่องนใ้ี นสมัยพทุ ธกาล พราหมณ์คนดังกล่าวนั้นรับราชการอยู่ในราชสำนักของพระ เจ้าโกศล เขาเปน็ พราหมณผ์ ู้รอบรู้ในไตรเพทและเป็นชาวพทุ ธผู้รักษา ๑๖
ศีล ๕ อย่างเคร่งครัด เขาได้รับการยกย่องเป็นอย่างดีจากราชสำนัก เ ข าต ้อง ก าร ทด ลอง ด ูว ่าจะ เก ิด อะ ไ ร ข ึ้น ถ้าเข าป ร ะ พฤ ติทุจร ิตผิด ศลี ธรรม วนั หน่งึ เมอ่ื จะกลับบา้ น เขาไดห้ ยิบเหรียญกษาปณ์ ๑ อันไป จากแผงของเหรัญญิกคนหนึ่งโดยมิได้บอกกล่าวเลย เหรัญญิกคนน้ัน มิได้พูดอะไรกับเขา เพราะความเคารพ รุ่งขึ้นพราหมณ์หยิบไปสอง เหรียญกษาปณ์ เหรัญญิกคงนิ่งเฉยเหมอื นเดมิ ในวันทสี่ าม พราหมณ์ คว้าเหรียญกษาปณ์ไปเต็มกำมือเหรัญญิกคนเดิมนั้นได้ร้องตะโกนว่า จบั โจรๆ คนทอี่ ยใู่ นเหตุการณ์ต่างรมุ ประณามพราหมณ์น้ันว่าแสร้งทำ ตัวเหมือนผู้มีศีลมานานที่แท้ก็เป็นโจร จากนั้น เขาถูกจับมัดส่งตัวไป ใหพ้ ระราชาลงโทษ พระราชาตรัสถามพราหมณ์ว่า เหตุใดจึงทำเช่นนี้ เมื่อยู่กัน ตามลำพัง พราหมณ์กราบทูลว่าที่เขาทำลงไปเพื่อทดลองดูว่าจะเกิด อะไรข้นึ ถ้าเขาประพฤติทุจรติ ผิดศีลธรรม จากการทดลองครง้ั น้ี เขาได้ เหน็ ภัยของการประพฤติทุจรติ และอานิสงสข์ องการประพฤติสุจริตคือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ การเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนไมอ่ าจช่วยให้เขา สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เขาจึงทูลขอพระราชานุญาตไปบวชเป็น พระภิกษุในสำนกั ของพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสสรปุ เร่ืองนี้ไว้ ว่า “สีลัง กิเรวะ กัลยาณัง สีลัง โลเก อนุตตระรัง” แปลความว่า “ได้ยินวา่ ศลี นนั่ แหละงดงาม ศลี ยอดเยี่ยมในโลก” คำว่าศีลแปลว่า ปกติ บุคคลผู้มีหิริและโอตตัปปะประจำใจ ย่อมรักษาศีลได้เป็นปกติและสามารถประพฤติสุจริตธรรมได้จนเป็น ลักษณะนิสัย สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณอัน ๑๗
ประเสรฐิ ทรงปกครองแผน่ ดนิ โดยสุจริตธรรมมาเปน็ เวลา ๗๐ ปีเพราะ ทรงรักษาศีลจนเป็นปกตนิ ิสัย จึงควรทีพ่ สกนิกรชาวไทยจะได้น้อมนำ พระราชจริยาวัตรเรื่องสุจริตธรรมนี้มาปฏิบัติตามเพื่อสร้างความ เข้มแข็งให้กับสังคมไทย ถ้าคนไทยทั้งปวงประพฤติหน้าที่ด้วยความ สุจริต ประเทศชาติจะมคี วามมั่นคง มั่งคั่งและสันติสุข ทั้งผู้ประพฤติ สุจริตธรรมก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ สมดังพระบาลีที่ว่า “ธัมมะ จารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข” ดังวิสัชนามา พอสมควรแกเ่ วลา เทสนาปริโยสาเน ในอวสานเป็นที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ขออำนาจแห่งคุณ พระศรีรัตนตรัย และอานุภาพแห่งกุศลบุญราศีที่ได้บำเพ็ญให้เป็นไป ในหมู่สงฆ์ จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวปัจจัย ถวายเปน็ พระพรชัยมงคลแด่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทั้งสอง พระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอจงทรงพระเกษมสำราญ ทรง พระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระราชสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ประการ ขอพระบารมีปกแผ่ไพศาลคุ้มครองป้องกันให้ทุกท่านที่มา ประชุมกัน ณ ที่นี้จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธรรม สารสมบตั ิ ธนสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งหนึง่ ประการใดท่ีเปน็ ไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรม ก็ขอให้ความปรารถนานั้นๆจงพลันสำเร็จสม มโนรถมุง่ มาดปรารถนาทุกประการ รับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในสุจริตธรรมกถา พอสมควรแกเ่ วลา ขอสมมตยิ ุติลงคงไวแ้ ตเ่ พียงเทา่ น้ี เอวงั กม็ ีดว้ ยประการฉะนี้ ๑๘
โครงการแสดงพระธรรมเทศนา “สจุ ริตธรรมกถา” ปอ้ งกันการทุจริตตามแนวพระพทุ ธศาสนา เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกรู เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (แรม ๑๕ ค่ำ เดอื น ๘) ณ วัดตา่ งๆ ทัว่ ประเทศ หลกั การและเหตผุ ล ดวยในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม เป็นวันคลายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในป พ.ศ. ๒๕๖๐ น้ี เปนปมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา พสกนิกรทุก หมูเหลา ลวนมีความปติยินดีเปนอยางยิ่ง ในการนี้ คณะสงฆ์โดยมติมหา เถรสมาคม ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ มติที่ ๑๖๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบให้วัดทุกวัดแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ “สุจริต ธรรมกถา” และมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ ครั้งท่ี ๘๖๔-๓๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบให้จัดกิจกรรมการเทศน์ป้องกันการทุจริตตามแนว พระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๕ ๑๙
พรรษา โดยกำหนดจัดกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ วัดตา่ งๆ พรอ้ มกันทั่วประเทศ พระธรรมเทศนากัณฑ์สุจริตธรรมกถานั้น พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นผู้ประพันธ์ขึ้นตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการรณรงค์ป้องกัน การทุจริตระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติวา่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตโดยใช้กลไกทางศาสนา และร่วม รณรงค์เผยแพร่ความรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรมนำสู่การปฏิบัติ โดย สำนกั งาน ป.ป.ช. ไดด้ ำเนนิ การผลติ กัณฑ์เทศนด์ ังกล่าว จำนวน ๖๐,๐๐๐ ผูก เพื่อแจกจ่ายไปยังวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ แล้ว วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระ เจ้าอย่หู ัวมหาวชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู เนอื่ งในโอกาสมหามงคล เฉลมิ พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา วนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๒. เพื่อให้ประชาชนเข้าใจแนวทางการป้องกันการทุจริตตาม แนวพระพทุ ธศาสนา ๓. เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าบำเพ็ญความดีน้อมเกล้าฯ ถวาย แดส่ มเด็จพระปรินทรมหาภูมพิ ล อดลุ ยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ กลุ่มเปา้ หมาย ประชาชนทุกภาคส่วน ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ได้มีส่วน ร่วมในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เน่ืองในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ สถาบนั พระมหากษตั ริย์ ๒๐
สถานท่ีดำเนินการ วัดทั่วประเทศจัดเทศน์กันฑ์ “สุจริตธรรมกถา” ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (ตรงกับแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) ภายใต้มติมหาเถร สมาคม ครงั้ ที่ ๖/๒๕๖๐ มติท่ี ๑๖๘/๒๕๖๐ เม่อื วนั ท่ี ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ หนว่ ยงานบผดิ ชอบโครงการ สำนักงาน ป.ป.ช. และมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ประโยชนท์ ่ีได้รบั ๑. น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหา วชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษา ๖๕ พรรษา วนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๒. ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้บำเพ็ญความดีน้อมเกล้าฯ ถวายแด่ สมเดจ็ พระปรนิ ทรมหาภูมิพล อดลุ ยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ ๓. ประชาชนเข้าใจแนวทางการป้องกันการทุจริตตามแนว พระพทุ ธศาสนาอย่างถูกตอ้ ง ดาวนโ์ หลดขอ้ มลู http://www.slideplayer.mcu.ac.th/?p=639 ๒๑
๒๒
ภาคผนวก ๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: