รองปก
คำนำ
สารบญั
บทท่ี ๑ หลักธรรมของผู้สง่ั สอนหรอื ให้การศกึ ษา (ครู อาจารย์ หรือผู้แสดงธรรม) ผ้ทู ำหนา้ ที่ส่ังสอน ใหก้ ารศึกษาแก่ผู้อ่นื โดยเฉพาะครู อาจารย์ พึง ประกอบดว้ ยคณุ สมบัติ และประพฤติตามหลักปฏบิ ัติ ดังนี้ ก. เป็นกลั ยาณมิตร ข. ตงั้ ใจประสทิ ธคิ์ วามรู้ ค. มลี ีลาครคู รบทั้งส่ี ง. มหี ลักตรวจสอบสาม จ. ทำหน้าท่คี รตู ่อศษิ ย์ ก. เปน็ กัลยาณมิตร คือ ประกอบดว้ ยองค์คณุ ของกัลยาณมิตร หรอื กลั ยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ดงั นี้ ๑. ปโิ ย น่ารกั คอื มีเมตตากรุณา ใส่ใจคนและประโยชน์สุขของเขา เข้าถงึ จติ ใจ สรา้ งความรสู้ ึกสนทิ สนมเป็นกันเอง ชวนใจผู้เรยี นใหอ้ ยากเข้า ไปปรึกษาไต่ถาม ๒. ครุ นา่ เคารพ คอื เป็นผหู้ นักแนน่ ถือหลักการเป็นสำคัญ และมี ความประพฤติสมควรแก่ฐานะ ทำให้เกิดความรูส้ ึกอบอุน่ ใจ เปน็ ท่พี ่ึงได้ และปลอดภยั ๓. ภาวนโี ย น่าเจริญใจ คอื มีความรจู้ ริง ทรงภูมิปัญญาแท้จริง และเป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตนอยเู่ สมอ เปน็ ทน่ี ่ายกยอ่ งควรเอาอยา่ ง ทำให้ ศิษย์เอย่ อา้ งและรำลกึ ถงึ ด้วยความซาบซึ้ง ม่นั ใจ และภาคภมู ใิ จ ๔. วตตฺ า รจู้ ักพูดใหไ้ ด้ผล คือ รู้จกั ชแ้ี จงให้เขา้ ใจ รวู้ า่ เมื่อไรควร พูดอะไร อย่างไร คอยใหค้ ำแนะนำวา่ กล่าวตักเตือน เปน็ ท่ีปรกึ ษาท่ดี ี
๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ่ ถอ้ ยคำ คือ พรอ้ มทจ่ี ะรบั ฟงั คำปรกึ ษา ซกั ถามแม้จุกจกิ ตลอดจนคำล่วงเกินและคำตักเตือนวิพากษว์ ิจารณ์ตา่ งๆ อดทน ฟังได้ ไม่เบื่อหนา่ ย ไม่เสยี อารมณ์* ๖.คมภฺ รี ญจฺ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องลำ้ ลกึ ได้ คอื กล่าวชี้แจงเรอ่ื ง ต่างๆ ท่ียุ่งยากลึกซ้ึงใหเ้ ข้าใจได้ และสอนศิษย์ให้ได้เรียนรเู้ ร่อื งราวที่ลกึ ซ้ึง ยงิ่ ขน้ึ ๗. โน จฏฐฺ าเน นิโยชเย ไม่ชกั นำในอฐาน คือ ไมช่ ักจูงไปในทางที่ เส่ือมเสีย หรอื เรื่องเหลวไหลไมส่ มควร (อง.ฺ สตฺตก. ๒๓/๓๔/๓๓) ข. ต้ังใจประสทิ ธคิ์ วามรู้ โดยตั้งตนอยู่ในธรรมของผู้แสดงธรรม ท่ีเรยี กว่า ธรรมเทศกธรรม ๕ ประการ คอื ๑. อนุบุพพิกถา สอนให้มขี ้ันตอนถกู ลำดับ คือ แสดงหลักธรรม หรอื เนอ้ื หาตามลำดบั ความง่ายยากลมุ่ ลึก มเี หตุผลสัมพันธต์ ่อเน่ืองกนั ไป โดยลำดับ ๒. ปริยายทัสสาวี จับจุดสำคญั มาขยายให้เขา้ ใจเหตุผล คือ ช้แี จง ยกเหตผุ ลมาแสดง ให้เขา้ ใจชดั เจนในแต่ละแงแ่ ตล่ ะประเดน็ อธบิ าย ยกั เยอื้ งไปต่างๆ ให้มองเห็นกระจา่ งตามแนวเหตผุ ล ๓. อนุทยตา ตัง้ จิตเมตตาสอนด้วยความปรารถนาดี คอื สอนเขา ด้วยจติ เมตตา มุ่งจะให้เป็นประโยชนแ์ กผ้ รู้ บั คำสอน ๔. อนามสิ นั ดร ไม่มีจติ เพ่งเล็งเหน็ แกอ่ ามิส คือ สอนเขามิใชม่ ใิ ช่ ม่งุ ท่ีตนจะได้ลาภ สินจ้าง หรอื ผลประโยชนต์ อบแทน ๕. อนปุ หัจจ์* วางจติ ตรงไมก่ ระทบตนและผู้อืน่ คือ สอนตาม หลกั ตามเน้อื หา มุ่งแสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย่ กตน ไม่เสียดสขี ่มข่ผี ้อู ่ืน (อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕)
ค. มีลลี าครูครบทงั้ ส่ี ครทู ่ีสามารถมลี ีลาของนักสอน ดังน้ี ๑. สันทัสสนา ชใี้ ห้ชดั จะสอนอะไร กช็ ้แี จงแสดงเหตุผล แยกแยะ อธบิ ายใหผ้ ู้ฟังเขา้ ใจแจ่มแจง้ ดังจูงมือไปดูเหน็ กับตา ๒. สมาทปนา ชวนให้ปฏิบัติ คือ สิ่งใดควรทำ กบ็ รรยายให้ มองเห็นความสำคญั และซาบซง้ึ ในคุณคา่ เห็นสมจริง จนผู้ฟงั ยอมรบั อยากลงมอื ทำ หรอื นำไปปฏบิ ัติ ๓. สมุตเตชนา เร้าให้กลา้ คือ ปลุกใจใหค้ ึกคัก เกิดความ กระตือรอื รน้ มีกำลงั ใจแขง็ ขัน มั่นใจจะทำให้สำเร็จ ไม่กลัวเหนด็ เหนอื่ ย หรือยากลำบาก ๔. สมั ปหังสนา ปลุกใหร้ า่ เรงิ คอื ทำบรรยากาศใหส้ นุกสดช่ืน แจ่มใส เบิกบานใจ ให้ผู้ฟังแช่มช่นื มีความหวงั มองเห็นผลดแี ละทางสำเร็จ จำงา่ ยๆ วา่ สอนให้ แจม่ แจง้ จงู ใจ แกล้วกลา้ ร่าเรงิ (เชน่ ท.ี สี. ๙/๑๙๘/๑๖๑) ง. มีหลักตรวจสอบสาม เม่ือพดู อย่างรวบรัดที่สุด ครูอาจตรวจสอบตนเอง ดว้ ยลกั ษณะการสอนของพระบรมครู ๓ ประการ คอื ๑. สอนดว้ ยความรู้จริง รู้จริง ทำได้จริง จึงสอนเขา ๒. สอนอยา่ งมีเหตุผล ให้เขาพิจารณาเข้าใจแจง้ ด้วยปญั ญาของ เขาเอง ๓. สอนใหไ้ ด้ผลจรงิ สำเรจ็ ความมงุ่ หมายของเรือ่ งทส่ี อนน้ันๆ เช่น ใหเ้ ข้าใจไดจ้ รงิ เหน็ ความจรงิ ทำไดจ้ ริง นำไปปฏบิ ัติไดผ้ ลจริง เป็นต้น (องฺ.ตกิ . ๒๐/๕๖๕/๓๕๖)
จ. ทำหน้าทค่ี รูตอ่ ศษิ ย์ คือ ปฏิบตั ิต่อศิษย์ โดยอนุเคราะห์ตามหลักธรรม เสมือนเปน็ ทิศเบือ้ งขวา* ดังนี้ ๑. แนะนำฝึกอบรมให้เปน็ คนดี ๒. สอนใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ ๓. สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง ๔. สง่ เสริมยกย่องความดีงามความสามารถใหป้ รากฏ ๕. สรา้ งเคร่อื งคุ้มภยั ในสารทิศ คอื สอนฝึกศิษย์ใหใ้ ช้วชิ าเล้ียงชพี ได้จริงและร้จู ักดำรงตนดว้ ยดี ทจ่ี ะเป็นประกันใหด้ ำเนินชวี ิตดงี ามโดยสวสั ดี มคี วามสุขความเจริญ** (ท.ี ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓)
บทที่ ๒ หลักธรรมของผเู้ ลา่ เรียนศึกษา (นกั เรียน นักศึกษา นกั ค้นคว้า) คนท่เี ลา่ เรยี นศึกษา จะเป็นนักเรยี น นกั ศึกษา หรือนักค้นคว้าก็ ตาม นอกจากจะพึงปฏิบตั ติ ามหลักธรรมสำหรบั คนทจ่ี ะประสบ ความสำเรจ็ คอื จกั ร ๔* และอทิ ธิบาท ๔* แลว้ ยงั มีหลักการท่ีควรรู้ และ หลกั ปฏิบัตทิ ่ีควรประพฤติอกี ดังต่อไปน้ี ก. รหู้ ลกั บพุ ภาคของการศึกษา ข. มหี ลกั ประกันของชีวิตทีพ่ ัฒนา ค. ทำตามหลกั เสริมสร้างปัญญา ง. ศกึ ษาให้เป็นพหสู ตู จ. เคารพผจู้ ุดประทีปปัญญา ก. รูห้ ลกั บพุ ภาคของการศกึ ษา คือ ร้จู ักองคป์ ระกอบท่ีเปน็ ปัจจยั แหง่ สัมมาทฏิ ฐิ ๒ ประการ ดงั น้ี ๑. องค์ประกอบภายนอกท่ีดี ได้แก่ มีกลั ยาณมติ ร หมายถึง รจู้ ัก หาผแู้ นะนำสัง่ สอน ที่ปรึกษา เพื่อน หนงั สือ ตลอดจนส่ิงแวดล้อมทาง สงั คมโดยทัว่ ไปที่ดี ท่เี ก้ือกูล ซึ่งจะชกั จงู หรอื กระตุ้นให้เกิดปญั ญาได้ด้วย การฟัง การสนทนา ปรึกษา ซกั ถาม การอ่าน การค้นคว้า ตลอดจนการ รจู้ กั เลือกใชส้ ื่อมวลชนให้เป็นประโยชน์ ๒. องค์ประกอยภายในที่ดี ได้แก่ โยนิโสมนสกิ าร หมายถึง การใช้ ความคิดถูกวธิ ี รู้จักคดิ หรือคิดเป็น คือ มองสง่ิ ท้ังหลายดว้ ยความคดิ พจิ ารณา สบื สาวหาเหตุผล แยกแยะส่งิ นัน้ ๆ หรือปัญหาน้ัน ๆ ออกใหเ้ หน็
ตามสภาวะและตามความสัมพนั ธ์แห่งเหตุปัจจยั จนเขา้ ถงึ ความจริง และ แก้ปญั หาหรือทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้ กลา่ วโดยย่อว่า ข้อหนึ่ง รู้จกั พึ่งพาให้ได้ประโยชน์จากคนและสง่ิ ท่แี วดลอ้ ม ข้อสอง รู้จักพึ่งตนเอง และทำตัวให้เปน็ ทีพ่ ง่ึ ของผอู้ นื่ (ม.มู. ๑๒/๔๙๗/๕๓๙) ข. มีหลักประกันของชวี ิตทพ่ี ัฒนา เมือ่ รู้หลักบุพภาคของการศึกษา ๒ อย่างแล้ว พงึ นำมาปฏิบตั ใิ น ชวี ติ จรงิ พรอ้ มกับสรา้ งคุณสมบตั ิอื่นอีก ๕ ประการใหม้ ีในตน รวมเปน็ องค์ ๗ ท่ีเรียกว่า แสงเงนิ แสงทองของชีวิตที่ดีงาม หรอื ร่งุ อรุณของการศึกษา ท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงเปรยี บว่าเหมอื นแสงอรุณที่เป็นบุพนิมิตแหง่ อาทติ ย์อุทัย เพราะเปน็ คุณสมบตั ติ ้นทนุ ท่ีเป็นหลกั ประกันวา่ จะทำให้ก้าวหน้าไปใน การศึกษา และชีวติ จะพัฒนาสคู่ วามดีงามและความสำเรจ็ ทสี่ ูงประเสริฐ อย่างแนน่ อน ดงั ต่อไปนี้ ๑. แสวงแหล่งปัญญาและแบบอย่างท่ดี ี ๒. มีวนิ ัยเปน็ ฐานของการพัฒนาชวี ิต ๓. มีจิตใจใฝร่ ูใ้ ฝ่สร้างสรรค์ ๔. มุ่งม่นั ฝึกตนจนเต็มสุดภาวะทค่ี วามเปน็ คนจะใหถ้ งึ ได้ ๕. ยึดถอื หลกั เหตุปัจจัยมองอะไรๆ ตามเหตแุ ละผล ๖. ตั้งตนอยใู่ นความไมป่ ระมาท ๗. ฉลาดคิดแยบคายให้ได้ประโยชนแ์ ละความจริง ค. ทำตามหลกั เสริมสรา้ งปัญญา
ในทางปฏิบัติ อาจสรา้ งปัจจยั แหง่ สมั มาทฏิ ฐิ ๒ อย่างขา้ งต้นน้ันได้ ดว้ ยการปฏบิ ตั ติ ามหลัก วฒุ ิธรรม* (หลกั การสรา้ งความเจริญงอกงามแห่ง ปัญญา) ๔ ประการ ๑. สัปปุรสิ สังเสวะ เสวนาผรู้ ู้ คือ รูจ้ กั เลือกหาแหลง่ วชิ า คบหา ทา่ นผรู้ ู้ ผู้ทรงคณุ ความดี มีภูมิธรรมภูมิปัญญานา่ นับถือ ๒. สทั ธัมมัสสวนะ ฟังดูคำสอน คอื เอาใจใสส่ ดับตรับฟังคำ บรรยาย คำแนะนำสั่งสอน แสวงหาความรู้ ทัง้ จากตวั บุคคลโดยตรง และ จากหนงั สอื หรือส่อื มวลชน ตง้ั ใจเลา่ เรียน ค้นคว้า หม่นั ปรึกษาสอบถาม ให้ เข้าถึงความร้ทู ่จี ริงแท้ ๓. โยนโิ สมนสิการ คดิ ใหแ้ ยบคาย คอื รู้ เห็น ได้อา่ น ไดฟ้ งั ส่ิงใด กร็ จู้ กั คิดพิจารณาดว้ ยตนเอง โดยแยกแยะให้เหน็ สภาวะและสืบสาวใหเ้ หน็ เหตผุ ลวา่ นนั่ คืออะไร เกดิ ข้นึ ไดอ้ ย่างไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น จะเกิดผล อะไรต่อไป มีข้อดี ข้อเสีย คุณโทษอยา่ งไร เป็นตน้ ๔. ธรรมานธุ รรมปฏบิ ัติ ปฏิบตั ใิ ห้ถูกหลัก นำสิ่งทีไ่ ดเ้ ลา่ เรยี นรับ ฟงั และตริตรองเห็นชัดแล้ว ไปใช้หรือปฏิบัติหรอื ลงมือทำ ใหถ้ กู ต้องตาม หลกั ตามความมุ่งหมาย ใหห้ ลักย่อยสอดคลอ้ งกับหลักใหญ่ ขอ้ ปฏบิ ตั ยิ ่อย สอดคล้องกับจุดหมายใหญ่ ปฏิบัตธิ รรมอย่างรูเ้ ปา้ หมาย เช่น สนั โดษเพือ่ เกอ้ื หนนุ การงาน ไมใ่ ช่สนั โดษกลายเปน็ เกียจคร้าน เปน็ ตน้ (อง.ฺ จตุกฺก. ๒๑/๒๔๘/๓๓๒) ง. ศกึ ษาให้เป็นพหูสูต คอื จะศึกษาเล่าเรยี นอะไร ก็ทำตนใหเ้ ปน็ พหสู ตู ในด้านนั้น ดว้ ย การสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจใหแ้ จ่มแจง้ ชัดเจนถงึ ขัน้ ครบ องค์คณุ ของ พหสู ตู (ผู้ได้เรียนมาก หรอื ผู้คงแก่เรยี น) ๕ ประการ คือ
๑. พหสุ สฺ ตุ า ฟงั มาก คือ เลา่ เรียน สดับฟงั ร้เู ห็น อา่ น สั่งสม ความรใู้ นด้านนัน้ ไวใ้ หม้ ากมายกวา้ งขวาง ๒. ธตา จำได้ คือ จบั หลกั หรอื สาระได้ ทรงจำเร่ืองราวหรอื เน้อื หา สาระไว้ได้แม่นยำ ๓. วจสา ปริจติ า คล่องปาก คือ ท่องบ่น หรือใช้พูดอยเู่ สมอ จน แคลว่ คล่องจัดเจน ใครสอบถามก็พดู ชี้แจงแถลงได้ ๔. มนสานเุ ปกฺขติ า เจนใจ คือ ใสใ่ จนกึ คดิ จนเจนใจ นึกถงึ คร้งั ใด ก็ปรากฏเนอ้ื ความสว่างชดั เจน มองเห็นโลง่ ตลอดไปทงั้ เรื่อง ๕. ทฏิ ฐฺ ยิ า สปุ ฏิวทิ ธฺ า ขบไดด้ ว้ ยทฤษฎี คือ เข้าใจความหมายและ เหตุผลแจ่มแจง้ ลกึ ซง้ึ ร้ทู ่ีไปท่ีมา เหตุผล และความสมั พนั ธ์ของเนื้อความ และรายละเอียดต่างๆ ทงั้ ภายในเรอื่ งน้ันเอง และทเี่ กีย่ วโยงกบั เรื่องอ่ืนๆ ในสายวชิ าหรอื ทฤษฎนี ้นั ปรุโปรง่ ตลอดสาย (อง.ฺ ปญจฺ ก. ๒๒/๘๗/๑๒๙) จ. เคารพผู้จุดประทีปปัญญา ในดา้ นความสัมพันธ์กับครูอาจารย์ พึงแสดงคารวะนบั ถือ ตาม หลักปฏิบตั ิในเร่อื งทศิ ๖ ขอ้ ว่าด้วย ทศิ เบ้อื งขวา* ดงั น้ี ๑. ลกุ ตอ้ นรับ แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพ่ือบำรุง รบั ใช้ ปรกึ ษา ซกั ถาม รบั คำแนะนำ เป็น ตน้ ๓. ฟังดว้ ยดี ฟังเปน็ รจู้ กั ฟังใหเ้ กดิ ปญั ญา ๔. ปรนนบิ ัติ ช่วยบริการ ๕. เรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจัง ถือเป็นกจิ สำคัญ (ที.ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) บรรณานุกรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชวี ติ . มหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลัย, กรุงเทพฯ : ๒๕๔๐.
ปกหลงั
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: